พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1463-1464
บทที่ 1463 กลยุทธ์ดูไฟชายฝั่ง
Ink Stone_Fantasy
หลังจากสองสามีภรรยากำหนดทิศทางใหญ่ๆ แล้ว เดิมทีเหมียวอี้ก็ยังอยากปลอบใจอวิ๋นจือชิวสักหน่อย เชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าเยว่เหยาทำเกินไปเช่นกัน พวกนางแอบมาฟ้องเรื่องที่เยว่เหยาดูหมิ่นอวิ๋นจือชิวแล้ว เขาจึงรู้เรื่องนี้แล้ว
แต่คิดไปคิดมาก็ไม่พูดดีกว่า การปลอบใจง่ายๆ จะทำให้การดูหมิ่นแบบนั้นผ่านไปได้อย่างไร ถ้าไม่สั่งสอนเยว่เหยาสักหน่อยคงไม่ได้แล้ว คำพูดแบบนี้ขนาดเขาฟังแล้วยังโมโหเลย เขาเตรียมจะกลับไปอธิบายกับอวิ๋นจือชิวอีกที
ตลาดผี ในตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านเอามือไขว้หลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง กำลังขมวดคิ้วมองดูแสงโคมไฟของตลาดผีที่อยู่ไกลๆ พลางถามเสียงต่ำว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าฐานปฏิบัติการสองแห่งของแต่ละลัทธิที่เสียหายไปเป็นกำลังเกือบหนึ่งในห้าส่วน?”
ชายชราชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างหลังตอบอย่างเคารพว่า “ยืนยันไม่ได้ขอรับ แต่ถ้าดูจากข้อมูลกำลังของหกลัทธิด้านนอกที่พวกเรามี ลองคำนวณดูแล้วก็เสียหายไปเกือบเท่านั้นจริงๆ”
เฉาหม่านหรี่ตาถาม “เฒ่าชี เจ้ารู้สึกว่าใครอาจจะทำ?”
ชายชราชุดเขียวตอบว่า “การเคลื่อนไหวของผู้ลอบโจมตีนั้นปราดเปรียวเรียบร้อย ไม่ได้ทิ้งเบาะแสอะไรไว้เลย ตัดสินได้ยากว่าเป็นใครทำ แต่ผู้ที่มีกำลังแบบนี้ในใต้หล้ามีไม่เยอะ ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีมีความเป็นไปได้มากที่สุด”
เฉาหม่านส่ายหน้าช้าๆ “เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะจะทำแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเลือกตำแหน่งจากข้อมูลภาพรวมทั้งหมดที่มีแล้วค่อยโจมตี ถ้าเป็นประมุขชิงกับประมุขพุทธะทำจริงๆ จะต้องกวาดล้างทั้งหมดในครั้งเดียวแน่นอน จะตัดกำลังสนับสนุนข้างนอกของหกลัทธิจนถึงที่สุด ทำให้ผู้เหลือรอดที่โดนขังเกิดความขัดแย้งวุ่นวายภายใน มีหรือที่จะปล่อยไป กำลังหลักจองหกลัทธิล้วนอยู่ในแดนอเวจี จะใช้แผนล่องูออกจากถ้ำเชียวหรือ?”
“หกลัทธิมีเพียงห้าลัทธิที่โดนจู่โจม เป็นลัทธิอู๋เลี่ยงทำรึเปล่า?” ชายชราชุดเขียวไม่แน่ใจ
เฉาหม่านแสยะยิ้ม “กำลังอำนาจของลัทธิอู๋เลี่ยงที่อยู่ข้างนอกมีศักยภาพขนาดนี้เชียวเหรอ? หนึ่งต่อหนึ่งยังพอไหว แต่หนึ่งต่อสิบนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือยังมีอำนาจฝ่ายอื่นที่พวกเราไม่รู้จักที่สามารถสืบหากำพืดของกำลังอำนาจด้านนอกของหกลัทธิได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน นี่ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด เป็นใครทำกันแน่?”
เขาหันตัวมา แล้วจ้องชายชราชุดเขียวพร้อมบอกว่า “การจู่โจมครั้งนี้เหมือนเป็นการตักเตือนแบบหนึ่ง ไปสืบมา สืบว่าช่วงนี้หกลัทธิไปล่วงเกินใครไว้หรือเปล่า?”
