เทพปีศาจหวนคืน 1468-1473
บทที่ 1468 ผลึกแก่นแท้น้ำแข็ง
ภาคใต้
สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างเงียบๆท่ามกลางลมหนาวในยามพลบค่ำ
บนภูเขานิรนาม ต้นสนขนาดใหญ่จำนวนมากเติบโตขึ้นในพื้นที่เป็นเวลาหกปีแล้ว
‘อีกหนึ่งชั่วโมงข้าจะสามารถหลอมรวมวิญญาณอมตะเข็มสนระดับเจ็ด หกปีแห่งการทำงานหนัก…’ ผู้บ่มเพาะสันโดษระดับเจ็ดเจิ้งชิงคิด
เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งไม้ เขากำลังหลอมรวมวิญญาณ
แม้จะใช้เวลานาน แต่เขาใช้วิธีการของเทพอมตะบัวสวรรค์ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงมาก
เดิมทีเจิ้งชิงเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ แต่เขาตกลงจากหน้าผาและร่วงหล่นลงบนดอกบัวขนาดใหญ่ นั่นทำให้เขาได้รับมรดกบนเส้นทางแห่งไม้ของเทพอมตะบัวสวรรค์โดยบังเอิญ
หลังจากทำงานอย่างหนัก เขากลายเป็นผู้อมตะ เขาบ่มเพาะไปทีละขั้นตอน ผ่านไปหลายร้อยปี เขากลายเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด
เขาเป็นคนสันโดษ มรดกที่แท้จริงของเทพอมตะบัวสวรรค์เหมาะสมกับเขามาก เขาปลูกต้นสนและรออยู่ที่นี่เป็นเวลาหกปีเพื่อหลอมรวมวิญญาณโดยไม่สนใจโลกภายนอก
เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงกรีดร้องของสัตว์นับไม่ถ้วนดังขึ้น
“เกิดสิ่งใดขึ้น?” เจิ้งชิงได้ยินเสียงและเริ่มระวังตัว
“วิธีการหลอมรวมวิญญาณของเทพอมตะบัวสวรรค์ลึกลับและเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีทางที่ข้าจะถูกเปิดเผย นี่ไม่ใช่กรณีการมาฉกชิงของศัตรู เดี๋ยว!”
เจิ้งชิงสงสัยก่อนที่หัวใจของเขาจะเต้นเร็วขึ้น
เขาคิดถึงบางสิ่ง
หลายเดือนก่อนเขาเคยพบสถานการณ์นี้มาแล้ว
เวลานั้นมันเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แม้เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เหตุการณ์นั้นยังทำให้เจิ้งชิงตกใจมาก
หลังจากเชื่อมต่อกับสวรรค์สีเหลือง เขาได้เรียนรู้ว่าเกิดแผ่นดินไหวทั่วทั้งภาคใต้
“มันเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่?”
การคาดเดาของเจิ้งชิงได้รับการยืนยันในไม่ช้า
ดังคาด เกิดแผ่นดินไหวเช่นเดียวกับครั้งก่อนหน้า แต่ความรุนแรงของมันไปไกลเกินกว่าจินตนาการของเขา
“ครืน…”
แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ราวกับวันสิ้นสุดโลก แผ่นดินแยกออกและทอดตัวยาวไปนับล้านลี้
เจิ้งชิงโชคไม่ดีที่ภูเขาลูกนี้อยู่ในบริเวณนั้นและกำลังถูกกลืนกิน
แม้จะมีสภาพจิตใจที่ยอดเยี่ยม แต่เขายังอาเจียรออกมาเป็นเลือด การทำงานหนักตลอดหกปีของเขากลายเป็นความว่างเปล่า
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? เหตุใดข้าถึงโชคร้ายนัก! เห้อ…”
ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น
เขาเห็นผลึกหินสีส้มจำนวนมากถูกดันขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน
เจิ้งชิงสูดหายใจลึก เขามีมรดกที่แท้จริงของเทพอมตะบัวสวรรค์ เขารู้ว่าสิ่งนี้คือสิ่งใด
“นี่คือผลึกแก่นแท้ปฐพี มันเป็นทรัพยากรอมตะระดับแปด…อา…เดี๋ยว!” เจิ้งชิงใช้ท่าไม้ตายสายตรวจสอบและมองไปในระยะไกล
ดวงตาของเขาแทบหลุดออกมาจากเบ้า เขาตะโกน “ข้าเห็นสิ่งใดผิดไปหรือไม่? ไม่เพียงผลึกแก่นแท้ปฐพี แต่ยังมี ผลึกเกล็ดมังกรหยก เพลิงท่องปฐพี ผลึกหยาดน้ำค้าง…”
ทรัพยากรอมตะล้ำค่าและยังมีจำนวนมหาศาล
เจิ้งชิงลืมความรู้สึกของความล้มเหลวในการหลอมรวมวิญญาณอมตะไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขายุ่งอยู่กับการรวบรวมทรัพยากรอันล้ำค่าเหล่านี้
…..
ภาคเหนือ แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา
ฟางหยวนกำลังฝึกฝนท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบ
คลื่นดาบสามชั้น!
คลื่นแสงสีเงินสามชั้นพุ่งออกไปข้างหน้า
ดาบบินไร้ลักษณ์!
วิญญาณอมตะดาบบินพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงและไม่สามารถมองเห็น
ฟางหยวนสามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของวิญญาณอมตะดาบบินแต่ผู้อื่นไม่สามารถ นี่เป็นหนึ่งในท่าไม้ตายเฉพาะตัวของโป้ชิง
หมอกดาบบิน!
กลุ่มเมฆหมอกปรากฏขึ้นพร้อมกับปราณดาบอันไร้รูปลักษณ์จำนวนมหาศาลทำลายทุกสิ่งที่อยู่ในพื้นที่
ดาบบินหมื่นลี้!
แสงดาบพุ่งออกไปราวกับสายรุ้งและข้ามผ่านระยะทางหลายพันลี้ไปในพริบตา
ดาบห้าดัชนี!
ฟางหยวนประกบฝ่ามือไว้บนหน้าอกก่อนจะยกฝ่ามือข้างขวาขึ้นเหนือศีรษะ
อันดับแรก เขาชี้นิ้วหัวแม่มือข้างขวาออกไปข้างหน้า แสงดาบพุ่งออกมาและเจาะทะลุพื้นเมฆ
ต่อมา เขาใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางสะบัดออกไป แสงดาบที่น่าสะพรึงกลับถูกยิงออกมา
แต่ฟางหยวนยังไม่สามารถส่งแสงดาบออกจากสองนิ้วสุดท้าย เขาต้องหยุดพัก
หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกฝน ฟางหยวนยังยืนอยู่ที่เดิมและรวบรวมประสบการณ์ของเขา
‘ไม่กี่วันที่ผ่านมาข้าดัดแปลงท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบได้ทั้งหมดห้ากระบวนท่า นอกจากคลื่นดาบสามชั้นของนิกายหลางหยา อีกสี่กระบวนท่ามาจากโป้ชิง’
‘เส้นทางแห่งดาบของข้ายังด้อยกว่าเส้นทางแห่งปัญญา ข้ามีวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งดาบไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา นอกจากนั้นระดับความสำเร็จของข้าก็ค่อนข้างต่ำ การดัดแปลงของข้าถูกจำกัด พลังอำนาจของท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งดาบของโป้ชิงใกล้เคียงกับฉบับดั้งเดิมโดยเฉพาะท่าสุดท้าย ดาบห้าดัชนี แต่ข้าสามารถใช้มันได้เพียงสามนิ้ว นั่นคือขีดจำกัดของข้า ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นเพียงท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดเท่านั้น’
‘หากข้าสามารถใช้วิญาณอมตะดาบแห่งปัญญาระดับแปด มันจะกลายเป็นท่าไม้ตายอมตะระดับแปด’
น่าเสียดายที่วิญญาณอมตะดาบแห่งปัญญาต้องการพลังงานอมตะระดับแปด
ฟางหยวนไม่ใช่ผู้อมตะระดับแปด เขาไม่สามารถผลิตพลังงานอมตะระดับแปด
ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะระดับแปดจำนวนสามดวง วิญญาณทัศนคติ วิญญาณปีไหลผ่านราวกับสายน้ำ และวิญญาณดาบแห่งปัญญา ท่ามกลางพวกมัน วิญญาณทัศนคติมีความต้องการน้อยที่สุด วิญญาณปีไหลผ่านราวกับสายปีมีความต้องการมากกว่าเล็กน้อย สำหรับวิญญาณดาบแห่งปัญญา มันใช้งานยากที่สุดเพราะมันต้องพึ่งพาพลังงานอมตะระดับแปดในการกระตุ้นใช้งานเท่านั้น
ดังนั้นตอนนี้ฟางหยวนจึงถึงขีดจำกัดในการพัฒนาท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบแล้ว
หลังจากฝึกฝนท่าไม้ตายอมตะ ฟางหยวนกลับไปที่เมืองเมฆาและเริ่มจัดการมิติช่องว่างจักรพรรดิ
ภาคเหนือน้อย
หิมะกำลังตก อากาศหนาวเย็น บรรยากาศแตกต่างไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง
เสียงกรีดร้องของอสูรหิมะดังขึ้นเป็นครั้งคราว
และทางเหนือสุดมีผลึกหินคล้ายกับภูเขา
มันเป็นผลึกหินสีฟ้าที่โปร่งแสง มีไอเย็นลอยออกมาตลอดเวลา พวกมันเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมไปเป็นอย่างมาก
ผลึกแก่นแท้น้ำแข็ง!
