ลำนำบุปผาพิษ 1466-1477

 บทที่ 1466 ทุบตีคนผู้นี้ด้วยคิดว่าเป็นพวกชีกอ…


ในปีก่อน ช่วงเทศกาลเยี่ยนเฉินจะพานางออกไปเที่ยวเล่นอยู่เสมอ แต่ปีนี้จิ้งจอกน้อยรอจนจันทราลอยขึ้นมาแล้ว ส่องสว่างอยู่เหนือยอดศีรษะ เยี่ยนเฉินที่นางรอก็ยังไม่มา…


ท้ายที่สุดนางก็ไม่มีทิฐิแล้ว ครุ่นคิดเล็กน้อย และยังคงไปหาเขาอยู่ดี


นางยังตั้งใจสวมชุดที่งดงามเป็นพิเศษด้วย เป็นชุดที่เยี่ยนเฉินเคยเอ่ยชม ยามนั้นทุกครั้งที่เยี่ยนเฉินเห็นนางสวมชุดนี้จะมองนางอยู่นานยิ่ง


นึกไม่ถึงว่าเยี่ยนเฉินยังคงฝึกฝนอยู่เช่นเคย นางก็ไม่กล้ารบกวนเขา จึงมองตาแป๋วรอเขาฝึกเสร็จอยู่ด้านข้าง…


ไม่ง่ายเลยกว่าเยี่ยนเฉินจะฝึกเสร็จแล้วลืมตาขึ้นมา จิ้งจอกน้อยคิดว่าตนกับเขาไม่ได้พบกันกว่าสิบวันแล้ว เมื่อเขาเห็นตนจะต้องประหลาดใจระคนยินดีเป็นแน่ คาดไม่ถึงว่าเขาแค่ผงะไปเล็กน้อยเท่านั้น แล้วกวักมือเรียกเธอไปฝึกฝนกับเขาเหมือนที่ผ่านมา…


จิ้งจอกน้อยข่มกลั้นไว้ เตือนเขาว่าวันนี้เทศกาลไหว้พระจันทร์


เยี่ยนเฉินไม่ปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา พลางเอ่ยไม่กี่คำ “เทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วอย่างไร? มาเถอะ มาฝึกฝนกับข้า ระยะนี้เขาแอบขี้เกียจเกินไปแล้ว เช่นนี้จะก้าวหน้าได้อย่างไร…”


วาจามีหลักการของเขายังกล่าวไม่จบ จิ้งจอกน้อยก็ระเบิดออกมา “ฝึกฝน! ฝึกฝน! งั้นท่านก็ฝึกไปเถอะ! ข้าจะไปเที่ยวเล่นแล้ว!” ความโกรธพวยพุ่งจนนางหนีไปเอง


จิ้งจอกน้อยหนีลงเขาเข้าไปในเมืองด้วยตัวเอง และนั่นก็เป็นการฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่น่าเบื่อที่สุดของนาง


ดูโคมคนเดียว กินข้าวคนเดียว มองผู้อื่นเที่ยวเล่นกันเป็นคู่ๆ คนเดียว…


เยี่ยนเฉินไม่ได้มาตามหานาง นางผิดหวังยิ่งนัก นั่งน้ำตาไหลมองภาพสะท้อนเงาจันทร์ในระลอกคลื่นอยู่ริมแม่น้ำคนเดียว


รูปโฉมนางงดงาม ตาโตฉ่ำน้ำ น่ารักปานตุ๊กตา ย่อมดึงดูดความสนใจของพวกชีกอที่เดินเตร่อยู่ริมแม่น้ำเป็นธรรมดา บางคนเริ่มเข้ามาเกี้ยวพานางแล้ว พูดจาแทะโลมคลุมเครือกับนาง


จิ้งจอกน้อยกำลังหงุดหงิดอยู่ หนนี้จึงได้ที่ระบายอารมณ์แล้ว


ถึงแม้วรยุทธ์ของนางจะไม่ได้โดดเด่นที่สุดในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ แต่ยังคงน่าหวาดหวั่นนัก ในเมืองนี้ไม่อาจหาผู้ต่อกรได้สักคน


ตุ๊กตาน้อยน่ารักระเบิดอารมณ์กลายเป็นสาวน้อยจอมพลัง ประเคนหมัดเท้าใส่จนผู้อื่นร้องไห้หาบิดามารดา ซ้ำยังมีอยู่สองสามคนที่ถูกนางถีบลงแม่น้ำไป…


คนผู้หนึ่งที่ถูกนางทุบตีจนฟกช้ำแล้วเตะลงน้ำเป็นบุตรชายของเจ้าหน้าที่ทางการในเมืองนี้ เมื่อเสียเปรียบใหญ่หลวงถึงเพียงนี้เขาย่อมไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี


เขารู้ซึ้งถึงวรยุทธ์ของจิ้งจอกน้อยแล้ว ทราบว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ จึงส่งคนแอบติดตามจิ้งจอกน้อยไป ฉวยโอกาสตอนจิ้งจอกน้อยกินอาหารอยู่ในภัตตาคารแห่งหนึ่งอย่างไร้อารมณ์ วางยาลงในสำรับอาหารของนาง หมายจะทำให้นางสลบแล้วพาตัวไป…


ถึงอย่างไรจิ้งจอกน้อยก็มีพลังยุทธ์ลึกล้ำ นางจึงไม่ได้หมดสติไปอย่างสมบูรณ์ ยังคงมีสติอยู่บ้าง สะลึมสะลือบ้างมีสติบ้าง ร่างนางถูกผู้อื่นหามไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในใจทราบว่าไม่ดีแล้ว เพียงแต่กรีดร้องออกมาไม่ได้


นางนึกว่าครั้งนี้ตนคงจบเห่แล้ว นึกไม่ถึงว่าพอนางฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนอยู่ศาลเจ้าโทรมๆ แห่งหนึ่ง เสื้อผ้าของนางไม่เรียบร้อย มีชายหนุ่มรูปงามในชุดสีครามคนหนึ่งยื่นอยู่เบื้องหน้านาง นัยน์ตาดั่งระลอกคลื่นคู่นั้นกำลังจับจ้องแขนซ้ายของนางอยู่


บนแขนซ้ายของจิ้งจอกน้อยมีปานที่คล้ายใบหน้าจิ้งจอกอยู่รอยหนึ่ง รอยปานไม่ใหญ่นัก ขนาดเท่าเหรียญกษาปณ์เหรียญหนึ่ง


จิ้งจอกน้อยรังเกียจปานอัปลักษณ์นี้ของตนเสมอมา ปกติแล้วมักจะซ่อนเร้นไว้ หนนี้หากมิใช่เพราะถูกลวนลาม คงไม่เปิดเผยออกมา


บุรุษผู้หนึ่งจ้องมองแขนของเด็กสาว ถึงแม้หลานไว่หู่จะไร้เดียงสา แต่นางก็ทราบว่าเช่นนี้ไม่ถูกต้อง


ก่อนหน้านี้นางสะลึมสะลืออยู่ตลอด จึงไม่รู้เลยว่าใครที่ทำให้นางสลบแล้วพามาที่นี่ ยามนี้เมื่อเห็นคนผู้นี้อยู่ตรงหน้า นางจึงเดือดดาลขึ้นมาทันที ทุบตีคนผู้นี้ด้วยคิดว่าเป็นพวกชีกอ…


วรยุทธ์ของบุรุษผู้นี้กลับสูงส่งอย่างน่าไม่น่าเชื่อ อีกทั้งถูกเข้าใจผิดก็ไม่ได้อธิบายให้กระจ่าง กลับเงียบไว้แล้วเริ่มต่อสู้กับจิ้งจอกน้อย


——————————————————————–


บทที่ 1467 วันหน้าจะออกเรือนได้อย่างไร?


ต่อสู้ประมือกับจิ้งจอกน้อยไปหลายสิบกระบวนท่าก็ไม่มีวี่แววว่าจะเพลี่ยงพล้ำเลย ซ้ำยังยิ่งสู้ยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ


วรยุทธ์ของคนผู้นี้ค่อนข้างประหลาด เป็นแบบที่จิ้งจอกน้อยไม่เคยพบเห็นมาก่อน


สิ่งนี้กระตุ้นความอยากเอาชนะของจิ้งจอกน้อยขึ้นมาอย่างที่หาได้ยากยิ่งนัก รู้สึกว่าตนเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ หากเอาชนะคนนอกผู้หนึ่งยังไม่ได้ก็น่าขายหน้าอยู่บ้าง ดังนั้นจิ้งจอกน้อยจึงใช้วรยุทธ์ทั้งหมด ต่อสู้ล้มลุกคลุกคลานกับบุรุษผู้นั้น…


แต่เห็นได้ชัดว่าวรยุท์ของคนผู้นี้เหนือล้ำกว่าจิ้งจอกน้อยมากนัก ถึงแม้จิ้งจอกน้อยจะใช้พลังยุทธ์ทั้งหมดแล้ว หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยกระบวนท่าก็ยังแพ้อยู่ดี ถูกคนผู้นั้นสกัดจุดให้นิ่งอยู่ตรงนั้น


คนผู้นั้นวนเวียนอยู่รอบตัวนางสามร้อยหกสิบองศาอยู่สองรอบ จู่ๆ ก็เอ่ยถามนางประโยคหนึ่ง “เจ้าแซ่หลานใช่หรือไม่?”


จิ้งจอกน้อยยังคงใสซื่อยิ่งนัก ถามกลับอย่างเดือดดาล “เจ้ารู้ได้ยังไง?!”


คนผู้นั้นสบตานางครู่หนึ่ง นัยน์ตามีประกายแสงไหวระริกเล็กน้อย ถามนางอีกประโยค “วรยุทธ์ของเจ้ายอดเยี่ยมนัก ร่ำเรียนมาจากผู้ใด?”


จิ้งจอกน้อยรู้สึกว่าตนทำให้เหล่าอาจารย์ต้องเสียหน้าแล้ว ยามนี้ย่อมไม่คิดจะแจ้งนามของเหล่าอาจารย์ ดังนั้นนางจึงตอบกลับอย่างไปอย่างโอหัง “มิใช่กงการของเจ้า!”


คนผู้นั้นขมวดคิ้วนิดๆ “เป็นสาวเป็นแส้กลับหยาบคายเช่นนี้ วันหน้าจะออกเรือนได้อย่างไร?”


จิ้งจอกน้อยเดือดดาล กล่าวอีกประโยคหนึ่ง “มิใช่กงการของเจ้า!”


