พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1459-1462

 บทที่ 1459 เผยฝีมือ

Ink Stone_Fantasy

ปราสาทดำเนินนภา ตำหนักนภาคราม จงหลีค่วยยื่นโดดเดี่ยวอยู่ในตำหนักไม่กล้าไปไหน นอกจากเขาแล้ว ในตำหนักก็ไม่มีใครสักคน


ในห้องสมาธิของตำหนักหลัง เวินหวนเจินเก็บระฆังดาราในมือแล้วถอนหายใจเบาๆ ตอนที่เพิ่งจะได้ข่าวพวกลูกศิษย์ เรื่องราวก็จัดการเรียบร้อยแล้ว เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความน่าสงสัย ตอนนี้จึงยังรีบกลับมาไม่ได้ จะแยกย้ายกันพเนจรไปในใต้หล้าก่อน แล้วตอนหลังก็ค่อยทยอยกันกลับมา


เมื่อเรื่องทางนี้ปลอดภัยและเชื่อถือได้แล้ว เวินหวนเจินก็หยิบระฆังดาราอีกอันออกมาเขย่า ติดต่อบุคคลลึกลับที่ไม่เคยเจอหน้าและไม่รู้ว่าเป็นใครดาวโดดเดี่ยว ทางนี้เรียบร้อยแล้ว


ดาวโดดเดี่ยว : ถ้าเขาถามถึง เจ้าก็บอกว่าปราสาทดำเนินนภาช่วยเขาจัดการสิบฐานปฏิบัติการที่อยู่เบื้องหลังห้าร้านค้านั่นแล้ว


สิบฐานปฏิบัติการ? เวินหวนเจินอึ้งทันที เขาเพิ่งจะได้รับรายงานโดยละเอียดจากลูกศิษย์ ฐานปฏิบัติการที่รับมือด้วยนั้นมีกำลังเข้มแข็ง ต่อให้ปราสาทดำเนินนภาจะส่งกำลังออกไปทั้งสำนัก อย่างมากก็รับมือได้แค่ฐานปฏิบัติการแบบเดียวกันสามสี่แห่ง รับมือกับสิบแห่งพร้อมกันไม่ไหวเลย


เขาไม่รู้ว่าทำไมดาวโดดเดี่ยวผู้ลึกลับถึงต้องบอกว่าสิบฐานปฏิบัติการ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนี้แล้ว คาดว่าคงจะมีเหตุผลของตัวเองแน่นอน เรื่องบางเรื่องตนไม่สะดวกจะถามเยอะ ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการจะบอกตนแบบนี้ก็ย่อมต้องบอกแบบนี้


ผ่านไปไม่นาน เวินหวนเจินก็เดินช้าๆ ออกมาจากด้านหลัง จงหลีค่วยรีบทำความเคารพ “คารวะปรมาจารย์!”


เวินหวนเจินหยุดยืนตรงหน้าเขา แล้วยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวว่า “ติดต่อเขาเถอะ บอกเขาว่าจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็ถึงคราวที่เขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนแล้ว”


“ขอรับ!” จงหลีค่วยเอ่ยรับคำสั่ง แล้วติดต่อไปบอกให้เหมียวอี้รู้


เหมียวอี้ที่กำลังฟังเสียงเฮยทั่นหลับอยู่ในถ้ำของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ค่อนข้างตกใจ สิบฐานปฏิบัติการงั้นเหรอ? ปราสาทดำเนินนภากำจัดสิบฐานปฏิบัติการลับของหกลัทธิทิ้งในอึดใจเดียวเหรอ?


เขาไม่ได้บอกปราสาทดำเนินนภาว่าคนที่ต้องไปกำจัดคือใคร แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขารู้ นั่นก็คือฐานปฏิบัติการลับที่ผู้เหลือรอดของห้าลัทธิข้างนอกสร้างขึ้นปิดบังหูตาของตำหนักสวรรค์ได้นานขนาดนี้ แสดงว่าค้นพบไม่ได้ง่ายๆ แน่นอน แต่ไม่น่าเชื่อว่าปราสาทดำเนินนภาจะบีบสิบฐานปฏิบัติการลับของห้าลัทธิออกมาได้ภายในเวลาสั้นๆ ความสามารถของปราสาทดำเนินนภานั้นทำให้เขาตกใจไม่ใช่น้อย


เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าปราสาทดำเนินนภาที่อยู่อย่างเงียบสงัดมานานหลายปีจะมีกำลังที่เข้มแข็งยิ่งใหญ่ขนาดนี้ คิดไปคิดมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ สมกับเป็นหนึ่งในสิบปราสาทดำเนินที่มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า! พวกเขาก็แค่ไม่เคลื่อนไหวเท่านั้นเอง พอได้เคลื่อนไหวขึ้นมา ก็ดูถูกความสามารถในการทำงานนี้ไม่ได้จริงๆ


ตอนนี้เขายังไม่รู้ถึงกำลังของสิบฐานปฏิบัติการของห้าลัทธินี้ ถ้าหากรู้ว่ากำลังที่ซ่อนอยู่ในฐานสิบแห่งนี้มีมากขนาดไหน เกรงว่าคงจะตกใจยิ่งกว่านี้


พอรับมือกับจงหลีค่วยเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาในถ้ำ ตอนนี้เขายังไม่คิดจะบอกข่าวนี้กับอวิ๋นจือชิว รอให้พวกเขารู้เรื่องแล้วค่อยมาถามตนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องบางเรื่องก็ได้ฟังจากปราสาทดำเนินนภาด้านเดียว ส่วนรายละเอียดจะเป็นจริงเหมือนที่ปราสาทดำเนินนภาบอกหรือไม่ ตนก็ยังไม่รู้ ถ้าไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วตนพูดโอ้อวดเร็วเกินไป จะไม่เป็นการสร้างความอับอายให้ตัวเองหรอกหรือ


ขณะที่เขากำลังคิดแบบนี้อยู่ อวิ๋นจือชิวก็ส่งข่าวมาอีกแล้ว ถามซักไซ้เขาเป็นครั้งที่สามแล้วว่า : หนิวเอ้อร์ เจ้ามีอะไรจะพูดกันแน่ พวกเรามากันครบแล้ว พวกเขาเร่งถามไม่หยุด ข้าจะทนไม่ไหวแล้วนะ


เหมียวอี้ : ไม่ต้องรีบ รออีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะรู้เอง


อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะถามว่า : ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าน้องสาวเจ้ามีท่าทีต่อข้ายังไง ข้ากำลังถ่วงเวลาตรงนี้อยู่ นางไม่ได้เชื่อฟังข้าสักเท่าไรหรอกนะ


เหมียวอี้ : ถ้านางมีอะไรจะบ่นก็ให้มาบ่นกับข้า นับวันจะยิ่งทำตัวไม่เข้าท่าแล้ว


อวิ๋นจือชิว : เจ้าบอกเวลามาเลยดีกว่า จะให้พวกเรารออีกนานแค่ไหนกันแน่


เหมียวอี้ : บอกแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน ใกล้แล้ว


ดาวไร้ลักษณ์ บนเกาะแห่งหนึ่ง อวิ๋นจือชิวที่ยืนรับลมอยู่บนหน้าผาริมทะเลหัวเราะแห้งๆ นางเก็บระฆังดาราแล้วหันตัวเดินกลับมาที่ป่าตรงตีนเขา


ใต้ร่มไม้ในป่าแบ่งขอบเขตตามอำนาจแต่ละฝ่าย ต่างฝ่ายต่างแบ่งกลุ่ม รวมๆ แล้วมีหลายสิบคน


ทุกคนทยอยกันมารวมตัวกันตรงนี้ รอมาเป็นเวลาสามวันแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ คนพวกนี้จึงอดไม่ได้ที่จะร้อนใจ


เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวกลับมาแล้ว ช่างไม้ก็ก้มลงโบกแขนเสื้อกวาดหินก้อนใหญ่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งทันที แล้วเชิญให้อวิ๋นจือชิวนั่ง


“ฮูหยิน นายท่านบอกรึยังคะ?” จีเหม่ยลี่ที่นั่งเยื้องตรงข้ามเอ่ยถาม


อวิ๋นจือชิวส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เขายังไม่ยอมบอก บอกแค่ว่าใกล้แล้ว ให้พวกเรารออีกหน่อย”


อวี้หนูเจียวเงยหน้ามองสีของท้องฟ้า แล้วถามว่า “วันนี้ใกล้จะผ่านไปอีกแล้ว นายท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”


อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้เขาคิดจะทำอะไรกันแน่”


“เชอะ!” จู่ๆ ก็มีเสียงพูดเหน็บแนม “บางทีเจ้าเจ้าอาจจะแสร้งทำเป็นเร้นลับซับซ้อนเองก็ได้มั้ง ตอนนี้เขาโดนขังอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ จะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้ จะเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน ยังไม่รู้เลยว่าใครยุยง” คนที่พูดก็คือเยว่เหยา แววตาที่มองไปทางอวิ๋นจือชิวเหมือนกำลังเหน็บแนม คำพูดที่กล่าวออกมาก็ย่อมเหน็บแหนมอยู่แล้ว


เอาเป็นว่านางเห็นอวิ๋นจือชิวแล้วขัดหูขัดตา ในปีแรกๆ รู้สึกหึงหวงด้วยอารมณ์ผู้หญิง ทว่าตอนนี้ยอมรับความจริงได้แล้ว ความคิดในด้านนี้จืดจางลงแล้วเช่นกัน แต่นางก็ยังไม่ถูกชะตากับอวิ๋นจือชิวอยู่ดี แค่รู้สึกว่าอวิ๋นจือชิวไม่คู่ควรกับพี่ชายของตัวเอง ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่กับผู้ชายคนอื่นมาหลายหมื่นปี จะสะอาดหรือไม่สะอาดนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ถือครองพรหมจรรย์เพื่อผู้ชายคนอื่นมาหลายหมื่นปีแล้วยังมาคบชู้กับพี่ชายของนางอีก ช่างไร้ยางอายจริงๆ ทำให้พี่ชายนางได้ชื่อว่าไปเก็บรองเท้ามือสองมาจากคนอื่น คิดไปคิดมาแล้วก็โมโห


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินว่าเมื่อก่อนอวิ๋นจือชิวแต่งตัวเปิดเผยร่างกาย ได้ยินว่าหน้าอกกับก้นแทบจะโผล่ออกมาแล้ว คิดดูสิว่าเป็นนางจิ้งจอกช่างยั่วขนาดไหน ชัดเจนว่าเป็นคนร่านแบบเต็มสิบไม่หัก ไม่รู้เหมือนกันว่ามาล่อลวงพี่ชายนางอย่างไรบ้าง ล่อลวงจนกระทั่งทุกวันนี้พี่ชายนางก็ยังหลงใหลดื้อดึงช่วยพูดเข้าข้างอยู่


ที่น่าแค้นยิ่งกว่านั้นก็คือ เพราะนางตัวดีคนนี้ ทำเอาทุกวันนี้นางยังไม่ได้ข่าวพี่รอง ถ้าไม่ใช่เพราะนางตัวดี พวกเขาสามพี่น้องคงได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไปนานแล้ว ไม่ต้องอยู่คนจะฟากฟ้าเหมือนอย่างทุกวันนี้หรอก


