เทพปีศาจหวนคืน 1462-1467

บทที่ 1462 ภารกิจของนิกายหลางหยา

 

บนภูเขาตงฮันมีวิญญาณความเด็ดเดี่ยวอยู่ทุกหนทุกแห่ง


 


ฟางหยวนหยิบหินบางก้อนขึ้นมาและใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวที่อยู่ภายในเสริมสร้างจิตวิญญาณของตนเอง


 


หลังจากไม่นานจิตวิญญาณของฟางหยวนก็พุ่งขึ้นสู่ระดับห้าล้านคน


 


ฟางหยวนรู้สึกราวกับมันกำลังจะระเบิด


 


เขารู้ว่านี่คือขีดจำกัด


 


ด้วยการใช้หุบเขาเหล่าโปขัดเกลา รากฐานจิตวิญญาณของเขาก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับหนึ่งล้านห้าแสนคน


 


‘หลังจากเสริมสร้างและขัดเกลา จากจิตวิญญาณหนึ่งล้านลดลงมาเหลือห้าแสน’


 


‘รวมเวลาการผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยว เวลาฝึกฝนและพักผ่อน ข้าต้องใช้เวลาครึ่งปีเพื่อเข้าถึงระดับสิบล้านคน’


 


ฟางหยวนประเมินและขมวดคิ้ว


 


มันช้าเกินไปสำหรับเขา


 


สิบปี หลังจากสิบปีวังสวรรค์จะสามารถกู้คืนวิญญาณชะตากรรม เมื่อเวลานั้นมาถึง ฟางหวนและนิกายเงาจะหมดสิ้นความหวัง


 


เขาต้องใช้เวลาครึ่งปีจากเวลาสิบปีเพื่อบรรลุถึงระดับสิบล้านคน นอกจากนี้ยังมีระดับร้อยล้านคนและสูงขึ้นไป


 


ฟางหยวนไม่พอใจกับความเร็วนี้


 


‘หากข้าสามารถเพิ่มผลผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยว ความเร็วในการบ่มเพาะของข้าจะเพิ่มขึ้น’


 


ผลผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยวจำกัดการเติบโตของเขา


 


ภูเขาตงฮันเป็นต้นเงินต้นทองของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มันต้องการดวงวิญญาณที่มีคุณภาพเพื่อสร้างวิญญาณความเด็ดเดี่ยวอย่างไม่รู้สิ้นสุด


 


ตามข้อตกลงก่อนหน้า วิญญาณความเด็ดเดี่ยวส่วนหนึ่งเป็นของนิกายหลางหยา พวกเขาต้องขายมันเพื่อทำกำไร รายได้ส่วนหนึ่งจะถูกมอบให้ฟางหยวน


 


แต่ตอนนี้ฟางหยวนต้องใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวส่วนหนึ่งเพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณ นี่ทำให้รายรับของเขาลดลง


 


โชคดีที่ธุรกิจปีทำเงินให้เขามากมาย


 


จากการประเมินของฟางหยวน มันไม่ฉลาดที่จะเจรจากับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเพื่อขอส่วนแบ่งเพิ่มเพราะนิกายหลางหยาก็ต้องใช้มันพัฒนานิกายหรือหลอมรวมวิญญาณเช่นหัน


 


พวกเขายังใช้มันในการหลอมรวมวิญญาณให้ฟางหยวน ตอนนี้พวกเขากำลังหลอมรวมวิญญาณหนอนไหมบัวขาวและวิญญาณอมตะอีกสองดวง หนึ่งในนั้นคือวิญญาณอมตะความลับสวรรค์ มันมาจากมรดกของเทพอมตะสวรรค์พิภพ ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อของนิกายเงาเคยใช้มันเพื่อสร้างท่าไม้ตายอมตะเผยความลับสวรรค์


 


ท่าไม้ตายนี้สามารถทำนายภัยพิบัติหรือเรื่องลี้ลับต่างๆ


 


หากนิกายหลางหยาประสบความสำเร็จในการหลอมรวม ฟางหยวนจะสามารถใช้มันเพื่อเปิดเผยความลับสวรรค์ มันจะช่วยให้เขาสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติ


 


‘อย่างไรก็ตามการมอบภารกิจหลอมรวมวิญญาณอมตะให้นิกายหลางหยาทำให้แต้มผลงานของข้าหมดลง ข้าต้องตรวจสอบสิ่งนี้!’


 


ดังนั้นหลังจากบ่มเพาะจิตวิญญาณ ฟางหยวนเริ่มตรวจสอบภารกิจของนิกายหลางหยา


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาคนปัจจุบันเหมาะสมกับการดูแลนิกายหลางหยามากกว่าจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาคนก่อนหน้า


 


ตอนนี้นิกายหลางหยามีภารกิจมากมาย ส่วนใหญ่เป็นภารกิจหลอมรวมวิญญาณที่ฟางหยวนมอบให้ ถัดมาก็เป็นการสำรวจไท่ชิว


 


ตั้งแต่นิกายหลางหยาสามารถจัดตั้งค่ายกลวิญญาณขนส่ง พวกเขาสามารถขุดค้นทรัพยากรออกมาจากไท่ชิว


 


นี่คือเส้นทางหลักในการพัฒนานิกายหลางหยา


 


แต่ไท่ชิวเป็นสถานที่อันตราย ผู้อมตะทั่วไปไม่ต้องการเข้าไปแม้จะมีทรัพยากรมากมาย สิ่งสำคัญก็คือผู้อมตะของนิกายหลางหยาชำนาญในการหลอมรวมวิญญาณแต่อ่อนแอด้านการต่อสู้


 


แม้พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นแต่ยังมีไม่กี่คนที่สามารถต่อสู้


 


ดังนั้นเมื่อพวกเขาพบสัตว์อสูรหรือพืชอสูรที่แข็งแกร่ง ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนจะไม่สามารถทำสิ่งใด


 


เมื่อเห็นภารกิจเหล่านี้ ฟางหยวนตัดสินใจเลือกภารกิจมากกว่าสิบภารกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด


 


“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง” ฟางหยวนติดต่อจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาผ่านวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูล


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาตอบกลับด้วยความยินดีหลังจากตระหนักถึงความต้องการของฟางหยวน “ฟางหยวน ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ภารกิจเหล่านี้เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก!”


 


แต่ฟางหยวนกลับส่ายศีรษะ “นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการพูดคุยกับท่าน ข้าต้องการส่งลูกน้องไปจัดการภารกิจเหล่านี้ให้ข้า เรื่องนี้ไม่ขัดต่อกฎของนิกายหลางหยาใช่หรือไม่?”


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามึนงงเล็กน้อย เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เมื่อเขาสร้างกฎของนิกาย


 


กล่าวถึงเรื่องนี้ มันไม่ใช่ช่องโหว่ แต่ผู้อมตะที่รับภารกิจไม่มีสิทธิขอความช่วยเหลือจากบางคนเช่นนั้นหรือ?


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาตอบกลับ “เช่นนั้นเจ้าต้องแน่ใจว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้จะไม่ทำร้ายนิกายหลางหยา!”


 


ฟางหยวนยิ้ม “แน่นอน”


 


หลังจากพูดคุยกับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา ฟางหยวนก็นำสมาชิกนิกายเงาออกมา


 


ไห่ลั่วหลัน อิงอู๋เซี่ย เทพธิดาเมี่ยวหยิน และเทพธิดากระต่ายขาว


 


ฟางหยวนสามารถใช้งานคนทั้งสี่ได้อย่างเต็มที่


 


สุดท้ายไป่หนิงปิงก็เข้าร่วมด้วย


 


จากมุมมองของนาง นางเป็นพันธมิตรของฟางหยวนเพื่อกู้คืนร่างบุรุษโดยการหลอมรวมวิญญาณอมตะกงล้อหยินหยาง


 


เมื่อนางตระหนักว่าฟางหยวนพึ่งพานิกายหลางหยาเพื่อหลอมรวมวิญญาณ นางเริ่มสนใจนิกายหลางหยาเช่นกัน


 


น่าเสียดายที่นิกายหลางหยาไม่ไว้ใจคนนอกเช่นไป่หนิงปิง นอกจากนั้นฟางหยวนยังลอบขัดขวางและบังคับให้ไป่หนิงปิงต้องพึ่งพาเขา


 


นางเป็นพันธมิตร ฟางหยวนไม่สามารถสั่งนาง แต่ฟางหยวนจะละทิ้งพลังการต่อสู้ของนางได้อย่างไร?


 


ภายใต้การเจรจา ไป่หนิงปิงเชื่อว่าตราบเท่าที่นางสังหารสัตว์อสูรและพืชอสูรมากขึ้น นางจะได้รับแต้มผลงานของนิกายหลางหยาผ่านฟางหยวน เขาจะใช้พวกมันเพื่อช่วยนางหลอมรวมวิญญาณอมตะกงล้อหยินหยาง


 


หลายวันต่อมา


 


มิติช่องว่างจักรพรรดิ ภาคเหนือน้อย


 


เกล็ดหิมะขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า


 


มันมีขนาดเท่ากับฝ่ามือของผู้ใหญ่และเป็นทรัพยากรอมตะระดับหกที่เรียกว่าหิมะเริงระบำ มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและจะไม่ละลายตราบเท่าที่อุณหภูมิยังเย็นในระดับหนึ่ง มันจะลอยอยู่กลางอากาศตลอดเวลา แม้มันจะตกลงบนพื้น มันก็จะลอยขึ้นมาอีกครั้ง


 


ฟางหยวนตรวจสอบและไม่พบปัญหา ‘ตอนนี้ข้าจัดการของขวัญจากเผ่ามนุษย์หิมะเรียบร้อยแล้ว’


 


เผ่ามนุษย์หิมะต้องการสร้างสายสัมพันธ์กับฟางหยวนผ่านการแต่งงาน แน่นอนว่าเซี่ยเอ๋อย่อมไม่มามือเปล่า


 


นางนำของขวัญมามอบให้ฟางหยวน


 


ส่วนใหญ่คือแก่นแท้บัวหิมะ นี่เป็นทรัพยากรอมตะที่หายากแม้แต่ในสวรรค์สีเหลือง ฟางหยวนเก็บมันไว้ในภาคเหนือน้อย


 


ต่อมาคือหิมะเริงระบำ มันเป็นเรื่องบังเอิญที่สิ่งนี้เป็นอาหารของวิญญาณอมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของฟางหยวน มันสามารถเป็นอาหารให้กับวิญญาณอมตะถึงห้าครั้ง


 


ความยากในการให้อาหารวิญญาณอมตะระดับหกแตกต่างจากวิญญาณอมตะระดับแปด


 


ฟางหยวนไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆแต่กลับได้รับหิมะเริงระบำมาอย่างง่ายดาย


 


นอกจากนั้นยังมีทรัพยากรอีกหลายอย่างที่ไม่มีประโยชน์สำหรับฟางหยวน บางส่วนถูกขายออกไปขณะที่บางส่วนถูกเก็บเอาไว้


 


‘มันยังน้อยเกินไป หากข้าสามารถหาทรัพยากรได้มากขึ้น มิติช่องว่างของข้าจะพัฒนาได้เร็วขึ้น’


 


‘เมื่อเผ่ามนุษย์หิมะต้องการแต่งงานกับข้า ของขวัญเท่านี้ยังไม่เพียงพอ’


 


ฟางหยวนเย้ยหยัน


 


เขายอมรับของขวัญทั้งหมดแต่ยังไม่ให้คำตอบใดๆแก่เผ่ามนุษย์หิมะ


 


หลังจากจัดการมิติช่องว่าง ฟางหยวนกลับไปบ่มเพาะจิตวิญญาณของเขาอีกครั้ง


 


เขาหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝน รากฐานของเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากการบ่มเพาะจิตวิญญาณ เขายังใช้แสงแห่งปัญญาเพื่อดัดแปลงท่าไม้ตายต่างๆ


 


เขามีท่าไม้ตายมากมาย พวกมันเกี่ยวข้องกับทุกเส้นทาง เขาต้องดัดแปลงท่าไม้ตายที่มีประโยชน์เพื่อยกระดับพลังการต่อสู้ของเขา