มันเป็นทรัพยากรอมตะระดับแปดที่หายาก
ฟางหยวนถอนหายใจ “ผู้ใดจะคิดว่าเผ่ามนุษย์หิมะจะนำสมบัติล้ำค่าชนิดนี้ออกมาจากคลังสมบัติของพวกเขา”
แต่ฟางหยวนเข้าใจเหตุผล
แม้ตอนนี้พวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ความจริงก็คือหลังจากสะสมทรัพยากรและความแข็งแกร่งมาหลายชั่วอายุคน เผ่ามนุษย์หิมะจึงไม่ใช่ตัวละครที่สามารถดูแคลน
อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็มีความรุ่งโรจน์ในอดีต
ผลึกแก่นแท้น้ำแข็งเป็นหนึ่งในของขวัญชุดที่สามจากเผ่ามนุษย์หิมะ
เหตุใดพวกเขาจึงนำสิ่งนี้ออกมาเพื่อแสดงความจริงใจ? ฟางหยวนรู้ว่ามันเป็นเพราะเขาสามารถเอาชนะสัตว์อสูรแรกกำเนิดมังกรหมื่นเศียร ฉากนี้ถูกบันทึกไว้โดยเซี่ยเอ๋อและถูกส่งกลับไปยังเผ่าของนาง
แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ฟางหยวนตั้งใจให้นางเห็น
“ด้วยผลึกแก่นแท้น้ำแข็ง ข้าสามารถสร้างอสูรหิมะได้อย่างต่อเนื่อง มันจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของข้า”
ขณะที่ฟางหยวนกำลังคิดถึงอนาคต ผมที่หกส่งข้อความมาหาเขา “ท่านผู้นำ การหลอมรวมวิญญาณอมตะความลับสวรรค์มาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว โปรดมาหลอมรวมมันด้วยตัวท่านเอง”
หากเขาสามารถหลอมรวมวิญญาณอมตะความลับสวรรค์ เขาจะสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติล่วงหน้า
ผู้อมตะทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้
บทที่ 1469 อ่อนแอเกินไป
ห้องหลอมรวมเต็มไปด้วยแสงสีขาว
บรรยากาศที่หนักหน่วงแสดงให้เห็นว่าการหลอมรวมวิญญาณอมตะมาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุดแล้ว
ฟางหยวนใช้สมาธิทั้งหมดขณะที่ผมที่หกรู้สึกประหม่า
“ถึงเวลาแล้ว!” ผมที่หกกล่าวออกมาอย่างกะทันหัน
ในขั้นต้น วิธีการที่ดีที่สุดในการหลอมรวมวิญญาณอมตะความลับสวรรค์คือการใช้วิธีบนเส้นทางแห่งแสง วิธีบนเส้นทางสายอื่นต้องใช้ความพยายามมากขึ้นขณะที่ผลลัพธ์ด้อยกว่า
สำหรับขั้นตอนสุดท้าย พวกเขาไม่สามารถใช้ค่ายกลวิญญาณแต่ผู้อมตะต้องทำมันด้วยตัวเอง
นี่เป็นส่วนสำคัญที่สุดของการหลอมรวมวิญญาณอมตะความลับสวรรค์ วิญญาณอมตะอื่นๆไม่มีข้อกำหนดดังกล่าว
ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นบททดสอบครั้งใหญ่ในการหลอมรวมวิญญาณของผู้อมตะ
เพราะผู้อมตะต้องเข้าแทนที่ค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมทันทีและทำขั้นตอนสุดท้ายให้เสร็จสิ้น
แต่ผู้อมตะก็ไม่สามารถควบคุมมันอย่างเข้มงวดเกินไป มิฉะนั้นมันจะไม่สำเร็จ
กล่าวได้ว่ามันเป็นขั้นตอนการรักษาสมดุลที่แปลกประหลาด
ฟางหยวนใช้วิธีการบนเส้นทางแห่งปัญญาและสามารถแบกรับภาระต่อจากค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ด้วยความตั้งใจของฟางหยวน แสงสีขาวควบรวมเป็นก้อนแสงทรงกลมโดยมีฟางหยวนอยู่ตรงกลาง
หลังจากไม่กี่ลมหายใจ มันก็กลายเป็นวงแหวนแสงสีทองลอยอยู่รอบตัวฟางหยวนอย่างเงียบๆ
ผมที่หกกลั้นหายใจและคิดด้วยความตื่นเต้น ‘ท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม วงแหวนแสงสวรรค์ ในที่สุดมันก็ก่อตัวขึ้น แต่เราต้องหมุนมันเจ็ดครั้งเพื่อหลอมรวมวิญญาณอมตะความลับสวรรค์ระดับเจ็ด’
การหมุนรอบแรก
ฟางหยวนบังคับวงแหวนแสงสีทองให้หมุนวนอย่างช้าๆ
การหมุนครั้งนี้ใช้เวลาสิบห้านาที
‘รอบแรกสำเร็จแล้ว’ ผมที่หกสูดหายใจลึก
การหมุนรอบที่สอง
ดวงตาที่ปิดอยู่ของฟางหยวนค่อยๆเปิดขึ้น
ภายในดวงตาของเขามีแสงสะท้อนออกมา
วงแหวนแสงสีทองเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
การหมุนครั้งนี้เร็วกว่าก่อนหน้า
มันใช้เวลาเพียงเจ็ดนาที
‘รอบที่สองสำเร็จเช่นกัน’ ผมที่หกกำหมัดแน่น
การหมุนรอบที่สาม
ฟางหยวนหายใจอย่างเกรี้ยวกราด
นี่เป็นอีกท่าไม้ตายหนึ่งในการหลอมรวมวิญญาณ
ลมหายใจของเขาทำให้วงแหวนแสงสีทองเริ่มหมุน
การหมุนครั้งนี้เร็วกว่าเดิม
‘รอบที่สามสำเร็จแล้ว’ หัวใจของผมที่หกเต้นเร็วขึ้น
การหมุนรอบที่สี่
ฟางหยวนพึมพำเบาๆ
ภายใต้อิทธิพลจากเสียงของเขา วงแหวนแสงหมุนอย่างรุนแรง
ในไม่ช้าการหมุนรอบที่สี่ก็เสร็จสิ้น
‘เราผ่านมาครึ่งทางแล้ว แต่หลังจากนี้มันจะยิ่งยากขึ้นเพราะวงแหวนแสงจะหมุนเร็วขึ้น มันไม่ง่ายที่จะควบคุม’ เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากของผมที่หก
ฟางหยวนไม่ประมาท เขาพักชั่วครู่ก่อนจะใช้ท่าไม้ตายต่อไปเพื่อหมุนวงแหวนแสง
การหมุนรอบที่ห้า
เขาค่อยๆยกแขนขึ้นราวกับกำลังแบกภูเขาทั้งลูก
วงแหวนแสงสีทองเริ่มหมุนแต่ครั้งนี้มันเริ่มลอยขึ้นด้านบน
เมื่อลอยขึ้นถึงไหล่ของฟางหยวน มันหยุดอย่างกะทันหัน
“โอ้ ไม่!” การแสดงออกของผมที่หกเปลี่ยนไปเมื่อวงแหวนแสงระเบิดตัวเอง
“บึม!”
การระเบิดครั้งใหญ่ถูกระงับโดยห้องหลอมรวมวิญญาณ
แต่ฟางหยวนที่อยู่ตรงกลางได้รับแรงระเบิดอย่างเต็มที่
“พรวด!”
เขากระอักเลือดคำโตออกมาจากปาก
บาดเจ็บสาหัส!
วิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้า!
ฟางหยวนกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะดวงนี้ทันที อย่างไรก็ตามเขายังไม่หายดี อาการบาดเจ็บของเขาในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
การหลอมรวมวิญญาณอมตะความลับสวรรค์ล้มเหลว
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก
หลายครั้งมาแล้วที่ผมที่หกล้มเหลวระหว่างการหลอมรวมวิญญาณ คราวนี้มันมาถึงขั้นตอนสุดท้าย แต่ฟางหยวนยังล้มเหลวแม้เขาจะลงมือด้วยตนเอง
การแสดงออกของฟางหยวนและผมที่หกกลายเป็นน่าเกลียด
ฟางหยวนเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเพื่อสิ่งนี้ ก่อนการหลอมรวมวิญญาณ เขาใช้วิธีบนเส้นทางแห่งโชคมากมายแต่สุดท้ายเขายังไม่ประสบความสำเร็จ
การหลอมรวมวิญญาณเป็นเช่นนี้ มันไม่ง่ายที่จะประสบความสำเร็จ แม้จะลงทุนมากเพียงใด ความพยายามของพวกเขาก็อาจสูญเปล่า
สิ่งสำคัญที่สุดคือภัยพิบัติของฟางหยวนกำลังคืบคลายเข้ามา
“น่าเสียดาย” ผมที่หกถอนหายใจ
“อย่ากังวล แม้จะไม่มีวิญญาณอมตะความลับสวรรค์ ข้าก็ยังมั่นใจว่าสามารถก้าวข้าม” ฟางหยวนโบกมือขณะที่จิตใจของเขากลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
หลายวันต่อมา ฟางหยวนใช้ค่ายกลวิญญาณขนส่งเดินทางไปยังสถานที่รกร้างแห่งหนึ่งเพื่อก้าวข้ามภัยพิบัติของเขา
เขาวางมิติช่องว่างลง
ปราณสวรรค์พิภพไหลเข้าไปราวกับน้ำตก
ฉากที่ยิ่งใหญ่นี้ทำให้อิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆรู้สึกงุนงง
ครั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าภัยพิบัติจะไม่สร้างปัญหาใดๆ ฟางหยวนจึงนำสมาชิกนิกายเงามาด้วย ไป่หนิงปิงอยู่ที่นี่เช่นกันขณะที่เซี่ยเอ๋อถูกทิ้งไว้ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา
เซี่ยเอ๋อไม่ได้รับความไว้วางใจจากฟางหยวน สำหรับคนอื่นๆ พวกนางเคยเข้าไปในมิติช่องว่างจักรพรรดิมาแล้ว
หากผู้อมตะคนอื่นถูกดึงดูดมาที่นี่และพยายามโจมตีเขา สมาชิกนิกายเงาจะออกมาป้องกันศัตรูเหล่านั้น
นั่นคือภัยพิบัติมนุษย์
เมื่อฟางหยวนเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ เขาจะถูกเฝ้ามองจากเจตจำนงสวรรค์
แน่นอนว่าเจตจำนงสวรรค์จะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดฟางหยวน
“หากไม่ได้เห็นมันกับตาของตนเอง ผู้ใดจะเชื่อว่ามิติช่องว่างของคนผู้หนึ่งจะดูดกลืนปราณสวรรค์พิภพมากมายถึงระดับนี้ในครั้งเดียว!”