ในใจเก็บความแค้นเคืองไว้มากมายขนาดนี้ แค่นางเห็นหน้าอวิ๋นจือชิวก็ไม่รู้แล้วว่าความโกรธพรั่งพรูมาจากไหน ท่าทางเวลาอวิ๋นจือชิวเดินทอดน่องบิดเอวก็ยิ่งขัดตานาง นางไม่ยอมแววตาทุกแบบของอวิ๋นจือชิว เวลาอวิ๋นจือชิวพูดนางก็ไม่ชอบฟัง เอาเป็นว่าเวลาเห็นอวิ๋นจือชิวแล้วไม่ชอบอะไรสักอย่าง


อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองนางแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าแม่นางเยว่เหยาไม่เชื่อ เจ้าก็ลองถามเขาเองได้เลย” เมื่ออยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก นางก็ไม่สะดวกจะเปิดเผยความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเยว่เหยากับเหมียวอี้


เยว่เหยาพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “มีเจ้าคอยเสี้ยมอยู่ตรงนี้ เขาจะฟังคำพูดคนอื่นเสียที่ไหนล่ะ ตอนนี้เขาโดนขังอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ เกรงว่าจะสมใจเจ้าแล้วล่ะสิ ถึงยังไงข้างกายเจ้าก็มีผู้ชายมากมาย ขาดเขาไปสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก” สายตาชำเลืองมองไปที่พวกช่างไม้ เรียกได้ว่าแฝงความหมายจิกกัดลึกซึ้งมาก


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา พวกช่างไม้ก็สีหน้าเปลี่ยนทันที แต่ละคนมองเยว่เหยาด้วยสายตาโกรธเคือง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิ์ทำอะไรบุ่มบ่ามเมื่ออยู่ที่นี่ ตอนนี้ก็คงจะพุ่งเข้าไปฆ่านางทิ้งแล้ว


จีเหม่ยลี่และอนุภรรยาคนอื่นๆ ของเหมียวอี้เริ่มขมวดคิ้ว พวกนางคลุกคลีอยู่กับอวิ๋นจือชิวมาหลายปี รู้ว่าอวิ๋นจือชิววางตัวอย่างไร ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะมีรูปร่างยั่วยวนและหน้าตาเชื้อเชิญ แต่ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรซี้ซั้วเด็ดขาด พวกนางต่างก็ค้นพบว่าทำไมลูกศิษย์คนนี้ของมู่ฝานจวินถึงปากร้ายนัก!


คนที่อยู่ตรงนั้นนอกจากอวิ๋นจือชิวและเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ คนอื่นๆ ก็แทบจะไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเยว่เหยากับเหมียวอี้เลย แต่ยังมีอีกคนที่ทำตัวเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เทพธิดาหงเฉินนั่งสมาธิอยู่ข้างหลังอวิ๋นจือชิว ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น


สองพี่น้องหลางหลางหวนหวนก็ค่อนข้างลำบากใจ ถ้าพูดถึงลำดับความอาวุโส เยว่เหยาก็คือศิษย์น้องของมารดาพวกนาง


อวิ๋นจือชิวพลันยืนขึ้น ต่อให้นางจะทนอย่างไร แต่ก็ทนให้เยว่เหยาทำลายความบริสุทธิ์ของนางไม่ได้ นางกำหมัดสองข้าง โมโหจนหน้าซีดขาวแล้ว


อวิ๋นกางอาสิบหก อวิ๋นก่วงอาสิบเก้า อวิ๋นเซียงอาหญิงสิบสามที่อยู่ข้างหลังนางก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน อวิ๋นเซียงกล่าวอย่างดุร้ายว่า “ข้าจะฉีกปากเน่าๆ ของเจ้า!”


ขณะที่สามพี่น้องกำลังจะพุ่งเข้าไป อวิ๋นจือชิวกลับกางแขนสองข้างห้ามทั้งสามไว้ แล้วกัดริมฝีปากบอกว่า “ช่างเถอะ!”


คำพูดพวกนี้แม้แต่ถังจวินยังทนฟังไม่ไหว จึงตะคอกใส่เยว่เหยาว่า “ศิษย์น้อง พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า?” แล้วก็หันมากุมหมัดขอโทษฝั่งนี้ “เหมียวฮูหยิน ศิษย์น้องข้าโดนอาจารย์ตามใจจนเสียคนมาตั้งแต่เด็ก หวังว่าจะไม่เก็บมาใส่ใจ”


เยว่เหยากลับกดแขนสองข้างของเขาที่กำลังขอโทษ แล้วแสยะยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ถ้าพูดผิดไปก็เป็นข้าเองที่พูดผิด ท่านจำเป็นต้องขอโทษนางด้วยเหรอ? แล้วอีกอย่างนะ ท่านเคยได้ยินว่ามีผู้หญิงที่ไหนให้ผู้ชายคนอื่นเข้าห้องนอนได้ตามอำเภอใจบ้างล่ะ? แต่ข้าได้ยินมาว่าตอนอยู่ที่ทะเลทรายม่านเมฆา เวลาจะอาบน้ำก็ต้องให้ผู้ชายยกเข้าไปให้ มีผู้ชายหลายคนเข้าๆ ออกๆ ห้องนอนนางถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว! ทำก็ทำไปแล้ว ทำไมข้าจะพูดไม่ได้ล่ะ?”


เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดถึงช่างไม้ ช่างหิน พ่อครัวและบัณฑิต ทั้งสี่มองไปที่อวิ๋นจือชิวพร้อมกล่าวอย่างแค้นใจว่า  “เถ้าแก่เนี้ย!” ความหมายในคำพูดก็คือ ‘ถ้าท่านไม่คัดค้าน พวกเราจะลงมือเองแล้วนะ’


ส่วนอวิ๋นก่วงกับพี่น้องก็ใกล้จะระเบิดอารมณ์แล้ว มีหรือที่จะทนไหว พุ่งพรวดเข้าไปแล้ว


คนของฝั่งลัทธิเซียนรีบมาบังหน้าเยว่เหยา ถึงแม้ถังจวินจะมองเยว่เหยาอย่างโกรธเคือง แต่ก็ยังมาบังตรงหน้านาง


“หยุดนะ!” อวิ๋นจือชิวพลันตวาดเสียงแหลม “อาสิบหก อาสิบเก้า อาหญิงอวิ๋นเซียง ถอยออกไปให้หมด!”


ทั้งสามหยุดแล้วหันกลับมา อวิ๋นก่วงเรียกอย่างโมโหว่า “น้องชิว!”


“ข้าให้พวกท่านถอยไป! ถ้ายังไม่ถอยก็อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ!” อวิ๋นจือชิวที่โกรธจนตัวสั่นก้าวออกมาข้างหน้าอย่างช้าๆ ยกมือแหวกญาติผู้ใหญ่ทั้งสามของตัวเองออกไป ข้างหลังมีปราณมารลอยวนวเวียน สีหน้าปรากฏความชั่วร้ายทว่าทรงเสน่ห์ ทำให้ใบหน้าสวยพริ้งดูหยาดเยิ้มกว่าเดิม


“เหมียวฮูหยิน…” ถังจวินเรียก


แต่ก็สายไปแล้ว มีเสียงดังบึ้ม ปราณมารระเบิดออกมาราวกับน้ำหมึก โผไปยังกลุ่มลัทธิเซียนราวกับคลื่นคลั่ง ร่างจองอวิ๋นจือชิวถูกกลบมิดอยู่ท่ามกลางปราณมารเช่นกัน


ขณะที่คนของลัทธิเซียนกำลังร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทาน ก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผ่านพวกเขาไปราวกับลม พอหันกลับไปมองก็ตกใจทันที


เยว่เหยาก็ตกใจเช่นกัน เป็นเพราะจู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็มายืนอยู่ตรงหน้านาง ใกล้กันจนปลายจมูกแทบจะชนกันแล้ว นางโบกฝ่ามือที่มีสายฟ้าฟันเข้าไป ปรากฏว่าวินาทีที่โจมตีโดน อวิ๋นจือชิวก็พลันหายเข้าไปในหมอกมารแล้ว การฟันครั้งนี้จึงคว้าน้ำเหลว


ตัวของอวิ๋นจือชิวมายืนอยู่ด้านขวาของนางอีก นางง้างฝ่ามืออีกครั้ง แต่ก็ยังโจมตีไม่โดน อีกฝ่ายมาโผล่ข้างซ้ายของนาง แล้วโผล่ข้างหลังอีก…


เยว่เหยาที่ลงมือพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าตกใจจนขนลุก


ซวบ! ปราณมารพลันกวาดกลับมา ร่างจริงของอวิ๋นจือชิวปรากฎตรงหน้าพวกอวิ๋นก่วง


“เห็นแก่ที่สามีข้าเรียกทุกคนมาเพราะมีธุระต้องจัดการ เห็นแก่ที่สามีข้ายังโดนขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตาย ข้าช่วยอะไรเขาไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากให้เขาเสียสมาธิเป็นกังวล ดังนั้นวันนี้ข้าจะทนไว้ รอสามีข้าออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์เมื่อไร ถ้าเจ้ายังกล้าปากไม่มีหูรูดอีก ก็อย่าหาว่าข้ายกฐานะตัวเองมาสั่งสอนเจ้าแล้วกัน!” อวิ๋นจือชิวที่หยุดลงมือพลันจ้องเยว่เหยาพร้อมเตือนอย่างเยียบเย็น


พอนางเปิดเผยฝีมือ ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกตะลึงมาก ที่ตรงนั้นเงียบกริบ แม้แต่พวกอวิ๋นก่วงก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง อย่าบอกนะว่านี่คือเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานขั้นสูงกว่าเดิม?


เยว่เหยากัดฟันไม่พูดอะไร ในใจยังหวาดกลัวไม่หาย นางรู้ว่าเมื่อครู่นี้อีกฝ่ายตั้งใจปล่อยนางไป ถ้าอยากจะฆ่านางขึ้นมา ก็เป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ นางไม่มีแม้แต่กำลังจะโต้ตอบด้วยซ้ำ


มีเพียงอวิ๋นจือชิวที่รู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าท่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนจินตนาการเลย เป็นแค่วิชาพรางตาขั้นสูงเท่านั้นเอง นางหลอกลวงได้เพราะตรงนี้ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน


บทที่ 1460 ข้าทำเอง

Ink Stone_Fantasy

จุดประสงค์ที่นางเปิดเผยฝีมือก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร และไม่นับว่าขู่เข็ญอะไรด้วย เพียงอยากจะให้เยว่เหยาได้รู้ ว่าข้าไม่ได้กลัวเจ้า ข้าแค่อ่อนข้อให้เจ้า!


