คัมภีร์วิถีเซียน 1462-1463

ตอนที่ 1462 ปริศนาของเทวะอัสนี

 

“ที่แท้ก็เกี่ยวข้องกับงานใหญ่ของนายท่าน ไม่แปลกเลยที่จะเปลี่ยนความคิด ทว่าคนผู้นี้เป็นคนที่ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยระบุชัดเจนแล้วว่าต้องการฆ่า นายท่านควรจะอธิบายสักหน่อยเถอะขอรับ! ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยนั้นไม่ใช่คนที่ใจกว้างแต่อย่างใด” มังกรโลหิตยิ้ม


 


 


“อืม เรื่องนี้ข้ารู้จักบันยะบันยัง แต่ก่อนที่ข้าจะนำเรื่องนี้อธิบายกับหนุ่มน้อยแซ่หาน เจ้าคอยจับตาดูเขาไว้ก่อน อย่าให้เขาหาโอกาสหนีออกไปได้ ถึงเวลาข้าต้องเปลืองแรงอีก” มู่ชิงกล่าวกำชับ


 


 


“ขอรับ ในระหว่างนี้ ผู้น้อยจะคอยจับตาดูคนผู้นี้ไว้” เซวี่ยตู๋ขานรับด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม


 


 


มู่ชิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่จะโบกมือให้เขาออกไป


 


 


เซวี่ยตู๋ออกจากวิหารใหญ่อย่างรู้ตัวว่าควรทำอย่างไร


 


 


หลังจากที่หญิงสาวเงาดำลังเลอยู่ภายในแสงสีดำเลือนรางครู่หนึ่ง ฉับพลันก็ใช้มือข้างหนึ่งตบลงบนดอกไม้ยักษ์สีทองที่อยู่เบื้องล่างเบาๆ


 


 


ดอกไม้ยักษ์สั่นไหวเล็กน้อย ทันใดนั้นกระจกทรงกลมสีทองแวววาวก็พุ่งออกมาจากใจกลางดอกไม้ รูปลักษณ์โบราณและเรียบง่าย มีอักขระเปล่งแสงอยู่รำไร


 


 


มู่ชิงอ้าปาก พลันพ่นปราณสีเขียวออกมา


 


 


ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีทองวูบหนึ่ง ปราณสีเขียวก็จมหายไปในกระจกอย่างน่าประหลาด


 


 


หน้ากระจกเปล่งแสงวิญญาณสว่างวาบ ปรากฏเป็นม่านแสงสีทองหนึ่งชั้น


 


 


ผ่านไปนานสองนาน จึงค่อยมีเสียงพูดซึมกระทือของชายหนุ่มคนหนึ่งดังออกมาจากม่านแสงสีทอง “สหายมู่ เจ้ามาหามีธุระอันใด”


 


 


มู่ชิงได้ยินเสียงนี้ก็ยิ้มแล้วตอบกลับ “พี่ลิ่วจู๋! ไม่ทราบว่าท่านรวบรวมปราณทมิฬเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนวันที่จะปรึกษาและตกลงกัน ให้แม่เฒ่าภูตหลอมภูตทมิฬเกราะดำมาให้เพียงพอได้หรือไม่”


 


 


“ปราณทมิฬบริสุทธิ์ที่ชั้นล่างสองสามชั้นถูกข้ารวบรวมจนหมดเกลี้ยงแล้ว แม้ว่าปราณทมิฬของชั้นหนึ่งจะเบาบางที่สุด แต่เพียงแค่เสียเวลามากหน่อย ก็สามารถรวบรวมได้ไม่น้อย เพียงพอให้แม่เฒ่าภูตหลอมภูตทมิฬได้แปดพันตน สหายมู่ ทำไมจู่ๆ ก็ถามเรื่องนี้กับข้าน้อยขึ้นมาล่ะ” ชายหนุ่มเงียบขรึมไปพักหนึ่ง จึงค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความรู้สึก


 


 


“ตามแผนของพวกเรา ภูตทมิฬแปดพันตนนี้กับหุ่นเชิดนับหมื่นตัวของตี้เซวี่ย ล้วนเป็นแค่ทหารเดนตายที่ใช้ในการขวางฝูงภูตผีแม่น้ำอเวจีเท่านั้น แต่สุดท้ายหากจะทำลายจุดสิ้นสุดพรมแดนของแม่น้ำอเวจี ยังต้องวางแผนกันอีกต่างหาก อาศัยเพียงวิธีการที่พวกเราเตรียมไว้ก่อนหน้า แต่สถานการณ์ก็ยังไม่มั่นคงนัก” มู่ชิงไม่ได้ตอบกลับโดยตรง กลับลังเลครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้น


 


 


“ทำไมรึ หรือว่าสหายมู่จะหาวิธีดีๆ สำหรับทำลายจุดสิ้นสุดพรมแดนได้แล้ว” ชาวหนุ่มกลับโต้ตอบเร็วสุดๆ น้ำเสียงเปลี่ยนเล็กน้อย


 


 


“เหอะๆ พี่ลิ่วจู๋ช่างรู้ใจน้องจริงๆ น้องเพิ่งจะได้รับผลสำเร็จมาจริงๆ จึงอยากจะปรึกษาสหายเล็กน้อย” หญิงสาวพลันหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา


 


 


“ได้รับผลสำเร็จ? ลองเล่ามาให้ฟังหน่อยเถอะ” น้ำเสียงของชายหนุ่มกลับมาสงบนิ่งไม่ไหวติงอีกครั้ง


 