“เถ้าแก่ สืบมาแล้วขอรับ แต่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสใดๆ” ชายชราชุดเขียวตอบ
“ไม่มีพยานรู้เห็นในที่เกิดเหตุสักคนเลยเหรอ? พวกพวกเทพแห่งภูเขา เทพเจ้าเฝ้าประตูกับเทพแห่งผืนดินของที่นั่นล่ะ?” เฉาหม่านถาม
ชายชราชุดเขียวกล่าวอย่างจนใจว่า “เถ้าแก่ เดิมทีฐานปฏิบัติการลับของหกลัทธิก็มีเจตจาไม่ซื่ออยู่แล้ว ที่ตั้งล้วนจงใจหลีกเลี่ยงสายตาคน ต่อให้มีที่แบบนี้อยู่ แต่ผู้โจมตีก็ตั้งใจจะปกปิดตอนที่ลงมือ ส่วนมนุษย์ธรรมดาก็เห็นแค่ตอนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน มองไม่ชัดเลยว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร คนของพวกเราไปตรวจสอบมาแล้ว ไม่มีเบาะแสใดๆ เลย ผู้โจมตีเตรียมตัวอย่างละเอียดรอบคอบ สิ่งไหนควรพิจารณาก็พิจารณาหมด”
เฉาหม่านกล่าวว่า “แบบนั้นก็ยิ่งพิสูจน์แล้วว่าข้อมูลที่อีกฝ่ายมีนั้นละเอียดไม่ธรรมดา เรื่องนี้ต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด มีเบาะแสเล็กน้อยก็ห้ามปล่อยพลาดไปแม้แต่นิดเดียว ยังมีอีกอย่าง ข้าไม่เชื่อหรอกว่านอกจากตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีแล้ว ยังจะมีอำนาจอะไรอีกที่มีพลังขนาดนี้ ถ้าหากมี ก็จะต้องเป็นอำนาจของหลายฝ่ายร่วมมือกันแน่นอน ฝ่ายเดียวทำไม่ไหว! ข้าไม่สนว่าเขาจะปิดบังไว้ลึกแค่ไหน เจ้าต้องเค้นออกมาให้ได้ ออกคำสั่งลงไป ให้ตรวจสอบทุกอำนาจและทุกสำนักที่เกี่ยวข้องกับกำลังพวกนี้ให้ละเอียด อย่าปล่อยผ่านแม้แต่ฝ่ายเดียว ถ้ามีความผิดปกติอะไรก็ต้องถลึงตามองไว้ให้ข้า!”
“ขอรับ!” ชายชราชุดเขียวเอ่ยรับ แล้วก็หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาอีก “เถ้าแก่ นี่คือข้อมูลของหนิวโหย่วเต๋อที่ท่านสั่งให้สิบไว้คราวก่อน”
“อ้อ!” เฉาหม่านรับมาไว้ในมืออย่างรู้สึกสนใจ อ่านไปด้วยถามไปด้วยว่า “มีจุดไหนที่เน้นเป็นพิเศษมั้ย?”
ชายชราชุดเขียวตอบกลั้วหัวเราะว่า “ประวัติภูมิหลังของเขาไม่ชัดเจน แต่ก็สืบเจอบางอย่างที่ไม่ปกติแล้วนิดหน่อย ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อยังเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เคยมีข่าวลือเรื่องชู้สาวกับเถ้าแก่เนี้ย ‘ร้านโฉมเมฆา’ เถ้าแก่เนี้ยคนนี้ชื่ออวิ๋นจือชิว ว่ากันว่าเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว หลังจากสืบเรื่องตระกูลสามีของนาง ก็พบว่าคนในตระกูลสามีและตระกูลตัวเองประสบหายนะตั้งนานแล้ว เดิมทีเบาะแสนี้ถูกตัดขาด ทว่าสิ่งที่น่าสนใจก็คือ อวิ๋นจือชิวคนนี้ไปโผล่ที่ตลาดสวรรค์อีกแห่ง ร้านค้าที่นางดูแลเป็นกิจการลับของลัทธิมาร”
“เป็นของลัทธิมารเหรอ?” เฉาหม่านพลันเงยหน้า
“ขอรับ!” ชายชราชุดเขียวพยักหน้า “นี่เป็นเพียงหนึ่งในนั้นนะขอรับ หลังจากตรวจสอบเจอความผิดปกติของผู้หญิงคนนี้แล้ว ก็สืบสาวคนที่ไปมาหาสู่กับผู้หญิงคนนี้ทันที พบว่าผู้หญิงหลายคนที่ไปมาหาสู่กับนางตอนที่ยังอยู่ดาวเทียนหยวน แท้จริงแล้วเป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้านค้าที่ตลาดสวรรค์เหมือนกัน ผลปรากฏว่าตอนนี้พวกนางย้ายไปดำเนินกิจการที่ตลาดสวรรค์แห่งอื่นหมดแล้ว แล้วร้านค้าที่เปลี่ยนไปทำก็ล้วนเป็นกิจการของหกลัทธิ นอกจากนี้ยังมีลูกน้องจำนวนไม่น้อยของหนิวโหย่วเต๋อที่สืบหาที่มาให้ชัดเจนไม่ได้”
“หรือพูดได้อีกอย่างว่า หนิวโหย่วเต๋อคนนี้เกี่ยวข้องกับหกลัทธิจริงๆ?” เฉาหม่านถาม
ชายชราชุดเขียวตอบว่า “เป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะเกี่ยวข้องกัน แต่ที่แปลกก็คือ ร้านค้าที่ผู้หญิงพวกนั้นดำเนินกิจการมีทั้งลัทธิมาร ลัทธิพุทธ ลัทธิผี ลัทธิมาร ลัทธิเซียน ลัทธิเดียวที่ไม่มีก็คือลัทธิอู๋เลี่ยง จากหกขาดไปหนึ่ง และครั้งก่อนที่ตลาดผีก็เป็นลัทธิอู๋เลี่ยงที่ส่งคนอ่อนด้อยฝีมือไปลอบสังหารเขา ส่วนครั้งนี้หกลัทธิโดนโจมตี แต่กลับขาดลัทธิอู๋เลี่ยงไป ไม่ทราบว่าในนั้นจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า?”
เฉาหม่านเงียบไปนานมาก สุดท้ายก็ส่ายหน้าช้าๆ เหมือนคิดไม่ตกว่าในนั้นมีเงื่อนงำอะไร แต่กลับชูแผ่นหยกในมือขึ้นมา แล้วเดาะลิ้นกล่าวว่า “ตอนอยู่ที่อุทยานหลวงก็ตบหน้าอิ๋งจิ่วกวง ขนาดจาบจ้วงประมุขชิง ก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ โดนทำโทษให้ไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์แบบเหนือความคาดหมาย เบื้องหลังยังเกี่ยวข้องกับหกลัทธิอีก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน…น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ หึหึ!”