สิ่งที่พูดออกมาก็เพื่อจะให้เยว่เหยาได้เข้าใจ ว่าในเมื่อเจ้ารู้ว่าพี่ชายเจ้าอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วคาดเดาความเป็นความตายไม่ได้ เจ้าก็อย่าทำให้เขาเสียสมาธิ ถ้ามีเรื่องอะไรก็รอให้พี่ชายเจ้ากลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน


นางโมโหมั้ยน่ะเหรอ? ก็ย่อมโมโหแทบบ้าอยู่แล้ว ในสังคมนี้ความบริสุทธิ์ของผู้หญิงจะไม่สำคัญได้อย่างไร ถ้าพูดจากบางมุมก็สำคัญเท่าชีวิตนั่นแหละ คำพูดของเยว่เหยาเหมือนจะเอาชีวิตนางจริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปคงจะแค้นแบบไม่ตายไม่เลิก


แต่ก็ยังเป็นอย่างที่บอก นางจะต้องพิจารณาเงื่อนไขที่ว่าเยว่เหยาเป็นน้องสาวของเหมียวอี้ ความอัปยศบางอย่างจำเป็นต้องทนเอาไว้ นี่ก็คือหนึ่งในราคาที่นางต้องจ่ายเพื่อแลกกับการตัดสินใจอยู่กับเหมียวอี้ที่ยังเป็นเพียงบุคคลต่ำต้อยในปีนั้น ในเมื่ออยู่กับเขาแล้วก็ต้องยอมรับพื้นเพชาติกำเนิด จะดีหรือจะแย่ก็เลือกไม่ได้


นางต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเหมียวอี้ด้วยเช่นกัน ในฐานะที่เป็นสามีภรรยา ตอนนี้นางช่วยอะไรเหมียวอี้ไม่ได้จริงๆ ในใจกำลังรู้สึกผิด จะให้เหมียวอี้เสียสมาธิเมื่ออยู่ในที่อันตรายอย่างแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ได้แล้ว ดังนั้นนางต้องพยายามรักษาความปรองดองของครอบครัวที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ ถึงแม้จะไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบใจที่ผู้ชายของตัวเองมีอนุภรรยาอยู่ข้างกายเป็นโขยงก็ตาม


ในความเป็นจริงนางก็ทำได้แล้วเช่นกัน โดยส่วนใหญ่ก็ไม่เคยทำให้เหมียวอี้ต้องกังวลเรื่องผู้หญิงในบ้านเลย ต่อให้เหมียวอี้ออกจากบ้านไปไกลกว่านี้หรือนานกว่านี้ แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องในด้านนี้ขึ้น ถึงขั้นว่าในบางมุมถ้ามีจุดไหนที่เหมียวอี้หลงลืมผู้หญิงในบ้าน ก็ล้วนเป็นนางที่เตือนให้เหมียวอี้ทำอย่างเหมาะสม


“อวิ๋นจือชิว อย่านึกว่าข้ากลัวเจ้านะ!” เยว่เหยากัดฟันพูด ถึงแม้ในใจจะตระหนักได้ว่าตัวเองไม่ควรสร้างปัญหาเพิ่มให้พี่ชายในเวลานี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น ปากก็ยังยอมอ่อนให้ไม่ได้


อวิ๋นจือชิวกล่าวกดดันด้วยแววตาคมกริบว่า “ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้ากลัวข้าหรอก รอให้วันไหนที่เจ้ารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้ามีจะเอาชนะข้าได้  ข้าก็ยินดีต้อนรับให้เจ้ามาสั่งสอนได้ตลอดเวลา ไม่ใช่มาขยับปากพูดที่นี่!” พอพูดจบก็เหมือนไม่อยากพูดอะไรมากอีก นางหันตัวเดินกลับไปทันที


ถังจวินก็ถือโอกาสหาทางลงให้เยว่เหยาเช่นกัน มาดึงนางเอาไว้แล้ว


ที่ตรงนั้นเงียบลงอย่างรวดเร็ว


กลับเป็นพวกจีเหม่ยลี่ที่สายตาชำเลืองมองอวิ๋นจือชิวที่นั่งเงียบไม่หยุด ทุกคนเป็นผู้หญิงเหมือนกัน สำหรับความรู้สึกที่มีต่อฮูหยินเอกอย่างอวิ๋นจือชิว ถ้าจะบอกว่าอนุภรรยาอย่างพวกนางไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด นั่นก็เป็นคำพูดเหลวไหลวแล้ว แต่ในเวลานี้อนุภรรยาอย่างพวกนางรู้สึกนับถืออวิ๋นจือชิวอย่างแท้จริง ขนาดโดนดูหมิ่นขนาดนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่สามารถสั่งสอนอีกฝ่ายได้ แต่ก็ยังอดทนไว้เพื่อสามี พวกนางยอมรับว่าตัวเองทำแบบนั้นได้ยาก พวกนางตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างตัวเองกับอวิ๋นจือชิวแล้ว


แต่ในใจพวกนางก็ปลอบใจตัวเองเหมือนกัน ถ้าหากตัวเองเป็นฮูหยินเอก คาดว่าก็คงจะรักษาสถานการณ์แบบนี้เช่นกัน


เพียงแต่นึกถึงก่อนหน้านี้ที่อวิ๋นจือชิวดูแลพวกนางเหมือนพี่น้อง แต่เมื่อเผชิญเหตุการณ์แบบนี้ ตัวเองกลับไม่ยืนขึ้นมาช่วยเหลืออวิ๋นจือชิว เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้แค่ยืนมองอวิ๋นจือชิวรับมือเพียงลำพัง ทำให้พวกนางรู้สึกผิดนิดหน่อย


อวิ๋นจือชิวสีหน้านิ่งสงบ ในใจก็เศร้ารันทดอยู่บ้าง ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงในบ้านเดียวกัน แต่ในเวลาแบบนี้กลับไม่มีใครช่วยนางพูดทวงความยุติธรรมสักคน…แต่ความคิดแบบนี้เพียงแวบเข้ามาในสมองประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น สามารถให้อภัยและเข้าใจสถานการณ์ของพวกนางได้ ถึงอย่างไรการปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้การเป็นตัวแทนของตัวเอง แต่เป็นตัวแทนของอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง เรื่องบางเรื่องจะเอามาผสมกันมั่วไม่ได้ ตอนแรกที่พวกนางแต่งงานกับเหมียวอี้ เดิมทีก็มีจุดประสงค์อยู่แล้ว และการที่เหมียวอี้แต่งงานกับพวกนางก็เกี่ยวข้องกับตนด้วย


ความคิดของพวกนางไม่ได้ใส่ใจความกับมีเกียรติและเสื่อมเกียรติของตัวเองมากนัก สิ่งที่พวกนางคิดก็คือ ตัวเองทำหน้าที่ได้ไม่เหมาะสม ต้องดึงให้หัวใจของพวกนางย้ายจากฝั่งอาจารย์มาอยู่ที่ฝั่งเหมียวอี้ ฝั่งนี้ถึงจะยังมีทางให้เดินได้ไกล


ความคิดกำลังว้าวุ่น แต่ถูกปลุกให้ได้สติเพราะระฆังดาราในแหวนเก็บสมบัติ นางพบว่าอวิ๋นอ้าวเทียนท่านปู่ของตัวเองส่งข่าวมา หลังจากหยิบระฆังดาราออกมาแล้ว อวิ๋นจือชิวก็จะเหม่องงทันที ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหมียวอี้กำลังให้ตนรออะไร


ไม่ใช่แค่นาง ตัวแทนของอีกห้าลัทธิที่อยู่ตรงนี้ก็ทยอยกันได้รับข่าวจากอาจารย์เช่นกัน


ข่าวล้วนเป็นแบบเดียวกัน ฐานปฏิบัติการลับของห้าลัทธิที่อยู่นอกแดนอเวจีโดนล้างเลือด ให้พวกเขาถามว่าใช่เหมียวอี้ทหรือไม่


เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ ก็ได้ข่าวเหมือนกัน พวกเขาถึงได้สอบถามกันและกัน ถึงได้พบว่าแต่ละบ้านล้วนมีฐานปฏิบัติการลับสองแห่งโดนล้างเลือด


ตอนยังไม่ถามก็ยังดีอยู่ แต่พอถามแล้วก็ตกใจ สงสัยว่าเหมียวอี้เป็นคนทำจริงเหรอ? แต่เหมียวอี้รู้เรื่องฐานปฏิบัติการลับของแต่ละบ้านได้อย่างไร เรื่องบางเรื่องขนาดคนที่อยู่ตรงนี้ยังไม่รู้เลย


ขณะที่อวิ๋นจือชิวฟังแต่ละบ้านสอบถามกัน นางก็รู้สึกสับสน พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้วว่าเหมียวอี้ทำจริง หกลัทธิทำแบบนี้ซ้ำสองแล้ว เรื่องของไป๋เฟิ่งหวงยั่วโมโหเหมียวอี้แล้วจริงๆ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายล้านคันไม่ใช่น้ำลายทีบทจะถ่มทิ้งก็ถ่มทิ้งได้ เวลาเหมียวอี้เป็นบ้าขึ้นมาแม้แต่ชีวิตตัวเองก็ยอมแลก อาศัยความโหดของเหมียวอี้หลังจากโดนยั่วให้โมโห ก็สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้อยู่แล้ว


เพียงแต่นางเองก็คิดไม่ตก ถ้าพูดให้ฟังดูแย่หน่อยก็คือ เรื่องบางเรื่องหกลัทธิไม่ได้บอกพวกอวิ๋นอ้าวเทียนด้วยซ้ำ ขนาดตำหนักสวรรค์ยังไม่รู้เลย แล้วเหมียวอี้รู้ได้อย่างไรล่ะ?


สายตาของทุกคนมองไปที่อวิ๋นจือชิว


ก่อนหน้านี้เป็นเยว่เหยาที่พาลหาเรื่อง แต่ตอนนี้กลับเป็นถังจวินที่ต้องถามว่า “เหมียวฮูหยิน คาดว่าฐานปฏิบัติการลับของลัทธิมารคงจะสงบสุขดีใช่มั้ย?”