 


ขณะที่ฟางหยวนกำลังบ่มเพาะ สมาชิกนิกายเงากำลังสำรวจไท่ชิวและต่อสู้ ผมที่หกและจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยากำลังหลอมรวมวิญญาณอมตะให้ฟางหยวน กล่าวได้ว่าเกือบทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับเป้าหมายของพวกเขา เซี่ยเอ๋อกลายเป็นคนที่กังวลมากที่สุด


 


หญิงงามเผ่ามนุษย์หิมะผู้นี้ได้รับภารกิจจากเผ่าของนาง แต่ฟางหยวนรับของขวัญเอาไว้โดยไม่แม้แต่จะให้นางเข้าพบ นางรู้สึกพูดไม่ออกและไม่สามารถทำสิ่งใด


 


เซี่ยเอ๋อขอพบฟางหยวนหลายครั้ง แต่นางเป็นเพียงผู้อมตะระดับหกขณะที่ฟางหยวนมีพลังการต่อสู้ระดับแปด ความแข็งแกร่งของทั้งสองแตกต่างกันมากเกินไป นอกจากนั้นฟางหยวนยังอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาและปฏิเสธการขอเข้าพบทุกครั้งของนาง


 


ด้วยเหตุนี้เซี่ยเอ๋อจึงไม่สามารถเข้าพบเขา นางรู้สึกท้อแท้มาก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลและความโกรธ


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่เผ่ามนุษย์หิมะส่งจดหมายมาเร่งเร้านางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เซี่ยเอ๋อรู้สึกมีความหวังมากขึ้น


 


เนื่องจากเผ่ามนุษย์หิมะเห็นว่าเซี่ยเอ๋อไม่มีความคืบหน้า พวกเขาจึงต้องหารือและสรุปว่าเมื่อฟางหยวนยอมรับของขวัญ นั่นหมายความว่าเขาไม่ปฏิเสธการแต่งงาน แต่เหตุผลที่เขาไม่ให้เซี่ยเอ๋อเข้าพบเป็นเพราะของขวัญยังไม่เพียงพอต่อสถานะอันสูงส่งของเขา


 


ดังนั้นเผ่ามนุษย์หิมะจึงรวบรวมของขวัญเพิ่มเติมและส่งให้เซี่ยเอ๋อ


 


“เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้?”


 


“ข้าคือความภาคภูมิใจของเผ่ามนุษย์หิมะ ความงามของข้าได้รับการยอมรับจากสาธารณชน ครั้งนี้ข้าเป็นฝ่ายขอแต่งงานและนำของขวัญมามอบให้เขาแต่มันยังไม่พอให้ข้าได้พบเขาแม้แต่ครั้งเดียว!”


 


ด้วยอารมณ์อันหนักหน่วงง เซี่ยเอ๋อขอเข้าพบฟางหยวนอีกครั้ง


 


ในที่สุดฟางหยวนก็ให้นางเข้าพบ


 


แต่สิ่งที่เขากล่าวกลับเป็นสิ่งที่นางไม่คาดหวัง

 

 

 


บทที่ 1463 บททดสอบของเซี่ยเอ๋อ

 

ฟางหยวนมองไปที่เซี่ยเอ๋อ


 


นางยังเด็กและงดงาม นางมีดวงตาและเส้นผมสีฟ้า ผิวของนางบอบบางและมีหน้าอกที่อวบอิ่ม นางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเผ่ามนุษย์หิมะ


 


แต่ฟางหยวนไม่หวั่นไหวในความงามของนาง ไม่เพียงเท่านั้นเขายังสร้างปัญหาให้นางอีกด้วย “นี่คือความจริงใจของเผ่ามนุษย์หิมะงั้นหรือ?”


 


เซี่ยเอ๋อไม่เข้าใจความหมายของฟางหยวน นางรีบตอบ “ท่านฟางหยวน โปรดอย่าเข้าใจผิด”


 


“ของขวัญเพียงเล็กน้อยแต่เจ้าต้องการแต่งงานกับข้า? เผ่าของเจ้ากำลังฝันหากพวกเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะได้รับความช่วยเหลือจากพลังการต่อสู้ระดับแปด” ฟางหยวนเย้ยหยัน


 


เซี่ยเอ๋อมึนงง


 


ฟางหยวนกล่าวอย่างชัดเจน นางไม่สามารถยอมรับได้


 


นางยังรู้สึกเขินอายและโกรธแค้นอยู่ในใจ


 


นางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง นางนำของขวัญมาเพื่อขอแต่งงาน นางก้มศีรษะลงและลดสถานะของตนเอง


 


แต่ฟางหยวนยังดูแคลนนางและเต็มไปด้วยความโลภโดยกล่าวว่าเผ่ามนุษย์หิมะไม่มีความจริงใจ


 


มันจะน้อยไปได้อย่างไร?


 


ของขวัญทั้งหมดล้ำค่ามาก เผ่ามนุษย์หิมะนำพวกมันออกมาจากคลังสมบัติเพื่อฟางหยวนโดยเฉพาะ


 


เดิมทีเซี่ยเอ๋อมีความประทับใจที่ดีต่อฟางหยวนเพราะเขามีพรสวรรค์ที่น่าเหลือเชื่อและมีพลังการต่อสู้ระดับแปด มันเป็นความสำเร็จที่น้อยคนจะทำได้ แต่ตอนนี้ความประทับใจของนางที่มีต่อเขากลับร่วงหล่นลงจนถึงจุดต่ำสุด


 


นางต้องการจากไปแต่ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องของนางเพียงผู้เดียว นางรับภารกิจสำคัญมาจากเผ่า


 


เซี่ยเอ๋อสูดหายใจลึกก่อนถาม “ท่านฟางหยวน ท่านได้รับของขวัญสองชุดแล้ว ข้าแน่ใจว่าท่านเห็นด้วยกับการแต่งงานของเรา หากท่านไม่พอใจของขวัญ ท่านสามารถบอกความต้องการของท่าน ข้าจะนำพวกมันกลับไปพูดคุยกับผู้อาวุโสของเรา”


 


ฟางหยวนเตรียมรายการของขวัญไว้แล้ว เขาส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับเซี่ยเอ๋อทันที


 


“นี่!?” ดวงตาของเซี่ยเอ๋อแทบหลุดออกมาจากเบ้า


 


ความโลภของฟางหยวนน่าตกใจเกินไป


 


“ไม่ใช่เพียงเท่านี้” ฟางหยวนกล่าวต่อ


 


“ท่านยังมีคำขออื่นอีกงั้นหรือ?” การแสดงออกของเซี่ยเอ๋อกลายเป็นไม่น่ามองขณะที่นางพยายามระงับความโกรธ


 


แต่ฟางหยวนไม่สะทกสะท้าน เขากล่าว “หากเผ่าของเจ้าสามารถตอบสนองความต้องการของข้า นั่นเพียงพอแล้ว แต่ตัวเจ้าเองยังไม่ได้แสดงความจริงใจมากพอ”


 


“ความจริงใจของข้า?”


 


ฟางหยวนเงยหน้าขึ้นและยิ้ม “ไม่ใช่ผู้ใดก็ได้ที่สามารถเป็นภรรยาของข้า ภรรยาของฟางหยวน แม้เผ่ามนุษย์หิมะจะแนะนำเจ้า แต่คุณสมบัติของเขาเจ้าจะขึ้นอยู่กับการทดสอบของข้า”


 


“การทดสอบ?” เซี่ยเอ๋อกัดฟันแน่น “โปรดอธิบายให้ข้าฟังด้วย”


 


ฟางหยวนกล่าว “ไปที่ไท่ชิวและรวบรวมวิญญาณให้ข้า เมื่อเจ้าไปที่นั่นจะมีบางคนดูแลเจ้า”


 


เซี่ยเอ๋อรู้สึกปวดใจ อัจฉริยะเช่นนางได้รับการปฏิบัติที่เย็นชาเยี่ยงนี้ได้อย่างไร?


 


แต่เนื่องจากมันเป็นภารกิจของเผ่า นางจึงต้องพยักหน้าตอบรับ


 


เมื่อเห็นเซี่ยเอ๋อออกไป ฟางหยวนเริ่มครุ่นคิด


 


ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถใช้พลังการต่อสู้ของเซี่ยเอ๋อเพื่อประโยชน์ของตนเอง


 


แต่นั่นไม่สำคัญ


 


เป้าหมายของเขาคือการตรวจสอบฝ่ายตรงข้าม


 


ยอมรับของขวัญสองชิ้น แสดงความไม่พอใจ และทดสอบเซี่ยเอ๋อ นี่คือบททดสอบขั้นต่ำที่สุดของเผ่ามนุษย์หิมะ


 


เมื่อพวกเขาต้องการสร้างความสัมพันธ์ผ่านการแต่งงาน พวกเขาก็ต้องมีความมุ่งมั่น


 


ยิ่งพวกเขามุ่งมั่นมากเท่าใด ฟางหยวนก็จะได้รับผลประโยชน์มากเท่านั้น


 


ฟางหยวนไร้ความกังวล


 


การแต่งงานไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นภายในเวลาอันสั้น ทั้งสองฝ่ายยังไม่คุ้นเคยกัน ฟางหยวนตรวจสอบเผ่ามนุษย์หิมะ เผ่ามนุษย์หิมะก็กำลังตรวจสอบฟางหยวนเช่นกัน


 


แต่ฟางหยวนมั่นใจว่ามันเป็นประโยชน์ต่อเขา


 


การเชื่อมต่อผ่านการแต่งงานไม่ใช่เรื่องสำคัญ


 


ฟางหยวนปัดเป่าความคิดออกไปอย่างรวดเร็วและกลับไปให้ความสนใจกับบ่มเพาะ


 


การบ่มเพาะจิตวิญญาณเป็นเรื่องหนึ่ง การจัดการมิติช่องว่างก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นฟางหยวนยังใช้แสงแห่งปัญญาเพื่อดัดแปลงท่าไม้ตายของเขา


 


ท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของฟางหยวนคือเกราะหวนคืนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ดัดแปลงมัน


 


แม้เกราะหวนคืนจะถูกตอบโต้โดยวังสวรรค์ แต่เวลานี้ฟางหยวนยังไม่มีอันตราย เขาอยู่ที่ภาคเหนือและยังอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา เขามีอาภรณ์วิญญาณ วังสวรรค์ยังไม่สามารถตรวจสอบตำแหน่งที่อยู่ของเขาในเร็ววันนี้


 


นอกจากนั้นการพัฒนาเกราะหวนคืนยังต้องใช้เวลาอีกมาก มันนานเกินไป


 


ฟางหยวนตัดสินใจใช้แสงแห่งปัญญาดัดแปลงท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของราชันภูเขาม่วง


 


เหตุใดเขาถึงเลือกสิ่งนี้?


 


ประการแรก ท่าไม้ตายอมตะของราชันภูเขาม่วงทรงพลังและมีประสิทธิภาพสูงมาก ประการที่สอง ฟางหยวนเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญา เขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะดัดแปลงพวกมัน ประการสุดท้าย ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ถูกทิ้งไว้โดยราชันภูเขาม่วง


 


ค่ายกลวิญญาณแม่น้ำโลหิตสีม่วง เกราะแสงความคิดสีม่วง ความคิดอุกกาบาตเพลิง ความคิดดอกไม้เบ่งบาน แสงแห่งปัญญาสีม่วง หมอกสับสน และอื่นๆอีกมากมาย ราชันภูเขาม่วงใช้วิธีการเหล่านี้เผชิญหน้ากับราชันมังกรแต่ในเวลานั้นเขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด


 


ขณะเดียวกันราชันมังกรคือผู้ใด?


 


เขาเป็นอาจารย์ของเทพปีศาจบัวแดง เขามีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่และมีพลังการต่อสู้ที่ไม่มีผู้ใดในยุคปัจจุบันที่สามารถเทียบเคียง เขาอยู่บนจุดสูงสุดของระดับแปด!


