พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1467-1470

 บทที่ 1467 ก่อหายนะอีกแล้ว

Ink Stone_Fantasy

 


จิ้งหูเหนียงเหนียงที่เคยเสียเปรียบไปแล้วครั้งหนึ่งได้เตรียมใจไว้แล้ว พอเห็นเฮยทั่นทำท่าทางแบบนั้นก็รีบถลันตัวหลบอย่างรวดเร็ว


ทว่าเหมียวอี้ยังไม่ยอมปล่อยนางไป ตอนที่เฮยทั่นคลาดผ่านนาง เขาก็ใช้เท้าถีบหลังเฮยทั่นหนึ่งที ตัวเขาเด้งออกไปพร้อมเหยียดทวนโผเข้าใส่ แต่น่าเสียดายที่เหาะไม่ได้จึงเสียเปรียบ ปล่อยให้จิ้งหูเหนียงเหนียงเหาะหนีไปไกลแล้ว


เหมียวอี้ที่ขาดแรงช่วยอยู่กลางอากาศตกลงเป็นแนวเส้นตรง ตุ้บ! ตกกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ฝุ่นดินที่อยู่ใต้เท้าปลิวกระจาย เข่าสองข้างที่นั่งยองเหยียดยืนขึ้นอย่างช้าๆ พื้นดินโดนเขาตกกระแทกใส่จนเป็นหลุม


“หึหึ!” จิ้งหูเหนียงเหนียงที่ลอยอยู่กลางอากาศหัวเราะเย้ย นางเรียกได้ว่าได้เปรียบกว่าทุกอย่าง ถ้าอาศัยความสามารถอย่างเดียว แต่อยู่ข้างล่างก็ทำอะไรนางไม่ได้อยู่ดี


ทว่าเสียงหัวเราะพลันหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้าง บนใบหน้าแสดงอารมณ์ตกใจกลัว


ฉึก! เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังควงทวนปักไว้บนพื้น พลิกมือช้อนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา พอง้างลูกธนูดาวตกไว้บนสาย ก็มีลำแสงหมุนวน จากนั้นก็มีเสียงสั่นสะเทือน ลำแสงสายหนึ่งยิงขึ้นไปบนฟ้าแล้ว


จิ้งหูเหนียงเหนียงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ลุกลี้ลุกลนเลี้ยวหนี ทว่าลูกธนูดาวตกก็เลี้ยวตามทันที ยิงไล่ตามนางต่อไป


“อ๊า…” มีเสียงกรีดร้องอยู่กลางอากาศ เงาคนที่อยู่บนฟ้าพลิกตกลงมา


เหมียวอี้ดึงทวนขึ้นจากพื้นแล้วกระโดดทะยานขึ้นฟ้า เฮยทั่นวิ่งตะบึงรีบร้อนเข้ามา มันกระโดดเล็กน้อยเพื่อใช้หลังรับเหมียวอี้ หลังจากเหยียบลงพื้นแล้วเท้าก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว แบกเหมียวอี้พุ่งไปหาคนที่ตกจากท้องฟ้าด้วยความรวดเร็ว


คนกับสัตว์พาหนะร่วมมือกันอย่างรู้ใจกันที่สุด ไม่จำเป็นต้องใช้สายตาบอกด้วยซ้ำ พอเข้าสู่สภาวะวิ่งตะบึงเข่นฆ่า ทั้งคู่ก็ก็เรียกได้ว่าจิตใจตรงกัน


จิ้งหูเหนียงเหนียงที่ตกลงมายังไม่ทันถึงพื้น ตอนที่อยู่ห่างจากพื้นสองสามจั้งนางก็ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เมื่อเห็นเฮยทั่นสังหารเข้ามา นางก็ตกใจจนขวัญกระเจิงแล้วจริงๆ รีบร้อนทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง


เหมียวอี้ชูมือขึ้นแล้วโบกหนึ่งที เก็บลูกธนูดาวตกเข้าในกำไลเก็บสมบัติ เฮยทั่นรีบกระโจนขึ้นฟ้าอีกรอบ โผเข้าไปหาจิ้งหูเหนียงเหนียงที่กำลังลุกลี้ลุกลนเหาะหนี


จิ้งหูเหนียงเหนียงที่หลบไม่ทันพลันหันมาเป่าลมใส่หนึ่งที ปราณอาฆาตสีขาวที่พ่นออกมาราวกับไอหมอกพุ่งครอบเหมียวอี้และสัตว์พาหนะ


อยู่ท่ามกลางหมอกหนาทำให้มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่เหมียวอี้กลับไม่แยแสที่จะมอง ใช้มือข้างเดียวจับทวนโจมตีไปข้างหลัง เสียงมังกรคำรามถูกหยุดไว้ด้วยเสียง “ฉึก” ทวนเสียบเข้าที่หน้าท้องของจิ้งหูเหนียงเหนียงที่หลบไม่ทันแล้ว สังหารจนเกิดเสียงกรีดร้องอีกครั้ง


ถ้าพูดถึงการเข่นฆ่าซึ่งๆ หน้า เหมียวอี้ก็มองจิ้งหูเหนียงเหนียงเหมือนกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาที่เปราะบางแตกง่าย การเอาชีวิตนางยามได้สู้กันซึ่งๆ หน้าก็ง่ายเหมือนใช้มือล้วงหยิบของในกระเป๋า สามารถเอาชีวิตนางได้ทุกเมื่อ


เฮยทั่นแบกเหมียวอี้พุ่งออกจากปราณอาฆาตที่เป็นหมอกขาว แล้วเหยียบลงพื้นเป็นวิถีโค้ง


จิ้งหูเหนียงเหนียงที่ตกกระแทกพื้นลุกขึ้นมาอีกครั้ง เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นไม่หยุด “อ๊า…” เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังไม่หยุด บนร่างกายมีควันลอยขึ้นมา


พอเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ มีหรือที่พวกสาวใช้ที่เหลือจะกล้าไปต่อข้างหน้าอีก พวกนางเลี้ยวเปลี่ยนทิศแล้ววิ่งหนีอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง


เหมียวอี้พลิกมือปล่อยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง สายธนูยิงลำแสงสายหนึ่งออกมาพร้อมเสียงดังปั้ง ยิงจนพวกสาวใช้ตกลงพร้อมเสียงกรีดร้อง


เฮยทั่นวิ่งตะบึงออกไป แต่เหมียวอี้กลับกระโจนตัวขึ้นมา ถีบสาวใช้ที่โดนยิงตกและกำลังจะเหาะหนีอีกครั้งให้กลับลงพื้น


สาวใช้กลิ้งอยู่บนพื้นอีกครั้ง ยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นมา เหมียวอี้ที่ตกลงพื้นตามมาทีหลังเหยียบลงมาอีก เหยียบหน้าอกของนางอย่างแรง รองเท้าเกราะโลหะเหยียบจนนางกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ สาวใช้โบกกระบี่ในมือฟันต้นขาของเหมียวอี้โดยสัญชาตญาณ แต่ก็เกิดเสียงดังสะเทือน เพราะโดนทวนเกล็ดย้อนปัดออก ตอนนี้หัวทวนที่แหลมคมจ่ออยู่บนคอของนางแล้ว


“โปรดไว้ชีวิต…” สาวใช้ตกใจจนร้องขอชีวิต นางไม่กล้าขยับตัวซี้ซั้วอีก ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


ส่วนพวกสาวใช้หนีไปทางอื่น พอเห็นเพื่อนตัวเองโดนยิงตกลงมา พวกนางก็ตกใจจนไม่กล้าเหาะขึ้นฟ้าอีก พากันกระโดดลงแม่น้ำหนีไปแล้ว


อ่านนิยาย


หลังจากเหมียวอี้กระโดดลงมา เฮยทั่นก็ยังไม่หยุด มันรีบพุ่งหลาวไล่ตามไป พอไปถึงริมแม่น้ำก็ดีดตัวขึ้นฟ้าทันที แล้วพุ่งลงไล่ตามอยู่ในแม่น้ำ


ไม่สนใจเสียงร้องขอชีวิตของสาวใช้ที่อยู่ใต้เท้า เหมียวอี้หันกลับไปมอง จิ้งหูเหนียงเหนียงยังคงกลิ้งอยู่บนพื้นพลางร้องโหยหวน บนตัวมีควันลอยขึ้นมาไม่หยุด


รอจนกระทั่งเฮยทั่นโผล่พ้นน้ำและกระโดดขึ้นฝั่งวิ่งกลับมา จิ้งหูเหนียงเหนียงก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว ทั้งตัวหายไปแล้ว


เหมียวอี้มองสำรวจเฮยทั่น เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะบาดเจ็บอะไร ก็ถามอีกว่า “ตามทันหรือเปล่า?”


เฮยทั่นส่ายหน้าทำเสียงฟึดฟัด “ตอนอยู่ในน้ำข้าไม่เร็วเท่าพวกนาง หนีไปได้แล้ว”


เหมียวอี้ถึงได้หันมามองสาวใช้ใต้เท้าที่ตัวสั่นระริกด้วยความกลัว แล้วถามว่า “จิ้งหูเหนียงเหนียงนั่นเป็นใคร?”


สาวใช้ตอบอย่างหวาดกลัว “เป็นเจ้าถิ่นของน่านน้ำบริเวณนี้ และเป็นหนึ่งในอนุภรรยาสิบสามคนของประมุขค่ายหวังกงแห่งค่ายพยัคฆ์ดำ ครอบครองเก้าขุนเขาสี่ลำน้ำของที่นี่…”


พอได้ยินนางพูดแบบนี้ เหมียวอี้ถึงได้เข้าใจ ว่าอาณาเขตของผู้ที่ชื่อหวังกงนั่นมีภูเขาสูงเก้าลูก ทั้งยังมีทะเลสาบอีกสี่แห่ง แบ่งให้ผู้หญิงทั้งสิบสามคนของตัวเองควบคุม อย่าไปมองว่าเป็นแค่เก้าขุนเขาสี่ทะเลสาบ เพราะความจริงกินพื้นที่ไม่น้อยเลย


สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้เซ็งก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าชื่อรังของประมุขค่ายท่านนี้จะชื่อค่ายพยัคฆ์ดำ สาเหตุที่ตั้งชื่อว่าค่ายพยัคฆ์ดำ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับธงพยัคฆ์ดำในสังกัดของเหมียวอี้ แต่เป็นเพราะลักษณะภูเขาของที่ตั้งค่ายเหมือนเสือดำนอนหมอบก็เท่านั้นเอง


“แล้วทำไมจิ้งหูเหนียงเหนียงนี่ถึงอยากจะแย่งกายหยาบของข้าไป?” เหมียวอี้ถามอีก


สาวใช้พูดขอร้องว่า “นายท่าน หลังจากบ่าวบอกแล้ว นายท่านจะปล่อยบ่าวไปได้หรือเปล่า?”


“ขอเพียงเจ้าบอกมาอย่างซื่อสัตย์ไม่ปิดบัง ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป” เหมียวอี้ตอบ


“ข้าจะบอก ข้าจะบอก!” สาวใช้ที่นอนอยู่บนพื้นรีบบอกว่า “คงจะอยากยืมกายหยาบนายท่านเข้าไปในถ้ำมังกรกับรังหงส์”


เหมียวอี้ได้ยินแล้วแปลกใจ “กายหยาบของข้าจะช่วยให้นางเข้าไปในถ้ำมังกรกับรังหงส์ได้ยังไง?”


