คัมภีร์วิถีเซียน 1459-1461
ตอนที่ 1459 โลหิตอัสนีดาวเหนือ
ขณะที่มองดูปีศาจร่างมนุษย์หัวมังกรที่คุ้นเคยตรงหน้า หานลี่ก็รู้สึกเกินความคาดหมายมาก พลันรู้สึกกังขา
ปีศาจชนิดนี้ เขาไม่ได้เจอเป็นครั้งแรก
มังกรโลหิตแปลงกายตัวหนึ่งที่เขาสังหารในมหาสมุทรดาวคลั่งที่แดนมนุษย์เมื่อปีนั้น ก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับปีศาจที่อยู่ตรงหน้าไม่มีผิดเพี้ยน แต่มังกรโลหิตที่อยู่ตรงหน้านี้ย่อมไม่ใช่ปีศาจอสูรระดับแปดอยู่แล้ว แต่เป็นระดับหลอมสูญขั้นสูงที่น่าสะพรึงกลัว
จากการประมือเล็กน้อยเมื่อครู่นี้ จึงพอรู้ว่าอิทธิฤทธิ์ของปีศาจตนนี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่ปีศาจระดับหลอมสูญทั่วไปอย่างแน่นอน
ขณะที่หานลี่โคจรความคิดอย่างรวดเร็ว ก็แอบไตร่ตรองว่าจะรับมืออย่างไรกับศัตรูตัวฉกาจที่อยู่ตรงหน้า
“คิดไม่ถึงว่าผู้ที่มีระดับแม่ทัพวิญญาณคนหนึ่งเกือบจะทำร้ายข้าได้ ช่างน่าแปลกจริงๆ! ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้าเจ้านายจะกำชับข้าเช่นนั้น” มังกรโลหิตจ้องมองหานลี่ พลางกล่าวด้วยท่าทางน่าสะพรึงกลัว
“เจ้านาย!” หานลี่ได้ยินวาจานี้ พลันรู้สึกใจหายวาบ
มังกรโลหิตที่อยู่ตรงหน้ามีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมสูญขั้นสูงแล้ว เช่นนั้นเจ้านายของมันจะไม่ใช่ปีศาจยักษ์ใหญ่ระดับผสานอินทรีย์เชียวหรือ ตัวตนระดับนี้ในเหวพุสธา จู่ๆ จะมาจับตาดูตนทำไม เขาเพิ่งจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งเอง
หานลี่รู้สึกฉงนใจ สีหน้าพลันเคร่งขรึมไม่พูดจา
“การโจมตีต่อจากนี้ หากเจ้ารับไว้ได้ เราผู้ยิ่งใหญ่จะหันหลังจากไปในทันที ละเว้นเจ้าเป็นการชั่วคราว!” ดวงตาของมังกรโลหิตมีสีของความประหลาดสายหนึ่งพาดผ่าน ฉับพลันก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
ต่อจากนั้น ปีศาจตนนี้ก็ไม่สนใจอารมณ์ตกตะลึงพรึงเพริดของหานลี่ สองมือพลันตั้งท่าร่ายคาถา บนร่างเปล่งแสงโลหิตสว่างวาบ แสงอรุโณทัยผืนใหญ่พลันม้วนออกรอบทิศ
หมอกโลหิตที่จากเดิมได้กระจายหายไปในบริเวณใกล้เคียงพลันปรากฏออกมาอีกครั้ง ครั้นตลบฟุ้งเพียงเล็กน้อย ก็อำพรางร่างของมังกรโลหิตไว้ภายใน
เสียงบริกรรมคาถาแปลกประหลาดดังออกมาจากภายในหมอกโลหิตอย่างเร่งรีบ ทันใดนั้น กลางอากาศสูงในบริเวณใกล้เคียงก็ปรากฏเมฆโลหิตผืนใหญ่ขึ้น
ภายในเมฆส่งเสียงฟ้าร้องดังลั่น สายฟ้าแลบสีโลหิตพลันเปล่งแสงระยิบระยับออกมาทีละเส้นๆ
“นี่มันอิทธิฤทธิ์อะไรกัน!”
หานลี่ตกตะลึง ในใจรู้สึกหวาดกลัวอย่างหนัก
แม้ว่าสายฟ้าภายในเมฆจะยังไม่ร่วงลงมา แต่ความรู้สึกเห็นท่าไม่ดีได้ผุดขึ้นในใจแล้ว
ด้วยการลงมืออย่างฉับพลัน เขาใช้มือข้างหนึ่งลูบไปที่หลังศีรษะ แสงอรูโณทัยสีเทาผืนหนึ่งพลันพุ่งทยานออกมา กลายเป็นม่านแสงสีเทาคุ้มกันศีรษะหนึ่งชั้น
ตามด้วยแสงสีเขียวสว่างวาบเหนือกระหม่อม เตาจิ๋วสีเขียวใบหนึ่งพลันปรากฏออกมา พ่นเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม้ถ้วน ผสมผสานเข้าด้วยกันภายใต้แสงเปล่งประกายระยิบระยับ ตาข่ายมหึมาสีเขียวผืนหนึ่งก็ปรากฏที่เบื้องล่างม่านแสงสีเทา
ทว่าเป็นเช่นนี้หานลี่ก็ยังไม่วางใจ ร่างพลันหมุนเคว้งรอบหนึ่ง กระบี่บินเจ็ดสิบสองเล่มก็พวยพุ่งออกมา กลายเป็นเงากระบี่ทยอยออกมาบินวนรอบกายไม่หยุดนิ่ง
อาภรณ์อัสนีสีทองเงินก็พวยพุ่งออกจากร่างเช่นกัน กลายเป็นอักขระสีทองเงินลอยเคว้งไม่หยุดนิ่ง นอกจากนี้ ภายใต้ปราณดำที่แผ่ซ่าน เกราะสังหารสีดำก็ปรากฏขึ้นบนร่าง
ภายในชั่วพริบตา หานลี่ก็กางม่านป้องกันห้าชั้นอย่างหนาแน่นชนิดที่ลมฝนก็ลอดผ่านไปไม่ได้
หานลี่ชูมือสองข้างขึ้น มือข้างหนึ่งมีเงาดำพุ่งออกมา ปรากฏเป็นเงาลวงตาภูเขาขนาดย่อมสูงฉื่อกว่าลูกหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเหยียดนิ้วทั้งห้าออก หัวกะโหลกสีขาวห้าหัวพลันปรากฏขึ้นผลุบๆ โผล่ๆ พร้อมทั้งมีเพลิงแสงห้าสีหมุนโคจรไม่หยุด
มังกรโลหิตที่อยู่ใกล้ๆ ได้เห็นภาพนี้ พลันรู้สึกตกตะลึง ไหนเลยจะมัวลังเลอีก รีบโคจรโลหิตบริสุทธิ์ทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว พลางใช้มือข้างเดียวจิ้มไปที่เมฆโลหิตกลางอากาศ
ภายในเมฆเปล่งแสงโลหิตแสบตา โลหิตอัสนีเปล่งประกายวูบวาบเก้าสายผ่าลงมาอย่างเ**้ยมโหด ภายในชั่วพริบตา ก็มาถึงชั้นบรรยากาศเหนือศีรษะของหานลี่ แล้วแบ่งออกเป็นสามระลอก
สายฟ้าทั้งสามระลอกนี้ แต่ละระลอกจะยิ่งมีจำนวนและความหนามากกว่ากระลอกก่อนหน้า
หลังจากเกิดเสียงอัสนีบาตรดังขึ้นสามครา โลหิตอัสนีสองสายของระลอกที่หนึ่งก็ฟาดเข้าใส่ม่านแสงสีเทาอย่างเ**้ยมโหด
แม้ว่าแสงเทวะดูดปราณจะล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อสัมผัสถูกสายฟ้าสีโลหิตทั้งสองเส้น ก็ถูกซัดกระจายในทีเดียว แล้วหายไปในอากาศพร้อมกัน