 


ขณะที่ฟางหยวนกำลังดัดแปลงท่าไม้ตายเหล่านั้น อิงอู๋เซี่ยได้พบกับเซี่ยเอ๋อ


 


“เจ้าคือเซี่ยเอ๋องั้นหรือ?” อิงอู๋เซี่ยถาม


 


เซี่ยเอ๋อเห็นอิงอู๋เซี่ยในร่างเทพธิดาซุ้ยป๋อที่มีรูปร่างบอบบางและดูเด็กกว่านางพร้อมกับผิวขาวราวหิมะในชุดสีเขียวลายดอกไม้


 


กล่าวได้ว่าเทพธิดาซุ้ยป๋องดงามและมีเสน่ห์มาก หากไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ นางจะเป็นสนมที่บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงชื่นชอบมากที่สุดได้อย่างไร


 


‘ผู้อมตะหญิงผู้นี้คือผู้ใด? นางมีความสัมพันธ์อย่างไรกับฟางหยวน? เผ่าของเราไม่มีข้อมูลนี้และนางคือผู้อมตะระดับเจ็ด!’ เซี่ยเอ๋อเต็มไปด้วยความสงสัยแต่นางยังยิ้ม “ข้าคือเซี่ยเอ๋อ น้องสาวผู้งดงาม ข้าขอทราบชื่อของเจ้าได้หรือไม่?”


 


อิงอู๋เซี่ยขมวดคิ้ว


 


หลังจากได้รับร่างของเทพธิดาซุ้ยป๋อ อิงอู๋เซี่ยค่อนข้างอึดอัดใจ เขาขอให้ฟางหยวนเปลี่ยนร่างของเขา แม้เขาจะกลายเป็นผู้อมตะระดับหก มันก็ยังดีตราบเท่าที่เขายังสามารถบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ


 


“อย่าเรียกข้าว่าน้องสาว เรียกข้าว่าพี่อู๋เซี่ย” อิงอู๋เซี่ยโบกมือ “ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบกับพวกเรา นี่คือบททดสอบของท่านผู้นำ แล้วมาดูกันว่าผู้ใดจะได้รับวิญญาณคุณภาพสูงกว่าในช่วงเวลาเดียวกัน”


 


“เข้าใจแล้ว” เซี่ยเอ๋อตอบแต่นางยังมีคำถามอยู่ในใจ


 


นางเดินตามอิงอู๋เซี่ยและคิด ‘หญิงผู้นี้แปลกมาก นางต้องการให้ข้าเรียกว่าพี่งั้นหรือ?”


 


ทั้งสองออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาและไปถึงไท่ชิวด้วยค่ายกลวิญญาณขนส่ง


 


เซี่ยเอ๋อประหม่ามากเพราะนางรู้ว่าที่นี่คือสถานที่อันตรายที่มีชื่อเสียงของภาคเหนือ


 


ในเวลาเดียวกันนางเริ่มรู้สึกไม่สบายใจต่อการทดสอบ นางเป็นเพียงผู้อมตะระดับหกที่เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบ


 


“มากับข้า เร็วเข้า!”


 


“เวลามีค่า เราต้องใช้ทุกนาทีเพื่อฝึกฝน”


 


อิงอู๋เซี่ยเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นี่เป็นผลกระทบจากท่าไม้ตายอมตะจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พุ่งทะยาน


 


เซี่ยเอ๋อรู้สึกว่าอิงอู๋เซี่ยเป็นคนแปลกมาก อิงอู๋เซี่ยอยู่ในรูปลักษณ์ที่งดงามแต่นางกลับทำตัวราวกับเด็กน้อยเอาแต่ใจ


 


“แต่การบินไม่ประมาทเกินไปงั้นหรือ?” เซี่ยเอ๋อรู้สึกกังวล นี่คือไท่ชิว มีสัตว์อสูรที่ดุร้ายอยู่มากมาย อันตรายมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง การบินไปอย่างเปิดเผยจะทำให้พวกนางตกเป็นเป้าหมาย


 


ขณะที่บินอยู่บนท้องฟ้า เซี่ยเอ๋อรู้สึกประหม่ามาก นางเกรงว่าจะถูกสัตว์อสูรโจมตี


 


แต่หลังจากบินไปได้สักพัก ความกังวลของนางกลับไม่เกิดขึ้น


 


แท้จริงแล้วความกังวลของนางลดลงแต่ถูกแทนที่ด้วยความตกใจ


 


‘พื้นที่รอบๆค่ายกลวิญญาณขนส่งอยู่ภายใต้การควบคุมของนิกายหลางหยา พวกเขาสำรวจไท่ชิวได้ถึงระดับนี้แล้ว!’


 


‘ดูเหมือนความแข็งแกร่งของนิกายหลางหยาจะเหนือกว่าการประเมินจากเผ่าของข้า’ เซี่ยเอ๋อส่งข้อมูลนี้กลับไปยังเผ่ามนุษย์หิมะทันที


 


“โอ้ ฝูงคชสารมังกร!” เซี่ยเอ๋ออุทาน


 


อิงอู๋เซี่ยรู้สึกประหลาดใจที่ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะผู้นี้ค้นพบการคงอยู่ของฝูงคชสารมังกรได้อย่างรวดเร็ว


 


“ท่านผู้นำต้องการฝูงคชสารมังกรเหล่านี้ ไปจับพวกมันกันเถอะ” อิงอู๋เซี่ยเปลี่ยนทิศ


 


เซี่ยเอ๋อไม่แปลกใจเพราะคชสารมังกรอยู่ในรายการของขวัญที่ฟางหยวนต้องการ


 


คชสารมังกรส่วนใหญ่เป็นสัตว์อสูรทั่วไป มีคชสารมังกรเพียงสามตัวที่อยู่ในระดับสัตว์อสูรเดียวดาย


 


อิงอู๋เซี่ยบินลงไปและใช้ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณทำให้ฝูงคชสารมังกรหมดสติไปอย่างรวดเร็ว


 


‘ทักษะน่าประทับใจ’ เซี่ยเอ๋อตกใจเล็กน้อยแต่มีคำถามใหม่เกิดขึ้นในใจของนาง ‘นางปลดปล่อยกลิ่นอายบนเส้นทางแห่งวารีออกมา แต่เหตุใดนางถึงใช้วิธีบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ?’


 


อิงอู๋เซี่ยเก็บคชสารมังกรไว้ในมิติช่องว่างก่อนจะเดินเข้าไปหาเซี่ยเอ๋อ


 


ครู่ต่อมาพวกนางก็พบไห่ลั่วหลัน


 


‘อีกหนึ่งหญิงงาม!’ เซี่ยเอ๋อขมวดคิ้ว


 


นางลอบสังเกต ‘หากเทียบกับอู๋เซี่ย คนผู้นี้เป็นเพียงผู้อมตะระดับหก นางเหมือนกับข้า’


 


เซี่ยเอ๋อลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

 

 


บทที่ 1464 ไม่แปลกใจที่ถูกดูแคลน

 

เซี่ยเอ๋อเป็นอัจฉริยะของเผ่ามนุษย์หิมะ แต่เผ่ามนุษย์หิมะมีทรัพยากรเพียงเล็กน้อย


 


นางสามารถก้าวเข้าสู่ระดับหกในช่วงอายุนี้ นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากแล้ว แต่หลังจากพบอิงอู๋เซี่ย นางไม่สามารถเปรียบเทียบกับผู้อมตะระดับเจ็ดผู้นี้ แม้นางจะไม่แสดงออก แต่นางรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก


 


เมื่อนางเห็นผู้อมตะระดับหก หัวใจที่หนักอึ้งของนางก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย


 


“สวัสดี เจ้าสามารถเรียกข้าว่าเซี่ยเอ๋อ” เซี่ยเอ๋อแนะนำตัวเอง นางรู้สึกว่านางควรเป็นมิตรกับผู้ใต้บังคับบัญชาของฟางหยวน


 


“อืม เรียกข้าว่าลั่วหลัน” ไห่ลั่วหลันยิ้มและลอบประเมินเซี่ยเอ๋อ


 


นางคิด ‘ผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะ? นางเข้าหาพวกเราเพราะเหตุใด? ฟางหยวน…เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่?’


 


ความสัมพันธ์ระหว่างฟางหยวนกับเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ถูกเก็บเป็นความลับ มีเพียงอิงอู๋เซี่ยผู้เดียวที่รู้ ไห่ลั่วหลันรู้เพียงว่าฟางหยวนต้องการให้เซี่ยเอ๋อเข้าร่วมในภารกิจสำรวจไท่ชิวเท่านั้น


 


“เอาล่ะ หลังจากแนะนำตัวเสร็จแล้ว เราจะไปกันต่อ” อิงอู๋เซี่ยกล่าว


 


เขาใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลเพื่อค้นหาตำแหน่งของเทพธิดาเมี่ยวหยินและเทพธิดากระต่ายขาว


 


“ไห่ลั่วหลัน ทำงานของเจ้าต่อไป ข้าจะพาเซี่ยเอ๋อไปหาคนอื่นๆ”


 


หลังกล่าวจบคำทั้งสองก็จากไป


 


สัญชาตญาณของไห่ลั่วหลันบอกนางว่าการเข้าร่วมของเซี่ยเอ๋อมีเป้าหมายที่ไม่ธรรมดา


 


ไห่ลั่วหลันเป็นคนทะเยอทะยาน แม้นางจะอยู่ภายใต้ข้อตกลงพันธมิตรและสูญเสียอิสรภาพ แต่นางยังคิดวิธีหลบหนีจากพันธนาการนี้ตลอดเวลา


 


ผู้ใดจะไม่ต้องการอิสรภาพ?


 


“รอเดี๋ยว ข้าจะไปกับพวกเจ้า ข้ามีหน้าที่หาหมูป่างาช้าง แต่ข้าหามันไม่พบ ข้าจะขอให้เมี่ยวหยินช่วยข้าหาพวกมัน” ไห่ลั่วหลันบินตามไป


 


เซี่ยเอ๋อมีความสุขมาก นางต้องการสร้างความใกล้ชิดกับไห่ลั่วหลัน


 


ขณะเดียวกันไห่ลั่วหลันก็ต้องการตรวจสอบเซี่ยเอ๋อ ดังนั้นนางจึงแสดงออกอย่างเป็นมิตร


 


“พี่สาวลั่วหลัน ข้าดีใจมากที่ได้พบท่าน” เซี่ยเอ๋อเรียกไห่ลั่วหลันว่าพี่สาวและทำให้สถานะของนางดูต่ำกว่า


 


‘ผู้หญิงที่โง่เขลา…’ ไห่ลั่วหลันเย้ยหยันอยู่ภายใน


 


นางเคยเป็นผู้ชนะในสงครามชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของภาคเหนือ นางมีฝีมือในการวางแผน หากเปรียบเทียบกับเซี่ยเอ๋อที่อาศัยอยู่อย่างสงบสุขในเผ่ามนุษย์หิมะ นางถือเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา


 


ในไม่ช้าไห่ลั่วหลันก็พบว่าเซี่ยเอ๋อต้องการข้อมูลเกี่ยวกับนิกายหลางหยา


 


นางใช้ความตั้งใจของเซี่ยเอ๋อเพื่อตรวจสอบฝ่ายหลังต่อไป


 


เซี่ยเอ๋อไม่สามารถแข่งขันกับไห่ลั่วหลัน นางกำลังจะบอกข้อมูลต่างๆออกมาแต่อิงอู๋เซี่ยกลับกล่าวแทรก “นั่นไม่ใช่หมูป่างาช้างงั้นหรือ? ไห่ลั่วหลัน เจ้าโชคดีมาก เจ้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเมี่ยวหยิน”


 


ด้วยการชี้นำของอิงอู๋เซี่ย เซี่ยเอ๋อค้นพบสัตว์อสูรบรรพกาล


 


มันเป็นสัตว์อสูรที่มีร่างกายใหญ่โต มันนอนอยู่บนพื้นและปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา


 


หัวใจของเซี่ยเอ๋อเต้นแรง นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหมูป่างาช้าง


 


ไห่ลั่วหลันที่ถูกขัดจังหวะรู้สึกโกรธ แต่นางก็ไม่สามารถโต้ตอบอิงอู๋เซี่ย นางพ่นลมหายใจออกมาและบินเข้าไปหาหมูป่างาช้าง