ก่อนหน้านี้ระหว่างหกลัทธิต่างก็ไม่รู้ว่าโดนลอบโจมตีกันหมด หลังจากได้ข่าวแล้ว พวกเขาต่างก็นึกเชื่อมโยงไปถึงความไม่ปกติของเหมียวอี้ จึงติดต่อมายืนยันกับทางนี้ก่อน


อวิ๋นจือชิวเผยระฆังดาราในมือ แล้วตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ดูเหมือนทุกคนจะสงสัยกันหมดว่าเหมียวอี้ ลัทธิมารก็มีฐานปฏิบัติการลับสองแห่งที่โดนจู่โจมเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องสงสัยในจุดนี้เลย อีกไม่นานอาจารย์พวกเจ้าก็ได้รับการยืนยันจากท่านปู่ข้าแล้ว เรื่องแบบนี้ปิดบังกันไม่ได้ ไปตรวจสอบเอาในที่เกิดเหตุก็รู้แล้ว”


ครั้งนี้เยว่เหยาเริ่มขมวดคิ้วแล้ว ถ้าเป็นพี่ชายของนางทำจริงๆ ถึงอย่างไรอาจารย์ของตัวเองก็ได้รับความเสียหาย ที่จริงนางกลัวมากกับการเผชิญทางเลือกแบบนี้


พวกอวิ๋นก่วงก็ประสาทเสียเหมือนกัน เจ้าเวรเหมียวอี้คงไม่จัดการกับตระกูลอวิ๋นเหมือนกับฝ่ายอื่นหรอกใช่มั้ย ถ้าเป็นแบบนี้จริง ก็นับว่าโหดพอสมควร แต่ลองคิดไปคิดมาก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ ตระกูลอวิ๋นก็เกือบจะเล่นงานเหมียวอี้ถึงตายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ


ถังจวินจึงบอกว่า “จะใช่สามีท่านทำหรือไม่ เหมียวฮูหยินลองถามดูก็รู้แล้ว” สายตามองไปทางเทพธิดาหงเฉินที่กำลังหลับตานั่งสมาธิฝึกตน แล้วก็แอบส่ายหน้าเบาๆ เพราะหวังอะไรกับศิษย์น้องคนนี้ไม่ได้เลย ส่งยอดหญิงงามไปให้เหมียวอี้โดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ เขาจึงหันกลับมาหาสองพี่น้องหลางหลางหวนหวน บอกใบ้ให้ติดต่อไปถามเหมียวอี้


บ้านอื่นก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน ต่างก็บอกใบ้ให้พวกจีเหม่ยลี่รีบสืบข่าว


ที่จริงไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น สาเหตุที่ห้าปราชญ์ส่งผู้หญิงพวกนี้มาแต่งงานกับเหมียวอี้ในตอนแรก ก็เป็นเพราะไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ของพิภพใหญ่ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เกิดจากเหมียวอี้ และในตอนแรกเหมียวอี้ก็ไม่มีศักยภาพจะต่อต้านหากห้าปราชญ์ร่วมมือกัน เพื่อกำจัดความห่วงหน้าพะวงหลัง เพื่อสร้างตำแหน่งประมุขของพิภพเล็กให้มั่นคง เหมียวอี้ถึงได้เข็นเรือไปตามน้ำ


ปัจจุบันบทบาทระดับนั้นย่อมหายไปแล้ว กลายเป็นเพียงเชือกที่คอยรักษาความสัมพันธ์กับเหมียวอี้เอาไว้ เมื่อมีความสัมพันธ์แบบเกี่ยวดองด้วยการแต่งงานอยู่ ยามเผชิญกับเรื่องผลประโยชน์ที่ซับซ้อนระหว่างกัน ตอนเกิดความขัดแย้งในความสัมพันธ์ก็ยังพอมีทางหนีทีไล่ให้กลับได้ ถึงอย่างไรตอนนี้เหมียวอี้ก็ไม่กล้าทำอะไรล้ำเส้นเกินไป ห้าปราชญ์รู้ความลับของเหมียวอี้ ถ้าเปิดโปงความลับขึ้นมา เหมียวอี้ก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวเหมือนกัน มีหรือที่ตำหนักสวรรค์จะปล่อยเขาไป!


ดังนั้นอนุภรรยาที่แต่งงานกับเหมียวอี้จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้การปะทะกันของทั้งสองฝ่ายเบาลง ไม่ถึงขั้นฉีกหน้ากันจนไม่เหลือทางหนีทีไล่เลย


ส่วนพวกอนุภรรยาก็จำเป็นต้องมีอวิ๋นจือชิวคอยเป็นตัวกลางลดการปะทะระหว่างพวกนางกับเหมียวอี้ ถ้าเกิดเรื่องกับฝ่ายอาจารย์ขึ้นมาแล้วรีบร้อนไปถามซักไซ้เหมียวอี้ ก็เกรงว่าเหมียวอี้จะโกรธเคืองและสงสัยว่าพวกนางยืนอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ดังนั้นทุกคนจึงส่งสายตาไปที่อวิ๋นจือชิว


อวิ๋นจือชิวแอบทอดถอนใจ เข้าใจเจตนาของพวกนางแล้ว กำลังให้นางไปถามเหมียวอี้


แต่ระหว่างนางกับเหมียวอี้กลับไม่มีความกังวลนี้ คนในบ้านที่กล้าด่าจะตีเหมียวอี้ก็มีแค่นางแล้ว เหมียวอี้ด่านางว่าผู้หญิงปากร้าย ส่วนนางก็ด่าเหมียวอี้ว่าคนจัญไร ไอ้เวรตะไล หลังจากด่ากันเสร็จแล้วทั้งสองก็ไม่เก็บมาใส่ใจ กลับไปนอนกลิ้งทับกันบนเตียงเหมือนเดิม แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกจีเหม่ยลี่ ถ้าเหมียวอี้กล้าด่าว่า ‘ผู้หญิงปากร้าย’ ก็ลองดูสิ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่กล้าด่าหรอก แต่ถ้าด่าแล้วจะทำร้ายหัวใจพวกจีเหม่ยลี่ ดังนั้นเหมียวอี้จึงรู้จักบันยะบันยัง ไม่อาจเอ่ยคำพูดพวกนั้นกับจีเหม่ยลี่ได้ง่ายๆ


ถึงแม้ตอนนี้จะให้ต่อสู้กันขึ้น แต่นางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมียวอี้ นางสู้ไม่ชนะเหมียวอี้แล้ว แต่ความเคยชินระหว่างสามีภรรยาก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ตอนที่ทั้งสองยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน ตอนยังอยู่ที่ทะเลทรายม่านเมฆานางมักจะลงไม้ลงมือกับเหมียวอี้ ไม่ว่านางจะทำอย่างไรก็ยังดูเป็นเรื่องปกติ


ที่จริงนางเองก็รู้ ว่าต่อให้เหมียวอี้จะเอาชนะนางได้แต่ก็คงไม่ทำอะไรนาง เหมียวอี้ยังทำใจไม่ได้ที่จะตีนางให้หน้าฟกช้ำดำเขียว ต่อให้จะโมโหจนง้างมือสูงกว่านี้ แต่สุดท้ายอย่างมากก็แค่วางมือลงแล้วตีก้นนางแรงๆ ในทางกลับกัน เวลานางระเบิดอารมณ์ขึ้นมาเหมียวอี้จะต้องทนไม่ไหวแน่นอน แต่มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังยอมอ่อนข้อให้นาง ความรักทะนุถนอมที่เหมียวอี้มีต่อนางนั้นฝังลึกลงในกระดูก ในใจนางรู้ชัดดีมาก นี่คือเรื่องที่นางภาคภูมิใจที่สุด นางลำพองใจเพราะได้เป็นที่รัก ก็เลยหยอกล้อหาความสุขจากตัวเหมียวอี้ นางรู้สึกได้เสพสุขเวลาระบายอารมณ์โกรธใส่เหมียวอี้


พอติดต่อเหมียวอี้ได้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็ถามว่า : หนิวเอ้อร์ เจ้าบอกข้ามาอย่างซื่อสัตย์นะ เจ้าทำอะไรลับหลังข้าหรือเปล่า?


เหมียวอี้ที่ยืนรอฟังข่าวอยู่หน้าถ้ำยิ้มมุมปาก สงสัยฝั่งนั้นจะได้รับข่าวแล้ว จึงถามกลับว่า : จะทำอะไรได้ล่ะ?


อวิ๋นจือชิว : หมายความว่า เจ้ายอมรับแล้วเหรอว่าล้างเลือดฐานปฏิบัติการลับของห้าลัทธิ?


เหมียวอี้ : ข้าทำเอง! ถ้าไม่ใช่เพราะข้าใจอ่อนในช่วงเวลาสำคัญ ข้าคงกวาดล้างร้านค้าไปด้วยแล้ว!


อวิ๋นจือชิว : นี่คือสาเหตุที่เรียกพวกเรามารวมกันที่นี่ใช่มั้ย


เหมียวอี้ : ใช่!


อวิ๋นจือชิว : ก่อนเกิดเรื่องทำไมเจ้าไม่…


ทีแรกจะถามว่าก่อนเกิดเรื่องทำไมไม่บอกข้าก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามออกมา นางรู้ว่าเขากลัวนางลำบากใจ จึงถามต่ออีกว่า : เจ้าหากำลังพลมากมายขนาดนั้นมาจากไหน? เจ้ายังมีกำลังพลส่วนตัวที่ข้าไม่รู้อีกเหรอ? แล้วเจ้ารู้จักฐานปฏิบัติการลับของห้าลัทธิได้ยังไง


เหมียวอี้ : เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้ให้พวกเขากลับไปได้แล้ว


หลังจากทั้งาองติดต่อกันเสร็จ อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มเจื่อนให้กลุ่มคนที่อยู่ด้วยกัน บอกว่าเหมียวอี้ ‘ยอมรับผิด’ แล้ว แล้วก็ส่งต่อคำพูดของเหมียวอี้


พวกเขาตกใจมาก แล้วต่างคนก็ต่างรีบติดต่ออาจารย์ตัวเอง


อวิ๋นจือชิวมองดูปฏิกิริยาของพวกอนุภรรยาพลางทำท่าครุ่นคิด คาดว่าทุกคนคงจะเข้าใจแล้ว ว่าการที่เหมียวอี้ย้ายทุกคนมาที่นี่ก็ยังนับว่าลงมีอย่างมีเมตตา กลัวว่าตอนลงมือจะทำร้ายคนในครอบครัวตัวเอง ขนาดคนในครอบครัวของครอบครัวก็ยังคำนึงถึง


แน่นอน พวกนางก็ย่อมคิดว่าสาเหตุที่เหมียวอี้ไม่แตะต้องร้านค้าพวกนั้นเป็นเพราะยั้งมือได้ในช่วงเวลาสำคัญ เพราะไม่อยากทำลายที่ลงหลักปักฐานของพวกนาง สิ่งนี้ทำให้พวกนางซาบซึ้งใจเล็กน้อย


หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะความไม่ตั้งใจของเหมียวอี้ล้วนๆ เวลาโมโหขึ้นมาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น ตอนแรกก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหมือนกัน


มีอยู่จุดหนึ่งที่ทุกคนตรงไม่รู้เลย นั่นก็คือพวกเขาไม่รู้ว่าห้าลัทธิเสียหายมากเท่าไรกันแน่ ไม่รู้ว่าห้าลัทธิต้องจ่ายสิ่งตอบแทนอย่างยับเยินเท่าไรกันแน่ เพราะไม่รู้สถานการณ์ของฐานปฏิบัติการลับชัดเจน


แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง จินม่านนำคนเดินออกมาต้อนรับแขกที่ตำหนักใหญ่ ผลก็คือพบว่าแขกกลุ่มหนึ่งที่เหาะลงมาจากฟ้าสีหน้าค่อนข้างย่ำแย่


บทที่ 1461 ห้าปราชญ์กดดันมาก

Ink Stone_Fantasy

ข้างกายปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนมีผู้ติดตามคือเย่สิงคง ประมุขขุนพลลัทธิมารที่คิ้วหนาเชิดขึ้นอย่างแข็งกร้าวเต็มเปี่ยม ลักษณะท่าทางและรูปร่างของทั้งสองคล้ายกันอยู่หลายส่วน