จวนท่านปู่สวรรค์ ชายชราชุดเทาคนหนึ่งเดินเข้ามาในเขตหวงห้ามของตระกูลเซี่ยโห้วเพียงลำพัง ทหารยามที่เฝ้านอกสวนไม่ได้ห้ามไว้ แต่กลับคารวะด้วยความเคารพ เป็นเพราะเขาคือบ่าวชราข้างกายหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้ว ชื่อว่าเว่ยซู
พอเดินอย่างชำนาญทางมาถึงนอกตำหนักใหญ่หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางอย่างเงียบๆ เว่ยซูก็เคาะวงกบประตูเบาๆ จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไปโดยไม่ต้องรายงาน
ในตำหนัก เซี่ยโห้วท่ากำลังนั่งสมาธิฝึกตน ดูค่อนข้างโดดเดี่ยวเงียบเหงา
เว่ยซูที่ปิดประตูแล้วเดินช้าๆ มาข้างกายเซี่ยโห้วท่า แล้วนั่งคุกเขาลงด้านข้างเยื้องกัน ก่อนจะหยิบแผ่นหยกสองแผ่นยื่นให้ “นายท่าน ข่าวจากคุณชายสามขอรับ”
เซี่ยโห้วท่ายังไม่ลืมตา ถามอย่างเนิบนาบว่า “มีธุระสำคัญอะไรหรือเปล่า?”
“ทางด้านคุณชายสามสืบเจอเรื่องที่น่าสนใจบางอย่าง บอกว่านายท่านจะต้องรู้สึกสนใจแน่นอน เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อขอรับ” เว่ยซูตอบ
เซี่ยโห้วท่าค่อยๆ ลืมตาสองข้างแล้วเหลือบตามองมา แต่ยังไม่ได้รีบรับแผ่นหยกมาไว้ในมือ ถามก่อนว่า “จะน่าสนใจยังไง?”
เว่ยซูตอบกลั้วหัวเราะว่า “ถ้าจะให้พูดก็ซับซ้อนมาก แต่น่าสนใจจริงๆ นายท่านอ่านดูก็จะรู้แล้ว”
เซี่ยโห้วท่ายื่นมือไปหยิบแผ่นหยกมา แล้วอ่านอย่างละเอียด พออ่านไปอ่านมาเรื่อยๆ ก็ยกมือขึ้นลูบเครายาวช้าๆ หลังจากอ่านจบก็ครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง “น่าสนใจจริงๆ ที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ประวัจิไม่ชัดเจนจริงๆ หรือว่าพวกเราสืบไม่เจอเอง?”
“ถ้าในใต้หล้ามีเรื่องไหนที่พวกเราสืบไม่เจอ ก็ไม่มีตระกูลไหนสามารถสืบเจอได้แล้วขอรับ” เว่ยซูตอบ
เซี่ยโห้วท่าเอามือฟั่นเคราพร้อมกล่าวอย่างไม่มั่นใจ “เช่นนั้นก็แปลกแล้ว ขนาดประวัติภูมิหลังไม่ชัดเจน ไม่น่าเชื่อว่าจะผ่านการตรวจสอบได้ ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากประมุขชิงจนย้ายไปหน่วยองครักษ์ซ้าย เพราะอะไรกัน?”
เว่ยซูตอบว่า “มีเหตุผลเพียงสามข้อเท่านั้นขอรับ ถ้าไม่ใช่เพราะความตั้งใจของประมุขชิง ก็แปลว่ามีคนวางแผนเล่นไม่ซื่อ หรือไม่กำลังพลเบื้องล่างก็ตรวจสอบแบบลวกๆ พอเป็นพิธี ทว่าคนที่ได้รับความโปรดปรานจากประมุขชิง หน่วยตรวจการขวาจะต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเอง ไม่น่าจะตรวจแบบสะเพร่า ความเป็นไปได้ข้อสุดท้ายสามารถตัดออกได้ ถ้าจะบอกว่ามีคนวางแผนเล่นไม่ซื่อ หน่วยตรวจการซ้ายก็ส่งสายลับไปอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อแล้ว จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นความตั้งใจของประมุขชิง”
เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้า “ถ้ารู้กำพืดเขาแล้วจงใจทำแบบนั้น ก็คงจะไม่ส่งสายลับไปอยู่ข้างกายเขาหรอก ตอนแรกเจ้าเด็กนั่นไม่ได้ลุ่มหลงนารี แต่จู่ๆ ก็ชิงตัวนางระบำ เจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอ? ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ยังพออธิบายได้หน่อย แต่ตอนนี้…ตอนนี้เขาเกี่ยวข้องกับผู้เหลือรอดของหกลัทธิ ข้างกายจะกล้าเก็บคนนอกไว้ซี้ซั้วได้ยังไง ผู้หญิงคนนี้สำคัญกว่าหรือชีวิตตัวเองสำคัญกว่าล่ะ?” เขาโบกแผ่นหยกในมืออย่างแฝงความหมายล้ำลึก
หลังจากงงไปครู่หนึ่ง เว่ยซูก็พลันเบิกตากว้างขึ้นหลายส่วน “เขาสังเกตได้ว่าตำหนักสวรรค์ต้องการจะยัดสายลับไว้ข้างกายเขา ก็เลยเล่นไปตามน้ำเหรอขอรับ?”