 


“พี่สาวลั่วหลัน ระวังตัวด้วย” เซี่ยเอ๋อกล่าวด้วยความห่วงใย แต่ภายในลอบยกย่องความกล้าหาญของไห่ลั่วหลัน ด้วยการบ่มเพาะระดับหก เซี่ยเอ๋อคิดว่าไห่ลั่วหลันต้องพึ่งพาเทพธิดาซุ้ยป๋อ


 


แต่ฉากต่อไปกลับทำให้เซี่ยเอ๋อตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์


 


ไห่ลั่วหลันดุร้ายยิ่งกว่าหมูป่างาช้าง เมื่อนางต่อสู้ กลิ่นอายของนางเปลี่ยนไปทันที เปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวลุกไหม้ขึ้นบนร่างของนาง


 


‘ผู้อมตะระดับหกที่มีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับผู้อมตะระดับเจ็ด อา…แข็งแกร่งนัก!’ เปลือกตาของเซี่ยเอ่อกระตุกเมื่อเห็นการต่อสู้ของไห่ลั่วหลัน


 


ไห่ลั่วหลันได้รับมรดกและวิญญาณอมตะมาจากนางมารผลาญสวรรค์ ฟางหยวนไม่ได้รับมรดกนี้เพราะเขามีมรดกมากพอแล้ว เขาปล่อยให้ไห่ลั่วหลันใช้วิธีการต่อสู้ของนางต่อไป


 


ภายใต้การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวของไห่ลั่วหลัว หมูป่างาช้างโกรธจัดก่อนจะบ้าคลั่งและหลบหนีหลังจากพ่ายแพ้


 


เซี่ยเอ๋อตกใจมาก


 


ไห่ลั่วหลันระเบิดพลังการต่อสู้ระดับเจ็ดออกมา สิ่งนี้เกินกว่าความคาดหมายของเซี่ยเอ๋อ


 


‘พี่สาวลั่วหลันแข็งแกร่งมาก ท่าไม้ตายอมตะของนางทรงพลังจริงๆ’


 


‘อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่านางปลดปล่อยกลิ่นอายบนเส้นทางความแข็งแกร่งออกมา แต่เหตุใดนางถึงใช้วิธีการบนเส้นทางแห่งไฟ?’


 


นางทั้งตกใจและสงสัย


 


เซี่ยเอ๋อไม่เข้าใจ


 


เทพธิดาซุ้ยป๋อที่ปลดปล่อยกลิ่นอายบนเส้นทางแห่งวารีแต่ใช้วิธีบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณและตอนนี้ไห่ลั่วหลันที่ปลดปล่อยกลิ่นอายบนเส้นทางความแข็งแกร่งกลับใช้วิธีบนเส้นทางแห่งไฟ


 


“เอาล่ะ ไปกันต่อเถอะ” หลังจากรวบรวมซากศพของหมูป่างาช้าง ไห่ลั่วหลันก็กลับมา


 


“พี่สาวลั่วหลันช่างยอดเยี่ยมนัก!” เซี่ยเอ๋อมองไห่ลั่วหลันด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ


 


ไห่ลั่วหลันส่ายศีรษะ “มันไม่ถือเป็นสิ่งใด”


 


“ไม่ ไม่ ท่านน่าทึ่งมาก ท่านเป็นผู้อมตะระดับหกแต่มีพลังการต่อสู้ระดับเจ็ด นี่ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับผู้อมตะทั่วไป” เซี่ยเอ๋อโบกมือ


 


ไห่ลั่วหลันเผยรอยยิ้มขมขื่น “นี่ไม่ใช่สิ่งใดจริงๆ เปรียบเทียบกับสมาชิกทั้งหมดของนิกายเงา ข้าธรรมดามาก”


 


คำตอบของไห่ลั่วหลันทำให้หัวใจของเซี่ยเอ๋อเต้นแรง


 


ไห่ลั่วหลันกล่าวต่อ “เมื่อเจ้าพบพวกเขา เจ้าจะเข้าใจ ไปกันเถอะ”


 


ไห่ลั่วหลันเสร็จสิ้นภารกิจของนางแล้วแต่นางยังไม่กลับ นางตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อตรวจสอบเซี่ยเอ๋อ


 


หลังจากไม่นานพวกนางก็พบกับเทพธิดาเมี่ยวหยินและเทพธิดากระต่ายขาว


 


เทพธิดากระต่ายขาวเป็นผู้อมตะระดับหก นางไม่ทรงพลังเหมือนไห่ลั่วหลัน มันอันตรายที่นางจะเดินทางเพียงลำพังในไท่ชิว


 


ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงให้นางทำงานร่วมกับเทพธิดาเมี่ยวหยิน


 


แน่นอนว่าเมื่อนางกลายเป็นนางเสือดำ นางจะมีพลังการต่อสู้ระดับเจ็ด แต่ร่างนางเสือดำก็อยู่ได้ไม่นานนัก


 


“สวัสดี เซี่ยเอ๋อ” เทพธิดาเมี่ยวหยินเผยรอยยิ้มอ่อนโยน


 


“เจ้าเป็นผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะงั้นหรือ? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยเห็น” เทพธิดากระต่ายขาวกล่าว


 


‘สถานการณ์นี้คือสิ่งใด?’ เซี่ยเอ๋อรู้สึกหดหู่ใจ


 


เทพธิดาเมี่ยวหยินเป็นหนึ่งในสามผู้อมตะหญิงที่งดงามที่สุดของภาคใต้ นางมีใบหน้าและร่างกายที่งดงามเย้ายวนใจ ภายใต้ชุดสีแดงอมชมพู นางยิ่งดูมีเสน่ห์


 


สำหรับเทพธิดากระต่ายขาว นางดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา กลิ่นอายของนางแตกต่างจากเทพธิดาเมี่ยวหยิน เซี่ยเอ๋อรู้สึกว่านางน่ารักมากตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น สิ่งนี้ทำให้นางเป็นที่รักและได้รับความไว้วางใจอย่างง่ายดาย


 


เซี่ยเอ๋อวิเคราะห์อย่างหนัก


 


นางพบว่าเทพธิดาเมี่ยวหยินเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดขณะที่เทพธิดากระต่ายขาวเป็นผู้อมตะระดับหกคล้ายนาง


 


แต่หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับไห่ลั่วหลัน เซี่ยเอ๋อไม่กล้ามองเทพธิดากระต่ายขาวเหมือนผู้อมตะระดับหกทั่วไป


 


หลังจากสนทนา ทุกคนให้การต้อนรับเซี่ยเอ๋ออย่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


แต่เซี่ยเอ๋อค่อนข้างปากแข็ง ไม่ใช่ว่านางกลายเป็นนักวางแผน แต่เพราะมีหญิงงามมากมายอยู่รอบๆ นี่ทำให้เซี่ยเอ๋อรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก


 


เหตุใดนางถึงมาที่นี่?


 


เพราะนางต้องการแต่งงานกับฟางหยวน


 


หากนางประกาศตัวเองว่านางจะเป็นภรรยาในอนาคตของฟางหยวนต่อหน้าหญิงงามเหล่านี้ นั่นไม่ใช่การยั่วยุงั้นหรือ? นางไม่ได้ไร้ยางอายถึงเพียงนั้น


 


ในเวลาเดียวกันคำถามหนึ่งก็กดดันเซี่ยเอ๋อ


 


‘ผู้อมตะหญิงเหล่านี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับฟางหยวน?’


 


เซี่ยเอ๋อเป็นคนนอก มันช่วยไม่ได้ที่นางจะคิดเช่นนี้


 


นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก


 


มันเป็นเรื่องปกติมาก


 


“เอาล่ะ เจ้าได้พบกับสมาชิกนิกายเงาทั้งหมดแล้ว แต่ยังมีคนพิเศษอีกหนึ่ง” อิงอู๋เซี่ยกล่าว


 


“พิเศษ?” หัวใจของเซี่ยเอ๋อยิ่งตึงเครียด


 


นางอยากถามว่า ‘ความสัมพันธ์พิเศษกับฟางหยวนงั้นหรือ? เขาเป็นชายหรือหญิง?’


 


แต่เซี่ยเอ๋อไม่ได้ถามโดยตรง


 


อิงอู๋เซี่ยกล่าวต่อ “คนผู้นี้คือไป่หนิงปิง นางไม่ใช่สมาชิกของนิกายเงา แต่นางเป็นพันธมิตรของเรา เราต่อสู้มาด้วยกัน แม้นางจะเป็นผู้อมตะระดับหก แต่…ท่ามกลางพวกเรา นางแข็งแกร่งที่สุด”


 


อิงอู๋เซี่ยลังเลเล็กน้อยกับประโยคสุดท้าย


 


แต่ผู้อมตะคนอื่นๆไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้


 


พลังการต่อสู้ของไห่ลั่วหลันด้อยกว่าไป่หนิงปิง หลังจากทั้งหมดร่างสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริงไม่มีประโยชน์ต่อวิธีบนเส้นทางแห่งไฟ


 


พลังการต่อสู้ของเทพธิดาเมี่ยวหยินใกล้เคียงกับไห่ลั่วหลัน


 


เทพธิดากระต่ายขาวสามารถถูกมองข้าม สำหรับนางเสือดำ นางโหดเหี้ยมแต่นางยังขาดวิธีการโจมตีที่ทรงพลัง


 


อิงอู๋เซี่ยอาจจะเหนือกว่าไป่หนิงปิงด้วยการคงอยู่ของท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝัน แต่วิญญาณอมตะส่วนใหญ่ของเขาถูกฟางหยวนยึดไปแล้ว


 


ไป่หนิงปิงครอบครองมรดกที่แท้จริงของไป่เซียงและด้วยร่างสุดยอดกายาน้ำแข็งแห่งความมืด นางจึงแข็งแกร่งที่สุด


 


“แข็งแกร่งกว่าพี่สาวลั่วหลันงั้นหรือ?” เซี่ยเอ๋อรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ


 


ไห่ลั่วหลันกล่าว “ความแข็งแกร่งของข้าอยู่ในระดับกลางๆในหมู่พวกเราเท่านั้น”


 


เซี่ยเอ๋อตกใจมาก นางคิด ‘สวรรค์  เหตุใดถึงมีสัตว์ประหลาดมากมายอยู่ที่นี่? การบ่มเพาะระดับหกแต่แข็งแกร่งที่สุด คนผู้นี้คือผู้ใดกันแน่? พลังการต่อสู้ขอนางสูงเพียงใด?’


 


“ตอนนี้เราจะพาเจ้าไปที่นั่น ข้าจะบอกเรื่องนี้กับเจ้าล่วงหน้า ทัศนคิของนางแตกต่างจากพวกเรา” อิงอู๋เซี่ยนำทาง


 


ไม่นานพวกนางก็พบกับไป่หนิงปิง


 


“บึม บึม บึม…”


 


เสียงระเบิดดังขึ้น


 


“กรอ…”


 


ต่อมาเสียงครวญครางราวกับสัตว์อสูรใกล้ตายก็ดังตามมา


 


“นี่…” เซี่ยเอ๋อตกใจมากเมื่อเห็นไป่หนิงปิงที่ต่อสู้อยู่ในวงล้อมของฝูงสัตว์อสูรบรรพกาล


 


“พวกเจ้ามาถูกเวลาจริงๆ ข้าพบที่ที่ดีแล้ว” ไป่หนิงปิงหยุดใช้ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นไป่เซียงขณะเดินเข้าไปหากลุ่มผู้อมตะหญิง


 


เซี่ยเอ๋อตกใจอีกครั้ง


 


‘งดงามมาก!’


 


ความงามและกลิ่นอายของไป่หนิงหนิงน่าทึ่งมาก


 


หัวใจของเซี่ยเอ๋อสั่นไหว นางคิด ‘มีหญิงที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่ด้วยงั้นหรือ?’


