คัมภีร์วิถีเซียน 1457-1458
ตอนที่ 1457 ใบเน่ากับผลเพลิงอเวจี
ใบหน้าของชาววิญญาณทมิฬเต็มไปด้วยสีหน้าของความรู้สึกยากที่จะเชื่อ ปากพลันส่งเสียงคำรามลั่น พลางขยับสองมือคว้าแขนที่อยู่ตรงหน้าอกอย่างฉับพลัน
นัยน์ตาของหานลี่เปล่งแสงเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง แขนพลันเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า กระบี่บินยาวหลายฉื่อเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนแขนอย่างเลือนราง
เสียงร้องกระจ่างชัด!
กระบี่แสงพลันสว่างพร่าง!
สองมือของชาววิญญาณทมิฬไม่เพียงแต่ถูกตัดขาดอย่างง่ายดาย ร่างทั้งร่างก็ถูกลำแสงกระบี่ผ่าเป็นสองส่วนลงมาจากใจกลาง สิ่งที่คล้ายกับแกนผลึกกับเพลิงสีเขียวที่ปรากฏภายในร่างก็ยิ่งถูกลำแสงกระบี่ป่นจนแตกเป็นจุณ แม้แต่จิตวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่อาจหนีออกมาได้แม้แต่น้อย
ชาววิญญาณทมิฬที่เหลืออยู่อีกหกคนต่างก็ตื่นตระหนกตกใจจนหน้าซีด ชายหนุ่มที่นำหน้ามีพลังยุทธ์ระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นสูง ไม่ว่าจะด้านพลังยุทธ์หรืออิทธิฤทธิ์ก็แทบจะเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในกลุ่มพวกเขา เหตุใดแค่อีกฝ่ายลงมือครั้งเดียวก็ถูกฆ่าตายแล้ว
เมื่อทั้งสี่คนในกลุ่มพวกเขาส่งเสียงร้องดังลั่นด้วยความตื่นตะลึงระคนเกรี้ยวโกรธ ทั้งหมดก็กลายเป็นวิหคยักษ์สีดำสี่ตัวในทันที พุ่งกระโจนเข้าใส่หานลี่อย่างดุดัน ส่วนอีกสองคนสบตากันคราหนึ่ง กลับเก็บขนเข้าไปโดยไม่พูดจา กลายเป็นลำแสงสีดำสองสายพวยพุ่งหนีไปยังที่ไกลๆ โดยพลัน
มุมปากของหานลี่กระดกขึ้นเล็กน้อย แผ่นหลังพลันส่งเสียงฟ้าร้องก้อง กลายเป็นประกายอัสนีเส้นหนึ่งแล้วหายไปจากที่เดิม
วิหคยักษ์สีดำเหล่านั้นเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกหวาดกลัวในใจ การกระทำที่จะกระโจนเข้าใส่พลันหยุดชะงักลงอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าเพียงแค่ช้าไปในชั่วพริบตาเดียว แสงสีเขียวพลันสว่างวาบ เงาคนติดปีกที่เหมือนกับเงาลวงตาร่างหนึ่งก็ปรากฏออกมาที่เบื้องล่างของวิหคยักษ์สีดำตัวหนึ่งอย่างน่าประหลาด
วิหคตัวนี้ยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวใดๆ ก็เห็นเพียงเงาลวงตาที่อยู่เบื้องล่างดูเหมือนจะขยับแขนข้างหนึ่ง ตามด้วยแสงสีทองเจิดจ้าพร่ามัวก็หายวับไปแล้ว
วิหคดำตกตะลึง ครู่ต่อมาก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นบนร่าง ร่างทั้งร่างถูกแบ่งเป็นสองส่วน ร่างศพทั้งสองส่วนระคนไปด้วยฝนโลหิต ร่วงดิ่งลงมาจากกลางอากาศ
เงาคนพุ่งปราดมาจากทิศตะวันตก แล้วหายไปอย่างน่าประหลาดอีกครั้ง ก่อนที่จะปรากฏในบริเวณใกล้เคียงของวิหคอีกตัวหนึ่ง พลันโบกมือคราหนึ่งเช่นเดิม แล้วปล่อยลำแสงกระบี่สีทองออกมาสายหนึ่ง