เซี่ยโห้วท่าตอบว่า “เขาปฏิเสธได้ด้วยเหรอ? ไม่มีทางปฏิเสธได้ และไม่กล้าปฏิเสธด้วย ได้แต่เข็นเรือไปตามน้ำ คงจะเป็นอย่างนี้ เหอะๆ การมีสายลับนอนอยู่ข้างกายคงจะไม่ใช่รสชาติที่ดีนัก! หลายปีมานี้เวลาเจ้าหนุ่มนั่นจะนอนก็คงจะลืมตาไว้ข้างหนึ่ง ยังต้องเล่นละครไปตามน้ำ ไปที่อุทยานหลวงแล้วก็ยังสลัดไม่หลุด ลำบากพอสมควร ความเมตตาจากสาวงามนี้ยอมรับได้ยากจริงๆ! ไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วอาจจะเป็นการหลุดพ้นอย่างหนึ่งก็ได้”
เว่ยซูโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “นายท่านหมายความว่า มีคนปลอมแปลงประวัติภูมิหลังของหนิวโหย่วเต๋อเหรอ หน่วยตรวจการขวากำลังตบตาประมุขชิงหรือขอรับ?”
เซี่ยโห้วท่าหยิบไม้เท้าที่อยู่ข้างกาย เว่ยซูรีบยื่นมือประคอง มองดูเขาค้ำไม้เท้าเดินไปเดินมาช้าๆ อยู่ในตำหนัก ไม่รู้ว่ากำลังไตร่ตรองอะไรอยู่
พอเดินไปเดินมาได้สักพัก จู่ๆ เซี่ยโห้วท่าก็หยุดเดิน แล้วเงยหน้ามองเพดาน พลางพึมพำว่า “อย่าบอกนะว่าเกาก้วน…”
เว่ยซูตกใจมาก รีบก้าวมาข้างหน้า “นายท่านหมายความว่าเกาก้วนกำลังหลอกลวงประมุขชิงเหรอ? อย่าบอกนะว่าเกาก้วนกับผู้เหลือรอดของหกลัทธิเกี่ยวข้องกัน? แต่เกาก้วนก็เคยคลุกคลีกับหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ”
เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าช้าๆ ปฏิเสธการคาดเดาของตัวเอง “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…ไม่ว่าใครก็ทรยศประมุขชิงได้ทั้งนั้น แต่มีแค่ซ่างก่วนชิง โพ่จวิน อู๋ฉวี่ ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนที่เป็นไปไม่ได้ ประวัติของเกาก้วนข้ารู้จักดี เป็นไปไม่ได้ที่จะเกี่ยวข้องกับหกลัทธิ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นสายลับให้หกลัทธิ เกาก้วนก็ไม่ใช่คนโง่ ต่อให้หกลัทธิจะโต้ตอบสำเร็จ แต่อาศัยสิ่งที่เขาทำไปในหลายปีมานี้ ถ้าหกลัทธิชนะแล้วก็อาจจะไม่ปล่อยเกาก้วนไปก็ได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางแก้ตัวกับกำลังพลเบื้องล่างของหกลัทธิได้ แล้วความเป็นความตายของพวกนั้นก็ผูกติดอยู่กับตัวประมุขชิง ถ้าออกห่างจากประมุขชิง ไม่ว่าอำนาจฝ่ายไหนก็ไม่ปล่อยเขาไปทั้งนั้น และการที่หนิวโหย่วเต๋รอดพ้นภัยครั้งนี้ ก็ดึงโพ่จวินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จะว่าไปโพ่จวินก็มีจุดที่น่าสงสัยเหมือนกัน ตอนนี้ข้าอยากจะรู้ว่าใครกันแน่ที่แนะนำให้ส่งหนิวโหย่วเต๋อไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ อย่าบอกนะว่าประมุขชิงคิดเอง? ส่งตัวไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์เพราะมีจุดประสงค์อะไรล่ะ อย่าบอกนะว่าแค่เพื่อให้คำอธิบายกับโพ่จวินและอิ๋งจิ่วกวงเท่านั้นจริงๆ?”