ครู่ต่อมา โลหิตอัสนีสามสายจากระลอกที่สองก็ร่วงลงมาติดๆ เห็นเพียงแสงสว่างวาบพร้อมกับเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ตาขายเส้นไหมสีเขียวก็ถูกฉีกขาดอย่างง่ายดาย โลหิตอัสนีก็จู่โจมไปยังเงากระบี่ที่อยู่เบื้องล่าง
ฉากที่น่าประหลาดพลันปรากฏขึ้น
คิดไม่ถึงว่าการป้องกันที่แปรสภาพมาจากกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาทั้งเจ็ดสิบสองเล่มจะใช้ไม่ได้ผล ราวกับเป็นภาพมายา
โลหิตอัสนีทะลวงผ่านแล้วพุ่งเข้าใส่อาภรณ์อัสนีที่กลายเป็นอักขระสีทองเงิน
เสียงอัสนีบาตรดังเกริกก้องไปทั่วพื้นปฐพี อักขระกลายเป็นดวงแสงอัสนี ต้านทานสายฟ้าสีโลหิตไว้
สายฟ้าทั้งสามสายราวกับงูโลหิตก็มิปาน เจ้าลงมายังเบื้องล่างอย่างสุดกำลัง ทว่าดวงแสงอัสนีสีเงินเขียวก็เปล่งเสียงระเบิดอันน่าตื่นตะลึงอย่างไม่กล้าแสดงความอ่อนแอออกมา
เห็นได้ชัดว่าอานุภาพของโลหิตอัสนีเหนือกว่าเล็กน้อย หลังจากที่เปล่งแสงอัสนีสามสีอย่างบ้าคลั่ง ดวงแสงอัสนีสีทองเงินก็แตกออกทีละชุ่นๆ โลหิตอัสนีสามสายก็บางลงมาก ในที่สุดก็ร่วงลงมาอีกครั้ง ครั้นโจมตีถูกเกราะสังหารบนร่างของหานลี่ ก็ทำให้สองสิ่งเกิดเสียงระเบิดดังอื้ออึงแล้วแตกสลายไปพร้อมกัน
การป้องกันห้าชั้นที่หานลี่เตรียมการอย่างยากลำบาก ภายในเวลาชั่วพริบตาก็ถูกทำลายทั้งหมด
ทว่าในตอนนี้เอง โลหิตอัสนีสี่สายสุดท้ายที่หนาและใหญ่กว่าเดิม ได้เปล่งแสงโลหิตวูบวาบเตรียมจะร่วงลงมาแล้ว
หานลี่สีหน้าเคร่งขรึม มองไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ ทว่าบนร่างพลันเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า เงาลวงตาสามเศียรหกกรร่างหนึ่งก็ปรากฏออกมา
เมื่อขยับคราหนึ่ง แขนสีทองแวววาวทั้งหกก็พุ่งเข้าไปปะทะโลหิตอัสนีสี่สายที่อยู่กลางอากาศโดยตรง
แม้ว่าวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์จะยังเป็นแค่เงาลวงตา แต่อานุภาพก็เหนือกว่าจินตนาการยิ่งนัก เมื่อแขนทั้งหกโบกลงมา ก็กลายเป็นลำแสงสีทองเลือนรางหกดวง
โลหิตอัสนีสี่สายพลันพวยพุ่งเข้ามา โจมตีใส่แสงสีทองเหล่านี้อย่างแข็งกร้าว
เมื่อสองสิ่งปะทะเข้าด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าจะไร้ซึ่งเสียงใดๆ
หลังจากที่สายฟ้าสองสายเปล่งแสงโลหิตสว่างวาบ ก็หายไปพร้อมกับแสงสีทองหกดวง
ส่วนที่เหลืออีกสองสายกลับไม่เสียหายแม้แต่น้อย ผ่าตรงลงมายังศีรษะของหานลี่
หานลี่กลับโยกตัวคราหนึ่ง กุมฝ่ามือสองข้างที่โผล่ออกมาอย่างน่าประหลาด กำปั้นเปลือยเปล่าสองหมัดพลันเหวี่ยงไปยังโลหิตอัสนีสองสายที่อยู่กลางอากาศสูง
กำปั้นสีขาวดำแบ่งแยกชัดเจน ยังไม่ทันได้สัมผัสถูกโลหิตอัสนีโดยตรง ก็กลายเป็นเงากำปั้นขนาดมหึมาหลายเท่าอย่างฉับพลัน
ข้างหนึ่งเป็นสีเทาสลัวๆ อีกข้างหนึ่งมีเพลิงแสงห้าสีหมุนโคจรไม่หยุด ปล่อยแรงดันหมัดมหึมาหมุนเป็นเกลียวออกมาพร้อมกัน ราวกับบีบอัดอากาศในบริเวณใกล้เคียงมารวมไว้ที่จุดเดียว
เกิดเสียง “ตูมๆ” ดังสนั่นสองครั้ง ภายใต้ลำแสงเจิดจ้าพร่ามัว เสื้อคลุมยาวบนแขนทั้งสองข้างของหานลี่กลายเป็นเถ้าธุลี เผยแผ่นเกล็ดสีทองแวววาวอันน่าตกตะลึง
เงาหมัดกับสายฟ้ากลับกลายเป็นเถ้าธุลีกระจัดกระจายท่ามกลางระเบิดพร้อมกัน
หานลี่ซวนเซเล็กน้อย พลันร่วงดิ่งลงมาจากกลางอากาศ ทว่าทันทีเหยียดตัว ร่างก็กลับมายืนได้มั่นคงอีกครั้ง แล้วเงยมองไปยังมังกรโลหิตที่อยู่ไกลออกไป
สายตาเยือกเย็นผิดปกติ ดูเหมือนจะไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย
มังกรโลหิตที่อยู่ภายในหมอกโลหิตสูดไอเย็นคราหนึ่ง ไม่อาจปิดบังความตกตะลึงพรึงเพริดภายในดวงตาได้
ในตอนนี้ หลังจากที่เมฆโลหิตบนชั้นบรรยากาศสูงปล่อยสายฟ้าออกมา ดูเหมือนจะใช้พลังงานจนหมดแล้ว ชั่วครู่เดียวก็แตกสลายหายไป
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรับโลหิตอัสนีดาวเหนือทั้งสิบสองของข้าได้! ทว่าอิทธิฤทธิ์นี้ข้ายังฝึกฝนไม่สำเร็จอย่างแท้จริง เพียงแค่พลังยุทธ์ของข้าลึกขึ้นไปอีกขั้น ก็จะสามารถควบคุมโลหิตอัสนีได้พร้อมกันสี่ระลอก ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ไม่อาจรับการโจมตีได้อีกแล้ว” แม้ว่ามังกรโลหิตจะตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงขรึมด้วยท่าทีไม่ค่อยพอใจนัก
หานลี่ได้ยินคำนี้ ดวงตาพลันเปล่งแสงสีน้ำเงินวูบหนึ่ง ก่อนที่ร่างจะพลิ้วไหวอย่างฉับพลันโดยไม่พูดไม่จา แล้วหายไปในสายลมอ่อนๆ
ครู่ต่อมา เกิดพายุหมุนกลางอากาศเหนือหมอกโลหิต ร่างของหานลี่ปรากฏออกมาพร้อมกับสายลมอย่างน่าประหลาด ลำแสงกระบี่สีทองหลายสิบสายพุ่งลงมาพร้อมกันอย่างบ้าคลั่งราวกับพายุฝนกระหน่ำ
ขณะที่ปราณกระบี่ฟาดฟันเป็นแนวขวาง อากาศในบริเวณใกล้เคียงก็ส่งเสียงดังหึ่งๆ เป็นระลอก เส้นสีขาวตัดกันปรากฏขึ้นทีละเส้นๆ ชั่วพริบตาหมอกโลหิตทั้งหมดก็จมหายเข้าไปในปราณกระบี่