วิหคตัวนี้ราวกับทำมาจากเต้าหู้ เมื่อถูกฟันขาดเป็นสองท่อนอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าเล็บ ขนเหล็กทั่วทั้งร่างที่เดิมทีควรจะแข็งดุจเหล็กกล้าก็ไม่อาจต้านท้านได้แม้แต่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เงาร่างของหานลี่พลันพลิ้วไหวกลางอากาศสี่ห้าทีราวกับภูตพราย ในที่สุดก็ปรากฎกายออกมา พลันหยุดกลางอากาศอย่างมั่นคงด้วยสภาพที่มองเห็นชัดเจน
วิหคประหลาดสี่ตัวที่แปลงกายจากชาววิญญาณทมิฬ ล้วนถูกฆ่าตายเรียบไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว
หานลี่ยังคงไม่มีเจตนาที่จะยั้งมือ พลันจ้องเขม็งไปที่ชาววิญญาณทมิฬอีกสองคนที่หนีไกลออกไปหลายสิบจั้ง พลางสะบัดปีกด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ กลายเป็นรุ้งยาวสีเขียวขาวสายหนึ่งพุ่งทะลวงอากาศออกไป
เสียงแหวกอากาศแหลมยาวพลันระเบิดออก!
เมื่อสายรุ้งพุ่งออกไปไกลสิบจั้งเศษ ก็เริ่มมีสภาพเลือนรางเล็กน้อย กลายเป็นเส้นไหมเรียวบางสีเขียวขาวสายหนึ่ง
เส้นไหมพลันบิดรูปร่างอย่างน่าประหลาดอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะพุ่งหายเข้าไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ด้านหลังของชาววิญญาณทมิฬคนหนึ่งที่พยายามหลบหนีอย่างสุดชีวิตพลันเกิดระลอกคลื่นอากาศขึ้น เส้นไหมเรียวบางสีเขียวขาวก็ปรากฏออกมา
ภายในชั่วพริบตา เส้นไหมนี้ก็ทะลวงผ่านร่างของชาววิญญาณทมิฬ แล้วพันรอบอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เปล่งแสงสีทองสว่างวาบแล้วหายไป
ชาววิญญาณทมิฬถูกแบ่งเป็นเจ็ดแปดส่วนในชั่วพริบตา เส้นไหมเรียวบางพลันบิดงอคราหนึ่ง แล้วหายไปในอากาศอีกครั้ง
ครู่ต่อมา ศีรษะของชาววิญญาณทมิฬอีกคนหนึ่งเปล่งแสงเขียวขาวเจิดจ้า เส้นไหมเรียวบางพลันโผล่พรวดออกมาอย่างน่าประหลาด ภายใต้ความเลือนราง หานลี่ก็ปรากฏกายออกมาในสภาพสมบูรณ์ พลางเหวี่ยงมือข้างหนึ่งโดยไม่กล่าววาจา กระบี่จิ๋วสีทองเล่มหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในมือ ก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงกระบี่หยาบหนาฟันลงมา
ภายใต้แสงสีทองระยิบระยับ กระบี่แสงก็มาถึงบริเวณศีรษะของคนที่อยู่เบื้องล่างภายในชั่วพริบตา
ชาววิญญาณทมิฬตกใจกลัวจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ภายใต้การตัดสินใจอย่างฉับพลัน จึงกางปีกสองข้างบนแผ่นหลัง พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งตบเบาๆ ไปที่ศีรษะในเวลาเดียวกัน
ชั่วพริบตาที่ปีกสองข้างเปล่งดวงแสงสีดำวูบหนึ่ง ขนนกทั้งหมดก็กลายเป็นลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วน พวยพุ่งไปในอากาศอย่างหนาแน่นและถี่ยิบ ขณะเดียวกันก็มีโล่ไม้สีดำใบหนึ่งปรากฏที่เหนือศีรษะ กลายเป็นเมฆดำออกมาต้อนรับขับสู้ลำแสงกระบี่ที่ฟันลงมาโดยตรง
ไม่รู้ว่าโล่ไม้นั้นเป็นสมบัติชนิดใด แต่เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถต้านทานความแหลมคมของกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาได้เลย!