ข้างกายปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินมีจ่างซุนจู ประมุขขุนพลลัทธิเซียนที่สวมชุดบัณฑิตสีขาว


ข้างกายปราชญ์ปีศาจจีฮวนก็คือสาวน้อยชุดชมพู ดวงตาสวยกลมโต รูปร่างอ้อนแอ้นน่ารัก เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายของหนุ่มสาว คนไม่รู้สถานการณ์ที่ไหนจะคาดคิดว่าสาวน้อยคนนี้คือลวี่เกอ ประมุขขุนพลลัทธิปีศาจผู้มีนามโด่งดังสะท้านใต้หล้า


ข้างกายปราชญ์พุทธะฉางเหลยคือซิงหลัว ประมุขขุนพลลัทธิพุทธ หน้าตาดูสดใสมีกำลังวังชา สวมจีวรทีทออย่างดงาม


ข้างกายซือถูเซี่ยวคือหลีเซิง ประมุขขุนพลลัทธิผี มีเอกลักษณ์ชัดเจนมาก หน้าตาตามแบบฉบับโจร


ประมุขปราชญ์ทั้งห้ากับประมุขขุนพลทั้งห้ามาด้วยตัวเองพร้อมกัน เพียงแต่ไม่มีใครทำสีหน้าดีเลยสักคน บ้างก็หน้าดำคร่ำเครียด บ้างก็หน้าบึ้ง บ้างก็ขมวดคิ้วมุ่น…


ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรบางอย่างแล้ว ถ้าสามารถทำให้คนพวกนี้โผล่มาพร้อมกันและทำสีหน้าแบบนี้ได้ เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ


จินม่านที่นำอ๋าวเถี่ยกับกงซุนลี่เต้าเดินลงบันไดนอกตำหนักอึ้งไปชั่วขณะ อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองทางซ้ายและขวา เหมือนกำลังถามทั้งสองว่ารู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น


สองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็มองมาเช่นกัน พวกเขาเลิกลั่กแล้ว ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


ตอนนี้ฝั่งลัทธิอู๋เลี่ยงยังไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาย่อมไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร แน่นอนว่ายกเว้นประมุขปราชญ์ในนามท่านนั้น แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตรงนี้


ทั้งสามไปต้อนรับแล้ว จินม่านกุมหมัดคารวะเล็กน้อย “ประมุขปราชญ์ทั้งห้าท่านกับประมุขขุนพลทั้งห้าท่านให้เกียรติมาเยือน ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ เชิญข้างใจ!”


เย่สิงคง ประมุขขุนพลลัทธิมารโบกมือ “ไม่ต้องเชิญเข้าไปข้างในแล้ว ข้างนอกอากาศถ่ายเทดีกว่า อึดอัดจะแย่!”


ทั้งสามสบตากันอีกครั้ง จินม่านกวาดสายตามองทุกคน แล้วถามหยั่งเชิงว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”


พวกมู่ฝานจวินเงียบงัน ที่จริงเรื่องที่ลงมือกับไป๋เฟิ่งหวงคือความคิดของพวกเขา ที่จริงตอนแรกประมุขขุนพลทั้งห้ายังลังเลนิดหน่อย ทว่าด้วยการโน้มน้าวของทั้งห้า กอปรกับอยากจะได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นจริงๆ ถึงได้เห็นด้วยแล้ว


ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว ห้าคนที่เป็นตัวต้นคิดรู้สึกเครียดหนักทันที เห็นได้ชัดว่าประมุขขุนพลทั้งห้าไม่ค่อยพอใจพวกเขา เพียงแต่เป็นเพราะตัวเองตอบตกลงไปแล้ว ไม่สะดวกจะพูดออกมาก็เท่านั้นเอง ตอนนี้แม่ทัพใหญ่เบื้องล่างล้วนต้องการคำอธิบายจากพวกเขา ถามว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ กำลังที่วางทิ้งไว้ข้างนอกมีไม่เยอะเท่าเมื่อก่อนแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงประสบความเสียหายใหญ่โตขนาดนี้? ทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร ในจำนวนคนที่ล้มตายไป มีไม่น้อยที่เป็นลูกน้องเก่าของแม่ทัพใหญ่พวกนั้น


เดิมทีกำลังพลเบื้องล่างก็ไม่ค่อยพอใจที่ห้าปราชญ์มารับตำแหน่งประมุขปราชญ์อยู่แล้ว ถึงแม้ในหลายปีมานี้จะปรับตัวเข้าหากันและมีแนวโน้มว่าจะปรองดอง แต่พอเกิดเรื่องวุ่นวายนี้ขึ้น ดีไม่ดีอาจจะทำให้ความสัมพันธ์กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน พวกมู่ฝานจวินที่ออกความคิดโง่ๆ แบบนี้รู้สึกกดดันมากจริงๆ!


เพื่อคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ประมุขขุนพลทั้งห้าทำได้เพียงช่วยคุมสถานการณ์เอาไว้


ตอนนี้ประมุขขุนพลทั้งห้ายังคุมไหว แต่ถ้าเหมียวอี้ลงมือล้างเลือดฐานปฏิบัติการลับแห่งอื่นอีกครั้ง ผลลัพธ์ก็จะแย่จนไม่อยากจินตนาการถึงแล้ว! ยังไม่ต้องพูดถึงว่าแม่ทัพใหญ่พวกนั้นจะระเบิดอารมณ์ กำลังพลที่อยู่ด้านนอกเตรียมจะแว้งกัดเพื่อหกลัทธิมาตลอด กำลังเตรียมสะสมทรัพยากรอย่างลับๆ ถ้ากำลังอำนาจที่อยู่ด้านนอกถูกกำจัดทิ้ง ต่อให้วันหนึ่งกำลังพลหกลัทธิจะออกไปได้ แต่ถ้าไม่มีอะไรเตรียมไว้ด้านนอกเลยสักนิด อาศัยแค่คนพวกนี้โจมตีฝ่าออกไปจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่มีความหวังจากข้างนอกแล้ว ในนรกจะต้องเกิดความวุ่นวายภายในแน่นอน!


“เกิดเรื่องนิดหน่อย” หลีเซิง ประมุขขุนพลลัทธิผีที่หน้าเหมือนโจรตอบ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “จินม่าน ลัทธิอู๋เลี่ยงของพวกเจ้าไม่เกิดอะไรขึ้นเลยเหรอ?”


ที่จริงเขาก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองถามนั้นเหลวไหล อีกฝ่ายถามตนอย่างแปลกใจมาก แสดงว่าไม่รู้เรื่องนี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นก็คงรู้ใจกันโดยไม่ต้องพูด และแน่นอน ที่หยั่งเชิงถามก็เพราะอยากจะรู้ว่าตอนเหมียวอี้ได้บอกลัทธิอู๋เลี่ยงไว้หรือไม่


คนพวกนี้มีเจตนาอะไรกันแน่? ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่กอีกครั้ง แล้วจินม่านก็ตอบว่า  “ตอนนี้ฝั่งพวกเรายังไม่เกิดเรื่องอะไร หรือ่วาฝั่งพวกเจ้าเกิดเรื่องแล้ว? โจรกบฏโจมตีอีกแล้วเหรอ?”


หลีเซิงประสานมือสองข้างไว้ในเสื้อ ท่าทางเหมือนสงบใจเย็นมาก ไม่พูดอะไรแล้ว


ลวี่เกอประมุขขุนพลลัทธิปีศาจถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบว่า “ฐานปฏิบัติการสองแห่งของพวกเราที่อยู่ข้างนอกโดนกวาดล้างแล้ว”


จ่างซุนจู ประมุขขุนพลลัทธิเซียนก็ถอนหายใจเช่นกัน “พวกเราก็เจอสถานการณ์เดียวกัน”


“ฝั่งพวกเราก็เหมือนกัน ฐานปฏิบัติการสองแห่งโดนล้างเลือด” เย่สิงคงพูดเย้ยตัวเอง


พวกจินม่านตกใจไม่เบา สายตามองไปที่อีกสองคน ซิงหลัวประนมมือพร้อมบอกว่า  “ไม่ต้องถามแถม ห้าลัทธิโดนเหมือนกันหมด ฐานปฏิบัติการลับสองแห่งถูกล้างเลือดแล้ว”


ไม่ว่าจะอยู่ลัทธิเดียวกันหรือไม่ แต่สิ่งที่เสียหายล้วนเป็นกำลังที่จะใช้โจมตีกลับในอนาคต จินม่านถามซักไซ้ด้วยสีหน้าคร่ำเครียด “แต่ละฝ่ายเสียหายเป็นยังไงบ้าง?”


จ่างซุนจูส่ายหน้า “พวกเราลองนับรวมกันแล้ว ถึงแม้รวมกันแล้วจะเสียหายไปแค่สิบจุด แต่จุดประสงค์ที่อีกฝ่ายลงมือก็ชัดเจนมาก เหมือนจะสืบเจอกำพืดพวกเราแล้วเลือกลงมือโดยเฉพาะ ห้าลัทธิไม่มากไม่น้อย เหมือนจะเสียหายไปสองส่วนจากกำลังพลทั้งหมดที่วางไว้ข้างนอก!”


“สองส่วน!” พวกจินม่านอุทานตกใจเป็นเสียงเดียวกัน หรือพูดได้อีกอย่างว่า สูญเสียกำลังไปหนึ่งในห้าส่วนรวดเดียว เท่ากับกำลังหนึ่งลัทธิจากห้าลัทธิที่อยู่ข้างนอกถูกทำลายไปแล้ว


ความเสียหายนี้ทำให้คนตกใจจริงๆ จินม่านถามอีกว่า “ทำไมถึงเสียหายไปฝั่งละสองส่วนพอดี?”


เย่สิงคงเอามือไขว้หลัง มองคนที่มาด้วยกัน แล้วแสยะยิ้มกล่าวว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีอะไรน่าปิดบังแล้ว เดิมทีก็มาเพื่อขอร้องอยู่แล้ว จินม่าน พูดให้ชัดเลยแล้วกัน เรื่องนี้ประมุขปราชญ์ของพวกเจ้าเป็นคนทำ ก่อนหน้านี้พวกเราทำผิดต่อประมุขปราชญ์ของพวกเจ้าไว้เยอะ หวังว่าพวกเจ้าจะช่วยขอร้องให้หน่อย ให้ประมุขปราชญ์ของพวกเจ้าใจกว้างไม่ถือสาและหยุดไว้แค่นี้”


“หา!” ทั้งสามอ้าปากกว้าง จินม่านถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “พวกเจ้าแน่ใจนะว่าประมุขปราชญ์ของพวกเราเป็นคนทำ?”


“เรื่องนี้ประมุขปราชญ์ของพวกเจ้ายอมรับเองแล้ว ที่จริงต่อให้เขาไม่ยอมรับ พวกเราก็เดาได้อยู่ดีว่าเขาทำ” ลวี่เกอตอบ


นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ข้อหานี้ใหญ่เกินไปหน่อย จินม่านถามเสียงต่ำว่า “เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?”


หลีเซิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ไม่ใช่เพราะก่อเรื่องกับไป๋เฟิ่งหวงรึไง…” เล่ารายละเอียดที่มาที่ไปให้ฟังรอบหนึ่ง


พอได้ยินหัวเรื่อง พวกจินม่านก็พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้ว สงสัยจะเป็นเรื่องไป๋เฟิ่งหวงที่ยั่วโมโหประมุขปราชญ์ นี่คือการล้างแค้นของประมุขปราชญ์ หลังจากฟังจบแล้วก็พบว่าไม่ผิด ยืนยันจนแน่ใจแล้ว เป็นการล้างแค้นของประมุขปราชญ์จริงๆ


สิ่งที่ทำให้ทั้งสามคนตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะตัดกำลังหนึ่งในห้าส่วนของห้าลัทธิทิ้งไปแล้ว ทั้งยังฆ่าทุกคนที่อยู่ในสิบฐานนั้นจนเกลี้ยงหมดไม่เหลือสักคน ไม่ปล่อยให้รอดไปสักคน แม้แต่คนที่หนีรอดสักคนก็ไม่มี ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่อยู่ในเหตุการณ์รีบส่งข่าวมาช่วยเหลือทัน เกรงว่าตอนแรกฝั่งนี้ก็คงจะไม่รู้เหมือนกันว่าสิบฐานปฏิบัติการลับด้านนอกโดนกำจัดทิ้งแล้ว แบบนี้ต้องใช้คนมากมายขนาดไหนกว่าจะทำได้?


สิ่งที่ทำให้คนตระหนกยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครทำ ทั้งยังเกิดขึ้นในวันเดียวกัน เวลาเดียวกัน ลงมือพร้อมกันด้วย ไม่ใช่ว่าคนกลุ่มเดียวโจมตีเสร็จหนึ่งฐานแล้วไปฐานอื่นต่อ แบบนี้หมายความว่าอะไรก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว


ถึงแม้ตอนอยู่ข้างนอกเหมียวอี้จะมีชื่อเสียงโด่งดังไม่เบา แต่ด้วยวรยุทธ์ต่ำต้อยอย่างเขา ว่ากันตามจริงคือเล็กน้อยต่ำต้อยเกินไปสำหรับทุกคนด้วยซ้ำ นี่คือประมุขปราชญ์ในนามที่ตอนแรกโดนลัทธิอู๋เลี่ยงดูถูกจนเลอะเลือนและต้องอ่อนน้อมถ่อมตนต่อทุกคน หลังจากเกิดเรื่องไป๋เฟิ่งหวงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะรวบรวมกำลังมากมายไปโจมตีห้าลัทธิแบบฟ้าผ่า!


แต่พวกเขาก็คิดไม่ตกว่าเหมียวอี้หากำลังมากมายขนาดนี้มาจากไหน ถึงแม้ที่กำจัดทิ้งไปจะเป็นแค่กำลังหนึ่งในห้าส่วนที่อยู่ข้างนอกของห้าลัทธิ ถึงแม้กำลังอำนาจของหกลัทธิจะเทียบไม่ได้กับยุคที่เจริญรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า แต่กำลังที่เหลืออยู่ก็ยังทำให้ตำหนักสวรรค์ระแวงได้อยู่ดี เป็นสิ่งที่ตำหนักสวรรค์อยากจะกำจัดทิ้งแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่พลังอำนาจทั่วไปจะเทียบติดอยู่แล้ว


พวกเขาสามารถพูดแบบไม่อวดดีเลยว่า นอกจากอำนาจทางการของโจรกบฏแล้ว ในใต้หล้าก็ไม่มีสำนักไหน ไม่มีอำนาจฝ่ายไหนที่ทำสิ่งนี้ได้ง่ายๆ


อย่าบอกนะว่าประมุขปราชญ์ใช้กำลังของฝ่ายทางการโจรกบฏ? เป็นไปไม่ได้!


อาศัยแค่สามารถตัดกำลังหนึ่งในห้าส่วนของแต่ละลัทธิได้อย่างพอเหมาะพอดี ข่าวที่ซ่อนอยู่ในนั้นก็ทำให้คนรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แล้ว! เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องกำลังพลที่อยู่ด้านนอกของห้าลัทธิดีมาก สร้างผลงานกับกำลังด้านนอกของห้าลัทธิได้อย่างพิถีพิถันจริงๆ!


ถ้าพูดอีกแบบหนึ่ง ด้วยข้อมูลสถานการณ์ที่อีกฝ่ายมี เป็นไปไม่ได้ที่จะตกหล่นลัทธิอู๋เลี่ยงพอดี ถ้ากำลังพลของทางการฝ่ายโจรกบฏรู้สถานการณ์ละเอียดขนาดนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกำหนดทิศทางกวาดล้าง จะต้องหว่านแหกำจัดให้หมดแน่นอน มีหรือที่จะเหลือทางหนีทีไล่ไว้มากขนาดนี้


พวกกงซุนลี่เต้าทำสายตาจริงจังมาก จินม่านถามหยั่งเชิงอีกครั้งว่า “รู้รึเปล่าว่าใครไปลงมือด้วยตัวเอง?”


ความคิดแบบนี้ของทั้งสามคน ทุกคนก็เคยคิดมาก่อนแล้วเหมือนกัน ดังนั้นจึงเข้าใจความหมายของนาง จ่างซุนจูตอบแบบแฝงนัยยะว่า “ไม่รู้ แต่แน่ใจได้ว่าไม่ใช่กำลังพลของทางการฝ่ายโจรกบฏแน่นอน! ลักษณะแบบนี้…ก็ไม่ใช่ลักษณะของโจรกบฏ” คำว่า ‘ลักษณะ’ นี้แฝงความหมายลึกซึ้ง เหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่ไม่สะดวกจะพูดออกมาต่อหน้าพวกอวิ๋นอ้าวเทียน


ทั้งสามเข้าใจความหมายแฝงที่อยู่ในนั้นทันที ในหัวใจกระตุกวูบ พวกอวิ๋นอ้าวเทียนอาจจะไม่เข้าใจ แต่พวกเขากลับเข้าใจ ชั่วพริบตาเดียวก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว!


ใช่แล้ว! ลักษณะแบบนี้…


การโจมตีที่รวดเร็วดุดันแบบนี้ เด็ดขาดขนาดนี้ คลุ้งกลิ่นคาวเลือดขนาดนี้ เลือกเย็นไร้ความปรานีขนาดนี้ เหมือนจะเป็นคำเตือนที่ใครบางคนเคยเตือนเขาไว้ก่อนหน้านี้!


ทั้งสามเข้าใจแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่ประมุขปราชญ์ที่กำลังเตือนพวกเขา แต่เป็นเขาคนนั้นที่ลงมือ!


สามารถรวบรวมกำลังที่เข้มแข็งเกรียงไกรได้ทุกเมื่อเพื่อมาเตือนพวกเขาอย่างน่าตกใจขนาดนี้ ก็มีแค่คนคนนั้นที่ดูจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด!


พอเข้าใจจุดนี้แล้ว ในใจทั้งสามก็เรียกได้ว่าร่ำร้องอยู่พักหนึ่ง ที่แท้อีกฝ่ายก็ไม่ใช่แค่กำจัดพวกเขาที่หลบอยู่ในแดนอเวจีได้ทุกเมื่อ แต่ยังกวาดล้างกำลังของพวกเขาที่ซ่อนอยู่ข้างนอกจนหมดสิ้นได้


ที่กำจัดฐานปฏิบัติการลับสิบแห่งนั่นไปก็เป็นแค่การเตือนพวกเขาเท่านั้น กำลังเตือนพวกเขาว่า ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะใช้งานพวกเขา พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก กำลังเตือนว่าให้พวกเขาซื่อสัตย์หน่อย อย่าคิดจะเล่นลูกไม้อะไรลับหลัง!


นี่ก็เหมือนกับมือใหญ่สองข้างที่กำลังบีบคอเอาไว้ บีบจนแน่นไม่ให้เจ้าขยับไปไหน!


การเตือนครั้งนี้ก็เท่ากับเป็นการบ่งชี้ให้พวกเขารู้แล้วเช่นกัน ว่าท่ามกลางหกประมุขปราชญ์คนใหม่ ใครกันแน่ที่เป็นตัวแทนของคนคนนั้น!


กับเรื่องนี้ ประมุขขุนพลห้าลัทธิที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักรู้สึกเซ็งนิดหน่อย ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าคนที่รับตำแหน่งประมุขปราชญ์หกลัทธิอย่างพวกมู่ฝานจวินจะเหมือนกันหมด ตอนนี้ถึงได้พบว่าเหมียวอี้ต่างหากที่เป็นจุดสำคัญ ส่วนอีกห้าคนที่เหลือเป็นตัวประกอบ


พวกมู่ฝานจวินที่เงียบมาตลอดอาจจะไม่รู้ว่าเบื้องหลังหมายความว่าอะไร แต่กลับรู้สึกหนักใจอย่างถึงที่สุด


สาเหตุที่กล้าเล่นตุกติกลับหลังเหมียวอี้ ก็เป็นเพราะในมือตัวเองบีบจุดอ่อนของเหมียวอี้อยู่ มั่นใจแล้วว่าเหมียวอี้ไม่กล้าใช้กำลังพลของตำหนักสวรรค์ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะซ่อนกำลังเอาไว้มหาศาลขนาดนี้ ขนาดไม่ใช้กำลังของตำหนักสวรรค์ก็ยังโจมตีจนพวกเขาทนไม่ไหวเลย


พวกเขาเข้าใจแล้ว ว่าจุดอ่อนที่บีบไว้ในมือไม่มีความหมายอะไรต่อเหมียวอี้อีก อีกฝ่ายมีกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ยังต้องกังวลเรื่องการคุกคามจากตำหนักสวรรค์อีกเหรอ มีกำลังเพียงพอที่จะมาสั่งสอนพวกเขาได้เลย ถ้าคิดจะแตะต้องเหมียวอี้อีก หกลัทธิก็คงเป็นกลุ่มแรกที่จะไม่ยอม!