“บ่าวไม่เคยไปถ้ำมังกรกับรังหงส์ ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า เพียงแต่เคยได้ยินมาว่าเป็นแบบนี้ ว่ากันว่าที่ตั้งของถ้ำมังกรกับรังหงส์เป็นเป็นแหล่งปล่อยปราณชั่วร้ายของทั้งแดนมรณะดึกดำบรรพ์…” สาวใช้เหมือนเป็นกระบอกไม้ไผ่ที่เทถั่วออก บอกสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมาหมด


อ่านนิายาย


ความหมายคร่าวๆ ก็ไม่ได้ยากแก่การทำความเข้าใจ  แดนมรณะดึกดำบรรพ์ถึงแม้เดิทีจะมีปราณชั่วร้ายเข้มข้น แต่ก็มีเผ่าหงส์และมังกรควบคุมแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายเอาไว้ แดนมรณะดึกดำบรรพ์จึงยังไม่ถึงขั้นมีวิญญาณชั่วร้ายเยอะเหมือนอย่างทุกวันนี้ เมื่อนานมาแล้วที่นี่เคยเป็นทำเลทองที่มีธรรมชาติงดงามเช่นกัน ทุกที่เขียวชอุ่ม ตั้งแต่เผ่าหงส์และมังกรออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไป ไม่มีสองเผ่านี้คอยคุม ปราณชั่วร้ายที่พ่นออกมาจากแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายก็ไม่ได้ถูกจำกัดแล้ว ถึงได้เกิดเป็นวิญญาณชั่วร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนอย่างทุกวันนี้ ปราณชั่วร้ายกำเริบเสิบสาน  ทำเลทองที่มีธรรมชาติงดงามแห่งนี้จึงประสบหายนะ สัตว์และพืชพรรณทนการกัดกร่อนของปราณชั่วร้ายไม่ไหว ถึงได้ทำให้แดนมรณะดึกดำบรรพ์กลายสภาพเป็นรกร้างเหมือนอย่างทุกวันนี้


และวิธีการฝึกตนของวิญญาณชั่วร้ายที่นี่ก็แตกต่างกับวิธีการฝึกตนข้างนอกโดยสิ้นเชิง เนื่องจากไม่มีทรัพยากรฝึกตน พวกมันใช้วิธีการดูดกินปราณชั่วร้ายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งก็จะอาศัยการกลืนกินวิญญาณชั่วร้ายดวงอื่นๆ เพื่อเสริมพลังให้ตัวเอง ดังนั้นที่นี่จึงเต็มไปด้วยการแบ่งแยกครอบครองดินแดนของผู้ที่แข็งแกร่ง มีการเข่นฆ่ากันไม่หยุด


พอเป็นแบบนี้ สถานที่ฝึกตนที่ดีที่สุดก็ย่อมเป็นแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายที่เผ่าหงส์และมังกรเคยควบคุมไว้ ถ้าสามารถครอบครองแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายแล้วนำมาใช้เป็นที่ฝึกตนได้ แค่คิดก็รู้ถึงผลลัพธ์แล้ว ถามหน่อยว่าในบรรดาวิญญาณชั่วร้ายทั้งแดนมรณะดึกดำบรรพ์ มีใครบ้างที่ไม่อยากเข้าไป? ทว่าที่ตั้งของถ้ำมังกรรังหงส์ก็มีสิ่งที่ทำให้วิญญาณชั่วร้ายพวกนี้หวาดกลัวเช่นกัน เพราะถ้ำมังกรมีไฟหยางแท้ รังหงส์มีไฟหยินแท้ ไม่ว่าจะเป็นไฟหยางหรือว่าไฟหยิน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นดาวอริของวิญญาณชั่วร้ายทั้งนั้น ถ้าวิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ผ่านด่านนี้ไม่ได้ ก็ไม่มีทางเข้าไปครอบครองแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายที่ถ้ำมังกรรังหงส์ได้เลย


ถ้าสามารถแย่งร่างของนักพรตได้ก็จะมีหนทางแล้ว ขอเพียงยึดกายหยาบได้ ก็จะสามารถคิดหาทางผ่านด่านนั้นไปได้ ไม่เหมือนวิญญาณชั่วร้ายที่แค่เข้าใกล้ก็ทนไม่ไหวแล้ว แต่ที่นี่ก็โดนตำหนักสวรรค์ปิดล้อมไว้ หลายปีแล้วที่ไม่มีนักพรตเข้ามา เคยมีเข้ามาครั้งสองครั้ง แต่เป็นกำลังพลของตำหนักสวรรค์ที่มาปราบปรามครั้งใหญ่ที่นี่ ขี่หงส์กับมังกรมาทำศึก กำจัดพวกวิญญาณชั่วร้ายที่วรยุทธ์สูง


ดังนั้นแค่คิดดูก็รู้แล้ว ว่าวิญญาณชั่วร้ายของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้แต่หวังลมๆ แล้งๆต่อถ้ำมังกรรังหงส์เท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปได้เลย ตอนนี้จู่ๆ ก็มีเหมียวอี้โผล่มา จิ้งหูเหนียงเหนียงนั่นก็ย่อมตื่นเต้นดีใจอยากจะยึดร่างของเขา เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะรับมือด้วยยาก กลับโดนเหมียวอี้ฆ่าตายไปแล้ว


หลังจากได้รู้ความจริงแล้ว เหมียวอี้ก็แอบด่าแม่ มิน่าล่ะถึงได้ส่งข้ามาขังไว้ที่นี่เพื่ออุดปากตระกูลอิ๋ง แบบนี้จะต่างอะไรกับการส่งข้ามาตายล่ะ? ถ้าให้วิญญาณชั่วร้ายที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์รู้ว่ามีข้าอยู่ จะไม่ลุกฮือกันมาแย่งร่างหรอกเหรอ แบบนั้นข้าไม่ตายก็แปลกแล้ว


พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็เรียกได้ว่าขนพองสยองเกล้า มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง แอบร้องในใจว่าซวยแล้ว สาวใช้พวกนั้นที่หนีรอดไป หลังจากกลับไปแล้วถ้าไม่รายงาน ‘ข่าวดี’ ให้ประมุขค่ายค่ายพยัคฆ์ดำหวังกงอะไรนั่นรู้ก็คงแปลก คนที่ชื่อหวังกงนั้นเป็นใครกัน มีหรือที่จะทิ้งโอกาสในการเข้าถ้ำมังกรรังหงส์!


เหมียวอี้พลันเงยหน้ามองเฮยทั่น เขามองมันด้วยสายตาเดือดดาล รู้สึกแค้นจนกัดฟันกรอด เขาบอกเจ้าเวรนี่ไว้แล้วว่าอย่าเพ่นพ่านไปทั่ว แต่เจ้าเดรัจฉานกลับก่อปัญหาใหญ่ขนาดนี้เพียงเพราะปลาสองตัว เดี๋ยวต่อไปถ้าวิญญาณชั่วร้ายทั้งแดนมรณะดึกดำบรรพ์รู้ข่าวแล้วมาที่นี่ ต่อให้ทั้งสองจะมีปีกบินได้แต่ก็หนีไม่พ้นหรอก


ครั้งก่อนตอนตามหาประตูดวงดาวก็เหมือนกัน เจ้าเวรนี่วู่วามพาเขาพุ่งเข้าใส่ประตูดวงดาว รอจนกระทั่งรู้ตัวก็หันหลังกลับไม่ทันแล้ว ทำให้โดนแรงดึงมหาศาลของประตูดวงดาวดูดเข้าไป ครั้งนั้นโชคดีที่ด้านหลังประตูดวงดาวคือแดนอเวจี ถ้าไปในอาณาเขตดาวนิรนามที่ลำบากยากเข็ญไร้คนช่วยเหลือ เกรงว่าตอนนี้คงจะตายอยู่ที่นั่นไปแล้ว


คิดไปคิดมาก็รู้สึกเดือด ถึงแม้มันจะสร้างปัญหาให้เขา แต่ดันไม่ได้สร้างปัญหาเล็กน้อย มีแต่ปัญหาที่ทำให้ถึงตายทั้งนั้น จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร!


พอโดนเหมียวอี้ถลึงตาใส่ เฮยทั่นก็ก้มหน้าทำเสียงฟึดฟัดเบาๆ มันฟังสิ่งที่สาวใช้บอกเข้าใจเช่นกัน รู้ว่าตัวเองก่อปัญหาใหญ่แล้ว


ถึงแม้เหมียวอี้จะอยากแทงมันให้ตาย แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโมโห เดี๋ยวต่อไปยามจะหนีเอาชีวิตรอดก็ยังต้องพึ่งพาพลังเท้าของมันอีก พึ่งพากันและกันย่อมดีกว่าตัวคนเดียวอยู่แล้ว


ขณะพยายามข่มไฟโกรธไว้ในใจ เหมียวอี้ก็ถามอีกว่า “แล้วประมุขค่ายหวังกงค่ายพยัคฆ์ดำอะไรนั่นมีวรยุทธ์เท่าไร?”


“บงกชรุ้งขั้นสอง!” สาวใช้ตอบ


“เพิ่งบงกชรุ้งขั้นสองเองเหรอ? อย่าบอกนะว่าผู้แข้งแกร่งดูดกลืนวิญญาณชั่วร้ายดวงอื่นๆ แล้วยังเลื่อนขั้นไม่เร็วอีก?” เหมียวอี้ถามอย่างแปลกใจ


สาวใช้ตอบว่า “ผู้แข็งแกร่งส่วนใหญ่ของที่นี่อยู่ในระดับบงกชรุ้งทั้งนั้น มีแค่บางส่วนที่โดนตำหนักสวรรค์ล้อมปราบแล้วหลุดรอดมาได้ที่มีวรยุทธ์สูงกว่านั้น แต่คนประเภทนั้นมีอยู่น้อยมาก และไม่กล้าโอ้อวดเกินไปนัก กลัวว่าจะกลายเป็นเป้าหมายในการโจมตีครั้งต่อไปของตำหนักสวรรค์”


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! แบบนี้เหมียวอี้ก็โล่งใจแล้วนิดหน่อย จากนั้นเขาก็ถามเรื่องอื่นๆ อีก


รอจนกระทั่งเขาหมดคำถามแล้ว สาวใช้ที่โดนเหยียบอยู่ใต้เท้าถามเสียงอ่อนว่า “นายท่าน สามารถปล่อยบ่าวไปได้หรือยังคะ?”


เหมียวอี้คิดไปคิดมา แล้วก็คลายเท้าออก “ข้าพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว”


ใครจะไปคาดคิด ตอนที่สาวใช้คนนั้นเพิ่งจะลุกขึ้นมาได้ เฮยทั่นก็กระโจนเข้ามางับแล้ว อ้าปากที่มีฟันแหลมคมเหมือนบ่อเลือดกัดหัวสาวใช้จนหลุด จากนั้นก็กดร่างที่กระดุกกระดิกแล้วฉีกกัดอย่างต่อเนื่อง เขมือบสาวใช้คนนั้นลงท้องอย่างรวดเร็ว


เหมียวอี้ตกใจจนเหม่อค้าง อุทานถามว่า “โจรอ้วน เจ้าทำอะไร?”