ลำแสงสีทองพลันสว่างวาบ ฟันเมฆดำเป็นสองส่วนและถือโอกาสผ่าร่างของชาววิญญาณทมิฬเป็นสองท่อนในคราเดียว
ส่วนลูกธนูสีดำเหล่านั้น เมื่อพุ่งมาถึงตรงหน้าหานลี่ ก็ถูกแสงอรุโณทัยสีเทาผืนหนึ่งสะกัดหนทางเอาไว้
เมื่อแสงสีเทากวาดออกไป ลูกธนูจำนวนมากเช่นนี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่สามารถทำร้ายหานลี่ได้แม้แต่ปลายผม
ส่วนหานลี่ที่กำลังมองดูร่างศพที่ร่วงลงมายังเบื้องล่างนั้น หางคิ้วกระตุกคราหนึ่ง ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ พลันใช้มือข้างหนึ่งคว้าไปในอากาศ
“สวบ!” ขนนกสีดำยาวฉื่อกว่าก้านหนึ่งพุ่งออกจากร่างศพที่ถูกหั่นร่างหนึ่ง ก่อนที่จะถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือ
หานลี่ใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ขนนกนี้ ดวงตาพลันเปล่งประกายระยิบระยับ
เห็นเพียงขนนกนี้มีสีดำเปล่งประกาย ปรากฏดวงแสงสีทองเป็นเส้นๆ เมื่อลองสะบัดดูเล็กน้อย ก็มีอักขระสีดำโผล่ออกมา กลายเป็นเพลิงสีดำอย่างฉับพลัน ส่งกลิ่นร้อนแผดเผาโชยออกมา
หานลี่เผยสีหน้าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในมือพลันเปล่งแสงสีดำวูบหนึ่ง ขนนกถูกเก็บไปแล้ว
สำหรับร่างศพ ย่อมถูกลูกไฟที่ตามมาทีหลังของเขาทำให้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
ขณะที่รุ้งสีเขียวสายหนึ่งหมุนวนที่กลางอากาศต่ำ ก็ดูดเอาขนนกสีดำจากร่างศพทั้งหมดขึ้นมา ถูกหานลี่ชิงมาเป็นของตัวเองอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
ขณะที่แสงสีเขียวพลันสว่างวาบ รุ้งสีเขียวมาปรากฏที่ข้างกายของพวกไป๋ปี้ หานลี่ก็ปรากฏกายออกมาอีกครั้ง
“เดินทางต่อ!” หานลี่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับเหตุการณ์ทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
พวกเหลยหลันสามคนมีสีหน้าค่อนข้างซีดเซียว แต่ก็ยังพยักหน้าถี่ๆ โดยไม่รู้ตัว
…
ครึ่งวันต่อมา พวกหานลี่มาปรากฏตัวบนน่านฟ้าของสถานที่แปลกตาแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าไม่ไกลเป็นป่าทึบเตี้ยๆ ผืนหนึ่ง ต้นไม้ภายในป่ากว่าครึ่งสูงไม่เกินสามสี่จั้ง ใบไม้เป็นสีเหลืองอ่อน แผ่กลิ่นเหม็นคาวชนิดหนึ่ง
ทุกคนหยุดอยู่ที่รอบนอกของป่าทึบผืนนี้ หานลี่ยืนอยู่ด้านหน้าของทุกคน กำลังจ้องมองป่าทึบด้วยสีหน้าลังเลไม่พูดจา
ไม่รู้ว่าพวกไป๋ปี้มีเจตนาหรือไม่ได้เจตนา ทั้งหมดต่างยืนห่างจากหานลี่ไปด้านหลังหลายจั้งด้วยท่าทีไม่กล้าตีเสมอกับหานลี่ สายตาที่มองมาทางหานลี่ปรากฏถึงความเคารพและยำเกรง