 


หากนางรู้ว่าไป่หนิงปิงเคยเป็นผู้ชายมาก่อน นางจะตกใจยิ่งกว่านี้


 


เซี่ยเอ๋อคิด ‘เหตุใดรอบกายฟางหยวนถึงเต็มไปด้วยหญิงงามมากมาย? นอกจากนั้นพวกนางยังมาพร้อมกับความสามารถ! ตอนนี้ข้าไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดฟางหยวนถึงดูแคลนข้า!’

 

 

 


บทที่ 1465 ความแข็งแกร่งพุ่งทะยาน

 

แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ทวีปเมฆา


 


ฟางหยวนอยู่เพียงลำพังบนลานกว้าง


 


เขาสูดหายใจลึกและสงบจิตใจก่อนจะกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะ


 


‘ความคิดอุกกาบาตเพลิง’ ฟางหยวนกล่าวในใจ


 


ดวงตาของเขาส่องแสดงสีม่วงขณะที่หินอุกกาบาตขนาดเล็กปรากฏขึ้นรอบตัวเขา


 


หินอุกกาบาตเหล่านี้ลุกเป็นไฟแต่มันไม่มีความร้อน


 


“ไป” ฟางหยวนตะโกน หินอุกกาบาตที่ลอยอยู่รอบๆพุ่งออกไป


 


อุกกาบาตเพลิงขยายใหญ่ขึ้นนับร้อยนับพันเท่าในครั้งเดียว ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยหินเหล่านี้


 


ต่อมาพวกมันก็พุ่งลงบนพื้นเมฆและทำให้เกิดทุ่งเพลิงที่ไร้ความร้อนและไร้เสียง


 


หลังจากทั้งหมดพวกมันไม่ใช่หินอุกกาบาตที่แท้จริงแต่เกิดจากกลุ่มก้อนความคิด


 


นี่คือท่าไม้ตายอมตะสายโจมตีของราชันภูเขาม่วง ความคิดอุกกาบาตเพลิง


 


จากนั้นฟางหยวนก็ชี้นิ้วออกไป


 


เปลวเพลิงดับลงขณะที่ดอกไม้ผลิบานขึ้นจากหลุมอุกกาบาตและทำให้เกิดทุ่งดอกไม้หลากหลายสีสัน


 


มันคือท่าไม้ตายอมตะความคิดดอกไม้เบ่งบานของราชันภูเขาม่วง


 


“น่าเสียดายที่เป้าหมายของข้าไม่ใช่ผู้อมตะ ดินเมฆไม่มีความคิด ดอกไม้เหล่านี้ไร้ประโยชน์และมีไว้เพื่อตกแต่งเท่านั้น” ด้วยเจตจำนงของฟางหยวน ทุ่งดอกไม้หายไปทันที


 


ร่างของฟางหยวนสั่นเบาๆ


 


ท่าไม้ตายอมตะร่างแยกความคิด!


 


ทันใดนั้นร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้น


 


ภายในไม่กี่ลมหายใจ พวกมันก็เพิ่มขึ้นนับแสนร่าง


 


ร่างจริงของฟางหยวนซ่อนอยู่ท่ามกลางพวกมันและไม่สามารถตรวจพบหากปราศจากท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบที่ทรงพลัง


 


ท่าไม้ตายนี้คล้ายกับท่าไม้ตายดั้งเดิมของฟางหยวน


 


นั่นคือหมื่นตัวตนและใบหน้าที่คุ้นเคย


 


แต่ท่าไม้ตายอมตะของราชันภูเขาม่วงเหนือกว่าเพราะมันเกิดจากท่าไม้ตายเดียวขณะที่ส่งผลลัพธ์เทียบเท่ากับสองท่าไม้ตายอมตะของฟางหยวนและใช้พลังงานอมตะน้อยกว่า


 


ยังมีข้อได้เปรียบอีกหนึ่งประการ ท่าไม้ตายอมตะร่างแยกความคิดสร้างร่างแยกได้เร็วกว่าท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตน


 


แต่ข้อเสียของมันคือร่างแยกเหล่านี้ไม่มีพลังโจมตี พวกมันมีไว้เพื่อปกปิดร่างจริงเท่านั้น แต่ท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนสามารถสร้างร่างแยกที่มีพลังโจมตีเป็นของตัวมันเอง


 


ฟางหยวนหยุดใช้ร่างแยกความคิดก่อนจะส่งหมอกออกจากฝ่ามือ


 


นี่คือท่าไม้ตายอมตะหมอกสับสน มันจะทำให้ผู้อมตะสูญเสียการรับรู้ทิศทาง


 


ต่อมาฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะเกราะความคิด


 


หลังจากนั้นเขายังใช้ท่าไม้ตายอมตะแสงแห่งปัญญาสีม่วง!


 


มันเป็นท่าไม้ตายที่ซับซ้อนที่สุดแต่ก็ทรงพลังที่สุดเช่นกัน


 


มันอนุญาตให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลและเรียนรู้ท่าไม้ตายของศัตรู


 


เมื่อมันรวบรวมข้อมูลได้มากพอ ฟางหยวนจะสามารถใช้วิธีบนเส้นทางแห่งปัญญาเพื่อจัดการท่าไม้ตายของศัตรูระหว่างการต่อสู้


 


สุดท้ายยังมีท่าไม้ตายอมตะสลายเจตจำนงที่สามารถคลี่คลายท่าไม้ตายของฝ่ายตรงข้าม


 


ฟางหยวนพยายามใช้มันแต่เขาประสบความสำเร็จหลังจากความพยายามครั้งที่สาม


 


ระหว่างกระบวนการนี้เขาได้รับบาดเจ็บ


 


แต่ด้วยการคงอยู่ของวิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้า เขาไม่กลัวอาการบาดเจ็บดังกล่าว


 


‘หลังจากฝึกฝนมาหลายวัน ข้าก็เข้าใจวิธีการของราชันภูเขาม่วงเกือบทั้งหมด’ ฟางหยวนคิด


 


ตอนนี้ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วตั้งแต่เซี่ยเอ๋อมาหาเขา


 


ในช่วงเวลาเหล่านี้ฟางหยวนบ่มเพาะจิตวิญญาณและสามารถสะสมรากฐานได้ถึงระดับสิบล้านคนแล้ว


 


การพัฒนามิติช่องว่างเป็นไปอย่างราบรื่นและมั่งคง


 


นอกเหนือกจากนี้เขายังฝึกท่าไม้ตายอมตะ


 


การฝึกใช้ท่าไม้ตายอมตะเป็นเรื่องจำเป็น เนื่องจากการกระตุ้นใช้งานแต่ละครั้งมีความเสี่ยง หากมันล้มเหลว ตัวผู้ใช้งานจะได้รับอันตราย


 


ฟางหยวนมีมรดกจำนวนนับไม่ถ้วนและมีท่าไม้ตายอมตะอยู่มากมาย


 


อย่างไรก็ตามพื้นฐานของท่าไม้ตายอมตะคือวิญญาณอมตะ ฟางหยวนตัดสินใจฝึกฝนท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของราชันภูเขาม่วงเป็นอันดับแรกเพราะเขามีวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาบางส่วนของราชันภูเขาม่วง


 


ราชันภูเขาม่วงเป็นร่างแยกรุ่นแรกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ วิธีการของเขาทรงพลังและสามารถแข่งขันกับราชันมังกร


 


แม้ฟางหยวนจะไม่ได้รับวิญญาณอมตะทั้งหมดของราชันภูเขาม่วง แต่เขายังสามารถใช้แสงแห่งปัญญาเพื่อดัดแปลงท่าไม้ตายเหล่านั้น


 


หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกฝนประจำวัน ฟางหยวนไปหาวิญญาณสติปัญญา


 


เขานั่งอยู่ด้านหน้าวิญญาณสติปัญญาและอาบแสงแห่งปัญญาเพื่อสรุปผลการฝึกฝนในครั้งนี้


 


ทุกครั้งหลังจากการฝึกฝน เขาจะทบทวนประสบการณ์ที่ได้รับและพัฒนาท่าไม้ตายให้ดีขึ้นไปอีก


 


โดยปกติแล้วการสร้างท่าไม้ตายขึ้นอยู่กับประสบการณ์ นิสัย และบุคลิกของผู้อมตะ


 


ท่าไม้ตายของผู้อื่นอาจไม่เหมาะสมกับตนเอง


 


ครู่ต่อมาฟางหยวนก็หยุดคิด ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้อีกต่อไป


 


‘หลังจากฝึกฝนและปรับเปลี่ยนมาหลายวัน ในที่สุดข้าก็ถึงขีดจำกัดแล้ว เพียงเมื่อความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาของข้ายกระดับขึ้น ข้าจึงจะสามารถพัฒนาท่าไม้ตายเหล่านี้ได้อีกครั้ง’


 


ฟางหยวนไม่ฝืนตัวเอง


 


แต่การอนุมานในครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเน้นที่เรื่องนี้ เขาพยายามสร้างท่าไม้ตายอมตะกินความแข็งแกร่ง


 


เดิมทีฟางหยวนมีวิญญาณอมตะกินความแข็งแกร่ง มันอนุญาตให้เขาดูดซับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าด้วยการกินเนื้อสัตว์อสูรบนเส้นทางควาแข็งแกร่ง แต่น่าเสียดายที่มันถูกทำลายไปแล้ว


 


แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะมากมายและด้วยการพึ่งพาแสงแห่งปัญญา เขาสามารถคิดค้นท่าไม้ตายอมตะกินความแข็งแกร่ง


 


มันสามารถใช้ทดแทนวิญญาณอมตะกินความแข็งแกร่ง


 


‘การอนุมานประสบความสำเร็จในที่สุด!’ ฟางหยวนรู้สึกพึงพอใจมาก


 


เขาเริ่มอนุมานท่าไม้ตายนี้เมื่อหกวันก่อน สุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จ


 


ท่าไม้ตายอมตะกินความแข็งแกร่งใช้วิญญาณอมตะอาหารว่างระดับหกเป็นแกนกลางและมีวิญญาณอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งอื่นๆเป็นส่วนสนับสนุนเพื่อทำให้มันกลายเป็นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่ง


 


ประสิทธิภาพของมันเหนือกว่าวิญญาณอมตะกินความแข็งแกร่งระดับหก แต่มันมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะท่าไม้ตายนี้พึ่งพาวิญญาณอมตะหลายดวงขณะที่วิญญาณอมตะกินความแข็งแกร่งสามารถทำสิ่งนี้ได้ด้วยตัวมันเอง


 


สรุปแล้วมีข้อดีก็มีข้อเสีย


 


ในวันต่อๆมา นอกจากการฝึกท่าไม้ตายอมตะของราชันภูเขาม่วง ฟางหยวนยังใช้ท่าไม้ตายอมตะกินความแข็งแกร่งเพื่อเพิ่มร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งให้กับตนเองอีกด้วย


 


เขามีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด มันมีประมาณห้าหมื่นร่องรอย ตามมาด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งน้ำแข็งและหิมะ เส้นทางแห่งโชค เส้นทางแห่งพลังปราณ และเส้นทางแห่งเสียง พวกมันมีมากกว่าหมื่นร่องรอย


 


เขามีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งไม่มาก เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่เกี่ยวกับเส้นทางความแข็งแกร่ง แดนศักดิ์สิทธิ์ที่เขากลืนกินเข้ามาก็ไม่ได้มาจากเส้นทางความแข็งแกร่ง


 


ดังนั้นเขาจึงต้องการแก้ไขปัญหานี้


 


หลังจากไตร่ตรอง ฟางหยวนเลือกเส้นทางความแข็งแกร่ง


 


ท่าไม้ตายที่ทรงพลังที่สุดของเขาคือเกราะหวนคืนและหมื่นมังกร เกราะหวนคืนเป็นการป้องกัน หมื่นมังกรเป็นการโจมตี แต่ทั้งสองล้วนเกี่ยวข้องกับเส้นทางความแข็งแกร่ง การเพิ่มร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งจะช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้ของเขาอย่างชัดเจน


 


สำหรับท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของราชันภูเขาม่วง พวกมันจะช่วยเพิ่มความหลากหลายในการต่อสู้กับสถานการณ์ต่างๆ แต่สิ่งที่กำหนดความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขามีเพียงเกราะหวนคืน


 


ฟางหยวนฝึกฝนอย่างหนักและใช้เวลาทุกวินาทีเพื่อมุ่งสู่จุดหมาย


 


สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเช่นนี้หาได้ยากมาก


 


ตั้งแต่กำเนิดใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางหยวนมีโอกาสยกระดับความแข็งแกร่งและรากฐานของตนเองอย่างเต็มที่


 


พัฒนามิติช่องว่าง ฝึกฝนท่าไม้ตาย บ่มเพาะจิตวิญญาณ ฟางหยวนเติบโตขึ้นในทุกวัน


 


ความเร็วในการพัฒนาของเขาไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน กระทั่งจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาายังลอบตกตะลึงอยู่อย่างลับๆ


 


นี่คือสิ่งที่วังสวรรค์ทำนายไว้ หลังจากได้รับมรดกของนิกายเงา รากฐานของฟางหยวนจะลึกเกินหยั่งถึง เมื่อเขาสามารถใช้มัน ความแข็งแกร่งของเขาจะพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


ตั้งแต่เซี่ยเอ๋อเข้ารับการทดสอบ นางทำหน้าที่อย่างเชื่อฟังและขยันหมั่นเพียร แม้พลังการต่อสู้ของนางจะไม่เพียงพอ แต่นางมีทักษะด้านการตรวจสอบที่โดดเด่น นางสามารถทำงานร่วมกับนิกายเงาและล่าวิญญาณให้ฟางหยวนได้มากมาย


 


ฟางหยวนแสดงทัศนคติที่เย็นชาต่อการแต่งงานทำให้เกิดความขัดแย้งภายในเผ่ามนุษย์หิมะ ปิงหยวนซึ่งเป็นยายของเซี่ยเอ๋อเสนอให้มอบของขวัญให้กับฟางหยวนเพื่อแสดงความปรารถนาดีอีกครั้ง แต่กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์หิมะที่นำโดยปิงเฟิงคัดค้าน พวกเขารู้สึกว่าราคาของการแต่งงานกับฟางหยวนสูงเกินไป


 


เนื่องจากภารกิจสำรวจไท่ชิวของนิกายหลางหยาดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาจึงมีความสุขและพอใจกับฟางหยวนมาก


 


วันนี้ขณะที่ฟางหยวนกำลังดูแลมิติช่องว่าง เขาได้รับคำร้องขอความช่วยเหลืออย่างกะทันหัน


 


เมื่อเขาเปิดเปลือกตาขึ้น จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาก็มาหาเขา


 


“ผู้อาวุโสฟางหยวน รีบไปช่วยเร็วเข้า สัตว์อสูรแรกกำเนิดปรากฏตัวขึ้นในไท่ชิว ผู้อมตะหลายคนของนิกายกำลังเผชิญหน้ากับมัน!” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเต็มไปด้วยความกังวล

 

 

 


บทที่ 1466 อ่อนแอเล็กน้อย

 

“โฮก…”


 


เสียงคำรามดังขึ้นรอบๆกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขน


 


ในเวลาเดียวกัน ศีรษะมังกรขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้ามาหาพวกเขา


 


กลิ่นอายที่ทรงพลังและกระแสลมที่กรรโชกแรงทำให้ทุกคนสูญเสียความมั่นใจ


 


“จบแล้ว!” ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนสามคนรู้สึกสิ้นหวัง หนึ่งในนั้นนอนอยู่บนพื้น


 


เมื่อพวกเขารู้สึกว่ากำลังจะตาย เสียงที่เย็นชาก็ดังขึ้น “ไร้ประโยชน์”


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนทั้งสามดีใจมากแม้พวกเขาจะถูกดูแคลน พวกเขาตะโกน “เราอยู่ที่นี่ เทพธิดาหนิงปิง ช่วยเราด้วย!”


 


ในช่วงเวลาคับขัน ร่างสีขาวบินเข้ามาหาพวกเขา มันคือเทพธิดามังกรไป่หนิงปิง


 


นางก่นเสียงเย็นและยกมือขึ้น


 


“ครืน…”


 


กำแพงน้ำแข็งปรากฏขึ้นด้านหน้าผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนทั้งสาม


 


“บึม!”


 


แต่มันก็พังทลายลงอย่างรวดเร็วด้วยการพุ่งชนของศีรษะมังกร


 


กำแพงน้ำแข็งแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


 


อย่างไรก็ตามไป่หนิงปิงและผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนทั้งสามล่าถอยออกไปแล้ว


 


ไป่หนิงปิงมองศีรษะมังกรและสร้างชั้นน้ำแข็งขึ้นบนชั้นผิวหนังของมัน นี่ทำให้ความเร็วของมันลดลงอย่างมาก


 


ไป่หนิงปิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


นางอนุมานแล้วว่าศีรษะมังกรมีความแข็งแกร่งระดับเจ็ดเท่านั้น ด้วยพลังการต่อสู้ของนาง นางสามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดาย


 


แต่…


 


‘สัตว์อสูรแรกกำเนิดมังกรหมื่นเศียรมีศีรษะมากมาย ข้าพึ่งจัดการไปเพียงหนึ่ง มันยังไม่ถือเป็นสิ่งใด หากศีรษะมังกรอื่นๆเข้าสู่การต่อสู้ ข้าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สองหมัดไม่สามารถแข่งขันกับสี่ฝ่ามือ’


 


ไป่หนิงปิงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและขมวดคิ้ว


 


ที่นี่ไม่ใช่ไท่ชิวทั่วไป มันเป็นค่ายกลวิญญาณ


 


มังกรหมื่นเศียรเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิดบนเส้นทางแห่งค่ายกล มันสามารถสร้างค่ายกลวิญญาณได้เช่นเดียวกับความสามารถทะลวงมิติของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด มันเป็นพรสวรรค์ตั้งแต่กำเนิดของสัตว์อสูรแรกกำเนิด


 


‘ข้าต้องออกจากที่นี่และกลับสู่โลกภายนอก’


 


‘ข้าหวังว่าอิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆจะสามารถอดทน!’


 


ในเวลาเดียวกัน ด้านนอกค่ายกลวิญญาณ


 


กลุ่มของไห่ลั่วหลันบินอยู่บนท้องฟ้าและกำลังเผชิญหน้ากับศีรษะมังกรนับร้อยที่อยู่บนพื้น


 


การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดและสร้างเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่


 


ภายในทุ่งหญ้าที่สูงเท่ากับต้นไม้ มังกรหลายร้อยตัวมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน บางตัวมีเกล็ดสีทอง บางตัวมีเขาอยู่กลางหน้าผาก บางตัวมีดวงตาสามดวง


 


แต่ทั้งหมดมีเพียงศีรษะมังกร พวกมันเป็นส่วนหนึ่งของมังกรหมื่นเศียร ร่างกายของพวกมันอยู่ลึกลงไปใต้ดิน ศีรษะมังกรนับหมื่นมีต้นกำเนิดเดียวกัน


 


ไห่ลั่วหลันบินเป็นวงกลมและใช้ท่าไม้ตายของนางออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


เสียงคำรามของมังกรดังขึ้น พวกมันไม่หลบเลี่ยงแต่ตอบโต้โดยตรง ส่วนใหญ่ส่งลมหายใจมังกรออกมา บางส่วนพ่นพิษ ขณะที่บางส่วนยิงลำแสงออกจากดวงตา


 


“โดยไม่สนใจศีรษะมังกรที่ไปจัดการไป่หนิงปิง มีศีรษะมังกรระดับเจ็ดจำนวนสามเศียร ที่เหลือเป็นระดับหก”


 


“เรายังไม่พบวิญญาณอมตะป่าใดๆ แต่ก็ต้องระวังให้ดี”


 


“อย่าเข้าไปใกล้ มิฉะนั้นพวกเจ้าจะถูกลากเข้าไปในค่ายกลวิญญาณ!”


 


ไห่ลั่วหลัน อิงอู๋เซี่ย และคนอื่นๆพูดคุยขณะต่อสู้


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาขอความช่วยเหลือจากฟางหยวน เขาต้องยอมรับคำขอนี้ ประการแรก ภารกิจกู้ภัยมีรางวัลตอบแทนมากมาย มันน่าดึงดูดใจ ประการที่สอง ฟางหยวนเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายหลางหยา เขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อสิ่งนี้ มิฉะนั้นมันจะเป็นการละเมิดข้อตกลงพันธมิตร


 


ดังนั้นฟางหยวนจึงสั่งให้กลุ่มของอิงอู๋เซี่ยช่วยถ่วงเวลาเอาไว้ขณะที่เขากำลังเดินทางไปที่นั่น


 


แต่กลุ่มของอิงอู๋เซี่ยยังรู้สึกกดดันมาก


 


“โอ้ ไม่ มันมีมากขึ้นเรื่อยๆ!”


 


“หากยังเป็นเช่นนี้ มังกรหมื่นเศียรจะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ นอกจากเราจะล้มเหลวในภารกิจช่วยชีวิตแต่เรายังจะเสียชีวิตที่นี่!”


 


“เมื่อใดท่านผู้นำจะมาถึง?”


 


“เราอยู่ในส่วนลึกของไท่ชิว ค่ายกลวิญญาณขนส่งอยู่ห่างไกล เขาต้องการเวลา ระวัง!”


 


ขณะสนทนา ศีรษะมังกรระดับเจ็ดก็ปรากฏขึ้นจากใต้ดินและส่งลมหายใจมังกรออกมา


 


ไห่ลั่วหลันหลบเลี่ยงได้อย่างฉิวเฉียดขณะที่อิงอู๋เซี่ยไตร่ตรองและกล่าวกับเทพธิดากระต่ายขาวรวมถึงเซี่ยเอ๋อ “ถอยไปด้านหลังและช่วยเราจากระยะไกล”


 


เซี่ยเอ๋อเป็นเพียงผู้อมตะระดับหก นางหวาดกลัวมากและไม่มีความคิดที่จะต่อสู้แม้แต่น้อย


 


แม้นางจะเป็นอัจฉริยะของเผ่ามนุษย์หิมะ แต่นางไม่สามารถเปรียบเทียบกับไห่ลั่วหลันและคนอื่นๆ นางไม่พยายามเข้าร่วมและเร่งล่าถอยออกไปพร้อมกับเทพธิดากระต่ายขาวทันที


 


หลังจากนั้นศีรษะมังกรก็เข้าสู่การต่อสู้มากขึ้นเรื่อยๆ


 


ร่างมังกรหมื่นเศียรเริ่มเคลื่อนไหว ไห่ลั่วหลันและคนอื่นๆถูกปราบปรามอย่างมาก


 


โชคดีที่มังกรหมื่นเศียรเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมื่อมันถือกำเนิดขึ้น มันจะไม่สามารถเคลื่อนที่ แม้มันจะมีศีรษะมังกรจำนวนมาก พวกมันก็ทำได้เพียงปกป้องและขับไล่ศัตรูออกจากอาณาเขตของมันเท่านั้น


 


แต่ถึงกระนั้นลมหายใจมังกรของมันก็ทรงพลังมาก ไห่ลั่วหลันและคนอื่นๆแทบไม่สามารถต่อต้าน


 


“สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ”


 


“ไป่หนิงปิงยังไม่ออกมา ข้าเกรงว่านางจะไม่สามารถหลบหนีจากกับดักของศัตรู!”


 


ไห่ลั่วหลันและคนอื่นๆพูดถูก ไป่หนิงปิงกำลังต่อสู้อย่างสิ้นหวังอยู่ภายในค่ายกลวิญญาณเพื่อปกป้องผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนทั้งสาม


 


แต่ในเวลานี้กลิ่นอายที่ลึกลับกลับแพร่กระจายไปทั่ว


 


ศีรษะมังกรที่ใหญ่โตกว่าศีรษะอื่นๆโผล่ขึ้นมาอย่างช้าๆ


 


มังกรหมื่นเศียรตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว!


 


มันสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับกลุ่มผู้อมตะ


 


“บัดซบ!”


 


“เราควรทำอย่างไร?”


