ข้ามกาลบันดาลรัก 146.4-149.3

 ตอนที่ 146.4

 

การเลือกของผู้ใหญ่บ้าน

 


 


 


ภรรยาหลิวต้าเป่ารีบลุกขึ้น พูดเตือน “ท่านแม่ ท่านพ่อยอมรับปากแล้ว ท่านวางกรรไกรลงก่อนเถอะ”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านที่วู่วามไปชั่วขณะ ถึงนำกรรไกรมาจ่อคอตัวเองข่มขู่ผู้ใหญ่บ้าน พอได้ยินว่าผู้ใหญ่บ้านยอมรับปาก ก็วางกรรไกรลง กลับเห็นเลือดที่ปลายกรรไกรถึงกับตกใจกรีดร้อง “เลือดออกแล้ว ข้าจะตายแล้วใช่ไหม?”


 


 


หลิวต้าเป่าได้ยินเสียงกรีดร้อง ลุกขึ้นวิ่งโซซัดโซเซเข้าไปในบ้าน


 


 


ผู้ใหญ่บ้านแย่งกรรไกรในมือนางโยนไปอีกด้าน พูดอย่างโมโห “ร้องโวยวายอะไร ยังห่างจากความตายอีกไกล”


 


 


หลิวต้าเป่าวิ่งเข้ามาเห็นแม่ตนเองยังปลอดภัยดี ก็โล่งอก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและคนที่เหลือเข้ามาในบ้าน เห็นลำคอภรรยาผู้ใหญ่บ้านมีคราบเลือดก็กะพริบตาปริบ ผู้ใหญ่บ้านสั่งภรรยาหลิวต้าเป่า “ประคองแม่เจ้าไปพักผ่อนในห้องพวกเจ้า”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านไม่ยินยอม พูดว่า “ไม่ได้ ข้าต้องเห็นเจ้าได้สัญญาทาสต้าเป่ากลับมากับตาถึงจะวางใจ”


 


 


ภรรยาหลิวต้าเป่าพูดเตือน “ท่านแม่ คอท่านยังมีเลือดอยู่เลย ท่านไปห้องข้า ข้าจะทำความสะอาดให้”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านหยิบเศษผ้าชิ้นหนึ่งบนเตียงมาเช็ดคอลวกๆ แล้วพูด “ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว เจ้าพาลูกกลับเข้าห้องไปก่อนเถอะ”


 


 


ภรรยาหลิวต้าเป่ามองผู้ใหญ่บ้านอย่างลำบากใจ เห็นเขาไม่คัดค้าน ก็รีบพาเด็กทั้งสองกลับไปที่ห้องตัวเอง


 


 


ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวและคนที่ตามมา “พวกเจ้านั่งเถอะ พวกเรามีเรื่องต้องคุยกัน”


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นรวมถึงเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ รอผู้ใหญ่บ้านเอ่ยปากเงียบๆ


 


 


ผู้ใหญ่บ้านคิดอยู่เป็นนาน ถึงพูดขึ้น “ข้าจะถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านก็ได้ แต่ข้าขอเพิ่มเงื่อนไขอีกสองสามข้อ”


 


 


“เชิญพูด” เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปาก


 


 


ผู้ใหญ่บ้านผ่อนลมหายใจแรง ตัดสินใจพูดออกไป “นอกจากเงื่อนไขที่ข้าเสนอไปเมื่อวาน พวกเจ้ายังต้องเพิ่มเงินให้พวกเราอีกห้าพันตำลึง”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านไม่คิดว่าผู้ใหญ่บ้านจะยื่นข้อเสนอนี้ออกมา เบิกตาโพลงอย่างยินดี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธทันควัน “ไม่ได้ มากเกินไปแล้ว”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านอดไม่ไหวพูดขึ้น “จะมากได้อย่างไร โรงงานรมควันเนื้อของพวกเจ้าทำเงินได้หลายร้อยตำลึงต่อวัน สิบกว่าวันก็หากลับมาได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น ตอกกลับอย่างเสียดแทง “หลังจากมอบสูตรเนื้อรมควันให้พวกท่าน โรงงานของพวกเราก็จะหยุดทำการ ถึงตอนนั้นสักตำลึงเดียวก็หาไม่ได้ จะเอาเงินห้าพันตำลึงมาจากไหน?”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านพูดอย่างไม่แยแส “โรงงานกุนเชียงของพวกเจ้าก็หาได้วันละหลายร้อยตำลึงไม่ใช่เรอะ? แค่เงินห้าพันตำลึงไม่น่าจะใช่เรื่องยากอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเย็นเยียบ “สูตรเนื้อรมควันถูกพวกเจ้าเอาไปแล้ว เงินที่หาได้จากโรงงานกุนเชียงก็ต้องให้พวกท่าน พวกเจ้าจะบีบพวกเราให้ตายหรืออย่างไร? หากพวกท่านคิดเช่นนี้จริงๆ ข้าว่าพวกเราไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก อย่างไรลุงใหญ่ข้าจะได้เป็นผู้ใหญ่บ้านหรือไม่ก็ไม่เป็นไร”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านลนลานถาม “เช่นนั้นพวกเจ้าจะให้ได้เท่าไหร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดแล้วตอบนาง “หนึ่งร้อยตำลึง”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านโก่งคอแผดเสียงก้องกังวาน “หนึ่งร้อยตำลึง เจ้าให้ขอทานหรือไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบนางอย่างเรียบเฉย “ขอทานยังน่าให้กว่าพวกเจ้าเยอะ แค่ให้หมั่นโถวก็สำนึกในบุญคุณ”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านสะอึกกึก


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านกระแอมหนึ่งครั้ง ส่งสัญญาณให้นางหยุดพูด จากนั้นพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “อย่างน้อยก็ต้องสามพันตำลึง น้อยกว่านี้หนึ่งอีแปะก็ไม่ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงส่ายหน้า “ไม่ได้ มากเกินไป พวกเราไม่มีให้มากขนาดนั้น”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านทนไม่ไหวเอ่ยปากอีกครั้ง “นังตัวดี เจ้าเจตนาใช่ไหม เจ้าไม่อยากให้พวกเราไถ่ตัวต้าเป่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ พูดเสียงอ่อน “ท่านยายผู้ใหญ่บ้าน ท่านใส่ความพวกเราแล้ว ข้าตั้งใจมาทำข้อตกลงกับพวกท่านด้วยใจจริง แต่ข้อเสนอของพวกท่านเกินกว่าเหตุนัก ข้าไม่มีเงินมากเช่นนั้นมาให้พวกท่านจริงๆ”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่ใช่จะหลอกปั่นหัวได้ง่ายๆ ได้ฟังก็พูดว่า “เจ้าอย่าคิดว่าพวกเราไม่รู้อะไรเลย ก่อนปีใหม่แค่ใบชาธรรมดาที่พวกเจ้าซื้อให้วงศาคณาญาติก็หลายพันตำลึงแล้ว ตอนนี้จะไม่มีเงินสามพันตำลึงได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยอมรับตามตรง “ท่านพูดถูกต้อง ก่อนปีใหม่ข้าใช้เงินซื้อใบชาไปไม่น้อยจริงๆ แต่ตอนนั้นมีโรงงานสองแห่งที่หาเงินได้ ตอนนี้ไม่เหมือนกัน พอให้สูตรเนื้อรมควันกับพวกท่าน พวกเราก็เหลือแค่โรงงานกุนเชียงแล้ว และจากนี้พออากาศร้อนขึ้น กุนเชียงก็จะขายไม่ดี เดือนหน้าข้าก็คิดจะหยุดงานแล้ว ถึงตอนนั้นครอบครัวพวกเราจะไม่มีรายรับเลยแม้แต่อีแปะเดียว อีกทั้งข้ายังคิดจะปลูกเรือนใหญ่ให้ท่านปู่ท่านย่า จึงไม่มีเงินเหลือมากพอมาให้พวกท่านจริงๆ หากท่านตกลง ข้าจะทุ่มสุดตัว เพิ่มให้พวกท่านอีกหนึ่งร้อยตำลึง”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้า “ไม่ได้ สองร้อยตำลึงน้อยเกินไป สองพันหกร้อยตำลึง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ส่ายหน้า พูดต่อรองกับเขา “สองร้อยยี่สิบตำลึง”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านกัดฟัน “สองพันตำลึง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็กัดฟัน “สองร้อยหกสิบตำลึง”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านโมโห “หนึ่งพันตำลึง หากเจ้าไม่ตกลง ก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน กางมือออกห้านิ้ว พูดด้วยใบหน้ารวดร้าว “ห้าร้อยตำลึง พวกท่านไม่ตกลง พวกเราจะพาหลิวต้าเป่าไปเดี๋ยวนี้”


 


 


ห้าร้อยตำลึงก็ไม่น้อยแล้ว เงินของคนทั้งหมู่บ้านหวงรวมกันยังไม่มากเท่านี้ ภรรยาผู้ใหญ่บ้านกลัวผู้ใหญ่บ้านจะไม่ตกลง แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวจะพาหลิวต้าเป่าไปจริงๆ แอบใช้มือกระทุ้งแขนผู้ใหญ่บ้านอยู่ข้างหลัง


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเห็นมาดของเมิ่งเชี่ยนโยว รู้ว่าเป็นเงินที่นางให้ได้มากที่สุดแล้ว หากตัวเองจะขอมากกว่านี้ นางจะต้องพาคนจากไปทันที จึงแสร้งทำเป็นครุ่นคิด พูดอย่างไม่เต็มใจ “ห้าร้อยตำลึงก็ห้าร้อยตำลึง แต่พวกเราไม่ต้องการตั๋วแลกเงิน พวกเราต้องการเงินสด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพูดขึ้นอีก “ข้ายังมีอีกหนึ่งเงื่อนไข…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พอใจแล้ว หันไปพูดกับเมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านลุงใหญ่ ท่านพ่อ พวกเราไปเถอะ เงื่อนไขของผู้ใหญ่บ้านเยอะเกินไป เป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเราจะต้องสิ้นเนื้อประดาตัว”


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นกลั้นขำ ลุกขึ้นยืน


 


 


ผู้ใหญ่บ้านรีบร้อนพูด “ครั้งนี้มิได้ต้องการสูตรหรือเงิน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าอกแสร้งทำเป็นขวัญหนี พูดว่า “ไม่ต้องการเงินหรือสูตรก็ดี ตกใจหมดเลย”


 


 


เมิ่งต้าจินฝืนกลั้นสุดชีวิตถึงไม่พ่นหัวเราะออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง “พูดเถอะ เงื่อนไขอะไร?”


 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านก็มองผู้ใหญ่บ้านอย่างข้องใจ ไม่เข้าใจว่าได้สูตรและเงินแล้ว เขายังมีเงื่อนไขอะไร


 


 


ผู้ใหญ่บ้านก็ไม่เกรงใจ พูดไปตามตรง “เงื่อนไขของข้าก็คือเมื่อให้สูตรพวกเราแล้ว นับแต่นี้ไปครอบครัวพวกเจ้าห้ามผลิตเนื้อรมควันและเครื่องในรมควันอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำเสียงแข็ง “ย่อมเป็นเช่นนั้น ท่านไม่พูดข้าก็ต้องทำเช่นนี้”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะยอมถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลอบถอนใจโล่งอก และตอบกลับอย่างยินดี “ดี ข้าจะให้ท่านพ่อกลับไปเอาสัญญาทาสของหลิวต้าเป่าและเงินมาให้ท่านเดี๋ยวนี้ ท่านเองก็รีบเขียนหนังสือแนะนำให้เสร็จ พอท่านและลุงใหญ่ไปทำเอกสารที่ที่ว่าการเสร็จ ท่านพ่อข้าจะมอบของทั้งหมดนั้นให้กับท่าน”


 


 


เห็นนางไม่พูดถึงสูตร ผู้ใหญ่บ้านชักสีหน้าถามขึ้น “แล้วสูตรเล่า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชี้หัวสมองตัวเอง “อยู่ในนี้ เดี๋ยวข้าจะเขียนให้เอง”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านผ่อนคลายสีหน้าลง พูดอย่างหวังดี “มีแต่หนังสือแนะนำของข้าไม่พอ ยังต้องมีหนังสือแนะนำจากหัวหน้าสกุลต่างๆ ถึงจะได้ผล”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดกับเมิ่งต้าจิน “ท่านลุงใหญ่ ท่านกลับบ้านให้ท่านปู่ไปหาหัวหน้าสกุลต่างๆ ให้พวกเขาเขียนหนังสือแนะนำท่านแล้วนำมา”


 


 


หลิวต้าเป่าพยักหน้า สาวเท้าเดินออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นอีก “ท่านพ่อ สัญญาทาสของหลิวต้าเป่าและเงินอยู่ในกล่องในห้องของข้า ท่านไปเอามาเถอะ อย่าลืมเอาเงินมาเพิ่มอีกหน่อย อีกอย่างท่านกลับไปแล้วบังคับรถม้ามาที่นี่ด้วย อีกประเดี๋ยวท่านลุงใหญ่และผู้ใหญ่บ้านต้องเข้าเมืองไปด้วยกัน”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า เร่งสาวเท้าออกไป


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมาถึงบ้าน ส่งสายตาให้เมิ่งชื่อที่กำลังเย็บกระเป๋านักเรียนกับหญิงสาวจำนวนหนึ่ง เมิ่งชื่อรีบวางงานในมือลงแล้วเดินออกมา เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดเสียงเบากับนางว่าผู้ใหญ่บ้านยอมถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านแล้ว


 


 


เมิ่งชื่อดีใจเป็นล้นพ้น ลืมไปว่ายังมีคนอีกมากอยู่ในบ้าน ร้องถามเสียงดังลั่น “ผู้ใหญ่บ้านยอมตกลงแล้วจริงๆ?”


 


 


หญิงสาวในบ้านได้ยินเสียงดีใจระคนแปลกใจของนาง ต่างก็มองมาอย่างสนใจ


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นโมโหจนหน้าแดง


 


 


เมิ่งชื่อถึงรู้สึกตัวว่าตัวเองส่งเสียงดังเกินไป ส่งยิ้มให้หญิงสาวเหล่านั้นอย่างเก้อเขิน


 


 


บรรดาหญิงสาวเห็นว่าสองสามีภรรยากำลังพูดคุยกัน ก็ไม่ได้สนใจ หันหลังกลับไป พลางพูดคุยพลางเย็บกระเป๋านักเรียนต่อ


 


 


เมิ่งชื่อกดน้ำเสียงต่ำ ถามอย่างไม่เชื่ออีกครั้ง “พ่อเอ๊ย ผู้ใหญ่บ้านยอมถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านแล้วจริงหรือ?”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้าดีใจหลายครั้ง


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยังกดเสียงต่ำพูดอีกว่า “โยวเอ๋อร์ให้ข้ากลับมาเอาสัญญาทาสของหลิวต้าเป่าและเงินสดหกร้อยตำลึงไป”


 


 


เมิ่งชื่อถามอย่างไม่เข้าใจ “เอาเงินสดไปทำสิ่งใด?”


 


 


“ประเดี๋ยวกลับมาข้าค่อยอธิบายให้เจ้าฟัง เจ้ารีบเข้าไปหยิบของในห้องโยวเอ๋อร์ออกมา”


 


 


เมิ่งชื่อหมุนตัวเดินไปยังห้องฝั่งตะวันตก นำสัญญาทาสและเงินหกร้อยตำลึงออกมา มอบให้เมิ่งเอ้ออิ๋น


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นนำของทั้งหมดยัดใส่อก มือกุมไว้แน่น แล้วบังคับรถม้ากลับไปบ้านผู้ใหญ่บ้าน


 


 


เมิ่งจงจวี่เดินกระสับกระส่ายไปมาอยู่ในบ้านหลายรอบ ถึงเห็นเมิ่งต้าจินกลับมา ถามอย่างอดใจรอไม่ไหว “เป็นอย่างไร ผู้ใหญ่บ้านตกลงหรือไม่?”


 


 


เมิ่งต้าจินพยักหน้าพูดว่า “โยวเอ๋อร์บอกให้ท่านรีบไปเอาหนังสือแนะนำจากหัวหน้าสกุลต่างๆ มา ข้าจะได้นำเอกสารไปดำเนินการยื่นให้ทางการพร้อมผู้ใหญ่บ้าน”


 


 


เมิ่งจงจวี่ไม่รอช้า รีบไปยังบ้านหัวหน้าสกุลต่างๆ เมิ่งต้าจินเดินตามไล่หลัง


 


 


หัวหน้าสกุลต่างๆ ได้ยินว่าผู้ใหญ่บ้านยอมมอบตำแหน่งให้เมิ่งต้าจินเอง พลันประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่พอคิดว่าบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นมีโรงงานหลายแห่ง หากตัวเองเขียนหนังสือแนะนำให้ บางทีต่อไปเมื่อบ้านพวกเขาต้องการใช้คนจะต้องเลือกใช้คนของสกุลพวกเขาก่อน จึงรับปากอย่างเต็มใจทันที มีเพียงสกุลหลี่ที่เพราะเรื่องหลี่โก่วเซิ่งครั้งก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ไว้หน้าเขาต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน ความแค้นฝังใจ พูดอย่างไรก็ไม่ยอมเขียนหนังสือแนะนำให้ แม้เมิ่งจงจวี่จะนำคำพูดที่เตรียมไว้พูดออกไปจนหมด เขาก็ยังไม่สั่นคลอน ยืนกรานว่าเมิ่งต้าจินไม่เหมาะสม


 


 


เมิ่งจงจวี่เริ่มว้าวุ่นใจ


 


 


เมิ่งต้าจินลุกขึ้นยืน พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ท่านพ่อ เมื่อสกุลหลี่ไม่ยินดีช่วย พวกเราก็กลับไปเถอะ ด้วยความสัมพันธ์ของโยวเอ๋อร์กับผู้ว่าการตำบล ขาดจดหมายแนะนำไปฉบับเดียวคงไม่เป็นปัญหา”


 


 


ตอนที่ผู้ว่าการตำบลมาจัดการคดีหลี่โก่วเซิ่ง หัวหน้าสกุลหลี่เห็นอัธยาศัยที่ผู้ว่าการตำบลมีให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว ตอนนี้ได้ยินเมิ่งต้าจินพูดเช่นนี้ เริ่มรู้สึกเสียใจ รีบหาที่ลงให้ตัวเอง “เจ้าบอกว่าสกุลอื่นเขียนกันหมดแล้ว?”


 


 


เมิ่งต้าจินตอบเขาอย่างมีมารยาท “ใช่ขอรับ เหลือแค่ท่านแล้ว ข้าและท่านพ่อเดิมคิดว่าท่านจะพูดง่ายที่สุด ถึงได้มาหาท่านคนสุดท้าย”


 


 


หัวหน้าสกุลหลี่ยกตัวไหลไปตามคำพูดเขา “ข้าย่อมพูดง่ายที่สุดแล้ว ข้าก็แค่อยากทดสอบเจ้าก่อน เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ พวกเจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะไปเขียนหนังสือแนะนำให้เดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งจงจวี่และเมิ่งต้าจินสบตากัน เห็นรอยยิ้มในดวงตากันและกัน


 


 


พอได้หนังสือแนะนำจากหัวหน้าสกุลหลี่แล้ว เมิ่งต้าจินพาเมิ่งจงจวี่กลับไปส่งที่บ้านก่อน ถึงรีบตรงมาที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน


 


 


คนทั้งหมดรออยู่หน้าประตูแล้ว เห็นเมิ่งต้าจินมาถึง ผู้ใหญ่บ้านเข้าไปนั่งในรถม้าก่อน เมิ่งต้าจินจึงตามเข้าไป เมิ่งเอ้ออิ๋นตวัดแส้ในมือ บังคับรถม้าด้วยความเร็วมาถึงศาลาว่าการ

 

 

 


ตอนที่ 147.1

 

 เหิมเกริม

 


 


 


 


ใกล้เที่ยงแล้ว ผู้ใหญ่บ้านกลัวจะพลาดโมงยามนี้ ต้องรอยามบ่ายถึงจะดำเนินการเปลี่ยนตำแหน่งได้ พอรถม้าจอดสนิท ก็รีบลงจากรถม้าเข้าไปในศาลาว่าการ 


 


 


เมิ่งต้าจินคิดจะเดินตามเข้าไป เมิ่งเอ้ออิ๋นร้องเรียกเขา ล้วงเงินสดจำนวนหนึ่งและตั๋วแลกเงินจากอกออกมามอบให้เขา กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านรับเงินนี้ไป โยวเอ๋อร์บอกว่าท่านต้องมีอามิสสินจ้างให้ผู้ว่าการตำบลและกุนซือ อย่าให้พวกเขากลั่นแกล้งท่านได้เด็ดขาด” 


 


 


เมิ่งต้าจินรับมาอย่างซาบซึ้งใจ ยัดใส่อกเสื้อตัวเอง สาวเท้าเข้าไปในศาลาว่าการ 


 


 


ผู้ว่าการตำบลกำลังจะไปกินข้าวหลังเรือน เห็นผู้ใหญ่บ้านเข้ามา ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “ใกล้เที่ยงแล้ว เจ้ารีบร้อนเข้ามา ในหมู่บ้านเกิดเรื่องคอขาดบาดตายอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านโค้งคำนับ บอกจุดประสงค์ของการมา ให้ผู้ว่าการตำบลรีบดำเนินขั้นตอนการเปลี่ยนตำแหน่งให้พวกเขาโดยไว 


 


 


กฎหมายประเทศอู่มีกำหนดไว้ หากหมู่บ้านใดต้องการเปลี่ยนผู้ใหญ่บ้าน ขอแค่มีจดหมายแนะนำจากผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าสกุลก็จัดการได้ ทว่าจากที่รู้จักผู้ใหญ่บ้านมานานหลายปี ผู้ว่าการตำบลรู้ว่าผู้ใหญ่บ้านเป็นคนหวงอำนาจในมืออย่างที่สุด เห็นเขาเร่งเร้าอยากจะเปลี่ยนตำแหน่งให้ได้ ดวงตาหลุบหรี่ ถามขึ้น “เจ้าเลือกมาแล้วว่าจะให้ใครเป็นผู้ใหญ่บ้านคนต่อไป?” 


 


 


เมิ่งต้าจินก็เดินเข้ามา โค้งคำนับให้ผู้ว่าการตำบลตามปกติ 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านชี้เขาแล้วพูด “ก็คือเขา เมิ่งต้าจิน บุตรชายคนโตของเมิ่งซิ่วไฉ เมิ่งจงจวี่” 


 


 


ทั้งตำบลชิงซีมีซิ่วไฉไม่กี่คน ผู้ว่าการตำบลรู้จักหมดทุกคน ได้ยินผู้ใหญ่บ้านบอกว่าเป็นบุตรชายของเมิ่งซิ่วไฉ อดมองประเมินเมิ่งต้าจินขึ้นลงหลายครั้งไม่ได้ ถามขึ้น “เขาก็คือเมิ่งต้าจินที่อายุได้สิบสามปีก็สอบถงเซิงได้?” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านตอบอย่างนบนอบ “ถูกต้อง” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลมองประเมินเมิ่งต้าจินอีกหลายครั้ง ถึงหันไปถามผู้ใหญ่บ้าน “ท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ดีๆ เหตุใดถึงรีบร้อนถอนตัวจากตำแหน่งให้เขา” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านนำถ้อยคำที่คิดเตรียมไว้แล้วพูดออกมา “ข้าอายุมากแล้ว เริ่มจัดการเรื่องต่างๆ ในหมู่บ้านไม่ไหว ข้าอยากให้คนหนุ่มมาทำแทน เลือกมาเลือกไป ก็เลือกได้เขามา เมื่อก่อนเขาเป็นบัณฑิต รู้หนังสือมีการศึกษา ฐานะครอบครัวก็ดีมาก หากเขาเป็นผู้ใหญ่บ้าน จะต้องช่วยเหลือคนในหมู่บ้านได้มาก” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลหรี่ตาลง ถามขึ้น “ฐานะครอบครัวเมิ่งจงจวี่ดีมาก?” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านโบกมือ พูดอธิบาย “มิใช่ฐานะครอบครัวเมิ่งจงจวี่ที่ดี แต่เป็นฐานะบุตรชายคนรองของเขาที่ดีมาก ใต้เท้าคงได้ยินแล้วว่าปีนี้หมู่บ้านของพวกเรามีโรงงานเปิดใหม่สองแห่ง เป็นบุตรชายคนรองของเขาที่เปิด ครั้งก่อนที่ใต้เท้ามาจัดการเรื่องหลี่โก่วเซิ่งในหมู่บ้านพวกเรา เด็กสาวที่ทำของหายก็คือหลานสาวของเขา” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลพยักหน้าพูด “เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ใหญ่บ้านจริงๆ ทว่า นี่ก็เที่ยงแล้ว ข้าและกุนซือกำลังจะไปกินข้าว พวกเจ้ากลับไปก่อน ไว้ค่อยมาอีกทียามบ่ายเถอะ” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านรู้ว่าผู้ว่าการตำบลตั้งใจกลั่นแกล้งพวกเขา นึกกระวนกระวายใจ หันไปส่งสายตาให้เมิ่งต้าจินไม่หยุด 


 


 


เมิ่งต้าจินเข้าใจพลัน ล้วงตั๋วแลกเงินแผ่นหนึ่งวางไว้เบื้องหน้าเขาอย่างนบนอบ พูดประจบเอาใจ “ทำให้ท่านเสียเวลากินข้าว พวกเราเองก็รู้สึกไม่ดี ตั๋วเงินเล็กๆ น้อยๆ นี้ หวังว่าท่านใต้เท้าจะรับไว้” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลแสร้งมองอย่างไม่แยแสแวบหนึ่ง พอเห็นว่าเป็นตั๋วแลกเงินหนึ่งร้อยตำลึง ก็ให้ปิติยินดี ยื่นมือออกไปช้าๆ เก็บตั๋วแลกเงินใส่ปลายแขนเสื้อ จากนั้นสั่งการกุนซือ “ท่านกุนซือ ไปจัดการเอกสารเปลี่ยนตำแหน่งให้พวกเขา” 


 


 


ความจริงเอกสารการเปลี่ยนตำแหน่งเรียบง่ายมาก ก็แค่ลบชื่อผู้ใหญ่บ้านในสมุดลงทะเบียนออก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นชื่อเมิ่งต้าจิน แล้วนำจดหมายแนะนำของผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าสกุลต่างๆ ใส่ไว้ด้านใน นำเอกสารชุดเดิมของผู้ใหญ่บ้านออกก็เป็นอันเสร็จสิ้น 


 


 


กุนซือรับคำอย่างนอบน้อม นำสมุดลงทะเบียนของผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านต่างๆ ออกมา ลบชื่อหลิวกุ้ยของผู้ใหญ่บ้านออก เปลี่ยนมาใส่ชื่อเมิ่งต้าจิน ทั้งขอจดหมายแนะนำทั้งหมดจากทั้งสองคน ตรวจดูอย่างละเอียด ถึงนำจดหมายแนะนำเดิมของผู้ใหญ่บ้านออกมาฉีกทิ้ง นำของเมิ่งต้าจินใส่เข้าไปแทน 


 


 


หลิวกุ้ยที่เห็นชื่อของตนเองถูกลบออกกับตา รู้ว่าต่อไปตนเองไม่ใช่ผู้ใหญ่บ้านที่ใครเห็นก็ต้องประจบเอาใจอีก เกิดอาการพูดไม่ออกเอ่อล้นในใจ 


 


 


กุนซือจัดการเสร็จเรียบร้อย พูดกับผู้ว่าการตำบลอย่างพินอบพิเทา “ผู้ว่าการตำบล เปลี่ยนเอกสารเสร็จแล้วขอรับ” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลพยักหน้า วางท่าวางทางให้คำสอนเมิ่งต้าจิน “นับจากนี้ไป เจ้าก็คือผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านหวง ไม่ว่าเรื่องใดจักต้องคิดแทนคนในหมู่บ้าน นำพาคนในหมู่บ้านให้มีชีวิตที่ผาสุกโดยไว” 


 


 


เมิ่งต้าจินขานรับด้วยความเคารพหลายครั้ง 


 


 


ผู้ว่าการตำบลโบกมือ “หากพวกเจ้าหมดธุระ ก็ไปได้แล้ว” 


 


 


หลิวกุ้ยที่หัวใจว่างโหวงและเมิ่งต้าจินที่สมความปรารถนาเดินออกไปจากประตูใหญ่ศาลาว่าการ 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นจูงรถม้าเฝ้าคอยอยู่หน้าประตูศาลาว่าการ เห็นพวกเขาออกมา ถามอย่างยินดี “พี่ใหญ่ จัดการเรียบร้อยแล้ว?” 


