คัมภีร์วิถีเซียน 1464-1466.1
ตอนที่ 1464 มหาราชาปีศาจ
“สหายหลานเหตุใดต้องร้อนใจเกินไปด้วย ที่พวกเราต้องการพึ่งพาสหายหานไม่ใช่พลังยุทธ์ในตัวเขา แต่เป็นพลังแห่งเทวะอัสนีที่เขามี ถึงพลังยุทธ์จะต่ำลงไปขั้นสองขั้น แต่ตราบใดที่สามารถสำแดงพลังของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมาได้ แล้วจะมีปัญญาอะไร” มู่ชิงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวท่ามกลางแสงสีดำ
“การควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายจะง่ายดายเช่นนี้เสียที่ไหนกัน พลังยุทธ์ยิ่งสูง ย่อมมีความมั่นใจมากขึ้นอยู่แล้ว ข้าสงสัยมากว่าระดับแม่ทัพวิญญาณคนหนึ่งจะสามารถสำแดงอานุภาพของเทวะอัสนีได้จริงหรือไม่ หากจำไม่ผิด หากคิดจะกระตุ้นอานุภาพที่แท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย อย่างน้อยก็ต้องมีระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นต้นขึ้นไปสินะ” คิดไม่ถึงว่าคนที่กล่าวในครั้งนี้จะเป็นหนึ่งในชายชุดโลหิตสองคนนั้น น้ำเสียงแปลกประหลาดราวกับโลหะและหิน
“ตรงจุดนี้ พี่ตี้เซวี่ยวางใจได้เลย! แม้ว่าสหายหานจะเป็นแค่ระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นสูง แต่ไม่ว่าจะความบริสุทธิ์และความแข็งของพลังยุทธ์ ก็ยังด้อยกว่าระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นต้นทั่วไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น เชื่อได้ทั้งหมดว่าจะทำเรื่องนี้ได้ หรือว่าพี่ตี้เซวี่ยมีวิธีการอื่นใดอีก ที่สามารถทำลายอาคมต้องห้ามของแม่น้ำอเวจีได้อย่างมั่นใจ” มู่ชิงพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
“หากคนผู้นี้สามารถช่วยพวกเราทำลายอาคมต้องห้ามได้ ย่อมเป็นเรื่องที่น่าปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ผู้เฒ่าไม่ได้มีเจตนาจะขัดควาง เพียงแค่เป็นกังวลเกินไปเท่านั้น แม่นางมู่อย่าบิดเบนเจตนารมณ์ของผู้เฒ่า” เมื่อชายชุดโลหิตอีกคนหนึ่งเอ่ยปาก น้ำเสียงกลับเหมือนชายชุดโลหิตคนแรกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ราวกับเป็นคนเดียวกัน
ในมุมของคนอื่นต่างก็มีสีหน้าแปลกใจกับเรื่องนี้ แต่มู่ชิงกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ในเมื่อพี่ตี้เซวี่ยไม่มีความเห็นกับเรื่องของสหายหานแล้ว ย่อมดีที่สุด แต่ไม่ทราบว่าพี่ลิ่วจู๋กับพี่สาวหลานคิดอย่างไรบ้าง?”
“ตราบใดที่เป็นประโยชน์ต่อการใหญ่ของพวกเรา ข้าสนับสนุนทั้งนั้น” ชายลึกลับศีรษะคลุมผ้าคลุมดำ ตอบกลับด้วยท่าทางสงบนิ่งผิดปกติ
ส่วนหญิงงามผมขาวนั้นกลับขมวดคิ้วมุ่น กำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่าง
“ทำไมรึ หรือว่าพี่สาวหลานยังมีความเห็นใดที่ไม่ตรงกัน?” มู่ชิงดวงตาเปล่งประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร จิตวิญญาณบริสุทธิ์ของคนผู้นี้แข็งแกร่งผิดปกติ เดิมทีข้าคิดจะใช้จิตวิญญาณของเขาหลอมเป็นราชาภูตเกราะเงินตัวหนึ่ง ตอนนี้คงต้องหาวัตถุดิบใหม่แล้ว เดิมทีคนผู้นี้ข้ากับตี้เซวี่ยเป็นคนพบก่อน น้องมู่ชิงเก็บคนผู้นี้ไว้เช่นนี้ ไม่รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมบ้างหรือ?” หญิงงามผมขาวพูดอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน
“เหอะๆ ที่แท้พี่สาวหลานก็คิดจะชี้แนะสหายหานด้วยตัวเอง แต่ตามที่ข้ารู้มา วิทยายุทธ์ของพี่สาวน่าจะเป็นฝ่ายถูกเทวะอัสนีพิชิตแทนกระมัง จะให้เขาเรียนรู้หลักแห่งเทวะอัสนีได้อย่างไร หากทำให้การใหญ่ล่าช้า จะไม่เป็นการเสียใจไปชั่วชีวิตเลยหรือ” มู่ชิงหัวเราะเบาแล้วตอบกลับ
“เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? ฟังจากการพูดของน้องมู่ ทำเหมือนกับรู้จักอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย เจ้าก็ไม่เคยฝึกฝนอิทธิฤทธิ์นี้เช่นเดียวกัน ให้แม่เฒ่าชี้แนะข้ามีตรงไหนที่ทำไม่ได้” หญิงงามผมขาวกลับยิ้มเยาะแล้วกล่าว
“ตัวข้ามีกายที่ก่อตัวมาจากวิญญาณพฤกษา ในสมัยโบราณ อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเป็นอัสนีเทวาพฤกษาที่จัดอยู่ในอัสนีเทวาห้าสาย หากมีน้องสาวถ่ายทอดวิชาด้วยตัวเอง ย่อมต้องดีกว่าคนอื่นๆ อยู่แล้ว” มู่ชิงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่เห็นจะเป็นเช่นนี้เลย ว่ากันด้วยเรื่องระยะเวลา แม่เฒ่าเป็นรองแค่สหายลิ่วจู๋ ด้วยระยะเวลาฝึกฝนที่ยาวนานเช่นนี้ ก็พอที่จะหักล้างพรสวรรค์ของน้องมู่ได้แล้วกระมัง” หญิงงามกลับพูดอย่างไม่เกรงใจ
ได้ยินคำนี้ มู่ชิงก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ขณะที่คิดจะพูดอะไรอีก ชายลึกลับนามว่าลิ่วจู๋ผู้นั้นกลับพูดโพล่งขึ้นมา “สหายทั้งสองอย่าเพิ่งโต้เถียงอะไรกันเลย ควรให้พวกข้ายืนยันว่าอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของสหายหานเป็นของจริงหรือไม่ แล้วค่อยคุยเรื่องอื่นจะดีกว่า”
เห็นได้ชัดว่าในกลุ่มนี้ลิ่วจู๋เป็นคนที่มีบารมีค่อนข้างสูง อีกทั้งหลังจากที่หญิงงามกับมู่ชิงสบตากับเขาด้วยท่าทางค่อนข้างหวาดกลัว หญิงงามก็ไม่พูดอะไรอีก ส่วนมู่ชิงกลับหันไปกล่าวกับหานลี่ด้วยท่าทางสงบนิ่ง “คิดว่าการสนทนาของพวกข้า เมื่อครู่นี้เจ้าน่าจะได้ยินทั้งหมดชัดเจนแล้ว สหายหานช่วยปล่อยอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมาครั้งหนึ่งได้หรือไม่ ให้พวกข้าทั้งหลายได้แน่ใจ เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันไม่น้อย คิดว่าสหายคงไม่ปฏิเสธกระมัง”
หานลี่เผยรอยยิ้มเจื่อน แต่ก็ไม่มัวพูดไร้สาระอะไร พลันตั้งท่าร่ายคาถาสองมือ
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงฟ้าร้องดังสะเทือนเลือนลั่นคราหนึ่ง บนร่างหานลี่เปล่งแสงสีทองเจิดจ้า เส้นไหมสายฟ้าเรียวบางจำนวนนับไม่ถ้วนพลันปรากฏออกมาจากภายในร่าง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นประกายแสงสีทองเส้นหนาๆ หลายสายพันรอบกาย อานุภาพน่าตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!