เฮยทั่นกลืนคำสุดท้าย ใช้กรงเล็บลูบปาก แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่ต้องห่วง ไม่ได้ให้ท่านกินหรอก ท่านบอกว่าจะไว้ชีวิตนาง แต่ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะไว้ชีวิตนาง อย่าบอกนะว่าจะปล่อยนางกลับไปรายงานข่าว? นางก็เป็นวิญญาณชั่วร้ายเหมือนกัน กินแล้วเสริมพลังยิ่งกว่าปลาขาวอีก”


เหมียวอี้โมโหจนตัวสั่น เขาชี้มันด้วยมือที่สั่นเทา พร้อมคำรามด่าอย่างโกรธแค้น “ข้าบอกว่าจะไว้ชีวิตนาง แต่ไม่ได้บอกว่าจะปล่อยนางไป! ไอ้เวรเอ๊ย ข้าไม่คุ้นชินกับวิถีชีวิตที่นี่ ในมือข้ามีนางคนเดียวที่รู้ทางและพาหนีได้สะดวก แต่เจ้ากินนางไปแล้วงั้นเหรอ?”


บทที่ 1468 ในที่สุดเจ้าก็พูดภาษาคนเสียที

Ink Stone_Fantasy

เป็นเพราะรู้สึกว่าอยู่ที่นี่นานไม่ได้ เลยไม่ได้รีบถามบางอย่างกับสาวใช้คนนั้นไป เตรียมจะออกจากตรงนี้ก่อนแล้วค่อยถามนางว่าถ้ำมังกรรังหงส์อยู่ตรงไหน พอได้ยินไฟหยางแท้กับไฟหยินแท้ ก็รู้ว่ามีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเขา ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ใจเต้น ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้ถาม เฮยทั่นก็กินสาวใช้คนนี้ไปเสียแล้ว ทั้งชีวิตนี้เพิ่งจะเคยเห็นคนเป็นๆ โดนกินต่อหน้าตัวเอง ฉากโหดเหี้ยมยามกัดหัวหลุดแบบนั้นได้ทำให้ท่านขุนนางเหมียวตกใจค้างแล้วจริงๆ ถ้าจะบอกว่าขวัญผวาก็ไม่ถือกล่าวเกินไป


เฮยทั่นก็อึ้งนิดหน่อยเช่นกัน คิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นแบบนั้น ยังไม่ทันได้ถามอีกฝ่ายเลยว่าควรไปทางไหนถึงจะหลบหลีกประมุขค่ายพยัคฆ์ดำอะไรนั่นได้ กินแบบไม่ดูตาม้าตาเรือเกินไปจริงๆ


มันยังไม่ทันได้คิดอะไรเยอะ จู่ๆ ก็พบว่าเกราะรบบนร่างกายตัวเองถูกเก็บกลับไปที่คอแล้ว เปลี่ยนกลับเป็นห่วงเหล็กแล้ว จากนั้นก็ตามด้วยภาพตรงหน้าที่พร่ามัว ทวนเกล็ดย้อนควงเข้ามาราวกับไม้กระบอง ฟาดที่หัวของมันอย่างรุนแรงเสียงดังตุ้บ


“อ๋าว…” เฮยทั่นร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วรีบหมอบลงพื้น ใช้กีบเท้าสองข้างปิดตา มันก็รู้ตัวเหมือนกัน รู้ว่าการโดนสั่งสอนสักยกคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้


“บังอาจกินคนต่อหน้าพ่อ!”


“รู้จักแต่กิน นอกจากกินแล้วรู้จักอย่างอื่นบ้างมั้ย ทำไมเจ้าไม่ท้องแตกตาย…”


ท่านขุนนางเหมียวโบกทวนราวกับสายฝน เรียกได้ว่าลงมือรุนแรง เดิมอ้อมรอบตัวมันพลางฟาดอย่างบ้าระห่ำ ฟาดไปพลางด่าไปพลาง โมโหแทบบ้าแล้วจริงๆ


หลังจากมีเสียงระเบิดดังเหมือนฟ้าร้องพักหนึ่ง เหมียวอี้ยืนถือทวนค้ำพื้น ด่าจนปากแห้งลิ้นแห้งไปหมดแล้ว เหนื่อยหอบแล้วเหมือนกัน น่าโมโหนัก


เฮยทั่นวางกีบเท้าสองข้างที่ปิดตาลงอย่างช้าๆ ขณะกำลังจะลุกขึ้นมา จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถลึงตาใส่อย่างโมโห มันจึงรีบหมอบลงไปอีก เอากีบเท้าปิดตาอีกครั้ง


เหมียวอี้อยากจะแทงเจ้าเวรนี่ให้ตายจริงๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันมันต้องวางกับดักให้เขาตายแน่ แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีทางลงมือกับมันได้


แกร๊ง!ทวนกระแทกที่หัวเฮยทั่นอีกครั้ง “ยังจะนอนหมอบอยู่ที่นี่ทำไม?รอให้ประมุขค่ายพยัคฆ์ดำนั่นมาคิดบัญชีกับพวกเราเหรอ?”


เฮยทั่นลุกขึ้นมาจากพื้น ปัดฝุ่นดินบนร่างกายตัวเอง ขยับร่างกายที่โดนซ้อมจนชาเล็กน้อย มันอาจจะไม่มีความสามารถอื่น แต่มันทนไม้ทนมือเก่ง


พอหันตัวเสร็จมันก็ปลดปล่อยฝีเท้าวิ่งไปตรงจุดที่จิ้งหูเหนียงเหนียงกลายเป็นเถ้าถ่ายปลิดปลิว ยื่นกรงเล็บไปดึงไข่มุกเม็ดหนึ่งจากบนพื้น แล้วหันกลับมาบ่นว่า “นายท่าน นี่เป็นของดีนะ ท่านจะเอามั้ย ถ้าไม่เอาข้ากินแล้วนะ”


เหมียวอี้กระโดดขึ้นกระโดดลงหลายครั้งไปเหยียบลงอีกด้านหนึ่งแล้วกางนิ้วทั้งห้า ดูดไข่มุกสีขาวที่แซมด้วยลายเส้นสีทองมาไว้ในมือแล้วตรวจดู


ทว่าเมื่อของสิ่งนี้มาอยู่ในมือ ทั้งตัวเขาก็ราวกับโดนไฟฟ้าโจมตี เรียกได้ว่าสูญเสียสติสัมปชัญญะในชั่วพริบตาเดียว ตกอยู่ท่ามกลางทะเลแค้นอันไร้ที่สิ้นสุดอีกครั้ง


พอคลายนิ้วทั้งห้าออกทีละนิด ไข่มุกก็กลิ้งไปอยู่ที่ปลายนิ้วแล้วตกลงสู่พื้น เหมียวอี้ตัวสั่นเล็กน้อย แล้วก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง สายตาจ้องบนไข่มุกเม็ดนั้น ยื่นมือไปดูดมาไว้ในมืออีกรอบ เพียงแต่ครั้งนี้เตรียมใจไว้แล้ว ใช้เคล็ดวิชาอัคนีดารากั้นไม่ให้พลังของวิญญาณอาฆาตขยายตัว


เมื่อนำไข่มุกในมือมาตรวจดูอย่างละเอียด ในใจก็แอบตกตะลึงไม่หยุด ของที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณอาฆาตแข็งแกร่งขนาดนี้ ตอนไม่ใช้มือสัมผัสก็ไม่รู้สึกถึงปราณอาฆาตเลยสักนิด สิ่งนี้คงจะเป็นไข่มุกวิญญาณอาฆาตที่สาวใช้พูดถึง สิ่งนี้คล้ายกับยาเจี๋ยตันของนักพรต นับว่าเป็นต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณอาฆาต เพียงแต่สาเหตุการเกิดต่างกัน ในนี้มีพลังวิญญาณอาฆาตปะนอยู่เยอะเกินไป ตามที่สาวใช้คนนั้นบอก พวกผู้ทรงอิทธิพลของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ พวกที่มีพลังอ่อนแอมักจะนำของไปบรรณาการให้ผู้แข็งแกร่งเพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง เป็นของที่ใช้ดูดกลืนเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเอง


ด้านข้างมีเสียงกลืนน้ำลายดังขึ้น เฮยทั่นกำลังจ้องมองตาปริบๆ เหมียวอี้เหล่ตามองมันแวบหนึ่ง แล้วโยนให้อย่างไม่ใส่ใจ เฮยทั่นอ้าปากรับกลืนลงท้อง แล้วก็สั่นหัวส่ายหางอย่างร่าเริง ลืมเรื่องที่ตัวเองเพิ่งโดนตีไปแล้ว


จากนั้นก็เห็นเฮยทั่นปลดปล่อยฝีเท้าวิ่งไปหาสาวใช้ห้าคนที่โดนเหมียวอี้ฆ่าตายก่อนหน้านี้ น่าเสียดายมาก เจอแค่ไข่มุกวิญญาณอาฆาตที่ไม่สมบูรณ์สองเม็ดเท่านั้น ที่เหลือถูกเหมียวอี้ใช้เพลิงจิตเผาไหม้ไปหมดแล้ว


เฮยทั่นวิ่งกลับมา เหมียวอี้ที่ยืนถือทวนค้ำพื้นทอดสายตามองไปไกลพลางถอนหายใจเบาๆ พอโบกมือหนึ่งที ห่วงเหล็กบนคอเฮยทั่นก็ขยายออกอีกครั้ง ส่วนเหมียวอี้ก็ปีนขึ้นขี่บนหลังมัน แต่กลับไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี


“จะกลับไปเหรอ?” เฮยทั่นส่ายหางถาม


พอพูดถึงเรื่องนี้เหมียวอี้ก็โมโหอีกแล้ว ควงทวนเกล็ดย้อนเคาะบนหัวมันอีกที แล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “กลับไปเหรอ? กะจะรอให้อีกฝ่ายมาหาเรื่องถึงที่รึไง?”


เฮยทั่นยอมรับชะตากรรม ถามอย่างหดหู่ไร้ชีวิตชีวาว่า “งั้นจะไปที่ไหนล่ะ?”