 


 


เมิ่งต้าจินพยักหน้า กำลังจะพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น กุนซือก็เดินตามหลังออกมา ประสานมือพูด “ยินดีกับน้องต้าจินที่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหวงแล้ว ภายหน้าหากมีอะไรที่ข้าพอช่วยเหลือได้ขอให้รีบเอ่ยปาก” 


 


 


เมิ่งต้าจินย่อมเข้าใจความหมายของเขา ล้วงเงินหนึ่งก้อนจากอกเสื้อวางใส่มือเขา พูดว่า “ขอบคุณท่านกุนซือ ภายหน้าคงต้องรบกวนท่านแล้ว” 


 


 


กุนซือแอบชั่งน้ำหนักเงินในมือ คิดว่าน่าจะมีสิบตำลึงได้ ดีอกดีใจ นำเงินใส่ชายเสื้อแล้วพูดว่า “น้องต้าจินเกรงใจแล้ว ภายหน้ามีเรื่องอันใดมาหาข้าได้ทันที” 


 


 


เมิ่งต้าจินก็พูดตามมารยาทอีกเล็กน้อย กุนซือถึงหันหลังเดินอิ่มเอมจากไป 


 


 


เมิ่งต้าจินถอนใจโล่งอก หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “น้องรอง พวกเรากลับไปเถอะ” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า ร้องเรียกหลิวกุ้ย “อาผู้ใหญ่บ้าน พวกเรากลับกันเถอะ” 


 


 


หลิวกุ้ยโบกมือ “ข้ามิใช่ผู้ใหญ่บ้านแล้ว ต่อไปไม่ต้องเรียกข้าเช่นนี้อีก เรียกข้าว่าอาหลิวกุ้ยเถอะ” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นขยี้ศีรษะ พูดว่า “เรียกจนชินมาหลายปีแล้ว เปลี่ยนคำเรียกไม่ทันจริงๆ” 


 


 


หลิวกุ้ยยื่นมือหาเมิ่งเอ้ออิ๋น “นำของมา” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบนำสัญญาทาสของหลิวต้าเป่าและเงินสดห้าร้อยตำลึงมอบให้หลิวกุ้ย 


 


 


หลิวกุ้ยกลับขึ้นรถม้าตั้งใจดูสัญญาทาสของหลิวต้าเป่า พบว่าไม่มีปัญหา ทั้งนับเงินที่ได้มา พบว่าไม่ขาดไม่เกินห้าร้อยตำลึงพอดี ถึงรู้สึกสบายใจขึ้น 


 


 


จัดการเรื่องเสร็จ ขากลับเมิ่งเอ้ออิ๋นรู้สึกอารมณ์ดีมีความสุขยิ่งนัก บังคับรถม้าเร็วขึ้น ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงบ้านหลิวกุ้ย 


 


 


คนในบ้านหลิวกุ้ยกำลังรอคอยอย่างร้อนรุ่มใจ โดยเฉพาะหลิวต้าเป่า กลัวหลิวกุ้ยจะเปลี่ยนใจกลางคัน ไม่ยอมถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ตนเองยังต้องตามเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปทำงานที่ทั้งสกปรกและเหนื่อยนั้นอีก พอเห็นหลิวกุ้ยกลับมา รีบออกมาต้อนรับ รบเร้าถามเขา “ท่านพ่อ จัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” 


 


 


หลิวกุ้ยพยักหน้าอย่างซึมกระทื่อ หลิวต้าเป่ายินดีปรีดา อดใจไม่ไหวยื่นมือออกไป “สัญญาทาสของข้าเล่า?” 


 


 


หลิวกุ้ยส่งสัญญาทาสให้เขา 


 


 


หลิวต้าเป่ารับมา เพ่งพินิจดูอย่างละเอียด เห็นว่าเป็นสัญญาทาสของตนเองจริงๆ ดีใจเป็นล้นพ้น ฉีกสัญญาขาดเป็นชิ้นๆ อย่างไม่ปราณีปราศัย แหงนหน้าตะโกนขึ้นฟ้า “ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระแล้ว ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระแล้ว!” 


 


 


ภรรยาหลิวต้าเป่าก็ดีใจน้ำตานองหน้า พูดว่า “ท่านพี่ ต่อไปครอบครัวของเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขเสียที” 


 


 


หลิวต้าเป่าพยักหน้าเต็มแรง กอดบุตรชายสองคนดีใจน้ำตาหลั่งริน 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยเดินมายืนข้างหลิวกุ้ย แอบกระซิบถาม “ให้เงินห้าร้อยตำลึงมาด้วยหรือไม่?” 


 


 


หลิวกุ้ยเอาให้นางดู 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยดีใจเบิกตาโพลง ยื่นมือออกไปคิดจะรับมา หลิวกุ้ยรีบเก็บกลับคืน พูดว่า “เงินห้าร้อยตำลึงนี้ต่อไปข้าจะเก็บรักษาไว้เอง ถ้าข้าไม่อนุญาต พวกเจ้าใครก็ห้ามแตะต้องเงินนี้” 


 


 


ปกติหลิวกุ้ยไม่ตัดสินใจเรื่องในบ้าน แต่หากเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว ใครก็ไม่กล้าคัดค้าน ภรรยาหลิวกุ้ยได้ยินเขาพูดเช่นนี้ มองเงินพวกนั้นอย่างกระหายอยากแวบหนึ่ง ถึงเก็บคืนสายตาอย่างอาวรณ์ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถือสูตรเนื้อรมควันที่เขียนเสร็จแล้วอยู่บ้านผู้ใหญ่บ้านไม่ยอมจากไป 


 


 


หลิวกุ้ยเดินมาตรงหน้านาง ยื่นมือแล้วพูดว่า “เอาสูตรมา!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมอบสูตรที่เขียนเสร็จแล้วให้เขา 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยเห็นว่าสูตรก็ได้มาแล้ว วางท่าหยิ่งผยองพูดกับทุกคน “ตอนนี้พวกเจ้ากลับไปปิดโรงงานรมควันได้ ต่อไปไม่ต้องเปิดอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองนางแล้วพูด “วันนี้เกรงจะไม่ได้ เนื้อหมูและเครื่องในวัวที่ซื้อมาวันนี้ยังทำไม่เสร็จ ทั้งยังไม่ได้แจ้งข่าวบอกลูกค้า เอาอย่างนี้ พวกท่านให้เวลาข้าสามวัน ข้าจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อย จะรีบปิดทันที” 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยพูดอย่างแข็งกร้าว “ข้าไม่สนเรื่องพวกนั้นของเจ้า พวกเราตกลงกันแล้ว เมื่อพวกเราได้สูตรมา พวกเจ้าจะเปิดโรงงานอีกไม่ได้ ตอนนี้สูตรอยู่ในมือพวกเราแล้ว พวกเจ้าจักต้องปิดโรงงานเดี๋ยวนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอ่านความคิดนางออก หัวเราะสรวล “ท่านจงใจจะกลั่นแกล้งข้าสินะ?” 


 


 


ตอนนี้ภรรยาหลิวกุ้ยได้บุตรชายกลับมาแล้ว เงินและสูตรก็ได้แล้ว ย่อมไม่กลัวเกรงเมิ่งเชี่ยนโยวอีก แอ่นเอวพูดอย่างเหิมเกริม “ข้าจงใจกลั่นแกล้งเจ้าแล้วอย่างไร ช่วงเวลาที่พวกเราขายต้าเป่าให้เจ้า เจ้ากลับทารุณเขาอย่างโหดเ**้ยม วันนี้ข้าจักระบายแค้นนี้อย่างสาสม โรงงานนี้พวกเจ้าจะปิดวันนี้ก็ต้องปิด ไม่ปิดก็ต้องปิด ไม่เช่นนั้น ข้าจะไปอาละวาดให้ราบเป็นหน้ากลอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบ พูดเหยียดหยัน “เช่นนั้นก็ลองดู” 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยถูกกิริยาของนางกระตุ้นเร้า เลือดขึ้นหน้า ด้านหนึ่งยื่นมือกระโจนเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว อีกด้านร้องก่นด่า “นังตัวดี จนถึงตอนนี้ยังกล้าเหิมเกริมกับข้า ข้าจะข่วนหน้าเจ้าให้ลายพร้อย” 


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นไม่คิดว่าภรรยาหลิวกุ้ยจะหุนหันกระโจนเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว ตกใจร้องเรียก “โยวเอ๋อร์ ระวัง!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หลบไม่หลีก รอภรรยาหลิวกุ้ยเข้ามาใกล้ ถีบออกไปเต็มรัก 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยถูกถีบล้มไถลออกไปไกล กระอักเลือดฟุบไปกับพื้นอย่างสะบักสะบอม 


 


 


หลิวต้าเป่าและภรรยาร้องโหวกเหวกวิ่งไปข้างกายนาง 


 


 


หลิวกุ้ยขมวดคิ้วมุ่น พูดอย่างฉุนเฉียว “นังตัวดี เจ้าทำเช่นนี้เกินไปหน่อยแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขาอย่างเย็นชา “ต้องทำเช่นไรจึงจะไม่เกินไปเล่า ให้นางข่วนหน้าข้าหรือให้ข้ากลับไปปิดโรงงานเสียตอนนี้เลย” 


 


 


หลิวกุ้ยสะอึกกึก 


 


 


น้ำเสียงเย็นเยียบของเมิ่งเชี่ยนโยวดังก้องไปทั้งลานบ้าน “ผู้ใดไม่รุกรานข้า ข้าก็ไม่รุกรานผู้ใด ลูกถีบในวันนี้เป็นเพียงบทเรียนให้พวกเจ้า อย่าคิดว่าพวกเจ้ามีสูตรมีเงินแล้วก็จะทำอะไรได้ตามใจ อีกอย่าง เดิมข้าคาดการณ์ไว้ว่าจะปิดโรงงานรมควันเนื้อในอีกสามวันให้หลัง ในเมื่อพวกเจ้าอดใจรอไม่ไหวเช่นนี้ ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าได้สมหวัง ทำตามแผนการเดิมของข้า รอให้ถึงเดือนหน้าค่อยปิดโรงงาน” 


 


 


หลิวกุ้ยเดือดดาล “เจ้ารับปากเองว่าเมื่อมอบสูตรให้พวกเราแล้ว พวกเจ้าจะผลิตเนื้อรมควันอีกไม่ได้ เหตุใดเจ้าถึงพูดจาเชื่อถือไม่ได้เช่นนี้?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “ข้ารับปากแล้ว แต่ตอนนี้พวกท่านยั่วโทสะจนข้าไม่พอใจ ข้าย่อมต้องกลับคำพูด” 


 


 


หลิวกุ้ยพูดไม่ออก 


 


 


สัญญาทาสของหลิวต้าเป่าได้คืนมาแล้ว ย่อมไม่มีอะไรต้องห่วงอีก ความกล้าก็เพิ่มขึ้น ซักถามเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าพูดจาเชื่อไม่ได้ เรื่องที่รับปากพวกเราไว้ตอนนี้กลับผิดคำพูด เจ้าไม่กลัวเรื่องแพร่ออกไปคนในหมู่บ้านจะหัวเราะเยาะเจ้าเรอะ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “ข้ารับปากอะไรพวกเจ้า? มีลายลักษณ์อักษรหรือไม่?” 


 


 


หลิวต้าเป่าสะอึกกึก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจพวกเขาอีก หันหลังเดินออกมา 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยที่พอเริ่มจะฟื้นคืนเรี่ยวแรง ตะโกนร้องไล่หลัง “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าทำเช่นนี้ กรรมจะต้องตามสนอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า ตอบกลับเสียงดัง “เช่นนั้นพวกเจ้าก็รอดูว่าใครกันแน่ที่จะถูกกรรมตามสนอง” 


 


 


คนทั้งหมดกลับมาข้างรถม้า เมิ่งต้าจินล้วงเงินที่เหลือในอกเสื้อออกมา ส่งให้นาง “นี่คือเงินสินจ้างที่เหลือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับมา “ท่านนำเงินนี้ไปซื้อของกำนัลจำนวนหนึ่งให้หัวหน้าสกุลต่างๆ เถอะ เริ่มสานสัมพันธ์กับพวกเขาก่อน จากนั้นหาเวลารวมพลพวกเขาและคนในหมู่บ้านให้เร็วที่สุด ประกาศเรื่องที่ท่านเป็นผู้ใหญ่บ้าน ยิ่งเร็วยิ่งดี” 


 


 


เมิ่งต้าจินพยักหน้า นำเงินเก็บกลับเข้าอกเสื้อตัวเอง สาวเท้าเดินกลับบ้าน 

 

 

 


ตอนที่ 147.2

 

 เหิมเกริม

 


 


 


 


เมิ่งจงจวี่และภรรยาและภรรยาเมิ่งต้าจินรวมถึงเมิ่งเสียวเถี่ยเฝ้ารออย่างกระวนกระวายใจอยู่ที่บ้าน เห็นเขากลับมา ภรรยาเมิ่งต้าจินถามเขาอย่างอดใจรอไม่ไหว “จัดการเรื่องเสร็จเรียบร้อยแล้ว?” 


 


 


เมิ่งต้าจินพยักหน้าตอบ “เสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าไปขึ้นทะเบียนกับทางการแล้ว นับจากนี้ไป ข้าก็คือผู้ใหญ่บ้านแล้ว” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินปลาบปลื้มน้ำตาไหลริน 


 


 


เมิ่งจงจวี่ก็ดีใจลูบเคราพูดไม่หยุด “ดีๆๆ” 


 


 


หญิงชราเมิ่งตื่นเต้นดีใจ เมิ่งเสียวเถี่ยปิติยินดีจนลุกขึ้นยืน เดินลากขามาตรงหน้าเมิ่งต้าจิน กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านคือเกียรติแห่งวงศ์ตระกูล” 


 


 


เมิ่งต้าจินพยักหน้าไม่หยุด 


 


 


หลังความปิติยินดี เมิ่งต้าจินบอกเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขาซื้อของกำนัลมอบให้หัวหน้าสกุลต่างๆ และเรื่องที่ให้เร่งประกาศว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่บ้าน เมิ่งเสียวเถี่ยได้ฟังพูดขึ้นพลัน “เรื่องประกาศเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่ยาก เอาไว้ตอนกลางคืนข้าจะไปวนร้องป่าวประกาศในหมู่บ้าน ให้คนในหมู่บ้านมารวมพลกันยังสถานที่ที่ปกติผู้ใหญ่บ้านเอาไว้ประกาศเรื่องราว” 


 


 


เมิ่งต้าจินขบคิดครู่หนึ่ง พยักหน้าเห็นพ้อง “เช่นนั้นก็จัดการตามที่เจ้าว่า โยวเอ๋อร์บอกว่า เรื่องนี้ยิ่งประกาศเร็วยิ่งดี สำหรับเรื่องหัวหน้าแต่ละสกุลนั้น ข้าจะไปซื้อของกำนัลตอนบ่าย หลังจากนั้นจะนำไปให้พวกเขาทันที” 


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมาถึงบ้าน คนงานต่างก็กินข้าวเที่ยงเสร็จแยกย้ายกันไปเข้างานหมดแล้ว แม้แต่หญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนก็เข้ามานั่งบนเตียงเตาในห้องเมิ่งชื่อพลางพูดคุยพลางเย็บกระเป๋านักเรียน 


 


 


เมิ่งชื่อคอยชะเง้อออกไปด้านนอกเป็นระยะ พอเห็นพวกเขากลับมา รีบวิ่งออกไปจากในห้อง ร้อนใจถาม “โยวเอ๋อร์ เรื่องเป็นอย่างไรบ้าง?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใกล้นาง ตอบอย่างปิติ “สำเร็จแล้ว ลุงใหญ่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว ต่อไปครอบครัวเราทำอะไรก็จะไม่มีใครกลั่นแกล้งพวกเราแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อดีอกดีใจ พูดพร่ำไม่หยุด “ดีเหลือเกิน ดีเหลือเกินแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนนางแน่น พูดออดอ้อน “ท่านแม่ เหน็ดเหนื่อยมาทั้งเช้า ข้าหิวจะแย่แล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อถลกแขนเสื้อ เดินเข้าครัวพลางพูด “แม่จะไปทำอาหารให้พวกเจ้าสองพ่อลูกเดี๋ยวนี้ อาหารเที่ยงวันนี้ถือเป็นการฉลองให้พวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะส่ายหน้า เดินเข้าไปในบ้าน 


 


 


กลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋าทยอยกันเรียกขานนาง เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากขานรับ จากนั้นหยิบกระเป๋านักเรียนที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาพินิจดู พบว่าตัวกระเป๋านักเรียนฝีเข็มถี่แน่น ภาพปักละเอียดประณีต ชื่นชมพวกนาง “สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือปักเย็บของหมู่บ้านเรา เย็บปักได้ดีมาก” 


 


 


หญิงสาวได้รับคำชมจากเมิ่งเชี่ยนโยวดีใจจนหน้าแดง พูดอย่างเขินอาย “แต่เย็บได้ช้าสักหน่อย สองวันข้าเพิ่งจะเย็บกระเป๋านักเรียนออกมาได้หนึ่งใบ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบนาง “ไม่เป็นไร ไม่นานพวกท่านก็จะคล่องเอง ถึงตอนนั้นเย็บใบละวันก็ไม่ใช่ปัญหา” 


 


 


หญิงสาวพยักหน้าพูด “เมื่อครู่พวกเรายังพูดกันว่า วันนี้เร็วขึ้นกว่าเมื่อวานแล้ว” 


 


 


“ความชำนาญทำให้คล่องแคล่วอย่างไร พอเวลาผ่านไปนานเข้า ไม่แน่ว่าพวกท่านจะทำได้เร็วขึ้นสามวันเย็บได้สองใบ หนึ่งวันสามารถทำเงินได้เจ็บสิบกว่าอีแปะ”  


 


 


กลุ่มหญิงสาวเบิกโตโพลง ถามขึ้นพร้อมกัน “เจ็บสิบกว่าอีแปะ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


หญิงสาวคนหนึ่งจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์นั้น โพล่งปากพูด “สวรรค์ หากข้าหาเงินได้วันละเจ็ดสิบอีแปะ ข้าใช้สามีมาล้างเท้าให้ทุกวันคาดว่าเขาก็ต้องยอม” 


 


 


ทุกคนในห้องหัวเราะครืน 


 


 


หญิงสาวถึงรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกมา เขินหน้าแดงจนแทบจะคั้นออกมาเป็นหยดเลือด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ไม่เพียงเท่านั้น คนในบ้านจะต้องยกยอท่าน คอยปรนนิบัติด้วยของดีของอร่อย ทั้งไม่ให้ท่านต้องทำนาทำไร่” 


 


 


หญิงสาวคนหนึ่งก็หัวเราะพูด “นายหญิงพูดหยอกล้อแล้ว คนบ้านนอกมีใครไม่ทำนาทำไร่กัน” 


 


 


คนอื่นที่เหลือก็พยักหน้าเห็นพ้อง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจริงจังกับพวกเขา “พวกท่านไม่เชื่อใช่ไหม? เช่นนั้นข้าถามพวกท่าน ชายฉกรรจ์หนึ่งคนออกไปทำงานได้ค่าแรงต่อวันเท่าไหร่” 


 


 


หญิงสาวคนหนึ่งตอบ “อย่างมากก็สามสิบอีแปะ อย่างน้อยก็ยี่สิบอีแปะ” 


 


 


“เช่นนั้นหากพวกท่านสามารถหาได้วันละเจ็ดสิบอีแปะ ได้เงินดีกว่าที่พวกเขาออกไปทำงานเหนื่อยยากสองสามวัน พวกท่านว่า คนในครอบครัวจะยกยอพวกท่าน งานอะไรก็ไม่ให้พวกท่านทำหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามพวกเขา 


 


 


กลุ่มหญิงสาวขบคิด ให้รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตอนนายหญิงปลูกเรือนสะใภ้ซุนเข้ามาช่วยทำอาหารทุกวัน วันหนึ่งได้ค่าแรงยี่สิบอีแปะ พอกลับบ้านคนในครอบครัวก็ไม่ให้นางทำงานอะไร หากตนเองสามารถหาเงินได้วันละเจ็ดสิบอีแปะ ไม่แน่ว่าคนในครอบครัวจะยกยอตนเอง ไม่ต้องทำงานในบ้านอีกก็เป็นได้จริงๆ” 


 


 


คิดถึงตรงนี้ กลุ่มหญิงสาวเลือดร้อนพลุ่งพล่าน พูดให้กำลังใจกันและกัน “เช่นนั้นพวกเราต้องมุมานะ สามวันเย็บให้ได้กระเป๋านักเรียนสองใบ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเตือนพวกนาง “อย่าเพิ่งใจร้อนไป พวกท่านทำให้คล่องก่อนเถอะ กระเป๋านักเรียนชั้นดีนี้ พวกเราตั้งใจนำไปขายให้ลูกหลานเศรษฐี ด้านการผลิตจะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด” 


 


 


กลุ่มหญิงสาวทยอยพูด “วางใจเถอะ นายหญิง พวกเรารู้ว่าต้องทำอย่างไร จักไม่ให้เกิดปัญหาด้านการผลิตเด็ดขาด” 


 


 


เมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จ ร้องเรียกจากลานบ้าน “โยวเอ๋อร์ รีบออกมากินข้าวเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ ทั้งกำชับกลุ่มหญิงสาวอีกสองสามคำ ถึงเดินออกไปจากห้อง 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นล้างมือช่วยเมิ่งชื่อตักข้าวรอไว้แล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเมิ่งชื่อทำมันฝรั่งเส้นผัดพริกอีก พูดสัพยอกนาง “ท่านแม่ นี่คือมันฝรั่งที่หนึ่งจินราคาหลายตำลึงเชียวนะ เหตุใดท่านถึงทำใจเอาออกมาผัดได้” 


 


 


เมิ่งชื่ออารมณ์ดี ไม่สนใจคำสัพยอกของนาง พูดอย่างสะใจ “วันนี้บุตรสาวแม่ช่วยครอบครัวเมิ่งของเราให้ลืมตาอ้าปากได้ อย่าว่าแต่กินมันฝรั่งจินละหลายตำลึงเลย ต่อให้เป็นอาหารที่เหลาจวี้เสียน แม่ก็จะไปซื้อให้เจ้าได้ทันที” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งพูดน้อยใจกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ ข้าจักต้องมิใช่ลูกแท้ๆ ของพวกท่าน ไม่เช่นนั้นเหตุใดถึงได้รับการปฏิบัติดีด้วยหลังจากกระทำเรื่องดีเรื่องใหญ่เท่านั้น” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นหลุดขำ 


 


 


เมิ่งชื่อกรอกตาขาวใส่นาง พูดว่า “แม่เคยบอกเจ้าอย่างไร เจ้าเป็นลูกที่พ่อเก็บได้จากบนเขา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าเมิ่งชื่อจะตอบเช่นนี้ สะอึกกึก 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะร่วน 


 


 


เพิ่งจะกินอาหารเที่ยงเสร็จ เมิ่งต้าจินก็เข้ามาขอยืมรถม้า บอกว่าจะเข้าเมืองไปซื้อของให้หัวหน้าสกุลต่างๆ เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่ได้พูดอะไร บังคับรถม้าเข้าเมืองไปพร้อมเขา 


 


 


ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหาจางจู้ที่โรงงานกุนเชียง เรียกเขาไปยังที่ไร้ผู้คนแล้วถาม “ท่านลุงใหญ่ ที่ข้าให้ท่านถามตอนปีใหม่ เรื่องการซื้อภูเขาร้างที่หมู่บ้านพวกท่านได้ความอย่างไรบ้าง?” 