จิ้งจอกน้อยสบถประโยคนี้เป็น เนื่องจากเรียนรู้ประโยคนี้มาจากเชียนหลิงอวี่ ประโยคนี้เป็นคำที่เชียนหลิงอวี่พูดติดปากอยู่เสมอ ทุกครั้งยามที่เขาสบถประโยคนี้ออกมาจะดูทรงพลังยิ่งนัก ดังนั้นจิ้งจอกน้อยจึงเรียนรู้มา…


คนผู้นั้นเหล่มองนางแวบหนึ่ง สะบัดหน้าจากไปเลย


ด้วยเหตุนี้จิ้งจอกน้อยจึงยื่นทื่อดั่งเสากระโดงไม้อยู่ในศาลเจ้าผุพังแห่งนี้ทั้งคืน จวบจนรุ่งสางของวันถัดมานางถึงฝืนทะลวงจุดชีพจรบนร่างนางให้คลายออก ได้อิสรภาพกลับมา


จิ้งจอกน้อยเดือดดาลยิ่งนัก หลังจากนางได้อิสรภาพคืนก็ออกตามหาคนผู้นั้นปานพายุบุแคม ต้องการล้างแค้นให้ได้


แต่คนผู้นั้นหนีไปตั้งนานแล้วไม่รู้เลยว่าไปอยู่ซอกหลืบรูใด จิ้งจอกน้อยตามหาทั้งวันก็หาเงาร่างของคนผู้นั้นไม่พบเลย กลับพบกับเยี่ยนเฉินที่ออกมาตามหานางเข้า…


เมื่อเยี่ยนเฉินเห็นนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ว่ากล่าวสั่งสอนนางอีกหลายประโยคอย่างไม่เกรงใจ เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่สมควรต้องเข้าเรียนแล้ว ทว่าจิ้งจอกน้อยเอาแต่สนใจตามหาตัวคนผู้นั้นไม่ได้กลับไปที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เท่ากับว่าเป็นการโดดเรียน…


อาจารย์เฒ่าผู้สอนหนังสือเข้มงวดยิ่งนัก ไม่สบอารมณ์กับศิษย์ที่โดดเรียนเป็นที่สุด จึงร้องเรียนถึงกู่ฉานโม่อย่างขุ่นเคือง กู่ฉานโม่ไปสอบถามเยี่ยนเฉิน เยี่ยนเฉินถึงได้รู้ว่าจิ้งจอกน้อยยังไม่กลับมา


โชคดีที่เยี่ยนเฉินทราบว่านางชอบไปเที่ยวเล่นที่ไหน ดังนั้นจึงลงเขามาตามหา และเขาก็หาพบอย่างที่คิดไว้จริงๆ


เขานึกว่าจิ้งจอกน้อยไม่ยอมกลับไปเพราะแง่งอน จงใจโดดเรียนเพื่อเที่ยวเตร่


ส่วนจิ้งจอกน้อยถูกคนสกัดจุดไว้ทั้งคืน คืนนั้นทั้งหนาวทั้งหิวทั้งกลัว เมื่อเห็นเยี่ยนเฉินเดิมทีนางก็คับข้องหมองใจยิ่งนักอยู่แล้ว พอถูกเขาว่ากล่าวติเตียนเช่นนี้ ความคับข้องหมองใจนั้นจึงท่วมท้น ระเบิดออกมาอีกครั้ง ระบายอารมณ์ใส่เยี่ยนเฉิน ก่อนจะวิ่งกลับไปที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์คนเดียวดั่งลมหอบหนึ่ง จากนั้นก็พบกับสิ่งที่น่าตะลึงและน่าเดือดดาล ดาวเทพสงครามพุ่งชนโลกเสียแล้ว! ชายหนุ่มชุดครามที่ทำให้นางต้องยืนอยู่ที่ศาลเจ้าผุพังทั้งคืนถูกรับเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เป็นกรณีพิเศษ กลายเป็นสหายร่วมสำนักของนาง ซ้ำยังอยู่ชั้นเดียวกับนางด้วย!


และในที่สุดจิ้งจอกน้อยก็ได้ทราบนามของอีกฝ่ายแล้ว…หลานเยวี่ย มาจากชนเผ่าที่ลึกลับและสูงศักดิ์ที่สุดในทวีปนี้…เผ่าจิ้งจอกคราม


เผ่าจิ้งจอกครามเป็นชนเผ่าเซียนที่อยู่ในตำนานเล่าขานมาโดยตลอด คนในเผ่าสามารถมีร่างได้สองรูปแบบในเวลาเดียวกันคือร่างจิ้งจอกกับร่างมนุษย์ คนในเผ่ามีอายุขัยนับหมื่นปี เมื่อฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่งแล้ว จะแปลงร่างได้ตามใจนึก ถือกำเนิดเพื่อเป็นเซียนมิใช่มาร


บทที่ 1468 ผู้ใดหัวเราะเยาะนาง เขาก็ทุบตีผู้นั้น


คนเผ่าจิ้งจอกครามไม่ออกเคลื่อนไหวในทวีปนี้ง่ายๆ ต่อให้มีความเคลื่อนไหวก็จะปกปิดฐานะไว้เข้าสู่โลกด้วยฐานะมนุษย์ ผู้คนในโลกนี้เพียงเคยได้ยินเรื่องของชนเผ่านี้เท่านั้น ไม่เคยพบพานเลย


สมัยที่กู่ฉานโม่ยังหนุ่มเคยคบค้าสมาคมกับคนของเผ่าจิ้งจอกครามอยู่หนหนึ่ง ถึงขั้นที่ติดหนี้น้ำใจของประมุขเผ่าจิ้งจอกครามด้วย ดังงนั้นจึงจดจำตราสัญลักษณ์พิเศษของเผ่าที่คนในเผ่าพกติดตัวได้


ในเมื่อหลานเยวี่ยสมัครใจเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ กู่ฉานโม่ย่อมปฏิเสธไม่ได้ ถึงขั้นที่ให้เขาข้ามชั้นเรียนระดับต้นเป็นกรณีพิเศษ เข้าไปอยู่ในชั้นเรียนระดับกลางโดยตรง เข้าไปอยู่ในชั้นเรียนของจิ้งจอกน้อยอย่างประจวบเหมาะพอดี…


ถึงแม้หลานไว่หูจะแซ่หลานเช่นกัน แต่นางกลับไม่มีความเกี่ยวข้องกับเผ่าจิ้งจอกครามเลย นางเป็นเด็กกำพร้าที่ตระกูลของเยี่ยนเฉินรับเลี้ยง


มารดาของนางเคยเป็นโฉมงามที่โดดเด่นที่สุดในเมืองเล็กๆ แห่งนั้น ต่อมาไม่ทราบว่าหายตัวไปไหนระยะหนึ่ง เมื่อกลับมาอีกครั้งก็ตั้งครรภ์แล้ว


การท้องก่อนแต่งเป็นเรื่องต้องห้ามของเมืองนั้น หลังจากมารดาให้กำเนิดหลานไว่หู่ท่ามกลางคำนินทาครหาของฝูงชนได้ไม่นานก็จากโลกไป ก่อนตายไม่ได้เผยว่าบิดาของหลานไว่หู่คือผู้ใด กล่าวเพียงว่าเด็กน้อยแซ่หลาน ตั้งชื่อให้ว่าหลานไว่หู่ (จิ้งจอกครามนอกถิ่น) ถูกบิดามารดาของเยี่ยนเฉินเมตตารับไปเลี้ยงดูข้างกาย ถึงได้กลายเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ที่เติบโตมาพร้อมกับเยี่ยนเฉิน


ทวีปนี้มีแซ่หลานอยู่มากมาย มิใช่มีเพียงเผ่าจิ้งจอกคราม ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้สงสัยฐานะของหลานหู่มากนัก ถึงขั้นที่หัวเราะเยาะนางเนื่องจากคำว่า ‘หู่’ (จิ้งจอก) ในชื่อของนางอยู่บ่อยครั้ง เยาะหยันว่ามารดาของนางเป็นคางคกริอยากลิ้มรสหงส์ฟ้า แค่เพราะมีแซ่หลานก็คิดจะลากพัวพันกับเผ่าจิ้งจอกครามแล้ว


จิ้งจอกน้อยจิตใจบริสุทธิ์ เมื่อถูกคนหัวเราะเยาะเย้ยเช่นนี้ย่อเจ็บปวดยิ่งนัก ทว่าไม่ทราบว่าควรต้องทำอย่างไรถึงจะดี


โชคดีที่ต่อมาเยี่ยนเฉินทนมองไม่ได้ พวกเด็กๆ ที่เล่นด้วยกันตอนนั้นผู้ใดหัวเราะเยาะนาง เขาก็ทุบตีผู้นั้น


เยี่ยนเฉินแตกต่างกับหลานไว่หู่ เขาเป็นความภาคภูมิใจของทั้งตระกูล อีกทั้งเขาถือกำเนิดมาพร้อมกับรัศมีของผู้เป็นราชัน ไม่เพียงแต่คนรุ่นราวคราวเดียวกันเท่านั้นที่ยำเกรงเขา แม้แต่พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นก็ยังกริ่งเกรงเขาเสียสามส่วน เคารพเขาเช่นกัน


เนื่องจากท่าทางที่ปกป้องจิ้งจอกน้อยอย่างชัดเจนของเขา เสียงหัวเราะเยาะจิ้งจอกน้อยเหล่านั้นถึงได้ค่อยๆ ซาไป ไม่มีใครเอ่ยถึงอีกต่อไป และไม่มีผู้ใดกล้ากลั่นแกล้งจิ้งจอกน้อยอีก วันคืนของจิ้งจอกน้อยก็นับว่าสุขสบายอยู่หลายปี แต่ช่วงเวลาดีๆ คงอยู่ไม่นาน เมื่อเยี่ยนเฉินอายุได้สิบสามปีก็เข้าสู่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ห่างไกลจากบ้านเกิด จิ้งจอกน้อยจึงไม่มียันต์คุ้มภัยแล้ว และมีเค้าว่าจะถูกผู้อื่นรังแกอีกครั้ง


เคราะห์ดีที่ถึงแม้จิ้งจอกน้อยจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเผ่าจิ้งจอกคราม แต่ก็เป็นอัจฉริยะน้อยคนหนึ่งเช่นกัน หลังจากเยี่ยนเฉินเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ได้สามปี จิ้งจอกน้อยก็มีโชคได้เข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เหมือนกัน ถึงได้พัวพันกับเยี่ยนเฉินลึกซึ้งไปอีกขั้นหนึ่ง ทั้งสองคนจึงได้ก้าวมาถึงวันนี้…


หลังจากหลานเยวี่ยเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มา จิ้งจอกน้อยจดจำความแค้นเอาไว้ตลอดจึงไม่สนใจเขาเท่าไหร่


ส่วนหลานเยวี่ยผู้นี้ก็ค่อนข้างเกเร มักจะกระเซ้าเย้าแหย่นางเพื่อความสนุกอยู่บ่อยครั้ง ทำให้นางชิงชังจนกัดฟันกรอดๆ ปรารถนาจะทุบตีเขาเพื่อระบายแค้นยิ่งนัก


แต่นางมิใช่คู่ต่อสู้ของผู้อื่น ถ้าบุ่มบ่ามเข้าไปต่อกรจะมีแต่ตนที่เสียเปรียบ ทุกครั้งที่เห็นหลานเยวี่ยส่ายอาดๆ อยู่เบื้องหน้าตน จิ้งจอกน้อยรู้สึกโมโหยิ่งนัก โกรธจนนอนไม่หลับอยู่บ่อยๆ


เนื่องจากนางขุ่นเคืองเยี่ยนเฉินอยู่ หมางเมินต่อเยี่ยนเฉินมาหลายวันแล้ว ย่อมไม่บอกเขาเรื่องคดีความนี้ ยังคงเป็นเชียนหลิงอวี่ที่มองเส้นสนกลในออก ซักถามอยู่สองสามประโยคเขาก็รู้ความจริงแล้ว


เชียนหลิงอวี่ถือว่าจิ้งจอกน้อยเป็นคนที่ตนต้องคุ้มครองเสมอมา เมื่อได้ยินว่านางเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ก็โกรธยิ่งนัก รู้สึกว่าตนต้องเอาคืนแทนหลานไว่หู่ ทั้งสองจึงร่วมมือกันวางแผนเล่นงานหลานเยวี่ยสักครั้ง แทบจะเอากระสอบไปคลุมหลานเยวี่ยไว้แล้วทุบตีสักยกเสียแล้ว แต่เนื่องจากจัดการเรื่องราวได้ไม่รอบคอบพอ จึงถูกผู้อื่นจับได้เสียก่อน…