เว่ยซูยิ้มเจื่อน “เกรงว่าเรื่องนี้คงจะไม่มีทางตรวจสอบได้ ตอนนั้นในตำหนักเหลือแค่ประมุขชิง ซ่างก่วนชิง ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วน”
เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจแล้วบอกว่า “ใช่แล้ว! เจ้าพวกนี้ปิดปากสนิทมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรที่คุยกับประมุขชิงก็ไม่เปิดเผยให้คนนอกรู้สำสักคำ นอกจากประมุขชิงก็ไม่มีใครง้างปากพวกเขาได้ ไม่มีทางสืบให้ลึกกว่านี้แล้วจริงๆ หึหึ เจอปริศนาเข้าแล้ว หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างน่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ ช่างเถอะ คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว พวกเราใช้กลยุทธ์ดูไฟชายฝั่ง[1]ต่อไปแล้วกัน ถ้ามีตอนไหนน่าสนใจก็ค่อยโยนฟืนเพิ่มลงไป แค่ไม่ทำให้พวกเราโดนเผาไหม้ไปด้วยก็พอ สักวันก็จะได้เห็นความจริงกระจ่างชัดเจน ไม่รีบทำตอนนี้หรอก”
…………………………
[1] กลยุทธ์ดูไฟชายฝั่ง 隔岸观火 เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก ใช้ประโยชน์จากการแตกแยกของศัตรู
บทที่ 1464 พูดภาษาคน
Ink Stone_Fantasy
แดนมรณะดึกดำบรรพ์ เหมียวอี้ที่นั่งสมาธิอยู่ในถ้ำรู้สึกทุกข์ใจนิดหน่อย ไม่สามารถฝึกตนได้อย่างสงบใจ
หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป เขาก็ตกตะลึงกับศักยภาพของปราสาทดำเนินนภามาก ก็เพราะด้วยเหตุนี้เขาถึงได้ทุกข์ใจ อีกฝ่ายไม่ได้ทำงานให้เปล่าๆ อีกฝ่ายต้องการให้เขาจ่ายค่าตอบแทน ค่าตอบแทนก็คือสถานการณ์ปัจจุบันโดยละเอียดของแดนมรณะดึกดำบรรพ์
แต่เขาจะไปรู้สถานกาณ์ได้อย่างไร หลังจากเข้ามาแล้วก็หลบอยู่ในถ้ำตลอดเพราะคำนึงถึงความปลอดภัย ไม่เคยเพ่นพ่านไปไหนเลย อย่าบอกนะว่าจะให้รายงานสถานการณ์ที่พบเจอเพียงเล็กน้อยให้ปราสาทดำเนินนภารู้? ถ้าทำแบบนั้นแล้วอีกฝ่ายไม่คิดว่าเจ้ากำลังล้อเล่นก็แปลกแล้ว ในภายหลังอีกฝ่ายคงไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยอีก ในเมื่อเป็น ‘ข้อตกลง’ ก็ต้องยุติธรรม จะเอาเปรียบอย่างเดียวไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ปราสาทดำเนินนภายอมให้เอาเปรียบได้ง่ายขนาดนั้นเหรอ?
เขาเองก็อยากจะจ่ายค่าตอบแทนอย่างซื่อสัตย์ ทว่าสถานที่ผีบ้าแบบนี้มันน่าออกไปเพ่นพ่านเหรอ? ก่อนจะมาก็มีคนบอกไว้แล้วว่าอย่าเพ่นพ่านไปทั่ว ในนั้นมีสิ่งที่เขาสู้ด้วยไม่ไหวอยู่
จะค้างหนี้หรือจะไปเสี่ยงอันตรายล่ะ? ก็เพราะแบบนี้ไง! สับสน!
ตอนแรกที่ตอบตกลง ตอนที่ได้สั่งสอนห้าปราชญ์เขาสะใจมาก แต่พอตอนต้องจ่ายค่าตอบแทนเขาถึงได้สติและรู้ถึงผลลัพธ์ของการวู่วาม
ขณะที่เขากำลังคิดวนเวียนอยู่ตรงนี้ เฮยทั่นที่อยู่ในทะเลสาบนอกถ้ำก็สับสนเหมือนกัน มันว่ายไปถึงปากทางต้นน้ำกลางทะเลสาบแล้ว ได้แต่มองดูปลาสีขาวที่เกิดจากวิญญาณอาฆาตฝูงนั้นถอยออกไปจากทะเลสาบผืนนี้
ครั้งนี้ดวงไม่ดีจริงๆ ครั้งก่อนกินอิ่มจนพุงกางเกินไป เลยหลับนานไปหน่อย พอจามแล้วลืมตาขึ้น ก็พบว่าฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว เฮยทั่นจึงร้อนใจทันที
หลังจากอยู่ตรงนี้ได้สักระยะ เฮยทั่นก็รู้แล้วเช่นกันว่าปลาพวกนั้นจะมาตอนที่ฟ้ามืด พอฟ้าสว่างก็ถอยกลับไป การถอยครั้งนี้หมายความว่าต้องรออีกสิบวันเต็มๆ กว่าจะได้กินอีกสักตัว
มันรีบกระโจนออกมาจากปากถ้ำ พุ่งลงไปค้นหาทั่วทั้งทะเลสาบ แต่ก็ตามทันหางไวๆ จับมาได้แค่สองตัว และตอนหลังก็ตามมาถึงตำแหน่งที่อยู่ในตอนนี้แล้วลังเลไม่หยุด
จะไม่ได้กินไปสิบวันเชียวนะ!
เฮยทั่นที่แวกหวายอยู่ในน้ำพลันพุ่งเข้าไป พุ่งเข้าไปในต้นน้ำที่เป็นทางเข้าออกทะเลสาบ หมายจะตามปลาขาววิญญาณอาฆาตพวกนั้นไป
แต่ไม่นานมันก็หยุดอีก สุดท้ายก็ยังนึกถึงคำเตือนของเหมียวอี้ กลัวว่ากลับไปแล้วจะโดนเหมียวอี้ทำโทษ
แต่จะไม่ได้กินปลาไปสิบวันเลยนะ!