“คนนำทางโดนเจ้ากินไปแล้ว เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใคร?” เหมียวอี้ใช้ทวนฟาดหัวมันอีกครั้ง


พูดอะไรก็ผิดหมด เฮยทั่นจึงหุบปากไม่พูดอะไรเสียเลย


เหมียวอี้มองไปรอบๆ อีกครั้ง คนหนึ่งคนกับสัตว์พาหนะหนึ่งตัวยืนสวมเกราะรบอยู่บนทุ่งรกร้าง ไม่น่าเชื่อว่าจะให้ความรู้สึกงดงาม เก่าแก่ เศร้าวังเวงอย่างบรรยายไม่ถูก


“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ถือทวนยาววางนอนบนขาสองข้าง


พอโดนเฮยทั่นก่อเรื่องแบบนี้ ก็ชัดเจนว่ากลับไปที่ถ้ำริมทะเลสาบไม่ได้แล้ว ต่อไปประมุขค่ายพยัคฆ์ดำอะไรนั่นจะต้องมาหาถึงที่แน่นอน สำหรับเหมียวอี้ที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน ประมุขค่ายพยัคฆ์ดำกระจอกๆ คนหนึ่งไม่น่ากลัวเท่าไรนัก ต่อให้มีทัพใหญ่หนึ่งพันมาขวาง แต่ถ้าเขามีสัตว์พาหนะและทวนอยู่ในมือ ก็กล้าสังหารจนเกิดทางเลือดอยู่ดี เขากลัวก็แต่ว่าข่าวจะแพร่ออกไปในวงกว้าง ล่อให้อำนาจหลายฝ่ายออกมา ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยุ่งยากแล้ว


“ฮักชิ่ว…” เฮยทั่นส่ายหน้าจามหนึ่งที่ “นายท่าน ข้ารู้ว่าข้าทำผิดไปแล้ว แต่ท่านก็ไม่ต้องถอนหายใจหรอก ก็แค่ประมุขค่ายพยัคฆ์ดำเองไม่ใช่เหรอ ไม่มีอะไรน่ากลัว อาศัยความเหี้ยมหาญของนายท่าน ถ้าเขากล้ามาหาถึงที่จริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะตายเพราะใครกันแน่”


ตุ้บ! เหมียวอี้ฟาดทวนบนหัวมันอีกครั้ง แล้วพูดอย่างโมโหว่า “เจ้านี่นอกจากเรื่องกินแล้วมีสมองคิดเรื่องอื่นสักนิดมั้ย? ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ฆ่าประมุขค่ายพยัคฆ์ดำคนเดียวแล้วจะมีประโยชน์อะไร ตอนหลังยังมีคนที่ร้ายกาจกว่าประมุขค่ายพยัคฆ์ดำอีก อาศัยแค่เจ้ากับข้าจะสังหารหมดเหรอ? ยังไม่รู้เลยว่าใครจะฆ่าใครกันแน่!”


เฮยทั่นกลุ้มใจแล้ว พบว่าตัวเองพูดอะไรก็ผิดไปหมด จึงกล่าวเสียงอ่อนว่า “ข้าไม่มีสมอง ท่านไปหาคนมีสมองแล้วถามหาวิธีการก็สิ้นเรื่องแล้ว ข้าจำได้ว่าตอนที่อยู่พิภพเล็ก ตอนที่นายท่านไม่อยู่แล้วฮูหยินประสบกับเรื่องที่ยุ่งยาก นางก็จะไปถามหยางชิ่งตลอด หยางชิ่งมักจะคิดหาหนทางได้เสมอ ข้าได้ยินฮูหยินชมว่าหยางชิ่งสมองดีไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ถามหยางชิ่งไม่ได้เหรอ?”


“เออ…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ใช่แล้ว! สามารถถามหยางชิ่งได้


ตัวอยู่ในสถานที่แบบนี้ ไม่ใช่ที่ที่ระดับพลังอย่างหยางชิ่งจะเล่นด้วยไหว จิตใต้สำนึกของเขาตัดหยางชิ่งออกไป ไม่ได้คิดถึงหยางชิ่งในทางนั้นเลย แต่ถ้าลงคิดดูใหม่ ถึงแม้พลังของหยางชิ่งจะใช้ไม่ได้ผล แต่อยู่ที่นี่ตัวเขาเองก็ใช้พลังแข่งไม่ไหวเหมือนกัน ทว่าหยางชิ่งนั้นเจ้าแผนการกว่าคนทั่วไป สมองดีมาก ทำไมลืมหยางชิ่งไปได้นะ?


ช่างเป็นประโยคที่ปลุกให้ตื่นจากความฝันจริงๆ ตุ้บ! เหมียวอี้ใช้ทวนตีหัวเฮยทั่นอีกที


เฮยทั่นยังนึกว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปอีกแล้ว มันเพิ่งจะก้มหัวลง แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับหัวเราะเสียงดัง “โจรอ้วน ในที่สุดเจ้าก็พูดภาษาคนเสียที ถูกต้องแล้ว ไปถามหยางชิ่งก็ได้”


เฮยทั่นพลันเงยหน้า มันตกตะลึงแล้ว ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง ถามอย่างตกใจว่า “มีสิทธิ์อะไร ข้าพูดถูกแล้วท่านยังตีข้าอีกเหรอ?”


“ทดสอบพลังป้องกันของเกราะรบบนตัวเจ้าสักหน่อยว่าเป็นยังไง” เหมียวอี้ทิ้งประโยคที่ทำให้ตัวเองขาวสะอาด


“…” เฮยทั่นพูดไม่ออกแล้ว ที่แท้คนเราก็สามารถไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้นี่เอง ควรค่าแก่การเอาเยี่ยงอย่าง


เหมียวอี้ขี้เกียจจะพูดมากกับมัน หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่งแล้ว


ในตอนนี้หยางชิ่งไม่ได้อยู่ที่อุทยานหลวง แต่อยู่ในเขตที่พักครอบครัวกองทัพองครักษ์นอกวังสวรรค์


ที่จริงหยางชิ่งมาเพื่อเยี่ยมชิงจวี๋ ทว่าชิงจวี๋ไม่พอใจ เขาเองก็ปวดหัวเช่นกัน สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เป็นเพราะหญิงงามที่เนี่ยอู๋เซี่ยวส่งให้เหมียวอี้ แต่เหมียวอี้ดันทุรังยัดมาให้เขาคนหนึ่ง จะไม่รับก็ไม่ได้


ด้วยระดับของหยางชิ่ง ถ้าอยากจะได้คฤหาสน์ใหญ่สักหลังที่นี่ก็เป็นไปไม่ได้ เรือนพักเดี่ยวก็มีอยู่หลังหนึ่ง ชิงจวี๋เก็บกวาดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


ในศาลากลางลานบ้าน หลังจากหญิงงามคนนั้นทำความเคารพแล้ว ก็ถูกชิงจวี๋ไล่ออกไป เป็นเพราะของขวัญที่เนี่ยอู๋เซี่ยวมอบให้เหมียวอี้นั้นใช้ความพยายามจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงนำมามอบให้ไม่ได้ เรียกได้ว่างามล่มเมือง งามจนก่อหายนะจริงๆ


การกระทำของชิงจวี๋ทำให้หยางชิ่งอับอายเล็กน้อย หลังจากชิงจวี๋รินน้ำชาให้เขาแล้ว ก็ยังพูดอย่างกึ่งอ่อนกึ่งแข็งว่า “ที่จริงความงามของนางก็ยังห่างชั้นกว่าฮูหยินตั้งไกล นายท่านไม่ได้ชอบจริงๆ หรอกเจ้าค่ะ สามารถเอาเยี่ยงอย่างท่านแม่ทัพภาคได้ มอบเป็นรางวัลให้ลูกร้องไปเลย จะได้ป้องกันไม่ให้ฮูหยินกับคุณหนูรู้แล้วขุ่นเคืองใจ”


มีหรือที่หยางชิ่งจะไม่รู้ว่านางหึงหวง แค่เอาฉินซีกับฉินเวยเวยมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น เขาจิบน้ำชาคำหนึ่ง หลังจากวางถ้วยน้ำชาลง ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ชิงจวี๋ เจ้าต้องทำความเข้าใจไว้นะ เรื่องบางเรื่องมันเป็นปัญหาเรื่องการแสดงท่าที นายท่านดึงดันจะยัดคนมาให้ข้าให้ได้ แต่ข้ากลับส่งต่อให้คนอื่น ถ้าต่อไปนายท่านถามถึง ถึงแม้จะบอกว่าไม่ชอบแล้วพาไปที่อื่นได้ แต่ใครจะรู้ว่าการที่นายท่านมอบของขวัญให้ข้าเป็นการหยั่งเชิงข้าอยู่หรือเปล่า? ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ นายท่านตั้งใจจะควบคุมข้ามาตลอด ถ้าข้าอยู่ตัวคนเดียวก็ว่าไปอย่าง อย่างมากก็แค่แยกทางกัน แต่เวยเวยจะทำยังไงล่ะ? เวยเวยเป็นผู้หญิงของนายท่านนะ นอกจากข้าที่เป็นแรงสนับสนุนภายนอก ก็ไม่มีใครที่ช่วยนางได้แล้ว ไม่เหมือนอนุภรรยาคนอื่นของนายท่านที่เบื้องหลังมีกำลังพลหนึ่งฝ่ายสนับสนุน เรื่องบางเรื่องยอมระวังตัวไว้หน่อยดีกว่า จะให้เกิดการผิดพลาดไม่ได้”


พูดแบบนี้แปลว่าต้องการจะเก็บหญิงงามเอาไว้ ชิงจวี๋เม้มปาก ถึงแม้นางจะไม่ชอบ แต่หญิงรับใช้อย่างนางก็ไม่สะดวกจะทำอะไรมากเกินไป กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ไม่รู้หมือนกันว่าท่านแม่ทัพภาคอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วจะเป็นยังไงบ้าง”


หยางชิ่งเอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง จากน้ำเสียงของนาง เขาฟังออกว่านางกำลังพูดแดกดันว่าการที่เหมียวอี้ไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นการโดนกรรมตามสนอง จึงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน แต่จากนั้นก็ทำหน้าตะลึงทันที เอามือคลำระฆังดาราแล้วขมวดคิ้ว “พอพูดถึงนายท่าน นายท่านก็ส่งข่าวมาแล้ว อย่าบอกนะว่าเจอปัญหาอะไร?”


หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็ทำการตอบกลับ เป็นอย่างที่เขาคาดไว้จริงๆ เหมียวอี้พูดทันที่เอ่ยปาก : หยางชิ่ง ข้าอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ประสบปัญหานิดหน่อย เลยจะปรึกษากับเจ้าสักหน่อยว่าแก้ปัญหายังไงดี


หยางชิ่งถามทันทีว่า : ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไร?


เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ในตอนนี้ให้ฟังทันที


หยางชิ่งฟังจบแล้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า : นายท่านโปรดพยายามเล่าสถานการณ์โดยละเอียดจะดีกว่า ถ้าไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าเริ่มลงมือจากตรงไหน


กับเรื่องแบบนี้เหมียวอี้ย่อมไม่มีอะไรปิดบังอยู่แล้ว ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ไม่ได้มีความลับอะไรของเขา เขาจึงอธิบายสถานการณ์ให้ละเอียด แต่ความลับเกี่ยวกับเฮยทั่น เขายังเลือกที่จะปิดบังเอาไว้


หลังจากฟังจบ หยางชิ่งก็ยืนขึ้นเงียบๆ ถือระฆังดาราพร้อมเอาสองมือไขว้หลัง เดินออกนอกศาลาอย่างช้าๆ แล้วเดินกลับไปกลับมาในสวนพลางจัดระเบียบความคิดเรื่องที่เหมียวอี้เล่า กำลังครุ่นคิดหาแผนรับมือ


ชิงจวี๋อยู่เงียบๆ อย่างไม่ได้รบกวน รู้ว่าตอนนี้หยางชิ่งกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างแน่นอน ไม่สะดวกจะไปรบกวน


หลังจากผ่านไปสักพัก หยางชิ่งก็หยุดฝีเท้า ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ระฆังดาราที่ถือไขว้อยู่ข้างหลังเปล่งแสงอีกครั้งแล้วตอบว่า : นายท่าน ข้าน้อยครุ่นคิดได้ไม่รอบด้าน ตอนนี้มีแค่กลยุทธ์ชั้นยอด กลยุทธ์ชั้นกลาง กลยุทธ์ชั้นต่ำ มีทั้งหมดสามกลยุทธ์ให้นายท่านเลือกไปใช้รับมือ หวังว่าจะช่วยนายท่านได้อีกแรง


บทที่ 1469 กลยุทธ์ชั้นยอด ชั้นกลาง ชั้นต่ำ

Ink Stone_Fantasy

ครุ่นคิดได้ไม่รอบด้าน?