————————————————————————


บทที่ 1469 ท่าทางราวกับมีแผนการในใจ


พวกเขาไม่เพียงแต่ทุบตีหลานเยวี่ยไม่สำเร็จ แต่กลับถูกหลานเยวี่ยจับทางได้ หลานเยวี่ยมักจะเอาเรื่องไปฟ้องอาจารย์มาอ้างเป็นเหตุผลให้จิ้งจอกน้อยกับเชียนหลิงอวี่ทำโน่นนี่ จนทั้งสองเกือบก็จะกลายเป็นลูกสมุนของเขาอยู่แล้ว…


วันคืนเหล่านั้นทำให้หลานไว่หู่มีความคิดอยากเอาชนะหลานเยวี่ยอยู่เต็มหัวสมองไปหมด จึงลืมเรื่องที่เยี่ยนเฉินหมางเมินนางไปชั่วขณะ


ตอนนั้นนางอยู่แต่กับเชียนหลิงอวี่ทุกวัน ครุ่นคิดถึงจุดที่จะเล่นงานหลานเยวี่ยได้ สิ่งนี้ทำให้เยี่ยนเฉินรับรู้ได้ถึงวิกฤต และทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองหมางเมินจิ้งจอกน้อยไปจริงๆ เขาเริ่มไปหาจิ้งจอกน้อยบ่อยครั้งมากขึ้น…


นางยังคงขุ่นเคืองเยี่ยนเฉิน หลังจากที่นางระเบิดใส่เยี่ยนเฉินครานั้น นางก็ไม่ได้ไปหาเขาอีกเลย ถึงแม้เยี่ยนเฉินตามหานาง ท่าทีของนางก็เย็นชายิ่งนัก ไม่ได้ตามติดเขาแจอย่างเมื่อก่อนอีกต่อไป…


สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เยี่ยนเฉินกำลังจะทะลวงขั้นเก้าพอดี จำเป็นต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ไม่อาจให้เรื่องอื่นมารบกวนจิตใจได้


ส่วนเยี่ยนเฉินนั้นต้องการทำให้จิ้งจอกน้อยประหลาดใจ จึงไม่ได้บอกนางไว้ล่วงหน้า


เดิมทีเขาน่าจะทะลวงขั้นได้ภายในเวลาสามเดือน  ทว่าเรื่องของจิ้งจอกน้อยทำให้เขาไม่มีสมาธิฝึกฝนอีกต่อไป ในที่สุดก็ถูกธาตุไฟเข้าแทรกระหว่างการทะลวงสู่ขั้นเก้า หากกู่ฉานโม่ไม่ได้ไปพบเข้าและช่วยเขาไว้ได้ทันท่วงที ชีวิตน้อยๆ ของเยี่ยนเฉินคงต้องจบลงเช่นนี้แล้ว


ถึงแม้ดึงรั้งชีวิตน้อยๆ ของเยี่ยนเฉินกลับมาได้ ทว่าการถูกธาตุไฟเข้าแทรกของเขาทำให้สำนึกศึกษาชุมนุมสวรรค์แทบจะวุ่นวายกันไปหมด กู่ฉานโม่ตื่นตระหนกจนหนวดเคราหงอกขาวไปกึ่งหนึ่ง ส่วนเยี่ยนเฉินถึงแม้จะทะลวงขั้นได้สำเร็จ ทว่ายังคงมีอาการข้างเคียงหลงเหลืออยู่ เขาจะเป็นอัมพาตสองวันในทุกเดือน…


การรักษาอาการข้างเคียงเช่นนี้มีความหวังเพียงริบหรี่ เว้นแต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นแล้วอาการข้างเคียงนี้จะต้องอยู่กับเขาไปชั่วชีวิต


จิ้งจอกน้อยรู้สึกเสียใจเป็นที่สุดเมื่อรู้ความจริง ไม่กล้าแง่งอนเยี่ยนเฉินอีกต่อไป ซ้ำยังเป็นคนกลับไปอยู่ข้างกายเขาก่อนเองเสียด้วย


เยี่ยนเฉินบรรลุขั้นเก้าก็นับว่าสำเร็จการศึกษาอย่างราบรื่นแล้ว ตระกูลของเยี่ยนเฉินมีบ่อน้ำร้อนที่สามารถรักษาบาดแผลภายในได้ หากแช่น้ำเป็นเวลานานจะรักษาโรคได้มากมาย


คนตระกูลเยี่ยนเฉินมารับเขากลับบ้าน ต้องการให้เขาลองรักษาอาการข้างเคียงโดยการแช่บ่อน้ำร้อนนั้น ทว่าเยี่ยนเฉินยังคงเป็นห่วงหลานไว่หู่ ไม่อยากกลับไป


ท้ายที่สุดกู่ฉานโม่จึงตัดสินใจให้หลานไว่หู่ลาหยุดครึ่งปี ให้นางกลับไปเป็นเพื่อนเยี่ยนเฉิน


เมืองเยี่ยนจื่อบ้านเกิดของจิ้งจอกน้อยไม่มีผู้ใดที่นางห่วงหาอาทร หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนเฉิน ความจริงนางก็ไม่อยากกลับไป นางชอบเพื่อนๆ ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มากกว่า


ก่อนออกเดินทาง นางบอกลาผองเพื่อนที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ทุกคนต่างอาลัยอาวรณ์ จิ้งจอกน้อยเงยหน้าขึ้นมาเห็นหลานเยวี่ยยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน กำลังหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อย มองมาแล้วส่งกระแสเสียงถึงนาง ‘ไม่ต้องทำอย่างกับจะตายจากกันขนาดนี้หรอก ไม่ถึงครึ่งปีเจ้าก็กลับมาแล้ว เจ้ากลับมาเมื่อใดข้ามีบางสิ่งให้เจ้าประหลาดใจ…’


จิ้งจอกน้อยรังเกียจเขายิ่งนัก เพียงตอบกลับเขาไปสามคำ ‘ไสหัวไป!’


หลานเยวี่ยยิ้ม ไม่พูดจาอันใดอีก ท่าทางราวกับมีแผนการในใจ


เยี่ยนเฉินกลับบ้านหลังจากสำเร็จการศึกษา เขาได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ชาวบ้านแทบทั้งเมืองล้วนออกมาต้อนรับเขา


จิ้งจอกน้อยที่อยู่ข้างกายก็ดีอกดีใจแทนเยี่ยนเฉิน เนื่องจากนางรู้สึกผิดต่อเยี่ยนเฉิน จึงเป็นเด็กดียิ่งนักเสมอมา คอยปรนนิบัติข้างกายเยี่ยนเฉินอย่างสุดกำลัง เยี่ยนเฉินก็ไม่ต้องการหมางเมินนางอีกต่อไป มักจะจับมือนางบ่อยครั้ง ทำให้นางมีความสุขมาก


สิ่งที่ทำให้นางเป็นกังวลอยู่บ้างก็คือท่าทีของบิดามารดาเยี่ยนเฉิน


ก่อนหน้าที่จิ้งจอกน้อยยังไม่เข้าเรียนที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ บิดาเยี่ยนค่อนข้างดูแลนางเป็นอย่างดี คอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของนาง แต่มารดาเยี่ยนค่อนข้างไม่สนใจ ไม่ค่อยพูดจาอันใดกับนาง ทว่าสิ่งที่ต้องดูแลก็ยังคงดูแลอยู่


บทที่ 1470 ทำให้จิ้งจอกน้อยต้องการทุบตีคนเป็นอย่างมาก


ครั้งนี้นางติดตามเยี่ยนเฉินกลับมา รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าบิดามารดาเยี่ยนเฉินปฏิบัติต่อนางไม่เหมือนเดิม


บิดาเยี่ยนยังเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก เพียงแต่เมื่อเขาเห็นนางก็มักจะขมวดคิ้ว ราวกับไม่พอใจอะไรนาง


ส่วนมารดาเยี่ยนกลับเหมือนเห็นนางแล้วขัดหูขัดตาขึ้นมาอย่างงั้น คอยจับผิดนางอยู่เสมอ อย่างเช่นต่อว่ากิริยาท่าทางนางไม่งาม ต่อว่านางเดินก้าวเท้ายาวไปไม่สมเป็นกุลสตรี…


มารดาเยี่ยนผู้นี้ลอบวางแผนการไว้ในใจ นางแสร้งเอ็นดูจิ้งจอกน้อยต่อหน้าลูกชาย จัดห้องพักที่ดีที่สุดให้จิ้งจอกน้อย เครื่องนอนนุ่มๆ ห้องนอนอุ่นๆ อีกทั้งยังส่งสาวใช้สี่คนมาคอยดูแลข้างกายนาง จัดหาเสื้อผ้าที่ดีที่สุด ส่งเครื่องประดับอัญมณีที่ดีที่สุดมาให้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยนเฉินไม่เคยต่อว่าจิ้งจอกน้อยอันใด ในสายตาของเยี่ยนเฉิน มารดาเยี่ยนปฏิบัติต่อจิ้งจอกน้อยดังเช่นลูกสาว ทำให้เยี่ยนเฉินพึงพอใจยิ่งนัก


ทว่าเมื่อใดที่จิ้งจอกน้อยอยู่เพียงลำพัง ก็จะถูกมารดาเยี่ยนจับผิดต่างต่างนานา ว่ากล่าวติเตียนจนแทบโงหัวไม่ขึ้น จิ้งจอกน้อยกลัวการพบเจอนาง จึงหลบหนีโดยสัญชาตญาณ แต่ว่าจิ้งจอกน้อยจะหลบหนีไปได้ถึงเมื่อใดกัน?


เนื่องจากเยี่ยนเฉินต้องฝึกฝน ต้องแช่บ่อน้ำร้อน เวลาทั้งวันที่อยู่เป็นเพื่อนจิ้งจอกน้อยได้มีจำกัด แต่ละวันเจียดเวลามาอยู่เป็นเพื่อนนางได้หนึ่งชั่วยามก็นับว่าดีแล้ว


จิ้งจอกน้อยหวาดกลัวมารดาเยี่ยนยิ่งนัก ตอนเยี่ยนเฉินไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนนาง นางจะเริ่มออกไปข้างนอก พยายามไม่อยู่ที่คฤหาสน์เยี่ยน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกว่ากล่าว


ทว่านี่กลับกลายเป็นข้ออ้างที่มารดาเยี่ยนว่ากล่าวนาง ว่าในเมื่อนางเป็นผู้หญิงที่เยี่ยนเฉินชอบ ก็ไม่ควรออกไปเตร็ดเตร่เยี่ยงนี้ จะทำให้ถูกผู้อื่นติฉินนินทา และทำให้เยี่ยนเฉินเสื่อมเสียชื่อเสียง…


ยามจิ้งจอกน้อยอยู่ข้างนอกก็ได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาของตัวเองบ้างจริงๆ บ้างก็ว่าเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่อย่างนางได้รับความชอบจากเยี่ยนเฉิน นับเป็นวาสนาที่ในสิบชาติก็ไม่มีวันหาได้ บ้างก็ว่านกกระจอกอย่างนางริอาจจะโบยบินเป็นหงสา บ้างก็ประชดประชันว่าเด็กบ้านป่าอย่างนางทำบุญมาดีถึงได้อะไรดีๆ เช่นนี้ บ้างก็ว่านางไม่คู่ควรกับเยี่ยนเฉิน ต่อให้เป็นอนุก็มิอาจเอื้อมแล้ว…