เฮยทั่นลอยขึ้นมาที่ผิวน้ำอย่างช้าๆ มันโผล่หัวขึ้นมาสำรวจทางน้ำที่ตัวเองอยู่ เงียบสงบมาก ดูสงบสุขมาก มองไม่ออกว่ามีอันตรายเลยสักนิดเดียว จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้ล่ะ? ตัวเองแอบไปกินสักมื้อ พอกินอิ่มแล้วก็กลับมา เจ้านายน่าจะไม่รู้หรอก
เจ้านายเป็นอย่างไร สัตว์พาหนะก็เป็นอย่างนั้น ในบางด้านเฮยทั่นกับเหมียวอี้มีนิสัยคล้ายกัน วู่วามก่อเรื่องได้ง่าย
เฮยทั่นหันกลับไปมองทางถ้ำด้วยสายตาล่อกแล่ก พบว่าทางเหมียวอี้ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไร คงจะไม่สังเกตเห็นมาตนมาไกลแล้ว มันจึงดำลงในน้ำทันที รีบไล่ตามไปยังทิศทางที่ปลาขาววิญญาณอาฆาตว่ายหนีไป
ดำน้ำไปตามกระแสน้ำได้ไกลสักระยะ ในที่สุดก็ไล่ตามฝูงปลาทันแล้ว ปลาฝูงนั้นมาถึงรังเก่าแล้วเช่นกัน รังเก่าอยู่ในทะเลสาบอีกแห่ง เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ใช้ตาเปล่ามองไม่เห็นจุดสิ้นสุด รังของปลาขาววิญญาณอาฆาตอยู่ตรงก้นทะเลสาบที่ลึกและดำมืด ท่ามกลางแนวภูเขาใต้ทะเลสาบที่สูงต่ำไม่เสมอกัน ในนั้นเต็มไปด้วยโพรงทั้งขนาดเล็กและใหญ่ราวกับรังผึ้ง
เมื่อเห็นเฮยทั่นไล่ตามมา ปลาขาววิญญาณอาฆาตก็ตกใจหนีกระเจิงทันที พากันหนีเข้าไปในรังที่เป็นโพรง
สายตาของเฮยทั่นเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบเมื่ออยู่ก้นทะเลสาบที่ลึกและดำมืด มันไล่ตามไปที่รังของปลาขาววิญญาณอาฆาตโดยตรง เพียงแต่ตัวมันใหญ่เกินไป เข้าไปในโพรงไม่ได้ มันจึงคลานอยู่ใต้น้ำ ใช้กรงเล็บทั้งสี่ข้างไต่ไปบนโพรงรัง มักโยกหัวไปทางซ้ายและขวา มองดูสภาพข้างในผ่านรู
ในจุดลึกของรูรูปรังผึ้งนั้นกลวงเปล่า ข้างในมีพื้นที่ว่างเยอะมาก ยังมีปลาขาววิญญาณอาฆาตตัวใหญ่อีกสิบกว่าตัว แต่ละตัวมีขนาดใหญ่เท่าคนปกติ เหมือนจะเป็นเพราะตัวใหญ่เกินไป ก็เลยโดนขังอยู่ในรังออกไปหาอาหารกินไม่ได้ ดังนั้นมันจึงกินพวกเดียวกันเองที่อยู่ในรัง แค่ฮุบคำเดียวก็สามารถกินปลาชนิดเดียวกันที่มีขนาดตัวเล็กได้หนึ่งตัวแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าปลาขาววิญญาณอาฆาตตัวเล็กๆ พวกนั้นจะไม่สะทกสะท้านกับการโดนพวกเดียวกันกิน ปล่อยให้พี่ใหญ่กินตัวเองไปแล้ว
เฮยทั่นที่ขยับหัวช้าๆ มองสำรวจผ่านรูเริ่มใจร้อนแล้ว ปลาขาววิญญาณอาฆาตที่ตัวใหญ่ขนาดนั้น จับไปตัวเดียวก็เพียงพอให้กินอิ่ม
กรงเล็บข้างหนึ่งพลันเสียบเข้าไปในรูแล้วฉีกดึง มันพบว่าหินภูเขาที่อยู่ใต้น้ำแข็งมาก แต่ก็ยังโดนกำลังอันป่าเถื่อนของมันฉีกออกจนเป็นรู จากนั้นก็ใช้กรงเล็บสองข้าง รีบขุดรูขนาดใหญ่ที่เพียงพอให้ตัวมันมุดเข้าไปได้ แล้วก็ดันทุรังฝ่าโพรงมุดเข้าไป
พอมันมุดเข้าไปในรังของปลาขาววิญญาณอาฆาต ก็เหมือนกับเสือที่วิ่งเข้าฝูงแกะ พวกปลาเล็กปลาน้อยที่อยู่นิ่งๆ ในนั้นตกใจจนแตกซ่านอีกครั้ง หนีผ่านตาถ้ำออกไปอีก
เฮยทั่นขี้เกียจะสนใจพวกมัน อยากหนีก็หนีไปสิ ตอนนี้มันกำลังสนใจปลาใหญ่สิบกว่าตัวพวกนั้นมากกว่า มันแยกเขี้ยวง้างกรงเล็บแล้วโผเข้าไปหาปลาใหญ่พวกนั้นโดยตรง
ปลาใหญ่พวกนั้นดุร้ายมาก เมื่อเห็นบางสิ่งบุกเข้ามาในรังของตัวเอง มันก็อ้าปากที่มีฟันคมและรวมตัวกันพุ่งเข้ามาทันที