เหมียวอี้ที่ตัวอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์และกำลังกลุ้มใจ พอได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกขำแล้ว แต่พอผ่านไปสักประเดี๋ยวก็ได้ยินว่ามีกลยุทธ์ชั้นยอด กลยุทธ์ชั้นกลาง กลยุทธ์ชั้นต่ำให้เลือก ถ้าแบบนี้เรียกว่าครุ่นคิดไม่รอบด้าน แล้วอย่างตนจะไม่เรียกว่าไร้ประโยชน์หรอกเหรอ พูดแบบนี้ถ่อมตัวเกินไปแล้วมั้ง


ไม่ว่าวิธีการจะดีหรือไม่ดี ก็ยังดีกว่าร้อนรนอย่างเดียวโดยไม่มีหนทางเลย เหมียวอี้รีบถามว่า : ไหนลองบอกมาหน่อย กลยุทธ์ชั้นยอดเป็นยังไง?


หยางชิ่งบอกว่า : กลยุทธ์ชั้นยอดก็ย่อมเป็นการหลบหนี ถ้านายท่านมีทางหลบวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้ ทางที่ดีก็อย่าสู้กับใครอีกเลยดีกว่า ถ้าหลบได้ก็หลบ หลบจนกว่าการลงโทษของตำหนักสวรรค์จะเสร็จสิ้น แบบนั้นย่อมรอดออกมาได้อย่างปลอดภัย นี่เป็นวิธีการที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้มากที่สุด


เหมียวอี้กลอกตามองบน แบบนี้ถือว่าเป็นกลยุทธ์ชั้นยอดบ้าอะไรล่ะ ถ้าข้าหนีพ้น ยังจะต้องมาถามเจ้าอีกเหรอ? เป็นเพราะข้าไม่รู้ว่าจะหลบพ้นหรือเปล่า ก็เลยมาถามเจ้าไงล่ะ


สิ่งที่เรียกว่ากลยุทธ์ชั้นยอด เขาย่อมวางมันทิ้งไว้ข้างๆ ก่อน รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ก็ยังอดทนแล้วถามอีกว่า : แล้วกลยุทธ์ชั้นกลางเป็นยังไง?


พอหยางชิ่งได้ยินเหมียวอี้ถามถึงกลยุทธ์ชั้นกลางเร็วขนาดนี้ ไม่แม้แต่จะพิจารณาเลย เขารู้แล้วว่าไม่ตรงใจเหมียวอี้ และเขาก็กลัวนิสัยบุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือของเหมียวอี้ นิสัยหัวร้อนในตอนนั้นของเหมียวอี้ เขาเองก็ได้บทเรียนมาตั้งแต่แรกแล้ว ยังไม่ต้องย้อนไปไกล เอาแค่เรื่องที่ประมุขชิงรับจ้านหรูอี้เป็นสนมก็แล้วกัน สิ่งที่นายท่านคนนี้ทำมันใช่เรื่องเสียที่ไหน! สาเหตุที่เขายกการหลบหนีให้เป็นกลยุทธ์ชั้นยอด ก็เพราะหวังว่าเหมียวอี้จะไม่ทำซี้ซั้วอะไรอีก หลบได้ก็หลบ อย่าวู่วามเด็ดขาด


เห็นได้ชัดเจนว่าคำเตือนนี้ไม่มีประโยชน์ หยางชิ่งทำได้เพียงแอบถอนหายใจ แล้วพูดต่อว่า : สิ่งที่เรียกว่ากลยุทธ์ชั้นกลางก็คือเน้นแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า พุ่งเป้าไปที่ประมุขค่ายพยัคฆ์ดำที่นายท่านบอก เรื่องนี้อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่นายท่านคิด บางทีอาจจะมีทางเหลือให้กลับตัวก็ได้


พอได้ยินว่าไม่ได้แย่ขนาดนั้น เหมียวอี้ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา ถามว่า : หมายความว่ายังไง?


หยางชิ่ง : การวินิจฉัยตัดสินของข้าน้อยอยู่บนพื้นฐานสถานการณ์ที่นายท่านบอก ถ้ามีตรงไหนที่ไม่เหมาะสม นายท่านก็เตือนข้าน้อยได้เลย ดูจากที่นายท่านบอกว่าวิญญาณชั่วร้ายอยากจะยึดกายหยาบของนายท่าน ก็เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าผู้ที่อยากยึดกายหยาบของนายท่านไม่ได้มีแค่จิ้งหูเหนียงเหนียง เกรงว่าประมุขค่ายหวังกงของค่ายพยัคฆ์ดำนั่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่ทราบว่าข้าน้อยตัดสินแบบนี้มีข้อผิดพลาดหรือเปล่า?


เหมียวอี้ : ใช่แล้ว ข้าก็มีความกังวลนี้เหมือนกัน ที่กังวลกว่านั้นก็คือ เกรงว่าจะไม่ได้มีแค่หวังกง ถ้าข่าวแพร่ออกไป กลัวว่าวิญญาณชั่วร้ายทั้งแดนมรณะดึกดำบรรพ์จะกรูกันเข้ามา


หยางชิ่ง : สิ่งที่นายท่านกังวลก็ไม่ได้ผิด แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นที่นายท่านจินตนาการไว้หรอก นายท่านลองคิดดูสิ ในเมื่อกายหยาบของนายท่านมีความสำคัญต่อวิญญาณชั่วร้ายขนาดนี้ ถามหน่อยว่าหวังกงนั่นจะยอมมอบนายท่านให้คนอื่นเหรอ? เกรงว่าคงอยากจะเก็บไว้คนเดียวน่ะสิ มีหรือที่จะปล่อยข่าวให้คนอื่นรู้? อาศัยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นสองของหวังกงกับกำลังพลเก้าขุนเขาสี่ลำน้ำของค่ายพยัคฆ์ดำเก้าขุนเขาสี่ลำน้ำ อยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ไม่ได้นับว่าร้ายกาจอะไรเลย ถ้าให้คนอื่นรู้ข่าวนี้ขึ้นมา เขาก็คงจะไม่มีส่วนได้อะไรกับเรื่องนี้แล้ว เขาจะทิ้งโอกาสดีๆ แบบนี้ไปได้ยังไง? ถ้าข้าน้อยเดาไม่ผิด สาวใช้ที่หนีไปพวกนั้นคงไม่บอกข่าวให้ค่ายพยัคฆ์ดำรู้หรอก ถ้ารายงานให้หวังกงรู้ เรื่องแรกที่หวังกงจะทำก็คือควบคุมตัวสาวใช้พวกนั้นไว้แน่นอน ป้องกันไม่ให้ข่าวหลุดไง จากนั้นค่อยวางแผนจับนายท่าน จะได้กินคนเดียวได้สะดวก


ใช่แล้ว! เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในทันที ตัวอยู่ที่นี่เอาแต่คิดว่าวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นจะมาหาเรื่องตัวเอง ทำไมคิดไม่ได้แบบนี้บ้าง? เขาตอบว่า : เป็นแบบนี้จริงๆ หวังกงคงจะไม่ปล่อยข่าวนี้ มีความเป็นไปได้ไม่มากที่วิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์จะกรูกันเข้ามา เรื่องราวไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น


หยางชิ่ง : ถ้าเป็นแบบนี้ กลยุทธ์ชั้นยอดก็ยังมีจุดที่สามารถใช้ได้ผล ภายใต้สถานการณ์ที่หวังกงไม่กล้าเปิดเผยความลับ ขอเพียงนายท่านหลบให้พ้นหวังกงคนเดียวก็พอแล้ว ถ้าหลบไม่พ้น ก็ค่อยใช้กลยุทธ์ชั้นกลางก็ยังไม่สาย ถึงตอนนั้นเพื่อที่จะรักษาความลับ หวังกงก็คงไม่อยากให้คนรู้เรื่องนี้เยอะเกินไป ลูกน้องที่มารับมือกับนายท่านคงมีไม่เยอะ ใช้กลยุทธ์ชั้นกลางก็สามารถกำจัดหวังกงและผู้ติดตามได้ ตัดขาดช่องทางข่าวสารที่มีกายหยาบของนักพรตมาโผล่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ทว่านายท่านจะต้องลำบากต่อสู้! แต่วิธีการนี้ก็ยังไม่มั่นคงปลอดภัย เพราะนายท่านเสียเปรียบที่เหาะไม่ได้ รับประกันได้ยากว่าจะไม่มีปลาลอดแหออกไป นี่ก็คือกลยุทธ์ชั้นกลาง นายท่านจะต้องใช้แผนนี้อย่างระมัดระวัง ไม่ต้องลงมือ แต่ถ้าจะลงมือก็ต้องฆ่าให้หมด!


เหมียวอี้พยักหน้า แล้วบอกว่า : ที่พูดมาก็มีเหตุผล กลยุทธ์ชั้นต่ำเป็นยังไงบ้าง?


หยางชิ่ง : กลยุทธ์ชั้นต่ำก็คือนายท่านจะต้องเสี่ยงอันตรายมากที่สุด!


เหมียวอี้ : มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรเสี่ยงหรือไม่เสี่ยงอีก


หยางชิ่ง : กลยุทธ์ชั้นต่ำก็คือสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ[1] ขี่เสือไปกินสุนัขจิ้งจอก เจอเก่งกว่าก็เลือกเก่งกว่า ‘เลือก’ ในที่นี้หมายถึงคัดเลือก’!


ฟังดูมีอำนาจน่าเกรงขามมาก เหมียวอี้กระปรี้กระเปร่าทันที กล่าวขอคำชี้แนะ : สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ขี่เสือไปกินสุนัขจิ้งจอก ยิ่งเจอคนเก่งก็เลือกคนเก่งยังไงเหรอ?


หยางชิ่งถามกลับ : พวกเราพิจารณาจากรากขึ้นไปเลย นายท่านคิดว่าวิญญาณชั่วร้ายที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์กลัวอะไรที่สุด?


เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางตอบว่า : ตั้งแต่ได้รู้ข้อมูลมา ข้าว่าวิญญาณชั่วร้ายกลัวเผ่าหงส์และมังกรที่สุดแล้ว เป็นดาวอริของพวกมันเลย


หยางชิ่งถามอีกว่า : เผ่าหงส์และมังกรยังอยู่มั้ย?