วัฒนธรรมเมืองเยี่ยนจื่อค่อนข้างหัวโบราณ โดยพื้นฐานแล้วหญิงสาวล้วนไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง เมื่อจิ้งจอกน้อยเดินเล่นเตร็ดเตร่ข้างนอกถูกคนพบเห็นเข้าก็ทำให้เกิดเรื่องซุบซิบนินทากันมากมาย ซึ่งไม่รื่นหูเท่าใดนัก ทำให้จิ้งจอกน้อยต้องการทุบตีคนเป็นอย่างมาก


ข่าวเล่าข่าวลือเหล่านั้นย่อมแพร่กระจายไปถึงมารดาเยี่ยน มารดาเยี่ยนจึงสั่งห้ามไม่ให้จิ้งจอกน้อยออกไปไหนด้วยเห็นแก่ชื่อเสียงของลูกชาย…


แน่นอนว่าการห้ามจิ้งจอกน้อยไม่ใช่การใช้กำลัง ทว่านางใช้คำพูด “ไว่หู่ เฉินเอ๋อร์เป็นความภาคภูมิใจของพวกเราทั้งตระกูล ไม่อาจแปดเปื้อนได้แม้แต่น้อย ลูกคนนี้มีวินัยเสมอมา ไม่เคยทำให้พวกเราเป็นกังวลตั้งแต่เด็ก เขาชอบเจ้า พวกเราก็ไม่อยากขัดขวางพวกเจ้า แต่เจ้าก็ต้องคิดเพื่อเขาเสียบ้าง ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เจ้าทำให้เขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกเกือบจะสูญสิ้นชีพ มิหนำซ้ำยังต้องมาเป็นโรคเรื้อรังเช่นนี้อีก พวกเราก็มิได้กล่าวโทษเจ้าแต่อย่างใด หรือว่าเจ้ายังอยากทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง  ทำให้คนข้างนอกว่าเขาว่าอยากรับผู้หญิงที่ไม่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน สติฟั่นเฟือนมาเป็นภรรยาหรืออย่างไร? ตอนนั้นมารดาเจ้าถูกคนติฉินนินทาก็เพราะละเมิดจารีตสตรีเยี่ยงนี้ เดิมทีคนภายนอกก็มีอคติกับเจ้าอยู่แล้ว ขืนเจ้ายังออกไปเตร็ดเตร่ด้านนอกเช่นนี้อีก คนเหล่านั้นจะมองเจ้าอย่างไรเล่า? อีกอย่างคฤหาสน์ตระกูลเยี่ยนใหญ่โตถึงเพียงนี้ หรือว่าไม่มีที่พอสำหรับเจ้างั้นหรือ?


คำพูดจาเย้ยหยันถากถาง ดังมีดอ่อนนุ่มทิ่มแทงจิตใจคนโดยไม่ต้องหลั่งโลหิต ทำให้จิ้งจอกน้อยผู้ไร้เดียงสาพูดจาอันใดไม่ออกแล้ว


ดังนั้นจิ้งจอกน้อยจึงไม่กล้าออกไปข้างนอกอีกแล้ว ทำได้เพียงอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเยี่ยน และเมื่อใดที่นางอยู่ภายในคฤหาสน์ตระกูลเยี่ยน มารดาเยี่ยนก็จะส่งคนมาเรียกนางไปอยู่ข้างกาย คอยจับผิดต่างต่างนานา…


วันคืนที่จิ้งจอกน้อยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเยี่ยน หนึ่งวันยาวนานราวกับหนึ่งปี


————————————————————————–


บทที่ 1471 นกกระจอกที่เข้าไปในรังพญาหงส์…


มารดาเยี่ยนเป็นกุลสตรีมีชาติตระกูล ด่าคนไม่ต้องใช้คำหยาบคาย แต่กลับทิ่มแทงจิตใจคน อีกทั้งการจับผิดของนางมักจะหาเหตุผลที่ดูดีมาแอบอ้างได้เสมอ ความภาคภูมิใจในตัวเองของจิ้งจอกน้อยได้รับผลกระทบอย่างสาหัส แต่กลับไม่มีทางฟ้องเยี่ยนเฉินได้เลย…


ประการแรก เนื่องจากท่าทีของมารดาเยี่ยนที่มีต่อจิ้งจอกน้อยแสนดีเสมอมาเมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยนเฉิน ดูแลทะนุถนอมเป็นอย่างดี


ประการที่สอง เนื่องจากเยี่ยนเฉินต้องทำจิตใจให้สงบในการรักษาอาการข้างเคียงนั้น ไม่ควรมีเรื่องอื่นใดมารบกวน จิ้งจอกน้อยทำให้เขาธาตุไฟเข้าแทรกไปแล้วหนึ่งครา เดิมทีก็มีปมในใจ จึงไม่กล้าให้เรื่องราวเหล่านี้ทำให้เขาเสียสมาธิ


ประการที่สาม ต่อให้นางอยากฟ้องแต่ก็บอกเล่าเรื่องราวโดยละเอียดไม่ออก อย่างไรเสีย มารดาเยี่ยนทำร้ายจิตใจนาง เพียงใช้สายตาดูถูกเหยียดหยามมองนาง ใช้น้ำเสียงว่ากล่าวตักเตือนแก้ไข ‘นิสัยเสีย’ ของนาง ทำให้นางเป็นไปตามมาตรฐานลูกสะใภ้ตระกูลเยี่ยน…


ระยะเวลาหนึ่งเดือน ร่างกายจิ้งจอกน้อยซูบผอมลงไปไม่น้อย ความภาคภูมิใจในตัวเองของนางก็ถูกทำลายจนย่อยยับ หัวใจแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ จนแทบจะต่อไม่ติด นางเริ่มเงียบขรึม พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไข ‘นิสัยเสีย’ ของตัวเองให้เป็นไปตามมาตรฐานของมารดาเยี่ยน จนกลายเป็นกุลสตรีมากขึ้น นางรู้จักสำรวมกิริยาวาจาแล้ว ทว่าก็ยังคงถูกมารดาเยี่ยนจับผิดอีกมากมายอยู่ทุกวัน…


นางอึดอัดใจเป็นอย่างมากเมื่ออยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเยี่ยน นอกจากเยี่ยนเฉินแล้ว นางก็ไม่มีเพื่อนเลยสักคน สาวใช้เหล่านั้นแสดงความเคารพมีมารยาทต่อนาง แต่กลับไม่ใกล้ชิดสนิทสนม จนบางทีสายตาที่มองนางราวกับมองนกกระจอกที่เข้าไปในรังพญาหงส์ตัวหนึ่ง…


จิ้งจอกน้อยเริ่มคิดถึงวันคืนที่สำนึกศึกษาชุมนุมสวรรค์ เริ่มคิดถึงเพื่อนที่สำนักชุมนุมศึกษาสวรรค์


เพื่อนที่สำนักชุมนุมศึกษาสวรรค์ของนางมีมากมาย ทว่าคนที่มียันต์ถ่ายทอดเสียงมีไม่มาก มีเพียงแค่พวกจางฉูฉู่ เชียนหลิงอวี่เท่านั้นที่มี


แต่พวกเขาต่างยุ่งมาก ทุกวันฝึกฝนทำภารกิจ ยุ่งจนเท้าไม่ได้แตะพื้น จิ้งจอกน้อยไม่อยากรบกวนเวลาพวกเขามากนัก จึงติดต่อเขาไปทุกๆ สามวันหรือห้าวัน


ทุกครั้งจางฉูฉู่ล้วนพูดจาส่งเสียงดังดุจยิงปืนกล พูดคุยกับจิ้งจอกน้อยถึงความยากลำบากและเหน็ดเหนื่อยในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์หลายวันมานี้ดังถั่วระเบิด ต่อว่าอาจารย์ถึงความวิปริตในการฝึกสอนพวกเขา ทุกครั้งล้วนเต็มเปี่ยมด้วยพลัง


เดิมทีจิ้งจอกน้อยก็เคยต่อว่าอาจารย์ด้วยกันกับจางฉูฉู่ เคยรู้สึกถึงความลำบากยากเข็ญเช่นกัน ทว่าตอนนี้นางยอมกลับไปรับการฝึกสอนของอาจารย์ร้อยรอบเสียยังดีกว่า…


ประสาทสัมผัสของจางฉูฉู่หยาบกระด้างยิ่งกว่าสายไฟ ย่อมไม่รู้สึกว่าจิ้งจอกน้อยมีอะไรผิดปกติ แถมยังบอกว่าอิจฉาจิ้งจอกน้อยที่ได้อยู่กับคนรักทั้งวันทั้งคืน อีกทั้งยังมีเวลาว่างทุกวัน ไม่จำเป็นต้องนอนยามกะสามตื่นยามกะห้าเพื่อฝึกฝน…


เชียนหลิงอวี่อย่างไรก็เป็นผู้ชาย อีกทั้งยังเป็นคุณชายเอาแต่ใจ ไม่ค่อยเข้าใจจิตใจที่ละเอียดอ่อนของผู้หญิง อีกอย่างจิ้งจอกน้อยก็เป็นคนบอกเล่าแต่เรื่องดีๆ เขาจึงไม่พบความผิดปกติอันใด เพียงแต่บอกนางอย่างโอหังว่าหากนางไม่ได้รับความยุติธรรมต้องบอกเขา เขาเป็นเพื่อนนาง จะต้องช่วยให้นางหลุดพ้นจากสภาพเลวร้าย


ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้ดวงตาจิ้งจอกน้อยแดงก่ำ รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แต่มันก็เท่านั้นเอง


เดิมทีการพูดคุยกับทั้งสองคนทำให้จิ้งจอกน้อยลืมความทุกข์ไปได้บ้าง ได้รับความอบอุ่นบ้าง ทว่ามีครั้งหนึ่งมารดาเยี่ยนเข้ามาได้ยินนางพูดคุยกับเชียนหลิงอวี่ภายในห้อง มารดาเยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไว่หู เจ้าเป็นหญิงสาว อนาคตจะแต่งงานกับลูกข้า เหตุใดยังคุยเล่นกับชายอื่นอย่างสนิทสนมเยี่ยงนี้? ใครรู้เข้าจะเป็นอย่างไร? เจ้าต้องคิดถึงเฉินเอ๋อร์ให้มาก และก็ควรหลีกเลี่ยงการกระทำนี้เสีย!”