 


“วันนี้ข้าหาคนผู้หนึ่งที่สามารถควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้ แม้ว่าจุดสิ้นสุดพรมแดนของแม่น้ำอเวจีนั้นจะมีอาคมต้องห้ามที่ใช้ปราณทมิฬเป็นหลัก แต่ที่ยุ่งยากสุดจริงๆ ก็คือปราณมารอเวจีที่แฝงอยู่ในนั้น ปราณมารเหล่านี้บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง วิธีการในตอนแรกของพวกเราอาจจะไม่ค่อยรับประกัน แต่หากมีอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย ปราณมารเหล่านี้ก็ไม่มีค่าพอให้หวาดกลัวแล้ว” ท่าทีของหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา


 


 


“ในด้านการขับไล่มารและปัดเป่าความชั่วร้าย อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายทำได้อย่างราบรื่นจริงๆ ทว่าในสมัยโบราณกาล ตอนที่เผ่ามังกรปีศาจประกาศศักดาเป็นใหญ่ในตอนวิญญาณ ก็แทบจะขุดรากถอนโคนไผ่อัสนีทองที่มีอยู่ในแดนวิญญาณจนหมดแล้ว ผู้ที่ฝึกฝนและครอบครองไผ่อัสนีทองก็ถูกฆ่าตายไปจดหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้จะมีคนที่ควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายโผล่มาอีกได้อย่างไร เจ้าไม่ได้ดูผิดไปสินะ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างช้าๆ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ


 


 


“ตรงจุดนี้วางใจได้ อิทธิฤทธิ์ที่คนผู้นั้นสำแดงออกมาเป็นอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายจริงแท้แน่นอน น้องยังมีสายดีอยู่ ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวคือ ดูเหมือนคนผู้นี้จะไม่รู้วิธีการควบคุมที่แท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย จึงใช้งานมันเหมือนอิทธิฤทธิ์เทวะอัสนีทั่วไป อานุภาพยังไม่อาจสำแดงได้ถึงหนึ่งหรือสองส่วนเลย” มู่ชิงพลันหัวเราะหยันขึ้นมา


 


 


“อ๋อ หากเป็นเช่นนี้ก็น่าจะเป็นไปได้ คนผู้นี้คงจะได้รับเศษของไผ่อัสนีทองมาโดยบังเอิญ ประจวบเหมาะกับฝึกฝนอิทธิฤทธิ์นี้สำเร็จพอดีกระมัง” ชายหนุ่มนามว่าลิ่วจู๋ผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง


 


 


“เหอะๆ น้องเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ไม่เช่นนั้นหากคนผู้นี้สามารถสำแดงอานุภาพของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมาได้ทั้งหมด แม้แต่ท่านและข้าก็ต้องหวาดกลัวกันบ้าง ทว่าสามารถพบคนเช่นนี้ในเวลานี้และสถานที่นี้ได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญอย่างใหญ่หลวงของท่านกับข้าแล้ว ดูเหมือนฟ้าจะลิขิตให้การใหญ่ของพวกเราสำเร็จแล้ว” มู่ชิงพลันยิ้มหวาน


 


 


“เพียงแค่อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของคนผู้นี้เป็นของจริง ย่อมช่วยเหลือพวกเราได้เป็นอย่างมาก แต่จู่ๆ เจ้าก็บอกเรื่องนี้กับข้า น่าจะมีความยุ่งยากอะไรแอบแฝงสินะ!” ชายหนุ่มกลับถามออกมาเช่นนี้อย่างฉับพลัน


 


 


“พี่ลิ่วจู๋ช่างหลักแหลม! ที่จริงแล้วคนผู้นี้ข้าไม่ได้รู้จักเป็นคนแรก เขาเป็นคนที่ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยนั้นระบุตัวให้ข้าสังหาร ทั้งยังอยากให้ข้ากักขังจิตวิญญาณทมิฬของคนผู้นี้มอบให้เขา ตามที่ข้าคาดเดา เป็นไปได้มากว่าแม่เฒ่าภูตนั้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้างเช่นกัน” มู่ชิงยิ้มจางๆ


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ สหายมู่อยากจะควบคุมคนผู้นี้ด้วยตัวเอง ให้ข้าเป็นคนไกล่เกลี่ยเรื่องนี้สินะ” ชายหนุ่มมองเจตนาของมู่ชิงออกในชั่วพริบตา พลันเอ่ยขึ้น


 


 


“น้องมีเจตนาเช่นนี้ พี่ลิ่วจู๋น่าจะเข้าใจดี เดิมทีน้องมีร่างกายที่ก่อตัวมาจากวิญญาณพฤกษา ในด้านความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับไผ่อัสนีทองนั้น ในสี่คนนี้ไม่มีใครเทียบข้าได้ ด้วยการชี้แนะคนผู้นั้นด้วยตัวข้าเอง จึงจะสามารถทำให้เขาควบคุมอานุภาพของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้เร็วที่สุด สามารถจัดสรรประโยชน์ใช้สอยในตอนที่พวกเราดำเนินแผนการได้” มู่ชิงพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ท่าทางคล้ายจะไม่ปิดบังเจตนาของตัวเอง


 


 


“อืม ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แต่เรื่องนี้สำคัญมา พวกเราทั้งหลายจำเป็นต้องหารือกันต่อหน้าสักหน่อย พวกเราสามคนเองก็ต้องพบหน้าคนผู้นี้ด้วยตัวเองถึงจะได้” ครั้งนี้ ชายหนุ่มลังเลอยู่พักใหญ่จึงค่อยตอบกลับ