จะว่าไปแล้ว หลังจากที่หานลี่สังหารบุตรสวรรค์ของเผ่าวิญญาณทมิฬทั้งเจ็ดคนอย่างง่ายดายต่อหน้าชายหญิงทั้งสามคนนี้ ในที่สุดพวกเหลยหลันทั้งสามก็เข้าใจถึงพลังที่แท้จริงของหานลี่บ้างแล้วว่าแข็งแกร่งเพียงใด
ที่น่ากลัวก็คือ เอ๋าชิงจากเผ่าชีเยวี่ยกับเฟ่ยเยี่ยจากเผ่าหนานหล่งในคำร่ำลือ ไม่แน่ว่าจะมีอิทธิฤทธิ์ที่น่ากลัวเช่นนี้
ดังนั้น ตลอดการเดินทางต่อจากนี้ ยามที่พวกเหลยหลันและไป๋ปี่เผชิญหน้ากับหานลี่ เวลาพูดคุยก็ใช้น้ำเสียงที่ดูเคารพนอบน้อมโดยไม่รู้ตัว ราวกับอยู่ต่อหน้าอาวุโสภายในเผ่า นอกจากนี้ก็ไม่มีความคิดอื่นใดอีก
มีหานลี่เป็นเพื่อนร่วมทางที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ เห็นได้ชัดว่าการทดสอบครั้งนี้จะไม่มีปัญหาใหญ่โตอย่างแน่นอน
“หากข้าดูไม่ผิด ผลพวกนี้พึ่งพาอาศัยต้นใบเน่าที่ก่อตัวจากกลิ่นเหม็นคลุ้งภายในความมืดมิด ที่นี่น่าจะเป็นหนึ่งในจุดที่กลิ่นเหม็นมารวมกันมากที่สุด หากพวกเราดวงดี ก็อาจจะบังเอิญเจอที่นี่ก็เป็นได้ แม้ว่าจะคาดหวังไม่มาก แต่ดูเหมือนผลเพลิงอเวจีมีความเป็นไปได้ที่จะปรากฏที่นี่ พวกเจ้าคิดว่าจะเสียเวลาค้นหาที่นี่สักหน่อย หรือว่าจะมุ่งหน้าไปที่เส้นทางหมื่นเถาวัลย์โดยตรง” ในที่สุดหานลี่ก็ปริปากพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“พี่หาน ป่าใบเน่าแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก แม้ว่าจิตสัมผัสจะถูกยับยั้งไว้ ทว่าเพียงแค่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็สามารถค้นทั่วได้รอบหนึ่งแล้ว” ทั้งสามคนหันมามองกันอย่างลังเลทีหนึ่ง ไป๋ปี้จึงค่อยตอบด้วยความเคารพนอบน้อม
“อ๋อ ข้าเข้าใจความหมายของพวกเจ้าแล้ว หากใช้เวลาแค่ครึ่งวัน ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยจริงๆ เช่นนั้นก็หยุดพักที่นี่สักประเดี๋ยวเถอะ” หานลี่เองก็รู้สึกไม่มีปัญห้า จึงพยักหน้าตามใจนึก
ได้ยินคำพูดของหานลี่ พวกเหลยหลันก็รู้สึกดีใจเล็กน้อย
หากสามารถหาผลเพลิงอเวจีได้ในที่แห่งนี้ ย่อมฝ่าอันตรายไปยังชั้นสามได้อย่างสบายแน่นอน
หลังจากที่สามคนนี้หารือกันเล็กน้อย ฉินเสี่ยวก็โคลงแขนเสื้อคราหนึ่ง พลันปล่อยหุ่นเชิดเลื้อยคลานสิบกว่าตัวออกมาอีกครั้ง กระตุ้นให้ทยานไปยังทิศทางหนึ่งภายในป่าทึบ ก่อนที่จะจมหายไปในป่าในท้ายที่สุด
เหลยหลันกับไป๋ปี้ สองคนนี้ดูเหมือนจะมีการเตรียมการของตัวเองสำหรับเรื่องนี้ไว้แต่แรกแล้ว
เหลยหลันชูมือเรียกตลับหยกสีขาวออกมาตลับหนึ่ง ปากพลางร่ายคาถา ฝาตลับพลันทยานขึ้น มดบินร่างยาวฉื่อกว่าหลายสิบตัวก็บินออกมา เปล่งแสงสีเงินอ่อนระยิบระยับ มุ่งหน้าไปยังอีกทางหนึ่งพร้อมส่งเสียงดังหึ่งๆ