“มิติช่องว่างจักรพรรดิ…มันทรงพลังเกินไป ข้าเชื่อว่ากระทั่งผู้อมตะระดับเก้าก็ไม่สามารถสร้างฉากที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้!”
กลุ่มผู้อมตะนิกายเงาพูดคุยและยกย่อง
ไป่หนิงปิงก่นเสียงเย็น สายตาของนางสั่นไหวเล็กน้อย
นางลอบตกใจอยู่ภายในแต่นางกลับกล่าวอีกอย่าง “พวกเจ้าประเมินผู้อมตะระดับเก้าต่ำเกินไป แม้ข้าจะไม่เคยเห็นมิติช่องว่างระดับเก้าดูดซับปราณสวรรค์พิภพ แต่หลังจากได้รับมรดกที่แท้จริงไป่เซียง ข้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับการดูดซับปราณสวรรค์พิภพของเขา มันสามารถสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ได้เช่นกัน”
อิงอู๋เซี่ยมองไป่หนิงปิง “ไป่เซียงเป็นผู้อมตะระดับแปด เขามีถ้ำสวรรค์ระดับแปด แต่ตอนนี้ฟางหยวนยังเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด เขาครอบครองแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดเท่านั้น ทั้งสองไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ ยิ่งไปกว่านั้นมิติช่องว่างจักรพรรดิก็ใหญ่โตเกินไป มีหลายจุดที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา ศักยภาพของมันไม่สามารถจินตนาการถึง ในทางตรงข้าม ถ้ำสวรรค์ไป่เซียงถูกเติมเต็มแล้วในเวลานั้น ทรัพยากรเหล่านั้นต้องใช้ปราณสวรรค์พิภพจำนวนมาก”
ไป่หนิงปิงเงียบ
“อู๋เซี่ยกล่าวได้ถูกต้องแล้ว” เทพธิดาเมี่ยวหยินหัวเราะ
ผู้อมตะคนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากมิติช่องว่างจักรพรรดิดูดซับปราณสวรรค์พิภพเรียบร้อยแล้ว ภัยพิบัติก็เริ่มก่อตัวขึ้นในสวรรค์สีแดงน้อย
ร่างหลักของฟางหยวนอยู่ที่นี่ ดังนั้นภัยพิบัติจึงมุ่งเป้ามาที่เขา
เหตุผลที่เขาเลือกสวรรค์สีแดงน้อยเพราะที่นี่ว่างเปล่า มันไร้ทรัพยากรใดๆ
หากเขาเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่ภาคเหนือน้อยหรือภาคใต้น้อย ภัยพิบัติจะทำลายทรัพยากรของเขา
“มิติช่องว่างจักรพรรดิใหญ่โตเกินไปจริงๆ หากพวกเราพบภัยพิบัติ พวกเราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสูญเสีย แต่ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ ภัยพิบัติไม่สามารถครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของมัน” ไห่ลั่วหลันถอนหายใจกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“นิกายเงาของข้ารวบรวมทรัพยากรมาเป็นเวลานับแสนปีเพื่อหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะ แน่นอนว่ามันย่อมไม่ธรรมดา” อิงอู๋เซี่ยกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“น่าเสียดายที่มันถูกฟางหยวนฉกชิงไปแล้ว” ไป่หนิงปิงเย้ยหยัน นี่ทำให้อิงอู๋เซี่ยมองนางด้วยความโกรธ
“อันใด? ข้ากล่าวสิ่งใดผิดไปงั้นหรือ?” ไป่หนิงปิงมองอิงอู๋เซี่ยอย่างไม่หวาดกลัว
อิงอู๋เซี่ยสูดหายใจลึก เขาหันหน้ากลับไป “มันถูกใช้โดยท่านฟางหยวน ตอนนี้เขาเป็นผู้นำของนิกายเงา เราอยู่บนเรือลำเดียวกัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ไป่หนิงปิงหัวเราะเย้ยหยัน
อิงอู๋เซี่ยเพิกเฉยและมองไปยังภัยพิบัติที่กำลังก่อตัวขึ้น
หมอกพิษหนาทึบห้าสีเริ่มปรากฏขึ้น
“นี่คือภัยพิบัติบนเส้นทางแห่งพิษ” เทพธิดากระต่ายขาวกล่าว
“พิษทั้งห้า!” อิงอู๋เซี่ยมีความรู้มากกว่า
หมอกพิษห้าสีก่อตัวเป็นสัตว์อสูรขนาดใหญ่ห้าตัวได้แก่ อสรพิษ แมงป่อง แมงมุม คางคก และตะขาบ
สัตว์อสูรทั้งห้าปิดล้อมฟางหยวนเอาไว้แต่พวกมันยังไม่โจมตี เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายของพวกมันก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ
“เหตุใดฟางหยวนยังไม่โจมตี?” ไป่หนิงปิงขมวดคิ้ว
ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะโจมตี หากปล่อยเวลาผ่านไป สัตว์อสูรเหล่านี้จะแข็งแกร่งขึ้น
แต่กลยุทธ์ของฟางหยวนแตกต่างจากความคิดของคนทั่วไป
เขารอกระทั่งสัตว์อสูรเหล่านี้เติบโตเต็มที่
ไป่หนิงปิงและคนอื่นๆต้องกลั้นหายใจ ภัยพิบัตินี้รุ่นแรงจนพวกเขารู้สึกตกตะลึง
นี่ไม่ใช่ภัยพิบัติของผู้อมตะระดับเจ็ดทั่วไป แต่มันถูกเสริมความแข็งแกร่งด้วยความต้องการของเจตจำนงสวรรค์
“เพียงเท่านี้?” ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้นขณะที่เขาหายตัวไปจากจุดนั้น
“บึม บึม บึม…”
วินาทีต่อมาเสียงระเบิดก็ดังขึ้น
ดวงตาของไป่หนิงปิงและคนอื่นๆเบิกกว้างขึ้นขณะที่ฟางหยวนอาละวาดอยู่ในสนามรบ สัตว์อสูรทั้งห้าถูกกำหราบโดยฟางหยวนในครั้งเดียว
ไม่นานหมอกพิษก็จางหายไป เหลือเพียงฟางหยวนที่ยืนอยู่ในสนามรบราวกับเทพปีศาจ
เขากวาดตามองไปรอบๆและพึมพำ “ภัยพิบัติระดับเจ็ด…อ่อนแอเกินไป”
บทที่ 1470 ตั้งใจทำธุรกิจ
‘แม้เจตจำนงสวรรค์จะต้องการกำจัดข้าและยกระดับภัยพิบัติสวรรค์จนถึงขีดสุด แต่มันยังไม่สามารถทำสิ่งใด’
ภัยพิบัติไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับฟางหยวนอีกต่อไป
เขาเตรียมตัวมาอย่างเพียงพอและมีไพ่ตายอยู่ในมือมากมาย
อิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆเฝ้ามองการแสดงเดี่ยวของฟางหยวนและจบลงด้วยความตกตะลึงโดยไม่ได้ทำประโยชน์ใด
ผู้อมตะระดับเจ็ดต้องผ่านภัยพิบัติพิภพยี่สิบสี่ครั้ง ภัยพิบัติสวรรค์สามครั้ง และภัยพิบัติใหญ่สามครั้ง
ฟางหยวนรอให้สัตว์อสูรทั้งห้าเติบโตขึ้นจนถึงขีดสุดเพื่อทดสอบขีดจำกัดของภัยพิบัติสวรรค์ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าภัยพิบัติสวรรค์ไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับเขาอีกต่อไป ภัยพิบัติพิภพยิ่งอ่อนแอกว่า มีเพียงภัยพิบัติใหญ่ที่ยังไม่แน่ชัด
การบ่มเพาะระดับเจ็ดของฟางหยวนได้รับมาจากการกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับภัยพิบัติสวรรค์ระดับเจ็ด
ฟางหยวนได้รับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งพิษจำนวนมากจากภัยพิบัติสวรรค์ครั้งนี้
แต่กำไรนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
ประการแรก เขาไม่ได้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งพิษ ระดับความสำเร็จบนเส้นทางแห่งพิษของเขาก็ค่อนข้างต่ำ เขามีวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งพิษเพียงดวงเดียว นั่นคือวิญญาณอมตะหัวใจหญิงงาม
เห็นได้ชัดว่าเจตจำนงสวรรค์จงใจเลือกเส้นทางแห่งพิษเพื่อกีดขวางการเติบโตของฟางหยวน
‘ครั้งต่อไปที่ข้าเผชิญหน้ากับภัยพิบัติสวรรค์ เจตจำนงสวรรค์อาจลดพลังอำนาจของภัยพิบัติลงจนถึงจุดต่ำสุด’
ฟางหยวนสามารถคาดเดาได้โดยไม่ต้องคิดมาก
เมื่อเจตจำนงสวรรค์ตระหนักว่าภัยพิบัติสวรรค์ไม่สามารถกำจัดฟางหยวน มันจะไม่เพิ่มพลังอำนาจของภัยพิบัติสวรรค์อีก เพราะร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจะทำให้ฟางหยวนแข็งแกร่งขึ้น มันไม่มีประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น
‘นี่หมายความว่าข้าจะได้รับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าน้อยมากเมื่อข้าก้าวข้ามภัยพิบัติ การกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะของข้า’ ฟางหยวนตระหนักถึงเรื่องนี้
การกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นข้อได้เปรียบของร่างทารกอมตะ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดและเนื่องจากฟางหยวนกำลังบ่มเพาะอยู่อย่างสันโดษ เขาไม่มีโอกาสทำเช่นนั้น
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาดังกล่าวฟางหยวนก้าวข้ามภัยพิบัติพิภพอีกหนึ่งครั้งและได้รับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าน้อยมาก
แต่ในแง่มุนอื่น ฟางหยวนพัฒนาไปไกลมาก เขามีกำไรมหาศาล
ด้านจิตวิญญาณ รากฐานของเขามาถึงระดับห้าสิบล้านคน
สิ่งสำคัญที่สุดคืออาภรณ์วิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้น
ไห่ลั่วหลันสามารถปรับแต่งดวงดาวได้ตามเป้าหมาย ฟางหยวนสามารถใช้ดวงดาวเหล่านี้ตรวจสอบพื้นที่ต่างๆ
การพัฒนามิติช่องว่างจักรพรรดิขั้นพื้นต้นเสร็จสิ้นลงแล้ว
เขาใช้หินวิญญาณอมตะเกือบทั้งหมดที่มีรวมถึงของขวัญจากเผ่ามนุษย์หิมะ
การพัฒนามิติช่องว่างมีเจ็ดขั้นตอน
ขั้นตอนแรกคือสร้างทรัพยากรระดับมนุษย์
ขั้นตอนที่สองคือสร้างทรัพยากรอมตะเพื่อหล่อเลี้ยงวิญญาณอมตะ
ขั้นตอนที่สามคือการเลี้ยงและผลิตสัตว์อสูรหรือพืชอสูรรวมถึงการสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์
ขั้นตอนที่สี่คือการผลิตทรัพยากรอมตะเพื่อการค้าและทำกำไรจากภายนอก
…..