ปั้ง! ในน้ำมีเสียงดังทึบติดต่อกันหลายครั้ง เฮยทั่นโดนชนจนหยุดนิ่ง ปลาใหญ่สิบกว่าตัวนั้นโดนชนจนคว่ำแล้ว
เฮยทั่นกลอกตาเลิกลั่ก เหมือนตกใจกับพลังโจมตีของปลาใหญ่พวกนี้นิดหน่อย ส่วนปลาใหญ่สิบกว่าตัวก็พลิกตัวแล้วโจมตีหมู่เข้ามาพร้อมกัน
เฮยทั่นจึงลอยอยู่ในน้ำไม่ขยับไปไหนแล้ว ปล่อยให้ปลาใหญ่สิบกว่าตัวนั่นมาชนตัวเอง พอปลาใหญ่พวกนั้นเห็นว่าทำอะไรมันไม่ได้ ก็ล้อมเฮยทั่นเอาไว้ทันที แล้วก็อ้าปากใช้ฟันคมกัดฉีก แต่ช่วยไม่ได้ที่ผิวเนื้อของเฮยทั่นหยาบทนทาน เกราะเกล็ดบนตัวไม่ได้ถูกกัดขาดได้ง่ายๆ ขนาดนั้น แต่ปลาใหญ่พวกนี้ก็ยังโหดร้ายมาก กัดฉีดไม่ปล่อย
มีเสียงจี๊ดๆ ดังขึ้น บนตัวเฮยทั่นที่ลอยนิ่งอยู่ในน้ำปล่อยสายฟ้าออกมาหลายสาย ภาพเหตุการณ์ในโพรงรังโดนส่องจนสว่าง
ปลาสิบกว่าตัวที่กัดเฮยทั่นไม่ปล่อยโดนไฟฟ้าโจมตีจนตัวพลิกคว่ำ เอียงล้มไปคนละทิศคนละทาง ตัวสั่นจนวุ่นวายไปหมด ว่ายน้ำมั่วๆ อย่างเสียสมดุล
แสงของสายฟ้าพลันหายไป เฮยทั่นขยับตัวแล้วเช่นกัน มันโบกกรงเล็บออกมาสองสามครั้ง ฉีกหัวของปลาใหญ่สี่ตัวขาด กัดหัวของปลาใหญ่ตัวหนึ่งจนแตก จากนั้นก็ใช้กรงเล็บขยุ้มปลาใหญ่หนึ่งในสี่ตัวที่โดนตะปบตายขึ้นมา ลากปลาใหญ่ห้าตัวหมุนตัวอย่างสง่างาม แล้วมุดออกจากรูโพรงที่โดนขุดแหว่งออกไป
ส่วนปลาใหญ่ตัวอื่นที่โดนไฟฟ้าโจมตีจนมึนงง เฮยทั่นก็ไม่ได้ลงมือฆ่ามันอีก ถ้าจะให้กินหมดรวดเดียวเยอะขนาดนั้น มันก็ไม่มีเวลามาอยู่ที่นี่เหมือนกัน กลัวว่าออกมานานเกินปแล้วเหมียวอี้จะสังเกตเห็น
เฮยทั่นส่ายหางว่ายน้ำกลับมาอย่างรวดเร็วผ่านทางน้ำ
เมื่อกลับมาถึงทะเลสาบก่อนหน้านี้แล้ว เฮยทั่นก็ลากปลาใหญ่ห้าตัวมาที่ปากถ้ำ แล้วดึงตัวที่คาบอยู่ในปากเข้ามาในถ้ำ เอาไปโยนไว้ข้างกายเหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิ
เหมียวอี้ที่นั่งอยู่บนเตียงงงไปชั่วขณะ แล้วถามปนเสียงหัวเราะว่า “จับได้ตัวใหญ่เหรอ? ช่างเถอะ เจ้าเก็บไว้ค่อยๆ เสพสุขเองแล้วกัน ข้าไม่มีวาสนาเสพสุขสิ่งนี้หรอก”
เมื่อเห็นเขาไม่รับไว้ เฮยทั่นก็ทำเสียงฟึดฟัด ในเมื่อไม่รับน้ำใจ งั้นมันก็จะไม่เกรงใจแล้ว งับดึงออกไปที่ปากถ้ำทันที จากนั้นก็นั่งดื่มด่ำอย่างช้าๆ เรียกได้ว่ากินอย่างสบายอกสบายใจ เป็นรสชาติที่งดงาม ค่อยๆ กินอย่างไม่รีบร้อน
มันค้นพบรังของปลาขาววิญญาณอาฆาตพวกนั้นแล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าฟ้าจะมืดเมื่อไร ต่อให้ฟ้าสว่างก็ไปกินได้ทุกเมื่อ อีกทั้งยังไม่มีอันตรายอะไรด้วย
ปลาห้าตัวนั้นกินได้ห้ามื้อเต็มๆ กินอิ่มแล้วก็นอน นอนตื่นขึ้นมาแล้วก็กิน จะเห็นได้ว่าการที่มันหน้าตาเหมือนหมูในปีก่อนๆ นั้นใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
แต่มันก็ตัดสินใจว่าครั้งหน้าจะไม่จับเยอะขนาดนี้แล้ว เก็บไว้เยอะแล้วได้กินแบบไม่สด รสชาติไม่ดี
ตอนที่มันกินตัวที่ห้าเสร็จแล้วเตรียมจะนอนต่อ เหมียวอี้ก็เดินออกมาจากถ้ำ แล้วมองสำรวจมันอย่างประหลาดใจเล็กน้อย เหมือนเจ้าอ้วนนี้จะนอนขี้เกียจอยู่หน้าถ้ำมาหลายวันแล้ว ไม่ได้ยินเสียงมันออกไปวิ่งเล่นข้างนอกมาหลายวัน กลับเป็นเสียงนอนกรนที่ดังต่อเนื่องกันยาวนานมาก
เหมียวอี้เอามือไขว้หลังมองสีของท้องฟ้าด้านนอก แล้วก็มองดูเฮยทั่นอีก ก่อนจะถามอย่างแปลกใจว่า “ฟ้ามืดแล้ว เจ้าไม่ไปจับปลาเหรอ?”