ภายในวิหารพฤกษา หญิงงาม ลิ่วจู๋ และคนอื่นๆ ต่างก็จองมองประกายแสงสีทองโดยไม่กะพริบตา แม้แต่มู่ชิงที่เคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งก็ไม่ยกเว้น
ลิ่วจู๋สั่นแขนเสื้อใหญ่ๆ ไปที่หานลี่คราหนึ่ง พายุทมิฬสีดำสลัวๆ ก็พุ่งตรงออกไป
หานลี่เลิกคิ้วขึ้น พลันใช้มือเดียวแตะคราหนึ่ง
ประกายแสงสีทองสายหนึ่งก็พุ่งออกไปต้านรับ
พลันเกิดเสียงโครมขึ้นคราหนึ่ง เมื่อประกายแสงสีทองกับพายุสีดำแตะถูกกันก็ระเบิดออกในทันที ทุกหนแห่งที่แสงสีทองแผ่ไปถึง พายุสีดำก็ราวกับหิมะละลายในแสงแดดฤดูใบไม้ผลิ ค่อยพากันแตกสลายและอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น
“ไม่เลว เป็นอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายอย่างที่คาดไว้จริงๆ!” ลิ่วจู๋พยักหน้า ภายในน้ำเสียงมีความดีอกดีใจอยู่หลายส่วน
“อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายที่เหมือนกับระดับนี้ สหายคาดว่าน่าจะปล่อยได้กี่สาย” หนึ่งในชายชุดโลหิตถามโพล่งขึ้นมา
“น่าจะประมาณยี่สิบสายกระมัง แต่ทุกครั้งหลังจากปล่อยออกมาแล้ว จะต้องรอเป็นเวลานานจึงจะฟื้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม” หานลี่ตอบกลับด้วยนัยน์ตาเปล่งประกายเล็กน้อย
เขานำจำนวนที่ควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายลดลงมาสองในสามส่วน ไม่ตอบตามความจริง
“ยี่สิบสาย เช่นนี้ก็น่าจะพอใช้งานได้แล้ว” ได้ยินวาจานี้ของหานลี่ ชายชุดโลหิตอีกคนหนึ่งกลับหัวเราะประหลาดขึ้นมาด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ
“ไม่เลว แม้ว่าอาคมต้องห้ามของแม่น้ำอเวจีจะร้ายกาจ แต่ภายใต้การโจมตีด้วยเทวะอัสนีที่มากมายเช่นนี้ ไม่มีทางยืนหยัดต้านทานไว้ได้แน่ เอาล่ะ คนก็ไม่มีปัญหาแล้ว ต่อจากนี้ควรจะถกปัญหาเรื่องทางไปของสหายหานแล้ว ข้ากับสหายตี้เซวี่ย ไม่ค่อยรู้จักเคล็ดวิชาเทวะอัสนีดีนัก จึงไม่ขอมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ จุดสำคัญก็คือ ตอนนี้แม่นางมู่กับสหายหลานต่างก็อยากให้สหายหานตามมาเรียนหลักแห่งการควบคุมอัสนีกับตนเอง ปัญหานี้ค่อนข้างแก้ยากอยู่บ้าง ข้าเห็นว่าควรทำเช่นนี้ก็แล้วกัน ตอนนี้เวลายังห่างจากการใหญ่อยู่หลายปี สองปีแรกให้เขาติดตามแม่นางมู่ศึกษาเล่าเรียนหลักแห่งการควบคุมอัสนี สองปีหลังค่อยไปเป็นศิษย์ของสหายหลาน ในสองปีสุดท้าย ให้สหายหานฝึกฝนและเรียนรู้ด้วยตัวเอง สหายทั้งสองน่าจะไม่มีความเห็นแล้วกระมัง!” ลิ่วจู๋พูดโดยไร้ความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง
ได้ยินลิ่วจู๋กล่าวเช่นนี้ หญิงงามกับมู่ชิงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
“เหอะๆ ความเห็นนี้ของพี่ลิ่วจู๋ดีมาก ข้าคิดว่าสหายทั้งสองคงไม่ต้องโต้เถียงกันอีกแล้ว เป็นเช่นนี้ดีแล้ว” ชายชุดโลหิตพลันตบมือหัวเราะใหญ่แล้วกล่าว
“ในเมื่อสหายลิ่วจู๋กับตี้เซวี่ยต่างก็รู้สึกว่าวิธีนี้ดี แม่เฒ่าก็ไม่มีความเห็นอะไรแล้ว” หญิงงามผมขาวลังเลพักหนึ่ง จึงค่อยพยักหน้าตกลงอย่างช้าๆ
ส่วนมู่ชิงกลับนั่งตัวตรงอยู่ในดอกไม้สีทองไม่ขยับเขยื้อน ยังไม่พูดอะไรในทันที
“ทำไมรึ แม่นางมู้รู้สึกว่าวิธีการนี้ไม่เข้าท่าหรือ?” ดวงตาภายในผ้าคลุมพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ลิ่วจู๋เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขรึม
“ไม่ใช่อยู่แล้ว ตามที่ทั้งสามพูดเถอะ” มู่ชิงรู้สึกใจหายวาบ ผ่านไปนานสองนานจึงค่อยยิ้มฝืนๆ แล้วกล่าว
“ดี เดิมทีเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องเล็ก ทุกอย่างควรยึดถือการใหญ่ที่พวกเราวางแผนไว้ สหายหาน ให้เวลาเจ้าภายในหกปี หากภายในหกปีสามารถฝึกฝนหลักแห่งการควบคุมอัสนีที่พวกข้าถ่ายทอดได้สำเร็จ สำแดงอานุภาพที่แท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้ พวกข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่ลับแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นมีผลประโยชน์อันใหญ่หลวงรอเจ้าอยู่ แต่ในทางกลับกัน หากภายในหกปีเจ้าไม่สามารถควบคุมอานุภาพแท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้ ถึงเวลานั้น! หึหึ…” ชายชุดโลหิตคนหนึ่งยิ้มแล้วพูดกึ่งขู่เข็ญกึ่งล่อใจหานลี่
แม้ว่าคำพูดสุดท้ายจะพูดไม่จบ แต่ความหมายแอบแฝงนี้เป็นใครก็ฟังออกทั้งนั้น
หลังจากหานลี่ได้ยิน สีหน้าก็ดูย่ำแย่ขึ้นมา
“สหายหานวางใจเถิด เจ้าสามารถฝึกฝนอิทธิฤทธิ์นี้ได้ด้วยอายุน้อยเช่นนี้ จะต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เหนือคน! สำหรับวิธีฝึกฝนการควบคุมเทวะอัสนีให้สำเร็จในหกปี จะต้องไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน แต่เพื่อป้องกันไม่ให้สหายหานเกิดความคิดตุกติกอื่นๆ พวกข้าจำเป็นต้องวางอาคมต้องห้ามขนาดเล็กไว้ในร่างเจ้า” หญิงงามผมขาวกล่าว พลันชูมือขึ้น เส้นไหมสีเทาสายหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาอย่างไม่มีเค้าลาง ภายในชั่วพริบตา ก็มาถึงตรงหน้าลำตัว
หานลี่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ร่างกายคิดจะหลบหลีกด้วยจิตใต้สำนึก แต่อากาศในบริเวณใกล้เคียงกลับบีบตัว ตามด้วยพลังไร้ลักษณ์มหาศาลหลายกลุ่มกดลงบนบ่า
ร่างของเขาแข็งค้าง ไม่สามารถกระดุกกระดิกได้แม้แต่น้อย
หานลี่หางตากระตุก หลังจากโคจรความคิดอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ คิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้โคจรพลังจิตภายในร่างเพื่อหลุดจากพันธนาการนี้
เพียงแค่ใบหน้าเขียวจางๆ จ้องมองเส้นไหมสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปในร่างอย่างไร้ร่องรอย