 


 


“เรื่องนี้ย่อมได้อยู่แล้ว ครึ่งเดือนให้หลังมารวมตัวกันที่พำนักของข้าเถอะ แม่เฒ่าภูตกับตี้เซวี่ยก็ให้พี่ลิ่วจู๋แจ้งด้วยตัวเองสักหน่อย ถึงตอนนั้น น้องจะต้อนรับสหายทั้งสามที่วิหารเซียนพฤกษาด้วยตัวเอง” มู่ชิงยิ้มกล่าว


 


 


“ดี เช่นนี้ก็เป็นการตกลงแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวตกลงอย่างเด็ดขาดเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ทันทีที่ม่านแสงสีทองบนกระจกสีทองดับวูบ ก็ไม่มีเสียงใดๆ ส่งมาอีก ชายหนุ่มที่ชื่อว่าลิ่วจู๋ผู้นั้น คิดไม่ถึงว่าจะตัดการเชื่อมต่อโดยที่ไม่มัวพูดมากต่อ


 


 


“หึ แตกต่างจากที่ข้าคาดการณ์ไว้จริงๆ ลิ่วจู๋ผู้นี้ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าคนผู้นี้จะอยู่ในมือใคร ลองคิดดูก็ใช่ เขาเป็นคนเดียวที่ไม่กลัวอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญอยู่แล้ว แต่อีกสองคนที่เหลือ เกรงว่าจะไม่ยอมวางมือโดยง่าย ทว่าในเมื่อคนตกอยู่ในมือข้าแล้ว คิดจะส่งให้อีก เช่นนั้นก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อลมๆ แล้งๆ แล้ว” มู่ชิงแค่นเสียงเบาๆ คราหนึ่ง เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นภายในวิหารใหญ่ที่ว่างเปล่า


 


 



 


 


หานลี่นั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะกลมตัวหนึ่ง พลางจ้องมองผู้ที่ดื่มสุราอวยพรซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เงียบกริบไม่พูดไม่จาอยู่นานสองนาน


 


 


คนผู้นี้ท่าทางคล้ายปัญญาชนอายุราวๆ สามสิบกว่าปี บุคลิกลักษณะดูสง่า มีวิชาความรู้ลุ่มลึก มือหนึ่งถือจอกสุราสีเขียวมรกตเชิญชวนให้หานลี่ดื่มไม่หยุด


 


 


บนโต๊ะกลมเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสนานาชนิดและไหสุราสีดำขลับใบหนึ่ง ในไหสุราเต็มไปด้วยสุราชั้นเลิศสีเหมือนอำพัน กลิ่นหอมเตะจมูก


 


 


หญิงรับใช้ชุดเขียวนามว่าปี้เอ๋อร์ผู้นั้นก็กำลังปรนนิบัติอยู่ข้างๆ


 


 


“มาๆ! น้องหานต้องลิ้มลองสุราไขพฤกษาของหุบเขาเซียนพฤกษาของพวกเรา แม้ว่าสุรานี้จะวิเศษไม่เท่าชาดับทมิฬ แต่ก็ใช้ไขของวิญญาณพฤกษาหมื่นปีในการกลั่น มีฤทธิ์ทำให้สดชื่นและฟื้นฟูกำลัง หากสหายหานดื่มมากหน่อย ก็จะรู้ถึงความวิเศษของมัน” ปัญญาชนวัยกลางคนกล่าวด้วยท่าทางกระตือรือร้นผิดปกติ


 


 


“อาวุโสเซวี่ยตู๋ ข้าน้อยดื่มสุราไม่แข็ง สองสามจอกก่อนหน้านี้ยังพอได้ หากดื่มต่อไปอีก คงได้ปล่อยไก่จริงๆ” หานลี่พูดด้วยความจนปัญญา


 


 


คิดไม่ถึงว่าปัญญาชนวัยกลางคนผู้นี้จะเป็นมังกรโลหิตที่แปลงกลายเป็นร่างมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ


 


 


หลังจากที่หานลี่เพิ่งจะถูกจัดเตรียมให้เข้ามาในหอหลังหนึ่ง คนผู้นี้ก็รีบตามมาทันที และรีบกำชับให้จัดโต๊ะดื่มสุราโต๊ะนี้ แล้วกินดื่มกันอย่างเต็มที่ในที่แห่งนี้


 


 


หานลี่อยู่ในถิ่นของอีกฝ่าย ย่อมไม่ควรปฏิเสธ จำต้องทำใจดีสู้เสื้อร่วมเฉลิมฉลองกับมังกรโลหิตตัวนี้


 


 


“ฮ่าๆ พลังยุทธ์ถึงระดับพวกข้าแล้ว สุราวิญญาณจิ๊บจ๊อยระดับนั้นจะทำให้พวกเราเมาได้อย่างไร หรือว่าน้องหานยังโกรธเคืองเรื่องที่ประมือกับข้าก่อนหน้านี้” เซวี่ยตู๋พลันบิดศีรษะคราหนึ่งแล้วพูด


 


 


“หึๆ เรื่องเล็กก่อนหน้านี้ ชนรุ่นหลังลืมไปตั้งนานแล้ว นั่นอาจจะทำให้อาวุโสเกิดความไม่พอใจ เอาล่ะ ข้าน้อยขอดื่มให้อาวุโสเพิ่มอีกจอก” หานลี่จำต้องกล่าวเช่นนี้


 


 