ดังนั้นมารดาเยี่ยนจึงริบยันต์ถ่ายทอดเสียงของจิ้งจอกน้อยไป บอกว่าจะเก็บรักษาไว้ให้นาง…


หลังจากนั้น จิ้งจอกน้อยก็ตกอยู่ในสถานการณ์โดดเดี่ยวหัวเดียวกระเทียมลีบ แม้แต่ความสุขเพียงหนึ่งเดียวก็ถูกลิดรอนอย่างไร้หัวใจไปแล้ว


นางซูบผอมลงทุกวัน จนในที่สุดเยี่ยนเฉินก็รู้ถึงความผิดปกติของนาง จึงเอ่ยถามสาเหตุ


บทที่ 1472 เป็นฝ่ายจากเยี่ยนเฉินไปเอง…


นางซูบผอมลงทุกวัน จนในที่สุดเยี่ยนเฉินก็รู้ถึงความผิดปกติของนาง จึงเอ่ยถามสาเหตุ จิ้งจอกน้อยไม่ต้องการพูดถึงเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับมารดาเขา เลี่ยงไม่ให้ยั่วยุความรู้สึกระหว่างพวกเขาสองแม่ลูก อีกทั้งยังกลัวว่าเยี่ยนเฉินจะเสียสมาธิ ดังนั้นจึงส่ายหน้าไม่พูด เพียงบอกปัดว่าไม่คุ้นชินดินฟ้าอากาศ


มารดาเยี่ยนเป็นกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของจิ้งจอกน้อยมากกว่าเยี่ยนเฉินเสียอีก เมื่อเห็นนางซูบผอม จึงรีบส่งคนไปจัดหาของบำรุงที่ดีที่สุดมาบำรุงร่างกายจิ้งจอกน้อย หลายครั้งหลายคราที่นางเป็นคนตุ๋นน้ำแกงบำรุงด้วยตัวเอง นำมาส่งให้จิ้งจอกน้อยด้วยตัวเองต่อหน้าเยี่ยนเฉิน ทำให้เยี่ยนเฉินซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก


และคิดว่าจิ้งจอกน้อยไม่คุ้นชินดินฟ้าอากาศจริงๆ จึงพานางออกไปผ่อนคลายจิตใจ เที่ยวเล่นเป็นเพื่อนนางอยู่หลายวัน จนทำให้จิ้งจอกน้อยกลับขึ้นมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง


ทว่าด้วยเหตุนี้จึงทำให้เยี่ยนเฉินฝึกฝนล่าช้าไปหลายวัน จนถูกบิดาเยี่ยนต่อว่าโขยงใหญ่!


แน่นอนว่าในฐานะที่เป็นตัวต้นเรื่อง จิ้งจอกน้อยจึงถูกมารดาเยี่ยนต่อว่าต่อขานยกใหญ่เช่นกัน แทบจะชี้หน้าด่าทอนางว่าเป็นนางจิ้งจอกที่ทำให้จักรพรรดิไม่ออกว่าราชการ…


จิ้งจอกน้อยคิดมาตลอดว่าที่นางถูกว่ากล่าวตักเตือนเป็นเพราะว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอจริงๆ จึงพยายามปรับปรุงแก้ไข ทว่าต่อมานางจึงรับรู้ได้ว่า ไม่ว่านางจะทำดีเพียงใดก็ไม่มีทางถูกตาต้องใจมารดาเยี่ยนได้ เพราะอีกฝ่ายดูถูกเหยียดหยามนาง! เพียงแต่เห็นแก่หน้าลูกชาย จึงให้จิ้งจอกน้อยอยู่ในคฤหาสน์ต่อไป


‘พฤติกรรมมิชอบ’ ของมารดาจิ้งจอกน้อยเป็นบาปกำเนิด มารดาเยี่ยนไม่มีทางให้จิ้งจอกน้อยเป็นฮูหยินน้อยของคฤหาสน์ตระกูลเยี่ยนอย่างเด็ดขาด ที่นางคอยหาเรื่องจับผิดเยี่ยงนี้ก็เพื่อบีบบังคับให้จิ้งจอกน้อยยอมแพ้ต่อความยากลำบาก และละทิ้งความคิดที่จะแต่งงานกับเยี่ยนเฉิน เป็นฝ่ายจากเยี่ยนเฉินไปเอง…


จิ้งจอกน้อยทนทุกข์ทรมานที่คฤหาสน์ตระกูลเยี่ยนเป็นเวลาสามเดือน ในที่สุดก็เข้าใจจุดนี้อย่างทะลุปรุโปร่งเมื่อเหลิ่งอู๋ซวงปรากฏตัว


เหลิ่งอู๋ซวงมีชาติกำเนิดที่ดี ตระกูลเหลิ่งเป็นตระกูลขุนนางสูงศักดิ์มาหลายร้อยปี เหลิ่งอู๋ซวงก็เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าบ้านตระกูลเหลิ่ง รูปโฉมงดงามมิเป็นสองรองผู้ใด อุปนิสัยใจคอดี สง่างามอ่อนโยน ทุกท่วงท่ากิริยาล้วนแฝงความสง่างามมีชาติตระกูล


ตระกูลเหลิ่งกับตระกูลเยี่ยนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เจ้าบ้านตระกูลเหลิ่งกับเจ้าบ้านตระกูลเยี่ยนถึงขั้นเคยสาบานเป็นพี่น้องกัน ตอนเหลิ่งอู๋ซวงกับเยี่ยนเฉินยังไม่เกิด บิดามารดาของตระกูลทั้งสองยังพูดคุยกันเชิงล้อเล่นว่าหากทั้งสองตระกูลล้วนให้กำเนิดบุตรชายหรือบุตรสาวเหมือนกันก็ให้สาบานเป็นพี่น้องกัน เป็นพี่ชายน้องชายหรือพี่สาวน้องสาวร่วมสาบาน แต่หากเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ก็ให้แต่งงานเกี่ยวดองกัน


แน่นอนว่าตอนนั้นคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำพูดล้อกันเล่นเท่านั้น เมื่อล่วงเลยผ่านไปก็ลืมเสียแล้ว


ต่อมาทั้งตระกูลเหลิ่งย้ายถิ่นฐานไป เนื่องจากระยะทางที่ห่างไกล ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลค่อยๆ จืดจาง ไม่มีการไปมาหาสู่กันเป็นเวลาหลายปี


ทว่าครั้งนี้ ตระกูลเหลิ่งย้ายกลับมา เหลิ่งฮูหยินจึงพาลูกสาวเหลิ่งอู๋ซวงมาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้เหลิ่งอู๋ซวงจะอายุไล่เลี่ยกันกับจิ้งจอกน้อย ทว่านางมีชาติตระกูลที่ดีกว่า วางตัวได้อย่างเหมาะสม เป็นที่โปรดปรานของมารดาเยี่ยนเป็นอย่างมาก ที่หาได้ยากไปกว่านั้นก็คือ เลื่องลือกันว่าเหลิ่งอู๋ซวงมีสายเลือดของเผ่าจิ้งจอกคราม!


ท่านยายของเหลิ่งอู๋ซวงเป็นคนเผ่าจิ้งจอกคราม เคยเป็นสาวใช้ของประมุขเผ่าจิ้งจอกคราม


ประมุขเผ่าจิ้งจอกครามเคยติดหนี้น้ำใจท่านตาของเหลิ่งอู๋ซวง จึงจับคู่สาวใช้ข้างกายให้กับเขา จากนั้นก็ให้กำเนิดมารดาของเหลิ่งอู๋ซวง…


สายเลือดเผ่าจิ้งจอกครามสูงส่งลึกลับ หากมีสายเลือดของชนเผ่านี้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้คนอิจฉาได้เป็นที่สุดแล้ว เล่าขานกันว่าชายหนุ่มทั่วไปในทวีปนี้หากได้แต่งงานกับหญิงสาวที่มีสายเลือดเผ่าจิ้งจอกคราม จะเพิ่มพูนพลังวิญญาณได้อย่างยิ่งยวด ได้ผลยิ่งกว่าแต่งงานกับเตาหลอมโอสถเสียอีก


ว่ากันว่าพลังวิญญาณของท่านตาเหลิ่งอู๋ซวงในช่วงวัยเยาว์แสนจะธรรมดา หลังจากที่แต่งงานกับสาวใช้ผู้นั้น พลังวิญญาณของเขาฝ่าทะลวงจากขั้นห้าไปเป็นขั้นแปดในช่วงระยะเวลาสามปี กลายเป็นตำนานเล่าขานที่น่ายกย่องในยุคสมัยนั้น


อีกทั้งยังกล่าวกันอีกว่าทุกคนที่มีสายเลือดเผ่าจิ้งจอกครามล้วนได้รับการปกป้องจากเผ่าจิ้งจอกครามอย่างลับๆ เจริญก้าวหน้า ทั้งตระกูลนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ


————————————————————————–


บทที่ 1473 เป็นความฝันลมๆ แล้งๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย


ปีนั้นมารดาของหลานไว่หู่ให้กำเนิดนางโดยมิได้แต่งงาน เนื่องจากบอกว่านางแซ่หลาน ซ้ำยังตั้งชื่อว่าไว่หู่ นี่จึงทำให้บิดามารดาของเยี่ยนเฉินมีความหวังเล็กๆ หวังว่าบิดาของหลานไว่หู่จะเป็นคนในเผ่าจิ้งจอกคราม เช่นนี้หลานไว่หู่ก็จะมีสายเลือดพิสุทธิ์ของเผ่าจิ้งจอกครามอยู่ ดังนั้นพวกเขาสามีภรรยาจึงรับเลี้ยงหลานไว่หู่ไว้ เฝ้าสังเกตการณ์นางเงียบๆ อยู่หลายปี พบว่านางไม่มีลักษณะเฉพาะของเผ่าจิ้งจอกครามเลยสักนิด จึงละทิ้งความมุ่งมาดปรารถนานี้ไป


ที่ปีนั้นพวกเขาส่งหลานไว่หู่เข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ประการแรกเพราะหลานไว่หู่มีพรสวรรค์ ประการที่สองคือคิดจะหาบริวารดีๆ สักคนให้บุตรชาย รู้สึกด้วยความเมตตาที่พวกเขามีให้หลานไว่หู่ วันหน้าหลานไว่หู่ต้องยอมตายเพื่อปกป้องเยี่ยนเฉิน เป็นแขนเป็นขาให้เยี่ยนเฉินได้ กลับคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนเฉินจะตกหลุมรักหลานไว่หู่เข้า เรื่องนี้อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาสามีภรรยา


บุตรชายผู้มีพรสวรรค์เป็นอัจฉริยะที่ยากจะพบพานได้ในรอบร้อยปี ซ้ำยังมีความสามารถถึงเพียงนี้ สามีภรรยาตระกูลเยี่ยนจึงปลาบปลื้มยินดียิ่ง บุตรชายคนนี้คือความภูมิใจของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าต่อให้เป็นเทพธิดา บุตรชายของพวกเขาก็คู่ควรพอ ย่อมไม่ยอมหมั้นหมายจับคู่ให้เขาส่งๆ อยู่แล้ว แม้แต่เรื่องหมั้นหมายที่คุยเล่นกับเหลิ่งอู๋ซวงไปนั้นก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเช่นนั้น ถึงอย่างไรเหลิ่งอู๋ซวงก็มีเพียงสายเลือดของเผ่าจิ้งจอกคราม แท้จริงแล้วพลังวิญญาณยังคงธรรมดาสามัญ มีพลังวิญญาณเพียงขั้นห้าเท่านั้น…


พวกเขาคิดว่าบุตรชายของพวกตนล้ำเลิศถึงเพียงนี้ จะต้องสามารถหาอัจฉริยะหญิงชาติตระกูลดีสักคนกลับมาจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ มาเป็นสะใภ้ของพวกเขาได้ กลับไม่นึกเลยว่าเขาจะกลับมาพร้อมกับหลานไว่หู่! ยามที่เยี่ยนเฉินเพิ่งกลับมา ด้วยเกรงว่าบิดามารดาจะคัดค้านการแต่งงานนี้ จึงพูดคุยกับบิดามารดาเป็นการส่วนตัวครั้งหนึ่ง แสดงออกอย่างชัดเจนว่าชาตินี้ถ้ามิใช่หลานไว่หู่เขาจะไม่แต่ง หากว่าบิดามารดาเยี่ยนไม่ยอมรับ เขาจะพาหลานไว่หู่จากตระกูลเยี่ยนไปสร้างเนื้อสร้างตัวเอง…


เนื่องจากมีประโยคนี้วางอยู่เบื้องหน้า สามีภรรยาตระกูลเยี่ยนย่อมไม่กล้าคัดค้านการแต่งงานนี้ และไม่กล้าเกลี้ยกล่อมบุตรชาย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหันเหความคิดไปที่หลานไว่หู่…


ด้วยเหตุนี้ มารดาเยี่ยนจึงคิดจะบีบให้หลานไว่หู่เป็นฝ่ายจากไปเอง


หลานไว่หู่ที่น่าสงสารยังนึกอยู่ว่าตนทำไม่ดีที่ตรงไหน นางได้รับความอยุติธรรมสารพัด กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมมากมายไว้ อยากได้รับความโปรดปรานจากมารดาเยี่ยน นั่นเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย


ในความฝันที่ไม่ปะติดปะต่อกันของจิ้งจอกน้อย ล้วนเป็นฉากที่ถูกมารดาเยี่ยนกลั่นแกล้งด่าทออยู่ที่นั่น ทำให้กู้ซีจิ่วที่เป็นคนนอกและคอยเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก!