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ลิ่วจู๋ มู่ชิง และตี้เซวี่ยสามคนต่างก็ปล่อยหมอกดำ แสงสีเขียว และหมอกโลหิตจมเข้าไปในร่างของหานลี่เช่นกัน
ในตอนนี้หานลี่รู้สึกเพียงพลังมหาศาลบนร่างได้สลายหายไปแล้ว จึงกลับมาเคลื่อนไหวได้อิสระอีกครั้ง
เมื่อรีบใช้จิตสัมผัสตรวจดูภายในร่าง หานลี่ทั้งรู้สึกกลุ้มใจและแอบโล่งใจในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่ซ่อนอยู่ในร่างของเขา เป็นแค่สิ่งที่คล้ายกับเครื่องหมายสี่ชนิด ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ แต่ในทางกลับกัน เมื่อมีสิ่งเหล่านี้แล้ว หลังจากนี้คิดจะหาโอกาสหนีไป คงเป็นเรื่องลำบากยากยิ่งแล้ว
“สหายหาน หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว เจ้าก็อยู่ที่หุบเขาเซียนพฤกษาก่อนสองปี สองปีต่อมา สหายหลานค่อยส่งคนมารับเจ้าไปก็ได้แล้ว! เอาล่ะ เรื่องก็มาถึงตรงนี้แล้ว คุยเรื่องสำคัญอย่างอื่นกันบ้าง สหายหลาน ได้ยินว่าภูตทมิฬของเจ้าหลอมใกล้เสร็จแล้ว เพียงแต่ยังมี…” ลิ่วจู๋พูดกับหานลี่ไม่กี่ประโยค ก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องอื่นแทน
คนอื่นๆ ฟังไปพลาง แสดงความคิดเห็นไปพลาง
ตั้งแต่ต้นจนจบ ราชาปีศาจเหล่านี้ไม่ให้โอกาสหานลี่ได้พูดเลย และไม่คิดจะฟังเขาพูดอะไรเช่นกัน
แต่จะว่าไปแล้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าราชาปีศาจทั้งสี่ที่มีระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไป หานลี่ก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรได้จริงๆ ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นแดนมนุษย์หรือแต่ละเผ่าในแดนวิญญาณก็ล้วนคุยกันด้วยพลัง ตัวตนระดับเทพแปลงกระจอกๆ นามหนึ่ง สำหรับปีศาจในเหวพสุธาเหล่านี้ ที่จริงแล้วก็เป็นแค่ตัวตนกระจิดริดเท่านั้น
แม้ว่าในใจเขาจะรู้สึกกลัดกลุ้ม แต่ก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบไม่พูดจา ในขณะเดียวกันก็แอบครุ่นคิดพิจารณาถึงคำพูดที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่นี้
ก่อนหน้านี้ เนื้อหาที่ราชาปีศาจแห่งเหวพสุธาเหล่านี้มีไม่มากนัก แต่เขาก็พอจะจับใจความได้หนึ่งอย่าง!
คนพวกนี้คิดจะยืมพลังของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของเขาดังคาด และคิดจะใช้ทำลาย “อาคมต้องห้ามแม่อเวจี” อะไรนั่น
แต่ “หลักแห่งการควบคุมอัสนี” กับอานุภาพที่แท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายที่คนเหล่านี้พูดถึง คือเรื่องอะไรกัน? หรือว่าอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายนี้จะมีวิธีการควบคุมเฉพาะทางอย่างอื่นอีก? หรือว่าจะมีอิทธิฤทธิ์อื่นที่ยังไม่รู้อีก?
หานลี่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก!
จู่ๆ หานลี่ก็รู้สึกเหมือนมีคนกำลังสนใจเขาอีก พอเหลือบมองเล็กน้อย กลับหันมาเจอกับสายตาของหญิงสาวคนหนึ่งที่แอบมองมา
ที่แท้ก็คือหยวนเหยา สตรีผู้นี้นั่นเอง
หยวนเหยาเห็นหานลี่มองมา กลับมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย!
ทว่าหานลี่หน้าเปลี่ยนสีคราหนึ่ง ผ่านไปนานสองนานจึงค่อยดึงสายตากลับมาอย่างไม่ลุกลี้ลุกลน
ตอนที่ 1465 เผ่ามังกรปีศาจ
ต่อหน้าพวกหานลี่กับเซวี่ยตู๋ มู่ชิงและราชาปีศาจอีกสามคนได้หารือหลายเรื่องอย่างต่อเนื่อง
รายละเอียดในนั้นเกี่ยวข้องกับ “ภูตทมิฬ” “หุ่นเชิด” และของต่างๆ คิดไม่ถึงว่าพวกเขากำลังฝึกกำลังขนาดใหญ่ คล้ายกำลังเตรียมไปโจมตีอะไรบางอย่าง
ทว่าสิ่งที่หานลี่สนใจที่สุดก็ยังเป็น “แม่น้ำอเวจี” ที่คนเหล่านั้นเอ่ยถึงเป็นพักๆ
ตอนที่ได้ยินสถานที่นี้เป็นครั้งแรก หานลี่ก็เกิดฉุกคิดขึ้นมา สิ่งแรกสุดที่นึกขึ้นได้กลับเป็นสถานที่ที่เรียกว่าอเวจีทมิฬแห่งนั้น
ทว่า นอกจากคนพวกนี้จะพูดถึงสถานที่นี้สองสามครั้งแล้ว กลับไม่พูดถึงสิ่งใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่นี้เลย
ในตอนนี้ หานลี่ได้ถอยมาอยู่อีกฝั่งนานแล้ว แอบสังเกตราชาปีศาจพวกนี้อย่างลับๆ
พูดตามจริง ในบรรดาสี่มหาราชาปีศาจนี้ คนที่เขารู้สึกว่าลึกลับและดูไม่ออกที่สุดก็คือลิ่วจู๋กับตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ย
คนแรกบนร่างแผ่กลิ่นอายหนาวเหน็บ ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีกลิ่นอายของชีวิตแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าการพูดการจาและอากัปกิริยาไม่มีสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย หานลี่คงสงสัยว่าเขาเป็นสิ่งที่ตายไปแล้ว
ส่วนคนที่สองเป็นเพราะมีสองร่างที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิด
ชายชุดโลหิตสองคนไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงพูด รูปร่าง และกลิ่นอายก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน แต่สองคนนี้ต่างก็ถูกเรียกว่าตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ย
เรื่องนี้ย่อมแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับมู่ชิงกับหญิงงามผมขาว หานลี่พอจะมองออกถึงความเป็นมาเล็กน้อยของสองคนนี้ได้ลางๆ
บนร่างของมู่ชิงถูกปกคลุมด้วยม่านแสงสีดำหนึ่งชั้น แม้กระทั่งใช้เนตรวิญญาณกระจ่างก็ยังไม่สามารถมองได้ชัด แต่แสงสีเขียวมรกตที่ทะลุออกมาจากแสงสีดำนั้น กลับไม่สามารถปิดบังสองตาของหานลี่ได้
อีกทั้งพลังวิญญาณพฤกษาที่แผ่ออกมาจากบนร่างของหญิงผู้นี้ยังบริสุทธิ์ถึงขั้นสุดยอด หานลี่จึงแทบจะแน่ใจถึงแปดส่วนว่า มู่ชิงคือปีศาจวิญญาณพฤกษาที่หายากตนหนึ่ง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นวิญญาณพฤกษาชนิดใด