 


 


จางจู้ตอบ “ข้ากำลังจะมาพูดกับเจ้าเรื่องนี้ ข้าไปหาผู้ใหญ่บ้านของพวกเรามาแล้ว พอเขาได้ยินว่าเจ้าต้องการซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านเราก็ดีใจมาก บอกว่าขอเพียงเจ้าพึงพอใจ อยากจะซื้อลูกไหนก็ได้ แต่เขามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง คือตอนแผ้วถางพื้นที่ จักต้องใช้คนในหมู่บ้านพวกเรา” 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้เขาไม่พูดเช่นนี้ ข้าก็ต้องเลือกใช้คนในหมู่บ้านพวกท่าน แต่ท่านต้องบอกเขาว่า ข้าจะเลือกใช้แต่คนตั้งใจทำงานเท่านั้น พวกอู้งานเหลาะแหละข้าไม่เอาเด็ดขาด” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


จางจู้พยักหน้า “ข้าก็บอกกับผู้ใหญ่บ้านเช่นนี้แล้ว เขาบอกให้เจ้าวางใจ ถึงเวลานั้นจะช่วยเลือกคนให้เจ้าด้วยตัวเอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงวางใจ “ดี สองวันนี้ข้าจะไปหมู่บ้านพวกท่าน พูดคุยเรื่องราคาภูเขาร้างกับผู้ใหญ่บ้าน” 


 


 


จางจู้พูด “เรื่องนี้ผู้ใหญ่บ้านก็บอกข้าแล้ว เหมือนว่าหนึ่งหมู่ราคาครึ่งตำลึง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ข้าจะกลับไปคำนวณดูว่าต้องซื้อภูเขาร้างกี่ลูก เมื่อข้าคำนวณเสร็จ ท่านช่วยไปหาผู้ใหญ่บ้านของพวกท่านพร้อมข้าด้วย” 


 


 


ทั้งสองพูดคุยเสร็จ จางจู้ก็กลับไปทำงานที่โรงงานต่อ ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในห้องตัวเอง หยิบกระดาษพู่กันมาคำนวณว่าตนเองต้องการภูเขากี่ลูก 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งต้าจินซื้อขนมค่อนข้างดีจำนวนหนึ่งกลับมา เมิ่งเอ้ออิ๋นพาเมิ่งต้าจินไปส่งที่บ้านใหญ่เมิ่งก่อน ถึงบังคับรถม้ากลับบ้าน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอาแต่คิดคำนวณเรื่องการซื้อภูเขาในห้อง เมิ่งเสียนเข้ามาพูดว่า “น้องสาว ได้เวลาแล้ว พวกเราควรไปรับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเลิกเรียนแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางพู่กันในมือลุกขึ้นยืน ไปโรงเรียนในตัวเมืองพร้อมเมิ่งเสียน ระหว่างทางพูดเรื่องที่เมิ่งต้าจินได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้วออกมา 


 


 


เมิ่เงสียนไม่เคยได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเรื่องนี้มาก่อน พลันแปลกประหลาดใจ ซักถามว่าเกิดอะไรขึ้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงบอกเรื่องการซื้อที่ดินติดขัด ผู้ใหญ่บ้านและภรรยาฉวยโอกาสนี้เสนอเงื่อนไข ตัวเองก็เลยใช้โอกาสนี้เรียกร้องให้ผู้ใหญ่บ้านถอนตัวจากตำแหน่ง 


 


 


เมิ่งเสียนได้ฟังแล้วให้ยินดีปรีดา พูดว่า “น้องสาว ดีเหลือเกินแล้ว ต่อไปครอบครัวพวกเรามีเรื่องอะไรอีก ก็จะไม่มีใครกลั่นแกล้งพวกเราได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดังนั้นอีกไม่กี่วันพวกเราก็จะยุ่งตัวเป็นเกลียว ข้าเตรียมจะซื้อภูเขาร้างและที่ดินร้างมาปลูกฉั่งฉิกและมันฝรั่ง จึงไม่มีเวลามารับพวกเขาแล้ว” 


 


 


เมิ่งเสียนพูดทันควัน “ไม่เป็นไร เจ้ายุ่งเรื่องของเจ้าไป พี่ใหญ่มารับเองคนเดียวก็ได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “พี่ใหญ่ ต่อไปท่านก็จะยุ่งมาก จนไม่ได้มีเวลาว่าง ข้ากำลังคิดว่าจะหาใครมารับส่งพวกเขาโดยเฉพาะ” 


 


 


เมิ่งเสียนถาม “หาใครเล่า?” 


 


 


“นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้ายังลำบากใจ หาใครก็ไม่รู้ในหมู่บ้านมา ข้าไม่วางใจ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นระหว่างทางจะลำบาก แต่ถ้าหาคนไม่ได้ พวกเราก็ต้องไปซื้อคน” 


 


 


ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งเสียนพรึงเพริด “ซื้อคน?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเสียนถลึงตาโตถาม “บ้านพวกเราก็ซื้อคนได้?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ “พี่ใหญ่ ขอเพียงมีเงิน ใครก็ซื้อคนได้” 


 


 


เมิ่งเสียนใช้มือที่ไม่ได้จับบังเ**ยนขยี้หัวอย่างเก้อเขิน 


 


 


ทั้งสองมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ประตูใหญ่เปิดออกพอดี เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเดินตามเด็กนักเรียนออกมา 


 


 


พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว ซุนเหลียงไฉพูดกับนางอย่างยินดี “วันนี้อาจารย์ชมข้าอีกแล้ว เจ้าต้องพูดจริงทำจริง ให้กระเป๋านักเรียนสวยๆ กับข้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ดีใจมาก พยักหน้ารับคำ “ไม่มีปัญหา ทำเสร็จหลายใบแล้ว พอกลับถึงบ้านข้าจะให้เจ้าเลือกสะพายใบที่เจ้าชอบ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉดีใจก้าวเดียวก็กระโดดขึ้นบนรถม้า เร่งเร้าเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียน “พวกเจ้ารีบขึ้นมา พวกเรารีบกลับบ้าน ข้าจะรีบไปเลือกกระเป๋านักเรียนสวยๆ ใบใหม่” 


 


 


เห็นท่าทีอดใจรอไม่ไหวของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกขบขัน ส่ายหน้าเล็กน้อย เดินขึ้นรถม้าไปพร้อมเมิ่งอี้เซวียน 


 


 


เมิ่งเสียนบังคับรถม้าเดินทางกลับอย่างระวัง ซุนเหลียงไฉตั้งแง่ว่าเขาช้าเกินไป คอยเลิกม่านบังรถเร่งเขาอยู่เป็นนิจ ในที่สุดก็ได้กลับมาถึงหน้าประตูบ้าน รถม้ายังจอดไม่สนิท ซุนเหลียงไฉก็รีบกระโดดลงจากรถม้า ร่างอวบอัดสั่นไหว วิ่งเหยาะเข้ามาในห้องเมิ่งชื่อ 


 


 


กลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนยังไม่เลิกงาน เห็นซุนเหลียงไฉวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ก็ให้คับข้องใจ เด็กที่ไหนกัน เหตุใดถึงตุ้ยนุ้ยเช่นนี้? 


 


 


เมิ่งชื่อก็เห็นเขาแล้ว ถามอย่างประหลาดใจ “คุณชายซุน เป็นอะไรหรือ?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่คิดว่าในห้องจะมีคนมากเช่นนี้ พลันนิ่งงัน แต่ก็ได้สติกลับมาโดยเร็ว ถามขึ้น “ท่านป้า เมิ่งเชี่ยนโยวให้ข้ามาเลือกกระเป๋านักเรียนใบใหม่” 


 


 


เมิ่งชื่อให้เขาเข้ามา นำกระเป๋านักเรียนที่เย็บเสร็จแล้วทั้งหมดมาวางตรงหน้าเขา พูดว่า “อยู่ที่นี่แล้ว เจ้าเลือกเองเถอะ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉดูกระเป๋านักเรียนทั้งหมดหนึ่งรอบ ย่นหัวคิ้วสับสน พูดกับเมิ่งชื่ออย่างกลัดกลุ้ม “ทั้งหมดนี้ข้าล้วนชอบ” 


 


 


ไม่รอให้เมิ่งชื่อพูด เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้น “ถ้าชอบ เจ้าใช้วันละใบก็ได้” 


 


 


ซุนเหลียงไฉถามกลับอย่างยินดี “ข้าทำเช่นนั้นได้หรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้” 


 


 


ซุนเหลียงไฉดีใจกอดกระเป๋านักเรียนที่เย็บเสร็จแล้วตรงหน้าไว้แนบอก พูดอย่างเด็กไม่ประสา “เช่นนั้นข้าจะนำกระเป๋านักเรียนพวกนี้ไปไว้ที่ห้องข้า เดี๋ยวเจ้ากลับคำพูด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยั้งเขา “เจ้าเลือกลายละใบเถอะ ที่เหลือยังต้องให้อี้เซวียน” 


 


 


ซุนเหลียงไฉหอบกระเป๋านักเรียนกลับมายังห้องนอนตัวเองอย่างทุลักทุเล เห็นเมิ่งอี้เซวียนอยู่ข้างใน พูดจาโอ้อวด “เมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่ากระเป๋านักเรียนทั้งหมดนี้เป็นของข้า ข้าสามารถเปลี่ยนใช้ได้วันละใบ” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนได้ฟังเบะปาก ใช้ดวงตากลมโตงดงามคู่นั้นมองเมิ่งเชี่ยนโยวร้องอุทธรณ์ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทนเห็นท่าทีเช่นนั้นของเขาไม่ได้ ลูบจมูกแล้วพูด “ในห้องท่านแม่ยังมีอีก” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเผยรอยยิ้มเจิดจ้า รีบวิ่งไปที่ห้องเมิ่งชื่อหอบกระเป๋านักเรียนสองสามใบกลับมา วางบนเตียงเตา ทำเหมือนซุนเหลียงไฉ วางสลับเรียงไปมาอย่างมีความสุข 

 

 

 


ตอนที่ 147.3

 

 เหิมเกริม

 


 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใช้โอกาสนี้พูดขึ้น “ข้ามีเรื่องหนึ่งจะพูดกับพวกเจ้า” 


 


 


ทั้งสองเงยหน้า ถามพร้อมกัน “เรื่องอันใด?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พรุ่งนี้พอพวกเจ้าสะพายกระเป๋านักเรียนไปโรงเรียน หากมีคนชอบกระเป๋านักเรียนของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ขายให้พวกเขา ใบละสิบตำลึง” 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่ยินยอม “กระเป๋านักเรียนดีเช่นนี้ข้าทำใจขายให้พวกเขาไม่ได้ ข้าจะเก็บไว้สะพายเองทุกวัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “เจ้าไม่เห็นกลุ่มหญิงสาวนั่งเย็บกระเป๋านักเรียนในบ้านข้าหรือ? ต่อไปกระเป๋านักเรียนใหม่จะมีทุกวัน เกรงว่าต่อไปพวกเจ้าจะสะพายไม่หวาดไม่ไหว ดังนั้นพวกเราต้องหาวิธีขายออกไป” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนอยู่บ้านเมิ่งมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เริ่มเข้าใจวิธีการทำงานของเมิ่งเชี่ยนโยว ได้ฟังก็ถามนาง “เจ้าคิดจะค้าขายกระเป๋านักเรียนหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “มิใช่” ข้า “จะค้าขายกระเป๋านักเรียน แต่เป็น” พวกเจ้าสองคน “จะค้าขายกระเป๋านักเรียน” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไม่เข้าใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายให้พวกเขาฟัง “ข้าได้ปรึกษากับซุนซ่านเหรินแล้ว การค้ากระเป๋านักเรียนนี้จะมอบให้พวกเจ้าสองคน พวกเราไม่แทรกแซง แล้วแต่ว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไร หากทำเงินได้ ลบต้นทุนและค่าแรงออก เงินทั้งหมดเป็นของพวกเจ้า หากทำเงินไม่ได้ ก็แสดงว่าพวกเจ้าสองคนเป็นคนโง่เง่าสมองทึบ” 


 


 


ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ซุนเหลียงไฉโต้กลับอย่างไม่ยอม “ข้าไม่ใช่คนโง่สมองทึบ ก็แค่ขายกระเป๋านักเรียนเอง พรุ่งนี้ข้าจะให้พวกพ่างตุนซื้อกันคนละใบ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “แค่ให้พวกเขาซื้อยังไม่พอ พวกเจ้ายังต้องคิดหาวิธีขายออกไปให้ได้มากๆ ทำให้นักเรียนในโรงเรียนพวกเจ้าทุกคนต่างก็สะพายกระเป๋านักเรียนที่พวกเราเย็บขึ้น” 


 


 


ซุนเหลียงไฉร้องอุทาน “จะเป็นไปได้อย่างไร? นอกจากพวกเขาแล้ว ยังจะมีใครอยากซื้อกระเป๋านักเรียนอีก?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าต้องคิดหาวิธีและแผนการต่างๆ ให้พวกเขาซื้อกระเป๋านักเรียนของพวกเจ้า แต่บอกก่อนว่าพวกเจ้าห้ามบังคับพวกเขาซื้อ แต่ต้องคิดหาวิธีกระตุ้นความอยากของพวกเขา ให้พวกเขาเป็นเหมือนพวกเจ้าตอนนี้ เห็นกระเป๋านักเรียนก็ละสายตาไปไม่ได้ พยายามหาวิธีอยากจะซื้อมาไว้ในครอบครอง” 


 


 


ซุนเหลียงไฉขมวดคิ้ว มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างคาดหวัง พูดว่า “ยากนัก พวกเราต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้พวกเขาอยากซื้อได้?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งอี้เซวียนแล้วถาม “อี้เซวียน เจ้าว่าอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนขบคิดครู่หนึ่งถึงตอบกลับ “นับแต่พรุ่งนี้ไปพวกเราจะสะพายกระเป๋านักเรียนใบใหม่ลายไม่ซ้ำกันไปโรงเรียนทุกวัน ให้พวกเขาเห็นแล้วอิจฉา จากนั้นพวกเขาก็อยากจะซื้อ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชื่นชมเขา “อี้เซวียนฉลาดหลักแหลม จับจุดหัวใจของการขายกระเป๋านักเรียนได้ในทันที” 


 


 


ได้รับคำชื่นชมจากนาง เมิ่งอี้เซวียนปลาบปลื้มจนหน้าแดง 


 


 


ซุนเหลียงไฉเริ่มริษยา พูดอย่างไม่ยอม “แค่นี้จะวัดอะไรได้ ใครที่ขายกระเป๋านักเรียนได้ถึงจะเป็นคนฉลาดที่แท้จริง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ชื่นชมเขา “ซุนเหลียงไฉก็คิดได้ไม่เลว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉดีอกดีใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับพวกเขา “กระเป๋านักเรียนของพวกเจ้ากำหนดราคาไว้ที่ใบละสิบตำลึง น้อยกว่านี้หนึ่งอีแปะก็ห้ามขาย และห้ามให้เปล่าใคร หากข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีใครไม่ทำตามที่ข้าบอก ต่อไปข้าทำของอร่อยพวกเจ้าใครก็ห้ามกิน” 


 


 


ทั้งสองรีบร้อนพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “เงินขายกระเป๋านักเรียนข้าจะเก็บรักษาให้พวกเจ้า แต่ขอเพียงพวกเจ้าขายออก กระเป๋านักเรียนหนึ่งใบข้าจะให้เงินค่าขนมพวกเจ้ายี่สิบอีแปะ หากพวกเจ้าร่วมมือกันขายได้ ข้าจะให้พวกเจ้าสามสิบอีแปะ เงินเหล่านี้พวกเจ้าสามารถนำไปใช้ได้ตามใจ อยากซื้ออะไรก็ได้?” 


 


 


“ซื้อของอร่อยก็ได้หรือ?” ซุนเหลียงไฉถาม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “แน่นอน เงินค่าขนมเป็นของพวกเจ้า พวกเจ้าอยากซื้ออะไรก็ได้” 


 


 


ซุนเหลียงไฉดีใจกระโดดโลดเต้น 


 


 


กินอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมจะไปตรวจการบ้านซุนเหลียงไฉ ด้านนอกมีเสียงเคาะกะละมังดังขึ้น จากนั้นเสียงของเมิ่งเสียวเถี่ยก็ดังแว่วมา “ทุกคนตั้งใจฟังให้ดี ตอนนี้ให้ทุกคนไปยังจุดรวมพลประจำของหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านมีเรื่องจะพูดกับพวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียน เมิ่งฉีเดินออกมานอกประตูใหญ่ เห็นเมิ่งเสียวเถี่ยกำลังเดินลากเท้า ด้านหนึ่งเคาะกะละมังเก่า ด้านหนึ่งตะเบ็งเสียงร้องตะโกน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเมิ่งเสียน เมิ่งฉี “พี่ใหญ่ พี่รองพวกท่านไปช่วยอาสี่ด้วยเถอะ” 


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีรีบวิ่งไปตรงหน้าเมิ่งเสียวเถี่ย พูดว่า “อาสี่ พวกเราช่วยร้องป่าวประกาศเอง” 


 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยปฏิเสธ “ไม่ต้อง เรื่องเล็กแค่นี้อาสี่ทำได้ พวกเจ้าไปทำงานของตัวเองต่อเถอะ” 


 


 


เมิ่งเสียนโน้มน้าวเขา “เย็นค่ำแล้วพวกเราไม่มีอะไรต้องทำ ให้พวกเราช่วยเถิด ขาท่านไม่ดี ไปพักก่อนเถอะ” 


 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยยังคงปฏิเสธ “ขาข้าไม่เป็นไร พักมาตั้งนานสมควรออกมายืดเส้นยืดสายแล้ว” 


 


 


เห็นเขาดึงดันไม่ยอม เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็ไม่ยืนหยัดต่อ เดินกลับมา 


 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยเคาะกะละมังไปพลางร้องตะโกนเดินห่างออกไป 


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งก็ได้ยินเสียงเดินออกมาจากในบ้าน พูดกับทั้งสามคน “น่าจะเป็นเรื่องที่ลุงใหญ่เจ้าจะประกาศว่าเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว พวกเรารีบไปเถอะ ดูว่ามีอะไรช่วยได้หรือไม่” 


 


 


ทั้งสามคนพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าห้องกำชับเมิ่งอี้เซวียน ให้เขาดูแลเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงให้ดี จึงตามสองสามีภรรยาเมิ่งมายังลานโล่งแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน 


 


 


ได้ยินเสียงของเมิ่งเสียวเถี่ย คนในหมู่บ้านเริ่มมาถึงกันไม่น้อยแล้ว ยืนรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน คาดเดาว่าผู้ใหญ่บ้านมีเรื่องอะไรจะพูด และก็มีคนประหลาดใจ เหตุใดวันนี้ถึงเป็นเมิ่งเสียวเถี่ยลากขาพิการออกมาร้องประกาศ 


 


 


เมิ่งต้าจินและภรรยากำลังยกโต๊ะเข้ามา เห็นครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋น รีบร้อนพูด “พวกเจ้ารีบไปช่วยกันยกเก้าอี้เข้ามา ประเดี๋ยวบรรดาหัวหน้าสกุลก็คงมาถึงแล้ว” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพาเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีไปขนย้ายเก้าอี้จากบ้านใหญ่ 


 


 


เมิ่งซานถงและภรรยาเห็นพวกเขากลางทาง รู้ว่าพวกเขากำลังจะไปขนย้ายเก้าอี้ที่บ้านใหญ่ ก็ตามไปด้วย เดินไปพลางถามเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างประหลาดใจไปพลาง “พี่รอง เมื่อก่อนพอผู้ใหญ่บ้านพูดเสร็จก็แยกย้ายไม่ใช่หรือ? เหตุใดวันนี้ยังต้องมาขนย้ายเก้าอี้บ้านพวกเรา เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบ “วันนี้พี่ใหญ่จะประกาศเรื่องที่ตัวเองได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน บรรดาหัวสกุลจะมาร่วมด้วย เก้าอี้นี้เตรียมไว้ให้พวกเขา” 


 


 


เมิ่งซานถงขาอ่อนโซซัดโซเซ เกือบจะหกล้ม รีบคว้าเมิ่งเอ้ออิ๋นไว้แน่น ถามอย่างตกใจ “เจ้าว่าอะไร? พี่ใหญ่เป็นผู้ใหญ่บ้าน?” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า 


 


 


เมิ่งซานถงกลืนน้ำลาย ถามอย่างไม่เชื่อ “เรื่องตั้งแต่เมื่อใด? เหตุใดข้าถึงไม่รู้?” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นประคองเขาอย่างระวัง ตอบกลับ “วันนี้เพิ่งจะไปทำเอกสารเปลี่ยนโอนกับผู้ใหญ่บ้านที่ศาลาว่าการ” 


 


 


เมิ่งซานถงยังคงไม่เชื่อ “เหตุใดผู้ใหญ่บ้านถึงยอมถอนตัวจากตำแหน่งได้?” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นมองคนที่เดินบนท้องถนนผ่านมาไม่ขาดสาย พูดกับเขาเสียงเบา “ตอนนี้คนเยอะ รอให้ไม่มีคนข้าค่อยเล่าให้เจ้าฟัง” 


 


 


เมิ่งซานถงได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ย่อมรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงไม่ได้ถามมาก เดินมาถึงบ้านใหญ่พร้อมคนอื่นๆ 


 


 


เมิ่งจงจวี่ในฐานะซิ่วไฉคนเดียวของหมู่บ้าน ก็ต้องไปเข้าร่วม หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แต่เนิ่นๆ แต่งกายสะอาดหมดจด อยู่ในบ้านรอให้ถึงเวลาโดยไว 


 


 


ตอนที่เมิ่งต้าจินและภรรยายกเก้าอี้ออกไป เขาก็อยากตามไปด้วย แต่เมิ่งต้าจินบอกว่ากลางคืนฟ้ามืด พวกเขาต้องยกเก้าอี้ไม่สะดวกดูแลเขา ให้เขารอครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวพวกเขาจะกลับมาประคองเขาไป ตอนนี้เห็นคนทั้งหมดเข้ามา ก็พรวดพราดลุกขึ้นยืน พูดกับคนทั้งหมด “พวกเจ้ามายกเก้าอี้แล้วรีบไปเถอะ ให้หัวหน้าสกุลต่างๆ รอจะไม่ดี” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเมิ่งซานถงและภรรยายกเก้าอี้ เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีประคองเมิ่งจงจวี่ มาถึงพื้นที่โล่ง 


 


 


คนในหมู่บ้านมากันเกือบครบแล้ว เห็นเมิ่งจงจวี่มีหลานชายสองคนประคองมา ต่างหลีกทางให้เขาไปอยู่ข้างหน้า เมิ่งเอ้ออิ๋นเมิ่งซานถงและภรรยายกเก้าอี้เดินตามหลัง 


 


 


เห็นเมิ่งจงจวี่แต่งกายชุดใหม่ หน้าตาสดใสมีชีวิตชีวา แล้วมองดูครอบครัวสกุลเมิ่งกุลีกุจอช่วยกัน เหล่าลูกบ้านต่างรู้สึกว่าวันนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ 


 


 


บรรดาหัวหน้าสกุลไม่นานก็มาถึง ทักทายเมิ่งจงจวี่สองสามคำ ก็ทยอยเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่เตรียมไว้ 


 


 


ตามหลักเมื่อมีการเปลี่ยนโอนตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าจะต้องกล่าวถ้อยคำก่อน บอกว่าเหตุใดตนเองถึงออกจากตำแหน่ง แล้วแนะนำผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ให้กับคนผู้นั้น แต่วันนี้ทุกคนรอเป็นนาน หลิวกุ้ยก็ไม่มา ลูกบ้านยังไม่รู้ว่าเปลี่ยนผู้ใหญ่บ้านแล้ว ต่างคาดเดาไปต่างๆ นาๆ ว่าเกิดเรื่องอันใดกับบ้านผู้ใหญ่บ้านหรือไม่ เหตุใดเรียกคนในหมู่บ้านมารวมตัวกันแล้ว ตนเองกลับไม่มา 


 


 


รอนานเข้า หัวหน้าสกุลต่างๆ เริ่มไม่พอใจหลิวกุ้ย เป็นเขาเองที่ยอมมอบตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านให้คนอื่น ตอนนี้กลับไม่ยอมมา ให้ทุกคนต้องมารอเก้อเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? 