เหมียวอี้ : ก็ต้องอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์น่ะสิ โดนตำหนักสวรรค์ควบคุมแล้ว


หยางชิ่ง : หรือพูดได้อีกอย่างว่า วิญญาณชั่วร้ายของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ในตอนนี้กลัวตำหนักสวรรค์ ถูกมั้ย?


เหมียวอี้ : ถูกแล้ว!


หยางชิ่ง : แล้วฐานะที่นายท่านประกาศไปอยู่ในระดับไหน?


เหมียวอี้ตะลึงงัน พอจะเข้าใจแล้วนิดหน่อย ลองถามว่า : เจ้าหมายความว่า ให้ข้าใช้ฐานะที่ตำหนักสวรรค์ขู่พวกเขาเหรอ? แต่อาศัยข้าแค่ตัวคนเดียว ประกอบกับวรยุทธ์ของข้า เกรงว่าจะขู่ได้ยาก ถ้าจะขู่ก็คงจะขู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น ต้องรู้ไว้นะว่าข้าต้องอยู่ที่นี่หนึ่งพันปี พอเวลานานไป ก็เลี่ยงไม่ให้คนสงสัยได้ยาก พวกเขาจะสงสัยว่าทำไมตัวละครเล็กๆ ของตำหนักสวรรค์ถึงมาเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด แค่หยั่งเชิงก็เผยพิรุธแล้ว


หยางชิ่ง : ก็ไม่ได้หวังว่าอาศัยการขู่แล้วจะผ่านด่านนี้ไปได้ แค่ขู่ไว้ได้ชั่วคราวก็พอแล้ว ขอแค่ทำให้พวกเขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามในระยะเวลาสั้นๆ ก็พอแล้ว ยังดีกว่าเจอนายท่านแล้วลงมือกับนายท่านทันที ดีกว่าไม่ให้โอกาสนายท่านได้รับมือเลย สามารถทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวและสงบลงได้ก็พอ มีเพียงวิธีการนี้เท่านั้น นี่คือการใช้แผนจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ถ้ากลยุทธ์ชั้นยอดกับกลยุทธ์ชั้นกลางล้มเหลว นายท่านได้ประมือกับหวังกงไปแล้ว ถ้าใช้กลยุทธ์ชั้นต่ำรับมือกับพวกเขาอีกก็เกรงว่าจะไม่ได้ผลแล้ว ถ้านายท่านรับมือกับหวังกงนั่นไม่ไหว นายท่านก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในมือเขา จะได้ไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น อาศัยชื่อเสียงที่นายท่านโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน ข้าน้อยเชื่อว่าถึงแม้นายท่านจะเหาะไม่ได้ ถึงแม้จะรับมือกับหวังกงไม่ไหว แต่ก็ไม่ง่ายที่หวังกงจะจัดการนายท่านให้ได้ในรวดเดียว ตอนนี้นายท่านควรคิดหาทางเอาตัวรอดทันที พยายามไปขอพึ่งพาที่อาณาเขตอื่น คนที่จะไปขอพึ่งพาจะต้องมีความคิดที่อยากจะฮุบร่างนายท่านเหมือนหวังกง มีหรือที่จะยอมให้หวังกงเปิดเผยความลับ เขาจะต้องหาทางกำจัดหวังกงแน่นอน ถ้าหวังกงชนะ หวังกงก็จะต้องปิดปากคนที่นายท่านไปขอพึ่งพา ส่วนนายท่านก็ไปหาคนอื่นต่อ ต้องมีคนที่สามารถหาทางจัดการหวังกงได้อยู่แล้ว นี่ก็คือการขี่เสือไปกินสุนัขจิ้งจอก!


เหมียวอี้ถามอย่างสงสัยว่า : ถ้าคนที่ข้าไปขอพึ่งพาชนะล่ะ จะทำยังไง? ต่อให้ข้าเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือขู่เขาไว้ได้ อย่าบอกนะว่าข้าต้องอยู่ข้างกายเขาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเผยพิรุธแล้วให้เขาจัดการข้า?


หยางชิ่ง : ยังต้องพิจารณาขึ้นไปจากราก สิ่งที่วิญญาณชั่วร้ายกลัวก็คือตำหนักสวรรค์ สิ่งที่อยากได้ก็คือแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายที่อยู่ในถ้ำมังกรรังหงส์ พวกเขารับมือกับตำหนักสวรรค์ไม่ไหว ทั้งยังเข้าไปที่ถ้ำมังกรรังหงส์ไม่ได้ ขอเพียงควบคุมพื้นฐานสองข้อนี้ได้ นายท่านก็จะมีโอกาสนำเกาลัดออกจากกองไฟ


เหมียวอี้ : ยินดีฟังรายละเอียด!


หยางชิ่ง : ถ้านายท่านโดนเล่นงานจนปลีกตัวออกมาไม่ได้จริงๆ ก็ย่อมต้องคิดหาทางปลีกตัวออกมา ถ้าอยากจะทำอย่างนั้น ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีที่ไหนที่ดีที่สุดสำหรับซ่อนตัวจากวิญญาณชั่วร้าย?


สอดคล้องกับคำแนะนำก่อนหน้านี้ของเขา เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ถามว่า : ถ้ำมังกรรังหงส์เหรอ?


หยางชิ่ง : ใช่แล้ว! เป็นถ้ำมังกรรังหงส์ มีเพียงการเข้าไปที่ถ้ำมังกรรังหงส์เท่านั้น นายท่านถึงจะสามารถหยุดการรบกวนทุกอย่างได้ ไม่อย่างนั้นวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นจะก่อกวนไม่จบไม่สิ้น พอเข้าไปในถ้ำมังกรรังหงส์แล้ว นายท่านฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ เดาว่าอยู่ในถ้ำมังกรรังหงส์หนึ่งพันปีคงจะไม่ลำบากมากหรอกใช่มั้ย?


เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ตอบไปว่า : ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่าถ้ำมังกรรังหงส์อยู่ที่ไหน แต่หนทางจะต้องไกลแน่นอน ไม่รู้ว่าบนเส้นทางนี้ต้องผ่านอาณาเขตของวิญญาณชั่วร้ายที่ทรงอิทธิพลมากมายเท่าไร ข้าเหาะไม่ได้ด้วย จะไปถึงได้ง่ายๆ เหมือนที่เจ้าบอกเหรอ?


หยางชิ่ง : นายท่านอย่าเพิ่งใจร้อน ฟังข้าน้อยพูดให้จบก่อน พอนายท่านไปขอพึ่งพาฝ่ายต่อไป หลังจากใช้แผนจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือทำให้อีกฝ่ายสงบได้แล้ว ก็ไม่ต้องรอจนเผยพิรุธให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น นายท่านเปิดเผยก่อนเลยว่าต้องการจะไปถ้ำมังกรรังหงส์ แต่นายท่านต้องหาทางทำให้อีกฝ่ายเชื่อให้ได้ว่าถ้ำมังกรรังหงส์ไม่ได้เข้าง่ายๆ ขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าได้กายหยาบแล้วจะเข้าไปได้เหมือนที่พวกเขาจินตนาการไว้ นายท่านสามารถปรับเปลี่ยนวิธีรับมือตามสถานการณ์ในตอนนั้นได้เลย เรื่องเล็กแค่นี้ อาศัยไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของนายท่าน ก็ไม่จำเป็นต้องให้หยางชิ่งพูดมากหรอก แค่ต้องทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่า ต่อให้ได้กายหยาบแล้วก็เข้าไปได้ยากอยู่ดี ถึงจะทำให้อีกฝ่ายจะลังเลนิดหน่อยก็ยังดี อีกฝ่ายจะไม่ลงมือทำอะไรนายท่านง่ายๆ ถึงยังไงก็เป็นโอกาสเดียว อีกฝ่ายมีแต่จะทำเรื่องนี้อย่างทะนุถนอมเห็นคุณค่า ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากก่อน นายท่านต้องชิงเป็นฝ่ายเชิญชวนอีกฝ่ายให้เขาไปในถ้ำมังกรรังหงส์ด้วยกัน บอกว่าตัวเองมีวิธีพาอีกฝ่ายเข้าไปในถ้ำมังกรรังหงส์ เมื่อมีการเชื้อเชิญจากนายท่าน ก็ย่อมทำลายความเคลือบแคลงของอีกฝ่ายได้แล้ว อีกฝ่ายจะยินดีคุ้มกันนายท่านไปส่งที่นั่นอย่างสุดชีวิตแน่นอน และเมื่อมีความจริงใจในการร่วมงานกันแบบนี้แล้ว  ก็สามารถรากฐานในการทำเรื่องนี้ตอนหลังได้ เพราะสามารถทำให้อีกฝ่ายลดการระวังตัว ถ้าไปถึงถ้ำมังกรรังหงส์แล้ว นายท่านก็อาศัยความเชื่อใจที่อีกฝ่ายมีต่อนายท่าน ใช้ประโยชน์จากอุปสรรคอันตรายของถ้ำมังกรรังหงส์เพื่อสลัดอีกฝ่ายออกไปในรวดเดียว นายท่านฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ อันตรายของถ้ำมังกรรังหงส์เป็นดาวอริของวิญญาณชั่วร้าย แต่กลับทำให้นายท่านได้ปัจจัยเรื่องจังหวะเวลาและชัยภูมิ ส่วนความเชื่อใจที่วิญญาณชั่วร้ายมีต่อนายท่านก็คือแรงสามัคคี นายท่านมีทั้งเวลา สถานที่และคนให้ใช้ประโยชน์ เมื่อน้ำมาคลองก็เกิด[2] อาศัยไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของนายท่าน ถ้ายังหลุดพ้นจากวิญญาณชั่วร้ายไม่ได้ เกรงว่าหยางชิ่งคงจะทำใจเชื่อได้ยากแล้ว!


มารดาเจ้าเถอะ ยังมีหวังที่จะไปถ้ำมังกรรังหงส์จริงๆ ด้วย! เหมียวอี้ฮึกเหิมทันที ถามอีกว่า : ถ้าหนทางยาวไกล แล้วถ้าเจอศัตรูที่แข็งแกร่งอีกจะทำยังไง?


หยางชิ่ง : ข้าน้อยก็หวังว่าพอนายท่านไปพึ่งพาใครสักคนแล้วจะสามารถจัดการปัญหาในภายหลังได้ดี แบบนี้จะลดความเสี่ยงได้ ถ้าหมดหนทางจริงๆ แล้วเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า ก็ใช่ว่ากลยุทธ์ชั้นต่ำจะใช้ได้กับคนเดียวเท่านั้น นายท่านสามารถใช้ซ้ำได้ แล้วพอเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า นายท่านก็ต้องไม่ลังเลที่จะทิ้งผู้ที่อ่อนแอกว่า แล้วค่อยใช้วิธีการขี่เสือกินสุนัขจิ้งจอกเพื่อกำจัดคนเก่าทิ้ง แล้วใช้แผนเก่าสยบคนใหม่อีกรอบ จากนั้นก็ไปยังถ้ำมังกรรังหงส์ต่อเพื่อบรรลุเป้าหมายในการหลีกภัยครั้งสุดท้ายของนายท่าน นี่ก็คือสิ่งที่ข้าน้อยเรียกว่า ‘เจอเก่งกว่าก็เลือกเก่งกว่า’! กลยุทธ์ชั้นต่ำ จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ขี่เสือกินสุนัขจิ้งจอก เจอเก่งกว่าก็เลือกเก่งกว่าก็เป็นแบบนี้ นายท่านยังมีอะไรสงสัยอีกมั้ย?