สำหรับหญิงสาวผมขาว ตลอดทั้งร่างมีปราณทมิฬเกาะอย่างหนาแน่น ทั้งชีวิตนี้ของเขาเห็นแบบนี้น้อยมาก
อีกทั้งคำพูดของราชาปีศาจแต่ละตนเมื่อครู่นี้ หานลี่จึงเดาออกเช่นกันว่าหญิงงามผู้นี้คือปีศาจภูต
เพียงแต่ปีศาจตนนี้แทบจะหลอมร่างภูตของตัวเองจนเหมือนกับคนธรรมดาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แสดงให้เห็นว่ามีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่
แต่ด้วยเหตุนี้ หานลี่ก็สังเกตเห็นบนร่างของหยวนเหยามีปราณทมิฬเกาะตัวไม่บางเบาเช่นกัน ดูเหมือนจะไม่ใช่ร่างของคนธรรมดา เพียงแต่ไม่ได้มีร่างภูตที่แท้จริงเหมือนกับหญิงงาม
หญิงผู้นี้ดูเหมือนจะประสบกับโอกาสบางอย่าง สำหรับบนร่างของเหยียนลี่ก็เป็นเช่นเดียวกับหยวนเหยา
ทว่าดูจากกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากหญิงทั้งสอง มีพลังอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นต้น
พวกหยวนเหยาสองคนมีพลังยุทธ์ต่ำเช่นนี้แต่กลับถูกหญิงงามผมขาวพามาอยู่ข้างกาย ดูแล้วถ้าไม่ใช่เพราะรักและไว้วางใจอย่างลึกซึ้ง ก็คงเป็นเพราะเหตุผลบางประการ
การเจรจาของราชาปีศาจเหล่านี้ไม่ได้ดำเนินต่อเนื่องนานนัก บางครั้งก็มีการโต้แย้งที่ไม่เห็นตรงกันบ้าง จึงใช้วิธีเสียงส่วนน้อยยอมฟังเสียงส่วนมาก ทำให้แก้ไขปัญหาได้เร็วมาก
เวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร พวกลิ่วจู๋ก็หารือทุกเรื่องเสร็จสิ้น พลันยืนขึ้นและกล่าวลา
มู่ชิงลงมาจากดอกไม้สีทองอย่างไม่กล้าเสียมารยาท ส่งราชาปีศาจคนอื่นๆ ด้วยตัวเอง
ขณะที่ชายชุดโลหิตสองคนเดินมาที่ประตูวิหาร ได้เดินผ่านหานลี่พอดี ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยคนหนึ่งที่อยู่ใกล้เขาที่สุดก็หันมาถามหานลี่ด้วยน้ำเสียงประหลาด “หุ่นเชิดสองตัวที่ข้าส่งไป เจ้าเป็นคนสังหารใช่หรือไม่”
หานลี่ลังเลเล็กน้อย จึงค่อยโค้งคำนับแล้วตอบกลับอย่างซื่อตรง “ที่จริงแล้วชนรุ่นหลังเป็นคนสังหาร ก่อนหน้าไม่ทราบว่าเป็นลูกน้องของอาวุโส หวังว่าอาวุโสจะไม่ถือโทษโกรธเคือง”
“หึๆ แค่หุ่นเชิดกระจอกๆ สองตัว ข้าไม่เก็บมาใส่ใจหรอก แต่เรื่องนี้จะปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้ ภายหลังช่วยข้าทำงานเล็กสักงานหนึ่ง ถือเสียว่าหักล้างกับเรื่องนี้ก็แล้วกัน” ในหูของหานลี่มีเสียงที่ถ่ายทอดมาจากตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยดังขึ้น
หานลี่เงยหน้ามองอีกครั้งด้วยความตกตะลึง
ชายชุดโลหิตสองคนกลับเดินผ่านตัวเขาไปอย่างช้าๆ ราวกับการถ่ายทอดเสียงเมื่อครู่นี้ไม่เคยมีมาก่อน
หานลี่ขมวดคิ้วคราหนึ่ง แอบรู้สึกว่าตนหาความยุ่งยากใส่ตัวอีกแล้ว
พวกหญิงงามผมขาวกับหยวนเหยาออกไปเป็นลำดับสุดท้าย และเดินผ่านข้างๆ หานลี่ไปเช่นกัน แต่หญิงงามผมขาวแค่ส่งยิ้มจางๆ ไม่ได้กล่าวอะไร ส่วนหยวนเหยากลับมีใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ราวกับมองไม่เห็นหานลี่
เหยียนลี่กะพริบตาปริบๆ สายตาที่หันมามองหานลี่ ปรากฏถึงความรู้สึกราวกับคาดคิดไว้แล้ว
มุมปากของหานลี่พลันกระตุกคราหนึ่ง สีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ เพียงแต่ฝ่ามือที่อยู่ในแขนเสื้อข้างหนึ่ง จู่ๆ นิ้วทั้งห้ากุมเข้าหากัน
“ยินดีด้วยน้องหาน ผู้ยิ่งใหญ่แต่ละท่านให้ความสำคัญกับสหายหานมากขึ้นแล้ว” เมื่อเห็นว่าพวกมู่ชิงออกจากวิหารใหญ่ไปตามลำดับแล้ว เซวี่ยตู๋ก็ยิ้มกล่าวกับหานลี่
“มีสิ่งใดให้น่ายินดี ตอนนี้ข้าน้อยยังงงๆ กับทุกเรื่องอยู่เลย อาวุโสเซวี่ยพอจะรู้ว่าเคล็ดวิชา “หลักแห่งการควบคุมอัสนี” อะไรนั่น สามารถทำให้อานุภาพของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเพิ่มมากขึ้นได้จริงหรือ?” หานลี่หัวเราะขื่นๆ คราหนึ่ง พลันถามอย่างเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง
“หึๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าก็รู้เพียงเล็กน้อย ในสมัยโบราณกาล อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายนั้นเป็นอัสนีเทวาพฤกษาที่เลื่องชื่อในแดนวิญญาณ เป็นหนึ่งในอัสนีแท้ทั้งห้าสาย ใช้สำหรับปัดเป่าปราณมารและสิ่งชั่วร้ายโดยเฉพาะ ในด้านอานุภาพก็ยังเหนือกว่าโลหิตอัสนีดาวเหนือของข้ายิ่งนัก ทว่าเทวะอัสนีนี้จำเป็นต้องใช้วิธีการพิเศษในการหลอมและควบคุม ไม่เช่นนั้นอานุภาพจะไม่สามารถสำแดงได้ถึงหนึ่งหรือสองในสิบส่วน ในสมัยโบราณที่แดนวิญญาณก็รู้จักการแบ่งพื้นที่แล้ว ซึ่งได้ถูกเผ่าใหญ่แต่ละเผ่าในสมัยโบราณร่วมมือกันปกครอง เนื่องจากอัสนีชนิดนี้เป็นภัยกับเผ่ามังกรปีศาจที่เป็นหนึ่งในนั้น พวกมันจึงรวบรวมไผ่อัสนีสวรรค์จากแต่ละเผ่าไปจนหมด และทำลายพวกมันจนหมดสิ้น ทำให้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายแทบจะถูกทำลายจนไม่เหลือร่องรอยในแดนวิญญาณแล้ว สำหรับวิธีการควบคุมอัสนีชนิดนี้ หายากมากที่จะมีคนรู้ อย่างน้อย ผู้แซ่เซวี่ยก็ยังไม่รู้เลย” เซวี่ยตู๋ยิ้มเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะอธิบายอย่างละเอียดขึ้นมาจริงๆ
“เผ่ามังกรปีศาจ?” หานลี่ตกตะลึงเล็กน้อย
ตอนที่เขาอยู่เผ่ามนุษย์ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินว่าแดนวิญญาณมีเผ่านี้ด้วย
“เหอะๆ สหายหานไม่เคยได้ยินชื่อของเผ่านี้ใช่หรือไม่ เรื่องนี้ไม่น่าแปลก เป็นเพราะในปีนั้นเผ่าใหญ่ในสมัยโบราณไม่กี่เผ่ารังแกเผ่าอื่นๆ ในแดนวิญญาณมากเกินไป ในที่สุดจึงถูกเผ่าส่วนใหญ่ร่วมมือกันกวาดล้างแล้ว ทว่าไม่เผ่าใหญ่เพียงไม่กี่เผ่านี้มีพลังแข็งแกร่งเกินไป ในปีนั้น ทุกเผ่าต่างก็ถูกฆ่าตายไปเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนด้วยเหตุนี้เช่นกัน เผ่าใหญ่ในแดนวิญญาณตอนนี้ ล้วนแข็งแกร่งขึ้นหลังจากสงครามใหญ่ครั้งนั้น ไม่เช่นนั้น จะยอมให้พวกเขาประกาศตัวเป็นใหญ่ในดินแดนวิญญาณได้อย่างไร ส่วนชื่อของพวกเผ่ามังกรปีศาจ ย่อมมีน้อยคนมากที่จะรู้” เซวี่ยตู่พูดถึงความลับในสมัยโบราณอย่างไม่หนักหนาอะไร