ฉับพลันเขาก็หยิบจอกสุราตรงหน้าขึ้นมาหนึ่งจอก แล้วดื่มสุราวิญญาณในจอกลงท้องไปหนึ่งอึก


 


 


หญิงสาวชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบอุ้มไหสุราเดินเข้ามาเติมให้หานลี่จนเต็มจอกอีกครั้ง


 


 


หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้กล่าวอะไร


 


 


เซวี่ยตู๋ที่อยู่ตรงข้ามกลับยิ้มแล้วกล่าว “น้องหานพักผ่อนที่หุบเขาเซียนพฤกษาของเราอย่างสบายใจก็พอแล้ว นายท่านให้ความสำคัญกับน้องหานเป็นพิเศษเช่นนี้ จะต้องมีส่วนที่ขอพึ่งพาอย่างแน่นอน ถึงเวลาไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด สิ่งของจำพวกรางวัลจะต้องหนักแน่นอย่างแน่นอน จะไม่ดีเยี่ยมกว่าการที่สหายกลับไปยังพื้นดิน แล้วเป็นบุตรสวรรค์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินหรอกหรือ พูดอย่างไม่เกรงใจ ทุกสิ่งที่เผ่าของเจ้าสามารถมอบให้สหายได้ เหวพสุธาของพวกเราก็สามารถให้ได้เช่นกัน ของที่ไม่สามารถมอบได้ พวกเราก็สามารถมอบให้สหายได้ นี่ถือเป็นโอกาสที่สหายยากจะได้รับเชียวนะ!”


 


 


คิดไม่ถึงว่าเซวี่ยตู๋จะกลายเป็นคนเก่งเจรจาที่ช่างจ้อไปแล้ว


 


 


มุมปากของหานลี่กระตุกเกร็ง ไม่ได้ตอบคำถามนี้โดยตรง กลับยิ้มจางๆ แล้วย้อนถาม “ไม่ทราบว่าที่นี่คือั้นใดของเหวพสุธา ต้นสายปลายเหตุที่อาวุโสมู่พาข้าน้อยมายังที่แห่งนี้ ผู้อาวุโสสามารถเปิดเผยสักนิดได้หรือไม่?”


 


 


“หากจะบอกว่าไม่รู้เจตนาของนายท่านเลยแม้แต่น้อย ย่อมเสแสร้งเกินไปแล้ว แต่เรื่องนี้ผู้แซ่เซวี่ยไม่สะดวกที่จะอธิบายชัดเจนจริงๆ ทว่าน้องหานโปรดวางใจ นายท่านเองก็ไม่คิดจะปิดบังนานอยู่แล้ว อย่างมากภายในครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือนก็จะอธิบายทั้งหมดให้สหายฟัง สำหรับที่นี่คือชั้นใด กลับไม่ได้มีอะไรน่าปิดบัง ที่นี่ก็คือป่าหมอกทมิฬในชั้นสามของเหวพสุธา” เซวี่ยตู๋ตอบกลับโดยไม่ต้องคิด


 


 


“ป่าหมอกทมิฬ! ก็คือป่าทึบที่มีหมอกดำทมิฬปกคลุมอยู่ ตามที่ได้ยินมา เมื่อเข้าไปในนั้นแล้วจะไม่สามารถออกมาได้!” หานลี่ได้ยินดังนี้ ก็สีหน้าเปลี่ยนอย่างห้ามไม่อยู่


 


 


“ฮ่าๆ เป็นสถานที่นี้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าป่าแห่งนี้จะมีชื่อเสียงโด่งดังในเผ่าของเจ้า ที่จริงแล้วเป็นแค่อิทธิฤทธิ์ที่นายท่านสำแดง วางอาคมต้องห้ามเล็กน้อยภายในป่าเท่านั้น” เซวี่ยตู๋กลับหัวเราะแล้วกล่าว


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หานลี่หัวเราะขื่นคราหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก


 


 


“ใช่แล้ว มีอยู่เรื่องหนึ่ง ผู้แซ่เซวี่ยรู้สึกสงสัยมาก ไม่ทราบว่าน้องหานพอจะคลายข้อสงสัยให้ข้าน้อยได้หรือไม่” หลังจากที่เชิญชวนหานลี่ดื่มสุราไขพฤกษาอีกสองสามจอก ดวงตาของชายวัยกลางคนพลันเปล่งแสงประหลาด แล้วถามขึ้นอย่างฉับพลัน


 


 


“อ๋อ ผู้อาวุโสมีสิ่งใดไม่เข้าใจ หากข้าน้อยทราบก็จะบอก” หานลี่รู้สึกใจหายวาบ ภายใต้การโคจรของเคล็ดวิชาขับเคลื่อนภายในร่าง ความมึนเมาเล็กน้อยภายในหัวสมองก็หายเป็นปลิดทิ้ง! 