ฟางหยวนข้ามไปยังขั้นตอนที่สี่แต่เขายังวางขาข้างหนึ่งไว้ในขั้นตอนที่สอง
เมื่อขั้นตอนที่สองสำเร็จ ขาข้างนั้นจะก้าวเข้าสู่ขั้นตอนที่สาม
ขั้นตอนที่สามคือการเลี้ยงและผลิตสัตว์อสูรหรือพืชอสูรรวมถึงการสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์
หลักเกณฑ์ของขั้นตอนนี้คือสัตว์อสูรและพืชอสูรต้องใช้ชีวิตอยู่ในมิติช่องว่างได้อย่างสมบูรณ์ พวกมันต้องสร้างห่วงโซ่อาหารกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในโดยไม่พึ่งพาโลกภายนอก
ฟางหยวนเคยทำมาแล้ว แต่ตอนนี้เขายังไม่ผ่านขั้นตอนนี้
เนื่องจากสัตว์อสูรสองฝูงที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือฝูงอินทรีย์และฝูงอสูรปียังไม่สามารถพึ่งพาเพียงมิติช่องว่างจักรพรรดิ
นกอินทรีย์ต้องล่าเหยื่อด้วยตัวมันเอง แต่ตอนนี้ฟางหยวนยังต้องซื้ออาหารจากนิกายหลางหยาหรือสวรรค์สีเหลืองเพื่อเลี้ยงดูพวกมัน
อสูรปีกินวิญญาณปีเป็นอาหาร ฟางหยวนต้องสร้างวิญญาณปีขึ้นมาด้วยการใช้วิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำ โดยปราศจากความช่วยเหลือจากฟางหยวน พวกมันจะอดอาหาร
‘การพัฒนามิติช่องว่างในขั้นตอนที่สามยังต้องรอไปก่อน’ ฟางหยวนมีเงินทุนไม่เพียงพอที่จะทำเรื่องนี้ เขาต้องข้ามไปขั้นตอนที่สี่เพื่อดูแลสถานะการเงิน
ตอนนี้ฟางหยวนมีแหล่งรายได้เก้าแหล่ง
อันดับแรก วิญญาณความเด็ดเดี่ยว ธุรกิจผูกขาดมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ แต่เขาต้องลงทุนและแบ่งปันรายได้กับนิกายหลางหยา ตอนนี้เขากำลังบ่มเพาะจิตวิญญาณ ดังนั้นกำไรจากธุรกิจนี้จึงเป็นศูนย์
ถัดมาคือวิญญาณปี มันยังสามารถครองตลาด แต่ยอดขายจะลดลงในช่วงสองสามปีข้างหน้า
ธุรกิจวิญญาณปีมีศักยภาพเพราะการคงอยู่ของวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำระดับแปด
ไม่เพียงมันจะใช้งานได้ง่ายแต่การเป็นเจ้าของวิญญาณอมตะดวงนี้หมายความว่าเขาสามารถผลิตวิญญาณปีได้อย่างสม่ำเสมอและมีต้นทุนต่ำ แต่มันก็มีจุดอ่อนเช่นกัน มันจะดึงดูดอสูรปีแรกกำเนิดเข้ามาในมิติช่องว่าง
ไห่ฟานพยายามแก้ปัญหานี้ แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาและไม่ชำนาญเส้นทางสายอื่น หากเขามีท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อยเช่นฟางหยวน เขาจะสามารถแก้ปัญหา
นอกจากนั้นอายุขัยของไห่ฟานยังมีจำกัด เขาตายก่อนที่จะประสบความสำเร็จในการพัมนาค่ายกลวิญญาณตกอสูรปีได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้นเมื่อวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำตกมาอยู่ในมือของฟางหยวน มันจึงสามารถแสดงคุณค่าที่น่าทึ่งออกมา
กล่าวได้ว่านี่เป็นจุดพลิกผันของชีวิตฟางหยวนอย่างแท้จริง
ต่อมาคือธุรกิจปลามังกรและแมงมุมหน้าคน ย้อนกลับไปที่ภาคใต้ ฟางหยวนเคยคิดที่จะใช้ตระกูลวูเพื่อพัฒนาธุรกิจปลามังกร
แต่ตอนนี้ธุรกิจปลามังกรได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากตัวตนของวูอี้ไห่ถูกเปิดเผย ดังนั้นธุรกิจนี้จึงหยุดลงโดยธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ธุรกิจแมงมุมหน้าคนจึงกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของฟางหยวนโดยมีผู้ซื้อหลักคือตระกูลเซียวของทะเลทรายตะวันตก
ธุรกิจถัดไปคืออสรพิษเพลิง ทรัพยากรบนเส้นทางแห่งดวงดาว อสรพิษวิญญาณ อสูรหิมะ และราเรืองแสง
ธุรกิจอสรพิษเพลิงพึ่งเริ่มต้น แม้ฟางหยวนจะใช้วิธีเลี้ยงดูของเผ่าไห่ แต่มันยังด้อยกว่าธุรกิจปลามังกรและแมงมุมหน้าคน
ทรัพยากรบนเส้นทางแห่งดวงดาวเป็นธุรกิจหลักของจักรพรรดิแห่งดวงดาวหว่านเซียง พวกมันเริ่มมีความสำคัญน้อยลงเรื่อยๆเพราะพวกมันมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับหกเท่านั้น
อสรพิษวิญญาณคล้ายกับทรัพยากรบนเส้นทางแห่งดวงดาว มันมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ฮันตง แต่ฟางหยวนไม่มีความตั้งใจที่จะพัฒนาสิ่งนี้
สำหรับอสูรหิมะและราเรืองแสง มันเป็นแผนการในอนาคต ผนึกแก่นแท้น้ำแข็งกำลังเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของภาคเหนือน้อย ขณะที่ราเรืองแสงยังไม่สามารถขายในช่วงเวลานี้
โดยสรุป สถานการณ์ทางธุรกิจของฟางหยวนไม่ดีนัก
ธุรกิจวิญญาณความเด็ดเดี่ยวไม่ทำกำไร ปลามังกรได้รับผลกระทบอย่างหนัก แมงมุมหน้าเหมือนเดิมแต่มันยังไม่สามารถรองรับความต้องการของฟางหยวน อสรพิษเพลิง ทรัพยากรบนเส้นทางแห่งดวงดาว และอสรพิษวิญญาณ พวกมันมีค่าน้อยเกินไป
ธุรกิจอสูรหิมะและราเรืองแสงยังอยู่ในขั้นตอนการลงทุน พวกมันยังไม่สามารถขายออก
กำไรจากธุรกิจวิญญาณปีลดลง ในสถานการณ์นี้ฟางหยวนต้องทำธุรกิจอื่นอย่างเร่งด่วน
เขามีทรัพยากรมากมาย แม้เขาจะเสร็จสิ้นขั้นตอนพื้นฐานในการพัฒนามิติช่องว่าง แต่เปรียบเทียบกับพื้นที่ทั้งหมดของมิติช่องว่างจักรพรรดิ มันพึ่งเพิ่มจากสามส่วนเป็นสี่ส่วนร้อยเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนามิติช่องว่าง การดัดแปลงท่าไม้ตายอมตะ หรือการบ่มเพาะจิตวิญญาณ ทุกกิจกรรมล้วนมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
เพื่อปรับปรุงสถานะทางการเงิน เขาต้องลงทุน ยิ่งเขาลงทุนมากเท่าใด โอกาสเติบโตก็จะมากเท่านั้น
ฟางหยวนมีมรดกมากมาย เขามีวิธีการบ่มเพาะนับไม่ถ้วน อาจกล่าวได้ว่าเขามีตัวเลือกมากเกินไป
ท่ามกลางพวกมัน ตัวเลือกใดที่เหมาะสมและสามารถทำประโยชน์ให้เขาได้มากที่สุด
ฟางหยวนต้องไตร่ตรองอย่างหนัก
บทที่ 1471 แยกวิญญาณ
แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ในห้องลับของเมืองเมฆา
ดวงวิญญาณของฟางหยวนออกจากร่าง
หลังจากทำงานหนัก ตอนนี้รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเขาอยู่ในระดับเจ็ดสิบล้านคน
‘อีกสามสิบล้านจะถึงระดับหนึ่งร้อยล้าน’ ฟางหยวนคิด
ดวงวิญญาณของเขาดูแข็งแกร่งและบริสุทธิ์มาก
อาภรณ์วิญญาณของเขาพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มันดูเหมือนชุดเกราะที่ใช้ในการต่อสู้ นี่คือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของอาภรณ์วิญญาณระดับเจ็ด!