หานลี่ฟังแล้วค่อนข้างมึน
เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ทำไมในคัมภีร์โบราณของเผ่ามนุษย์กับเผ่าวิญญาณเหาะเหินถึงไม่มีการบันทึกเรื่องนี้ไว้ ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามเรื่องนี้ขึ้น
“เรื่องในสมัยโบราณที่ข้าเล่า เป็นเรื่องในสมัยโบราณก่อนที่ทุกเผ่าจะมีการบุกเบิกครั้งแรก ตอนนั้นเผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเจ้ายังไม่ปรากฏในดินแดนนี้ ย่อมไม่มีการจดบันทึกเรื่องราวพวกนี้เป็นธรรมดา” เซวี่ยตู๋หัวเราะหึๆ คราหนึ่ง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” หานลี่ได้ยินดังนี้จึงค่อยเข้าใจ
ตามบันทึกในคัมภีร์โบราณของเผ่ามนุษย์ เวลาที่เผ่ามนุษย์ปรากฏในแดนวิญญาณน่าจะอยู่หลังจากเผ่าวิญญาณเหาะเหิน การที่จะไม่ได้บันทึกเรื่องราวพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ขณะที่หานลี่กับเซวี่ยตู๋กำลังพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ ที่ด้านนอกประตูวิหารก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เป็นมู่ชิงที่เดินเข้ามาจากนอกวิหาร
เซวี่ยตู๋กับหานลี่ต่างก็หยุดการสนทนา เข้ามาคารวะราชาปีศาจตนนี้
มู่ชิงผงกศีรษะคราหนึ่ง พลันขยับร่างพลิ้วไหวกลับมานั่งบนดอกไม้มหึมาสีทองอีกครั้ง ก่อนที่จะเอามือเท้าคางไม่พูดไม่จา
ดูเหมือนหญิงพูดนี้จะมีเรื่องบางอย่างที่ยากจะตัดสินใจ ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่มีคำพูดหรือการกำชับใดๆ
หานลี่ตกตะลึงเล็กน้อย เหลือบมองเซวี่ยตู๋ที่อยู่ข้างๆ ทีหนึ่งด้วยจิตใต้สำนึก
มังกรโลหิตตนนี้สีหน้ากลับสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนจะไม่รู้สึกผิดคาดใดๆ กับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
“สหายหาน เจ้าฟังให้ดีนะ ข้าไม่สนว่าเจ้าจะคิดอย่างไร แต่ภายในสองปีนี้จะต้องเชี่ยวชาญวิธีการควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเพื่อข้า หากเป็นเช่นนี้ สองปีที่อยู่กับแม่เฒ่าภูต ข้าย่อมสามารถช่วยเจ้าปฏิเสธได้ เข้าใจความหมายของข้าแล้วหรือยัง?” ภายในแสงสีดำมีเสียงของมู่ชิงดังออกมา
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี ได้แต่ยิ้มเจื่อนแล้วตอบกลับ “อาวุโสมู่มีคำสั่ง ชนรุ่นหลังจะพยายามเต็มที่”
“หึ ทางที่ดีเจ้าควรพยายามเต็มที่อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นข้าไม่มีทางให้เจ้าวิ่งไปหาแม่เฒ่าภูตเปล่าๆ หรอก” มู่ชิงแค่นเสียงคราหนึ่ง น้ำเสียงพลันเย็นยะเยือกขึ้นมา
หานลี่รู้สึกหนักใจ ได้แต่เงียบไม่ส่งเสียง
“สามวันหลังจากนี้ ข้าจะย้ายเจ้าไปอยู่ในถ้ำแก่นพฤกษา สองปีนี้ข้าจะเป็นคนชี้แนะหลักแห่งการควบคุมอัสนีให้เจ้าเอง เซวี่ยตู๋ เรื่องอาหารโลหิตในสองปีนี้มอบให้เจ้าจัดการทั้งหมดแล้ว” มู่ชิงหันหน้าแล้วกล่าวกำชับกับมังกรโลหิตด้วยน้ำเสียงอย่างไม่เป็นที่สงสัยใดๆ
“ขอรับ นายท่าน!” คราวนี้เซวี่ยตู๋รู้สึกเกินคาดจริงๆ แต่ก็รีบขานรับในทันที
หานลี่เองก็ตกตะลึงเช่นกัน
“พอแล้ว ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าไปเถอะ” หลังจากกำชับเสร็จ มู่ชิงก็โบกมือ
หานลี่กับมังกรโลหิตจำต้องทำความเคารพแล้วเดินออกไป
“จุ๊ๆ น้องหานโชคดีไม่เบานะเนี่ย คิดไม่ถึงว่าจะทำให้นายท่านชี้แนะการฝึกฝนของเจ้าด้วยตัวเองได้ นี่ถือเป็นเรื่องดีที่ยากจะได้มาในรอบพันปีเชียวนะ!” พอออกจากวิหารใหญ่ เซวี่ยตู๋ก็พูดโพล่งกับหานลี่ขึ้นมา ดวงตามีสีของความประหลาดใจสายหนึ่งพาดผ่าน
“เป็นเช่นนั้นรึ ข้าน้อยยังไม่รู้เลยว่าในสองปีจะสามารถฝึกฝนหลักแห่งการควบคุมอัสนีสำเร็จจริงๆ หรือไม่” หานลี่กลับส่ายหน้าถี่ๆ ด้วยท่าทางค่อนข้างกลุ้มใจ
“ฮ่าๆ ในเมื่อนายท่านพูดเช่นนี้ จะต้องมั่นใจแน่นอน น้องหานไม่ต้องคิดมาก ผู้แซ่เซวี่ยยังมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ คงต้องขอตัวลาก่อน” เซวี่ยตู๋กลับหัวเราะฮ่าๆ คราหนึ่ง พลันเปล่งแสงโลหิตบนร่าง กลายเป็นลำแสงโลหิตสายหนึ่งพุ่งไปไกลในชั่วพริบตา
หานลี่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม สองตาหรี่มองลำแสงโลหิตที่หายไปในอากาศครู่หนึ่ง จึงค่อยหมุนกายเดินไปยังที่พักของตัวเองอย่างช้าๆ
ไม่นานนัก หานลี่ก็มาอยู่ในหอที่ตนพักอยู่
เขาเปิดอาคมต้องห้างออก เพื่ออำพรางไม่ให้คนอื่นๆ แอบมอง ก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิบนเตียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเปล่งประกายไม่หยุด
ผ่านไปพักใหญ่ จู่ๆ เขาก็ชูมือข้างหนึ่งขึ้น พลันกางนิ้วทั้งห้าออก เผยให้เห็นฝ่ามือ
ในฝ่ามือปรากฏอักขระสีดำตัวหนึ่งขนาดเท่าเมล็ดข้าวอย่างน่าประหลาด เมื่อเพ่งมองดู ก็เห็นเป็นตัวอักษร “เหยา” หนึ่งตัว
เมื่อเห็นตัวอักษรนี้ ใบหน้าของหานลี่ก็ปรากฏท่าทางประหลาด
หากบอกว่าก่อนหน้านี้ยังกึ่งเชื่อกึ่งสงสัยในสถานะของหยวนเหยา มาตอนนี้เชื่อทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
อักขระตัวนี้ ปรากฏอยู่ในมือของเขาตอนที่หยวนเหยาเดินผ่านข้างลำตัวเขาไป
ตลอดการกระทำไม่มีคลื่นวิญญาณแผ่ออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว แม้กระทั่งตัวตนที่น่ากลัวอย่างพวกมู่ชิงและหญิงงามก็ไม่สังเกตแม้แต่น้อย
ด้วยระดับเทพแปลงกระจ้อยร่อยคนหนึ่ง สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ เป็นที่ค่อนข้างตกตะลึงจริงๆ