จิ้งจอกน้อยไร้เดียงสา แต่กู้ซีจิ่วไม่ได้ไร้เดียงสา! ลูกคิดรางแก้วของมารดาเยี่ยน เธอมองแค่ไม่กี่ฉากก็คาดเดาได้เกือบหมดแล้ว!


เห็นจิ้งจอกน้อยในความฝันถูกว่ากล่าวติเตียนจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี เมื่อกลับไปที่ห้องตนยังคงพยายามพิจารณาตัวเองดูอย่างสุดชีวิต กู้ซีจิ่วก็อยากจะเข้าไปปลุกสาวน้อยคนนี้ให้ตื่น อยากเข้าไปโอบกอดนาง…


วันคืนที่หลานไว่หูถูกกลั่นแกล้งเหล่านั้น กู้ซีจิ่วยังคงติดอยู่ในตาค่ายแห่งนั้น


ปีนั้นหากว่าตอนที่เธออยู่ด้านนอก ขอเพียงจิ้งจอกน้อยใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อเธอสักสองสามครั้ง เธอคงสามารถคาดเดาสิ่งที่สาวน้อยคนนี้ประสบพบพาน เสนอความเห็นให้นาง และสร้างฉากพลิกสถานการณ์อันงดงามให้ได้ คงไม่ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้…


สุดท้ายแล้วหลานไว่หู่พบพานอะไรเข้า? ถึงทำให้นางหักใจตัดสัมพันธ์กับเยี่ยนเฉินอย่างเด็ดขาด แล้วมาหมั้นกับหลานเยวี่ยแทน?


กู้ซีจิ่วอดทนมองต่อไป


ในฉากสุดท้าย เหลิ่งอู๋ซวงได้ออกโรงมากขึ้น


น่าจะเป็นเพราะมารดาเยี่ยนรู้สึกว่าถึงอย่างไรเหลิ่งอู๋ซวงก็มีชาติตระกูลกว่าหลานไว่หู่ จึงเริ่มเปิดใจรับเหลิ่งอู๋ซวงมาเป็นสะใภ้ของพวกเขาแล้ว


ต้องกล่าวเลยว่ามารดาเยี่ยนเป็นผู้เชี่ยวชาญการแก่งแย่งชิงดีในครอบครัวโดยแท้ มีชั้นเชิงในการเล่นงานคนยิ่งนัก ช่ำชองกระบวนท่าสังหารคนโดยไม่ต้องหลั่งโลหิต


เพื่อกระตุ้นหลานไว่หู่ นางจึงเริ่มเชิญเหลิ่งอู๋ซวงมาเที่ยวเล่น ส่วนเหลิ่งอู๋ซวงก็ถูกตาต้องใจเยี่ยนเฉิน ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว


บทที่ 1474 ข้าเห็นแล้วอึดอัดมาก…


ทุกครั้งที่เหลิ่งอู๋ซวงมา มารดาเยี่ยนล้วนให้หลานไว่หู่ไปอยู่เป็นเพื่อนข้างๆ มารดาเยี่ยนปฏิบัติต่อเหลิ่งอู๋ซวงด้วยสีหน้าอ่อนโยน มักจะเอ่ยชมรูปโฉมและคุณสมบัติของเหลิ่งอู๋ซวงอยู่ไม่ขาดปาก ส่วนจิ้งจอกน้อยบ้างก็หมางเมินนาง ให้นางมองอยู่ด้านข้าง บ้างก็ว่ากล่าวติเตียนต่อหน้าเหลิ่งอู๋ซวง ทำให้จิ้งจอกน้อยกระสับส่ายปานนั่งบนพรมหมุด…


เมื่อเหลิ่งอู๋ซวงจากไป มารดาเยี่ยนจะเพ่งพิศจิ้งจอกน้อย สายตานั้นราวกับมองเศษขยะที่อยู่ในหลุมอาจม บางครั้งก็ราวกับมองโคลนที่ไม่อาจก่อตัวเป็นกำแพงได้ ทำให้จิ้งจอกน้อยปรารถนาจะหดร่างเป็นฝุ่นธุลีไปเสีย


ทุกครั้งเมื่อถึงยามนี้มารดาเยี่ยนจะพูดจากระทบกระเทียบจิ้งจอกน้อยอยู่สองสามประโยค


ยกตัวอย่างเช่น ‘เจ้าดูอู๋ซวงสิ ท่วงท่ากริยาล้วนสง่างามมีชาติตระกูล แล้วเจ้าดูตัวเจ้าสิ…หึ!’


‘เจ้าหัดเอาอย่างอู๋ซวงบ้าง หากว่าเรียนรู้มาสักกระผีกหนึ่ง ก็คงไม่เป็นเช่นวันนี้…หึ! สุดท้ายก็เชิดหน้าชูตาไม่ได้…’


จิ้งจอกน้อยถูกกระทบกระเทียบจนทนไหว กัดฟันเลียนอย่างท่าเดินดั่งต้นหลิวลู่ลมของเหลิ่งอู๋ซวง แต่เดินได้เพียงสองก้าวก็ถูกมารดาเยี่ยนเยาะเย้ยว่าเป็นตงซือขมวดคิ้วเลียนอย่าง ทำให้จิ้งจอกน้อยแทบเดินไม่เป็นแล้ว!


เหลิ่งอู๋ซวงก็ปฏิบัติต่อจิ้งจอกด้วยท่าทีที่ลุ่มลึกยิ่งนัก ยามที่พูดคุยกับจิ้งจอกน้อย ถึงแม้จะจะสุภาพ แต่ก็แฝงท่าทางสูงส่งเอาไว้ ซ้ำยังใช้อุบายอันแยบคายให้จิ้งจอกน้อยเทน้ำรินชาให้นางด้วย วิธีการเหล่านั้นทำให้จิ้งจอกน้อยที่อยู่ต่อหน้ามารดาเยี่ยนไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำได้เพียงปฏิบัติตาม


หลังจากจิ้งจอกน้อยปฏิบัติแล้ว มักจะเห็นแววตารื่นเริงที่บรรลุผลในดวงตาของเหลิ่งอู๋ซวงเสมอ


ทำให้จิ้งจอกน้อยไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ค่อยๆ ไม่ถูกชะตากับเหลิ่งอู๋ซวงขึ้นมา


ด้วยเห็นแก่หน้าเยี่ยนเฉิน จิ้งจอกน้อยจึงข่มกลั้นความคับข้องใจที่ถูกมารดาเยี่ยนรังแกเอาไว้ และย่อมไม่คิดจะให้เหลิ่งอู๋ซวงมารังแกได้อีก มักจะปฏิบัติต่อเหลิ่งอู๋ซวงด้วยสายตาเย็นชา ทำให้มารดาเยี่ยนไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง ดุด่านางยกใหญ่


เหลิ่งอู๋ซวงก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง พิณหมากตำราวาดภาพนางล้วนชำนาญสิ้น ยามที่นางมาเยือนคฤหาสน์ตระกูลเยี่ยน นอกจากสนทนากับมารดาเยี่ยนแล้ว บางครั้งยังบังเอิญพบเยี่ยนเฉินอีกด้วย และได้พูดคุยกับเยี่ยนเฉินอยู่สองสามประโยค บางครั้งก็หาข้ออ้างมาเชิญเยี่ยนเฉินไปชี้แนะปัญหาในการฝึกฝนวรยุทธ์


ฝ่ายเยี่ยนเฉินเกรงอกเกรงใจนางยิ่งนัก เนื่องจากมารดาเยี่ยนมักจะชมเชยว่าเหลิงอู๋ซวงเข้าจิตเข้าใจผู้อื่น สุภาพรู้ความต่อหน้าเขาอยู่เสมอ


ดังนั้นเยี่ยนเฉินจึงมีทัศนคติต่อเหลิ่งอู๋ซวงดียิ่ง ส่วนเหลิ่งอู๋ซวงเมื่ออยู่ต่อนหน้าเขาก็ไม่เคยเผยท่าทีว่าอยากออกเรือนกับเขาเลย พูดคุยกับเสมือนมิตรสหาย จึงลดกำแพงในใจของเยี่ยนเฉินลงได้สำเร็จ เห็นนางเป็นสหายคนหนึ่ง


บางครั้งก็เดินหมากกับนาง ยามนางมาเชิญไปชี้แนะปัญหาในการฝึกยุทธ์ ขอเพียงไม่เกี่ยวพันถึงเคล็ดลับของสำนัก เขาก็ยินดีจะชี้แนะให้นางยิ่งนัก


และไม่ทราบว่าบังเอิญหรือมีใครจงใจ ทุกครั้งที่เขาอยู่กับเหลิ่งอู๋ซวงจิ้งจอกน้อยจะเห็นเข้าเสมอ…


ด้วยเหตุนี้จิ้งจอกน้อยจึงได้เห็นเขาเดินหมากกับเหลิ่งอู๋ซวงอยู่ใต้ต้นไม้ ได้เห็นเขากับเหลิ่งอู๋ซวงเดินเล่นด้วยกันอยู่ในสวนดอกไม้ ทั้งสองพูดคุยหัวเราะต่อกระซิก…


มีครั้งหนึ่งถึงขั้นเห็นตอนที่เหลิ่งอู๋ซวงเดินๆ อยู่แล้วสะดุดอะไรเข้า โผเข้าใส่ร่างของเยี่ยนเฉินที่อยู่ข้างกายพอดี เยี่ยนเฉินพยุงนางไปนั่งที่โขดหิน ซ้ำยังถามไถ่อย่างห่วงใยด้วยว่าข้อเท้านางแพลงหรือไม่…


ภาพเหล่านี้หากเป็นยามปกติ จิ้งจอกน้อยอาจจะไม่หวั่นใจ และไม่เก็บมาใส่ใจเลย แต่นางมีอคติกับเหลิ่งอู๋ซวงแล้ว เมื่อเห็นฉากนี้เข้านางจึงรู้สึกว่าแทงใจยิ่งนัก! และทำให้นางรู้สึกถึงวิกฤต…


สิ่งที่ทำให้จิ้งจอกน้อยหงุดหงิดกว่าเก่าคือ นางลองเลียนอย่างท่าเดินของเหลิ่งอู๋ซวงรวมถึงกริยาบางอย่างต่อหน้าเยี่ยนเฉินดู ทำให้เยี่ยนเฉินตกตะลึงยิ่งนัก เยี่ยนเฉินมองด้วยสีหน้าเหมือนปวดฟัน พลางลูบเส้นขนบนแขนของเขาที่ลุกชันขึ้นมา “จิ้งจอกน้อย เจ้าไม่ได้เป็นไข้ใช่หรือไม่? เจ้าอย่าเป็นแบบนี้สิ ข้าเห็นแล้วอึดอัดมาก…”


————————————————————–


บทที่ 1475 เจ้าชักจะไม่มีเหตุผลเกินไปแล้ว!