 


 


หัวหน้าสกุลหลี่พูดโพล่ง “ต้าจินเอ๊ย ข้าว่าหลิวกุ้ยคงไม่มาแล้ว เจ้าจงรีบประกาศเรื่องที่เจ้าเป็นผู้ใหญ่บ้านออกมาเถอะ เลี่ยงไม่ให้ทุกคนคาดเดาสะเปะสะปะ วิพากษ์วิจารณ์ไปเอง” 


 


 


เมิ่งต้าจินพยักหน้า หันไปเปล่งเสียงพูดกับกลุ่มคน “ทุกคนอยู่ในความสงบ ข้ามีเรื่องจะพูดกับทุกคน” 


 


 


ช่วงเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่บ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นรับสมัครคนงานจะเป็นเมิ่งต้าจินที่คอยจัดการเรื่อง ตอนนี้เห็นเมิ่งต้าจินก้าวออกมาพูด คนในหมู่บ้านนึกว่าบ้านเมิ่งจะรับสมัครคนอีก ต่างปิดปากสนิท กลั้นหายใจรอฟังว่าเมิ่งต้าจินจะพูดเรื่องดีอะไร 


 


 


เมิ่งต้าจินเปล่งเสียงพูดกับกลุ่มคนอีกครั้ง “จากการแนะนำอย่างเต็มกำลังของผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าสกุลทั้งหลาย วันนี้ข้าได้ไปขึ้นทะเบียนกับทางการแล้ว ต่อไปข้าก็คือผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ของหมู่บ้านเรา” 


 


 


ความเงียบครอบคลุมไปทั้งลานโล่ง เหล่าลูกบ้านเบิกตาโพลง ไม่อยากเชื่อข่าวที่ตัวเองได้รับนี้ 


 


 


เมิ่งต้าจินพูดต่อ “ต่อไปทุกคนมีเรื่องยุ่งยากอันใดให้รีบมาหาข้า ข้าจะช่วยทุกคนแก้ไขอย่างสุดความสามารถ” 


 


 


คนในหมู่บ้านถึงแตกตื่นโกลาหล วิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ บางคนไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้ใหญ่บ้านถึงทำใจถอนตัวจากตำแหน่งนี้ได้ บางคนปลาบปลื้มยินดีที่เมิ่งต้าจินมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ต่อไปเมื่อบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นรับสมัครคน จะต้องเลือกใช้คนในหมู่บ้านตัวเองก่อน บางคนก็คาดเดาว่าการเปลี่ยนผู้ใหญ่บ้านกะทันหัน จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น 


 


 


รอจนเสียงเซ็งแซ่ของทุกคนบางลง เมิ่งต้าจินถึงพูดต่อ “ข้ารู้ว่าทุกคนกังขาว่าเหตุใดข้าถึงเป็นผู้ใหญ่บ้านได้ ในส่วนนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ข้าไม่สะดวกจะบอกทุกคน แต่ข้ารับประกันได้ว่าหลังจากข้าเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว จะนำพาทุกคนให้มีชีวิตที่ผาสุก” 


 


 


เสียงเล็กแหลมของหญิงคนหนึ่งด้านหลังกลุ่มคนดังขึ้น “มันก็ไม่แน่ เรื่องที่หลายปีมานี้ตาเฒ่าของข้าทำไม่ได้ เจ้าจะทำมันอย่างง่ายดายได้อย่างไร?” 


 


 


ทุกคนได้ยินเสียงที่คุ้นเคย แยกตัวออกเป็นทางให้อย่างคุ้นชิน 


 


 


หลิวต้าเป่าประคองมารดาตนเองเดินมาด้านหน้า 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยพูดกับเมิ่งต้าจินอย่างเหยียดหยัน “เมื่อก่อนเจ้าเป็นอย่างไร ทุกคนรู้อยู่แก่ใจดี พวกเจ้าอย่าคิดว่าพวกเจ้าบีบให้พวกเราถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านแล้ว เจ้าก็จะดำรงตำแหน่งได้ยาวนาน” 


 


 


สิ้นเสียงนาง กลุ่มคนส่งเสียงร้องอื้ออึง  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


หัวหน้าสกุลหลิวเปล่งเสียงตวาดนาง “สะใภ้หลิว หลิวกุ้ยถอนตัวจากตำแหน่งด้วยความเต็มใจ เจ้าอย่าได้มาก่อความปั่นป่วน” 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยแค่นหัวเราะ “ใครบอกว่าพวกเราเต็มใจ เป็นเพราะนังตัวดีเมิ่งเชี่ยนโยวใช้หลิวต้าเป่ามาข่มขู่พวกเรา พวกเราไม่มีทางเลือกถึงต้องยอมรับปาก” 


 


 


กลุ่มคนร้องอื้ออึงดังระงมอีกครั้ง 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยพูดต่อ “ตอนนี้บ้านพวกเจ้ามีเงินแล้ว เรื่องที่ข่มขู่ให้ถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน พวกเรายังยอมได้ แต่พวกเจ้าไม่ควรรังแกกันมากเกินไป เรื่องที่รับปากพวกเราไว้ พอเจ้าได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้วกลับผิดคำพูด” 


 


 


เสียงอื้ออึงยิ่งดังหนาหู 


 


 


เมิ่งต้าจินย่อมรู้ว่านางพูดเรื่องอะไร แต่ก็ไม่สะดวกโต้กลับต่อหน้าคนอื่น ยืนนิ่งไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี 


 


 


เมิ่งจงจวี่กลับทนดูต่อไปไม่ไหว ถามขึ้น “พวกเราไปรับปากอะไรพวกเจ้าไว้ แล้วผิดคำพูดอย่างไร?” 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยชี้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างแค้นเคือง “นังตัวดีนั่นรับปากจะปิดโรงงานรมควันเนื้อกับพวกเราไว้ ตอนนี้กลับผิดคำพูด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปิดแล้ว” 


 


 


พอได้ยินภรรยาหลิวกุ้ยพูดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรับปากจะปิดโรงงานรมควันเนื้อ คนที่ทำงานในโรงงานต่างลนลาน หันมองเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นตาเดียว 


 


 


เมิ่งจงจวี่ก็มองนางอย่างซักถาม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย “ข้าพูดกับคนงานในโรงงานแล้ว เดือนหน้าพวกเราจะปิดโรงงาน แต่พวกเขาไม่ยอม จะบีบให้ข้าปิดวันนี้ให้ได้ ทว่าเรื่องหลังจากนั้นข้ายังจัดการไม่เรียบร้อย จะบอกให้ปิดก็ปิดเลยได้อย่างไรกัน?” 


 


 


หัวหน้าสกุลต่างๆ พยักหน้าเข้าใจ 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยเห็นพวกเขาเข้าข้างเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ร้อนรนพูด “เจ้าโกหก เจ้ารับปากเองว่าเมื่อให้สูตรพวกเราแล้ว จะปิดโรงงานทันที” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ถามนาง “เมื่อท่านพูดเช่นนี้ เช่นนั้นข้าถามท่าน พวกเราได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่?” 


 


 


ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ภรรยาหลิวกุ้ยยิ่งโมโหเดือดดาล “พวกเราเชื่อใจเจ้ามากเกินไป คิดว่าพอเจ้าบอกว่าปิดก็จะปิด ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะไร้สัจจะเช่นนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงสูงพูด “ท่านพูดออกมาได้น่าขันนัก ข้าไม่มีสัจจะตอนไหน เมื่อครู่ข้าก็บอกไปแล้ว? เดือนหน้าข้าจะปิดโรงงาน และต่อไปก็จะไม่เปิดอีก” 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยตวาดแว้ด “ไม่ได้ วันพรุ่งเจ้าจักต้องปิดทิ้ง ไม่เช่นนั้นข้าจะอาละวาดจนพวกเจ้าอยู่ไม่เป็นสุข” 


 


 


เห็นนางพูดจาไร้เหตุผล หัวหน้าสกุลหลิวขมวดคิ้วแน่น ร้องเอ็ดนาง “สะใภ้หลิว รีบกลับบ้านไปซะ เลิกอาละวาดให้ขายหน้าได้แล้ว” 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยไม่สนใจไม้นี้ หันไปพูดกับเมิ่งต้าจิน “เจ้าบอกว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ดีใช่ไหม เรื่องในวันนี้เจ้าจักต้องจัดการอย่างยุติธรรม ไม่เช่นนั้น พรุ่งนี้ข้าจะป่าวประกาศไปให้ทั่วว่าเจ้าเป็นผู้ใหญ่บ้านวันแรกก็ช่วยคนในสกุลตัวเองรังแกครอบครัวพวกเรา” 


 


 


เมิ่งต้าจินตอบ “เจ้าหยุดปั้นน้ำเป็นตัวได้แล้ว เรื่องเป็นมาอย่างไร พวกเรารู้แก่ใจดี หากเจ้าไม่กลัวขายหน้า วันนี้พวกเราเอาเรื่องทั้งหมดพูดต่อหน้าทุกคนในที่นี้ ให้ทุกคนดูว่าเป็นเจ้าหรือพวกเราที่ผิด” 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยไม่คิดว่าเข้าจะกล้าพูดแข็งข้อเช่นนี้ ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น 


 


 


หลิวต้าเป่าแอบกระทุ้งนาง ภรรยาหลิวกุ้ยถึงได้สติกลับมา กลิ้งกลอกนัยน์ตา นั่งลงกับพื้น ตีขาแสร้งร้องโหยหวน “ทุกคนรีบมาดูเถิด ดูว่าครอบครัวพวกเขาไร้ยางอายเพียงใด พอหลอกพวกเราให้ถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ก็ย้อนกลับมารังแกพวกเรา โลกนี้ไม่เหลือความยุติธรรมแล้ว พวกเราไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว” 


 


 


เมิ่งจงจวี่ไม่เคยถูกใครตบหน้าเช่นนี้มาก่อน โมโหจนตัวสั่น 


 


 


หัวหน้าสกุลต่างๆ ก็โมโหแทบทนไม่ไหวแล้ว 


 


 


ไม่คิดว่าอยู่ๆ นางจะมาไม้นี้ ตีก็ไม่ได้ ด่าก็ไม่ได้ เมิ่งต้าจินเองก็ว้าวุ้นร้อนรุ่มใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลงเบื้องหน้าภรรยาหลิวกุ้ย 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยขยับถอยหลังอย่างลืมตัว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใช้เสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนได้ยินพูดว่า “เดิมข้าคิดจะปิดโรงงานรมควันเนื้อให้เร็วขึ้น เจ้ากลับบีบข้าไม่ยอมปล่อย เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าว่าข้าไม่เกรงใจเล่า” 

 

 

 


ตอนที่ 148.1

 

 ไม่ตายก็ดี

 


 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยร่างสั่นระริก ถามอย่างสั่นกลัว “เจ้าคิดจะทำอะไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืดตัวขึ้น หันไปตะเบ็งเสียงพูดกับกลุ่มคน “เพื่อสนับสนุนที่ลุงใหญ่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ครอบครัวพวกเราตกลงกันแล้ว ตัดสินใจจะบอกสูตรเนื้อรมควันกับทุกคน ใครที่ต้องการ อีกสามวันให้หลังให้มารับสูตรที่บ้านพวกเรา” 


 


 


กลุ่มคนลุกฮือ โดยเฉพาะคนงานที่ทำงานในโรงงาน รู้ว่าเนื้อรมควันกับเครื่องในรมควันกำไรดีแค่ไหน ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ต่างก็ไม่เชื่อหูตัวเอง หันไปยืนยันกับคนข้างๆ “ข้าไม่ได้ฟังผิดนะ? ข้าไม่ได้ฟังผิดนะ?” 


 


 


ภรรยาหลิวกุ้ยเกือบเสียสติ กรีดร้องเสียงหลง “เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้! เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้!” 


 


 


หลิวต้าเป่าตะลึงงัน 


 


 


เมิ่งต้าจินก็ตกตะลึง แวบเดียวก็ได้สติกลับมา นางกำลังใช้โอกาสนี้ซื้อใจคนให้ตนเอง 


 


 


หัวหน้าสกุลต่างๆ กลับสูดลมหายใจเข้าปากเป็นระลอก “ครั้งนี้แม่หนูบ้านเมิ่งกระทำการได้โหดเ**้ยมนัก ใช้กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ[1] ดับฝันของสกุลหลิวเสียสิ้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามสะใภ้หลิวอย่างเย็นชา “เหตุใดข้าถึงทำเช่นนี้ไม่ได้? สูตรเป็นของข้า ข้าอยากให้ใครก็ให้” 


 


 


สะใภ้หลิวไม่คิดว่าความคิดแยบยลที่ตนเองและบุตรชายคิดออกมาเพื่อบีบให้เมิ่งเชี่ยนโยวปิดโรงงานในทันทีนี้ จะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ หมายจะแก้สถานการณ์กลับ แผดเสียงร้องใส่เมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าให้สูตรนี้กับครอบครัวพวกเราแล้ว เหตุใดยังจะให้พวกเขา?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเมิ่งเชี่ยนโยวมองลูกบ้านที่แทบอยากจะดึงหูตนเองให้ยาวยืดเพื่อจะได้ฟังชัดว่าพวกเขาคุยอะไรกัน หัวเราะพูดเสียงดัง “ถูกต้อง ข้ามอบสูตรให้พวกเจ้า แต่ข้ามิได้บอกว่าจะมอบสูตรนี้ให้พวกเจ้าครอบครัวเดียวเสียหน่อย” 


 


 


คนงานในโรงงานรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนมีนิสัยพูดคำไหนคำนั้น ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ต่างก็วางใจ คิดว่าอีกสามวันให้หลังตนเองจะต้องรีบไปบ้านเมิ่งนำสูตรมาครองให้ได้ 


 


 


สะใภ้หลิวนั่งทื่อบนพื้น 


 


 


เมิ่งต้าจินฉวยโอกาสนี้พูดกับกลุ่มคน “พอทุกคนได้สูตรไปแล้ว มีอะไรไม่เข้าใจ ให้มาหาข้าได้ ข้าดูแลโรงงานรมควันเนื้อมานาน รู้ทุกแง่มุมการผลิตอย่างชัดแจ้ง จะต้องช่วยทุกคนทำเนื้อรมควันที่ดีที่สุดออกมาได้” 


 


 


ทุกคนทยอยปรบมือ ลอบยินดีได้เมิ่งต้าจินมาเป็นผู้ใหญ่บ้านดียิ่งนัก 


 


 


สะใภ้หลิวเห็นทุกคนปรบมือ ก็ให้เคืองขุ่น ลุกขึ้นยืน ตะโกนพูดข่มขู่ใส่กลุ่มคน “พวกเจ้าบ้านไหนกล้าทำเนื้อรมควัน ข้าจะพังบ้านพวกเจ้าให้พังราบ” 


 


 


หลิวกุ้ยเป็นผู้ใหญ่บ้านมาหลายปี สะใภ้หลิววางอำนาจบาตรใหญ่จนเคยตัว ชาวบ้านเห็นเขาเป็นภรรยาผู้ใหญ่บ้าน ถึงโอนอ่อนให้เสมอมา แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว หลิวกุ้ยไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านอีก สะใภ้หลิวจึงเป็นชาวบ้านสามัญเหมือนตนเอง เช่นนั้นยังมีอะไรต้องกลัวนาง เริ่มมีคนพูดอย่างดูแคลน “ตอนนี้เจ้ามิใช่ภรรยาผู้ใหญ่บ้านแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าจะรังแกพวกเราได้ตามอำเภอใจเหมือนก่อนอีกเรอะ จะบอกให้นะ ไม่มีทาง หากเจ้ากล้ามาอาละวาดบ้านพวกเรา ข้าจะไล่ตีเจ้าออกไป” 


 


 


สะใภ้หลิวไม่เคยได้ยินชาวบ้านพูดจาแข็งข้อเช่นนี้กับนาง รับไม่ได้กะทันหัน หมายจะกระโจนเข้าตบข่วนคนที่พูด หลิวต้าเป่ารั้งนางไว้ “ท่านแม่ อย่าไป ตอนนี้ท่านพ่อเราไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว ไม่มีใครกลัวท่านอีก หากลงไม้ลงมือขึ้นมา ท่านจะถูกพวกเขาทำร้ายบาดเจ็บได้” 


 


 


สะใภ้หลิวถึงได้สติกลับมาว่าตนเองไม่ใช่ภรรยาผู้ใหญ่บ้านที่ใครเห็นก็ต้องประจบเอาใจแล้ว พลันหมดเรี่ยวแรงวิวาท เหม่อลอยไม่ได้สติ 


 


 


ไม่มีใครสนใจพวกเขา 


 


 


เมิ่งต้าจินยังใช้สถานการณ์นี้กล่าวคำพูดสร้างขวัญกำลังใจ ลูกบ้านต่างตื้นตันปรบมือรัวๆ 


 


 


หัวหน้าสกุลต่างๆ ก็ลุกขึ้นกล่าวบ้าง กำชับให้คนในสกุลตนเองจะต้องให้การสนับสนุนเมิ่งต้าจิน ทำตามที่เขาบอก ชีวิตที่ดีไม่นานก็จะมาถึง 


 


 


เมิ่งต้าจินเห็นว่าบรรลุผลลัพธ์ที่ตนเองคิดไว้แล้ว ก็ไม่พูดพร่ำอีก ทำการประกาศปิดการประชุม ให้ทุกคนแยกย้าย 


 


 


อารมณ์ฮึกเหิมของชาวบ้านยังไม่สงบลง รวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเดินกลับไป ถกเถียงเรื่องสูตรอาหารอย่างร้อนแรงไปตลอดทาง 


 


 


หัวหน้าสกุลต่างๆ ก็ลุกขึ้นกลับบ้าน  


 


 


เมิ่งต้าจินประคองเมิ่งจงจวี่ เมิ่งเอ้ออิ๋นนำเมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งซานถงกับภรรยาขนย้ายเก้าอี้กลับบ้านใหญ่พร้อมกัน ส่วนเมิ่งชื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปบ้านตัวเอง 


 


 


พื้นที่โล่งกว้างเหลือเพียงสะใภ้หลิวและหลิวต้าเป่า 


 


 


สะใภ้หลิวยังไม่ได้สติกลับมาจากเรื่องนี้ หลิวต้าเป่ากลับส่งเสียงสะอื้นไห้ถามนาง “ท่านแม่ หากท่านพ่อรู้ว่าพวกเราทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้ จะตีพวกเราตายหรือไม่?” 


 


 


สะใภ้หลิวก็หวาดกลัว ไม่เหลือกิริยาแข็งกร้าวอีกแล้ว ตอบเสียงสั่นเทิ้ม “คงไม่หรอก แม่รู้จักนิสัยพ่อเจ้าดี อย่างมากก็แค่ระเบิดอารมณ์วูบเดียวเท่านั้น” 


 


 


หลิวต้าเป่าถามกลับเสียงสั่นเครือ “แต่เรื่องในครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ครอบครัวสามารถใช้สูตรเนื้อรมควันหาเงินได้จำนวนมาก แต่ตอนนี้ดีแล้ว คาดว่าสักอีแปะเดียวก็คงหาไม่ได้แล้ว หากท่านพ่อรู้ว่านี่เป็นความคิดที่ข้าบอกท่าน จะต้องตีข้าตาย” 


 


 


ได้ยินเช่นนั้น สะใภ้หลิวตกใจลนลาน 


 


 


หลิวต้าเป่ายิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว หันไปพูดกับสะใภ้หลิว “ท่านแม่ ไม่ได้แล้ว ข้ากลับบ้านไม่ได้ ท่านกลับไปเอาเงินหนึ่งร้อยตำลึงให้ข้า ข้าเข้าไปหลบในเมืองสักระยะหนึ่งก่อนค่อยว่ากันเถอะ” 


 


 


“เงินอยู่ที่พ่อเจ้าทั้งหมด แม่จะเอาเงินที่ไหนให้เจ้า” สะใภ้หลิวพูดอย่างจนใจ 


 


 


หลิวต้าเป่าคุกเข่าต่อหน้าสะใภ้หลิว “ท่านแม่ ท่านคิดหาวิธีสิ ข้าเพิ่งจะหลุดพ้นจากโรงงานรมควันเนื้อน่าสะอิดสะเอือนนั่น ยังไม่ทันได้อยู่สบาย ข้าไม่อยากถูกท่านพ่อตีตาย” 


 


 


สะใภ้หลิวมีหลิวต้าเป่าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว รักใคร่ตามใจแต่เด็ก พอคิดถึงภาพหลังจากที่รู้เรื่องหลิวกุ้ยจะต้องซ้อมตีเขา ก็ให้ปวดใจยิ่งนัก ตอบรับคำทันควัน “ได้ แม่จะกลับไปคิดหาวิธี” 


 


 


หลิวต้าเป่ารีบลุกขึ้น ประคองสะใภ้หลิวกลับบ้าน 


 


 


มาถึงหน้าประตูบ้าน สะใภ้หลิวให้หลิวต้าเป่ารอนอกลานบ้าน ตัวเองจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ถึงแสร้งเดินเข้าบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


หลิวกุ้ยไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว สภาพจิตใจย่ำแย่ หลังจากที่พวกเมิ่งเชี่ยนโยวไปก็เอาแต่นอนบนเตียง แม้แต่ข้าวปลาก็ไม่กิน 


 


 


สะใภ้หลิวเข้ามาในบ้าน เห็นหลิวกุ้ยยังมีสภาพเหมือนตอนที่ตัวเองออกไป นอนหลับตาแน่นิ่งอยู่บนเตียง ก็เดินไปข้างเขา พูดอย่างอ่อนโยน “พ่อเอ๊ย ลุกขึ้นมากินข้าวกินปลาหน่อยเถอะ ตอนกลางวันเจ้าก็ไม่ได้กิน ทำแบบนี้ร่างกายจะรับไม่ไหวเอา” 


 


 


หลิวกุ้ยไม่ขยับ 


 


 


สะใภ้หลิวมองเขา พูดโป้ปด “เมื่อครู่ข้าไปแอบฟังที่ลานโล่งนั่น คนในหมู่บ้านต่างไม่พอใจที่เมิ่งต้าจินมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน พูดว่าเมื่อก่อนเขาเป็นพวกเกียจคร้าน ไม่ทำงานการ คนเช่นนี้จะเป็นผู้ใหญ่บ้านได้อย่างไร? ทั้งยังคาดเดาต่างๆ นาๆ ว่าเขาใช้วิธีสกปรกอะไรบีบให้เจ้าถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ข้าว่า ภายหน้าหากพวกเรามีเงินแล้ว ไม่แน่ว่าจะแย่งตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านกลับคืนมาได้” 


 


 


หลิวกุ้ยผุดลุกขึ้นมาจากเตียง ถามอย่างเต็มไปด้วยความหวัง “ทุกคนพูดเช่นนั้นจริงๆ?” 


 


 


สะใภ้หลิวพยักหน้าอย่างรู้แก่ใจ “ข้าได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้กับหู” 


 


 


หลิวกุ้ยเริ่มมีเรี่ยวแรง พูดว่า “เจ้ารีบไปเตรียมสำรับให้ข้า ข้าต้องบำรุงร่างกาย พรุ่งนี้พวกเราเข้าเมืองไปซื้อเครื่องในมาทำความสะอาด ต้าเป่าอยู่ที่โรงงานมานาน ต้องทำความสะอาดอย่างไรเขาน่าจะรู้” 


 


 


สะใภ้หลิวกะพริบตาปริบๆ ยิ้มเจื่อนพูด “ย่อมต้องรู้อยู่แล้ว เจ้าไปกินข้าวก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยพูดเรื่องนี้ก็ยังไม่สาย” 


 


 


หลิวกุ้ยลงจากเตียง พูด “เจ้าไปยกสำรับมาให้ข้า” 


 


 


สะใภ้หลิวต้องการแยกเขาออกมาเพื่อขโมยเงิน หากนางยกสำรับมาให้เขาจริงๆ จะขโมยเงินออกมาได้อย่างไร นางย่อมไม่ยินยอม พูดว่า “เจ้าไปนั่งกินในครัวเถอะ วันนี้ข้าตั้งใจทำอาหารเพิ่มให้เจ้าอีกสองอย่าง ให้ยกมาทั้งหมดจะยุ่งยาก” 


 


 


หลิวกุ้ยคิดแล้วก็เห็นด้วย ทั้งสองลุกขึ้นเดินมาที่ครัว สะใภ้หลิวนำอาหารที่คอยอุ่นเตรียมไว้ให้เขาในหม้อออกมา หลิวกุ้ยหิวมากจริงๆ กินอย่างเอร็ดอร่อย 


 


 


สะใภ้หลิวพูดกับเขา “เจ้าค่อยๆ กิน กินหมดแล้วเรียกข้า ข้าจะเข้าไปจัดที่หลับที่นอน อีกเดี๋ยวก็จะถึงเวลานอนแล้ว” 


 


 


ปกติสะใภ้หลิวจะจัดที่หลับที่นอนแต่หัวค่ำอยู่แล้ว หลิวกุ้ยไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ พยักหน้ารับ 


 


 


สะใภ้หลิวลอบถอนใจโล่งอก รีบเดินเข้ามาในห้องตัวเอง คลำหากุญแจจากใต้เตียงมาเปิด**บใส่เงินออก เห็นเงินห้าร้อยตำลึงวางอยู่ในนั้นจริงๆ รีบยื่นมือออกไปหยิบเงินก้อนใหญ่ออกมาจำนวนหนึ่ง โดยยังไม่ได้นับว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ก็รีบยัดใส่อกเสื้อ ลงสลัก**บเงิน เอากุญแจวางไว้ที่เดิม เปิดประตูออกลอบมองดู เห็นหลิวกุ้ยยังกินข้าวอยู่ในครัว จึงแอบย่องเดินออกไปนอกประตูใหญ่ 


 


 


หลิวต้าเป่าร้อนรนอยู่ไม่สุขแล้ว เห็นสะใภ้หลิวออกมา ร้อนรนถาม “ท่านแม่ ได้เงินมาแล้วใช่หรือไม่?” 