บทที่ 1462 ห้าปราชญ์ยอมศิโรราบ

Ink Stone_Fantasy

อวิ๋นอ้าวเทียน จีฮวน ซือถูเซี่ยว ฉางเหลย ทั้งสี่คนรู้สึกจนใจพอสมควร รสชาติยามถูกเหมียวอี้รุดนำหน้าอยู่ตลอดแบบนี้ขื่นขมมาก โดยเฉพาะการถูกเหมียวอี้โจมตีแบบสายฟ้าแลบแบบนี้ แทบจะทำให้เลือดเนื้อแรงกายที่พวกเขาอยู่ที่แดนอเวจีมาหลายปีกลายเป็นสิ่งสูญเปล่าหมดแล้ว


ส่วนมู่ฝานจวินก็เหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่าง แอบหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่จะไม่ยอมรับความจริงก็ไม่ได้


ที่จริงพวกเขาล้วนเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริง ความพ่ายแพ้ชั่วครู่ไม่ทำให้พวกเขาท้อแท้ใจ เริ่มตั้งแต่เลื่อนจากคนต่ำต้อยเป็นจ้าวแห่งพิภพเล็กได้ แล้วก็เดินมาจนถึงทุกวันนี้ที่พิภพใหญ่ ผ่านความยากลำบากและความพ่ายแพ้มานับไม่ถ้วน โผล่ออกมาแสดงฝีมือท่ามกลางคนนับไม่ถ้วน มีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่อย่างไม่ต้องสงสัย มีหรือที่ความพ่ายแพ้เล็กน้อยนี้จะทำให้ตกใจได้


ที่จริงครั้งนี้ที่ลงมือกับไป๋เฟิ่งหวง ก็เป็นเพราะอยากอาศัยการได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าร่วมกับอำนาจอิทธิพลของห้าลัทธิที่อยู่ด้านนอกให้ลึกกว่าเดิม ถ้าเคลื่อนกำลังพลหนึ่งครั้งแล้วได้ประโยชน์ ครั้งต่อไปก็ย่อมมีเหตุผลที่ฟังขึ้น ขอเพียงอำนาจอิทธิพลข้างนอกมีช่องโหว่ ก็จะมีหนทางเข้าควบคุมอย่างช้าๆ


ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ พวกเขายังพุ่งเป้าไปที่หกเคล็ดวิชาพิเศษในมือเหมียวอี้ พวกเขารู้ว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษต่างหากคือรากฐานที่แท้จริงในการควบคุมหกลัทธิ มีเพียงการใช้งานอำนาจอิทธิพลข้างนอกเท่านั้น พวกเขาถึงจะมีทางกดดันให้เหมียวอี้ยอมศิราบได้ ไม่อย่างนั้นถ้าเหมียวอี้ยังมีลัทธิอู๋เลี่ยง พอเข้ามาในแดนอเวจีแล้วก็แตะต้องไม่ได้ อยู่ข้างนอกก็ควบคุมไม่ได้อีก ไม่มีวิธีการกดดันเหมียวอี้ได้เลย มีเพียงการอาศัยกำลังที่อยู่ด้านนอกของห้าลัทธิเท่านั้น


ใครจะคิดว่าเหมียวอี้เหมือนจะตระหนักได้ถึงเจตนาของเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะโจมตีพวกเขาแบบฟ้าผ่าขนาดนี้ แทบจะทำให้ความพยายามที่พวกเขาใช้ที่แดนอเวจีสูญสิ้นไปหมด นี่คือการเตือนแบบเปิดเผยโจ่งแจ้ง


ทว่าเหมียวอี้กลับค่อนข้างใจกว้างให้อภัยพวกเขา เนื่องจากเหมียวอี้มีกำลังมากมายขนาดนี้ ถ้าอยากจะโค่นล่มพวกเขาจริงๆ ก็สามารถใช้โอกาสในครั้งนี้ได้เลย แต่เหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำ พวกเขาใช้ความคิดตัวเองไปตัดสินความคิดของอีกฝ่าย จึงไม่ได้คิดว่าเหมียวอี้เป็นคนดีมีเมตตาอะไร กลับคิดว่าเหมียวอี้กำลังส่งสัญญาณเตือนพวกเขาอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ ถ้าในมือมีหกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่จริงๆ ไม่ช้าก็เร็วก็ยังต้องให้พวกเขาอยู่ดี


เมื่ออยู่ในตำแหน่งอย่างพวกเขา ก็สามารถเข้าใจหลักการได้ไม่ยาก นั่นก็คือพอหกลัทธิออกจากแดนอเวจีไปแล้ว พวกเขาห้าคนหรือแม้กระทั่งรวมเหมียวอี้เข้าไปด้วยก็ไม่สามารถควบคุมได้ ถึงตอนนั้นในใต้หล้าก็ไม่มีใครควบคุมหกลัทธิได้เช่นกัน ผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิกลุ่มนี้ไม่เห็นตำหนักสวรรค์อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ มีหรือที่จะเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ตอนนี้แค่โดนสถานการณ์บีบบังคับก็เท่านั้น ดังนั้นจึงจำเป็นมากที่จะใช้โอกาสตอนหกลัทธิโดนบังคับให้อยู่ในนี้รีบควบคุมเอาไว้


ส่วนศักยภาพที่เหมียวอี้แสดงออกมา ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าในอนาคตเหมียวอี้มีความสามารถที่จะเปิดประตูแดนอเวจีปล่อยผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิออกไป เป็นการตัดสินโดยวัดจากความคิดตัวเองเช่นกัน ถ้าหากเป็นตัวเอง ถ้าไม่มีกำลังที่จะควบคุมผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิ ตัวเองจะยังปล่อยผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิออกไปเหรอ? คำตอบก็คือไม่ ยอมให้ผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิโดนขังอยู่ในแดนอเวจีตลอดไปยังดีกว่า


แต่จุดประสงค์ที่เหมียวอี้ไม่ฉวยโอกาสโค่นพวกเขาในตอนนี้ก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะอยากจะให้พวกเขาช่วยคุมกำลังของหกลัทธิไงล่ะ แบบนี้ก็แสดงว่าจะต้องมอบหกเคล็ดวิชาพิเศษให้พวกเขาในไม่ช้าก็เร็ว ไม่อย่างนั้นจะควบคุมให้มั่นคงไม่ได้ ถ้าพูดถึงความสามารถ เหมียวอี้อยู่ที่แดนอเวจีก็มีแต่จะต้องเลือกพวกเขาเท่านั้น และมีแต่พวกเขาห้าคนที่มีความสามารถในด้านนี้  พวกเขามีประสบการณ์ด้านนี้โชกโชนมาก


ทำไมเหมียวอี้จึงไม่เลือกคนในหกลัทธิแล้วมอบหกเคล็ดวิชาพิเศษให้ฝึก แต่กลับมาเลือกพวกเขาแทนล่ะ? เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะเหมียวอี้ต้องการเวลาเติบโต ตอนนี้ศักยภาพของเหมียวอี้คนเดียวยังอ่อนแอเกินไป ที่เลือกพวกเขาห้าคนก็เพราะอยู่ในขั้นตอนการเติบโตเดียวกัน ถ้ามอบหกเคล็ดวิชาพิเศษให้หกลัทธิไปตรงๆ เลย เช่นนั้นหกลัทธิก็ไม่ต้องรอในภายหลังแล้ว จะเสียการควบคุมตอนนี้ได้เลย


ดังนั้นเหมียวอี้จึงต้องการคนกลุ่มหนึ่งที่เติบโตไปพร้อมกับเขา พวกเขาห้าคนคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการควบคุมผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ชี้สั่งกำลังอำนาจของหกลัทธิได้ หลังจากผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิออกจากแดนอเวจีแล้วถึงจะสามารถผูกมัดได้ ดังนั้นไม่ว่าเหมียวอี้จะมอบหกเคล็ดวิชาพิเศษให้หกลัทธิในตอนนี้หรือให้ในอนาคต ก็ล้วนควบคุมไม่อยู่ทั้งนั้น ต่อให้เป็นประมุขพุทธะ ประมุขชิงอะไรนั่นก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะทำพวกเขายอมศิโรราบได้ง่ายๆ ในใต้หล้าไม่มีใครควบคุมอำนาจกลุ่มนี้ได้ง่ายๆ ถ้าจะควบคุมก็มีแต่ต้องฉวยโอกาสตอนที่ยังโดนขังอยู่ในกรง


ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ต้องทำให้ผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิกลายเป็นกำลังอำนาจของพวกเขาเอง ความแค้นเก่าของผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิเกี่ยวข้องกับพวกเขาหรือเปล่าล่ะ? จะให้ผู้เหลือรอดของรอดหกลัทธิทำซี้ซั้วเพราะความแค้นเก่าไม่ได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่ต้องอยู่ในการควบคุมของพวกเขาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเหมียวอี้หรือพวกเขาห้าคน จุดนี้ก็ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขากับหกลัทธิขัดแย้งกัน แต่เหมียวอี้กับพวกเขาห้าคนก็มีจุดยืนและผลประโยชน์ร่วมกันจริงๆ


หลังจากโดนสั่งสอนครั้งนี้จนเข้าใจ ทั้งห้าก็รู้สึกได้ถึงวิกฤติแล้ว รู้แล้วว่าจุดสำคัญของพวกเขาในตอนนี้อยู่ที่ไหน ความวุ่นวายไร้ระเบียบข้างนอกไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา ถ้าประตูนรกเปิดออกแล้วพวกเขาควบคุมห้าลัทธิไม่ได้ นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่สุด


เกรงว่าเหมียวอี้เองก็คงจะไม่รู้เช่นกัน ตัวเองแค่อยากจะสั่งสอนพวกเขาเฉยๆ แต่กลับเป็นการส่งสัญญาณให้พวกเขาห้าคนชัดเจนขนาดนี้


ส่วนพวกจินม่านในตอนนี้ก็ยังคงจมอยู่ในความจนใจอย่างบอกไม่ถูก คนนั้นสามารถใช้กำลังอำนาจของตำหนักสวรรค์มากำจัดพวกเขาข้างใน ข้างนอกก็ยังมีอำนาจปริศนาที่สามารถกวาดล้างอำนาจของพวกเขาที่อยู่ข้างนอกได้ ไม่รู้จะขัดขืนจากตรงไหนเลยจริงๆ


แต่พวกจินม่านก็ยังแอบรู้สึกโชคดี ที่ลัทธิอู๋เลี่ยงไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เหมือนอีกห้าลัทธิ ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียหายอย่างหนักไปด้วยแน่นอน


ที่ไม่เข้าร่วมด้วยก็เป็นเพราะพวกเขามีความกังวลมากกว่าอีกห้าลัทธิ สายลับที่ตำหนักสวรรค์ติดต่อกับพวกเขาเพราะเหมียวอี้ค่อนข้างเยอะ


หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง จินม่านก็เข้าใจเจตนาของพวกเขาแล้ว จึงบอกว่า “ในเมื่อประมุขปราชญ์ไม่ได้ลงมือกับร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ ทั้งยังมอบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้ คาดว่าคงใจกว้างไม่ถือสาแล้ว คงจะไม่ลงมืออีก”


จ่างซุนจูถอนหายใจแล้วบอกว่า “บางทีอาจจะเป็นเพราะอยู่ที่ตลาดสวรรค์ลงมือไม่สะดวก เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ยังไงก็รบกวนขอร้องให้หน่อยแล้วกัน ตอนนี้หกลัทธิเสียหายกว่านี้ไม่ไหวแล้ว”


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่เงียบมาตลอดกลับรู้อยู่แก้ใจ สาเหตุที่เหมียวอี้ย้ายพวกอวิ๋นจือชิวออกไป ก็เห็นได้ชัดว่ามีความคิดที่จะลงมือกับร้านค้าที่ตลาดสวรรค์แล้ว เป็นเพราะเห็นแก่หน้าอวิ๋นจือชิวล้วนๆ ถึงได้ปล่อยไป และแน่นอน พวกเขาไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างพวกอวิ๋นจือชิวกับเหมียวอี้เช่นกัน ความลับบางอย่างไม่อาจเปิดเผยได้ง่ายๆ ก็เหมือนกับที่หกลัทธิไม่ยอมเปิดเผยกำพืดของอำนาจที่อยู่ข้างนอกออกมาทั้งหมดนั่นแหละ ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะหกลัทธิเอ่ยขึ้นมาเอง พวกเขาก็ยังไม่รู้เลยว่ามีฐานปฏิบัติการลับโดนโจมตีแล้ว


ทุกคนมาหาถึงที่พร้อมกันแล้ว จินม่านเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้


ใครจะคิดว่าหลังจากเหมียวอี้รู้เรื่องแล้วจะด่ายับ : ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันหายไปแบบนี้แล้ว! จินม่าน เจ้าบอกพวกเวรตะไลกลุ่มนั้นด้วย ว่าต่อไปนี้อย่าเล่นตุกติกลับหลังข้าอีก!