“กินอิ่มแล้ว!” เฮยทั่นตอบกลับโดยจิตใต้สำนึก น้ำเสียงฟังดูขี้เกียจ จากนั้นก็ก้มหน้านอนต่อไป
เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เหมียวอี้ตกใจทันที เขาชี้ทวนเกล็ดย้อนไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ทำไมมีคนเข้าใกล้แต่ตัวเองไม่สังเกตเห็นเลยสักนิด
แต่เขาก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว ทั้งตัวแข็งทื่อ สุดท้ายก็หันตัวมาช้าๆ แล้วมองไปยังเฮยทั่นที่นอนเอนกายอยู่บนพื้น รู้สึกสับสนงุนงงไปหมด
เฮยทั่นเองก็เหือนจะรู้ตัวแล้วเหมือนกัน เหมือนมันจะตกใจเพราะตัวองแล้วเหมือนกัน ดวงตาพลันเบิกกว้าง ลืมตาจ้องเหมียวอี้ เหมือนในแวววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ถลึงตาสลับกับหรี่กับมองเหมียวอี้
ทั้งสองสบตากันอย่างลังเลนานมาก ก่อนที่เหมียวอี้จะลองถามว่า “เจ้าโจรอ้วน เมื่อครู่นี้เจ้าพูดเหรอ?”
เฮยทั่นกลอกตามองนิดหน่อย ให้ความรู้สึกเหมือนไม่กล้าฟันธง
บนใบหน้าเหมียวอี้เริ่มฉายแววปลื้มปีติทีละนิด แล้วเตะมันหนึ่งที “ไม่ผิดหรอก เมื่อครู่นี้ข้ากำลังพูดกับเจ้า เร็วเข้า! ไหนลองพูดอีกซิ”
เฮยทั่นพลิกตัวลุกขึ้นมา ในดวงตาเต็มไปด้วยความลังเล เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ อ้าปากพงาบๆ หลายครั้ง มีเสียงฟึดฟัดดังหลายครั้ง แค่พูดภาษาคนไม่ได้
มันเองก็ตระหนักได้เหมือนกันว่าเมื่อครู่นี้มันพูดออกมาเอง พูดภาษาคนออกมาส่งเดชประโยคหนึ่ง ตอนนี้ให้มันตั้งใจพูดอย่างจริงจัง แต่มันกลับพูดไม่ออกแล้ว
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว ตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยมัน จึงยกทวนในมือขึ้นอย่างช้าๆ
เฮยทั่นตกใจมาก มันสำนึกได้ว่าเขาคิดจะทำอะไร มันจึงถอยหลังช้าๆ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทั้งคนทั้งสัตว์พาหนะก็จ้องหน้ากันอย่างตะลึงงัน
ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็กล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มออกมา “พูดภาษาคนได้จริงๆ ด้วย สงสัยข้าจะต้องช่วยเจ้าแล้ว!” พอพูดจบ ทวนในมือก็แทงออกมาราวกับสายฟ้า
“อย่านะ!” เฮยทั่นอุทานออกมา แล้วถลันตัววิ่งหนีออกไป ต่อให้ผิวเนื้อของมันจะหยาบหนาแค่ไหน แต่ก็ทนการแทงจากทวนผลึกแดงบริสุทธิ์ไม่ไหว
“ฮ่าๆ!” เหมียวอี้แทงทวนออกมาค้างไว้ พลางยืนหัวเราะลั่นอยู่หน้าถ้ำ
เฮยทั่นที่ขาเหยียบลงพื้นฮึกเหิมแล้ว มันเดินไปเดินมา ใช้กรงเล็บเกาพื้นอย่างร้อนรน “ข้า…ข้า…ข้าพูดได้แล้วจริงๆ เหรอ?” เป็นเสียงผู้ชายชัดใส
เหมียวอี้ดีใจมากจริงๆ เขาเก็บทวนเกล็ดย้อน เดินเข้าไปหามัน แล้วเดาะลิ้นกล่าวอย่างสงสัย “โจรอ้วน รีบบอกข้ามา นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมจู่ๆ ถึงพูดได้?”
เฮยทั่นตื่นเต้นจนเลอะเลือน “ข้า…ข้า…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เหมียวอี้มองไปรอบๆ พลางครุ่นคิด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อมของที่นี่หรือเปล่า ที่นี่คือศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามังกร เหมาะจะให้มังกรฝึกตน ส่วนเฮยทั่นก็มีสายเลือดมังกรอยู่ครึ่งหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจได้อาศัยบารมีที่นี่ แต่นี่เป็นแค่การคาดเดาของเขา ไม่กล้ายืนยัน
พอได้สติกลับมาก็กวักมือเรียกเฮยทั่นพร้อมรอยยิ้ม “อย่าเอาแต่พูด ข้าข้าข้า เปลี่ยนคำใหม่บ้างสิ ดูสิว่าพูดแบบปกติได้มั้ย”
เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหางอย่างตื่นเต้น อ้าปากตะโกนเสียงดังใส่เขาทันทีว่า “ไอ้เวรเอ๊ย!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น