ก่อนหน้านี้มันได้รับผลกระทบจากผนึกภูตผีทำให้มันอ่อนแอลงและกลายเป็นอาภรณ์วิญญาณระดับหก
แต่หลังจากรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของฟางหยวนยกระดับขึ้น อาภรณ์วิญญาณจึงกลับสู่ระดับเจ็ด
‘แต่มันยังห่างไกลจากอาภรณ์วิญญาณที่แท้จริง’ ฟางหยวนตรวจสอบและตระหนักถึงเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามเป้าหมายในการฝึกฝนของฟางหยวนในวันนี้ไม่ใช่การบ่มเพาะและตรวจสอบรากฐานบนเส้นทางจิตวิญญาณเท่านั้น
เขาเริ่มใช้ท่าไม้ตายอมตะ
แยกวิญญาณ!
นี่เป็นท่าไม้ตายจากมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณ หลังจากดัดแปลง ฟางหยวนสามารถใช้งานมัน
ความเจ็บปวดพุ่งเข้าโจมตีดวงวิญญาณของฟางหยวน
ล้มเหลว!
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส!
แต่เขายังกัดฟันอดทนและนำดวงวิญญาณกลับเข้าสู่ร่างกาย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทดลองใช้ท่าไม้ตายนี้
แยกวิญญาณแตกต่างจากท่าไม้ตายอมตะทั่วไป ผู้ใช้งานต้องนำดวงวิญญาณออกจากร่างและทิ้งเจตจำนงเอาไว้เบื้องหลังเพื่อกระตุ้นใช้งานวิญญาณต่างๆ มันยากกว่าท่าไม้ตายอมตะทั่วไป
ฟางหยวนใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวรักษาตัวเองอย่างเงียบๆ
หากการแยกวิญญาณประสบความสำเร็จ เขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ มันจะง่ายเหมือนการดื่มน้ำ แต่ในกรณีที่ล้มเหลว ผลที่ตามมาจะรุนแรงมาก ดวงวิญญาณของเขาอาจแตกสลายไปทันที ดังนั้นผู้ใช้งานจึงต้องมีรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง
ตอนนี้ฟางหยวนคุ้นเคยกับท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มดัดแปลงท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณและฝึกฝนมัน
นอกจากท่าไม้ตายอมตะแยกวิญญาณ ยังมีท่าไม้ตายอมตะปราบปรามวิญญาณ เสียงกรีดร้องของวิญญาณ ระเบิดวิญญาณ กลืนกินวิญญาณ สลับวิญญาณ อัญเชิญอสูรวิญญาณ และอื่นๆ
สิ่งที่ตัดสินพลังการต่อสู้ของฟางหยวนคือเกราะหวนคืน สำหรับท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ เส้นทางแห่งดาบ หรือเส้นทางแห่งปัญญา พวกมันมีไว้เพื่อตอบสนองสถานการณ์ที่หลากหลายเท่านั้น
การดัดแปลงและฝึกฝนท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณใช้เวลาและพลังงานของฟางหยวนไปมาก
ด้านการพัฒนามิติช่องว่าง ฟางหยวนตัดสินใจแล้ว
เขาเลือกปลามังกร
ประการแรก เขามีรากฐานในธุรกิจปลามังกรและในช่วงเวลานี้เขาสามารถเพาะเลี้ยงปลามังกรจำนวนมาก
ประการที่สอง ฟางหยวนมีประสบการณ์ในธุรกิจนี้ มันไม่เหมือนกับธุรกิจวิญญาณปีที่เขาเป็นมือใหม่
ประการสุดท้าย ปลามังกรเป็นสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงและเส้นทางอาหาร ตามข่าวลือปลามังกรถูกสร้างขึ้นโดยผู้อมตะบนเส้นทางอาหาร
ฟางหยวนมีมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางอาหารอยู่ในการครอบครอง เขามีหลายวิธีในการเพาะพันธุ์ปลามังกร
ฟางหยวนขยายอาณาเขตของทะเลเกล็ดมังกรออกไปและปรับปรุงค่ายกลวิญญาณของมันอีกครั้ง
ค่ายกลวิญญาณใหม่ใช้วิญญาณอมตะอาหารว่างระดับหก วิญญาณอมตะเกล็ดมังกรระดับเจ็ด วิญญาณอมตะลมหายใจมังกรระดับเจ็ด และวิญญาณอมตะความแข็งแกร่งของมังกรระดับหกเป็นแกนกลาง นอกจากนั้นยังมีวิญญาณระดับมนุษย์อีกหนึ่งแสนสามหมื่นดวงเป็นส่วนสนับสนุน
ฟางหยวนใช้เวลาสามวันสามคืนอนุมานค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่โดยไม่หยุดพักและใช้เวลาอีกสิบสองวันในการจัดตั้ง
ครึ่งเดือนต่อมาฟางหยวนประสบความสำเร็จในการยกระดับแหล่งทรัพยากรปลามังกร
ด้วยวิธีนี้ ปลามังกรจะขยายพันธุ์เร็วขึ้น และด้วยเวลาของมิติช่องว่างจักรพรรดิ การขยายพันธุ์พวกมันจะยิ่งรวดเร็วมากขึ้นไปอีก
ฟางหยวนเริ่มหาลูกค้าสำหรับธุรกิจปลามังกร
นิกายหลางหยารับซื้ออย่างง่ายดาย เผ่ามนุษย์หิมะก็ตกลงซื้อปลามังกรของฟางหยวนเป็นระยะ
ตระกูลเซียวของทะเลทรายตะวันตกกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ของธุรกิจปลามังกรเนื่องจากสายสัมพันธุ์เกี่ยวกับแมงมุมหน้าคน
สำหรับเผ่าชูของภาคเหนือ ชูตู๋เจรจากับฟางหยวนเพื่อสร้างข้อตกลงคู่ค้ามากกว่าสิบปี
การเริ่มต้นดำเนินไปได้ด้วยดี แต่หลังจากนี้คือส่วนสำคัญ
ฟางหยวนวางขายปลามังกรในสวรรค์สีเหลือง
เขาส่งเจตจำนงเข้าไปและเปลี่ยนอัตลักษณ์
กลยุทธ์ของฟางหยวนในครั้งนี้แตกต่างจากกลยุทธ์ในธุรกิจวิญญาณปี
ฟางหยวนมีข้อได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ในธุรกิจวิญญาณปี เขาสามารถโจมตีคู่ต่อสู้ได้อย่างดุร้ายและทำลายอุปสวรรค์ทั้งหมด
แต่ในแง่ของธุรกิจปลามังกร ฟางหยวนมีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูพวกมันและนั่นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ดังนั้นคราวนี้เขาจึงต้องใช้วิธีแบบค่อยเป็นค่อยไป
เกิดความโกลาหลขึ้นเล็กน้อย
ฟางหยวนฝึกฝนและเฝ้ามองตลาดอยู่อย่างเงียบๆ
ทะเลตะวันออก
ผู้อมตะโหยว่ชานจับปลามังกรขึ้นมาและสังเกตมัน
นางขมวดคิ้วและแสดงออกด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม
นางตรวจสอบปลามังกรอย่างระมัดระวังหลายครั้งก่อนที่นางจะเก็บมันไว้ในมิติช่องว่างและถอนหายใจเบาๆ
“คนผู้นี้มาจากที่ใด? ปลามังกรของเขาโดดเด่นมาก นอกจากนั้นเขายังมีสินค้าจำนวนมาก”
โหยว่ชานเป็นผู้ขายอันดับหนึ่งในธุรกิจปลามังกรของสวรรค์สีเหลือง
ธุรกิจวิญญาณปีมีผู้ขายรายใหม่สามราย แต่ธุรกิจปลามังกรมีโหยว่ชานเพียงผู้เดียว นางเป็นอันดับหนึ่งมานานหลายทศวรรษ