 

 


ตอนที่ 1463 พบหยวนเหยาอีกครั้ง

 

“เหอะๆ ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไร เกี่ยวกับการที่น้องหานสามารถฝึกฝนกายเนื้อจนแข็งแกร่งเช่นนี้ ข้าน้อยรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ต้องทราบก่อนว่า เข็มอเวจีแม่น้ำโลหิตของข้าน้อยแม้ว่าจะไม่ได้เป็นสมบัติที่ขึ้นชื่อในด้านความแหลมคม แต่ด้วยพลังของกายเนื้อก็สามารถสะท้อนมันออกไปได้ เรื่องนี้น่าเหลือเชื่อเกินไปจริงๆ” หลังจากที่เซวี่ยตู๋นิ่งไปพักหนึ่ง ก็ถามออกมาเช่นนี้


 


 


ขณะที่พูดอยู่ สองตาของปีศาจตนนี้จ้องเขม็งมาที่หานลี่โดยไม่กะพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว


 


 


“ที่แท้อาวุโสก็อยากจะถามเรื่องนี้ กายเนื้อของชนรุ่นหลังแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปจริงๆ แต่ก็แค่เป็นแค่เหตุบังเอิญเล็กน้อยในปีนั้นที่ได้กินยาวิญญาณที่เสริมความแข็งแกร่งของกายเนื้อสองสามชนิดเท่านั้นเอง จะเทียบกับกายมังกรของอาวุโสได้อย่างไร” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่กระโตกกระตาก


 


 


“ยาวิญญาณ! ข้าก็เดาไว้เช่นนี้เหมือนกัน แต่อาคมลวงตาสามเศียรหกกรที่น้องหานใช้รับการโจมตีสุดท้ายของข้า ดูเหมื่อจะไม่ใช่อาคมลวงตาวิญญาณแท้ของเผ่าเจ้ากระมัง ข้าน้อยดูแล้วค่อนข้างคุ้นตา ดูเหมื่อนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ชั่วขณะหนึ่งก็ยังนึกไม่ออก สหายหานช่วยบอกผู้แซ่เซวี่ยได้หรือไม่” เซวี่ยตู๋พูดพลางยิ้มอ่อน


 


 


“อ๋อ นั่นเป็นวิธีฝึกฝนของสำนักนอกเผ่าสำนักหนึ่งที่ชนรุ่นหลังได้รับมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากที่ฝึกฝนอย่างเปะปะจึงทำให้มีอิทธิฤทธิ์เล็กๆ ส่วนที่ว่าเป็นอาคมลวงตาชนิดใด ชนรุ่นหลังเองก็ไม่ทราบเช่นกัน” หานลี่ตอบกลับทีละส่วนอย่างไม่หนักหนาอะไร โดยที่พูดทุกอย่างให้คลุมเครือไม่ชัดเจน จะตอบหรือไม่ตอบ แทบจะไม่มีอะไรต่างกัน


 


 


ได้ยินหานลี่พูดอย่างปลิ้นปล้อนเช่นนี้ เซวี่ยตู๋รู้สึกค่อนข้างเกินคาดอยู่บ้าง แต่ก็หัวเราะฮ่าๆ คราหนึ่งแล้วไม่พูดถึงเรื่องนี้ เชิญชวนหานลี่ดื่มสุราต่อ


 


 


ด้วยเช่นนี้ มังกรโลหิตระดับหลอมสูญผู้นี้ดื่มกับหานลี่จนมีสภาพคล้ายกับคนเมาอ้อแอ้ จึงค่อยกล่าวแล้วเดินโซซัดโซเซจากไป


 


 


หานลี่ยืนอยู่ริมหน้าต่างในหอ พลันหุบรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วจ้องมองสถานการณ์ภายนอกหอ


 


 


เห็นเพียงเซวี่ยตู๋เดินโซเซเข้าไปในหออีกหลังหนึ่งซึ่งห่างจากที่พักของหานลี่ไม่ไกลนัก ระยะทางห่างจากหานลี่เพียงหลายร้อยจั้งเท่านั้น


 


 


หานลี่ขมวดคิ้วจางๆ


 


 


ด้วยระยะห่างที่ใกล้เช่นนี้ หากเขามีการกระทำอะไรเพียงเล็กน้อย ก็ไม่มีทางรอดพ้นจากการสังเกตการณ์ของมังกรโลหิตตัวนี้ได้ ดูเหมือนคนผู้นี้ก็คือคนที่มู่ชิงส่งมาสังเกตการณ์เขา


 


 


หานลี่ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ พลางออกห่างหน้าต่าง


 


 


ในตอนนี้ หญิงรับใช้ชุดเขียวได้นำโต๊ะเลี้ยงเหล้าออกไปแล้ว และทำการเก็บกวาดหอจนสะอาดอีกครั้ง จากนั้นจึงค่อยยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเคารพนอบน้อม รอหานลี่กำชับต่อจากนี้


 


 


“เจ้าลงไปก่อนเถอะ ข้าจะพักผ่อนคนเดียวสักหน่อย” หานลี่โบกมือให้หญิงผู้นี้ลงไปอย่างไม่เกรงใจ


 


 


“เจ้าค่ะ คุณชายหาน บ่าวอยู่ที่ชั้นหนึ่ง สามารถฟังที่คุณชายเรียกได้ทุกเวลา” หญิงรับใช้ชุดเขียวขานรับ พลันออกจากชั้นนี้ด้วยความยินยอมคล้อยตามเป็นอย่างยิ่ง


 


 


หานลี่มองดูเงาร่างของหญิงสาวหายไปจากบันใดอย่างเรียบเฉย พลันใช้มือเดียวสะบัดลงบนกำไลเก็บของ


 


 


ม่านแสงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ธงเขตอาคมสีเขียววางซ้อนกันกองหนึ่งก็ปรากฏในฝ่ามือ


 


 


ครั้นโบกมืออีกคราหนึ่ง ลำแสงสีเขียวสิบกว่าสายก็พวยพุ่งไปทั่วทั้งห้อง ชั่วพริบตาก็จมหายไปในอากาศ


 


 


หานลี่ตั้งท่าร่ายคาถา พลันใช้มือเดียวปล่อยคาถาสีเขียวออกมาหนึ่งสาย


 