 


 


สะใภ้หลิวล้วงก้อนเงินจากอกเสื้อออกมามอบให้เขาทั้งหมด พูดว่า “ฉวยโอกาสที่พ่อเจ้ายังไม่รู้เรื่อง เจ้าจงรีบไปเถอะ เมื่อถึงตัวเมืองแล้ว รีบหาที่พักก่อน รอให้พ่อเจ้าหายโกรธแล้วค่อยกลับมา” 


 


 


หลิวต้าเป่าพยักหน้า รับเงินแล้วหุนหันจากไป 


 


 


สะใภ้หลิวแอบย่องกลับเข้ามาในห้อง ปูที่หลับที่นอนเสร็จถึงถอนใจโล่งอก 


 


 


หลังจากเมิ่งชื่อกลับถึงบ้าน ก็ถามเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเป็นห่วง “โยวเอ๋อร์ เจ้ารับปากจะบอกสูตรให้คนทั้งหมู่บ้านเช่นนี้ การค้าของพวกเรากับคุณชายจูและคุณชายเซี่ยจะทำอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ต่อให้ข้าไม่บอกสูตร เนื้อรมควันก็คงทำอีกไม่นานแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายให้พวกเขาคนละฉบับ บอกพวกเขาว่านี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าเองก็จนใจ ทั้งจะบอกสูตรนี้กับพวกเขา พวกเขาคงจะไม่ตำหนิโทษพวกเรา” 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า “ก็คงต้องทำเช่นนี้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมาที่ห้องฝั่งตะวันออกตรวจการบ้านของซุนเหลียงไฉอย่างละเอียด ชื่นชมเขาสองสามคำ ถึงกลับเข้าห้องมาเขียนจดหมาย 

 

 

 


ตอนที่ 148.2

 

 ไม่ตายก็ดี

 


 


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งฉี “พี่ใหญ่ พี่รองพวกท่านไปส่งพวกเขาไปโรงเรียนเถอะ วันนี้ข้ามีธุระต้องพูดกับคนงานของคุณชายเซี่ยและคุณชายจู” 


 


 


ทั้งสองพยักหน้า บังคับรถม้าไปส่งเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไปโรงเรียน 


 


 


หลังจากจูต้าจ้วงยิ้มตาหยีนำเนื้อหมูเข้ามาส่ง เมิ่งเชี่ยนโยวที่คิดเงินให้เขาเสร็จ ก็พูดกับเขาอย่างรู้สึกผิดว่า อีกสามวันโรงงานรมควันเนื้อของตนเองจะปิดตัวลงแล้ว ต่อไปไม่ต้องการเครื่องในหมูอีก 


 


 


จูต้าจ้วงตะลึงเล็กน้อย ทว่าก็ยังยิ้มพูด “ไม่เป็นไร แม่นางเมิ่ง เจ้าซื้อเนื้อหมูข้าเพิ่มก็พอแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเหมือนหยอกล้อเล่นว่า “เถ้าแก่จู เกรงว่าจะไม่ได้ อีกหนึ่งเดือน โรงงานกุนเชียงของข้าก็จะปิดตัวลง” 


 


 


จูต้าจ้วงชะงักงันอยู่ตรงนั้น ครู่หนึ่งถึงลองหยั่งเชิงถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับครอบครัวแม่นางหรือ? เหตุใดถึงจะปิดโรงงานทั้งสองแห่ง?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะอธิบายเหตุผลที่ตนเองต้องปิดโรงงานกุนเชียงกับเขา 


 


 


จูต้าจ้วงฟังนางพูดจบ แม้จะเสียใจที่ต่อไปตนเองจะหาเงินได้น้อยลง แต่ก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แย้มยิ้มพูดว่า “ข้ารู้แล้ว ตอนที่แม่นางจะปิดโรงงานให้แจ้งข้าก่อนด้วย ข้าจะได้ซื้อหมูมาฆ่าน้อยลง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว” 


 


 


จูต้าจ้วงทอดถอนใจ “ต่อไปแม่นางไม่ซื้อเนื้อหมูข้าแล้ว เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าอยู่ๆ ก็จะหาเงินได้น้อยลง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ “เถ้าแก่จูอย่าเพิ่งใจร้อน รอหน้าหนาวโรงงานข้าจะยังเปิดอีก ไม่แน่ว่าจะเพิ่มอีกหลายโรงด้วย ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยมาค้าขายกันต่อ” 


 


 


จูต้าจ้วงดวงตาเปล่งประกายพลัน “แม่นางพูดจริงๆ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มพยักหน้า 


 


 


จูต้าจ้วงรีบร้อนพูด “เช่นนั้นพวกเราก็ตกลงกันแล้ว ถึงตอนนั้นแม่นางจะต้องเลือกใช้เนื้อหมูของข้าอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับประกัน “เถ้าแก่จูวางใจเถอะ ขอเพียงท่านยังรับประกันว่าเนื้อหมูของท่านสดใหม่ ข้าเปิดโรงงานยาวนานแค่ไหนก็จะซื้อเนื้อหมูของท่านนานแค่ไหน” 


 


 


จูต้าจ้วงบังคับรถเทียมเกวียนกลับไปอย่างยินดี 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องบอกเมิ่งชื่อ แล้วจึงมาโรงงานรมควันเนื้อ รอคนงานของจูหลานและเซี่ยเจียงเฟิงมา 


 


 


วันนี้หลังจากที่อู๋ต้าและพวกห้าคนพร้อมกับคนงานหมู่บ้านหลี่เข้ามาทำงานที่โรงงานรมควันเนื้อ ถึงได้ยินเรื่องที่อีกสามวันโรงงานจะปิดตัวลงจากปากคนในหมู่บ้าน เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นในใจ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ต่างมองมาที่นางเป็นตาเดียว 


 


 


อู๋ต้าเดินตรงมาเบื้องหน้านาง ถามนางอย่างระวัง “นายหญิง อีกสามวันโรงงานของพวกเราก็จะปิดตัวลงแล้ว?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


อู๋ต้ายิ่งเพิ่มความระวังถาม “เช่นนั้นพวกเราทั้งหมดจะทำอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว “พวกเจ้าทั้งหมดก็ต้องอยู่ทำงานต่ออย่างไร มีปัญหาอะไรหรือ?” 


 


 


ได้ยินว่าคนทั้งหมดยังอยู่ทำงานต่อได้ หลิวต้าดีอกดีใจใหญ่ โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา นายหญิงวางใจ ไม่ว่าทำงานอะไร พวกเราก็จะทำอย่างเต็มที่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง อู๋ต้าผลุนผลันหันกลับไปทำงาน ทั้งนำข่าวดีนี้ไปบอกกับอีกสี่คนที่เหลือ คนทั้งหมดที่อกสั่นขวัญแขวนแต่เช้าในที่สุดก็วางใจลงได้ 


 


 


คนจากหมู่บ้านหลี่ได้ยินว่าอู๋ต้าและพวกจะยังได้อยู่ทำงานอื่นต่อ ก็ถามขึ้นอย่างเต็มไปด้วยความหวังบ้าง “นายหญิง พวกเราเล่า?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงรู้แจ้งว่าพวกเขาเป็นกังวลว่าหลังจากปิดโรงงานแล้ว พวกเขาจะไม่มีงานทำ แย้มยิ้มแล้วพูดกับพวกเขาว่า “ไม่นานพวกเจ้าก็จะมีงานอื่นให้ทำ” 


 


 


คนทั้งหมดได้ยินนางพูดเช่นนี้ ต่างยินดีปรีดา 


 


 


คนงานของจูหลานและเซี่ยเจียงเฟิงยังคงมาถึงโรงงานรมควันเนื้อตามเวลาเดิม เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ด้วย ร้องทักทายนางอย่างนอบน้อม “แม่นางเมิ่ง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ รอพวกเขาบรรจุเนื้อรมควันเสร็จ จึงนำจดหมายสองฉบับและสูตรอาหารแบ่งมอบให้พวกเขา พูดว่า “นี่คือจดหมายและสูตรเนื้อรมควันที่มอบให้นายของพวกเจ้า พวกเจ้ากลับไปแล้วมอบให้พวกเขาเถอะ” 


 


 


คนงานรีบรับมา วางใส่อกเสื้อตัวเองอย่างระวัง หลังจากบอกลาเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างนบนอบ ก็ลากเนื้อรมควันและเครื่องในรมควันกลับไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเมิ่งต้าจินยังมาทำความสะอาดเครื่องใน เดินไปพูดกับเขา “ท่านลุงใหญ่ ท่านไม่ต้องทำความสะอาดเครื่องในแล้ว ไปวัดที่ดินผืนนั้นพร้อมพ่อข้าเถอะ พวกเราจักได้ปลูกเรือนเสร็จไวขึ้น” 


 


 


เมิ่งต้าจินรับคำลุกขึ้น ล้างมือเสร็จก็เดินไปหาเมิ่งเอ้ออิ๋น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวว่างไม่มีอะไรทำ จึงตามมายังที่ดินที่พวกเขาพูดกัน มองด้วยตาเปล่า รู้สึกว่าใหญ่มาก ปลูกเรือนสี่ด้านได้เหลือเฟือ จึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้น คิดจะปลูกเรือนแห่งนี้ให้เป็นคฤหาสน์สี่เรือน[1]ตามแบบที่เคยเห็นในทีวีก่อนที่จะทะลุมิติมา 


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นเข้ามาวัดพื้นที่ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ที่นี่ด้วย รู้สึกประหลาดใจ 


 


 


ไม่รอพวกเขาถาม เมิ่งเชี่ยนโยวจัดแจงอธิบายให้พวกเขาเอง “ข้าเบื่อไม่มีอะไรทำ จึงตามมาดู จะได้คิดดูด้วยว่าจะปลูกคฤหาสน์อย่างไรดี” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นแนะนำ “ปลูกเหมือนกับบ้านพวกเราก็พอ” 


 


 


เมิ่งต้าจินก็รู้สึกว่าปลูกเรือนเหมือนบ้านของเมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดี หน้าหลังอย่างละหลัง ทั้งไปมาหาสู่กันได้และอยู่ตามลำพังก็ได้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ที่ดินใหญ่ขนาดนี้ ปลูกเรือนเช่นนั้นน่าเสียดายเกินไป” 


 


 


“มีอะไรน่าเสียดาย เราเว้นที่ว่างระหว่างเรือนหน้าเรือนหลังให้มากหน่อยก็ได้แล้ว?” เมิ่งเอ้ออิ๋นพูด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าจนผมยุ่ง พูดว่า “พวกท่านทำรางวัดออกโฉนดที่ดินให้เสร็จก่อนค่อยว่ากันเถอะ ข้าจะกลับไปขบคิดอย่างละเอียด ครั้งนี้ข้าจะปลูกคฤหาสน์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวของตำบลชิงซี” 


 


 


เมิ่งต้าจินตกใจสะดุ้งโหยง ร้อนรนถาม “เช่นนั้นจะไม่เป็นการอวดโอ้หรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตอบ “ที่ต้องการก็คืออวดโอ้ ยิ่งอวดโอ้ยิ่งดี” 


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นไม่เข้าใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อธิบายกับพวกเขาอีก บอกพวกเขาเมื่อทำรางวัดเสร็จ ให้ไปเอาเงินที่บ้าน แล้วรีบไปทำตามขั้นตอนที่ศาลาว่าการให้เรียบร้อย 


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า ตั้งใจลงมือทำรางวัดที่ดิน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปที่บ้าน คิดจะวาดแบบคฤหาสน์สี่เรือนที่ตัวเองคิดออกมา แล้วค่อยๆ ลงรายละเอียด 


 


 


ยังไม่ถึงหน้าประตูใหญ่ ก็เห็นคนงานร้านยาเต๋อเหรินจูงรถม้ายืนพูดอะไรบางอย่างกับเมิ่งชื่อที่หน้าประตูใหญ่ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบสืบเท้าเข้าไป เมิ่งชื่อเห็นนาง ร้องเรียกนางเข้ามา “โยวเอ๋อร์ รีบมา คนงานคนนี้บอกว่านายท่านของพวกเขามีธุระอยากพบเจ้า” 


 


 


คนงานหันหลังเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างพินอบพิเทา “แม่นาง นายท่านของพวกเรากลับมาแล้ว บอกว่านำสิ่งของที่แม่นางต้องการมาด้วย ให้ท่านเข้าไปรับ” 


 


 


อยู่ต่อหน้าเมิ่งชื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ถามอะไรเพิ่ม พูดกับคนงาน “เจ้ารอครู่เดียว ข้าเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพวกเราจะไปทันที” 


 


 


คนงานรับคำ รออยู่ด้านนอกอย่างนอบน้อม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง เมิ่งชื่อตามติดเข้ามา ถามอย่างเป็นห่วง “โยวเอ๋อร์ เจ้ารอพวกพี่ใหญ่กลับมาแล้วไปกับเจ้าเถอะ เจ้าเข้าเมืองไปลำพัง แม่รู้สึกไม่วางใจ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใส่เสื้อผ้าเสร็จ พูดปลอบนาง “ท่านแม่ ไม่เป็นไร ด้านนอกเป็นคนงานร้านยาเต๋อเหริน ตอนปีใหม่นายท่านของพวกเขากลับไปฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวง คงจะนำของเล่นหายากอะไรกลับมาฝากข้า ข้าจะไปดู ไม่นานก็กลับ” 


 


 


เมิ่งชื่อได้ยินแม้จะวางใจลงบ้าง แต่ก็ยังพูดกำชับ “เจ้าต้องรีบไปรีบกลับ อย่าให้แม่เป็นห่วง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำอย่างชื่นบาน ทั้งบอกนางว่า เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นไปวัดที่ดิน ประเดี๋ยววัดเสร็จจะกลับมา บอกว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ ให้เมิ่งชื่อเอาให้พวกเขา จะได้รีบไปทำตามขั้นตอนที่ศาลาว่าการให้เสร็จแต่เนิ่นๆ และปลูกเรือนเสร็จโดยไว 


 


 


พอได้ยินว่าวันนี้จะไปทำเรื่องขอโฉนดในเมือง อีกไม่กี่วันก็ปลูกเรือนได้แล้ว เมิ่งชื่อดีใจยกใหญ่ ไม่เหลือความรู้สึกเป็นกังวลแล้ว พยักหน้าหงึกๆ แสดงว่ารับรู้แล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นนั่งบนรถม้า คนงานร้านยาเต๋อเหรินบังคับรถม้ากลับมาถึงร้านยาเต๋อเหริน 


 


 


พอลงจากรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินเข้าไปในร้านยาเต๋อเหริน พนักงานจัดยารีบเข้ามาทักทายนางอย่างนอบน้อม “แม่นาง ท่านมาแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า มองไปโดยรอบ ไม่เห็นหมอชรา มุ่นหัวคิ้วถาม “หมอชราเล่า?” 


 


 


พยักงานตอบ “นายท่านเพิ่งกลับมาถึงเมื่อเช้า ท่านหมอกำลังไปรายงานความเป็นมาเป็นไปช่วงที่ผ่านมาของร้านยาเต๋อเหรินขอรับ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหยียดคลายหัวคิ้วถาม “พวกเขาอยู่ที่ไหน?” 


 


 


พนักงานตอบ “อยู่ชั้นบน นายท่านกล่าวว่าพอท่านมาแล้วให้ขึ้นไปได้ทันที” พูดจบผายมือออกเชื้อเชิญนาง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเดินมาถึงชั้นสอง เสียงของหมอชราก็ดังแว่วมา “นายท่าน สภาพท่านตอนนี้อีกประเดี๋ยวจะทำแม่นางเมิ่งตกใจหรือไม่” 


 


 


น้ำเสียงไม่แยแสของเหวินซื่อดังลอยมา “นังตัวแสบนั่น ออกจะกล้าหาญชาญชัย อย่าว่าแต่สภาพนี้ของข้า ต่อให้ข้ากลายเป็นผีมายืนตรงหน้านาง นางก็ไม่กลัวดอก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงร้องพูด “เจ้าก็ลองกลายเป็นผีดู ดูว่าข้าจะกลัวหรือไม่?” 


 


 


สิ้นเสียง ก็เดินเข้ามาในห้อง พอเห็นใบหน้าเหวินซื่อ ฝีเท้าพลันหยุดชะงัก 


 


 


หางตาเหวินซื่อ เห็นอากัปกิริยานาง ยิ้มเยาะ “เจ้าคงไม่ได้ตกใจกับสภาพเช่นนี้ของข้าจริงๆ ดอกนะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวใส่เขา “คนอัปลักษณ์เยี่ยงเจ้า ใครเห็นก็ต้องหวาดกลัว อีกทั้งข้าก็ยังเป็นเด็ก ไม่ตกใจจนตายก็นับว่าไม่เลวแล้ว” 


 


 


เหวินซื่อหัวเราะร่วน 


 


 


หมอชราที่เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดได้ยินคำพูดเช่นนี้ของเมิ่งเชี่ยนโยวถึงผ่อนคลายลงมาได้บ้าง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ พูดอย่างไม่ไยดี “ไม่คิดว่าเจ้าจะรอดชีวิตกลับมาได้ เกินกว่าที่ข้าคาดเอาไว้จริงๆ” 


 


 


เหวินซื่อโมโห พูดว่า “เกรงว่าจะทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว ที่ข้ายังไม่ตาย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวราดน้ำมันบนกองไฟพูดขึ้นอีก “สภาพเหมือนผีสางน่าตกใจของเจ้านี้ สู้ตายไปเสียยังดีกว่า” 


 


 


เหวินซื่อโมโหจนเกือบลุกขึ้นเต้น พูดอย่างเกรี้ยวกราด “เสียแรงที่ข้าทุ่มเทสุดกำลังหาเมล็ดฉั่งฉิกจำนวนมากมาให้เจ้า หากข้ารู้ว่าเจ้าจะมีท่าทีเช่นนี้กับข้า ข้าจะไม่สนใจเรื่องของเจ้าเลย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “ข้าขอร้องให้เจ้าทำหรือไร?” 


 


 


ครานี้เหวินซื่อโมโหกระโดดลุกขึ้นเต้นเร่าๆ หันไปร้องเอ็ดตะโรกับหมอชรา “เหล่าอวี๋ เจ้าดู ดูกิริยาของนางเข้า ข้าเพิ่งกลับมาถึง ก็รีบบอกให้คนงานไปเชิญนางมา เพื่อบอกข่าวดีนี้ นางไม่เพียงไม่รับน้ำใจ ยังจะพูดเช่นนี้กับข้า” 


 


 


หมอชรามองเมิ่งเชี่ยนโยวที่มีสีหน้าเมินเฉย แล้วมองเหวินซื่อที่กำลังโมโหเกรี้ยวกราด ทอดถอนใจพูดเกลี้ยกล่อม “แม่นาง เจ้าอย่าได้ไม่พอใจอีกเลย ครั้งนี้นายท่านของพวกเราเอาชีวิตรอดกลับมาได้ถือได้ว่าโชคดีแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยโทสะ “สมน้ำหน้า! ก่อนจะไปข้ากำชับเจ้าไว้ว่าอย่างไร ให้เจ้าลงมือก่อนเป็นต่อ หากเจ้าเชื่อข้า จะมีสภาพเช่นนี้ไหม?” 


 


 


เหวินซื่อคลายความเกรี้ยวกราดลง พูดเสียงแผ่ว “ข้าก็แค่คิดว่าอย่างไรก็เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ละเว้นชีวิตเขา ไม่คิดว่าเขาจะโหดเ**้ยมอำมหิต ฉวยโอกาสตอนที่ข้ากลับสนิทกลางดึกเข้ามาลงมือในห้องข้า หากไม่เพราะข้าตกใจตื่น ตอนนี้คงไม่ได้เห็นเจ้าจริงๆ แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ “สภาพสะอิดสะเอือนของเจ้านี้ ใครเห็นก็ต้องตกใจหวาดผวา สู้ไม่เห็นเสียยังดีกว่า” 


 


 


เหวินซื่อร้องโวยวายกระเง้ากระงอดกับนาง “เจ้าคนใจร้ายใจดำ บาดแผลข้ายังรักษาไม่หาย ก็รีบกลับมานำเมล็ดฉั่งฉิกมอบให้เจ้า เจ้ากลับพูดกับข้าเช่นนี้ หากรู้ว่าเจ้าเป็นคนเช่นนี้ ข้าอยู่เมืองหลวงต่ออีกสองเดือนก็ดี” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผุดลุกขึ้น เดินมาตรงหน้าเหวินซื่อ 


 


 


เหวินซื่อตกใจก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ถามขึ้น “เจ้าจะทำอะไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องบาดแผลถูกมีดฟันบนใบหน้าเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แลพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ไม่น่าจะมีปัญหา” 


 


 


เหวินซื่อและหมอชราไม่รู้ว่านางพูดอะไร มองนางอย่างฉงนสงสัย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปนั่งบนเก้าอี้ ถาม “จุดจบของพวกเขาเป็นอย่างไร?” 


 


 


เหวินซื่อสีหน้าสลดลง กลับไปนั่งบนเก้าอี้ ครู่หนึ่งถึงพูดขึ้น “คืนวันนี้เขาเห็นข้าหลบดาบเอาชีวิตนั้นได้ ยิ่งทวีความเ**้ยมโหด ข้าไม่รู้ว่าเขาจะมีวรยุทธ์สูงส่งเช่นนี้ รับมือเขาไม่ได้ ถูกเขาฟันเข้าที่ใบหน้า เจ็บจนเกือบจะสลบไป ยังดีว่ายาที่เจ้าให้ข้าพกติดตัวไว้ตลอด ล้วงออกมาสาดออกไปได้ทันการ เขาไม่ทันระวัง สูดเข้าไปบางส่วน การเคลื่อนไหวถึงเชื่องช้าลง ข้าฉวยโอกาสนี้หนีออกทางประตู ตะเบ็งเสียงร้องตะโกน คนรับใช้ในบ้านได้ยินเสียงตะโกนของข้า ตรงเข้ามาช่วยชีวิตข้าได้ทันท่วงที” 


 


 


พูดถึงตรงนี้ ก็นิ่งเงียบไป 


 


 


 


 


 


[1] 四进四出大院子 เรือนอาศัยบนพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยจะสร้างเรือนล้อมรอบทิศทั้งสี่ของพื้นที่ เว้นพื้นที่ตรงกลางเป็นลานโล่ง เหมือนวงแหวนสี่เหลี่ยมหนึ่งวง นับเป็นคฤหาสน์หนึ่งเรือน คฤหาสน์สี่เรือนนี้จะมีผังบ้านประกอบด้วยพื้นที่ใช้สอยแตกต่างกันสี่ส่วน เหมือนวงแหวนสี่เหลี่ยมสี่วงซ้อนกัน ดั่งเช่นตัวอักษร目 

 

 

 


ตอนที่ 148.3

 

 ไม่ตายก็ดี

 


 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เร่งเร้า นิ่งเงียบรอให้เขาพูดต่อ ครู่หนึ่ง เหวินซื่อถึงพูดขึ้น “ก่อนปีใหม่ท่านพี่ฉู่คุ้มกันข้ากลับไปถึงบ้าน ท่านปู่เห็นข้าบาดเจ็บสาหัส ถามข้าว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าบอกเรื่องที่พวกเขาสองแม่ลูกวางแผนให้ข้ากลับเมืองหลวง แล้วส่งคนมาดักฆ่ากลางทาง จนข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดให้เขาฟัง พอท่านปู่ได้ฟังก็ซักถามพวกเขาสองแม่ลูกตามตรง พวกเขาปฏิเสธเสียงแข็ง ท่านพี่ฉู่จึงนำตัวโจรภูเขาจำนวนหนึ่งมาอยู่ต่อหน้าพวกเขา พวกเขาถึงพูดไม่ออก ท่านปู่โกรธมาก สั่งขับแม่เลี้ยงข้าออกจากสกุล และนำตัวน้องชายข้าไปขัง รอให้พ้นปีใหม่ค่อยทำการตัดสิน แต่ไม่รู้ว่าแม่เลี้ยงข้าใช้วิธีอะไร ไม่ว่าอย่างไรท่านพ่อก็ไม่ยอมหย่ากับนาง ทั้งพูดกับท่านปู่ว่า หากเขาจะขับแม่เลี้ยงข้าออกจากสกุลให้ได้ เขาก็จะไปด้วย และจะไม่กลับมาอีก ท่านปู่คิดว่าใกล้ปีใหม่แล้ว ไม่ควรเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ในบ้าน จึงยอมรับปากคำขอของท่านพ่อข้าชั่วคราว ไม่ขับแม่เลี้ยงข้าออกจากสกุล แต่ก็สั่งกักบริเวณนาง ไม่มีคำอนุญาตจากเขาห้ามแม่เลี้ยงข้าก้าวออกไปจากประตูบ้าน ส่วนน้องชายข้ายังถูกคุมขัง พวกเราคิดว่าเรื่องจะจบเท่านี้แล้ว ไม่คิดว่าน้องชายอำมหิตของข้าจะลอบเข้ามาในห้องข้ากลางดึก หมายจะเอาชีวิตข้าอย่างคลุ้มคลั่งเสียสติ หลังจากที่คนรับใช้เข้ามาช่วยข้า ท่านปู่โมโหมาก หลังจากลงโทษด้วยกฎบ้านก็ขับเขาออกจากสกุล” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วถาม “เพียงเท่านี้? เจ้ามิได้ฉวยโอกาสฆ่าเขา?” 