ด้านหนึ่ง นางเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งวารี นางมีความได้เปรียบในการเพาะเลี้ยงปลามังกร อีกด้านหนึ่ง นางครอบครองทะเลปลามังกรที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ตามธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของทะเลตะวันออก
นางมีปลามังกรอยู่ในคลังสินค้าเป็นจำนวนมาก
นอกเหนือจากปัจจัยเหล่านี้ โหยว่ชานยังเป็นคนระวังตัวและมีเครือข่ายมากมาย นางสามารถมองผู้คนได้อย่างเฉียบขาดและมีประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลม
โหยว่ชานมีคุณสมบัติที่จะครอบครองธุรกิจปลามังกร
เมื่อฟางหยวนเพิ่มจำนวนปลามังกรในสวรรค์สีเหลือง โหยว่ชานสัมผัสได้ทันที
นางซื้อปลามังกรมาจากฟางหยวนและตรวจสอบมัน สุดท้ายจึงตระหนักว่าฟางหยวนเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว
โหยว่ชานให้ความสนใจเป็นอย่างมากและพยายามตรวจสอบภูมิหลังของฟางหยวน
รู้เขารู้เราจะไม่มีวันพ่ายแพ้
นางพยายามปลอมตัวเป็นผู้ซื้อเพื่อตรวจสอบข้อมูลของเขา แต่ฟางหยวนไม่เปิดเผยข้อบกพร่องใดๆ แม้โหยว่ชานจะแสดงเจตจำนงที่จะสื่อสารกับฟางหยวนเป็นการส่วนตัว แต่ฟางหยวนไม่ตอบรับ
หลังจากผ่านไปหลายวัน โหยว่ชานรู้สึกกดดันมากขึ้น นางพบว่าฟางหยวนนำสินค้าออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
ในตลาดสวรรค์สีเหลือง มีผู้อมตะจำนวนมากสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน
แม้ฟางหยวนจะไม่สร้างความโกลาหล แต่โหยว่ชานยังรู้สึกกดดัน
“ข้าไม่สามารถให้สิ่งนี้ดำเนินต่อไป” โหยว่ชานไม่สามารถอดทน นางออกจากทะเลปลามังกรทันที
นางไม่ได้บินแต่นางว่ายน้ำ หลังจากเดินทางไปหลายร้อยลี้ นางพบคลื่นใต้น้ำ
โหยว่ชานดำลงไปใต้น้ำและใช้ปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้เพื่อเร่งความเร็วในการเดินทาง
นี่คือลักษณะพิเศษของทะเลตะวันออกที่อีกสี่ภูมิภาคไม่มี
บทที่ 1472 งานหมั้นของฟางหยวน
โหยว่ชานเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งวารี นางใช้คลื่นใต้น้ำในการเดินทาง วิธีนี้รวดเร็วกว่าการบินของผู้อมตะทั่วไป
หลายวันผ่านไป นางไปถึงอาณาเขตของตระกูลหนานกง
ตระกูลหนานกงเป็นกองกำลังฝ่ายธรรมะของทะเลตะวันออก หลังจากมาถึง โหยว่ชานหยุดอยู่ที่เกาะนิรนามแห่งหนึ่ง
นางมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ นางใช้วิธีบนเส้นทางแห่งข้อมูลเพื่อแจ้งพวกเขาล่วงหน้าแล้ว
ผู้อมตะตระกูลหนานกงกำลังรอนางอยู่
“เทพธิดาโหยว่ชาน ท่านอาจารย์ฮัวส่งข้ามาที่นี่เพื่อต้อนรับท่าน ตอนนี้ท่านรออยู่ที่วังฮัวเฉียวแล้ว” ผู้อมตะตระกูลหนานกงกล่าวอย่างสุภาพ เขาไม่ได้แสดงความยโสของกองกำลังใหญ่ออกมาแม้แต่น้อย
ด้านหนึ่ง เขาเป็นเพียงผู้อมตะระดับหกขณะที่โหยว่ชานเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด อีกด้านหนึ่ง แม้โหยว่ชานจะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ แต่นางมีเครือขายมากมาย นางยังเป็นหนึ่งในหกเทพธิดาที่งดงามที่สุดของทะเลตะวันออก ผู้อมตะตระกูลหนานหงต้องให้เกียรตินาง
“ขอบคุณมาก” โหยว่ชานเผยรอยยิ้มบางและทำให้หัวใจของผู้อมตะตระกูลหนานหงเต้นเร็วขึ้น
“เทพธิดาโปรดตามข้ามา” ผู้อมตะตระกูลหนานกงสงบจิตใจลงและเริ่มนำทาง
โหยว่ชานตามคนผู้นี้ไปใต้ทะเล หลังจากผ่านกระแสน้ำหลายกระแส โหยว่ชานก็พบกับคฤหาสน์วิญญาณอมตะที่อยู่ใต้ทะเล
มันเป็นศาลาที่มีโต๊ะหินและเก้าอี้อยู่ภายใน
ผู้อมตะผู้หนึ่งกำลังชงชาอยู่ที่นั่น
โหยว่ชานติดตามผู้อมตะตระกูลหนานกงเข้าไปในศาลา
ชายที่อยู่ภายในกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เทพธิดาโหยว่ชาน เจ้ามาจากแดนไกล ขอโทษที่ข้าไม่สามารถออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง”
โหยว่ชานยิ้ม “ฮัวอัน เจ้าเป็นหนึ่งในสามผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของทะเลตะวันออก ข้าจะทำสิ่งใดได้กับความเย่อหยิ่งของเจ้า”
โหยว่ชานและฮัวอันเป็นสหายที่ดีต่อกัน พวกเขาเพียงหยอกล้อกันเท่านั้น
ฮัวอันเคยเป็นสมาชิกตระกูลฮวา แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เขาต้องออกจากตระกูล ขณะหลบหนี เขาได้รับความช่วยเหลือจากโหยว่ชาน ดังนั้นทั้งสองจึงกลายเป็นสหายที่ดีต่อกัน
หลังจากนั้นฮัวอันก็เข้าร่วมกับตระกูลหนานกงและกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงบนเส้นทางแห่งปัญญาของทะเลตะวันออก
มีคำกล่าวที่ว่า เจียตันนั่งอยู่บนหน้าผา ฮัวอันซ่อนตัวอยู่ในหนานกง เต่ามังกรอาศัยอยู่ในทะเลแห่งภัยพิบัติ
ทั้งสามเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของทะเลตะวันออก
ฮัวอันเป็นหนึ่งในนั้น
แม้ฮัวอันจะอยู่ในตระกูลหนานกง แต่เขาถูกตระกูลฮัวคุกคามมาตลอด เขาพบกับความพยายามในการลอบสังหารมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงอยู่ในฐานทัพใหญ่ของตระกูลหนานกงตลอดเวลาและไม่ค่อยออกไปที่ใด ตอนนี้เขาเสี่ยงออกมาพบโหยว่ชาน นี่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของเขา
โหยว่ชานเข้าใจสถานการณ์ของฮัวอัน นางพอใจมากที่ได้พบเขาและกระทั่งรู้สึกสนุกสนานเล็กน้อย
ฮัวอันหัวเราะ “เทพธิดาเชิญนั่ง”
โหยว่ชานนั่งลงและดื่มชาก่อนจะถอนหายใจ “ชาดี แต่ใจของข้าเต็มไปด้วยความกังวล ข้าไม่สามารถดื่มด่ำกับรสชาติของมันได้อย่างเต็มที่”
ฮัวอันพยักหน้า “บอกรายละเอียดกับข้า ข้าจะพยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อช่วยเจ้าแก้ไขปัญหา”
โหยว่ชานกำลังดื่มชาขณะที่ฟางหยวนดื่มสุรา
เขาไม่ได้ดื่มสุราทั่วไปแต่เป็นสุราหมั้น
สุราหมั้นไม่ใช่ของผู้ใดแต่เป็นของเขาเอง!