 


ขณะที่กลุ่มผู้อมตะลังเล อิงอู๋เซี่ยออกคำสั่ง “เราจะถอย”


 


พวกเขาเป็นเพียงผู้อมตะระดับหกและระดับเจ็ด แล้วพวกเขาจะต่อต้านพลังการต่อสู้ระดับแปดได้อย่างไร? พวกเขาสามารถเพียงหลบหนีและละทิ้งไป่หนิงปิงรวมถึงผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนทั้งสาม


 


แต่ในจังหวะนี้ศีรษะมังกรแรกกำเนิดกลับอ้าปากและดูดพวกเขาเข้าไป


 


อิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆถูกลากเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณ


 


“ศีรษะมังกรแรกกำเนิด!” หัวใจของไป่หนิงปิงสั่นไหว นางมองไปที่กลุ่มของอิงอู๋เซี่ยและถาม “ฟางหยวนอยู่ที่ใด?”


 


อิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆเผยรอยยิ้มขมขื่น


 


โชคดีที่ศีรษะมังกรแรกกำเนิดดูดพวกเขาเข้ามาในค่ายกลวิญญาณเท่านั้นและไม่ได้โจมตี


 


มันมีพลังการต่อสู้ระดับแปด จากมุมมองของมัน ผู้อมตะระดับหกและระดับเจ็ดไม่มีนัยสำคัญ มันไม่จำเป็นต้องต่อสู้


 


มันปล่อยให้ศีรษะอื่นๆจัดการคนเหล่านี้


 


ดังนั้นกลุ่มของอิงอู๋เซี่ยจึงถูกบังคับให้เข้าสู่การต่อสู้ที่ยากลำบาก


 


ตอนนี้แตกต่างจากก่อนหน้า ภายในค่ายกลวิญญาณ ศีรษะมังกรสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างง่ายดาย พวกมันสามารถปรากฏตัวและหายไปได้ทันที


 


กลุ่มผู้อมตะไม่สามารถออกจากค่ายกลวิญญาณและทำได้เพียงรวมตัวกันต่อสู้อย่างสิ้นหวัง


 


ในการต่อสู้ ผู้อมตะทั้งหมดได้รับบาดเจ็บ สามผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขน เซี่ยเอ๋อ และเทพธิดากระต่ายขาวแทบไม่สามารถรักษาชีวิต


 


กลุ่มผู้อมตะของนิกายเงาเริ่มไม่สนใจผู้อ่อนแออีกต่อไป


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนคนหนึ่งเป็นคนแรกที่ตาย


 


เซี่ยเอ๋ออ้าปากค้างขณะที่นางไม่สามารถหลบหนี นางถูกปิดล้อมโดยศีรษะมังกรจำนวนมาก


 


“ผู้ใดจะคิดว่าข้าจะมาตายที่นี่!” เซี่ยเอ๋อไม่สามารถต่อต้านศัตรู นางทำได้เพียงปิดเปลือกตาลงและรอรับความตายเท่านั้น อย่างไรก็ตามร่างหนึ่งบินเข้ามาและลากนางออกไป


 


“พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใด? เหตุใดต้องให้ข้าออกมากอบกู้สถานการณ์!” ท่ามกลางแรงกดดัน เทพธิดากระต่ายขาวกลายเป็นนางเสือดำอีกครั้ง นางเป็นคนช่วยชีวิตเซี่ยเอ๋อ


 


เซี่ยเอ๋อมึนงง “เจ้าคือกระต่ายขาวงั้นหรือ?”


 


“ข้าไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้น” นางเสือดำเผยรอยยิ้มเย็นชาและมองเซี่ยเอ๋อด้วยสายตาดูแคลน


 


เซี่ยเอ๋อรู้สึกพูดไม่ออก


 


ในที่สุดนางก็เข้าใจ สมาชิกนิกายเงาล้วนเป็นสัตว์ประหลาด หากเปรียบเทียบ นางอ่อนแอที่สุด


 


ด้วยความช่วยเหลือจากนางเสือดำ สถานการณ์เริ่มเกิดเสถียรภาพ


 


แต่ช่วงเวลาที่ดีมักอยู่ไม่นาน ศีรษะมังกรเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ


 


กลุ่มผู้อมตะทำได้เพียงป้องกันตัวแต่ไม่สามารถหลบหนี


 


ความหวังเดียวของพวกเขาอยู่ที่ฟางหยวน


 


แต่ฟางหยวนจะมาถึงเมื่อใด?


 


หลังจากต่อสู้มาเป็นเวลานาน พวกเขาคิดว่าฟางหยวนควรจะมาถึงแล้ว แต่ในไม่ช้ากลุ่มผู้อมตะของนิกายเงาก็ตระหนักว่าค่ายกลวิญญาณนี้เกี่ยวข้องกับเส้นทางแห่งกาลเวลา เวลาของที่นี่แตกต่างจากโลกภายนอก


 


แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าศีรษะมังกรเริ่มลดลง


 


พวกเขาเริ่มสามารถรักษาเสถียรภาพได้อีกครั้ง


 


“ฟางหยวนต้องมาถึงแล้ว!” หลังจากตระหนักถึงสิ่งนี้ ขวัญกำลังใจของพวกเขาก็พุ่งสูงขึ้น


 


แต่เซี่ยเอ๋อยังกังวล ‘ข้าสงสัยว่าการต่อสู้ด้านนอกจะเป็นอย่างไร? แม้ฟางหยวนจะมีพลังการต่อสู้ระดับแปด แต่เขาจะสามารถต่อต้านศีรษะมังกรจำนวนมากได้หรือไม่?’


 


ขณะที่นางกำลังคิดเรื่องนี้ ค่ายกลวิญญาณก็แตกออก ทุกคนกลับสู่โลกภายนอก


 


“อา…” เมื่อเห็นทิวทัศน์ของโลกภายนอก ช่วยไม่ได้ที่เซี่ยเอ๋อจะอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ


 


สนามรบเต็มไปด้วยเลือดและกองซากศพ


 


รวมถึงฟางหยวนจำนวนนับไม่ถ้วน


 


“ร่างแยกความคิด” อิงอู๋เซี่ยพึมพำเมื่อตระหนักถึงท่าไม้ตายอมตะของฟางหยวน


 


ฟางหยวนซ่อนตัวอยู่ในร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน ศีรษะมังกรแรกกำเนิดไม่รู้ว่าร่างจริงของฟางหยวนอยู่ที่ใด


 


ความคิดอุกกาบาตเพลิง!


 


อุกกาบาตเพลิงจำนวนมากพุ่งเข้าปะทะศีรษะมังกรทำให้พวกมันล้มลงบนพื้น


 


พวกมันคิดที่จะลุกขึ้นแต่ความคิดของพวกมันก็หยุดลงด้วยเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ขึ้นในใจ


 


ความคิดดอกไม้เบ่งบาน!


 


ดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนเบ่งบานขึ้นบนศีรษะมังกร


 


ดอกไม้เหล่านี้เป็นเชื้อเพลิงให้กับเปลวไฟที่ลุกไหม้ขึ้นในใจของพวกมัน


 


การโจมตีเหล่านี้สามารถกำหราบศีรษะมังกรระดับหกและระดับเจ็ดได้ทันที พวกมันนอนอยู่บนพื้นราวกับไส้เดือนตัวใหญ่


 


มีเพียงศีรษะมังกรแรกกำเนิดเท่านั้นที่ยังอยู่ แต่เนื่องจากมันไม่สามารถค้นหาร่างจริงของฟางหยวน ดังนั้นแม้มันจะมีพลังการต่อสู้ระดับแปด มันก็ยังไร้ประโยชน์


 


‘นี่คือพลังอำนาจที่แท้จริงของท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา’ ฟางหยวนลอบถอนหายใจ


 


เมื่อศีรษะมังกรแรกกำเนิดเห็นกลุ่มของอิงอู๋เซี่ย มันเร่งเปลี่ยนเป้าหมาย


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนที่เหลือสองคนกรีดร้อง


 


ร่างหลักของฟางหยวนโผล่ออกมาและปกป้องพวกเขา


 


“ระวัง!” เซี่ยเอ๋อตะโกนเมื่อนางเห็นศีรษะมังกรแรกกำเนิดพุ่งชนฟางหยวน


 


ฟางหยวนบินออกไปแต่เขายังสามารถกลับมาได้อย่างรวดเร็ว


 


ในทางตรงข้ามศีรษะมังกรแรกกำเนิดกลับปกคลุมไปด้วยเลือด มันอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช


 


เกราะหวนคืน!


 


สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องตลก


 


ด้วยการฉวยโอกาสนี้ กลุ่มผู้อมตะของนิกายเงาสามารถหลบหนีออกไปในระยะที่ปลอดภัย


 


“แข็งแกร่งมาก!” เซี่ยเอ๋อมึนงงเมื่อเห็นการต่อสู้ของฟางหยวน


 


ฟางหยวนเป็นฝ่ายได้เปรียบและสามารถกำจัดศีรษะมังกรแรกกำเนิดได้ในที่สุด


 


“สัตว์อสูรแรกกำเนิดตัวนี้อ่อนแอไปเล็กน้อย” เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง ฟางหยวนกวาดตามองศีรษะมังกรแรกกำเนิดที่ถูกตัดออกจากร่างรวมถึงศีรษะมังกรอีกนับไม่ถ้วนที่นอนอยู่บนพื้นและถอนหายใจ

 

 

 


บทที่ 1467 มุมมองของระดับแปด

 

“พวกเราปลอดภัยแล้ว!”


 


“ท่านฟางหยวนจงเจริญ!”


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนสองคนกรีดร้องด้วยความยินดีเมื่อเห็นฟางหยวนเอาชนะมังกรหมื่นเศียร


 


แต่กลุ่มผู้อมตะของนิกายเงาเงียบ


 


ไป่หนิงปิงสูดหายใจลึก


 


อิงอู๋เซี่ยคิดถึงการเสียสละของราชันภูเขาม่วงเมื่อเห็นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาเหล่านี้


 


ไห่ลั่วหลันเงียบ ยิ่งฟางหยวนแข็งแกร่งเท่าใด โอกาสหลบหนีของนางก็ยิ่งน้อยเท่านั้น


 


เซี่ยเอ๋อกระพริบตาอย่างต่อเนื่อง หัวใจของนางสั่นสะท้านเมื่อนางมองดูสนามรบที่พังทลาย นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเผ่าถึงต้องการให้นางแต่งงานกับฟางหยวน


 


‘นี่คือพลังการต่อสู้ระดับแปด?’


 


‘สัตว์อสูรแรกกำเนิดทั่วไปไม่ใช่คู่แข่งของผู้อมตะที่มีพลังการต่อสู้ระดับแปด เนื่องจากมนุษย์มีสติปัญญาและสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะ’


 


‘การแต่งงานกับชายผู้นี้ แม้จะพึ่งพาเพียงการเชื่อมต่อ เผ่าของเราก็จะไม่ถูกเผ่ามนุษย์หินรังแกอีกต่อไป เผ่าของเราจะเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน!’