 


 


เหวินซื่อส่ายหน้า “ถูกขับออกจากสกุลถือเป็นการลงทัณฑ์สถานหนักกับเขาแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องฆ่าเขาอีก อย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเยาะ “ใจอ่อนเหมือนสตรี ตัดหญ้าไม่ถอนโคน ภายหน้าจักต้องมีภัยพิบัติไม่จบสิ้น รอไปเถอะ สักวันเจ้าจะต้องเสียใจที่เจ้าปล่อยเขาไปง่ายๆ เช่นนี้” 


 


 


เหวินซื่อไม่พูด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดได้ว่าเขากลับไปหมั้นหมาย ถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ามีสภาพอัปลักษณ์เช่นนี้ ไม่ทราบว่าได้หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่สกุลเฝิงแล้วหรือไม่?” 


 


 


เหวินซื่อแสยะปากยกยิ้ม 


 


 


“แม่เจ้า เจ้าอย่ายิ้มดีกว่า ทำข้าตกใจหมดแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าอกตัวเองหลังความตกใจ 


 


 


เหวินซื่อชักสีหน้าง้ำงอ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่เห็น หันไปพูดอย่างเห็นใจกับหมอชรา “ลำบากคนแก่คนเฒ่าอย่างท่านแล้ว ต่อไปต้องเห็นใบหน้าน่าหวาดผวานี้ทุกวัน” 


 


 


หมอชรามองใบหน้าที่ดำยิ่งกว่าก้นหม้อของเหวินซื่อไม่พูดอะไร 


 


 


ใบหน้ามีรอยแผลเป็น จะบอกว่าไม่แยแสก็คงจะโกหก แต่ยังไม่เคยมีใครกล้าพูดต่อหน้าเขาเช่นนี้มาก่อน วันนี้ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวเดียดฉันท์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหวินซื่อบันดาลโทสะร้องคำราม “อย่าคิดว่าเจ้าเคยช่วยชีวิตข้า ก็จะถลกบาดแผลข้าได้เรื่อยไป เชื่อหรือว่าข้าจะให้คนนำเมล็ดฉั่งฉินพวกนั้นไปโยนทิ้งเดี๋ยวนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแบมือกางออก พูดอย่างไม่แยแส “ก็ตามใจเจ้า อย่างมากข้าก็ขอให้แม่ทัพฉู่ช่วยหามาให้” 


 


 


เหวินซื่อสะอึกกึก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปหัวเราะกับหมอชราอย่างได้ใจ 


 


 


หมอชราถึงได้เข้าใจว่านางเพียงแหย่เย้าเหวินซื่อ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน พูดอย่างมีนัยแฝงกับหมอชรา “ข้าไม่อยากเห็นใบหน้าน่าหวาดผวาของใครบางคนแล้ว รบกวนท่านพาข้าไปดูเมล็ดฉั่งฉินด้วยเถอะ” 


 


 


หมอชรายังไม่พยักหน้า เหวินซื่อก็บันดาลโทสะร้องตะโกน “เมิ่งเชี่ยนโยว!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หันหลังเดินออกไป เดินมาได้ถึงหน้าประตูกลับชะงักเท้า หันหลังพูดกับพวกเขา “ไม่ว่าอย่างไร ไม่ตายก็ดีแล้ว” 


 


 


เหวินซื่อไม่โง่ เข้าใจความห่วงใยของนาง แสยะปากยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง 


 


 


หมอชรายกยิ้มมุมปากตามนางลงไปชั้นล่าง พานางไปดูเมล็ดฉั่งฉิกในห้องหนึ่งหลังร้าน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแก้เชือกเส้นหนึ่งออก หยิบเมล็ดฉั่งฉิกออกมาพินิจดู พบว่าเป็นเมล็ดที่ทั้งใหญ่และอวบอิ่ม พยักหน้าพอใจ พูดกับหมอชราว่า “เมล็ดเหล่านี้ไม่เลวเลย ดูท่านายท่านของพวกท่านจะลงแรงกำลังไปไม่น้อยจริงๆ รบกวนท่านขอบคุณเขาแทนข้าด้วย” 


 


 


หมอชราถามนางอย่างไม่เข้าใจ “นายท่านยังอยู่ข้างบน เหตุใดแม่นางเมิ่งถึงไม่ขึ้นไปขอบใจเขาเอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงตอบ “พอข้าเห็นสภาพน่าหวาดกลัวของเขา ก็สะกดกลั้นโทสะในใจไม่ได้ ข้าไม่ไปดีกว่า ไม่เช่นนั้นจะควบคุมตัวเองไม่ให้อัดเขาไม่ได้” 


 


 


หมอชราถอนหายใจ “นายท่านเป็นคนจิตใจดี ห่วงหาคนในครอบครัว ถึงทำให้พวกเขาได้ใจไม่จบสิ้น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร 


 


 


ทั้งสองกลับมาที่โถงกลาง เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบพู่กัน เขียนรายชื่อยาบนกระดาษเป็นแถว ส่งให้พนักงาน “รบกวนเจ้าจัดยาทั้งหมดนี้ให้ข้าด้วย” 


 


 


พนักงานรับคำ รับใบสั่งยาไปอย่างนอบน้อม เดินไปหน้าตู้ยาลงมือจัดยา 


 


 


หมอชรายืนคอยาวชะเง้อมอง อยากดูว่าตัวยาที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้จัดพวกนั้น จะนำไปปรุงเป็นยาอะไร 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านไม่ต้องดูแล้ว ยาพวกนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ข้ากลับไปยังต้องคิดหาวิธีนำตัวยาที่ร้านของพวกท่านไม่มีมา ถึงจะปรุงยาลบรอยแผลเป็นได้” 


 


 


หมอชราได้ฟังถามอย่างยินดี “เจ้าจะบอกว่ารอยมีดใบหน้านายท่านสามารถขจัดออกได้?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ 


 


 


หมอชราดีอกดีใจ กล่าวขอบคุณไม่หยุด 


 


 


พนักงานนำยาที่จัดมามอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับหมอชรา “เมล็ดฉั่งฉิกฝากไว้กับพวกท่านที่นี่ก่อน รอข้าแผ้วถางภูเขาร้างเสร็จค่อยมาลากไป” 


 


 


หมอชราพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไรอีก ให้คนงานร้านยาเต๋อเหรินบังคับม้าพานางกลับไปส่งบ้าน 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นนางสองมือว่างเปล่ากลับมา ถามอย่างประหลาดใจ “โยวเอ๋อร์ เจ้าบอกว่านายท่านร้านยาเต๋อเหรินมีของฝากกลับมาให้เจ้ามิใช่หรือ? เหตุใดเจ้าถึงกลับมามือเปล่า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ของเยอะเกินไป บ้านเราไม่มีที่วาง ข้าก็เลยฝากไว้ที่ร้านยาเต๋อเหรินก่อน ไว้พวกเราต้องการใช้ค่อยไปเอา” 


 


 


เมิ่งชื่อยิ่งงุนงง คิดจะถามต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเปลี่ยนเรื่องถามขึ้น “ท่านแม่ ท่านพ่อและลุงใหญ่ไปทำเรื่องขอโฉนดกับทางการแล้วหรือยัง?” 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า “ไปแล้ว เพิ่งจะไป คาดว่าตอนบ่ายก็น่าจะกลับมาได้” 


 


 


เป็นดังคาด ก่อนเที่ยง เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นก็บังคับรถม้ากลับมาอย่างยินดี บอกคนในบ้านว่าทำเรื่องขอโฉนดเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาสามารถปลูกเรือนได้ทันที 


 


 


ทั้งครอบครัวดีใจกันยกใหญ่ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งต้าจินว่า “ท่านลุงใหญ่ พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ ท่านจงไปหาคนมาทำความสะอาดที่ผืนนั้น เก็บกวาดให้เรียบร้อย ค่าแรงยังคงให้คนละสามสิบอีแปะต่อวัน” 


 


 


เมิ่งต้าจินรับคำ เดินหน้าบานเข้าไปหาคนในหมู่บ้าน 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นจัดเก็บรถม้าไปพลางพูดกับเมิ่งชื่อ “ตอนที่ข้าและพี่ใหญ่เข้าเมือง เห็นหลิวต้าเป่าด้วย” 


 


 


เมิ่งชื่อพูด “ท่านเห็นหลิวต้าเป่ามีอะไรแปลก ตอนนี้เขาเป็นอิสระแล้ว อยากไปไหนก็ไปได้” 


 


 


“มิใช่ ตอนที่ข้าและพี่ใหญ่เห็นเขา เขากำลังเดินคอตกออกมาจากบ่อนแห่งหนึ่ง” เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดเสียงเบา 


 


 


เมิ่งชื่อเบิกตาโพลง ถามอย่างตกใจ “เขาเดินออกมาจากบ่อน?” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “ข้าและพี่ใหญ่เดาว่าเขาจะต้องเอาเงินในครอบครัวไปเล่นพนันในเมือง” 


 


 


เมิ่งชื่อไม่เชื่อ “จะเป็นไปได้อย่างไร? พ่อแม่เขาหวงเงินยิ่งกว่าอะไร จะยอมให้เขาเอาเงินไปเล่นพนันได้อย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็คิดไม่ตก 


 


 


คนงานพักเที่ยงออกมากินข้าว เมิ่งชื่อลบเรื่องนี้ไปจากสมอง แล้วไปตักอาหารให้คนงาน 


 


 


กินข้าวเที่ยงเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาตรงหน้าจางจู้ พูดกับเขา “ท่านลุงใหญ่ พวกเราไปดูภูเขาร้างที่หมู่บ้านพวกท่านด้วยกันเถอะ ถ้าใช้ได้ ข้าจะซื้อไว้วันนี้เลย” 


 


 


จางจู้รับคำทันควัน บังคับรถม้ามาถึงหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านหลี่ 


 


 


รถม้าจอดสนิท จางจู้ร้องเรียก “ท่านอาผู้ใหญ่บ้านอยู่บ้านหรือไม่?” 


 


 


ตั้งแต่ตอนปีใหม่ที่จางจู้มาบอกเรื่องเมิ่งเชี่ยนโยวต้องการซื้อภูเขารกร้างของหมู่บ้านตนเอง ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านหลี่ก็เฝ้ารอคอยนางทุกวัน ได้ยินเสียงจางจู้มาร้องเรียก กุลีกุจอออกมา เห็นรถม้าของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยินดีปรีดา “พวกเจ้ามาแล้ว รีบเข้ามากินน้ำในบ้านก่อน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า แย้มยิ้มพูด “ท่านไม่ต้องเกรงใจ พวกเราไปดูภูเขาร้างก่อนเถอะ” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าพูด “ทางไปภูเขาร้างค่อนข้างลำบาก พวกเจ้าทิ้งรถม้าไว้หน้าบ้านข้าเถอะ ข้าจะสั่งให้คนคอยเฝ้าดู” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกลง 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านส่งเสียงร้องเรียกคนในบ้าน “หลี่ฝู เจ้าออกมาดูแลรถม้าของพี่จางจู้ให้ดี” 


 


 


ชายคนหนึ่งรับคำเดินออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวได้เห็น คือชายที่เป็นผู้นำคนมาถามจางจู้ตอนปีใหม่ว่าโรงงานของพวกเขายังรับสมัครคนหรือไม่ 


 


 


หลี่ฝูทักทายทั้งสองคนด้วยมิตรไมตรี “พวกท่านมาแล้ว รีบเข้ามานั่งในบ้านก่อน” 


 


 


จางจู้โบกมือ “ไม่ล่ะ ข้าจะตามโยวเอ๋อร์ไปดูภูเขาร้าง รบกวนน้องหลี่ฝูช่วยดูแลรถม้าให้ด้วยเถอะ” 


 


 


หลี่ฝูได้ยินว่าจางจู้จะพาเมิ่งเชี่ยนโยวมาซื้อภูเขาร้าง ก็ให้ดีอกดีใจ รีบร้อนพูด “พวกท่านไปดูอย่างสบายใจเถอะ ข้าจะดูแลรถม้าให้พวกท่านเป็นอย่างดีเอง” 


 


 


จางจู้พูดตามมารยาทอีกเล็กน้อย ผู้ใหญ่บ้านจึงพาทั้งสองคนมุ่งหน้าไปทางภูเขาร้าง 


 


 


ตอนปีใหม่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวจัดการครอบครัวอาสะใภ้รองของจางจู้ คนในหมู่บ้านแห่ไปดูกันเกือบทั้งหมด ต่างก็รู้จักนาง ตอนนี้เห็นนางเดินออกไปนอกหมู่บ้านพร้อมจางจู้และผู้ใหญ่บ้าน ก็สอบถามผู้ใหญ่บ้านอย่างอยากรู้อยากเห็น 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วบอกเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะมาซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านตนเองแก่ทุกคน 


 


 


คนในหมู่บ้านตื่นเต้นดีใจ กระจายข่าวอย่างรวดเร็ว ยังมีคนคอยตามหลังพวกเขาห่างๆ อย่างตื่นเต้นยินดี 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรู้สึกผิด “แม่นางเมิ่ง อย่าได้ถือสา เพราะคนในหมู่บ้านยากจนข้นแค้น พอได้รับข่าวดี ก็อดตามมาด้วยไม่ได้ หากเจ้าไม่พอใจ ข้าจะไล่พวกเขากลับไปเดี๋ยวนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร ขอแค่พวกเขาไม่เกะกะรบกวน ใครอยากตามก็ตามมาเถอะ” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเห็นนางไม่ถือสา ก็เบาใจลง พาพวกเขามาถึงภูเขาร้างที่อยู่ใกล้หมู่บ้านที่สุดพูดว่า “ภูเขาลูกนี้มีขนาดประมาณสองร้อยหมู่ เป็นภูเขาลูกที่เล็กที่สุด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “พวกเราขึ้นไปดูกันเถอะ” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพาทั้งสองขึ้นมาบนเขา เมิ่งเชี่ยนโยวมองบริเวณโดยรอบ ภูเขาร้างนี้ก็มิใช่ภูเขาร้างเสียทีเดียว บนเขายังมีร่องรอยของผักป่าดอกไม้ป่าแห้งเฉาบางส่วนอยู่ อีกทั้งเป็นเขาสูงใหญ่ แสงแดดส่องถึงเต็มที่ เหมาะที่จะปลูกฉั่งฉิกมาก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านใช้เวลาอีกสองชั่วยามพาทั้งสองคนไปดูภูเขาอีกสองสามลูกที่ไกลออกไป ถึงพาคนทั้งสองกลับมาบ้านตัวเอง  


 


 


คนในหมู่บ้านตรงเข้ามาล้อมหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน วาดหวังให้เมิ่งเชี่ยนโยวถูกใจภูเขารกร้างของหมู่บ้านพวกเขา ตนเองจะได้มีงานทำ 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านให้ภรรยาไปรินน้ำให้คนทั้งสอง ภรรยาผู้ใหญ่บ้านรับคำยินดี ไม่นานก็ยกน้ำร้อนสองถ้วยเข้ามา วางตรงหน้าพวกเขาอย่างระวัง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ ยกถ้วยขึ้นเป่าสองสามครั้ง จิบสองสามคำ 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านถามนางอย่างประหม่า “ไม่ทราบว่าภูเขาร้างที่พวกเราไปดูเมื่อครู่สอดคล้องกับความต้องการของแม่นางหรือไม่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มพยักหน้า 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านโล่งอก ความกลัดกลุ้มตลอดทั้งบ่ายในที่สุดก็วางลงได้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “หากข้าต้องการซื้อภูเขาร้างทั้งหมดนั้น ไม่ทราบว่าต้องใช้เงินสักเท่าใด?” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านนึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะซื้อแค่หนึ่งหรือสองลูก พอได้ยินว่านางจะซื้อทั้งหมด ลุกขึ้นยืนด้วยอารามดีใจ ถามนางอย่างยินดี “แม่นางต้องการจะซื้อภูเขาร้างที่พวกเราเพิ่งไปดูเหล่านั้นทั้งหมด?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านดีใจเอาแต่ถูมือเดินวนในห้องไม่หยุดอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ กระทั่งสงบสติอารมณ์ได้ ถึงกลับมานั่งบนเก้าอี้พูดว่า “ภูเขาร้างมีราคาที่ทางการกำหนดไว้แล้ว หนึ่งหมู่ครึ่งตำลึง หากซื้อทั้งลูกยังสามารถต่อรองได้ โดยในนั้นจะมีส่วนแบ่งของผู้ใหญ่บ้านรวมอยู่ หากปัดรายละเอียดพวกนี้ไป ก็จะอยู่ที่ประมาณหนึ่งหมู่สี่เฉียน[1] แต่ถ้าแม่นางซื้อเยอะ ข้าจะไปศาลาว่าการ ขอให้พวกเขาลดราคา คิดว่าหนึ่งหมู่สามเฉียนก็น่าจะซื้อได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ขอบคุณผู้ใหญ่บ้านที่คิดแทนข้า แต่ส่วนแบ่งของท่านท่านจงรับไปเถอะ นั่นเป็นสิ่งที่ท่านสมควรได้” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยถ้อยคำที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “อยู่ๆ แม่นางก็นำพาคุณประโยชน์มหาศาลนี้มาให้หมู่บ้านของพวกเรา ข้าจะรับเงินส่วนแบ่งนั้นได้อย่างไร เรื่องนี้แม่นางไม่ต้องสนใจแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปทำเรื่องกับทางการ ให้ผู้ว่าการตำบลส่งคนมาทำรางวัดภูเขาให้พวกเรา” 


 


 


 


 


 


[1] 钱(เฉียน) หน่วยเหรียญเงินขาว มีรูตรงกลางเหมือนเงินอีแปะ แต่ทำจากโลหะเงิน จึงมีค่ามากกว่า โดย 1 เฉียนมีค่าเท่ากับ 10 เฟิน 10 เฉียนเป็น 1 ตำลึง ส่วนเงินอีแปะเป็นหน่วยเงินสำริด มีค่าน้อยที่สุดในหน่วยเงินตราโบราณจีน โดย1000 อีแปะเท่ากับ 1 ตำลึง, 100 อีแปะเท่ากับ 1 เฉียน 

 

 

 


ตอนที่ 149.1

 

 ซื้อภูเขาร้าง

 


 


 


 


จางจู้ก็ช่วยพูดเกลี้ยกล่อม “โยวเอ๋อร์ เจ้าเชื่อที่ผู้ใหญ่บ้านพูดเถอะ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาอาผู้ใหญ่บ้านไม่เคยเรียกรับสิ่งของบ้านใดเพิ่ม อีกทั้งเจ้าจะซื้อภูเขาตั้งมากมายในคราเดียว ช่วยขจัดปัญหาปากท้องให้หมู่บ้านพวกเราได้ไม่น้อย อาผู้ใหญ่บ้านซาบซึ้งใจ จะรับเงินส่วนแบ่งได้อย่างไรอีก” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า “จู้จื่อพูดถูกแล้ว ข้าซาบซึ้งใจนัก เงินส่วนแบ่งนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็รับไว้ไม่ได้” 


 


 


เห็นทั้งสองต่างพูดเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ยื้อยุดอีก พูดอย่างเบิกบานใจ “ได้ ข้าจะซื้อภูเขาทั้งหมดนี้ พรุ่งนี้เมื่อคนของทางการมาทำรางวัดเสร็จ ท่านให้คนไปส่งข่าวบอกข้า พวกเราเข้าเมืองไปทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านรับคำอย่างยินดี 


 


 


เจรจาเรื่องเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองก็ไม่อยู่ต่อ หลังจากบอกลาผู้ใหญ่บ้าน จางจู้และเมิ่งเชี่ยนโยวก็ออกมาจากประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน 


 


 


คนในหมู่บ้านต่างมามุ่งล้อมหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน เห็นพวกเขาออกมา มีคนใจร้อนถามขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว “จางจู้ หลานสาวของเจ้าถูกใจภูเขาร้างของหมู่บ้านเราหรือไม่?” 


 


 


จางจู้ตอบอย่างยินดี “ถูกใจ พรุ่งนี้อาผู้ใหญ่จะไปเชิญคนของทางการมาทำรางวัด เมื่อโอนกรรมสิทธิ์เสร็จพวกเราก็จะมีงานทำแล้ว” 


 


 


คนในหมู่บ้านไชโยโห่ร้อง หลีกทางให้พวกเขาโดยอัตโนมัติ 


 


 


ทั้งสองเดินมาถึงข้างรถม้า จางจู้รับบังเ**ยนจากมือหลี่ฝู กล่าวขอบคุณเขา 


 


 


หลี่ฝูรีบร้อนโบกมือ “พี่จางจู้ ท่านทำให้คนในหมู่บ้านมีงานทำ พวกเราซาบซึ้งใจจนพูดไม่ออก เรื่องเล็กแค่นี้ท่านไม่ต้องเกรงใจแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวขึ้นรถม้า จางจู้บังคับรถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวไปจากหมู่บ้าน 


 


 


เมื่อทั้งสองจากไป คนในหมู่บ้านต่างเข้ามารุมล้อมผู้ใหญ่บ้าน ถามผู้ใหญ่บ้านว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะเริ่มแผ้วถางภูเขา 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านตอบ “เรื่องนี้พวกเรายังไม่ได้คุยกัน แต่ข้าคิดว่าพอโอนกรรมสิทธิ์แล้วก็น่าจะเริ่มรับสมัครคนงานได้” 


 


 


คนในหมู่บ้านปิติยินดี ต่างขอร้องผู้ใหญ่บ้านจะต้องให้ตัวเองมาทำงาน 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านโบกมือ “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไม่ได้ ทุกอย่างต้องรอให้แม่นางเมิ่งรับสมัครคนค่อยว่ากันอีกที” 


 


 


คนในหมู่บ้านพากันผิดหวัง ต่างเฝ้ารอให้พรุ่งนี้มาถึงโดยไว 


 


 


จางจู้บังคับรถม้าห่างออกมาจากบ้านผู้ใหญ่บ้านไม่ไกล เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดกับเขา “ลุงใหญ่ นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าคงไม่แวะเข้าไปหาท่านตาท่านยายแล้ว คืนนี้ท่านกลับถึงบ้านฝากบอกพวกเขาด้วย ครั้งหน้าข้ามาเร็วกว่านี้ค่อยไปหาพวกเขา” 


 


 


จางจู้รับคำ บังคับรถม้ามุ่งหน้าออกไปจากหมู่บ้านหลี่ กลับไปที่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเสียนรออยู่หน้าประตูบ้านแล้ว เห็นพวกเขากลับมา รีบเข้าไปกล่าวทักทายจางจู้ รับบังเ**ยนมาจากมือเขา แล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสาว เย็นมากแล้ว พวกเราต้องรีบไปรับพวกอี้เซวียนเลิกเรียน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ลงจากรถม้า มาถึงโรงเรียนในเมืองพร้อมกับเมิ่งเสียนด้วย 


 


 


วันนี้มาถึงช้าไปจริงๆ นักเรียนในโรงเรียนต่างไปกันหมดแล้ว เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉกำลังรอพวกเขาอย่างกระวนกระวายใจหน้าประตู 


 


 


เห็นรถม้ามาถึง ทั้งสองก็ดีใจวิ่งเข้าหา รถม้ายังไม่ทันจอดสนิท ซุนเหลียงไฉก็เปิดม่านบังรถ พูดอย่างขอความชอบจากเมิ่งเชี่ยนโยว “วันนี้ข้าขายกระเป๋านักเรียนได้ห้าใบ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้ทั้งสองขึ้นมานั่งบนรถม้า ถึงแย้มยิ้มชมเชยซุนเหลียงไฉ ทั้งถามเขาว่าขายออกไปได้อย่างไร 


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดกับเขาอย่างตื่นเต้น “วันนี้เช้าพอข้ามาถึงโรงเรียน พวกพ่างตุนเห็นกระเป๋านักเรียนใบใหม่ของข้าก็ริษยาตาโต ข้าฉวยโอกาสนี้บอกพวกเขาว่าบ้านพวกเรามีกระเป๋านักเรียนสวยๆ แบบนี้เยอะมาก ราคาใบละสิบตำลึง หากพวกเขาต้องการ พรุ่งนี้ให้นำเงินมาด้วย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าชื่นชม “ทำได้ดีมาก พรุ่งนี้พวกเรานำกระเป๋านักเรียนไปมากหน่อย ให้พวกเขาเลือกตามใจชอบ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉพยักหน้า พูดอย่างดีใจ “เจ้าอย่าลืมนะ พรุ่งนี้พอพวกเขาจ่ายเงินแล้ว เจ้าต้องให้เงินค่าขนมข้าหนึ่งร้อยอีแปะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับประกัน “วางใจเถอะ ขอเพียงพวกเขายอมจ่ายเงิน ข้าจะให้เงินค่าขนมเจ้าไม่ขาดสักอีแปะเดียว” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนนั่งหน้าหงอยอยู่อีกด้าน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าทำไมเขาถึงซึมเศร้าเช่นนี้ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องใจร้อน เป็นเพราะว่าซุนเหลียงไฉมีเพื่อนสนิทหลายคน พวกเขาเชื่อใจเขาถึงได้ซื้อด้วย ส่วนเจ้าเพิ่งจะมาโรงเรียนไม่กี่วัน ยังไม่สนิทกับนักเรียนคนอื่นๆ ย่อมไม่มีใครซื้อกระเป๋านักเรียนกับเจ้า” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนมุ่นหัวคิ้วถาม “เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร?” 