ภายใต้การผสมผสานของปราณกระบี่จำนวนมากเช่นนี้ เงาร่างเลือนรางที่อยู่ภายในก็ถูกฟันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนในชั่วพริบตา ทว่ารอให้หมอกโลหิตถูกผ่าจนสลายไปในอากาศแล้ว ตรงที่เดิมกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน ไม่พบร่างศพของมังกรโลหิตแม้แต่เศษเสี้ยว
หานลี่ตกตะลึงเล็กน้อย ยังไม่ทันได้กวาดมองดูรอบๆ ทันใดนั้นเสียงหัวเราะอย่างบ้าระห่ำของมังกรโลหิตก็ดังมาจากกลางอากาศสูงซึ่งไกลออกไปร้อยจั้งเศษ “ในเมื่อเจ้ารับโลหิตอัสนีดาวเหนือได้ ผู้แซ่เซวี่ยย่อมไม่เสี่ยงภัยสู้กับเจ้าต่อแล้ว ทว่าเพียงแค่ข้ากลับไปรายงานเรียกนี้ เจ้านายจะต้องสนใจในตัวท่านเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเวลาที่เจ้ากับข้าจะได้พบกันอีกครั้ง คงไม่นานนัก”
หานลี่รีบเงยหน้าไปมอง เห็นเพียงบริเวณที่เกิดเสียงทะลวงอากาศดังขึ้น มีเงาโลหิตจางๆ ร่างหนึ่งพวยพุ่งออกมา พลันเปล่งแสงโลหิตทั่วทั้งร่าง ก็กลายเป็นรุ้งโลหิตสายหนึ่งพุ่งทยานออกไป
ก็ไม่รู้ว่ามังกรโลหิตใช้เคล็ดวิชาแปลกประหลาดอะไร คิดไม่ถึงว่ารุ้งโลหิตจะสามารถใช้เคล็ดวิชาที่เหมือนกับวิชาย่นระยะในขณะที่เหาะเหินได้ ลำแสงหลีกหนีดูเหมือนจะปกติ แต่ทุกครั้งที่พลิ้วไหว รุ้งโลหิตก็จะเหาะทยานไปไกลถึงร้อยจั้ง เพียงแค่พลิ้วไหวไม่กี่ทีก็มาถึงปลายสุดขอบฟ้าแล้ว เมื่อพุ่งปราดอีกหน ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ความเร็วเช่นนี้แม้แต่หานลี่ที่กระตุ้นอานุภาพของปีกวายุอัสนีด้วยกำลังทั้งหมด ก็ทำได้แค่นี้เท่านั้น
หานลี่มีใบหน้าตื่นตะลึง ร่างของเขาลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ท้ายที่สุดก็ไม่คิดจะไล่ตามไป
หลังจากผ่านไปนานสองนาน หานลี่พลันยื่นมือสองข้างมาไว้ตรงหน้าตัวเอง
เห็นเพียงฝ่ามือสองข้างที่จากเดิมเป็นสีขาวใส ตอนนี้หมองคล้ำไปหมด พร้อมส่งกลิ่นเหม็นไหม้ออกมาจางๆ
หานลี่ดวงตาเปล่งประกาย พลันเงียบขรึมไม่พูดจา
มังกรโลหิตตนนี้ จะต้องเป็นปีศาจตนแรกที่มีระดับรองลงมาจากระดับผสานอินทรีย์ในบรรดาปีศาจทั้งหมดที่เขาเคยพบเจออย่างแน่นอน
หากจะโหมสุดกำลังให้ตายไปข้างกับอีกฝ่ายขึ้นมาจริงๆ แม้ว่าเขาจะมีแมลงกลืนทองเป็นไม้เด็ดอยู่ โอกาสชนะก็ยังไม่สูงไปกว่าเจ็ดส่วน
อิทธิฤทธิ์ที่ชื่อ “โลหิตอัสนีดาวเหนือ” ที่อีกฝ่ายสำแดงออกมา อานุภาพรุนแรงเกินไปจริงๆ อีกทั้งสมบัติที่มีคุณสมบัติเป็นกายภาพ ดูเหมือนจะไม่สามารถป้องกันได้แม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นตอนที่ถูกอีกฝ่ายใช้สายฟ้านี้โจมตี กระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาคงไม่มีทางใช้การไม่ได้เลย
อีกทั้งฟังจากที่อีกฝ่ายพูด อิทธิฤทธิ์อันน่าสะพรึงชนิดนี้ยังฝึกฝนไม่สำเร็จ เรื่องนี้จะไม่ทำให้หานลี่คิดวกวนในใจไม่หยุดได้อย่างไร
ทว่า สิ่งที่ทำให้หานลี่สีหน้าไม่สงบที่สุดก็ยังเป็น “เจ้านาย” ที่มังกรโลหิตเรียกออกจากปาก ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่า ตัวตนระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเขาในตอนนี้จะสามารถเป็นปฏิปักษ์ได้
แม้ว่าหานลี่จะรู้สึกงงงวยอย่างหนักว่าตนไปยั่วโมโหศัตรูที่น่ากลัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด แต่ตอนนี้ก็ไม่ว่างที่จะมาพินิจพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียด จำเป็นต้องกลับขึ้นสู่พื้นดินโดยเร็วถึงจะดี
เพียงแค่กลับขึ้นสู่พื้นดิน ก็จะมีอาวุโสของเผ่าวิญญาณเหาะเหินพวกนั้นอยู่ ดูแล้วศัตรูตัวฉกาจผู้นี้ก็คงหาทางทำอะไรเขาไม่ได้
ภายในเวลาชั่วครู่เดียว หานลี่ก็วางแผนทุกอย่างเสร็จสิ้น
ฉับพลันที่หันหน้า ก็เห็นว่าพวกเหลยหลันสามคนยังคงต่อสู้กับ “ปลาหมึก” ร่างใหญ่ยักษ์อย่างดุเดือด ดวงตาพลันเปล่งแสงเย็นยะเยือก ชั่วพริบตาก็กลายเป็นรุ้งสีทองบึ่งตรงไปยังเบื้องล่าง
พวกเหลยหลันทั้งสามคนที่กำลังฝืนต่อต้านปีศาจปลาหมึกนั้น เห็นเพียงแสงสีทองสว่างวาบตรงหน้า ปราณกระบี่สีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปกคลุมลงมาจากกลางอากาศอย่างหนาแน่น
ร่างยักษ์ของ “ปลาหมึก” ที่จากเดิมดูท่าทางดุร้ายอย่างหาสุดมิได้ รวมทั้งหนวดสิบกว่าเส้นของมัน แทบจะถูกฟันขาดเป็นหลายท่อนในชั่วพริบตา กลิ่นคาวเลือดพลันแผ่กระจายไปทั่ว
แสงสีทองพลันดับวูบ ร่างของหานลี่ก็ปรากฏที่กลางอากาศเหนือเศษเนื้อกองหนึ่ง กวาดตามองพวกเหลยหลันทั้งสามคนเสร็จ ก็เอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น “ให้เวลาพวกเจ้าสามสิบลมหายใจ เด็ดผลเพลิงอเวจีลงมา จากนั้นตามข้ากลับขึ้นสู่พื้นดินในทันที หากเลยเวลานี้ไป ข้าจะไม่รอพวกเจ้าแม้แต่คนเดียว!”