 


“ปัง!” ม่านแสงสีเขียวหนึ่งชั้นปรากฏบนผนังสีด้านของห้องอย่างไร้สาเหตุ กลายเป็นอาคมปิดผนึก


 


 


อาคมต้องห้ามนี้ไม่ได้มีความสามารถในการป้องกันใดๆ แต่สามารถตัดขาดจิตสัมผัสของผู้อื่นได้อย่างยอดเยี่ยม


 


 


แม้จะรู้ว่าตนแทบจะถูกกักบริเวณแล้ว หานลี่ก็ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเปิดเป้าโล่งภายใต้สายตาคนอื่นอย่างง่ายดายเป็นอันขาด


 


 


ในหออีกหลังหนึ่ง เซวี่ยตู๋ที่กำลังนั่งหลับตาบนเบาะทรงกลมพลันหน้าเปลี่ยนสีแล้วลืมตาขึ้น ทว่ามุมปากก็เผยรอยยิ้มเยาะออกมา แล้วหลับตาอีกครั้ง


 


 


ในเวลานี้ หานลี่กลับกำลังนอนหนุนหมอนพักผ่อนอยู่


 


 


แม้ว่าจะอยู่ในสถานที่ที่อันตราย แต่การทดสอบของบุตรสวรรค์ก่อนหน้านี้ทำให้เขาสูญเสียกำลังวังชาไปไม่น้อย จึงควรจะฉวยโอกาสนี้ฟื้นฟูสักหน่อย


 


 


รอให้กายและใจของเขาฟื้นฟูจนถึงขีดสุดแล้ว ค่อยคิดแผนหลบหนีอย่างละเอียดอีกที


 


 


เมื่อในใจคิดเช่นนี้ หานลี่ก็นอนหลับสนิทอย่างรวดเร็ว


 


 


การนอนหลับครั้งนี้ หลับตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน เขาจึงค่อยตื่นขึ้นอย่างช้าๆ จากการหลับลึก


 


 


หลังจากลุกขึ้นจากเตียงแล้ว หานลี่ก็บิดขี้เกียจอย่างไม่ลุกลี้ลุกลน จึงค่อยนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ข้างเตียง พลางเอามือเท้าคางครุ่นคิดพิจารณาอย่างเงียบๆ


 


 


สำหรับคำพูดที่มู่ชิงกับมังกรโลหิตสองคนนี้พูดว่า ตั้งแต่เริ่มก็คิดจะพึ่งพาเขา เขาไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย


 


 


อย่างเพิ่งพูดถึงอย่างอื่น ด้วยตัวเขาที่มีประสบการณ์ต่อสู้มาหลายปีเช่นนี้ ตอนที่ปีศาจสองตนไล่ตามมาด้วยท่าทางดุดันนั้นได้ปรากฏไอสังหารออกมาด้วย จะปิดบังจิตสัมผัสอันเฉียบไวของเขาได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าตอนแรกมีจิตมุ่งสังหาร คิดจะเอาชีวิตของเขา


 


 


สำหรับสาเหตุที่มู่ชิง ปีศาจสาวตนนี้เปลี่ยนความคิดอย่างกะทันหัน อีกฝ่ายจะต้องพบบางอย่างที่สามารถใช้ประโยชน์จากตนได้อย่างเหนือความคาดหมายเป็นแน่


 


 


ตอนนี้ลองมาคิดดูอย่างละเอียด ตั้งแต่ช่วงเวลาที่อีกฝ่ายไล่ตามตนจนกระทั่งเปลี่ยนความคิดอย่างกะทันหันแล้วพาตนมาที่แห่งนี้ ที่จริงแล้วเป็นเพียงระยะเวลาที่สั้นสุดๆ


 


 


รวมแล้วมู่ชิงพูดแค่หนึ่งถึงสองประโยค แค่พูดถึงอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเท่านั้น! หรือว่าเป็นเพราะเทวะอัสนีนี้…


 


 


หานลี่นัยน์ตาเปล่งประกายหลายหน รู้สึกว่าที่ตนคาดเดาน่าจะใกล้เคียงแปดถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว


 


 


แต่ถึงแม้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายจะมีคุณสมบัติในด้านขับไล่มารปัดเป่าภยันตรายที่ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ แต่หากปราณมารกับวิชาชั่วร้ายแข็งแกร่งจนถึงระดับที่แน่นอน ย่อมไม่อาจทำลายได้โดยง่าย อานุภาพระดับนี้จะเข้าตาราชาปีศาจระดับผสานอินทรีย์อย่างมู่ชิงได้อย่างไร หากแม้แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถรับมือกับมารหรือวิญญาณร้าย อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายก็ยิ่งใช้ไม่ได้ผล


 


 


หานลี่คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก


 


 


ทว่า เขาก็ไม่ได้เจาะลึกลงไปในเรื่องนี้ต่อ กลับถอนหายใจยาวคราหนึ่ง


 


 


ในเมื่อพบแล้วว่าตนมีส่วนที่อีกฝ่ายต้องการใช้ ก็น่าจะไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตชั่วคราว เพียงแค่ต้องระมัดระวังหน่อย เขาก็ยังมีความมั่นใจมากว่าจะหนีพ้นจากที่แห่งนี้ได้


 


 


ต่อจากนี้ เขาเพียงแค่รอให้มู่ชิงมู่ศาจสาวตนนี้อธิบายเรื่อนี้กับเขาชัดเจนเท่านั้น จากนั้นก็ค่อยหาโอกาสลงมืออีกทีหนึ่งก็ได้แล้ว