ไม่แปลกใจที่หานลี่จะมีสีหน้าผิดปกติเช่นนี้
เขายื่นนิ้วหนึ่งแตะเบาๆ ไปที่ตัวอักษร “หยวน” ในฝ่ามือ
หลังจากที่ปลายนิ้วเปล่งแสงสีเขียวดวงหนึ่ง ก็ลบตัวอักษรนี้หายไป
หานลี่หดสองมือกลับเข้าไปในแขนเสื้อ พลางครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าไม่สงบ
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็แบบมือข้างหนึ่งอีกครั้งอย่างฉับพลัน
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเบาๆ หนหนึ่ง บอลอัสนีสีทองลูกหนึ่งปรากฏออกมาจากฝ่ามืออย่างไร้สาเหตุ ขนาดเท่ากำปั้น เนื้อที่ของมันหดขยายไม่แน่นอน บนพื้นผิวมีเส้นสายฟ้าสีทองแวววาว เปล่งประกายไม่หยุด
หานลี่มองดูบอลอัสนีลูกนี้ด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ พลางหรี่ตาลง
ตอนที่ 1466-1 ถ้ำแก่นพฤกษา
ไผ่อัสนีทองที่เขาเร่งโตโดยไม่ได้ตั้งใจในและหลอมเป็นกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาทั้งเจ็ดสิบสองเล่มในปีนั้น สามารถยืมพลังของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายที่อยู่ในกระบี่พิชิตศัตรูได้ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า อัสนีชนิดนี้จะมีที่มาใหญ่โตเช่นนี้ ทั้งยังมีวิธีการควบคุมที่พิเศษอีกด้วย
หากเป็นอย่างที่ปีศาจในเหวพสุธาเหล่านี้กล่าวจริง อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายคือหนึ่งในอัสนีแท้ทั้งห้าวิถีในแดนวิญญาณที่เรียกว่า “อัสนีเทวาพฤกษา” อะไรนั่น หากอานุภาพสามารถเพิ่มขึ้นได้ถึงสิบเท่าขึ้นไป เช่นนั้นความยิ่งใหญ่ของอานุภาพก็ยากที่จะเชื่อได้แล้วจริงๆ สามารถเป็นหนึ่งในไม้ตายของเขาได้เลยทีเดียว
แต่ถึงแม้เรื่องอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายจะเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แต่เขาต้องไปยังแม่น้ำอเวจีอะไรสักอย่าง อีกทั้งราชาปีศาจเหล่านี้ได้หลอมทหารภูตและหุ่นเชิดอย่างไม่หวาดหวั่นเช่นนี้ ความเสี่ยงที่ใหญ่โตน่าจะพอคาดคิดได้ หากหานลี่ไม่ระวังนิดเดียว เป็นไปได้มากว่าอาจจะร่วงตายอยู่ในนั้น
โชคดีที่ฟังจากการพูดของอีกฝ่าย อย่างน้อยก็ยังเตรียมตัวเป็นเวลาหกเจ็ดปี เขายังสามารถพิจารณาอย่างละเอียด ดูว่าจะมีวิธีอะไรที่สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ได้
การที่ได้พบหยวนเหยาในที่แห่งนี้อีกครั้ง ไม่สามารถเรียกว่าเป็นวาสนาได้แม้แต่น้อย
ในปีนั้นหยวนเหยาทำลายตานทองของตัวเองอย่างไม่เสียดายเพื่อให้เหยียนลี่หวนคืนวิญญาณ ย่อมเป็นเรื่องที่คุ้มค่าแก่การเคารพเลื่อมใส อีกฝ่ายยังมีน้ำใจไมตรีหนักแน่นเช่นนี้หรือไม่ เรื่องนี้ก็ยังไม่แน่นอน
ถึงอย่างไรใจคนก็เปลี่ยนง่ายที่สุด
แต่ดูจากเจตนาของหยวนเหยา จึงรู้ได้ว่านางไม่ยินดีที่จะเปิดเผยเรื่องที่รู้จักกับตน
เรื่องนี้ทำให้หานลี่แอบรู้สึกโล่งอก
แม้ว่าเรื่องที่สวมรอยเป็นเผ่าวิญญาณเหาะเหินจะไม่นับว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องปิดบัง แต่หานลี่ก็ยังไม่อยากให้ประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของตัวเองถูกราชาปีศาจในเหวพสุธาพวกนี้รู้
หานลี่ครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ
พูดถึงหยวนเหยา ในหัวเขาก็เริ่มคิดทบทวนถึงสถานการณ์ที่พบเจอนางหลายครั้งในตอนแรกอย่างละเอียด
พอนึกถึงสถานการณ์ที่เห็นหญิงผู้นี้อาบน้ำในน้ำพุวิญญาณภายในห้องลับของพระราชวังนภาสูญ เรือนร่างอันสมบูรณ์ไร้ตำหนิของหญิงผู้นี้ก็แล่นเข้ามาในหัวสมองอย่างห้ามไม่อยู่ ทำให้ในใจหานลี่เกิดอาการหวั่นไหว
แต่ทันใดนั้นร่างของหนานกงหว่านก็ปรากฏขึ้นในก้นบึ้งของจิตใจ ฉับพลันก็ชัดเจนขึ้นอย่างผิดปกติ ภาพก็เต็มอยู่ในหัวของหานลี่
ผ่านไปหลายปีเช่นนี้ หากทุกอย่างราบรื่น นางก็น่าจะเข้าสู่ระดับเทพแปลงที่แดนมนุษย์แล้วกระมัง
ไม่รู้ว่าเมื่อใด เขาถึงจะได้พบกับภรรยาสุดที่รักในแดนวิญญาณอีกครั้ง
ใบหน้าและน้ำเสียงของหนานกงหว่านยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของหานลี่ไม่หยุด ฉากที่อยู่เคียงคู่กัน เหาะเหินคู่กับภรรยาที่รักในนภาทักษิณ ยิ่งปรากฏขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
ใบหน้าของหานลี่ปรากฏรอยยิ้มออกมา ตัวเขาได้จมอยู่ในห้วงความทรงจำอันแสนอบอุ่น
ผ่านไปพักใหญ่ หลังจากที่เสียงและใบหน้าของหนานกงหว่านค่อยๆ หายไป ใบหน้างดงามไร้ที่ติอีกหน้าหนึ่งก็ปรากฏภายในจิตใจของหานลี่ ทำให้เขาหวนนึกถึงความทรงจำในอดีตเช่นกัน…
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด หลังจากที่ถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง ในที่สุดหานลี่ก็ได้สติกลับมา ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจื่อน
คิดไม่ถึงว่าจะถูกเรื่องในอดีตของหยวนเหยากระตุ้นแล้ว ถึงกับทำให้จิตสัมผัสของเขาเสียการป้องกันเป็นเวลานานเช่นนี้ โชคดีที่บริเวณใกล้ๆ นี้ไม่มีผู้ไม่หวังดีคอยจับตาอยู่ ไม่เช่นนั้นคงอันตรายแล้ว
ทว่าในเมื่อเขายังไม่สามารถออกจากเหวพสุธาได้ในขณะหนึ่ง จะต้องมีโอกาสได้พบกับหยวนเหยาอีกครั้งแน่ แต่เรื่องที่จะติดต่อกับนางอีกครั้ง ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
หานลี่ครุ่นคิดในใจอย่างช้าๆ ใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าครุ่นคิดขึ้นมาอีกครั้ง…
สามวันต่อมา หานลี่ยืนอยู่เบื้องหน้าภูเขาขนาดเล็กลูกหนึ่ง กำลังมองดูผนังภูเขาประหลาดสีเขียวมรกตที่ดูแล้วแม้แต่ก้อนหินก็แทบจะใสแจ๋ว ภายในดวงตาพลันมีสีของความประหลาดใจพาดผ่าน