ทำให้จิ้งจอกน้อยโกรธยิ่งนัก สุดท้ายจึงถามเขาประโยคหนึ่ง “เหลิ่งอู๋ซวงก็มิใช่เช่นนี้หรอกหรือ? หรือท่านเห็นนางก็อึดอัดเหมือนกัน?”


เยี่ยนเฉินพูดไปโดยไม่ได้คิด “โง่งม นางนั้นเป็นไปตามธรรมชาติ เจ้านี่เป็นตงซือขมวดคิ้วเลียนอย่าง…”


ผู้พูดไร้เจตนาทว่าผู้ฟังกลับคิด ภาษิตสุดท้ายของเยี่ยนเฉินทำลายความมั่นใจในตัวเองของจิ้งจอกจนแตกพ่ายแล้ว สุดท้ายนางจึงโมโห “ท่านเห็นว่านางดีกระมัง? ท่านชอบนางใช่ไหม?! เช่นนั้นท่านก็แต่งกับนางซะสิ! พวกเราตัดขาดกันเสีย!” นางวิ่งหนีไปด้วยความขุ่นเคือง ทำให้เยี่ยนเฉินค่อนข้างจับต้นชนปลายไม่ถูกยิ่งนัก


ต่อมาเยี่ยนเฉินขอโทษ จิ้งจอกน้อยทั้งสองคนกลับมาคืนดีกัน แต่เหลิ่งอู๋ซวงได้กลายเป็นหัวข้อที่ไม่อาจแตะต้องได้ไปแล้ว มิเช่นนั้นจิ้งจอกน้อยจะโมโหขึ้นมา!


ในสายตาเยี่ยนเฉิน จิ้งจอกน้อยเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคนอารมณ์ร้ายไม่มีเหตุผล มักจะอารมณ์เสียใส่เขาบ่อยๆ โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ ถึงขั้นที่ต้องการให้เขาเว้นระยะห่างกับเหลิ่งอู๋ซวงด้วย ไม่อนุญาตให้เขาคุยกับเหลิ่งอู๋ซวงเลยสักประโยค มิเช่นนั้นนางจะทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย ถึงขั้นที่ร่ำร้องว่าจะเลิกกับเขา จะกลับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์…


เยี่ยนเฉินเป็นคนที่ค่อนข้างหัวรั้นยิ่งนัก ในที่สุดจึงไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว


มีครั้งหนึ่งเขาบังเอิญพบเหลิ่งอู๋ซวงในลานเรือน เหลิ่งอู๋ซวงบาดเจ็บที่เท้า ถามเขาว่ามีของจำพวกยาทาแก้ฟกช้ำบ้างไหม เยี่ยนเฉินจึงมอบให้นางไปหนึ่งกระปุก นึกไม่ถึงว่าจะถูกจิ้งจอกน้อยเห็นเข้า


หลานไว่หู่ฉวยยานั้นมา ดวงตาคู่โตถลึงมองเหลิ่งอู๋ซวงแล้วกล่าว “โอสถของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เราต่อให้โยนทิ้งแล้วก็ไม่มอบให้เจ้าใช้!” พลางโยนโอสถนั้นลงสระน้ำไปเสีย


นี่ทำให้เยี่ยนเฉินขายหน้าผู้อื่นยิ่งนัก และทำให้เขาโกรธมาก โกรธจนหน้าเขียวไปหมดแล้ว


แต่เหลิ่งอู๋ซวงกลับทำตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยเกลี้ยกล่อมเยี่ยนเฉิน บอกว่านางไม่เป็นไร ให้เขาอย่ามีปากเสียงกับจิ้งจอกเพราะนางเลย นางสามารถไปซื้อหายาที่ร้านยาได้ จากนั้นก็เดินกะโผลกกระเผลกไป


สีหน้าของเยี่ยนเฉินเขียวคล้ำ เอ่ยกับจิ้งจอกน้อยอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง “เจ้าชักจะไม่มีเหตุผลเกินไปแล้ว!” จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าจากไป ปล่อยจิ้งจอกน้อยไว้ตรองนั้นกับความอ้างว้างของสายลมฤดูใบไม้ร่วง


จิ้งจอกน้อยนั่งอยู่บนม้านั่งหินร้องไห้จนกลายเป็นตุ๊กตาเจ้าน้ำตาแล้ว นางไม่รู้ว่าตนเดินมถึงจดนี้ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าที่แท้ตนทำอะไรผิดจึงได้รับการปฏิบัติด้วยเช่นนี้


เยี่ยนเฉินคงอยากสอนบทเรียนที่แท้จริงให้นาง จึงหมางเมินนางอยู่หลายวัน และไม่มาหานางเลย


และช่วงนั้นเขาก็ฝึกยุทธ์จนถึงช่วงที่ค่อนข้างหัวเลี้ยวหัวต่อแล้ว เขากลับว่าตัวเองจะใจอ่อนไปชั่วขณะ จึงปิดด่านกักตนเสียเลย การกักตนหนนี้เป็นเวลาแปดวัน


ผ่านไปแปดวันก็ออกมา ท้ายที่สุดเขาก็อดเป็นจิ้งจอกน้อยไม่ได้ จึงไปหานาง พบว่านางป่วยหนักแล้ว ตัวคนซูบผอมหนังหุ้มกระดูก ขับให้ดวงตาดูโตขึ้นไปอีก


เยี่ยนเฉินสำนึกเสียใจ รีบเดินเข้าไปกุมมือนาง


จิ้งจอกน้อยขี้แยมองเยี่ยนเฉินโดยไม่มีน้ำตาเลยสักหยด และนางก็ไม่ให้เขากุมมือนางด้วย เพียงเบิกดวงเนตรกลมโตมองดูเขาเอ่ยถามเขา “พี่เยี่ยนเฉิน ท่านไม่ต้องการข้าแล้วใช่ไหม?”


เยี่ยนเฉินรั้งนางเข้าสู้อ้อมอกอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด จุมพิตหน้าผากนาง “เด็กโง่ ข้าชอบเจ้าถึงขนาดนี้ จะไม่ต้องการเจ้าได้อย่างไร?”


หลานไว่หู่ค่อนข้างแข็งทื่ออยู่ในอ้อมแขนเขา นางส่ายศีรษะ คล้ายจะไม่รับรู้อะไรแล้ว “แต่ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปหมด ข้าอยากลับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว…”


เยี่ยนเฉินกอดนางแน่น ใช้คางกดคลึงกระหม่อมนาง “จิ้งจอกน้อย ขอโทษนะ เป็นข้าไม่ดีเอง อภัยให้ข้าเถอะ เจ้ายกโทษให้ข้าด้วย…”


หลานไว่หู่ไม่พูดอะไรแล้ว นางเป็นสาวน้อยที่ชอบทำตัวน่ารักออดอ้อนให้กอดโอ๋ผู้หนึ่ง เมื่อก่อนพอเยี่ยนเฉินกอดนางก็อารมณ์ดีแล้ว ปลอบโยนเล็กน้อยก็ยิ้มเบิกบานดั่งดอกทานตะวันแล้ว ซ้ำนางยังกอดเขากลับด้วย เกาะติดบนร่างเยี่ยนเฉินปานหมีโคอาล่า แต่หนนี้มือของนางห้อยอยู่ตลอด ไม่ยอมกอดตอบเขาอีก


บทที่ 1476 เหลิ่งอู๋ซวงไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้!


เมื่อก่อนใบหน้าของจิ้งจอกน้อยกลมมน เมื่อสวมกอดร่างกายก็นุ่มนิ่มมีเนื้อมีหนัง ทำให้ทุกครั้งที่เยี่ยนเฉินได้กอดนางจะไม่อยากปล่อยมือเลย


แต่ตอนนี้ใบหน้าน้อยๆ ของหลานไว่หูผอมจนมีขนาดเท่าฝ่ามือแล้ว กระดูกบนร่างปูดโปน เยี่ยนเฉินรู้สึกตกละตึงนึกไม่ถึงว่านางจะซูบผอมถึงเพียงนี้! เบาหวิวดั่งขนนก


อาหารอุดมโภชนาการสารพัดถูกส่งมาที่ห้องของนาง ทว่านางกลับไม่อยากกินเลยสักคำ ในใจของเยี่ยนเฉินสำนึกเสียใจอย่างยิ่ง ทั้งไม่ฝึกวรยุทธ์ และไม่ไปแช่ที่บ่อน้ำร้อนแล้ว ขลุกอยู่ในห้องของจิ้งจอกน้อยตลอด เกลี้ยกล่อมสารพัดวิธีเพื่อให้นางกินอาหารอุดมโภชนาการเหล่านั้น อยากให้นางกลับมาอวบอัดเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง


เยี่ยนเฉินอยู่เป็นเพื่อนข้างกายนางเจ็ดแปดวัน ผู้ใดก็กล่อมให้ขยับไม่ได้


มารดาเยี่ยนร้อนใจนัก อาการข้างเคียงของเยี่ยนเฉินเพิ่งจะดีขึ้นเล็กน้อย เขามาตรากตรำเช่นนี้อีกครั้ง ถ้าตรากตรำจนเสื่อมโทรมไปจะทำอย่างไร?


จึงอาศัยช่วงที่เยี่ยนเฉินออกไปข้างนอก มารดาเยี่ยนมาพูดกล่อมจิ้งจอกน้อย หาผลประโยชน์จากตัวนาง ถามนางอยากให้เยี่ยนเฉินเสื่อมโทรมไปจริงๆ หรืออย่างไร?


จิ้งจอกน้อยที่เป็นเด็กดีมาโดยตลอดเพียงแต่ยิ้มเย็นๆ ตอบกลับคำพูดยืดยาวของมารดาเยี่ยนเพียงประโยคเดียว “เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นท่านที่ก่อขึ้นเอง! เขาจะเสื่อมโทรมหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับข้าเลย!”


ทำให้มารดาเยี่ยนโกรธเคืองนัก สะบัดแขนเสื้อจากไป


ถึงแม้จิ้งจอกน้อยจะพูดจาไร้เยื่อใย แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังรักเยี่ยนเฉิน ย่อมทนเห็นเยี่ยนเฉินเสื่อมโทรมถดถอยไม่ได้ ดังนั้นหลังจากนางดีขึ้นจึงให้เยี่ยนเฉินไปฝึกวรยุทธ์ต่อ


ถึงแม้นางกับเยี่ยนเฉินจะคืนดีกันแล้วแต่หลังจากหายป่วยนิสัยของจิ้งจอกน้อยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก นางไม่ยอมถูกรังแกอีกต่อไปแล้ว!