…………………………


[1] สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ 狐假虎威 อวดอ้างบารมีผู้มีอิทธิพล


[2]  น้ำมาคลองก็เกิด 水到渠成 เมื่อเงื่อนไขทุกอย่างสุกงอม ทุกอย่างก็ย่อมสำเร็จ


บทที่ 1470 ไล่ตามมาแล้ว

Ink Stone_Fantasy

สงสัย?


เหมียวอี้มีความคิดอยากจะไปที่ถ้ำมังกรรังหงส์จริงๆ ไม่ใช่เพราะอะไร เป็นเพราะอยากจะไปเพื่อไฟหยางแท้กับไฟหยินแท้สักรอบ โดนขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี ถ้าปล่อยทิ้งขว้างไปก็น่าเสียดายมาก ทว่าหนทางนั้นยากจะคาดเดา กลัวว่าจะมีอันตรายมากกว่า พอตอนนี้มีวิธีไปแล้ว มีหรือที่เขาจะไม่ดีใจ?


ดีใจก็ส่วนดีใจ แต่จุดที่น่าสงสัยก็ยังมีอยู่ ไม่ได้สงสัยเกี่ยวกับแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่สงสัยเกี่ยวกับตัวหยางชิ่ง


กลยุทธ์ชั้นยอด กลยุทธ์ชั้นกลาง กลยุทธ์ชั้นต่ำที่หยางชิ่งคิดให้นี้ทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออกจริงๆ โดยเฉพาะกลยุทธ์ชั้นต่ำ เป็นกลยุทธ์ลูกโซ่ที่ต่อเนื่องหลาชั้นจริงๆ เหมียวอี้ฟังจนหวาดระแวงกลัว นี่ขนาดตัวหยางชิ่งอยู๋ข้างนอกนะ อยู่ห่างจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไกลมาก อาศัยแค่ฟังสถานการณ์บางอย่างนิดหน่อยก็สามารถวางแผนได้ขนาดนี้  การวางแผนนี้ช่างทำให้คนรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ


เหมียวอี้จะไม่คิดไปในทางนั้นก็ไม่ได้ ถ้าวันไหนหยางชิ่งใช้กลอุบายนี้กับตนแล้วจะเป็นอย่างไร? ที่สำคัญคือหยางชิ่งเองก็ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ มีบทเรียนที่เคยแอบลงมือวางแผนกับอวิ๋นจือชิวแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญแผนพัง เกรงว่าคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอวิ๋นจือชิวจะตายอย่างไร ด้านนี้ของหยางชิ่งทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างหวาดกลัวจริงๆ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เหมียวอี้ควบคุมหยางชิ่งเอาไว้


คนเราน่ะ บางครั้งมีวรยุทธ์แข็งแกร่งก็ไม่ได้น่ากลัวหรอก ที่น่ากลัวกว่าคือใจคนที่วางกลอุบายไม่จบไม่สิ้น


เหมียวอี้นึกถึงที่สิ่งที่ตัวเองพูดกับอวิ๋นจือชิวก่อนหน้านี้ ที่เตรียมจะส่งหยางชิ่งไปแทรกแซงงานของลัทธิอู๋เลี่ยงที่แดนอเวจี ตอนนี้เขาเรียกได้ว่าสงสัยอย่างลึกซึ้ง ว่าให้หยางชิ่งไปแล้วจะเหมาะสมมั้ย? คนแบบหยางชิ่ง แค่ไม่ให้เวทีได้แสดงความสามารถเฉยๆ หรอก ถ้ามีเวทีแสดงความสามารถขึ้นมา ก็ยังไม่รู้เลยว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ต้องทราบไว้ว่าหยางชิ่งเคยมีประวัติทนยศเจ้านายตัวเอง บวกกับการวางแผนครั้งนี้ จะไม่ให้เหมียวอี้กังวลได้อย่างไร?


ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดมากกับเรื่องนี้ ตนยังไม่ผ่านด่านตรงหน้าด้วยซ้ำ!


เหมียวอี้เรียกสติกลับมา แล้วตอบว่า : เจ้าพูดไว้ชัดเจนมากแล้ว ไม่มีอะไรสงสัยแล้ว สมองเจ้าดีกว่าจริงๆ!


หยางชิ่งเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงโดนเหมียวอี้ควบคุม ถ้าพูดถึงความสามารถ เขาก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้ด้อยกว่าพวกสวีถังหราน ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ที่ลูกสาวเขาเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ ทั้งสองฝ่ายก็นับว่าเกี่ยวดองกันเพราะการแต่งงาน แต่เขาก็ยังไม่ถูกเหมียวอี้ใช้งานในตำแหน่งสำคัญ เหตุผลที่อยู่ในนั้นเขารู้อยู่แก่ใจ สาเหตุสำคัญเป็นเพราะเรื่องที่ตัวเองแอบวางแผนทำร้ายอวิ๋นจือชิวในปีนั้นถูกเปิดโปง ถ้าไม่ใช่เพราะมีลูกสาวแทรกอยู่ตรงกลาง เกรงว่าชีวิตของเขาคงจะไม่เหลือแล้ว เขาเองก็รู้ว่าตัวเองทำผิดต่อเจ้านายมาก ดังนั้นเมื่อมาที่พิภพใหญ่จึงรู้จักก้มหัว หวังว่าจะเติมรอยแยกระหว่างทั้งสองฝ่ายได้


ตอนนี้พอได้ยินเหมียวอี้กล่าวชม เขาก็ไม่คิดว่ามันเป็นคำชม แต่กลับรู้สึกได้ถึงความหมายลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในนั้น ทำให้เขากลัวนิดหน่อย รีบตอบไปว่า : เป็นเพราะตัวนายท่านอยู่ในนั้น ก็เลยมองไม่ทะลุเท่านั้นเอง ข้าน้อยดูอยู่ข้างๆ ก็เลยเห็นชัดเจนกว่า และการจะใช้กลยุทธ์ชั้นยอด กลยุทธ์ชั้นกลาง กลยุทธ์ชั้นต่ำนี้ก็ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ข้าน้อยเพียงพูดเป็นต่อยหอยเกินจริงเท่านั้นเอง จะทำสำเร็จหรือไม่ กุญแจสำคัญก็อยู่ที่ขั้นตอนการใช้แผนโดยละเอียดของนายท่าน นอกจากนี้ ข้าน้อยยังหวังว่าถ้าหากนายท่านสามารถใช้กลยุทธ์ชั้นยอดได้ ก็พยายามใช้แต่กลยุทธ์ชั้นยอด ถ้าโดนกดดันให้ใช้กลยุทธ์ชั้นต่ำ อันตรายที่อยู่ในนั้นก็ยากจะคาดเดา! และการขี่เสือกินสุนัขจิ้งจอกก็เป็นวิธีการที่ใช้เพราะโดนกดดันจนอับจนหนทาง ต้องทราบไว้ว่าเสื้อนั้นร้ายกาจกว่าสุนัขจิ้งจอก ร่วมงานกับสุนัขจิ้งจอกเพื่อหนีจะมีความมั่นใจกว่า วางแผนกับเสือกลับเสี่ยงมาก นายท่านรับมืออยู่ในนั้นเสี่ยงอันตรายที่สุด ถ้ามีอะไรไม่เหมาะสมนิดเดียวก็อาจจะเอาคืนไม่ได้อีกตลอดไป ดังนั้นข้าน้อยจึงพยายามตั้งแผนนี้ไว้เป็นกลยุทธ์ชั้นต่ำ นายท่านได้โปรดไตร่ตรองก่อนแล้วค่อยใช้!


เหมียวอี้ : ข้าจะจำไว้ เวลาเร่งด่วน ตอนนี้คุยเยอะไม่ได้ เดี่ยวถ้ามีอะไรสงสัยข้าจะขอคำชี้แนะอีกที


หยางชิ่ง : นายท่านรักษาตัวด้วย!


หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว หยางชิ่งก็เก็บระฆังดาราแล้วถอนหายใจยาว จากนั้นก็เดินช้าๆ อย่างกลุ้มใจนิดหน่อย


เมื่อเห็นเขาคุยธุระเสร็จแล้ว ชิงจวี๋ก็เดินเนิบนาบไปข้างกายเขาแล้วถามว่า “นายท่าน เป็นอะไรไปเจ้าคะ?”


“เขาเจอปัญหานิดหน่อย…” หยางชิ่งไม่ได้ปิดบังนาง อยู่ที่นี่ถ้าเชื่อใจไม่ได้แม้แต่ชิงจวี๋ เช่นนั้นเขาก็ไม่มีใครที่เชื่อถือได้แล้ว จึงเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ


หลังจากฟังจบ ชิงจวี๋ก็ขมวดคิ้วมุ่น “นายท่าน สถานการณ์ที่อันตรายทีการเปลี่ยนแปลงเยอะแบบนี้ เขาจะรับมือไหวเหรอ?”


หยางชิ่ง “บอกได้ไม่ชัดเจน ข้าไม่รู้สถานการณ์ทางนั้นแบบละเอียด ถ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น แล้วจะทำยังไงได้ล่ะ? ถ้าไม่เกิดอะไรที่เหนือความคาดหมาย ข้าก็ไม่เป็นห่วงความสามารถในด้านนี้ของเขาหรอก ความสามารถในการรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน ขนาดข้ายังสู้เขาไม่ได้เลย ตอนที่โดนกดดันให้ต้องรับมืออย่างใจเย็น เขาก็ใจเย็นกว่าข้าอีก ความเด็ดเดี่ยวในการลงมือ ข้าก็สู้เขาไม่ได้ ขอเพียงวางทิศทางใหญ่ๆ ออกมาได้ เขาก็รู้ว่าควรจะทำยังไง ต่อให้ข้าอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ดีกว่าเขา ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เขาก็น่าจะรับมือไหว!”


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วทำไมนายท่านยังมีสีหน้ากังวลอีก?” ชิงจวี๋สงสัย


หยางชิ่งส่ายหน้า แล้วถอนหายใจยาว “ข้าทำมากเกินไปน่ะสิ! ยิ่งข้าช่วยเขาวางแผนการไม่ดีมากมาย เขาก็ยิ่งจะระแวงข้า ทำเรื่องที่ฉลาดให้กลายเป็นโง่แล้วล่ะ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ข้าจะไม่ช่วยได้ยังไง จะให้มองดูเขาตายอยู่ในนั้นแล้วเวยเวยกลายเป็นหม้ายเหรอ?”