“ที่นี่ก็คือถ้ำแก่นพฤกษาที่ข้าใช้เก็บตัวฝึกฝน ความเข้มข้นของปราณวิญญาณพฤกษาในที่แห่งนี้แม้ว่าทั่วทั้งแดนวิญญาณจะพบไม่มาก แต่สำหรับผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุไม้ เมื่อฝึกฝนในถ้ำแห่งนี้ สามารถเพิ่มผลการฝึกฝนได้หลายเท่า” มู่ชิงที่อยู่ข้างๆ กล่าวด้วยท่าทางทระนงตัว
สามวันให้หลังที่หานลี่มาพบมู่ชิงตามที่กำชับ หญิงผู้นี้ได้พาเขาอ้อมเขาใหญ่หลายลูก และหลังจากเข้ามาในหมอกหนาทึบที่เต็มไปด้วยอาคมต้องห้าม ในที่สุดก็หยุดอยู่ที่สถานที่ประหลาดแห่งนี้
ที่นี่ห่างไกลจากที่พักก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าหญิงผู้นี้จะตั้งสถานที่ฝึกฝนไว้ที่นี่ เกิดความคาดหมายของคนทั่วไปเป็นอย่างมาก
ทว่าผนังหินสีเขียวเบื้องหน้าที่เรียบราวกับกระจกนี้ เป็นถ้ำได้ที่ไหนกัน
หานลี่ใช้จิตสัมผัสกวาดมองอยู่หลายรอบ ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร ใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
มู่ชิงก้าวเข้ามาข้างหน้าผนังภูเขาสองสามก้าว พลันสะบัดมือข้างหนึ่งใส่เบาๆ
หลังจากที่บนผนังหินมีม่านแสงสีเขียวปรากฏขึ้น ก็แตกออกเป็นโพรงกว้างอย่างไร้สุ้มเสียง เผยให้เห็นถึงเส้นทางสีเขียวมรกตทอดตรงเข้าไปในนั้น
ที่ปากทางเข้าเส้นทางถูกม่านแสงสีเขียวสลัวๆ ปิดผนึงอยู่ชั้นหนึ่ง ขณะเดียวกันรอบด้านของทางเข้า ก็มีอักขระแปลกประหลาดจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นเลือนรางบนผนังหินบริเวณใกล้เคียง แลดูลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
หานลี่เต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด
เบื้องหลังผนังหินมีเส้นทางเช่นนี้อยู่ ด้วยจิตสัมผัสอันแข็งแกร่งของเขาจะมองไม่ออกได้อย่างไร
เป็นอย่างที่คาดไว้ ดูเหมือนราชาปีศาจในเหวพสุธาเหล่านี้จะมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าอัศจรรย์บางอย่างอยู่ ต้องระวังมากขึ้นแล้วจริงๆ
หานลี่รู้สึกใจหายวาบ!
ร่างของมู่ชิงพลิ้วไหว รุดหน้าเข้าไปในเส้นทาง ม่านแสงสีเขียวก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับนางแม้แต่น้อย
หานลี่ลังเลครู่หนึ่ง ย่อมต้องตามนางไปอยู่แล้ว
ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มู่ชิงใช้วิธีอะไร ม่านแสงจึงไม่ขัดขวางเขาแม้แต่น้อยเช่นกัน
หลังจากที่ทั้งสองคนเข้ามาในม่านแสงได้ไม่นาน กำแพงหินตลอดทั้งแถวเปล่งแสงเรืองรอง ทางเข้าเส้นทางก็หายไป
ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากผ่านไปไม่ใน แสงบนกำแพงหินสีมรกตทั้งแถวก็มือลงจนดูธรรมดาไม่แปลกตาขึ้นมา
อีกด้านหนึ่ง หานลี่เดินตามมู่ชิงในเส้นทางอยู่พักหนึ่งจึงค่อยเห็นแสงสว่างที่เบื้องหน้า และมาปรากฏภายในห้องโถงห้องหนึ่งที่ไม่ใหญ่นัก
ภายในโถงว่างเปล่าไร้ผู้คน นอกจากระเบียงเชื่อมต่อไปยังประตูสถานที่อื่นอีกเจ็ดแปดทางแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก
แต่หานลี่ที่อยู่ในที่แห่งนี้ สามารถสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณเข้มข้นที่แผ่ออกมาจากใต้ดินและผนังสี่ด้าน ในใจก็รู้สึกทั้งดีใจและกลุ้มใจ
ที่ดีใจก็คือ ปราณวิญญาณพฤกษาในสถานที่นี้เข้มข้นเช่นนี้ ภายในสองปีสามารถเชี่ยวชาญวิธีควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้นั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ส่วนที่กลุ้มใจคือ มู่ชิงผู้นี้แม้แต่สถานที่วิญญาณเช่นนี้ก็ยอมสละให้ตนใช้ แสดงว่านางจำเป็นต้องใช้เขาจริงๆ ภายภาคหน้าคิดจะหลุดพ้นจากการควบคุมของราชาปีศาจตนนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างแน่นอน
“ตามข้ามา ข้าจะจัดการที่พักให้เจ้า ภายในเวลาสองปีหลังจากนี้ เจ้าจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้ ห้ามออกจากถ้ำแก่นพฤกษาแม้แต่ก้าวเดียว รอบๆ นี้ข้าได้วางอาคมต้องห้ามที่ร้ายกาจไว้ชนิดหนึ่ง หากข้าไม่เปิดมันด้วยตัวเอง เจ้าก็ออกจากที่นี่ไม่ได้” มู่ชิงกล่าวอย่างเรียบๆ ภายในน้ำเสียงเผยถึงความมั่นใจในตัวเอง
หานลี่มุมปากกระตุกคราหนึ่ง ไม่กล่าวอะไร เพียงแต่เดินตามหญิงผู้นี้เข้าไปอีกเส้นทางหนึ่งอย่างเงียบๆ
พอผ่านสวนดอกไม้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้าแปลกประหลาด หานลี่ก็ถูกพามาอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่สีเหลืองอ่อนที่ไม่รู้ว่าหลอมมาจากโลหะชนิดใดบานหนึ่ง
มู่ชิงพลันหยุดฝีเท้า
“ที่นี่ก็คือห้องลับที่ข้าใช้ฝึกฝันเป็นประจำ ให้เจ้ายืมพักอาศัยและฝึกฝนเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ทุกเจ็ดวัน ข้าจะชี้แนะหลักแห่งการควบคุมอัสนีของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายให้เจ้าครั้งหนึ่ง ตอนกลางวันในเจ็ดวันให้หลัง เจ้ามาหาข้าที่โถงก็ได้แล้ว เอาล่ะ เจ้าเข้าไปเองเถอะ ข้าจะไปที่ห้องลับอีกแห่งหนึ่ง ที่นี่นอกจากอาคมต้องห้ามที่ข้าปูไว้ไม่กี่แห่งแล้ว สถานที่ที่เหลือเจ้าสามารถเข้าออกได้” มู่ชิงแสดงท่าทีใจกว้างอย่างผิดปกติ
“ขอบคุณพระคุณสำหรับความเมตตาของอาวุโสเป็นอย่างยิ่ง” หานลี่รีบกล่าวคำขอบคุณ
ทว่าหลังจากมู่ชิงพูดจบ นางแค่มองหานลี่อย่างเรียบเฉยคราหนึ่ง แล้วหมุนกายจากไป
เมื่อเห็นว่าหญิงผู้นี้เดินเลี้ยงบนเส้นทางเล็กๆ ร่างของนางก็หายไป หานลี่จึงค่อยถอนหายใจเบาๆ พลันผลักประตูโลหะสีทองบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าแล้วเข้าไปในห้องลับ
…
เวลาเปรียบดังกระสวยที่วิ่งพาดผ่าน ภายในชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว
ในวันนี้ ท่ามกลางหมอกหนาทึบ จู่ๆ บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาขนาดเล็กที่ดูธรรมดาก็มีปรากฏการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน!