 


 


“เช่นนั้นก็ต้องให้เจ้าคิดหาวิธีเองแล้ว แต่ต้องบอกก่อนว่า ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนถึงจะเป็นเป้าหมายหลักของการมาโรงเรียนของเจ้า สิ่งนี้เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น เข้าใจหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า 


 


 


กลับมาถึงบ้าน ซุนเหลียงไฉเห็นใครก็ลิงโลด พูดเรื่องที่วันนี้ตนเองขายกระเป๋านักเรียนได้ห้าใบ ได้รับคำชมจากเมิ่งชื่อและคนอื่นๆ ไปอีกหลายกระบุง ซุนเหลียงไฉกระหยิ่มยิ้มย่องใจ วิ่งเข้าไปในห้องเมิ่งชื่อเลือกกระเป๋านักเรียนที่ลายแตกต่างกันห้าใบเอามาวางไว้ในห้องตัวเอง 


 


 


ตกกลางคืนเมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมาจากปรับหน้าดิน ซุนเหลียงไฉย่อมเข้าไปพูดโอ้อวดกับเขาอีกรอบ เมิ่งเอ้ออิ๋นชมไม่ขาดปาก หางซุนเหลียงไฉยกลอยเกือบจะชี้ฟ้าแล้ว 


 


 


คนทั้งครอบครัวเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นแล้วต่างหัวเราะท้องแข็ง 


 


 


คนงานของจูหลานและคนงานของเซี่ยเจียงเฟิงแยกกันมอบจดหมายและสูตรให้พวกเขา ทั้งสองเห็นแล้วก็ตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าโรงงานรมควันเนื้ออยู่ดีๆ ทำไมถึงไม่ทำแล้ว หรือจะเกิดเรื่องอะไรที่แก้ไขไม่ได้ขึ้น 


 


 


อาการบาดเจ็บของจูหลานยังไม่หายดี ไม่กล้าเคลื่อนไหวมาก จำต้องให้พ่อบ้านไปตามเซี่ยเจียงเฟิงมาที่บ้านตนเอง ให้วันรุ่งขึ้นเขาจะต้องไปดูที่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยวกับตา ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ 


 


 


ต่อให้จูหลานไม่พูดเช่นนี้ เซี่ยเจียงเฟิงก็ต้องไปอยู่แล้ว จึงพยักหน้ารับปาก เตือนเขาว่าอย่ากระวนกระวายใจไป ตนเองจะไปดูให้เห็นกับตาเอง 


 


 


เช้าตรู่วันถัดมา เซี่ยเจียงเฟิงก็มาถึงบ้านเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมกับคนงาน 


 


 


วันนี้ยังคงเป็นเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีไปส่งทั้งสองคนไปโรงเรียน เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในบ้านวาดแบบคฤหาสน์ เห็นเซี่ยเจียงเฟิงเข้ามา ตกอกตกใจ ส่งยิ้มถาม “คุณชายเซี่ยเหตุใดวันนี้ถึงมาด้วยตัวเองได้?” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงตอบนาง “พอข้าเห็นจดหมายของแม่นาง ก็เป็นห่วงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับครอบครัวพวกเจ้า ตั้งใจมาดูว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกล่าวขอบคุณ “เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย แต่ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวล” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงถาม “เรื่องอะไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปิดบัง เล่าเรื่องที่ตัวเองต้องการซื้อที่ดินปลูกเรือน แต่ถูกผู้ใหญ่บ้านคนก่อนกลั่นแกล้ง ฉวยโอกาสเสนอเงื่อนไข ให้ตนเองมอบสัญญาทาสของบุตรชายเขาและสูตรเนื้อรมควันให้เขา ส่วนตัวเองก็ยื่นข้อเสนอ ให้เขาถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงได้ฟังแล้วเอาแต่ทอดถอนใจ เกิดมาไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ยังมีที่ไร้ยางอายกว่านี้” จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ภรรยาผู้ใหญ่บ้านคนก่อนพอได้สูตรไปก็เห่อเหิมวางอำนาจเรียกร้องให้ตนเองปิดโรงงานทันที ตนเองไม่ได้รับปาก นางก็เลยมาร้องอาละวาดในงานประกาศเป็นผู้ใหญ่บ้านลุงใหญ่ของตนเอง คิดจะให้วิธีนี้มาข่มขู่ตนเอง ตนเองบันดาลโทสะก็เลยรับปากจะเผยแพร่สูตรให้กับทุกคน 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงได้ฟังก็พูดไม่ออก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขาอย่างรู้สึกผิด “เดิมข้าจะรออีกหนึ่งเดือนค่อยหยุดงาน ตอนนี้กลับตัดสินใจเช่นนี้กะทันหัน จักต้องส่งผลกระทบกับการค้าของพวกท่านเป็นแน่ เพื่อแสดงความรู้สึกผิดจากข้า นอกจากจะให้สูตรเนื้อรมควันเปล่าๆ กับพวกท่านแล้ว เนื้อรมควันและเครื่องในรมควันสองวันสุดท้ายนี้ข้าก็จะให้เปล่ากับพวกท่านด้วย อีกทั้งระหว่างที่ผลิตเนื้อรมควันหากมีขั้นตอนไหนไม่เข้าใจ ข้ายังจะไปให้คำปรึกษาพวกท่านด้วยตนเอง” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงตอบกลับ “แม่นางเมิ่งอย่าได้พูดเช่นนี้เด็ดขาด พวกเราเดิมก็เป็นคู่ค้ากัน ต่อให้เจ้าจะไม่ส่งสินค้าให้พวกเรา พวกเราก็พูดอะไรไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้เจ้ายังให้เปล่าสูตรเนื้อรมควันกับพวกเรามาอีก พวกเราไม่มีทางเอาเนื้อรมควันเปล่าๆ จากเจ้าได้อีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกเราไม่เพียงเป็นคู่ค้ากัน พวกเรายังเป็นเพื่อนกัน ระหว่างเพื่อนไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน หากเจ้ายังเกรงใจข้าแบบนี้อีก แสดงว่าเจ้าไม่ได้เห็นข้าเป็นเพื่อน” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงรีบร้อนพูด “ข้าจะไม่เห็นแม่นางเมิ่งเป็นเพื่อนได้อย่างไร เพียงแต่เจ้าทำเช่นนี้ พวกเราทำใจรับไม่ได้จริงๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “พวกเจ้าไม่ต้องทำใจรับไม่ได้ดอก เอาไว้ภายหน้าเมื่อข้ามีเรื่องเดือดร้อน พวกเจ้ายื่นมือมาช่วยข้าก็พอ” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงรับประกัน “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ไม่ว่าแม่นางเมิ่งมีเรื่องเดือดร้อนอะไร ขอเพียงส่งคนไปแจ้งข่าวพวกเรา พวกเราจะรีบมาช่วยทันที” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เช่นนั้นข้าต้องขอบใจคุณชายเซี่ยไว้ก่อนแล้ว” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงโบกมือ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวซักถามอาการของจูหลานต่อ เซี่ยเจียงเฟิงบอกว่าบาดแผลของจูหลานสมานดีแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ยังเดินเหินไม่คล่องไม่สะดวกมาด้วย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


คนงานของเซี่ยเจียงเฟิงบรรทุกเนื้อรมควันและเครื่องในรมควันเสร็จแล้ว เซี่ยเจียงเฟิงเห็นว่านางไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ จึงลุกขึ้นกล่าวลา เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่งเข้าออกจากประตูไป เห็นรถม้าของพวกเขาไปไกลแล้ว ถึงหันหลังกลับเข้ามาวาดแบบคฤหาสน์ในบ้านต่อ 


 


 


หลังจากกลับมาถึงตัวอำเภอ เซี่ยเจียงเฟิงสั่งคนงานไปร้านค้าขนถ่ายสินค้า ส่วนตัวเองมาที่บ้านจูหลาน เล่าเรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยวตั้งแต่ต้นจนจบให้เขาฟัง จูหลานได้ฟังแล้วทอดถอนใจ พูดว่า “ไม่เป็นไรก็ดี แต่พวกเราจะรับเนื้อรมควันและเครื่องในรมควันเปล่าๆ จากนางสองวันติดไม่ได้ ลองคิดหาวิธีอื่นคืนให้นางไปเถอะ” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงสนับสนุน “ข้าก็คิดเช่นนี้ รอให้มีโอกาสเหมาะค่อยคืนน้ำใจนี้กลับคืนไป” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหลี่เข้าเมืองมาพร้อมบุตรชายหลี่ฝูตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ตอนที่ประตูศาลาว่าการเปิดออกก็มาถึงตัวเมืองพอดี ผู้ว่าการตำบลเห็นผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหลี่เข้ามา ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “หลายวันมานี้เกิดอะไรขึ้น? ผู้ใหญ่บ้านจากหมู่บ้านต่างๆ มาที่ศาลาว่าการไม่ขาดสาย” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหลี่และบุตรชายหลี่ฝูแสดงความเคารพผู้ว่าการตำบลอย่างนอบน้อม บอกว่ามีคนต้องการซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านตนเอง ให้ผู้ว่าการตำบลหาคนไปทำรางวัด ผู้ว่าการตำบลที่พอได้ยินว่าจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าตัวเองอีกแล้ว ดีอกดีใจ ไม่รีรอ บอกให้กุนซือตามผู้ใหญ่บ้านไปทำรางวัดภูเขาทันที 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพูดว่า “ผู้ว่าการตำบล เด็กสาวนางนั้นคิดจะซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านพวกเราหลายลูก ท่านคิดว่าพอจะลดราคาลงอีกได้หรือไม่?” 


 


 


ภูเขาร้างและที่ดินร้างเดิมก็เป็นที่รกร้าง ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น ชาวบ้านจึงไม่สนใจจะบุกเบิก ดังนั้นหลายปีมานี้ภูเขาร้างและที่ดินร้างของแต่ละหมู่บ้านน้อยนักที่จะขายออก ตอนนี้ได้ยินว่ามีคนจะซื้อภูเขาร้างหมู่บ้านหลี่ ผู้ว่าการตำบลเดิมทีก็ดีใจมากแล้ว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมือหนักเช่นนี้ คิดจะซื้อภูเขาร้างทั้งหมดของหมู่บ้านหลี่ในคราเดียว ผู้ว่าการตำบลยิ่งยินดีปรีดา พูดว่า “ได้ กำหนดราคาเดิมของภูเขาร้างคือหนึ่งหมู่ครึ่งตำลึง ผู้ซื้อรายนั้นต้องการซื้อภูเขาร้างทั้งหมดของหมู่บ้านเจ้า เช่นนั้นพวกเราก็คิดนางถูกหน่อย หมู่ละสี่เฉียนเป็นอย่างไร” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลยังไม่พอใจ พูดต่อ “ท่านพอจะให้ราคาถูกกว่านี้อีกได้หรือไม่ เป็นหมู่ละสามเฉียน?” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลมุ่นหัวคิ้วพูด “สามเฉียนน้อยเกินไป เราต้องส่งให้ทางการหนึ่งเฉียน แบ่งให้เจ้าหนึ่งเฉียน ที่เหลือคือหนึ่งเฉียน เงินที่ได้จากการขายภูเขาร้างหนึ่งลูกยังไม่พอให้ข้าไปกินข้าวที่เหลาจวี้เสียนสักมื้อเลย ไม่ได้ๆ” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลพูดอย่างนอบน้อม “เงินส่วนแบ่งของข้าไม่ต้องแล้ว ราคาภูเขาร้างหนึ่งหมู่จะได้สามเฉียนพอดี” 


 


 


เป็นครั้งแรกที่ผู้ว่าการตำบลเห็นผู้ใหญ่บ้านไม่โกงกิน คลางแคลงใจถามขึ้น “ผู้ซื้อภูเขาร้างเป็นญาติฝ่ายไหนกับพวกเจ้าหรือ? เหตุใดเจ้าถึงคิดแทนเขาเช่นนี้?” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านรีบร้อนโบกมือ ตอบกลับ “หาใช่ญาติฝ่ายไหนของพวกเราไม่ แต่เด็กสาวนางนั้นบอกว่า หลังจากซื้อภูเขาร้างไป จะให้คนในหมู่บ้านพวกเราไปบุกเบิกพื้นที่ ท่านใต้เท้าก็ทราบดี หมู่บ้านหลี่ยากจนข้นแค้น แต่ละปีไม่เคยมีใครได้กินอิ่มท้อง ตอนนี้มีโอกาสหาเงินที่ดีเช่นนี้มาวางตรงหน้าพวกเรา ข้าย่อมต้องคว้าไว้ หากปล่อยให้หลุดลอยไป ต่อไปข้าคงไม่มีหน้าไปเจอคนในหมู่บ้านอีก ดังนั้นจึงอยากขอร้องผู้ว่าการตำบลลดราคาภูเขาร้างให้ถูกลงกว่านี้ เพื่อให้เด็กสาวนางนั้นซื้อภูเขาร้างทั้งหมดโดยไม่ลังเล” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลได้ยินเขาเอ่ยถึงเด็กสาวนางนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “คนที่มาซื้อภูเขาร้างเป็นเด็กสาวนางหนึ่ง?” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านตอบกลับ “เป็นเด็กสาวแซ่เมิ่งคนหนึ่ง บ้านฝ่ายแม่ของนางอยู่หมู่บ้านพวกเรา นางถึงคิดจะมาซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านพวกเรา” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลขบคิดแล้วพูด “ใช่แม่นางน้อยที่เปิดโรงงานสองแห่งจากหมู่บ้านหวงหรือไม่?” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านไม่คิดว่าผู้ว่าการตำบลจะรู้จักเมิ่งเชี่ยนโยว ตอบพลัน “ก็คือแม่นางน้อยผู้นั้น” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลถาม “บ้านนางก็เปิดโรงงานสองแห่งแล้ว จะซื้อภูเขาร้างไปทำสิ่งใดอีก?” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้า “แม่นางเมิ่งไม่ได้พูด ข้าเองก็ไม่ได้ถาม” 


 


 


ผู้ว่าการตำบลตรึกตรองครู่หนึ่ง พูดว่า “ข้าจะให้ราคาถูกลงอีกหน่อย เป็นหมู่ละสองเฉียนแปดเฟิน หักส่วนแบ่งของเจ้า และของข้าอีกเล็กน้อย เจ้ากลับไปบอกนาง ทั้งหมดนี้เพื่อชมเชยที่นางสร้างงานหารายได้ให้คนในหมู่บ้าน ข้าถึงขายให้นางในราคาต่ำเช่นนี้” 


 


 


ได้ราคาต่ำกว่าที่ตนเองคิดเอาไว้ ผู้ใหญ่บ้านย่อมปลาบปลื้มยินดี กล่าวขอบคุณไม่ขาดปาก 


 


 


ผู้ว่าการตำบลโบกมือ ให้กุนซือตามพวกเขาไปทำรางวัดภูเขาร้าง 

 

 

 


ตอนที่ 149.2

 

 ซื้อภูเขาร้าง

 


 


 


 


กุนซือหยิบสมุดบันทึกและไม้วัด เรียกเจ้าหน้าที่สองนาย ตามผู้ว่าการตำบลและหลี่ฝูออกไปจากศาลาว่าการ มองไปโดยรอบ ไม่เห็นรถเทียมเกวียน ถามผู้ใหญ่บ้านอย่างประหลาดใจ “รถเทียมเกวียนของพวกเจ้าเล่า?” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านและหลี่ฝูนิ่งอึ้ง 


 


 


กุนซือเห็นอาการพวกเขา ก็รู้ว่าพวกเขาไม่มีรถเทียมเกวียน ถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าคงไม่คิดจะให้ข้าเดินตามพวกเจ้าไปทำรางวัดภูเขาร้างหรอกนะ?” 


 


 


ตอนเช้าผู้ใหญ่บ้านและหลี่ฝูคิดแต่จะรีบมา ไม่ได้คิดเลยว่าขากลับจะต้องทำอย่างไร ได้ยินกุนซือถามพวกเขา ถึงพลันได้สติ ประสานมือ พูดกับกุนซืออย่างรู้สึกผิด “พวกเราเดินเท้ามา ไม่มีรถเทียมเกวียน เชิญท่านกุนซือเดินเท้ากลับไปกับพวกเราด้วย” 


 


 


กุนซือใช้ชีวิตสมเกียรติจนเคยตัวแล้ว ไฉนเลยจะยอมเดินไกลเช่นนั้นได้ ย่อมไม่ยินยอม พูดว่า “ให้เดินเท้าไกลเช่นนั้น ข้าได้ชีวิตหาไม่ก่อน ข้าจะรออยู่ที่นี่ล่ะ พวกเจ้าไปจ้างรถเทียมเกวียนในตลาดสดมาเถอะ” 


 


 


สองพ่อลูกลำบากใจ จากตัวเมืองถึงหมู่บ้านพวกเขาระยะทางไกลมาก หากไปจ้างรถเทียมเกวียน อย่างน้อยก็ต้องมียี่สิบอีแปะ แต่พวกเขาสองพ่อลูกมีเงินติดตัวมาเพียงสิบอีแปะ ไม่เพียงพอให้พวกเขาไปจ้างรถเทียมเกวียน 


 


 


กุนซือเห็นพวกเขาลำบากใจ ถามอย่างไม่เชื่อ “อย่าบอกว่าแม้แต่เงินจ้างรถเทียมเกวียนก็ไม่มีดอกนะ?” 


 


 


สองพ่อลูกหน้าแดงเรื่อ 


 


 


กุนซือเห็นเป็นดังว่า จึงโบกมือพูด “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยบังคับรถเทียมเกวียนมารับข้าใหม่” พูดจบก็หันหลังกลับศาลาว่าการ 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านร้อนรนกระสับกระส่าย คว้าแขนเสื้อกุนซือพูดวิงวอน “ท่านกุนซือ ท่านไปกับพวกเราเถอะ คนในหมู่บ้านพวกเราต่างรอวันจะได้ทำงานหาเงิน” 


 


 


กุนซือสะบัดมือเขา พูดปฏิเสธ “ไม่ใช่ข้าไม่ไปกับพวกเจ้า แต่ข้าเดินทางไกลเช่นนั้นไม่ไหว พรุ่งนี้พวกเจ้าค่อยบังคับรถเทียมเกวียนมาใหม่เถอะ” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเห็นเขาใจแข็งไม่ยอมไป ไม่มีทางเลือก กัดฟันพูดกับหลี่ฝู “ฝูเอ๋อร์ เจ้าไปจ้างรถเทียมเกวียน บอกเจ้าของรถ เงินค่ารถเราจะจ่ายให้เมื่อไปถึงหมู่บ้านพวกเราแล้ว” 


 


 


หลี่ฝูพยักหน้า รีบไปจ้างรถเทียมเกวียน 


 


 


กุนซือเห็นพวกเขาไปจ้างรถเทียมเกวียนแล้ว จึงหันหลังกลับ ยืนรอหน้าประตูศาลาว่าการ 


 


 


ไม่นานหลี่ฝูก็จ้างรถเทียมเกวียนคันหนึ่งกลับมา กุนซือนำเจ้าหน้าที่สองนายขึ้นไปนั่งบนรถเทียมเกวียนก่อน สองพ่อลูกถึงขึ้นไปนั่งบนรถเทียมเกวียนคนละด้านอย่างระวัง 


 


 


คนขับสะบัดแส้ รถค่อยๆ เคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปหมู่บ้านหลี่ 


 


 


คนในหมู่บ้านต่างรู้ว่าวันนี้ผู้ใหญ่บ้านไปเชิญคนมาทำรางวัดภูเขาร้าง ต่างก็มาเฝ้ารอที่หน้าประตูบ้านเขา กระทั่งยามเที่ยงถึงเห็นรถเทียมเกวียนคันหนึ่งแล่นเข้ามา บนรถม้ามีเจ้าหน้าที่สองนายและบุคคลไม่รู้สถานะนายหนึ่ง ส่วนสองพ่อลูกผู้ใหญ่บ้านนั่งท้ายรถของทั้งสองด้าน 


 


 


รถเทียมเกวียนหยุดจอดหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน หลี่ฝูรีบเดินเข้าไปในบ้านหยิบเงินอีกสิบอีแปะออกมา รวมกับเงินสิบอีแปะในตัวมอบให้คนขับทั้งหมด 


 


 


คนขับรับมาอย่างชื่นบาน หันหัวรถเทียมเกวียนกลับเข้าเมือง  


 


 


กุนซือมองดูเวลา พูดว่า “นี่ก็เที่ยงแล้ว พวกเรากินข้าวเที่ยงก่อนค่อยไปทำรางวัดเถอะ” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านร้อนใจแทบทนไม่ไหว แต่ก็ไม่กล้าเร่งเร้า ร้องเรียกภรรยาตนเองและภรรยาหลี่ฝูให้มาทำอาหารเที่ยง 


 


 


หลังจากกินข้าวเที่ยงดื่มน้ำเรียบร้อย ผู้ใหญ่บ้านก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป พูดรบเร้า “ท่านกุนซือ พวกเรารีบไปทำรางวัดเถอะ ถ้าช้ากว่านี้ เราจะวัดไม่เสร็จ” 


 


 


กุนซือพูดอย่างเกียจคร้าน “จะรีบไปไหน? วันนี้วัดไม่เสร็จ ก็ยังมีพรุ่งนี้ พวกเจ้าไปเรียกแม่นางน้อยที่ซื้อภูเขาร้างมาก่อน พวกเราต้องทำรางวัดต่อหน้านาง นี่เป็นกฎ” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านไม่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะต้องร่วมอยู่ด้วย รีบออกจากบ้าน ตะโกนเรียกเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามา ให้เขาวิ่งไปส่งข่าว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังออกแบบภาพอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงคนร้องเรียกนอกประตู “นี่คือบ้านแม่นางเมิ่งใช่หรือไม่?” จึงขานรับแล้วลุกเดินออกไปด้านนอก เห็นเด็กหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบยืนอยู่หน้าประตูบ้านตนเอง 


 


 


ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวถาม เด็กหนุ่มก็บอกนางเรื่องที่คนของทางการจะให้นางเข้าร่วมการทำรางวัดด้วย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟัง ให้เขารอครู่หนึ่งแล้วเดินไปหาจางจู้ที่โรงงานกุนเชียง ให้เขาบังคับรถม้าไปหมู่บ้านหลี่พร้อมตนเอง 


 


 


จางจู้จัดเตรียมรถม้าบังคับออกมาหน้าประตู เห็นเด็กหนุ่มหมู่บ้านตนเองยืนอยู่หน้าประตูก็ให้สงสัย ถามเขาว่ามาได้อย่างไร? 


 


 


เด็กหนุ่มจึงพูดเรื่องเมื่อครู่ซ้ำอีกรอบ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกมานอกประตู ขึ้นนั่งบนรถม้า จางจู้ร้องเรียกให้เด็กหนุ่มขึ้นมานั่งบนคานด้านหน้าอีกด้าน ถึงบังคับรถม้าตรงไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหลี่ 


 


 


กุนซือและเจ้าหน้าที่สองคนนั่งเอ้อระเหยบนเก้าอี้ ส่วนผู้ใหญ่บ้านอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว 


 


 


หลี่ฝูรออยู่หน้าประตูเห็นรถม้าเข้ามา รีบร้องตะโกนเข้ามาด้านใน “ท่านพ่อ แม่นางเมิ่งมาแล้ว” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านถอนใจยาวโล่งอก พูดกับกุนซือและเจ้าหน้าที่ “แม่นางเมิ่งมาแล้ว พวกเราไปทำรางวัดภูเขากันเลยเถอะ” 


 


 


กุนซือลุกขึ้นเดินตามผู้ใหญ่บ้านออกมานอกบ้าน เจ้าหน้าที่สองคนเดินรั้งท้าย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า กุนซือมองประเมินนางหลายครั้ง พูดว่า “เมื่อเจ้ามาแล้ว พวกเราก็เริ่มทำรางวัดเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า คนทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังภูเขาร้าง 


 


 


เสียเวลามานาน ผู้ใหญ่บ้านร้อนใจยิ่งกว่าใคร สาวเท้าเดินนำหน้าทุกคน กุนซือเดินนำเจ้าหน้าที่สองนายตามหลังไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ไม่นานก็ทิ้งระยะห่างกับผู้ใหญ่บ้านหลายช่วงตัว 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านหันกลับไปเร่งเร้าพวกเขา กุนซือมองภูเขาร้างหลายลูกไกลออกไป แล้วมองดูเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างมีนัยแฝง “ภูเขาร้างมากมายนี้ อย่างไรวันนี้ก็วัดไม่เสร็จ เร็วอีกนิดหรือช้าไปหน่อยก็ไม่แตกต่าง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านไม่เข้าใจความหมายของเขา พูดด้วยน้ำเสียงว้าวุ่น “จะไม่แตกต่างได้อย่างไร ถ้าพวกเราลงมือเร็วหน่อย ภูเขาพวกนี้จะต้องวัดได้เสร็จก่อนฟ้ามืด” 


 


 


กุนซือมองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง ไม่ได้เร่งความเร็ว ยังคงเดินอย่างไม่รีบไม่ร้อน 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านกระวนกระวายใจ กลับไม่กล้าเร่งเร้าเขา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินข้างเขาอย่างไม่รีบไม่ร้อน แย้มยิ้มถาม “ท่านกุนซือจำข้าไม่ได้แล้วหรือ?” 