“ขอแสดงความยินดีกับท่านฟางหยวนและเทพธิดาเซี่ยเอ๋อ มันวิเศษมากที่ทั้งคู่สามารถรวมเป็นหนึ่ง ฮ่าฮ่าฮ่า” ปิงเจาหัวเราะเสียงดังและยกถ้วยสุราขึ้น
ฟางหยวนยกถ้วยสุราตอบและมองไปรอบๆ
ห้องโถงเต็มไปด้วยผู้อมตะ
ส่วนใหญ่เป็นผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ มีมนุษย์หิมะ มนุษย์ขน และมนุษย์หิน นอกจากนั้นยังมีสมาชิกนิกายเงารวมถึงไป่หนิงปิง
ฟางหยวนมีพลังการต่อสู้ระดับแปด นี่เป็นงานหมั้นของเขา เขามีสถานะพิเศษในพันธมิตรมนุษย์กลายพันธุ์ของภาคเหนือ ดังนั้นผู้อมตะเกือบทั้งหมดจึงเข้าร่วม
ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะตะโกนเสียงดังอย่างมีความสุขขณะที่ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หินมีทางทีแข็งกร้าว
งานหมั้นในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ดีต่อเผ่ามนุษย์หิมะ แต่สำหรับเผ่ามนุษย์หิน การได้เห็นเพื่อนบ้านได้รับพลังการต่อสู้ระดับแปดเป็นฝันร้ายของพวกเขา
“ผู้อาวุโสปิงหยวน ท่านทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์จริงๆ น่าประทับใจ น่าประทับใจ” ในงานเลี้ยง ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่ามนุษย์หินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมกับปิงหยวน
ปิงหยวนเป็นย่าของเซี่ยเอ๋อ นางเป็นผู้ริเริ่มและวางแผนเรื่องการแต่งงานกับฟางหยวน ตอนนี้พวกเขากำลังเห็นผลลัพธ์บางอย่าง
“นี่เป็นพรของหลานสาวของข้า เห้อ…กล่าวตามตรง เผ่าของเรายังไม่คู่ควร” ปิงหยวนคิดถึงการสนทนาระหว่างนางกับฟางหยวนและเริ่มสงสัยในเรื่องทั้งหมด
แต่ภายนอก ปิงหยวนไม่สามารถแสดงอารมณ์ใดๆออกมา นางต้องยิ้มและสร้างบรรยากาศที่ดี
ทะเลตะวันออก
ฮัวอันกล่าวด้วยความละอายใจ “เทพธิดา ข้าทำให้ผิดหวังแล้ว ข้าไม่สามารถอนุมานภูมิหลังของคนผู้นี้ได้เลย”
“แม้แต่เจ้าก็ทำไม่ได้งั้นหรือ?” โหยว่ชานรู้สึกประหลาดใจมาก
ฮัวอันแสดงออกอย่างเคร่งขรึม “ประการแรก เพียงเงื่อนงำของปลามังกร มันยากที่จะสรุป ประการที่สอง คนผู้นี้มีท่าไม้ตายที่สามารถป้องกันการอนุมานบนแห่งทางเส้นปัญญา”
ได้ยินเรื่องนี้ โหยว่ชานยิ่งตื่นตัวมากขึ้น อีกฝ่ายสามารถป้องกันการอนุมาน แต่นางไม่สามารถ
ศัตรูมีแต่นางไม่มี เขาหรือกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเขาเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดมันก็แสดงให้เห็นว่าศัตรูแข็งแกร่ง
“อย่าบอกว่าความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาของฝ่ายนั้นยิ่งใหญ่กว่าเจ้า? เจ้าเป็นหนึ่งในสามผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของทะเลตะวันออก แล้วเจ้าจะไม่สามารถอนุมานสิ่งใดเลยงั้นหรือ?” โหยว่ชานไม่เต็มใจยอมแพ้
“เทพธิดาเข้าใจผิดแล้ว วิถีบนเส้นทางแห่งปัญญาแตกต่างจากเส้นทางแห่งวารี เหตุการณ์นี้เหมือนฝ่ายตรงข้ามได้สร้างเขื่อนไว้ในส่วนที่แคบที่สุดของแม่น้ำ แม้แม่น้ำจะกว้างเพียงใด ด้านหลังเขื่อนนี้ แม่น้ำก็จะตื้นและเคลื่อนที่ช้าลง ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาสามารถสร้างคลื่นใหญ่ในน้ำลึก แต่ด้านหลังเขื่อนแห่งนี้ เราไม่สามารถทำสิ่งใด ความพยายามทั้งหมดไม่คุ้มกับผลลัพธ์” ฮัวอันอธิบายอย่างอดทน
“ไม่เพียงข้าแต่ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาคนอื่นๆก็จะไม่ประสบความสำเร็จในการอนุมาน เว้นเพียงพวกเขาจะทำลายการป้องกันนี้ หากมันเป็นเพียงการป้องกันระดับหก นั่นอาจไม่ใช่ปัญหา”
โหยว่ชานรู้สึกลำบากใจ นางไม่มีความรู้บนเส้นทางแห่งปัญญา ในความเป็นจริงไม่เพียงนางแต่ผู้อมตะส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางแห่งปัญญา
ด้านหนึ่ง ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาหาได้ยาก อีกด้านหนึ่ง ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเส้นทางแห่งปัญญาก็ไม่ต้องการบอกให้โลกรับรู้ถึงรายละเอียดหรือมรดกของพวกเขา
เดิมทีโหยว่ชานคิดว่าด้วยความช่วยเหลือของฮัวอัน นางจะได้รับข้อมูลของฟางหยวน แต่มันกลายเป็นความล้มเหลว
ยิ่งเหตุการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ โหยว่ชานยิ่งไม่อยากยอมแพ้
ฮัวอันเข้าใจบุคลิกของนาง
โหยว่ชานไม่ได้เป็นเพียงหญิงงาม แต่นางยังเป็นคนดื้อรั้น ความสำเร็จทั้งหมดในปัจจุบันของนางก็เกิดจากการทำงานหนักทั้งสิ้น
ฮัวอันแนะนำ “เราควรตรวจสอบเพิ่ม ตราบเท่าที่เรามีข้อมูลและเบาะแสมากขึ้น ข้าจะมีโอกาสทำลายการป้องกันของเขาได้มากขึ้น แม้มันจะเป็นเบาะแสเล็กๆ แต่หากเราสามารถรวบรวมได้มากขึ้น เราจะประสบความสำเร็จในที่สุด”
โหยว่ชานพยักหน้า “โปรดรอสักครู่”
นางส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในสวรรค์สีเหลืองและมองหาเจตจำนงของฟางหยวน
การตรวจสอบก่อนหน้านี้ของนางไม่ประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้นางยังต้องการทดลองอีกครั้ง
‘โหยว่ชาน หยุดทดสอบข้า ข้าสนใจธุรกิจปลามังกร หรือกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้น ข้าต้องการมีส่วนร่วมในธุรกิจนี้” เจตจำนงของฟางหยวนกล่าวกับโหยว่ชานทันที
โหยว่ชานตะลึง!
การแสดงออกของนางเปลี่ยนไป สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนางกลับร่างและแจ้งฮัวอัน
การแสดงออกของฮัวอันเปลี่ยนไปเช่นกัน “นี่…ข้าเกรงว่าเขาจะมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่!”
“ธุรกิจปลามังกรของข้าเป็นอันดับหนึ่ง แล้วคนที่ต้องการแข่งขันกับข้าจะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไร?” โหยว่ชานกลอกตา
ฮัวอันส่ายศีระและแสดงออกอย่างเคร่งขรึม “ข้ากำลังกล่าวถึงความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาของเขา เขาสังเกตเห็นการอนุมานนี้ของข้าและได้อนุมานกลับ นั่นคือวิธีที่เขาค้นพบตัวตนของเจ้า ข้าระวังตัวมากแล้ว แต่เขายังสามารถอนุมานตัวตนของเจ้าได้ด้วยข้อมูลที่จำกัด ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาของเขาย่อมไม่ด้อยกว่าข้า ในความเป็นจริง…มันอาจสูงกว่าข้า!”
“เป็นเช่นนั้น!” โหยว่ชานตกใจอีกครั้ง
นางไม่ได้คาดหวังว่าหลังจากขอความช่วยเหลือจากฮัวอัน ไม่เพียงนางจะล้มเหลวแต่มันยังเป็นการเปิดเผยตัวตนของนางอีกด้วย
บทที่ 1473 กายาหมื่นทองคำ
งานเลี้ยงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่งานหมั้นครั้งนี้จะส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างใหญ่หลวง
ด้วยทักษะการเข้าสังคมของฟางหยวน มันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ใกล้ชิดมากขึ้น
สถานะเดิมของฟางหยวนค่อนข้างน่าอึดอัดใจ
เขาเป็นมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางมนุษย์กลายพันธุ์ เป็นธรรมชาติที่มนุษย์กลายพันธุ์จะรู้สึกสงสัยในตัวเขา
แต่เมื่อฟางหยวนหมั้นกับเซี่ยเอ๋อ ความรู้สึกของทุกคนจึงต่างไปจากเดิม
‘แน่นอนว่าเหตุผลที่แท้จริงคือพลังการต่อสู้ระดับแปดของข้า’ ฟางหยวนเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน
ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งของโลกใบนี้ ตราบเท่าที่มีความแข็งแกร่ง พวกเขาจะสามารถก้าวข้ามอุปสรรค
‘หากโหยว่ชานรู้ว่าข้ามีพลังการต่อสู้ระดับแปด นางจะถอยออกไปหรือไม่?’ ฟางหยวนคิด
ธุรกิจปลามังกรยังอยู่ในความสนใจของฟางหยวน
หากโหยว่ชานถอยออกไป มันจะสมบูรณ์แบบสำหรับเขา แต่น่าเสียดายที่โหยว่ชานไม่ทำเช่นนั้น
ฟางหยวนลอบส่ายศีรษะอย่างลับๆ
โหยว่ชานเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดในธุรกิจปลามังกร มันยากที่นางจะแบ่งปันผลประโยชน์ให้ผู้อื่น ในสวรรค์สีเหลือง กระทั่งผู้อมตะระดับหกยังกล้าที่จะแข่งขันกับผู้อมตะระดับแปดหรือยั่วยุพวกเขาอย่างเปิดเผย
หลังจากทั้งหมดสวรรค์สีเหลืองเป็นสถานที่ที่แม้แต่วังสวรรค์ยังไม่สามารถควบคุม
‘โหยว่ชาน หญิงงามของทะเลตะวันออก กายาหมื่นทองคำ…’ ฟางหยวนสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้คนแต่ในใจกลับลอบคิด
คนอื่นอาจไม่รู้ความลับของโหยว่ชาน แต่หลังจากได้รับมรดกของนิกายเงา ฟางหยวนได้เรียนรู้รายละเอียดสำคัญมากมาย หนึ่งในนั้นกล่าวว่าโหยว่ชานมีหนึ่งในสิบสุดยอดกายา กายาหมื่นทองคำ
นี่คือความลับที่ยิ่งใหญ่ของโหยว่ชาน นางซ่อนมันไว้เป็นอย่างดี แต่นิกายเงามีวิธีเฉพาะในการค้นหาร่างสุดยอดกายา
เพื่อหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะ นิกายเงาจำเป็นต้องรวบรวมร่างสิบสุดยอดกายา พวกเขาค้นพบความลับของโหยว่ชานระหว่างกระบวนการนี้
แต่ในเวลานั้นนิกายเงามีสุดยอดกายาหมื่นทองคำอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจโหยว่ชาน
เหตุผลที่โหยว่ชานบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งวารีเพราะนางได้รับมรดกบนเส้นทางแห่งวารีมาโดยบังเอิญ นางเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ นางไม่มีทางเลือกอื่น หลังจากบ่มเพาะบนเส้นทางสายนี้ มันก็ยากที่จะเปลี่ยนเส้นทางในภายหลัง
ฟางหยวนตระหนักว่าโหยว่ชานพยายามตรวจสอบเขา เขารู้ว่านางเป็นคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในธุรกิจปลามังกร ในทางกลับกัน ฟางหยวนมีอาภรณ์วิญญาณรวมถึงท่าไม้ตายของราชันภูเขาม่วงและมรดกมากมาย
สำหรับสุดยอดกายาหมื่นทองคำ มันถูกกล่าวถึงในตำนานมนุษย์คนแรก
ตำนานกล่าว่ามนุษย์จิ๋วเอาชนะเสิ้นไห่หลุนฮุ้ยและออกจากเหวธรรมดา
เมื่อมนุษย์คนแรกเห็นมนุษย์จิ๋ว เขาถอนหายใจ หากเขามีวิญญาณความพยายาม เขาจะสามารถเอาชนะแม่น้ำหวนคืนและไม่ต้องพบกับเรื่องที่ยุ่งยากเช่นนี้
มนุษย์คนแรกต้องการช่วยลูกๆของเขา แต่จนถึงตอนนี้เขายังไม่ประสบความสำเร็จแม้แต่เรื่องเดียว
มนุษย์คนแรกเห็นว่ามนุษย์จิ๋วมีวิญญาณความพยายาม เขากล่าวกับมนุษย์จิ๋วด้วยความคาดหวัง “โอ้ มนุษย์จิ๋ว ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”
มนุษย์จิ๋วถาม “มนุษย์ เจ้าต้องการให้ข้าช่วยสิ่งใด?”