เมฆดำจำนวนนับไม่ถ้วนได้มารวมตัวที่ชั้นบรรยาต่ำ ตามด้วยประกายอัสนีสีเขียวเปล่งแสงวูบวาบ ส่งเสียงฟ้าร้องดังแผ่วๆ ออกมาจากเมฆเป็นระลอกๆ ราวกับภายในเมฆดำกำลังกำเนิดอสูรดุร้ายที่น่ากลัวตนหนึ่ง
ทันใดนั้นบนพื้นผิวของยอดเขาขนาดเล็ก มีเขตอาคมสีดำกว้างสิบจั้งเศษปรากฏขึ้น พื้นผิวเปล่งแสงสีดำวาบหนึ่ง ฉับพลันก็มีคนสองคนปรากฏตัวออกมาจากในนั้น
คนหนึ่งมีม่านแสงสีดำปกคลุม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ส่วนอีกคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีเขียว ใบหน้าอ่อนเยาว์
คือหานลี่กับมู่ชิงนั่นเอง!
พริบตาที่สองคนนี้ปรากฏตัว ในอากาศก็ส่งเสียงฟ้าร้องดังลั่น เมฆดำพลิกตัวอย่างรุนแรง ประกายอัสนีสีเขียวที่ปรากฏภายในเมฆเปลี่ยนเป็นหนาแน่น อานุภาพน่าสะพรึงอย่างผิดปกติ
มู่ชิงเงยหน้ามองไปยังชั้นบรรยากาศต่ำ พลางพูดด้วยท่าทางสงบนิ่งผิดปกติ “คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเช่นนี้ ทัณฑ์สวรรค์ของเจ้าจะมาถึงในเวลานี้ แต่เจ้ามีอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายอยู่กับตัว อีกทั้งเข้าใจหลักแห่งการควบคุมอัสนีขั้นแรกแล้ว คิดว่าทัณฑ์อัสนีระดับนี้น่าจะสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย กลับยังสามารถฉวยโอกาสพิสูจน์การฝึกฝนเพิ่มได้อีก มีประโยชน์มากสำหรับอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายที่แท้จริงของเจ้า เจ้าดูแลตัวเองดีๆ ก็แล้วกัน” มู่ชิงพูดคำนี้จบ เขตอาคมที่ใต้เท้าก็เปล่งแสงวาบ ร่างของนางก็หายไปอย่างฉับพลัน
ในชั่วพริบตา บนยอดเขาก็เหลือเพียงหานลี่คนเดียว
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ได้แต่หัวเราะขื่นๆ คราหนึ่ง
ทัณฑ์สวรรค์เล็กครั้งที่สองของตนมาเยือนที่แดนวิญญาณ คิดไม่ถึงว่าจะมาเวลานี้ ทำให้เขารู้สึกเกินคาดเป็นอย่างมาก
โชคดีที่เขากินยาสลายธุลีมาโดยตลอด อีกทั้งยังกินจนหมดเกลี้ยงแล้ว ทัณฑ์สวรรค์ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ทัณฑ์อัสนีสองสีที่น่ากลัวสุดๆ แต่เป็นอัสนีสวรรค์สีเขียวทั่วไปเท่านั้น
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ หานลี่ก็ยังไม่กล้าผ่อนคล้ายแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรนี่ก็คือทัณฑ์อัสนีครั้งที่สองของเขา จึงไม่กล้าประมาทเกินไป
หานลี่อ้าปากออก ทันใดนั้นเตาจิ๋วสีเขียวใบหนึ่งก็ถูกพ่นออกมาด้านนอก ขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งก็ลูบไปที่หลังศีรษะคราหนึ่ง ม่านแสงสีเทาสลัวๆ ก็ม้วนออกมา กลายเป็นม่านแสงปกป้องรอบก้ายหนึ่งชั้น
จากนั้นเขาจึงค่อยส่งเสียงร้องเบาๆ คราหนึ่ง สองมือพลันกำหมัด ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ประกายอัสนีสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็ดีดออกจากร่าง แล้วพวยพุ่งไปในอากาศ
ครู่ต่อมา ตาข่ายสายฟ้าสีทองผืนหนึ่งก็ปรากฏที่ชั้นนอก บนพื้นผิวเปล่งประกายสายฟ้าระยิบระยับ ส่งเสียงฟ้าแลบไม่หยุด
ในเวลาเดียวกัน ประกายอัสนีสีเขียวในอากาศมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และสว่างขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ส่งเสียงดังเกริกก้องไปทั่วพื้นปฐพี ประกายแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนโหมจู่โจมลงมาจากกลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง เป้าหมายคือหานลี่ที่อยู่บนยอดเขาเล็ก
ประกายอัสนีหนาเท่านิ้วหัวแม่โป้ง คล้ายกับงูเล็กสีเขียวที่กระโจนลงมาทีละตัวๆ ราวกับห่าฝน พุ่งเข้าใส่ตาข่ายสายฟ้าสีทองที่อยู่ชั้นนอกสุด
ดวงตาของหานลี่เปล่งแสงประหลาดวาบหนึ่ง พลันตั้งท่าร่ายคาถามือเดียว ตาข่ายสายฟ้าสีทองก็แผดเสียงฟ้าร้อง ก่อนที่บนตาข่ายจะมีอักขระสีทองปรากฏออกมาอย่างเลือนราง ครั้นหมุนโคจรรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นม่านแสงสีทองราวกับระลอกคลื่นเป็นผืนๆ อย่างฉับพลัน
ฉากที่น่าประหลาดพลันปรากฏขึ้น!
เมื่อกายอัสนีสีเขียวกับม่านแสงเหล่านี้แตะถูกกัน มีเพียงแสงอัสนีสว่างวาบ แล้วหายไปข้างในทั้งหมดอย่างไร้ร่องรอย
ตลอดขั้นตอนไร้สุ้มเสียง ราวกับถูกม่านแสงสีทองกลืนหายไป
ชั่วพริบตา ประกายอัสนีสีเขียวนับร้อยนับพันก็ถูกม่านแสงสีทองดูดกลืนเข้าไปภายในกว่าครึ่ง มีส่วนน้อยที่ถูกตาข่ายสายฟ้าสีทองดีดออก ส่งเสียงระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่น
ทัณฑ์อัสนีระลอกที่หนึ่งพลันตกลงมา หานลี่ไม่กะพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว สามารถรับเอาไว้อย่างง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น