คำพูดของหานลี่ ราวกับไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย
ตอนที่ 1460 หลบหนี
ได้ยินคำพูดเย็นชาของหานลี่ พวกเหลยหลันสามคนย่อมมองออกว่าหานลี่ไม่มีเจตนาล้อเล่นแน่นอน ด้วยความตื่นตะลึง จึงพากันทยานไปเด็ดผลเพลิงอเวจีพวกนั้นลงมาจากต้นอย่างไม่กล้าชักช้าร่ำไร แต่ละคนต่างก็หยิบตลับไม้ออกมาคนละตลับ เก็บผลเพลิงอเวจีที่สุกแล้วเข้าไป
ฉินเสี่ยวบรรจุหนึ่งในนั้นเสร็จ ก็ยื่นตลับไม้ให้หานลี่ด้วยสองมือ
หานลี่สั่นแขนเสื้อคราหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ แสงอรุโณทัยสีเขียวพลันพุ่งฉวัดเฉวียนออกมา ตลับไม้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในตอนนี้ เหลยหลันกับไป๋ปี้สองคนต่างก็แยกกันเก็บผลเพลิงอเวจีเรียบร้อย และกลับมาถึงบริเวณใกล้เคียงแล้ว
“ไปกันเถอะ! ระหว่างทางไม่มีการหยุดพักใดๆ จะต้องกลับขึ้นสู่พื้นดินภายในระยะเวลาสั้นที่สุด” หลังจากที่หานลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงขรึม บนร่างพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งทยานจากไปในท้องฟ้า
เขาไม่ยอมพูดไร้สาระแม้แต่คำเดียว
พวกไป๋ปี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหานลี่ถึงได้รีบร้อนออกจากเหวพสุธาเช่นนี้ แต่ก็พอเดาได้ว่าเรื่องนี้เป็นไปได้มากว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับมังกรโลหิตที่หนีไป แม้แต่หานลี่ที่ลึกยากจะหยั่งถึงก็ยังมีท่าทีเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
แต่ก็ไม่กล้าชักช้าเตะหน่วยแม้แต่น้อย พวกเหลยหลันจึงพากันเร่งลำแสงหลีกหนีไล่ตามไปติดๆ
ภายในชั่วพริบตา ทุกคนก็เหาะทะลวงอากาศไปไกลโพ้น
สองวันต่อมา ภายในวิหารใหญ่ที่สร้างจากไม้ที่ชั้นสามของเหวพสุธา ดอกไม้ยักษ์สีทองดอกนั้นยังคงอยู่เช่นเดิม หญิงสาวในเงาดำที่อยู่ด้านบนกำลังเอามือข้างหนึ่งเท้าคาง พลางรู้สึกลังเลอะไรบางอย่าง
ภายในวิหารใหญ่ในตอนนี้ นอกจากหญิงรับใช้สวมอาภรณ์สีเขียวตลอดทั้งร่างสองคนที่อยู่ข้างๆ แล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก
ทันใดนั้น นอกประตูวิหารก็มีลำแสงโลหิตสายหนึ่งพวยพุ่งเข้ามา เมื่อลำแสงดับวูบ ปีศาจสีแดงร่างคนหัวมังกรตนหนึ่งก็คุกเข่าที่ด้านในวิหารใหญ่
ที่แท้ก็คือมังกรโลหิตที่เพิ่งประมือกับหานลี่ตัวนั้นนั่นเอง!
“คารวะนายท่าน!” มังกรโลหิตกล่าว
“เจ้านี่เอง ธุระเป็นอย่างไรบ้าง สังหารคนพวกนั้นตายแล้วหรือยัง นำจิตวิญญาณบริสุทธิ์กลับมาหรือไม่?” หญิงสาวใช้สายตากวาดมองบนร่างของมังกรโลหิตทีหนึ่ง พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เรียนนายท่าน เซวี่ยตู๋ไร้ความสามารถ สังหารคนพวกนั้นไม่ได้” เซวี่ยตู๋ก้มหัวมังกรของมันลงเล็กน้อย พลางตอบกลับ
“อ๋อ พูดเช่นนี้แสดงว่าคนพวกนี้มีปัญหาแล้วจริงๆ” หญิงสาวไม่ได้โกรธ กลับรู้สึกสนใจขึ้นมาแทน
“ใช่ขอรับ นายท่าน คนที่เหลืออยู่ก็ไม่เท่าไหร่ แค่เผ่าวิญญาณเหาะเหินระดับแม่ทัพวิญญาณทั่วไปเท่านั้น แต่หนึ่งในนั้นคิดไม่ถึงว่าด้วยพลังยุทธ์ระดับแม่ทัพวิญญาณ จะสามารถรับโลหิตอัสนีดาวเหนือของผู้น้อยได้ทั้งหมด อีกทั้งยังใช้กายเนื้อรับการโจมตีจากเข็มอเวจีแม่น้ำโลหิตแล้วสะท้อนออกได้ ก่อนหน้านี้นายท่านได้กำชับแล้วว่า หากดูท่าไม่ดีให้รีบกลับมารายงานเรื่องนี้ในทันที ดังนั้นเมื่อผู้น้อยโจมตีไม่สำเร็จ จึงกลับมารายงานขอรับ” เซวี่ยตู๋อธิบายทีละส่วนอย่างชัดเจน
“สามารถรับโลหิตอัสนีดาวเหนือได้ กายเนื้อยังสะท้อนเข็มอเวจีแม่น้ำโลหิตได้อีก?” เงาดำบนดอกไม้สีทองรู้แต่แรกแล้วว่าตนจะได้ยินข้อมูลที่ไม่ธรรมดาบางอย่าง แต่ก็ยังถูกคำพูดของมังกรโลหิตทำให้ตกตะลึงเล็กน้อย
“ไม่ผิดขอรับ ไม่เพียงเท่านี้ เคล็ดวิชาหลีกหนีของคนผู้นี้ก็น่าตกตะลึงมาก ทั้งยังมีมหาอิทธิฤทธิ์อื่นๆ ติดตัวอีกหลายชนิด แม้ว่าผู้น้อยจะต่อสู้อย่างสุดกำลังกับคนผู้นี้ มีโอกาสเพลี้ยงพล้ำเป็นอย่างมาก” มังกรโลหิตลังเลครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอีก
“เรื่องอื่นช่างมันก่อน อิทธิฤทธิ์ในโลกหล้ามีนับพันนับหมื่น ที่มีอิทธิฤทธิ์ขั้นสุดยอดติดตัวสองสามอย่าง สามารถรับโลหิตอัสนีดาวเหนือของเจ้าได้ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก แต่ด้วยพลังยุทธ์ระดับแม่ทัพวิญญาณก็สามารถใช้กายเนื้อสะท้อนเข็มอเวจีแม่น้ำโลหิตของเจ้าได้ นี่ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว แสดงว่าความแข็งแกร่งทนทานบนกายเนื้อของคนผู้นี้มาถึงจุดสุดยอดแล้ว เป็นอาหารโลหิตสำหรับเซ่นไหว้ที่ดีที่สุด ดีมาก สุดท้ายพวกเราก็ต้องเตรียมอาหารโลหิตขั้นสุดยอดสามอย่างให้เสร็จสิ้น ตอนนี้เพิ่งจะหาเจอแค่หนึ่งอย่าง ข้ากำลังกลัดกลุ้มเรื่องนี้อยู่พอดี!” คิดไม่ถึงว่าน้ำเสียงของหญิงสาวปรากฏความดีอกดีใจออกมา
“ความหมายของนายท่านคือ…”
“ย่อมเป็นข้าที่ต้องลงมือเองอยู่แล้ว จับเป็นคนผู้นี้กลับมา แล้วนำมาเป็นอาหารโลหิตสำหรับการเซ่นไหว้ครั้งสุดท้าย” หญิงสาวพลันพูดด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงกลัว
“แต่นายท่าน คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่อรหันต์ตี้เซวี่ยต้องการหรอกหรือขอรับ?” มังกรโลหิตอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือน เขารู้เรื่องนี้จากช่องอื่นอยู่ก่อนแล้ว