 


 


กุนซือชะงักฝีเท้า พินิจมองนาง ถึงจำได้ว่าเด็กสาวที่ซื้อภูเขาร้างนี้ก็คือแม่นางน้อยที่มีเรื่องกับเศรษฐีอู๋ในศาลคนนั้น หัวใจสั่นสะท้าน คนในเมืองต่างรู้ดี วันที่มีเรื่องเศรษฐีอู๋ยังดุดันเกรี้ยวกราดจะให้เมิ่งเชี่ยนโยวชดใช้เงินห้าพันตำลึง วันรุ่งขึ้นไม่เพียงปล่อยตัวเมิ่งเอ้ออิ๋นยังชดใช้เงินให้อีกสองพันตำลึง ผู้ว่าการตำบลและกุนซือคาดเดาว่าแม่นางน้อยคนนี้จะต้องรู้จักเจ้านายชั้นสูง อีกฝ่ายใช้อำนาจบีบเศรษฐีอู๋ เศรษฐีอู๋ถึงยอมปล่อยพวกเขาไปโดยง่ายเช่นนี้ คิดได้ดังนี้ฝีเท้าของกุนซือก็เริ่มเร็วขึ้น พูดว่า “ที่แท้ก็เป็นแม่นางเมิ่ง เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกเร็วกว่านี้ ข้าอายุปูนนี้แล้ว สายตาไม่ดี ถึงจำเจ้าไม่ได้ เร็วๆๆ พวกเรารีบไป พยายามทำรางวัดให้เสร็จก่อนฟ้ามืด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดเตือนเขาว่า “ท่านกุนซือไม่ต้องรีบ ค่อยๆ วัด” 


 


 


กุนซือโบกมือ “ได้อย่างไรกัน เมื่อครู่ผู้ใหญ่บ้านบอกข้าแล้ว ถ้าทำรางวัดเสร็จเร็ว เจ้าก็จะจ้างคนในหมู่บ้านมาบุกเบิกพื้นที่ได้เร็ว ข้าจะไม่รีบได้อย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านกุนซือ ท่านวางใจ ข้าจะไม่ให้ท่านต้องเหนื่อยเปล่า” 


 


 


ที่กุนซือโอ้เอ้ไม่ยอมรีบไปวัดภูเขาร้าง ก็เพราะต้องการค่าน้ำชาเล็กๆ น้อยๆ ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ย่อมต้องยินดี พูดกับเจ้าหน้าที่ทั้งสองนาย “พวกเจ้ารีบตามผู้ใหญ่บ้านไปวัดภูเขา ข้าจะตามไปที่หลัง” 


 


 


เจ้าหน้าที่สองนายรับคำ ตามผู้ใหญ่บ้านมาถึงภูเขาร้างลูกที่ใกล้ที่สุด หยิบเครื่องมือวัดออกมา เลือกตำแหน่งแล้วทำการลงมือวัด 


 


 


การวัดภูเขาก็มีเคล็ดลับ การใช้วิธีวัดไม่เหมือนกัน จะได้พื้นที่ขาดไปหลายหมู่ กุนซือยังไม่ขึ้นมา เจ้าหน้าที่สองนายไม่รู้ต้องใช้วิธีไหน วัดพื้นที่หนึ่งอย่างเก้ๆ กังๆ อยู่เป็นนาน 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านไม่รู้เรื่องนี้ เห็นพวกเขาวัดพื้นที่หนึ่งกลับไปกลับมา เกิดความข้องใจถามขึ้น “เหตุใดพวกท่านถึงวัดแต่ตรงนั้นเล่า?” 


 


 


เจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่าควรตอบเขาอย่างไร 


 


 


กุนซือหายใจกระหืดกระหอบขึ้นมาถึงบนเขาพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เจ้าหน้าที่รีบร้อนถามเขา “ท่านกุนซือ พวกเราต้องวัดอย่างไร?” 


 


 


กุนซือมองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง พูดว่า “วัดคร่าวๆ ก็พอแล้ว แม่นางเมิ่งซื้อภูเขาร้างหลายลูก พวกเราต้องปฏิบัติต่อนางให้ดี” 


 


 


เจ้าหน้าที่รับคำ นำเครื่องมือวัดทั้งสี่ด้านของภูเขาคร่าวๆ แล้วนำตัวเลขมาบอกกุนซือ  


 


 


กุนซือบันทึกลงในสมุด อีกประเดี๋ยวจะได้คำนวณทีเดียว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นวิธีการวัดของเจ้าหน้าที่ก็เข้าใจ หากใช้วิธีการวัดเช่นนี้ เมื่อวัดภูเขาลูกนี้เสร็จ ตนเองจะได้เงินค่าภูเขาหายไปหนึ่งถึงสองร้อยหมู่ 


 


 


มีกุนซือคอยสั่งการ เจ้าหน้าที่ทั้งสองนายก็วัดเร็วขึ้น วัดภูเขาลูกแรกเสร็จ กว่ากุนซือและเมิ่งเชี่ยนโยวจะเดินมาถึงบนเขาลูกที่สอง พวกเขาก็วัดเสร็จ รออย่างสบายใจอยู่บนเขาแล้ว 


 


 


กุนซือเห็นเช่นนั้น หลังจากนั้นจึงยืนรออยู่ใต้ภูเขา รอพวกเขาวัดเสร็จนำตัวเลขมาบอกเขา 


 


 


เช่นนี้ยิ่งทำให้ไวยิ่งขึ้น ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ภูเขาร้างทั้งหมดก็ทำรางวัดเสร็จ 


 


 


คนทั้งหมดกลับมาที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน กุนซือคำนวณยอดเงินทั้งหมด เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายเงินตามจำนวน ทั้งหยิบเงินออกมาเพิ่มอีกสิบกว่าตำลึงวางหน้ากุนซือ พูดว่า “ลำบากท่านกุนซือและเจ้าหน้าที่สองนายแล้ว เงินเล็กน้อยนี้นำไปซื้อเหล้าดื่มเถอะ” 


 


 


เดิมกุนซือคิดว่าอย่างมากเมิ่งเชี่ยนโยวก็คงให้สองสามตำลึง ไม่คิดว่านางจะใจใหญ่เช่นนี้ ย่อมรู้สึกยินดี นำเงินสิบตำลึงใส่แขนเสื้อตัวเองอย่างไม่เกรงใจ แล้วผลักเงินส่วนที่เหลือไปตรงหน้าเจ้าหน้าที่สองนาย พูดว่า “นี่เป็นเงินค่าเสียเวลาจากแม่นางเมิ่ง พวกเจ้าเอาไปซื้อเหล้ากิน” 


 


 


เจ้าหน้าที่สองนายไม่คิดว่าจะได้เงินเยอะเช่นนี้ ยิ้มแย้มหน้าบาน กล่าวขอบคุณไม่หยุด 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านร้องบอกให้หลี่ฝูไปยืมรถเทียมเกวียนในหมู่บ้านมาคันหนึ่ง ขับไปส่งกุนซือและเจ้าหน้าที่สองนายกลับตัวเมือง 

 

 

 


ตอนที่ 149.3

 

ซื้อภูเขาร้าง

 


 


 


 


กระทั่งรถเทียมเกวียนจากไป ผู้ใหญ่บ้านถึงถามขึ้นอย่างอดใจรอไม่ไหว “แม่นางเมิ่ง พวกเราจะเริ่มหาคนมาแผ้วถางภูเขาร้างเมื่อใด?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พรุ่งนี้ข้าก็จะปิดโรงงานรมควันเนื้อแล้ว ข้าต้องจัดแจงเรื่องคนงานในโรงงาน และคิดเงินค่าแรงให้พวกเขา เกรงจะยังไม่มีเวลาว่าง ท่านช่วยคัดเลือกให้ข้าก่อน เอาครอบครัวที่ทำงานหนักเอาเบาสู้ วันมะรืนพอข้ามาถึงจะให้พวกเขาไปแผ้วถางทันที” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านได้ฟังย้อนถามอย่างประหลาดใจ “ครอบครัว? แม่นางต้องการได้คนที่ถูกเลือกมาทำงานทั้งครอบครัวหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเตรียมจะจ้างคนมาทำงานสองแบบ แบบแรก จ้างคนที่ทำงานใช้แรงได้ จ่ายเงินค่าแรงโดยคิดเป็นวัน ยังมีอีกแบบคือ ให้มาวาดแบ่งเขตพื้นที่ ทั้งครอบครัวสามารถมาทำได้ โดยจะจ่ายค่าแรงตามพื้นที่ที่แบ่งได้” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านได้ฟังก็ปิติยินดี “เช่นนั้นก็ดีมาก แบบนี้คนในหมู่บ้านพวกเราจะมีงานทำเกือบทั้งหมด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ประมาณนั้น ท่านไปบอกวิธีการทำงานทั้งสองแบบนี้กับทุกคนก่อน ดูว่าพวกเขาอยากทำแบบไหน? แล้วท่านจดไว้ ข้าจะดูว่าจะแบ่งเขตแดนหรือจ้างคนมาทำชั่วคราว” 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า ทั้งสองปรึกษารายละเอียดอีกครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนั่งรถม้าเดินทางกลับ ระหว่างทางพูดกับจางจู้ว่า “ลุงใหญ่ ที่ข้าพูดกับผู้ใหญ่บ้านไปเมื่อครู่ท่านคงได้ยินแล้ว คืนนี้ระหว่างทางกลับบ้านท่านถามคนงานในหมู่บ้าน พวกเขายินดีจะกลับบ้านมาแผ้วถางภูเขาร้างหรือจะทำงานในโรงงานต่อ พรุ่งนี้เช้าขอคำตอบที่แน่ชัด ข้าจะได้จัดการถูก” 


 


 


จางจู้รับคำ “ได้ ข้าจะถามให้ พรุ่งนี้จะต้องมีคำตอบแน่ชัดให้เจ้า” 


 


 


ตอนเย็นยังเป็นเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีเข้าเมืองไปรับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉกลับมา 


 


 


ซุนเหลียงไฉยังถือเงินที่ขายกระเป๋านักเรียนได้ห้าสิบตำลึง เตรียมจะโอ้อวดกับเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นนางไม่ได้มา ก็ให้ผิดหวังเป็นอย่างมาก ระหว่างทางกลับเอาแต่นั่งซึมเศร้า พูดน้อยลงไปมาก 


 


 


รถม้าเพิ่งจะถึงหน้าประตู ก็รีบลงจากรถม้าก่อนใคร วิ่งเข้าไปในลานบ้านร้องตะโกน “ข้ากลับมาแล้ว!” 


 


 


เมิ่งชื่อออกมาจากครัว ยิ้มพูด “เหลียงไฉกลับมาแล้ว รีบเข้าไปพักในบ้านก่อน อีกเดี๋ยวอาหารก็เสร็จแล้ว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดว่า “นางเล่า?” 


 


 


เมิ่งชื่อนิ่งอึ้งเล็กน้อย ถาม “ใคร?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉรีบพูด “ยังมีใคร ก็นังตัวแสบนั่นอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะ “เจ้าพูดถึงโยวเอ๋อร์รึ นางอยู่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากห้องตัวเอง พูดตัดบทเมิ่งชื่อด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียม “นังตัวแสบอยู่ที่นี่แล้ว?” 


 


 


เสียงเ**้ยมเกรียมนั้นทำเอาซุนเหลียงไฉตกใจจนตัวสั่นสะท้าน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ข้าจำได้ว่าข้าเคยเตือนเจ้าไว้แล้ว อย่าได้เรียกข้าว่านังตัวแสบอีก เจ้าลืมเร็วเช่นนี้เลย? ต้องให้ข้าช่วยนึกให้หรือไม่?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉพลันโบกมือ “ไม่ต้องๆ ครั้งนี้ข้าจำได้จริงๆ ต่อไปจะไม่เรียกเจ้าเช่นนี้อีกแล้ว” 


 


 


“เจ้าแน่ใจ?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม 


 


 


ซุนเหลียงไฉพยักหน้าเต็มแรง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เห็นแก่ที่สองวันมานี้เจ้าทำตัวดี เรื่องในวันนี้ข้าจะไม่คิดหยุมหยิมกับเจ้า หากครั้งหน้าเจ้าเรียกข้าเช่นนี้อีก ข้าจะลงโทษไม่ให้เจ้ากินข้าวสองวัน” 


 


 


ไม่ได้กินข้าวมื้อเดียวก็แทบจะเอาชีวิตซุนเหลียงไฉแล้ว นี่ไม่ได้กินสองมื้อไม่หิวตายหรือ ซุนเหลียงไฉตกใจพูดรับประกันอีกครั้ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “เจ้าเรียกหาข้ามีเรื่องอันใด?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉถึงนึกได้ว่าตัวเองเรียกหาเมิ่งเชี่ยนโยวทำไม รีบวางกระเป๋านักเรียนลง ล้วงเงินห้าสิบตำลึงออกมาจากด้านใน พูดกับนางอย่างมีความสุข “ดูสิ ข้าขายกระเป๋านักเรียนได้แล้ว นี่คือเงินห้าสิบตำลึง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาตรงหน้าเขา พูดชื่นชม “คุณชายน้อยซุนเก่งมาก ขายกระเป๋านักเรียนห้าใบได้จริงๆ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉพูดอย่างได้ใจ “ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขาหลายคนยังชอบกระเป๋านักเรียนลายอื่นด้วย บอกให้วันพรุ่งข้าเอาไปเพิ่ม พวกเขาจะซื้อเพิ่มอีกสองสามใบ อยากเป็นเหมือนข้า เปลี่ยนกระเป๋านักเรียนที่ไม่เหมือนกันทุกวัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งยินดี “ดีมาก พรุ่งนี้ตอนจะไปโรงเรียนจงนำกระเป๋านักเรียนไปมากหน่อย ให้พวกเขาเลือกตามใจ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉก็พยักหน้าดีใจ ส่งเงินให้เมิ่งเชี่ยนโยว “นี่เป็นเงินที่ขายกระเป๋านักเรียนได้ ให้เจ้า แต่เจ้าอย่าลืมให้เงินค่าขนมข้านะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับเงินมา หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “อี้เซวียน เจ้าไปเอาสมุดบัญชีมา จดยอดเงินที่ซุนเหลียงไฉขายได้วันนี้ไว้” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าห้อง วางเงินห้าสิบตำลึงลง หยิบเงินหนึ่งร้อยอีแปะออกมา มอบให้ซุนเหลียงไฉ ซุนเหลียงไฉดีใจออกไปกระโดดโลดเต้นในลานบ้าน 


 


 


รอจนเขาสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถึงพูดว่า “เพื่อเป็นรางวัลที่วันนี้เจ้าขายกระเป๋านักเรียนได้ห้าใบ ประเดี๋ยวจะหั่นกุนเชียงมาให้กิน” 


 


 


วันแรกที่ซุนเหลียงไฉวิ่งในลานใหญ่ ก็เห็นสิ่งของที่ตนเองไม่รู้จักแขวนอยู่ในลานโล่งแล้ว หลังจากถามเมิ่งเสียน ถึงได้รู้ว่าเป็นอาหารชนิดหนึ่ง ชื่อว่ากุนเชียง พอได้ยินว่าเป็นอาหาร ซุนเหลียงไฉก็น้ำลายสอนานแล้ว แอบเว้าวอนเมิ่งชื่อว่าตัวเองอยากกินบ้าง เมิ่งชื่อยิ้มบอกเขา กุนเชียงยังไม่แห้งดี ยังกินไม่ได้ ซุนเหลียงไฉผิดหวังหมดอาลัย ตอนนี้ได้ยินว่าคืนนี้ตนเองจะได้กินกุนเชียงที่อยากกินมานาน ซุนเหลียงไฉก็ดีใจกระโดดตัวลอยอีกครั้ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไปที่ลานใหญ่ หยิบกุนเชียงมารสชาติละเส้น นำไปต้มจนสุก หั่นเป็นแผ่น วางลงในจาน 


 


 


ตอนกินข้าว ซุนเหลียงไฉคีบใส่ปากอย่างรอต่อไปไม่ไหว กินไปพลางพูดไม่หยุดว่า “อร่อยมาก ข้าไม่เคยกินของอร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อโพล่งหัวเราะ 


 


 


หลังจากเลิกงานตอนค่ำ ระหว่างทางกลับบ้าน จางจู้บอกเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านตัวเอง ทั้งคิดจะหาคนไปแผ้วถาง ถามพวกเขาว่า ยินดีจะมาแผ้วถางในหมู่บ้านตนเองหรือไม่ หรือว่าจะอยู่ทำงานในโรงงานต่อ 


 


 


พอได้ยินว่าไปทำงานแผ้วถางได้ทั้งครอบครัว ก็มีคนพูดว่ายินดีกลับมาทำงานในหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก มีเพียงไม่กี่คนที่ยังลังเล จางจู้ให้คืนนี้พวกเขากลับไปคิดทบทวนให้ดี เมื่อคิดได้แล้ว พรุ่งนี้ตอนที่มาเข้างานค่อยบอกเขา 


 


 


วันถัดมาตอนมาเข้างาน คนในหมู่บ้านทั้งหมดบอกกับจางจู้ว่า ยินดีจะกลับไปทำงานในหมู่บ้านตนเอง 


 


 


หลังจากมาถึงโรงงาน จางจู้ก็นำการตัดสินใจของทุกคนบอกกับเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคาดเอาไว้แล้วว่าพวกเขาจะต้องตัดสินใจเช่นนี้ จึงไม่ได้ประหลาดใจอะไร บอกทุกคนว่าวันนี้จะให้พวกเขาเลิกงานเร็วขึ้น แล้วตัดบัญชีค่าแรงของหลายวันนี้ให้พวกเรา พรุ่งนี้พวกเขาก็ไม่ต้องมาแล้ว 


 


 


คนหมู่บ้านหลี่ซาบซึ้งใจยิ่งนัก ต่างบอกว่าเมื่อตนเองกลับไปแล้วจะตั้งใจทำงาน แผ้วถางภูเขาร้างให้อย่างดี 


 


 


เมื่อคนงานไปเข้างาน เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยิบสมุดบัญชีออกมา คำนวณเงินค่าแรงของคนงานหมู่บ้านหลี่และคนงานโรงงานรมควันเนื้อ 


 


 


กระทั่งยามบ่ายคนงานโรงงานรมควันเนื้อก็ทำงานในวันสุดท้ายเสร็จแต่หัววัน มายืนอออยู่หน้าประตูบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนบนโต๊ะที่เมิ่งเสียนวางจัดเตรียมไว้แล้ว เปล่งเสียงดังพูดกับทุกคน “วันนี้โรงงานรมควันเนื้อของพวกเราจะปิดอย่างเป็นทางการแล้ว ขอบคุณทุกคนที่ตั้งใจทำงานมายาวนานเช่นนี้ ดังนั้นวันนี้นอกจากเงินค่าแรงตลอดหลายวันที่ผ่านมาที่ข้าจะมอบให้กับทุกคนโดยไม่ขาดสักแดงแล้ว ข้ายังมีข่าวดีจะบอกกับทุกคนด้วย” 


 


 


ป้าหวังเป็นผู้นำถามอย่างอดใจรอไม่ไหว “ข่าวดีอะไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “คนงานที่ทำงานโรงงานรมควันเนื้อหมู่บ้านพวกเรา นับแต่วันพรุ่งนี้ให้เริ่มมาทำงานที่โรงงานกุนเชียง” 


 


 


แม้เมิ่งเชี่ยนโยวจะบอกว่าหลังจากปิดโรงงานรมควันเนื้อจะมีงานอื่นให้พวกเขาทำต่อ แต่ว่าเป็นอะไรกันแน่นางไม่เคยบอก คนในโรงงานใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ มาหลายวัน ในที่สุดตอนนี้ก็รู้ว่าตัวเองจะได้มาทำงานโรงงานกุนเชียง ต่างยินดีไชโยโห่ร้อง 


 


 


กระทั่งทุกคนสงบเงียบลง เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดอีกว่า “หากมีคนไม่ยินดีมาทำงานโรงงาน จะไปเก็บทำความสะอาดที่ดินก็ได้ ค่าแรงเหมือนกัน ให้วันละสามสิบอีแปะ” 


 


 


ทุกคนต่างบอกว่ายินดีจะมาทำงานโรงงานกุนเชียง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งเสียนจ่ายเงินค่าแรงให้คนหมู่บ้านตนเองก่อน กำชับให้พรุ่งนี้พวกเขามาเข้างานแต่เช้า แล้วให้พวกเขาแยกย้ายไป 


 


 


คนงานโรงงานกุนเชียงก็ทำงานทั้งหมดเสร็จแล้ว ออกมาด้านนอกประตูใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้เมิ่งเสียนจ่ายเงินค่าแรงให้พวกเขา คนในหมู่บ้านหลี่กล่าวขอบคุณแล้วกลับไป 


 


 


เมื่อเสร็จเรื่องทั้งหมด เมิ่งเชี่ยนโยวร้องบอกเมิ่งชื่อ แล้วจึงมาที่โรงงานรมควันเนื้อ 


 


 


หลี่ต้าฉุยและภรรยาคุ้นชินกับช่วงเวลาที่คึกคักทุกวันเสียแล้ว พอคิดว่านับแต่วันพรุ่งนี้ก็จะไม่มีคนเข้ามาอีก รู้สึกหมดอาลัยอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา สองผู้เฒ่ากำลังจัดเก็บเครื่องมือรมควันเนื้อเงียบๆ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินข้ามาถึงลานบ้าน แย้มยิ้มร้องเรียก “ท่านยายหลี่ ท่านตาหลี่!” 


 


 


สองสามีภรรยาเงยหน้าขึ้น ฝืนแสยะยิ้มให้นาง พูดว่า “โยวเอ๋อร์มาแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หาข้ออ้างพูดว่า “ข้าเข้ามาดูว่าพวกเขาจัดเก็บอุปกรณ์รมควันเนื้อดีหรือเปล่า?” 


 


 


ภรรยาหลี่ต้าฉุยตอบว่า “ไม่ต้องให้พวกเขาเก็บ ต่อไปพวกเราสองคนว่างงานแล้ว ค่อยๆ เก็บก็ได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งถลึงตาโต “ใครบอกว่าพวกท่านจะว่างงาน ข้ายังมีเรื่องสำคัญจะให้พวกท่านทำนะ” 


 


 


หลี่ต้าฉุยและภรรยาถามอย่างยินดี “เรื่องอะไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เรื่องที่ข้าจะปลูกเรือนให้ท่านปู่ท่านย่า พวกท่านคงรู้แล้ว ตอนนี้คนในหมู่บ้านกำลังไปเก็บทำความสะอาดที่ดิน อีกไม่วันพอทำความความสะอาดเสร็จ ปรับหน้าดินเรียบเสมอกันแล้ว ก็จะลงมือปลูกเรือน ถึงตอนนั้นข้าอยากให้เหล่าคนงานที่มาทำงานมากินข้าวกลางวันบ้านพวกท่าน ประมาณสิบกว่าคนได้ พวกท่านว่าพอได้หรือไม่?” 


 


 


สองสามีภรรยาได้ยินว่าบ้านตัวเองจะคึกคักเช่นนั้นอีก ก็พยักหน้ายินดี “ย่อมได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เช่นนั้นข้าขอขอบใจท่านตาหลี่ ท่านยายหลี่ก่อน” 


 


 


ภรรยาหลี่ต้าฉุยพูดตำหนิ “เจ้าเด็กคนนี้ ขอบใจอะไรกัน พวกเราเป็นขอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าทำอะไรก็สมควรแล้ว เจ้าวางใจ พรุ่งนี้ข้าจะให้ตาหลี่ของเจ้าก่อเตาไฟเพิ่มอีกสองสามอัน ไม่ว่าจะมากี่คน เราก็จะทำอาหารให้เขากินได้ตรงตามเวลา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “พรุ่งนี้จะให้พวกอู๋ต้ามาช่วยพวกท่าน” 


 


 


หลี่ต้าฉุยโบกมือ “ไม่ต้อง งานเล็กน้อยแค่นี้ข้ากับยายหลี่ทำกันเองก็พอ ให้พวกเขาไปทำงานอย่างอื่นเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เห็นด้วย “การก่อเตาไฟเหนื่อยเกินไป ท่านกับยายหลี่อายุมากแล้ว จะให้ท่านทำงานเหนื่อยเช่นนี้ได้อย่างไร ให้พวกอู๋ต้ามาช่วยเถอะ พวกท่านคอยดูอยู่ข้างๆ ก็พอ” 


 


 


หลี่ต้าฉุยตบหน้าอกตัวเอง พูดว่า “ข้ากับยายหลี่เจ้ายังแข็งแรงดี งานเล็กน้อยแค่นี้ไม่ทำพวกเราเหนื่อยได้ ไม่ต้องให้พวกเขามา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ จึงพูดอย่างจนใจ “เช่นนั้นพวกท่านก็ค่อยๆ ก่อ ที่ดินยังต้องเก็บทำความสะอาดอีกหลายวันถึงจะเสร็จ ไม่ต้องรีบร้อน อย่าให้เหนื่อยเกินไป” 


 


 


สองสามีภรรยาพยักหน้า “พวกเรารู้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังกำชับพวกเขาอีกสองสามคำ ถึงกลับบ้าน 


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีผลิตน้ำมันพริกเสร็จ กำลังบังคับรถม้าไปรับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉ เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขารีบร้อนลนลาน ขมวดคิ้วมุ่น ขบคิดในใจ เรื่องในบ้านกำลังจะเพิ่มมากขึ้นแล้ว พี่ใหญ่กับพี่รองต้องไปรับพวกเขาทุกวันแบบนี้เสียเวลาเกินไป ดูท่าตัวเองคงต้องรีบไปซื้อหาคนกลับมาจำนวนหนึ่งจริงๆ แล้ว 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)