ชิงจวี๋ห่อเหี่ยวใจ เป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ แต่กลับมีความสัมพันธ์ซับซ้อนขนาดนี้…


เหมียวอี้ที่ตัวอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง ในขณะที่เขามองสถานการณ์ไม่ทะลุชัดเจน หยางชิ่งช่วยวางแผนวาดทิศทางใหญ่ๆ ไว้ให้เขาแล้ว เดิมทีเลอะเลือนกับสถานการณ์ต่างๆ รอบกาย ตอนนี้มีความมั่นใจแล้ว


เมื่อมีทิศทางใหญ่ๆ ชี้บอกเขาก็ไม่กลัวแล้ว ส่วนรายละเอียดว่าจะเดินไปอย่างไร เขาก็ย่อมมีแผนของตัวเอง สิ่งที่หยางชิ่งเรียกว่ากลยุทธ์ชั้นยอดชั้นกลางชั้นต่ำอะไรนั่น เขาไม่ได้พิจารณาอะไรมากเลย เขาตัดสินใจที่จะใช้กลยุทธ์ชั้นต่ำที่อันตรายกว่านั้น ก่อนหน้านี้ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะไปถ้ำมังกรรังหงส์ แต่ตอนนี้มีความหวังแล้ว มีหรือที่จะพลาดโอกาสอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี?


และนี่ก็คือสิ่งที่หยางชิ่งกังวล เขากลัวว่าเจ้าเวรนี่นะทำซี้ซั้ว ถึงได้จัด ‘เจอเก่งกว่าก็เลือกเก่งกว่า’ ให้เป็นกลยุทธ์ชั้นต่ำ ผลปรากฏว่าความพยายามสูญเปล่าแล้ว


“โจรอ้วน พวกเราไปกันเถอะ!” เหมียวอี้ที่ฮึกเหิมตะโกนบอก


เฮยทั่นที่สั่นหัวสายหางถามว่า “จะไปที่ไหน?”


เหมียวอี้มองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ทางทะเลทรายหินตอนที่มา ในเมื่อประมุขค่ายหวังกงของค่ายพยัคฆ์ดำไม่น่าจะปล่อยข่าว เช่นนั้นก็มองข้ามกลยุทธ์ชั้นยอดกลยุทธ์ชั้นกลางอะไรนั่นไปเลย เขาไม่คิดจะหลบซ่อนแล้ว และไม่คิดจะพัวพันอยู่กับหวังกงอีก แต่เตรียมที่จะมุ่งตรงไปยังถ้ำมังกรรังหงส์


พอเป็นแบบนี้ เขาก็ย่อมไม่ไปที่อาณาเขตของหวังกงอีกแล้ว ส่วนอาณาเขตของหวังกงจะอยู่ทางไหน เขาเองก็ไม่รู้ชัดเจน ใครใช้ให้เฮยทั่นกินคนนำทางเพียงคนเดียวไปแล้วล่ะ แต่ในเมื่ออาณาเขตของหวังกงเรียกว่าเก้าขุนเขาสี่ลำน้ำ คาดว่าคงจะไม่เกี่ยวข้องกับทะเลทรายหิน สามารถไปสำรวจดูได้


ดังนั้นจึงยกมือขึ้น โบกทวนชี้ไปยังทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ “ไปที่ทะเลทรายหินผืนนั้น”


“จะไปแหล่งที่นกไม่กล้าบินไปขี้ทำไม?” เฮยทั่นถามอย่างสงสัยนิดหน่อย


ตุ้บ! เหมียวอี้ใช้ทวนเคาะหัวมัน “ไม่เอาคำพูดเหลวไหลมาจากไหนเยอะขนาดนี้ ถ้าบ่นอีกข้าจะฆ่าเจ้าแล้วนะ”


เฮยทั่นกลุ้มใจ พบว่าตั้งแต่ตัวเองพูดภาษาคนได้ ก็โดนทำร้ายร่างกายถี่เป็นพิเศษ แค่เอ่ยปากพูดก็โดนตีแล้ว


แต่มันก็หุบปากแล้วเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง ปลดปล่อยฝีเท้าจนเกิดเสียงลมดังวูบ แล้ววิ่งตะบึงไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็วิ่งผ่านทะเลสาบที่ซ่อนตัวไปแล้ว วิ่งข้ามผ่านภูเขา พุ่งมาถึงทะเลทรายหินที่อยู่ตรงตีนเขา มาถึงปากทางสุญญะที่มีรอยฉีกขาดไม่หยุดอีกครั้ง


เหมียวอี้ที่ถือทวนนั่งอยู่บนหลังเฮยทั่นตัวกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะวิ่งของมัน มันวิ่งไปตลอดทางจนกระทั่งถึงจุดลึกของทะเลทรายหินอันกว้างใหญ่มองไม่เห็นปลายขอบ ขณะเดียวกันก็สำรวจโดยรอบเป็นระยะ เขาอยากจะจับคนนำทางอีกสักคน จะได้ถามว่าถ้ำมังกรรังหงส์อยู่ตรงไหนกันแน่


ขอบเขตของทะเลทรายหินผืนนี้ไม่เล็กเลยจริงๆ อาศัยความเร็วของเฮยทั่น ขนาดวิ่งไปเกือบครึ่งวันก็ยังวิ่งออกไปไม่ได้ จากสิ่งนี้จะเห็นได้ถึงความกว้างใหญ่ของเขตแดนมรณะดึกดำบรรพ์


ระหว่างทางไม่เจอใครเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าบังเอิญผ่านไปหรือว่าอย่างไร ถึงอย่างไรอาณาเขตของทะเลทรายหินก็ใหญ่ขนาดนั้น ถ้ามีคนวิ่งผ่านสักคนแล้วไม่สังเกตเห็นก็เป็นเรื่องปกติมาก


มองไม่เห็นคน แต่ปราณชั่วร้ายสี่สีที่พระเพื่อมนั้นมีให้เห็นอยู่ทุกที่ แต่สิ่งนี้ไม่ได้สร้างภัยคุกคามอะไรให้เหมียวอี้แล้ว เฮยทั่นก็ยิ่งสูบลงท้องอย่างไม่เกรงกลัวอะไร


ตรงหน้าไม่รู้เมื่อไรจะวิ่งไปถึงปลายสุด เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วสารทิศไม่หยุด ตอนที่หันไปมองข้างหลัง จู่ๆ เขาก็ชะงักไป สายตาไปหยุดอยู่บนท้องฟ้าด้านหลัง เห็นเพียงเงาคนคนหนึ่งแฉลบมาอย่างรวดเร็ว พอมาถึงท้องฟ้าด้านบนแล้วก็ผ่อนความเร็วลง แล้วจ้องมองลงมาข้างล่าง รักษาความเร็วให้เท่ากับเฮยทั่นที่อยู่ข้างล่าง


ผู้ที่มาเป็นชายวัยกลางคนที่หน้าตาธรรมดา เหมียวอี้ไม่สงสัยเลยว่าเป็นหวังกงประมุขค่ายพยัคฆ์ดำตามมาแล้วหรือเปล่า แต่หลังจากเห็นวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปดตรงหว่างคิ้วอีกฝ่าย แล้วก็เห็นอีกฝ่ายหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับใครบางคน เหมียวอี้ก็ตัดสินได้ทันทีว่าเป็นลูกน้องที่หวังกงส่งมาตามหาเขา กำลังพลของหวังกงไล่ตามมาแล้ว!


เมื่อตัดสินได้แบบนี้แล้ว เหมียวอี้ก็เก็บทวนในมือ พอพลิกมืออีกรอบก็จับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว ลูกธนูดาวตกที่อยู่บนสายถูกยิงออกไปพร้อมเสียงระเบิด


ช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายเหาะอยู่ในระดับที่สูงเกินไป โดยทั่วไปเฮยทั่นกระโดดไม่ได้สูงขนาดนั้น ทำได้เพียงใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ


เมื่อเห็นธนูและลูกดอกในมือเหมียวอี้ อีกฝ่ายก็ตกใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าหวังกงรักษาความลับกับลูกสมุน ไม่ได้บอกให้ลูกสมุนรู้ว่าในมือเหมียวอี้มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ รอจนกระทั่งเห็นลำแสงสายหนึ่งยิงเข้ามา ลุกลี้ลุกลนหักเลี้ยวอยากจะหนี แต่ก็สายไปเสียแล้ว


ฉึก! ลูกธนูดาวตกเลี้ยวตามไปโดนแผ่นหลังของอีกฝ่าย ผู้ที่มาเสียสมดุลร่างกายทันที มือเท้าสั่นอยู่กลางอากาศและตกลงมาแล้ว


เฮยทั่นหยุดวิ่งอย่างกะทันหัน แล้วก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง พุ่งไปยังทางที่อีกฝ่ายตกลงมา


พอคนตกลงมาได้ครึ่งทางก็ทรงตัวได้แล้ว ขณะกำลังจะเหาะขึ้นไปอีกครั้ง ใครจะคิดว่าจะมีลำแสงอีกสายพุ่งเข้ามาอีก ลูกธนูดาวตกแทงทะลุหน้าอกเขาอีกครั้ง เขาคว่ำตกลงมา แต่ยังไม่ทันจะถึงพื้น เฮยทั่นก็กระโจนเข้าไปรับแล้ว เหมียวอี้โบกทวนแทงท้องเขาหนึ่งที แล้วกดทวนสะบัดออกไป ทำให้อีกฝ่ายกระแทกลงพื้นเร็วยิ่งขึ้น


ผู้ที่มาตกกระแทกพื้นก่อน “อา…” แล้วก็กลิ้งอยู่บนพื้น ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าอนาถ ก่อนที่บนตัวจะมีควันลอยขึ้นมา


เฮยทั่นเหยียบลงพื้น ส่วนเหมียวอี้ก็ถีบลงหลังของมัน แล้วหมุนตัวกลางอากาศไปตกลงตรงหน้าคนคนนั้น พอกางนิ้วทั้งห้าดูด เพลิงจิตสายหนึ่งก็โผล่ออกมาจากร่างกายของอีกฝ่าย เข้ามาอยู่ในฝ่ามือของเหมียวอี้


ในที่สุดคนที่อยู่บนพื้นก็หยุดกลิ้ง บนตัวมีควันลอยเรากับโดนเผาไม่หยุด เสียงร้องโหยหวนเริ่มเบาลงทีละนิด วรยุทธ์บงกชทองขั้นแปดตรงหว่างคิ้วกลายเป็นบงกชทองขั้นสี่อย่างรวดเร็ว ตอนที่คนคนนั้นเพิ่งอาการทุเลาลง เพื่อจะสบตากับเหมียวอี้ ทวนเกล็ดย้อนก็จ่อตรงหน้าอกเขาแล้ว หัวทวนทำให้เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความน่ากลัว อดไม่ได้ที่จะอุทานว่า “ไว้ชีวิตด้วย!”


เหมียวอี้แสยะยิ้ม “รสชาติเมื่อครู่นี้เป็นยังไงบ้างล่ะ? ถ้าไม่อยากลิ้มลองอีกรอบ ก็บอกมาแต่โดยดี เจ้าเป็นใคร ตามข้ามาทำไม?”


“ข้าบอกก็ได้!” คนคนนั้นอุทานตอบ เห็นได้ชัดว่ารสชาติยามโดนเพลิงจิตเผาร่างกายนั้นทรมานมาก รีบตอบว่า “ข้าเป็นลูกน้องประมุขค่ายหวังกงของค่ายพยัคฆ์ดำ ประมุขค่ายสั่งให้ข้ามาตามหาเจ้า…หาเจ้า!”


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)