หลังจากด่าเสร็จก็สะใจมาก เขาพบว่าปราสาทดำเนินนภาร้ายกาจพอสมควร เรื่องที่ปราสาทดำเนินนภาสืบเจอสิบฐานปฏิบัติการของห้าลัทธิคงจะทำให้คนพวกนั้นตระหนกตกใจแล้ว


ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าตัวเองได้สร้างความเสียหายให้ห้าลัทธิมากขนาดไหน


หลังจากผ่านไปหลายวัน ตอนที่อวิ๋นอ้าวเทียนให้อวิ๋นจือชิวติดต่อมาขอโทษเหมียวอี้ เหมียวอี้ถึงได้ตกใจมาก ไม่น่าเชื่อว่าปราสาทดำเนินนภาจะทำลายกำลังพลหนึ่งในสิบส่วนของห้าลัทธิทิ้งในรวดเดียว ทำให้เขาตกตะลึงพรึงเพริดแล้วจริงๆ!


เขารู้ว่าปราสาทดำเนินนภาร้ายกาจ แต่นึกไม่ถึงว่าจะร้ายกาจได้ขนาดนี้!


แน่นอนว่าอวิ๋นจือชิวไม่ได้ขอร้อง เพียงแต่บอกต่อเจตนาของอวิ๋นอ้าวเทียนให้ฟังคร่าวๆ เท่านั้น เพราะนางก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรมากอีก


ไม่ใช่แค่อวิ๋นจือชิวที่ติดต่อกับเขา แม้แต่พวกจีเหม่ยลี่เองก็โดนอาจารย์กดดันให้มาขอร้องเช่นกัน


ขนาดจีเหม่ยลี่ที่ไม่เคยพูดจาอ่อนหวานกับเหมียวอี้ ครั้งนี้ก็ยังถูกบังคับให้พูดประมาณว่า ท่านสามีรักษาตัวด้วย ข้ากำลังรอให้ท่านกลับมา


สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกขำ เขาจินตนาการได้เลยว่าตอนที่จีเหม่ยลี่พูดอะไรแบบนี้ออกมานั้นฝืนความรู้สึกขนาดไหน


การที่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนให้ผู้หญิงไปขอร้องก็ย่อมไม่ใช่จุดประสงค์หลักอยู่แล้ว  เพียงแต่ให้พวกนางคลี่คลายความสัมพันธ์กับเหมียวอี้ก่อน หลังจากเหมียวอี้ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนชั่วคราว ทั้งห้าก็จะขึ้นเวทีด้วยตัวเองแล้ว ไม่ได้ติดต่อกับเหมียวอี้ด้วยตัวเองมานาน ครั้งนี้ได้ติดต่อด้วยตัวเองอีกรอบแล้ว


เรื่องบางเรื่องเป็นเพียงการคาดการณ์ พวกเขายังอยากจะยืนยันให้แน่ใจ


จะคิดว่าเป็นการยอมแพ้ก็ได้ จะคิดว่าเป็นการเจรจาก็ได้ พวกเขาบอกว่ายินดีจะยอมศิโรราบและยกให้เหมียวอี้เป็นใหญ่ที่สุด ยินดีช่วยเหมียวอี้ควบคุมกำลังอำนาจของห้าลัทธิ แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเหมียวอี้ตอบตกลงจะให้หกเคล็ดวิชาพิเศษกับพวกเขา


คนชรากลุ่มนั้นนิสัยเป็นอย่างไร เหมียวอี้ได้บทเรียนมาตั้งนานแล้ว จะยกให้เขาเป็นใหญ่ที่สุดจากใจจริงได้เหรอ แค่อยากจะใช้ประโยชน์ที่เขาได้หกเคล็ดวิชาพิเศษมาก็เท่านั้นเอง แต่เจตนาของทั้งห้าก็ได้เตือนสติเหมียวอี้แล้ว ใช่ว่าจะทำแบบนี้ไม่ได้เสียหน่อย ขอเพียงควบคุมหกเคล็ดวิชาพิเศษขั้นสูงกว่านี้ไว้ในมือได้ ก็จะสามารถทำให้ห้าคนนั้นยอมจำนนได้ชั่วคราว และอวิ๋นจือชิวก็เคยบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสามารถใช้หกเคล็ดวิชาพิเศษควบคุมพวกเขาได้ หกเคล็ดวิชาพิเศษนี้เป็นของที่ส่งมาถึงใอเขาเพื่อให้ควบคุมห้าคนนั้นจริงๆ ทำไมจะใช้ไม่ได้ล่ะ?


ส่วนในภายหลังห้าปราชญ์จะแปรพักตร์หรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องในภายหลัง ตราบใดที่ตัวเองยังรักษาความได้เปรียบในการนำหน้าคนอื่นไว้ได้ ตอนหลังยังต้องกลัวอีกเหรอว่าพวกเขาจะแปรพักตร์? อย่างน้อยก่อนจะแปรพักตร์ก็สามารถอาศัยกำลังของหกลัทธิได้ สามารถเป็นหลักประกันให้ตนได้ในตอนที่ยังอ่อนแอต่ำต้อย หกลัทธิน่าจะยังมีกำลังอำนาจที่ควรค่าแก่การใช้ประโยชน์อยู่ข้างนอกไม่น้อย


คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าทำแบบนี้ได้ แต่ก็ยังติดต่อกับอวิ๋นจือชิวเพื่อปรึกษาเรื่องนี้


อวิ๋นจือชิวก็เห็นด้วยเช่นกัน นางมีความคิดนี้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ยังลังเลอยู่บ้าง กังวลที่พวกท่านปู่มได้ควบคุมได้ง่ายๆ ขนาดนั้น กลัวว่าจะเป็นการทุ่มหินใส่เท้าตัวเอง ทว่าเหมียวอี้ไม่ได้กังวลเลย นางจึงคิดว่าช่างเถอะ


หลังจากแน่ใจเรื่องนี้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็ถามว่า : จะมอบหกเคล็ดวิชาพิเศษภาคดินให้พวกเขาตอนนี้เลยเหรอ?


เหมียวอี้ : อย่าให้ตอนนี้ รอข้ากลับจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถึงตอนนั้นข้าจะไปที่แดนอเวจีด้วยตัวเองสักรอบ จะปล่อยให้พวกเขาพูดปากเปล่าแล้วให้ข้ามอบวิชาให้แต่โดยดีได้ยังไง


อวิ๋นจือชิว : ข้าเข้าใจแล้ว


เหมียวอี้ : ยังมีอีกเรื่อง พวกปู่เจ้าได้เตือนสติข้าแล้ว ข้าอยู่ข้างนอกในระยะยาว ปล่อยปละละเลยทางลัทธิอู๋เลี่ยงเกินไปแล้ว เดี๋ยวเจ้าส่งคนไปที่พิภพเล็กแล้วย้ายหลันโฮ่วมาที่นี่ ข้าจะให้จินม่านหาร้านค้าสักร้านที่ตลาดสวรรค์ให้เขาดูแล


อวิ๋นจือชิวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า : ถ้าย้ายหลันโฮ่วมาคนเดียว ไม่สู้ย้ายจางเทียนเซี่ยวมาด้วยกันเลยล่ะ สองคนนั้นไม่ถูกกัน


เหมียวอี้เข้าใจความคิดของนาง ที่ทำแบบนี้เพราะอยากจะคานอำนาจ ให้ทั้งสองมาควบคุมจับตาดูกันและกัน ไม่อย่างนั้นเกรงว่าย้ายมาที่พิภพใหญ่แล้วจะควบคุมลำบาก เขาเห็นด้วยกับความคิดนี้ แล้วก็บอกอีกว่า : แล้วก็หยางชิ่งด้วย หลังจากข้ากลับไปแล้ว ข้าเตรียมจะส่งหยางชิ่งไปที่แดนอเวจี จับเขาไปแทรกอยู่ข้างกายจินม่านเสียเลย ให้เขาคอยประสานงานกับพวกท่านปู่เจ้า


อวิ๋นจือชิวลังเลอีก : ความสามารถของหยางชิ่งนั้นเหมาะสมที่สุด แต่เจ้าก็รู้จักนิสัยหยางชิ่งนี่ ถ้าให้ในมือเขามีอำนาจทางทหาร เจ้าเคยคิดหรือเปล่าว่าจะเกิดผลอะไรตามมา? ถึงตอนนั้นเกรงว่าแม้แต่พวกท่านปู่ก็จะควบคุมเขาไม่ไหว


แน่นอนว่าเหมียวอี้รู้ถึงจุดที่น่ากลัวหยางชิ่ง จึงตอบว่า : ด้วยความสามารถของหยางชิ่ง ถ้าอยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายจะแสดงบทบาทไม่ได้ ให้กลายเป็นของประดับตำแหน่งเฉยๆ ก็น่าเสียดาย ดาบแบบเขาถ้าจับไปโยนไว้ในแดนอเวจีจะแสดงบทบาทได้มากกว่า ถ้าเขาทำซี้ซั้วจริงๆ ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะจัดการเขาไม่ได้ แล้วอีกอย่าง เจ้าก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าเขาคำนึงถึงเวยเวย?


ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเขาก็ไม่กล้าผ่อนปรนการควบคุมที่มีต่อหยางชิ่งจริงๆ ทว่าหลังจากได้เห็นกำลังอันแข็งแกร่งของปราสาทดำเนินนภา เขาก็เริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาแล้ว


อวิ๋นจือชิวจนใจ รู้ว่าเขาคนนี้เมื่อได้ตัดสินใจอะไรแล้วก็ไม่ใช่คนที่ไม่คิดหน้าคิดหลัง จึงตอบว่า : ก่อนหน้านี้ผลประโยชน์ยังเล็กน้อย ตอนนี้เผชิญกับผลประโยชน์มหาศาลขนาดนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าเวยเวยจะยังมีผลต่อหยางชิ่งหรือเปล่า ช่างเถอะ ข้าก็ไม่มั่นใจเรื่องแบบนี้เหมือนกัน ในเมื่อเจ้ามีความมั่นใจ งั้นก็จัดการตามที่เจ้าบอกแล้วกัน


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)