 


 


ขณะที่คิดในใจอย่างเงียบๆ หานลี่ก็รู้สึกสบายใจได้ชั่วคราว


 


 


สำหรับความคิดที่จะหนีในตอนนี้ แม้ว่าจะเคยแล่นในหัวสมองของเขา แต่พอนึกถึงเซวี่ยตู๋ที่คอยสังเกตการณ์ในระยะใกล้เพียงลัดนิ้วมือ เขาก็ได้แต่ล้มเลิกความคิดนี้ทั้งหมด


 


 


ต่อมาอารมณ์ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป พลันนึกถึงพวกเหลยหลันขึ้นมา


 


 


ในเมื่อมู่ชิงกับเซวี่ยตู๋ สองปีศาจนี้ต่างก็ไล่ตามเขา คิดว่าสามคนนี้น่าจะกลับไปบนพื้นดินได้อย่างราบรื่นและสำเร็จการทดสอบแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็นับว่าสำเร็จการไหว้วานสำคัญของเผ่าวิหคสวรรค์แล้ว ได้ความเป็นอิสระกลับมาแล้ว เผ่าวิหคสวรรค์ไม่สามารถใช้คำสาบานแห่งวิหคสวรรค์มาบังคับอะไรเขาได้อีก


 


 


ทว่าเมื่อลองคิดดูอีก เผ่าวิหคสวรรค์แค่ต้องการให้พวกเหลยหลันผ่านการทดสอบ ก็คงจะไม่สนใจความเป็นตายของตนที่เป็นบุตรสวรรค์ชั่วคราวผู้นี้จริงๆ


 


 


หานลี่หัวเราะคราหนึ่ง หลังจากนั่งคิดอยู่บนเก้าอี้เช่นนี้ไม่รู้นานเท่าไหร่ ก็ยืนขึ้นแล้วกลับมานั่งขัดสมาธิบนเตียง


 


 


เขาเริ่มฝึกลมปราณด้วยสีหน้าสงบนิ่ง…


 


 


เวลาผ่านไปครึ่งเดือนในชั่วพริบตา!


 


 


ในระหว่างนี้ เซวี่ยตู๋นั้นมาดื่มเหล้าสนทนากับหานลี่อยู่เป็นพักๆ ส่วนหานลี่ก็เอาแต่อยู่ที่พักทั้งวันไม่ออกไปข้างนอก แสดงท่าทีเชื่อฟังผิดปกติ


 


 


จนกระทั่งครึ่งเดือนต่อมา จู่ๆ มังกรโลหิตก็มาหาด้วยอารมณ์ฮึกเหิม พลันพูดอย่างตรงไปตรงมา “น้องหาน นายท่านเชิญสหายไปที่วิหารเซียนพฤกษา ต้องการจะแนะนำสหายกับอาวุโสคนอื่นๆ ให้รู้จัก”


 


 


“ดี รบกวนอาวุโสเซวี่ยแล้ว” หานลี่ไม่มีสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย ตอบกลับด้วยท่าทางสงบนิ่ง


 


 


เมื่อเห็นว่าหานลี่มีท่าทางสงบนิ่งเช่นนี้ เซวี่ยตู๋ในมาดปัญญาชนก็รู้สึกเลื่อมใสในใจอยู่หลายส่วน


 


 


เขาลองถามตัวเองดูว่า หากอยู่ในสถานะเช่นเดียวกับหานลี่ คงไม่สามารถรักษาท่าทางเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน


 


 


ดังนั้น หลังจากที่เซวี่ยตู๋หัวเราะเสร็จ ก็พาหานลี่ออกมานอกหอ


 


 


เวลาผ่านไปชั่วหนึ่งมื้ออาหาร หานลี่ก็มาปรากฏตัวที่หน้าวิหารไม้ใหญ่ในตอนแรกอีกครั้ง และตามเซวี่ยตู๋เข้าไปในประตูวิหาร


 


 


ภายในวิหารต่างจากตอนที่หานลี่มาคราวที่แล้วมาก สองฝั่งของวิหารใหญ่มีโต๊ะเพิ่มขึ้นมาสามตัว และมีคนสามกลุ่มนั่งแยกกันทีละโต๊ะ


 


 


หานลี่ดวงตาเปล่งประกายวูบหนึ่ง พลางมองดูอย่างละเอียด


 


 


โต๊ะหนึ่งมีแค่สองคน ตลอดทั้งร่างถูกคลุมด้วยชุดคลุมยาวสีโลหิตตัวหนึ่ง ไม่ว่าจะร่างกายหรือกลิ่นอายก็เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ไม่สามารถแยกแยะทั้งคู่ออกได้ ราวกับหนึ่งคนแยกเป็นสองร่าง


 


 


อีกโต๊ะหนึ่งมีแค่คนเดียว เป็นชายหนุ่มสวมผ้าคลุมสีดำทมึนตัวหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ผิดปกติ บนร่างแผ่ไอเย็นยะเยือกที่คล้ายกับทำให้คนต้องถอยห่างออกไปสามฉื่อ ราวกับสามารถทำให้อากาศในบริเวณรอบๆ แข็งตัว


 


 


กลุ่มสุดท้ายกลับเป็นหญิงสาวสามคน


 


 