“เห็นชัดๆ ว่าตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยต้องการจะสังหารชาววิญญาณเหาะเหินพวกนี้ ที่จริงแล้วน่าจะเล็งวิญญาณทมิฬของพวกเขาไว้ อย่างมากก็คงจะทำข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างกับแม่เฒ่าภูตทมิฬกระมัง ข้าแค่อยากได้กายเนื้อของคนผู้นี้ ไม่ขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของตี้เซวี่ย มีอะไรให้เป็นกังวล!” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น คิดไม่ถึงว่าจะคาดเดาวัตถุประสงค์ของชายชุดโลหิตได้เจ็ดแปดส่วน
“นายท่านหลักแหลมยิ่งนัก!” มังกรโลหิตเข้าใจสาเหตุแล้ว
“จะมัวชักช้าเสียการไม่ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ เซวี่ยตู๋ เจ้าก็ส่งตัวไปที่ชั้นสองพร้อมกับข้า ไปไล่ตามคนผู้นี้ด้วยกันเถอะ” หญิงสาวกล่าวกำชับ
“น้อมรับคำสั่ง!” มังกรโลหิตขานรับด้วยน้ำเสียงนอบน้อม พลันยืนขึ้น
เงาดำบนดอกไม้ยักษ์สีทองพลิ้วไหวคราหนึ่ง ครู่ต่อมา หญิงสาวพร้อมกับแสงสีดำเลือนรางก็มายืนอยู่ข้างๆ ของมังกรโลหิตราวกับภูตพราย
มือหนึ่งตั้งท่าร่ายคาถา ในปากพลางเปล่งคำร่าย ทันใดนั้นม่านแสงสีดำขลับราวน้ำหมึกผืนหนึ่งก็พุ่งทยานออกมาจากร่างของหญิงสาว ก่อนที่จะม้วนลงมาแล้วห่อหุ้มทั้งสองคนไว้ภายใน
เพียงชั่วแวบเดียว สองคนก็หายไปในม่านแสงสีดำอย่างไร้ร่องรอย
…
อีกด้านหนึ่ง ภายใต้การเร่งเร้าอย่างสุดกำลังของหานลี่ พวกเหลยหลันใช้เวลาแค่หนึ่งวันกว่าก็หนีออกมาถึงเส้นทางเมื่อหลายวันก่อน ยังคงหนีอย่างเอาเป็นเอาตายไม่หยุดพักตลอดทาง
ยังดีที่อันตรายบางส่วนและอสูรปีศาจที่ปรากฏระหว่างทางถูกกวาดโล่งไปแล้วรอบหนึ่ง อีกทั้งคุ้นเคยเส้นทางกันแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาและแบ่งสมาธิอะไรมาก
แต่เมื่อเช่นนี้ ด้วยการทุ่มกำลังข้ามน้ำข้ามเขาทั้งวันทั้งคืน แม้ว่าพลังวิญญาณภายในร่างของพวกไป๋ปี้และฉินเสียงจะสูญเสียไปไม่น้อย และทนไม่ไหวจริงๆ แต่เมื่อสามคนเห็นหานลี่ที่เหาะทยานอยู่ด้านหน้าสุด ใบหน้านิ่งขรึมดุจสายน้ำอยู่ตลอด ภายในจิตใจพลันเกิดความรู้สึกอ้างว้าง แต่ก็ไม่กล้าบ่นแม้แต่คำเดียว จึงต้องกัดฟันแล้วทนต่อไป
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน หลังจากที่บึงแห่งหนึ่งปรากฏตรงเบื้องหน้า ทางออกชั้นสองที่มีพายุสีดำพัดอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดก็มองเห็นอยู่รำไร
หานลี่รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง แล้วพาทั้งสามคนเข้าไปในนั้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ครึ่งวันต่อมา พวกหานลี่ก็ปรากฏตัวออกมาจากทางเข้าหุบเขาที่ชั้นหนึ่งอีกครั้ง
หานลี่ในตอนนี้ กลับตัดสินใจในสิ่งที่ทำให้พวกเหลยหลันตกตะลึงพรึงเพริดกันยกใหญ่
“ต่อจากนี้พวกเราจะแยกกันเดินทาง พวกเจ้าสองสามคนก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน ใช้เส้นทางที่แตกต่างมุ่งหน้ากลับไปบนพื้นดินอย่างสุดกำลัง” พอออกมาจากหุบเขา หานลี่ก็ดูเงียบขรึมครู่หนึ่ง พลันเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น
“อะไรนะ แยกกัน? พี่หาน นี่หมายความว่าอย่างไร?” ไป๋ปี้ตกตะลึง เหลยหลันกับฉินเสี่ยวก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
“เรื่องมาถึงตรงนี้ก็ไม่ปิดบังพวกเจ้าแล้ว พวกเราอาจจะถูกตัวตนระดับราชาปีศาจของเหวพสุธาแห่งนี้หมายตาอยู่ แม้ว่าข้าจะมีอิทธิฤทธิ์อยู่บ้างแต่ก็ไม่อาจเป็นคู่มือกับตัวตนระดับนี้ได้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะตามพวกเราทันเมื่อใด แต่ถ้าหากแยกกัน เป็นไปได้มากว่าอีกฝ่ายจะไล่ตามข้า โอกาสที่พวกเจ้าจะหนีกลับไปบนพื้นดินก็มาขึ้นมาหน่อย ส่วนข้าเมื่อไม่ดึงพวกเจ้ามาพัวพันและเหาะหนีอย่างสุดกำลัง ก็มีโอกาสหนีรอดได้เช่นกัน อยู่ที่ชั้นนี้ น่าจะมีของอยู่น้อยมาก แถมยังเป็นอันตรายต่อพวกเจ้าอีก” หานลี่ใบหน้าหมองคล้ำ แต่ก็ยังอธิบายให้เข้าใจ
“ตัวตนระดับราชาปีศาจ! เหตุใดตัวตนที่น่ากลัวเช่นนี้ถึงได้หมายตาพวกเรา พี่หาน ท่านทำอะไรผิดมาหรือไม่” ฉินเสี่ยวกล่าวด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ข้าจะไปรู้สาเหตุของเรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ชีวิตก็เป็นของพวกเจ้า จะเชื่อไม่เชื่อก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว แต่ทางที่ดีควรแยกกันออกเดินทางจะดีกว่า ไม่แน่ว่า อีกประเดี๋ยวอีกฝ่ายก็ตามมาทันแล้ว” หานลี่กล่าวด้วยดวงตาเปล่งประกาย
พวกเหลยหลันสามคนอดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากัน
แต่ก็เหมือนกับที่หานลี่พูด ชีวิตเป็นของตัวพวกเขาเอง ไม่ว่าที่หานลี่พูดมาจะจริงหรือเท็จ แต่ในเมื่อพูดมาเช่นนี้แล้ว สามคนนี้ก็จำต้องมองว่าเรื่องนี้เป็นจริงแล้ว อีกทั้งเห็นก่อนหน้านี้หานลี่มีท่าทางระมัดระวังเช่นนี้ ดูไม่เหมือนข่าวลวงขู่ขวัญจริงๆ
ดังนั้นหลังจากที่หานลี่จึงพุ่งทะลวงอากาศนำไปก่อน ภายใต้ความจนใจของพวกเหลยหลัน จึงต้องหนีไปยังทิศทางอื่นตามที่พูด
ตามที่หานลี่บอก เพียงแค่สามารถกลับขึ้นไปบนพื้นดินได้ พวกเขาก็น่าจะปลอดภัยแล้ว
รุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งผ่านป่าเปลี่ยวผืนหนึ่งอย่างรวดเร็วปานลมกรด ความเร็วของมันราวกับสายฟ้าแลบ เพียงแค่พุ่งปราดไม่กี่หน ก็มาปรากฏที่อีกฟากของขอบฟ้าอย่างน่าประหลาด อีกทั้งตลอดการเคลื่อนไหวยังไร้สุ้มเสียง ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
แม้ว่าใต้พิภพจะมีปีศาจและแมลงปีศาจบางส่วนพบเห็นลำแสงหลีกหนีกลางอากาศ แต่พวกมันก็ไล่ตามไม่ทัน จึงได้แต่มองดูรุ้งสีเขียวหายไปอย่างร่องรอยในชั่วพริบตา