มนุษย์คนแรกบอกมนุษย์จิ๋วว่าเขาต้องการยืมและใช้วิญญาณความพยายาม
มนุษย์จิ๋วกล่าว “โอ้ มนุษย์ เหตุผลที่ข้าสามารถออกจากเหวธรรมดาเพราะข้าใช้ต้นไม้ที่เจ้าปลูก ข้าโค่นต้นไม้เหล่านั้นและใช้มันสร้างบันได ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้า”
มนุษย์จิ๋วให้มนุษย์คนแรกยืมวิญญาณความพยายาม
แต่หลังจากมนุษย์ได้รับวิญญาณความพยายาม เขาตระหนักว่าเขาไม่สามารถใช้งานมันได้
“นี่คือวิญญาณความพยายามของมนุษย์จิ๋ว มันไม่ใช่ของเจ้า” วิญญาณความเข้าใจปรากฏตัวขึ้นและบอกข้อเท็จจริงนี้แก่มนุษย์คนแรก
มนุษย์คนแรกรู้สึกเจ็บปวดและถอนหายใจ
เขาถามวิญญาณความเข้าใจ “แล้วข้าควรทำอย่างไร? ข้ารู้ว่าวิญญาณความพยายามสามารถช่วยข้า แต่ข้าไม่สามารถใช้งานมัน ข้ารู้ว่ามนุษย์วิหคสามารถช่วยข้า แต่ความรักไม่สามารถควบคุมพวกเขา”
วิญญาณความเข้าใจกล่าว “ไม่มีผู้ใดสามารถบังคับให้ผู้อื่นรักตนเอง แต่เจ้าสามารถสร้างวิญญาณดวงหนึ่งเพื่อล่อลวงให้มนุษย์วิหคช่วยเหลือเจ้า ลองคิดดู มนุษย์จิ๋วได้รับวิญญาณความพยายามมาได้อย่างไร?”
คำกล่าวของวิญญาณความเข้าใจสร้างแรงบันดาลใจให้กับมนุษย์คนแรก
มนุษย์คนแรกดีใจมาก “โอ้ วิญญาณความเข้าใจ ขอบคุณสำหรับความคิดที่ดี ข้ารู้แล้วว่าต้องทำสิ่งใด ข้าต้องสร้างวิญญาณของตนเอง”
วิญญาณความเข้าใจถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เจ้าหมายถึงวิญญาณดวงใด?”
มนุษย์คนแรกส่ายศีรษะ “ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้ามีความคิด ข้าต้องการสร้างวิญญาณที่ทุกคนบนโลกใบนี้ต้องการ”
ดังนั้นมนุษย์คนแรกจึงไปยังทะเลสาบสีฟ้า ทะเลสาบแห่งชีวิต
มันคือต้นกำเนิดของทุกชีวิตบนโลกใบนี้
มนุษย์คนแรกตักน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหายแต่มันกลับทำให้เขากระหายน้ำมากขึ้น “ข้าต้องการใช้น้ำจากทะเลสาบแห่งชีวิตเพื่อหลอมรวมวิญญาณ เมื่อข้าประสบความสำเร็จ ทุกคนจะไม่มีวันพอใจและจะต้องการมันมากขึ้นเรื่อยๆ”
ดังนั้นมนุษย์คนแรกจึงนำน้ำจากทะเลสาบแห่งชีวิตออกไปเป็นจำนวนมาก
หลังจากระดับน้ำลดลง มนุษย์คนแรกพบว่ามีวิญญาณที่มีรูปลักษณ์เหมือนหอยเม่นจำนวนมากอยู่ที่นั่น
มันไม่ใช่วิญญาณแห่งชีวิตแต่เป็นวิญญาณความยากลำบาก
ทุกชีวิตต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก
ดวงตาของมนุษย์คนแรกส่องประกายขึ้น “ข้าต้องการหลอมรวมวิญญาณที่ทุกคนต้องการ แต่เพื่อให้ได้รับมัน ข้าต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก”
ดังนั้นเขาจึงเก็บวิญญาณความยากลำบากจำนวนมากเอาไว้
จากนั้นมนุษย์คนแรกก็มุ่งหน้าไปยังประตูแห่งชีวิตและความตาย
เขาไม่ได้เข้าไปในส่วนลึกของประตูแห่งชีวิตและความตาย เขาเดินอยู่รอบๆเพื่อเก็บเกี่ยววิญญาณความกังวล “ข้าต้องการหลอมรวมวิญญาณที่หลังจากได้รับมันแล้วผู้คนจะกังวลว่ามันจะหายไป”
เขากลับออกมาและพบกับวิญญาณความโศกเศร้า
มนุษย์คนแรกหัวเราะอย่างมีความสุข “ยอดเยี่ยม ข้าต้องการหลอมรวมวิญญาณที่เมื่อผู้คนสูญเสียมัน พวกเขาจะโศกเศร้า ด้วยวิธีนี้ผู้คนจะไม่สามารถละทิ้งมันไปโดยง่าย”
หลังจากรวบรวมทุกสิ่ง เขาเริ่มหลอมรวมวิญญาณ
เปลวไฟลุกไหม้ขึ้น ควันสีดำดึงดูดวิญญาณและสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนให้เข้ามา
“โอ้ มนุษย์ เจ้าพยายามหลอมรวมสิ่งใด?” วิญญาณความโง่เขลาที่ถูกล่อลวงเข้ามาถามด้วยความสงสัย
มนุษย์คนแรกยิ้ม “หากเจ้าอยากรู้ เจ้าสามารถเข้าไปในกองไฟเพื่อดูด้วยตาของเจ้าเอง”
วิญญาณความโง่เขลาบินเข้าไปในกองไฟและไม่ออกมาอีกเลย
ไม่นานหลังจากนั้นวิญญาณสติปัญญาก็มาเช่นกัน มันถาม “มนุษย์ เจ้าพยายามหลอมรวมสิ่งใด?”
มนุษย์หัวเราะ “หากเจ้าอยากรู้ เจ้าสามารถเข้าไปในกองไฟเพื่อดูด้วยตาของเจ้าเอง”
วิญญาณสติปัญญาบินเข้าไปเช่นกัน
แต่มันบินเข้าไปในกลุ่มควันสีดำเท่านั้น เมื่อการมองเห็นถูกบดบัง มันก็บินออกมา
“มนุษย์ ข้าเกือบถูกเจ้าหลอก ข้ารู้แล้วว่าเจ้ากำลังหลอมรวมสิ่งใด เอาล่ะ ข้าจะไปแล้ว” หลังกล่าวจบคำ มันก็บินจากไปทันที
มนุษย์คนแรกถอนหายใจด้วยความเสียดาย “ด้วยวิธีนี้ หลังจากวิญญาณของข้าถือกำเนิด มันจะสามารถกดขี่คนโง่และทำให้คนฉลาดตาบอดได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง”
เวลาค่อยๆผ่านไป
เปลวไฟยังลุกไหม้แต่มันยังไม่สำเร็จ
ควันดำไม่ได้จางหายไป มันรวมตัวอยู่บนท้องฟ้าและสร้างเป็นกลุ่มเมฆสีดำขนาดใหญ่
“มนุษย์ ตอนนี้เจ้าอยู่ห่างจากความสำเร็จเพียงก้าวเดียว ขั้นตอนสุดท้ายคือขั้นตอนสำคัญที่สุด” วิญญาณความเข้าใจกล่าว
มนุษย์คนแรกพยักหน้า เขาเดินไปที่กองไฟด้วยความมุ่งมั่น “ดูเหมือนวิญญาณดวงนี้ต้องสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์”
หลังกล่าวจบคำ มนุษย์คนแรกตัดมือทั้งสองข้างของเขาและโยนมันเข้าไปในกองไฟ
“บึม!”
เปลวไฟระเบิดขึ้นและทำให้กลุ่มเมฆสีดำบนท้องฟ้าจางหายไป ภานยใต้แสงแดดสีทองที่สาดส่องลงมา เด็กผู้หญิงตัวเล็กปรากฏขึ้นด้านหน้ามนุษย์คนแรก
“ท่านพ่อ ขอบคุณที่มอบชีวิตให้ข้า ข้าคือหว่านจินเมี่ยวฮวา” เด็กหญิงที่ปลดปล่อยกลิ่นอายที่สว่างไสวและล้ำค่าราวกับทองคำยิ้มให้มนุษย์คนแรก
มนุษย์คนแรกมองนางและหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ามีลูกสาวอีกคนแล้ว แต่เดี๋ยว! การหลอมรวมวิญญาณของข้าประสบความสำเร็จหรือไม่?”
หว่านจินเมี่ยวฮวาเปิดฝ่ามือของนางและส่งวิญญาณให้กับมนุษย์คนแรก “ท่านพ่อดูนี่ มันคือวิญญาณที่เรียกว่าความมั่งคั่ง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น