คนหนึ่งเป็นหญิงงามวัยกลางคนใบหน้าซีดขาว ผมขาวราวหิมะ สวมชุดชาววังสีเขียวมรกตตลอดทั้งร่าง นั่งตัวตรงอยู่หลังโต๊ะ เบื้องหลังของนาง มีหญิงสาววัยเยาว์สองคนรุ่นราวคราวเดียวกันยืนอยู่ตรงนั้น


 


 


คนหนึ่งรูปร่างอรชอนอ้อนแอ้น ใบหน้ากลมเบิกบาน ดวงตาสดใสชวนให้หวั่นไหว


 


 


อีกคนหนึ่งรูปร่างเพรียวบาง ผิวขาวราวหิมะ ทว่าสีหน้ากลับดูเย็นชาผิดปกติ หญิงคนที่สองนี้เหมือนกับหญิงงามผู้นั้น สีหน้าค่อนข้างซีดขาวผิดปกติ


 


 


คนสองโต๊ะก่อนหน้ายังดี แม้ว่าหานลี่จะตกตะลึงกับระดับพลังยุทธ์ที่ลึกไม่อาจหยั่งประมาณของคนพวกนี้ แต่ท้ายที่สุดสีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่พอเห็นหญิงสาวสองคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่โต๊ะสุดท้าย หน้าก็เปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้


 


 


แต่ถึงอย่างเขาก็เป็นคนที่มีความคิดเกินคน สีหน้าแทบจะฟื้นฟูเป็นปกติในทันที ทว่าลึกลงไปในดวงตายังคงสั่นไหวอยู่ลางๆ เป็นอาการตกตะลึงที่มีแค่ตนเองเท่านั้นที่รู้


 


 


“ทำไมถึงเป็นสองคนนี้! หลังจากที่แยกย้ายกันในมหาสมุทรดาวคลั่งที่แดนมนุษย์เมื่อปีนั้น เขาก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวใดๆ เกี่ยวของหญิงทั้งสองนี้เลย แต่คาดคิดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่งว่าจะมาพบพวกนางอีกครั้งในถิ่นต่างเผ่าของแดนวิญญาณ ทว่าดูจากท่าทีสบายใจของสองคนนี้ คิดไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาคืนวิญญาณในปีนั้นจะสำเร็จจริงๆ” แม้ว่าหานลี่จะดึงสายตากลับมา แต่ภายในใจกลับมีคลื่นโหมซัดสาดอย่างรุนแรง ยากที่จะสงบได้ในชั่วขณะ


 


 


คิดไม่ถึงว่าหญิงงามผิวขาวราวหิมะผู้นั้นคือหยวนเหยาที่มหาสมุทรดาวคลั่งในปีนั้น ส่วนหญิงร่างอรชอนอ้อนแอ้นที่อยู่ข้างๆ ย่อมเป็นศิษย์พี่ของนาง เหยียนลี่ที่ปีนั้นเกือบจะกลัวจนขวัญกระเจิง


 


 


ตอนแรกที่เขาเพิ่งจะสำเร็จอิทธิฤทธิ์ได้เพียงเล็กน้อย ก็บังเอิญพบกับหยวนเหยาอยู่หลายครั้ง! ผลที่ได้คือ ในด้านหนึ่งเนื่องจากอีกฝ่ายขอร้อง อีกด้านหนึ่งเพราะซาบซึ้งในการตัดสินใจช่วยเหลือเหยียนลี่ของหญิงผู้นี้ ดังนั้นจึงช่วยเป็นผู้พิทักษ์ให้นางสำแดงเคล็ดวิชาลับคืนวิญญาณ แต่ใครจะคิดว่าระหว่างทางจะพบหมอกภูตในคำร่ำลือ ดูดเขาเข้าไปในดินแดนอเวจีทมิฬ ภายหลังต้องทุ่มพลังมหาศาลจึงจะหนีออกมาได้ แต่หลังจากออกมา ก็ไม่รู้ว่าหยวนเหยาอยู่ที่ใด หายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


ตอนนี้ได้มาพบกันในที่แห่งนี้ ทั้งยังอยู่ที่เดียวกับราชาปีศาจของเหวพสุธา หานลี่ย่อมรู้สึกตกตะลึงสุดๆ!


 


 


ขั่วพริบตาที่หานลี่กับเซวี่ยตู๋เดินเข้ามา สายตาของคนในวิหารย่อมต้องกวาดมองมาทางนี้ก่อนเป็นธรรมดา


 


 


พวกหยวนเหยา สองสาวได้เห็นหน้าหานลี่ อารมณ์กลับแตกต่างกันอย่างมาก


 


 


ดวงตาอันงดงามของหยวนเหยามีสีของความตกตะลึงพาดผ่าน ฉับพลันใบหน้าก็แลดูไร้ซึ่งอารมณ์ ดูไม่ออกถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย


 


 


ทว่าเหยียนลี่กลับกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าปรากฏความงุนงงสงสัยออกมา เห็นได้ชัดว่านางน่าจะลืมหานลี่ที่พบหน้าเพียงครั้งเดียวจนเกือบจะลืมสนิทแล้ว แค่รู้สึกว่าหานลี่ดูค่อนข้างคุ้นหน้าจริงๆ เท่านั้น!


 


 


“อ๋อ นี่ก็คือคนผู้นั้นที่พวกเจ้าพูดถึงสินะ? พลังยุทธิ์เพิ่งจะระดับแม่ทัพวิญญาณเท่านั้น จะใช้ประโยชน์ได้จริงๆ หรือ?” คิดไม่ถึงว่าหญิงงามผมขาวจะมีน้ำเสียงชราอย่างผิดปกติ พูดอย่างเย็นชา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)