หานลี่ที่อยู่ในรุ้งสีเขียวกลับโคจรพลังวิญญาณทั้งร่างไม่หยุดนิ่ง พลางใช้มือสองข้างคว้าศิลาวิญญาณขั้นสุดยอดคอยเสริมพลังกายอย่างไม่ขาดสาย
วิญญาณเหลวหมื่นปีนั้น ตอนที่ลักลอบเข้ามาในแดนวิญญาณเมื่อปีนั้น ตอนที่อยู่ในจุดเชื่อมต่อมิติได้ใช้ไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว
ตอนนี้แม้ว่าศิลาวิญญาณขั้นสุดยอดจะล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง แต่เพื่อที่จะรักษาพลังวิญญาณภายในร่างให้เพียงพอ เขาจึงไม่สนใจคำว่าสิ้นเปลืองแล้ว
การที่หานลี่แยกทางกับอีกสามคนที่ชั้นหนึ่งนั้น เขาจำเป็นต้องทำเพื่อตัวเอง คำพูดที่กล่าวกับพวกเหลยหลันก่อนหน้านี้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นความจริง แต่ก็ปิดบังข้อหนึ่งไว้
เขารู้สึกได้ลางๆ ว่า พวกปีศาจที่พบก่อนหน้านั้นดูเหมือนจะมาหาตัวเขาเอง ไม่ได้สนใจพวกเหลยหลันสักเท่าไหร่
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อแยกกันเดินทางจริงๆ พวกเหลยหลันก็จะปลอดภัยยิ่งขึ้น
เขาคุ้มครองบุตรสวรรค์ทั้งสองของเผ่าวิหคสวรรค์จนหาผลเพลิงอเวจีพบ ทั้งยังส่งกลับไปยังชั้นหนึ่ง นับว่าทุ่มเททั้งกายและใจจนหมดสิ้นแล้ว เรื่องต่อจากนี้บุตรสวรรค์ทั้งสองต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว ส่วนเขาก็ต้องคิดเพื่อชีวิตน้อยๆ ของตัวเองแล้ว
ขณะที่เหาะทยานมาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าเขาจะไม่พบความผิดปกติใดๆ ปรากฏในบริเวณใกล้เคียง อีกทั้งระยะทางไปถึงทางเข้าพื้นดินก็ไม่ไกลนัก แต่หานลี่ก็ยังไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
ลำแสงหลีกหนีไม่เพียงแต่ไม่หยุด เขากลับพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาหยดหนึ่ง ทำให้ภายในแสงสีเขียวปรากฏสีโลหิตเป็นเส้นๆ ขึ้นมาเลือนราง
ด้วยการกระทำเช่นนี้ ความเร็วจึงเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
สำหรับหานลี่นั้น สูญเสียพลังปราณบางส่วนเพื่อให้สามารถหลีกหนีราชาปีศาจระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งได้ ย่อมเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดอยู่แล้ว
ทว่าหลังจากที่รุ้งสีเขียวพุ่งทยานรวดเดียวในชั้นหนึ่งมาค่อนวัน จู่ๆ หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีก็หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ พลันหันไปมองข้างหลัง
เห็นเพียงขอบฟ้าที่เบื้องหลัง ไม่รู้ว่ามีม่านแสงสีดำผืนหนึ่งปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังไล่กวดมาทางเขา
เพียงแค่แวบเดียว ก็ขยับใกล้เข้ามาเสี้ยวหนึ่งของระยะห่างแล้ว
หานลี่สีหน้าย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง ไม่ทันได้คิดอะไรมาก สองปีกบนแผ่นหลังพลันเปล่งแสงขึ้นพร้อมกัน ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเส้นไหมเรียวเล็กสีเขียวขาวสายหนึ่งพวยพุ่งออกไป เพียงปราดเดียวก็ไกลออกไปร้อยจั้งเศษ
ตัวเขาในตอนนี้ไม่อำพรางใดๆ แล้ว พลันกระตุ้นอานุภาพของปีกวายุอัสนีออกมาทั้งหมด
เสียงอุทานเบาๆ ดังออกมาจากม่านแสงสีดำ ทว่าในหูของหานลี่กลับได้ยินชัดเจนผิดปกติ ราวกับมีคนส่งเสียงที่ข้างหู
หานลี่รู้สึกกลัดกลุ้ม พลันเร่งสองปีกบนแผ่นหลังอย่างบ้าคลั่งโดยไม่เหลียวหลังไปมอง
เส้นไหมเรียวบางสีเขียวขาวแผดเสียงแหลมออกมาเบาๆ กลางอากาศที่ลำแสงหลีกหนีพาดผ่านเหลือเพียงรอยบางๆ สีขาวหนึ่งสาย ราวกับอากาศบริเวณใกล้เคียงถูกทะลวงเป็นช่องว่างก็มิปาน
ตอนที่ 1461 วางแผน
“คนที่อยู่ตรงหน้านี้สินะ เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ พอมีอิทธิฤทธิ์อยู่บ้าง แต่ในเมื่อถูกข้าไล่ตามแล้ว หากยังสามารถหนีรอดไปได้อีก เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าตลกขบขันยิ่งนัก” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังออกมา
ภายในม่านแสงสีดำที่อยู่เบื้องล่างปรากฏร่างของหญิงสาวเงาดำผู้นั้นและเซวี่ยตู๋
ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วิธีอะไร ถึงได้ไล่ตามหานลี่ได้แม่นยำเช่นนี้ หญิงสาวหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง พลางใช้มือเดียวตั้งท่าร่ายคาถา
ม่านแสงสีดำล้อมรอบทั้งสองไว้แล้วหมุนเคว้งรอบหนึ่ง กลายเป็นเขตอาคมแสงสีดำอย่างน่าอัศจรรย์
ลำแสงประหลาดภายในเขตอาคมแสงหมุนโคจรรอบหนึ่ง เขตอาคมนี้กับร่างของเซวี่ยตู๋ก็เลือนรางเล็กน้อย ก่อนที่จะหายไปในเวลาเดียวกัน
ครู่ต่อมา ฉากที่คาดคิดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น
ภายใต้ความเร็วของเส้นไหมเรียวบางสีเขียวขาวที่เข้าใกล้คำว่ามหัศจรรย์ เบื้องหน้าไม่ไกลพลันเกิดคลื่นอากาศขึ้น เขตอาคมขนาดยักษ์สีดำก็ปรากฏออกมาอย่างน่าประหลาด
หานลี่ตกตะลึง คิดจะหยุดลำแสงหลีกหนีก็ออกจะสายไปหน่อย
ภายใต้การพุ่งอย่างสุดกำลังของปีกวายุอัสนีคู่นี้ แม้ว่ารวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ แต่กลับไม่สามารถควบคุมความเร็วได้ตามใจนึก
เห็นเพียงเส้นไหมเรียวบางสีเขียวขาวในสภาพไม่ทันป้องกัน พุ่งกระโจนเข้าไปในเขตอาคมสีดำ
หานลี่รู้สึกเพียงเบื้องหน้าดำมืด รอบทิศล้วนเต็มไปด้วยม่านแสงสีดำ ทั้งยังมีพายุทมิฬหมุนขึ้นเป็นระลอกๆ ราวกับกำลังพุ่งเข้าสู่ประตูยมโลก
หานลี่รู้สึกหวาดผวา ไม่ทันได้คิดมาก บนร่างพลันเปล่งเสียงฟ้าแลบ ทันใดนั้นประกายแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งออกมา กลายเป็นงูสายฟ้าสีทองออกมาเริงระบำทีละตัวๆ อย่างต่อเนื่อง
เกิดเสียงอัสนีบาตดังเกริกก้อง!