 


ด้านฟางหยวน เขากำลังคำนวณกำไรในครั้งนี้


 


สัตว์อสูรแรกกำเนิดมีพลังการต่อสู้ระดับแปด แต่พวกมันถูกแบ่งออกเป็นระดับที่แตกต่างกัน มังกรหมื่นเศียรถือว่าอ่อนแอกว่าสัตว์อสูรแรกกำเนิดทั่วไป


 


นอกจากนั้นมันพึ่งตื่นจากการจำศีลและไม่สามารถตอบโต้ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของฟางหยวน


 


หากฟางหยวนใช้วิธีอื่น เขาอาจต้องใช้ความพยายามมากขึ้น แต่ความคิดอุกกาบาตเพลิงและความคิดดอกไม้เบ่งบานกลับส่งผลกระทบที่ไม่น่าเชื่อ


 


‘ข้าควรจัดการมังกรหมื่นเศียรตัวนี้อย่างไร? โดยปราศจากศีรษะมังกรแรกกำเนิด มันจะเป็นเพียงสัตว์อสูรบรรพกาล แต่มันยังมีรากฐาน หลังจากนี้ศีรษะมังกรบรรพกาลจะค่อยๆกลายเป็นศีรษะมังกรแรกกำเนิด’


 


สัตว์อสูรแรกกำเนิดบนเส้นทางแห่งค่ายกลเช่นนี้หาได้ยาก แรกเริ่มฟางหยวนคิดที่จะย้ายมันไปไว้ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


แต่น่าเสียดายที่มังกรหมื่นเศียรอยู่ใต้ดิน มันไม่สามารถขยับเขยื้อน ในความเป็นจริงมันเชื่อมต่อกับเส้นโลหิตปฐพีและดูดกลืนสารอาหารจากที่นั่น


 


หากมันถูกขุดขึ้นมา มันจะเสียชีวิต


 


ผู้อมตะทั่วไปอาจไม่มีทางเลือกแต่ฟางหยวนมีวิธี


 


ไม่ว่าจะเป็นมรดกของนิกายเงาหรือมรดกของนิกายหลางหยา พวกมันต่างมีวิธีการมากมายในการย้ายที่อยู่ของมังกรหมื่นเศียร


 


แต่ฟางหยวนกลับเลิกคิดเรื่องนี้หลังจากไตร่ตรอง


 


เหตุผลง่ายมาก วิธีการเหล่านั้นพึ่งพาวิญญาณอมตะซึ่งฟางหยวนไม่มี แม้เขาจะใช้แสงแห่งปัญญา เวลา ความพยายาม และทรัพยากรมหาศาล แต่มันไม่คุ้มที่จะทำเพื่อสัตว์อสูรแรกกำเนิดเพียงตัวเดียว


 


แต่การฆ่ามันและขายชิ้นส่วนร่างกายถือเป็นเรื่องสิ้นเปลือง


 


ท้ายที่สุดสัตว์อสูรแรกกำเนิดที่มีชีวิตก็มีค่ามากกว่าซากศพที่ตายแล้ว


 


กลุ่มก้อนความคิดปะทะกันในใจของฟางหยวนก่อนที่เขาจะพบวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด นั่นคือนิกายหลางหยา!


 


เขากำลังจะติดต่อจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาแต่ฝ่ายหลังชิงติดต่อเขามาก่อน


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามีความสุขมากที่ฟางหยวนเอาชนะสัตว์อสูรแรกกำเนิดและสามารถช่วยชีวิตผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนสองคน เขาขอบคุณฟางหยวนด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น


 


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มอย่างเงียบๆ


 


พลังการต่อสู้ระดับแปดทำให้ทุกอย่างแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


 


แม้ฟางหยวนจะไม่ใช่ผู้อมตะระดับแปด แต่พลังการต่อสู้ระดับแปดทำให้เขาถูกพิจารณาว่าเป็นกึ่งระดับแปด ตอนนี้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์ของตัวตนระดับนี้


 


ฟางหยวนกล่าวกับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา “มังกรหมื่นเศียรตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ ศีรษะมังกรแรกกำเนิดจะเกิดขึ้นอีกครั้งในอนาคต หากข้าต้องการขายสัตว์อสูรแรกกำเนิดตัวนี้ให้กับนิกายหลางหยา ข้าจะได้แต้มผลงานเท่าใด?”


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาตกตะลึงก่อนตะโกน “เป็นความคิดที่ดี!”


 


นิกายหลางหยากำลังสำรวจไท่ชิว พวกเขาใช้ซากศพของสัตว์อสูรแรกกำเนิดเพื่อสร้างค่ายกลวิญญาณขนส่ง


 


แต่ไท่ชิวใหญ่โตเกินไป ค่ายกลวิญญาณขนส่งเพียงหนึ่งเดียวยังไม่เพียงพอ ตัวอย่างเช่นครั้งนี้ เนื่องจากระยะทางที่ห่างไกลเกินไป มันไม่ง่ายที่ความช่วยเหลือจะไปถึงได้ทันเวลา


 


“มังกรหมื่นเศียรเป็นค่ายกลวิญญาณตามธรรมชาติ พวกเราไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใด ตราบเท่าที่พวกเราสามารถกำหราบมัน พวกเราจะสามารถสร้างรากฐานที่สอง สำหรับแต้มผลงาน…” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาพิจารณาก่อนจะมอบคำตอบที่น่าพอใจให้กับฟางหยวน


 


ภารกิจหลอมรวมวิญญาณอมตะของฟางหยวนทำให้เขาเสียแต้มผลงานไปมากมาย เขาจำเป็นต้องเติมเต็มเพื่อใช้มันหลอมรวมวิญญาณอีกครั้ง


 


ตอนนี้ภารกิจหลักของฟางหยวนที่มอบให้นิกายหลางหยาคือการหลอมรวมวิญญาณอมตะความลับสวรรค์


 


ฟางหยวนนำกลุ่มผู้อมตะกลับด้วยชัยชนะ


 


ผู้อมตะนิกายเงาได้รับบาดเจ็บทั้งหมด อาการบาดเจ็บของไห่ลั่วหลันรุนแรงที่สุด แม้นางจะมีวิธีการบนเส้นทางแห่งไฟที่ดี แต่มันไม่เหมาะสมกับสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริงของนาง


 


โชคไม่ดีที่ฟางหยวนใช้วิธีการบนเส้นทางความแข็งแกร่งเช่นกัน มันจึงเกิดความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสอง


 


ฟางหยวนต้องพิจารณาถึงความแข็งแกร่งของตนเองเป็นอันดับแรกก่อนจะส่งผ่านวิญญาณอมตะให้ผู้อมตะของนิกายเงา หลังจากทั้งหมดวังสวรรค์แข็งแกร่งเกินไป


 


‘อย่างไรก็ตามข้าสามารถดัดแปลงท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งไฟของนางเพื่อให้เหมาะสมกับนางมากขึ้น ข้ายังสามารถดัดแปลงท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งเพื่อให้นางใช้งาน’ ฟางหยวนคิด


 


ไห่ลั่วหลันภักดีต่อนิกายเงาเพราะข้อตกลงพันธมิตร แต่ในความคิดของฟางหยวน เทพธิดาเมี่ยวหยินและเทพธิดากระต่ายขาวเชื่อถือได้มากกว่า


 


แต่ฟางหยวนก็มีวิธีควบคุมไห่ลั่วหลัน นั่นคือไห่เจิ้ง


 


ไพ่ใบนี้อยู่ในมือของฟางหยวนขณะที่ไห่ลั่วหลันถูกทิ้งไว้ในความมืด


 


‘ข้าสามารถดูแลไห่ลั่วหลันได้เล็กน้อย การดัดแปลงท่าไม้ตายเหล่านี้เป็นเรื่องง่าย มันใช้เวลาและความพยายามไม่มาก ข้าสามารถทำมันได้อย่างรวดเร็ว’


 


หลังจากไม่กี่วันอาการบาดเจ็บของผู้อมตะของนิกายเงาก็ฟื้นฟูขึ้น


 


ฟางหยวนมอบวิญญาณอมตะเนตรดาราให้ไห่ลั่วหลันและปล่อยให้นางใช้งานมัน


 


เขาไม่มีเวลาและพลังงานสำหรับการปรับแต่งดวงดาวบนท้องฟ้า มันจะดีกว่าที่จะให้ไห่ลั่วหลันทำให้วิญญาณอมตะดวงนี้แสดงคุณค่าของมันออกมา


 


เมื่อไห่ลั่วหลันประสบความสำเร็จ ฟางหยวนจะให้รางวัลนางเป็นท่าไม้ตายอมตะที่ดัดแปลงแล้ว


 


ฟางหยวนเคยสร้างองค์กรขึ้นในชีวิตแรกของเขา เขาเลี้ยงดูผู้คนมากมาย เขาไม่สามารถให้รางวัลโดยไร้เหตุผล มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นปัญหาในอนาคต การเลื่อนตำแหน่งหรือลดระดับใดๆล้วนต้องพึ่งพาเหตุผลที่เหมาะสมทั้งสิ้น


 


หากไร้เหตุผลก็ต้องสร้างมันขึ้นมา


 


ฟางหยวนมีประสบการณ์มากมายในเรื่องนี้


 


หลังจากจัดการเรื่องมังกรหมื่นเศียร ฟางหยวนตระหนักว่าผู้อมตะของนิกายหลางหยาก็ต้องการพลังการต่อสู้เช่นกัน เมื่อพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจะช่วยฟางหยวนได้มากขึ้น


 


อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดยังเป็นความก้าวหน้าของตัวเขาเอง


 


คนที่เชื่อถือได้มากที่สุดมีเพียงตัวเอง บุคคลที่ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่น นิกายหลางหยาเป็นเพียงตัวช่วยส่วนหนึ่งของฟางหยวนเท่านั้น


 


หลังจากกลับมาที่เมืองเมฆา ฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะกินความแข็งแกร่งดูดซับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งจากทรัพยากรอมตะระดับหก


 


ด้วยการใช้วิญญาณอมตะสัมผัสแห่งเต๋า เขาตระหนักว่าร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นไม่มาก


 


ฟางหยวนไม่ผิดหวัง นี่เป็นผลลัพธ์ที่เขาคาดไว้


 


วิธีหลักในการเพิ่มร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของผู้อมตะคือการก้าวข้ามภัยพิบัติ สำหรับฟางหยวน เขายังมีวิธีการกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ สำหรับท่าไม้ตายอมตะกินความแข็งแกร่ง มันสามารถสะสมร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าอย่างค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น


 


‘หากข้าสามารถหลอมรวมวิญญาณอมตะอาหารว่างระดับเจ็ด ท่าไม้ตายอมตะกินความแข็งแกร่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น’


 


ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจของฟางหยวนก่อนจะถูกปัดเป่าออกไปอย่างรวดเร็ว


 


มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการทำเรื่องนี้


 


การหลอมรวมวิญญาณอมตะความลับสวรรค์มีความสำคัญที่สุด ตามมาด้วยการพัฒนามิติช่องว่างจักรพรรดิเพื่อตอบสนองความอยากอาหารของวิญญาณอมตะ


 


ตอนนี้หินวิญญาณอมตะสิบล้านก้อนของเขาเกือบหมดลงแล้ว


 


แต่ความพยายามของเขายังมอบรางวัลให้เขามากมาย


 


‘รากฐานจิตวิญญาณของข้าอยู่ที่ระดับสิบล้านคนแล้ว ข้าจะทำเรื่องนี้ต่อไป’


 


‘ในแง่ของท่าไม้ตายอมตะ ข้าคุ้นเคยกับท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของราชันภูเขาม่วงแล้ว ต่อไปข้าจะดัดแปลงท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบของโป้ชิง’


 


ฟางหยวนเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญา ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับมันเป็นอันดับหนึ่ง


 


ในแง่ของเส้นทางแห่งดาบ แม้เขาจะมีวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งดาบหลายดวง แต่เขายังขาดความสำเร็จบนเส้นทางสายนี้ อย่างไรก็ตามมันยังมีความสำคัญกับเขา


 


สำหรับเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ ไม่เพียงเขาจะขาดความสำเร็จ เขายังขาดวิญญาณอมตะ เขามีเพียงวิญญาณอมตะเปลี่ยวิญญาณระดับเจ็ดและวิญญาณอมตะล้างใจระดับหก นี่ทำให้ความสำคัญของมันต่ำกว่าอีกสองเส้นทาง


 


ฟางหยวนกำลังเตรียมความพร้อมให้กับตนเอง เขาต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด


 


‘ในขณะที่ข้าดัดแปลงท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบของโป้ชิง ข้าสามารถดัดแปลงท่าไม้ตายอมตะของไห่ลั่วหลันไปพร้อมกัน ปัญหาเดียวคือหลังจากเรื่องนี้ สถานะทางการเงินของข้าจะอยู่ในจุดที่อันตราย’


 


ฟางหยวนกังวลเล็กน้อย แต่หลังจากสามวัน เผ่ามนุษย์หิมะก็ส่งของขวัญชุดที่สามมาให้เขา


 


ของขวัญชุดที่สามมีมูลค่าสูงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


 


หลังจากได้รับสิ่งนี้ ฟางหยวนก็ไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุนอีกต่อไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)