ยามที่มารดาเยี่ยนดุด่าติเตียนนางด้วยนิสัยเดิมๆ อีกครั้ง บางครั้งนางก็ตอกกลับไปอย่างตรงไปตรงมายิ่งนัก บางครั้งก็ผลักประตูออกไป ออกไปเที่ยวเล่นนอกคฤหาสน์ตระกูลเยี่ยนเสียเลย ทำให้มารดาเยี่ยนโมโหจนแทบหัวใจวายแล้ว


ท้ายที่สุดแล้วมารดาเยี่ยนก็เป็นคนที่มากเล่ห์คนหนึ่ง นางเริ่มวางแผนให้เยี่ยนเฉินได้ยินฉากที่จิ้งจอกน้อยถกเถียงกับนางเข้า…


และฉากเหล่านี้ล้วนเป็นตอนที่นางกำลังกล้ำกลืนฝืนข่มอารมณ์ ส่วนจิ้งจอกน้อยทำตัวไร้เหตุผล คล้ายลำพองกำเริบเสิบสาน อาศัยความรักใคร่เอ็นดูที่เยี่ยนเฉินมีต่อนางมาทำตามอำเภอใจ


เยี่ยนฉินย่อมไม่พอใจจิ้งจอกน้อย เริ่มโน้มน้าวให้นางเคารพบุพการีตน แต่จิ้งจอกน้อยในยามนี้ทั้งตัวหุ้มด้วยกระดูกแข็ง เหมือนตัวเม่นที่แค่จับก็พร้อมจะทิ่มแทง พอเยี่ยนเฉินเปิดปากเอ่ยนางก็จะโมโหทันที บอกว่าครอบครัวเขารังแกนาง บอกว่านางอยากจากไป…


เยี่ยนเฉินไม่อยากให้นางไป ทำได้เพียงอดทนไว้ แต่ในใจก็เริ่มสุมด้วยโทสะแล้ว


ในที่สุดก็มาถึงวันนั้น


วันนั้นจิ้งจอกน้อยบังเอิญได้ยินสาวใช้สองนางในคฤหาสน์ว่าร้ายนางลับหลัง พูดว่านางเป็นนางจิ้งจอกทำร้ายคน พูดว่ามารดาของนางเคยเป็นนางโลม วันหน้านางก็คงเป็นนางโลมน้อยคนหนึ่งเช่นกันเป็นแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะสวมหมวกเขียวให้นายน้อยของพวกนางด้วยก็ได้…


จิ้งจอกน้อยเดือดดาลทันที ลงมือด้วยตัวเอง ทุบตีสาวใช้สองคนนั้นจนน่วม ทุบจนสาวใช้สองคนนั้นร่ำร้องหาบิดามารดา


เสียงเคลื่อนไหวนี้ดึงดูดให้เหลิ่งอู๋ซวงมาที่นี่ เหลิ่งอู๋ซวงเหยียดกายเข้าขวาง ติเตียนจิ้งจอกน้อยเสียงดังลั่น “เหตุใดเจ้าจึงกำเริบเสิบเสิบสานเช่นนี้? ไหนเลยจะยังมีมาดของว่าที่ฮูหยินน้อยอยู่?! เด็กบ้านป่าก็ยังเป็นเด็กบ้านป่าอยู่ดี แม้แต่ครอบครัวที่อบรมสั่งสอนก็ไม่มี…”


ทักษะการด่าคนของเหลิ่งอู๋ซวงเทียบชั้นกับมารดาเยี่ยนได้เลย ไม่ต้องใช้คำหยาบก็สามารถทำให้คนแทบกระอักโลหิตออกมาได้


จิ้งจอกน้อยโกรธจนดวงตาแดงฉาน นางด่าคนไม่เป็น แต่วรยุทธ์นางยอดเยี่ยม นางตบตีคนเป็น!


ยามที่นางเอาจริงขึ้นมา เหลิ่งอู๋ซวงไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้!


ความปากดีของเหลิ่งอู๋ซวงทำให้ตนเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงแล้ว จิ้งจอกน้อยทุกตีจนใบหน้านางฟกช้ำบวมปูด


หากมิใช่มารดาเยี่ยนทราบข่าวแล้วเร่งร้อนตามมา เกรงว่าจิ้งจอกน้อยคงทุบเหลิ่งอู๋ซวงตายไปแล้ว ต่อให้เป็นเช่นนี้ เหลิ่งอู๋ซวงก็หมดสภาพแล้ว สองตาม่วงช้ำคล้ำเขียว โลหิตไหลจากจมูก ฟันหน้าก็หายไปสองซี่…


มารดาเยี่ยนโกรธจนตัวสั่น รักษาความสำรวมเยือกเย็นไว้ไม่อยู่แล้ว ระเบิดออกมาทันที!


—————————————————————————–


บทที่ 1477 ทำให้ท่านอกแตกตาย


หลังจากสั่งคนจับแยกจิ้งจอกน้อยออกก็ชี้หน้าด่าทอนาง ว่านางหยาบโลน ที่บ้านไม่สอนสั่ง ไม่คู่ควรกับลูกชายผู้เลิศเลอของนางแม้แต่น้อย อีกทั้งยังด่าทอจิ้งจอกน้อยว่ามีมารดาให้กำเนิด ทว่าไม่มีมารดาเลี้ยงดู ว่านางป่าเถื่อน พฤติกรรมน่าเอือมระอาเหมือนมารดาที่หนีตามผู้อื่นไปของนาง เป็นนางโลมน้อย ซ้ำยังด่าทอว่าบิดาที่นางไม่เคยพบเจอเป็นขอทานเที่ยวขอข้าวกิน เป็นคนชั้นต่ำที่สุด เทียบไม่ได้แม้แต่กับข้ารับใช้ตระกูลเยี่ยน ว่านางเป็นไก่ป่าตัวหนึ่งกลับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงริอยากจะเป็นหงส์ฟ้า ทำร้ายบุตรชายของนางให้เป็นคนก็มิใช่ เป็นผีก็มิเชิง…


ทั้งชีวิตของจิ้งจอกน้อยไม่เคยได้ยินคำด่าทอที่เลวทรามเยี่ยงนี้มาก่อน นางถูกด่าจนโง่งมไปหมดแล้ว!


เลือดอันร้อนรุ่มของนางพุ่งพล่าน ด่าทอนาง นางยังทนรับได้ ทว่าด่าถึงบิดามารดาของนาง นางไม่ทนอีกต่อไป! ความอยุติธรรมที่นางได้รับมาเนิ่นนาน ความโมโหโกรธาที่เก็บกดเอาไว้ระเบิดออกมาหมดในวินาทีนี้ นางลงไม้ลงมือกับมารดาเยี่ยน ยกเท้าขึ้นสูงถีบมารดาเยี่ยนกระเด็นตกลงไปในทะเลสาบอันเย็นเยือก


การกระทำที่ห้าวหาญของนางเยี่ยงนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง สาวใช้เหล่านั้นกำลังตกตะลึงจนตาค้าง พูดจาอันใดไม่ออก ไม่สนใจเรื่องการลงโทษนาง รีบกระโจนลงไปในทะเลสาบงมคนขึ้นมา สถานการณ์ชุลมุนเหนือธรรมดายิ่งนัก


จิ้งจอกน้อยยืนอยู่ริมทะเลสาบ หัวใจยังคงเต้นตึกตัก เย้ยยิ้มมองดูมารดาเยี่ยนที่โผล่ขึ้นมาจากทะเลสาบ “ใช่! ข้ามันคนชั้นต่ำ ไม่คู่ควรกับลูกชายท่าน! แต่เขาก็รักข้า ชอบพอข้า ท่านจะทำอย่างไรได้เล่า? ต่อให้ท่านจะโกรธ จะดูถูกข้าแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์! เพราะเขาชอบข้า เขาไม่ฟังคำพูดท่าน ถึงแม้ข้าหลอกลวงเขา เขาก็ไม่มีทางทำอะไรข้าได้! ข้าจะแต่งงานกับเขาอย่างแน่นอน! จะแต่งงานกับเขาอย่างยิ่งใหญ่ด้วย! มีวิธีก็หาทาง ไม่มีวิธีก็ตายเสีย! นางมารเฒ่า ข้าจะทรมานลูกชายท่าน ให้เขามีชีวิตอยู่และตายเพื่อข้า ทำให้ท่านอกแตกตาย!”


ดวงตาทั้งคู่ของนางแดงก่ำ แต่กลับหัวเราะมีความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เสียงดังจนทำให้คนทั้งสวนต่างได้ยินกันหมด


“หลานไว่หู่ เจ้าว่าอย่างไรนะ!” ในที่สุดเยี่ยนเฉินก็รีบร้อนตามมาได้ยินคำพูดด้านหลังไม่กี่ประโยคของนางเข้าพอดี


หลานไว่หู่ยังคงเลือดขึ้นหน้า ในหัวสมองยังมีเสียงดังหึ่งๆ นางหันหลังกลับในทันใด มองเห็นเยี่ยนเฉินที่รีบร้อนตามมาอย่างรวดเร็ว แน่นิ่งไม่กี่วินาทีก็เย้ยยิ้มต่อ “เยี่ยนเฉิน เจ้ามาได้ถูกเวลาเสียจริง!”


เยี่ยนเฉินไม่สนใจนางแล้ว มารดาของเขายังคงแช่อยู่ในทะเลสาบนี่!


ร่างกายเขาพลันโบยบินไปบนทะเลสาบ ช่วยเหลือมารดาเยี่ยนขึ้นมา หันกายอีกทีก็มาอยู่ริมทะเลสาบแล้ว


พลังวิญญาณเขาบรรลุขั้นเก้า ใช้วิชาบนร่างกายของมารดาเยี่ยนเพียงเล็กน้อย ร่างกายของมารดาเยี่ยนก็กลับมาเป็นดังเดิม สีหน้ามารดาเยี่ยนซีดเผือด ริมฝีปากมีเลือดออก มองลูกชายด้วยดวงตาอันเศร้าหมอง “เฉินเอ๋อร์ หญิงคนดีที่เจ้าชอบ…แค่กๆ…” เมื่อนางอ้าปากก็กระอักเลือดออกมา


เท้าที่ถีบออกไปของหลานไว่หู่เต็มไปด้วยความโกรธย่อมไม่เบา ถึงแม้ไม่ได้ถีบโดนตำแหน่งสำคัญของนาง ทว่าก็ทำให้นางบาดเจ็บภายในได้


สีหน้าเยี่ยนเฉินดำคล้ำ มือไม้สั่นเทา รีบรักษาบาดแผลให้นางพลางเอ่ยปาก “ท่านแม่ ขออภัย เป็นความผิดของลูกเอง ข้าจะให้นางมาขอโทษท่าน…หลานไว่หู่ กล่าวคำขอโทษ!”


ถ้อยคำไม่กี่คำด้านหลังของเยี่ยนเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


สีหน้าหลานไว่หู่ซีดขาวดังหิมะ ขบเม้มริมฝีปากน้อยๆ โพล่งคำพูดออกมาเพียงแค่สี่คำ “ข้าไม่ขอโทษ!”


เยี่ยนเฉินนิ่งอึ้ง


มารดาเยี่ยนหลุบตาลงเล็กน้อย “เฉินเอ๋อร์ เป็นความผิดแม่เอง…เป็นแม่เองที่ไม่มีทางทำให้นางพอใจ แม่เหนื่อยแล้ว และไม่ต้องการคำขอโทษจากนาง เจ้าพานางไปเถิด ดูแลนางให้ดี…”


ยิ่งนางพูดเช่นนี้ เยี่ยนเฉินยิ่งละอายใจ เขาคุกเข่าต่อหน้ามารดาแทบไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหน “ท่านแม่…ลูกอกตัญญูยิ่งนัก…”


มารดาเยี่ยนยกมือขึ้นลูบหน้าผากเยี่ยนเฉินอย่างสั่นเทา “เฉินเอ๋อร์ เจ้าเป็นลูกที่ดี ไม่ว่าเจ้าจะทำเยี่ยงไรแม่ก็ไม่ถือโทษโกรธเจ้า เห็นท่าแม่จะทำได้ไม่ดีถึงทำให้นาง…”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)