ไม่ว่าจะเป็นม่านแสงสีดำหรือพายุทมิฬ เมื่อเข้าใกล้ประกายสายฟ้าสีทองนี้ ทั้งหมดก็พากันระเบิดราวกับเผชิญเคราะห์ร้าย อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น
“อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะฝึกฝนเทวะอัสนีนี้ด้วย!” เสียงประหลาดใจของหญิงสาวดังขึ้นจากสี่ทิศแปดทาง เต็มไปด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น
หานลี่ตกตะลึง ขณะที่ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาใด ฉับพลันก็รู้สึกว่าม่านแสงสีดำรอบด้านมีการหมุนขึ้น ยิ่งหมุนก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ
หานลี่ตื่นตระหนกตกใจเป็นการใหญ่ ประกายแสงสีทองบนร่างพลันพุ่งทยานกลับมาพร้อมส่งเสียงฟ้าแลบ ก่อรูปร่างเป็นอาภรณ์อัสนีสีทองชุดหนึ่งห่อหุ้มร่างของตนไว้
ทว่าในตอนนี้เอง เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ของหญิงสาวก็ดังเข้ามาในหู
“สหายไม่ต้องหวาดกลัว ตัวข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่อยากเชิญสหายมาพำนักในที่ของข้าน้อยสักระยะหนึ่งเท่านั้น”
หานลี่จะยอมไปเป็นแขกอะไรนั่นตามที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ ได้อย่างไร ปีกสองข้างบนหลังพลันขยับไหว คิดจะหนีลอยนวล
ทว่าหญิงคนนั้นดูเหมือนจะคาดการณ์ถึงจุดนี้อยู่ก่อนแล้ว จึงใช้มือหนึ่งตบไปในอากาศโดยพลัน
ทว่าเมื่อพลังไร้ลักษณ์มหึมาปะทะร่าง ด้วยความแข็งแรงทนทานของกายเนื้อของหานลี่ ร่างกายก็อดไม่ได้ที่จะแข็งค้าง
หานลี่พลันรู้สึกใจหนักอึ้ง
ทว่าช้าไปเพียงชั่วครู่เดียว เขตอาคมมหึมาเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ร่างของทั้งสามก็หายไปพร้อมกัน
หานลี่บินวนกลางอากาศรอบหนึ่ง พลันแอบร้องทุกข์ในใจว่าแย่แล้ว รีบโคจรเคล็ดวิชาขับเคลื่อนภายในร่าง ประสาทการมองเห็นจึงค่อยชัดเจนขึ้นมา
เขาจึงค่อยพบว่าตนถูกส่งตัวจากกลางอากาศมาบนเนินสูงแห่งหนึ่งที่ดูคล้ายกับแท่นบวงสรวง
พื้นที่ฝ่าเท้าเหยียบลง พลันปรากฏเขตอาคมส่งตัวอีกแห่งหนึ่ง
บริเวณที่ห่างจากเขาไม่ไกล หญิงสาวผู้นั้นกับมังกรโลหิตกำลังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้น ราวกับตั้งแต่เริ่มไม่ได้ขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว
เมื่อดูจากไอสีดำหนาแน่นในอากาศบริเวณใกล้เคียง ที่นี่น่าจะเป็นชั้นใดชั้นหนึ่งที่ต่ำลงมาจากชั้นสองของเหวพสุธา
ที่ยิ่งทำให้เขารู้สึกตกตะลึงก็คือ บริเวณใกล้เคียงของหอสูงที่เขตอาคมตั้งอยู่ ยังมีปีศาจรูปลักษณ์แตกต่างกันยืนอยู่เจ็ดแปดตัว แต่ละตัวมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ
พลังยุทธ์ไม่สูง แค่ระดับก่อกำเนิดกับระดับเทพแปลงเท่านั้น!
แต่เมื่อมองจากหมู่อาคารกลุ่มใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงของเนินสูง เขาก็พบว่าตัวเองได้ถูกส่งมาในรังแห่งหนึ่งของปีศาจ
หานลี่แอบร้องทุกข์ในใจไม่หยุด ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เพียงแค่มองไปยังหญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามโดยไม่พูดไม่จา
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้ก็คือเจ้านายที่มังกรโลหิตกล่าวถึง ไม่เช่นนั้นจะมีอิทธิ์ฤทธิ์เช่นนี้ได้อย่างไร ภายในเวลาชั่วกระดิกนิ้วก็พาเขามาถึงที่แห่งนี้แล้ว
“สหายตามข้ามาที่วิหารใหญ๋ก่อนเถอะ” หญิงสาวเงาดำหัวเราะเบาๆ พลันขยับร่างคราหนึ่ง ก็ทยานไปยังหมู่อาคารที่อยู่ไกลออกไปอย่างช้าๆ
เซวี่ยตู๋มองหานลี่อย่างประเมินด้วยสายตาประหลาดคราหนึ่ง ก่อนที่จะเหาะตามหญิงสาวเงาดำอย่างไม่ใส่ใจ ดูเหมือนพวกเขาไม่กลัวว่าหานลี่จะหนีไปแม้แต่น้อย
หานลี่กวาดมองหมู่อาคารเหล่านี้หนหนึ่ง พลันทอดมองไปยังอากาศสูงที่อยู่ไกลออกไปอีกหลายครา ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มเจื่อนขึ้นมา
เห็นเพียงภายในอากาศตลบอบอวลไปด้วยเมฆสีเทา มีสายฟ้าสีดำเปล่งประกายวูบวาบอยู่ลางๆ และมีแรงกดวิญญาณประหลาดผลุบๆ โผล่ๆ เห็นได้ชัดว่าถูกคนใช้พลังยุทธ์ขุมใหญ่วางอาคมต้องห้ามไว้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำลายได้ในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน
ทว่าฟังจากคำพูดของหญิงสาวก่อนหน้านี้ ดูไม่เหมือนว่าจะลงมือสังหารตนในทันที หากเป็นเช่นนี้ ลองฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรดูก่อน เพียงแค่ไม่ยั่วโทสะอีกฝ่ายก็น่าจะไม่ถึงกับไม่สามารถหาโอกาสลงมือได้
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยมีปีศาจหรือมนุษย์ใดๆ ที่ไม่มีความคิดและท่าทีปฏิกิริยาต่อเขา
หลังจากที่หานลี่พินิจพิจารณาในใจเสร็จ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย บนร่างพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นดวงแสงสีเขียววงหนึ่งตามไป
ภายใต้การนำทางของหญิงสาวเงาดำ หานลี่ก็ตามมาถึงหน้าวิหารไม้ใหญ่หลังหนึ่งที่สูงสุดในหมู่อาคาร ก่อนที่จะร่อนลงมา
หญิงสาวเงาดำกับมังกรโลหิตเดินสองสามก้าวเข้าไปข้างใน
หานลี่ใช้สายตากวาดมองบนร่างของปีศาจสองสามตัวที่อยู่สองข้างของวิหารใหญ่ ใบหน้ากลับปรากฏสีของความประหลาดออกมา
ปีศาจที่เฝ้าอยู่หน้าประตูวิหารเป็นปีศาจวานรร่างเตี้ยสองสามตัว ข้างใต้ลำตัวของปีศาจวานรแต่ละตนยังมีดอกไม้วิญญาณมหึมาสีดำอ่อนอยู่หนึ่งดอก รางของมันปักลงในดินโคลนที่อยู่นอกประตูวิหารอย่างมั่นคง
ดวงตาของเขาเปล่งประกายปราดหนึ่ง เผยให้เห็นถึงสีหน้าที่ราวกับคาดคิดไว้แล้ว
หานลี่รู้สึกเหมือนตัวเองจะพบสาเหตุที่อีกฝ่ายมาหาเรื่องคนอย่างตน
หานลี่ไม่มัวชักช้าอะไรอีก พลันสูดหายใจคราหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในประตูหารภายใต้สายตาที่จับจ้องของปีศาจวานรพวกนั้น
ภายในวิหารใหญ่ว่างเปล่าไร้ผู้คน!
นอกจากหญิงสาวเงาเดากับเซวี่ยตู๋ที่เพิ่งเข้ามาในวิหารแล้ว ก็ไม่มีใครเลย
สองข้างของวิหารใหญ่ มีเก้าอี้ไม้เรียงอยู่สองแถว
ส่วนหญิงสาวเมื่อเดินมาถึงบนดอกไม้ยักษ์สีทองที่ใจกลางวิหารใหญ่แล้ว ก็นั่งขัดสมาธิอย่างมั่นคง
ส่วนมังกรโลหิตก็มายืนอยู่ข้างๆ อย่างเชื่อฟัง
“เข้ามานี่ มาส่งน้ำชาให้แขก!” หญิงสาวแสดงท่าทีเป็นนัยให้หานลี่นั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งที่บริเวณใกล้เคียง พลันตบฝ่ามือแปะๆ สองที
ครู่ต่อมา ไม่รู้ว่าหญิงรับใช้ชุดเขียวใบหน้าละมุนละไมคนหนึ่งเดินเลี้ยวออกมาจากที่ใด ในมือประคองถาดไม้หนึ่งใบ บนนั้นวางถ้วยชาสีขาวไว้สองถ้วย
หญิงรับใช้ส่งถ้วยที่อยู่ในนั้นให้หานลี่ถ้วยหนึ่ง ส่วนอีกถ้วยหนึ่งมอบให้หญิงสาวเงาดำ คิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เตรียมชานี้ให้มังกรโลหิตตัวนั้น
ใบหน้าของเซวี่ยตู๋มีสีหน้าเป็นปกติ ดูเหมือนจะไม่รู้สึกว่าสิ่งนี้มีอะไรไม่เหมาะสม
หานลี่มองดูน้ำชาที่อยู่ในมือ มุมปากพลันกระตุกเกร็ง เขาไม่กล้าดื่มมันลงไป
ภายในถ้วยชาขาวสะอาดราวกับหยก แผ่กลิ่นเหม็นคาวออกมาเจือจาง คิดไม่ถึงว่าเสี้ยวหนึ่งของแก้วจะเป็นของเหลวสีดำมะเมื่อมราวกับน้ำหมึก
อย่าว่าแต่ดื่มของสิ่งนี้ลงไป แค่ลองดอมด้วยระยะใกล้เช่นนี้ก็ทำให้หานลี่สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกหลายหน
ด้วยความรอบรู้ของเขา ภายในชั่วพริบตาก็มองออกว่าในน้ำชานี้ประกอบด้วยของที่เป็นพิษอยู่ไม่น้อย มีมากพอถึงหลายสิบชนิดด้วยกัน แต่เขาก็แยกแยะได้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น
แต่พิษที่รู้จักเหล่านี้ ล้วนเป็นพิษที่คนธรรมดาแตะแล้วตายในทันที
ต่อให้หานลี่มั่นใจในกายเนื้อของตัวเองแค่ไหน ก็ไม่ยอมดื่มน้ำพิษนี้ลงไปง่ายๆ
“สหายวางใจ ชาดับทมิฬถ้วยนี้ ข้าใช้พิษแปดสิบเอ็ดชนิดหลอมขึ้นมา หนึ่งชนิดหรือหลายชนิดในนั้นย่อมเป็นของที่มีพิษ แต่ด้วยหมอกพิษทั้งหมดที่ออกฤทธิ์ต้านกันได้อย่างยอดเยี่ยม จึงไม่มีโทษ มิหนำซ้ำหากดื่มเป็นประจำ ยังมีประโยชน์ต่อจิตสัมผัสของพวกข้าอีกด้วย” ดูเหมือนจะมองออกถึงความลังเลของหานลี่ หญิงสาวจึงยิ้มจางๆ คิดไม่ถึงว่าจะก้มหน้าดื่มสิ่งที่เรียกว่า “ชาดับทมิฬ” ลงไปจริงๆ!
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี พลันก้มมองน้ำช้าในมืออย่างละเอียด หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังจิบเล็กๆ คำหนึ่ง
ด้วยอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่าย หากคิดจะใช้วิธีลอบกัดอะไรกับเขา เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ มิสู้แสดงท่าทีของคนเฉลียวฉลาดหน่อยจะดีกว่า อีกทั้งดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องโกหกใดๆ ในเรื่องนี้
เมื่อชากลิ่นไม่พึงประสงค์เข้าไม่ไปในปาก ในตอนแรกมีรสขมประหลาด พอกลืนลงไป กลับกลายเป็นความร้อนประหลาด แผ่กระจายไปทั่วชีพจรแต่ละจุดในร่าง ขณะเดียวกัน ในสมองกลับรู้สึกเย็นเฉียบขึ้นมา สติพลันชัดเจนขึ้นมาหลายส่วน
เมื่อใช้จิตสัมผัสตรวจสอบภายในร่างอย่างรวดเร็ว ก็พบว่าไม่มีพิษหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย
หานลี่พลันรู้สึกโล่งอก!
“ขอบพระคุณสำหรับการต้อนรับของผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดผู้อาวุโสถึงได้พาชนรุ่นหลังมายังที่แห่งนี้ ชนรุ่นหลังเพิ่งมาเยือนเหวพสุธาเป็นครั้งแรก ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดที่ล่วงเกิน!” หานลี่วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะข้างๆ พลางถามอย่างเขร่งขรึม
“ข้าเชิญสหายมาที่นี่ ที่จริงแล้วมีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องการจะเจรจาแลกเปลี่ยน ทว่าเรื่องนี้ไม่รีบร้อน สหายพักที่นี่ไปก่อนสักสองสามวัน ข้าจะอธิบายให้ชัดเจนอีกที ใช่แล้ว ขอถามว่าสหายมีชื่อเรียกว่าอย่างไร ข้านามว่ามู่ชิง!” หญิงสาวเงาดำใช้สายตามองหานลี่อย่างละเอียดครู่หนึ่ง จนกระทั่งทำให้หานลี่รู้สึกขนลุกขนพองแล้ว จึงค่อยเอ่ยถามอย่างไม่กระโตกกระตาก
“ที่แท้ก็คืออาวุโสมู่ชิง ชนรุ่นหลังแซ่หาน!” หลังจากที่หานลี่ลังเลเล็กน้อย ก็เอ่ยขึ้นอย่างถ่อมตัว
การตบตานั้น เป็นเรื่องที่เปลืองแรงเอามากๆ เลยทีเดียว
“ที่แท้ก็สหายหาน! ปี้เอ๋อร์ เจ้าพาสหายหานไปพักผ่อนที่หอรับรองแขกผู้ทรงเกียรติเป็นการชั่วคราวสักระยะ ไม่ว่าจะมีความต้องการใด ก็ต้องทำให้สหายพึงพอใจ” มู่ชิงพยักหน้า พลันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
หญิงสาวชุดเขียวที่มาส่งน้ำชาให้ในตอนแรกแล้วยืนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ พลันตกตะลึง แต่ก็รีบดึงสติกลับมาแล้วคุกเข่ารับบัญชา
ด้วยความจนปัญญา หานลี่จึงต้องลุกขึ้นแล้วตามหญิงสาวชุดเขียวออกนอกวิหารใหญ่
ชั่วพริบตา ภายในวิหารก็เหลือเพียงมู่ชิงกับเซวี่ยตู๋สองคน
หญิงสาวเงาดำมองไปทางประตูวิหารที่หานลี่หายไปด้วยแววตาเปล่งประกาย ไม่รู้ว่ากำลังพินิจพิเคราะห์อะไรอยู่ ส่วนเซวี่ยตู๋กลับยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จา ราวกับกลายเป็นใบ้
“เซวี่ยตู๋ เจ้าไม่คิดจะถามข้าว่าเพราะเหตุใดถึงเปลี่ยนความคิดหน่อยหรือ?” จู่ๆ หญิงสาวก็เอ่ยขึ้น
“นายท่านเป็นเช่นนี้ ย่อมมีเหตุผลของนายท่านอยู่แล้ว ผู้น้อยไม่จำเป็นต้องถามอะไรมากขอรับ” เซวี่ยตู๋โค้งคำนับเล็กน้อย พลางพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งผิดปกติ
“คิกๆ เจ้าก็สายตาหลักแหลมเหมือนกันนี่! ที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรที่เป็นความลับ บอกเจ้าไปก็ไม่สำคัญ สาเหตุที่จู่ๆ ข้าก็เปลี่ยนความคิด ไม่คิดจะเอาเขามาทำเป็นอาหารโลหิตแล้ว ย่อมเป็นเพราะเห็นคุณค่าที่จะใช้ประโยชน์บนตัวคนผู้นี้มากขึ้นอย่างไรล่ะ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ
“คุณค่าที่มากขึ้น หรือว่านายท่านจะหมายถึงอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราที่คนผู้นี้สำแดง” มังกรโลหิตใจหายวาย ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกล่าว
“หึๆ เป็นอิทธิฤทธิ์ที่คนผู้นี้มีนั่นแหละ แม้ว่าอาหารโลหิตขั้นสุดยอดจะหายาก แต่ก็สามารถรวบรวมได้ แต่ถ้าหากมีเทวะอัสนีนี้คอยช่วย แผนการใหญ่ของพวกข้าก็จะกุมความมั่นใจมากขึ้นมาอีกขั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ การเลือกสรรดังกล่าวยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือไม่?” มู่ชิงกล่าวอย่างช้าๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น