ส่วนไป๋ปี้กลับสั่นปีกสองข้าง บนร่างมีงูตัวเล็กสีทองสิบกว่าตัวพุ่งออกมา ความกว้างเท่านิ้วหัวแม่โป้ง พลันเคลื่อนตัวอย่างพลิ้วไหว พากันจมหายไปในพื้นดินอย่างไม่เห็นร่องรอย
ต่อมา ทั้งสามคนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ ต่างก็สำแดงเคล็ดวิชาลับกระตุ้นหุ่นเชิด อสูรวิญญาณ และแมลงวิญญาณเหล่านั้น แล้วเริ่มค้นหาป่าไม้เตี้ยทีละส่วน
หานลี่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนจะไม่มีเจตนาที่จะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย
หลายชั่วยามต่อมา พวกเหลยหลันค้นหาป่าลับไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้อะไรติดมือเลยแม้แต่น้อย
ทว่าการใช้จิตสัมผัสเป็นเวลายาวนานโดยไม่หยุดพักเช่นนี้ สีหน้าแต่ละคนก็ดูซีดลงเล็กน้อย
หานลี่เอามือไพล่หลัง พลันขมวดคิ้วจางๆ แล้วมองไปยังทิศทางหนึ่งบนฟากฟ้า ใบหน้าก็ปรากฏความตกตะลึงระคนประหลาดใจออกมาปราดหนึ่ง
เมื่อครู่นี้ เขารู้สึกเหมือนได้กลิ่นที่รุนแรงบางอย่างจากทิศทางนั้น ทว่าเพียงแค่แวบเดียวก็หายไปแล้ว จึงทำให้เขาคิดว่าตนสัมผัสอะไรพลาดไปหรือไม่
ภายใต้ดวงตาที่เปล่งประกาย ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดว่าควรตรวจสอบอย่างละเอียดอีกหน่อยหรือไม่ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องอุทานมาจากปากของเหลยหลัน ท่าทางดีอกดีใจอย่างสุดขีด
“ทำไมรึ หาผลเพลิงอเวจีเจอแล้วจริงๆ หรือ!” หานลี่เองก็ไม่สนใจเรื่องเมื่อครู่นี้ พลันหันหน้าเอ่ยถาม
เขารู้สึกเกินคาดอยู่หลายส่วน
“ไม่ผิด ข้าหาป่าเพลิงอเวจีเจอแล้วจริงๆ ทั้งยังมีหกต้นงอกขึ้นในพื้นที่เดียวกัน บนนั้นล้วนออกผลหมด อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นผลที่สุกแล้ว” เหลยหลันพูดอย่างยากที่จะปิดบังความลิงโลดบนใบหน้างามๆ ของนาง
“ศิษย์น้องเหลย เจ้ามองไม่ผิดนะ เป็นผลเพลิงอเวจีจริงๆ ใช่ไหม?” ไป๋ปี้ได้ยินที่กล่าวก็ไม่สนใจที่จะควบคุมงูวิญญาณของตนเอง พลันถามด้วยใจเต้นแรง
“เจ้าพูดไม่ผิด ในเหวพสุธามีผลไม่น้อยที่เหมือนผลอเวจีราวกับแกะ น้องเหลย เจ้าต้องดูให้ละเอียดแล้ว” น้ำเสียงของฉินเสี่ยวค่อนข้างสั่นเล็กน้อย
สตรีผู้นี้ก็ไม่สนใจหุ่นเชิดของตัวเองเช่นกัน
“ไม่มีทางพลาด แม้ว่าข้าจะเคยเห็นของจริงเป็นครั้งแรก แต่ไม่ว่าจะลำต้นหรือผลของมันต่างก็เหมือนกับในคัมภีร์โบราณไม่มีผิดเพี้ยน” เหลยหลันส่ายหน้า พลันพูดด้วยความมั่นใจเต็มที่
“ดีมาก ก่อนอื่นก็ไปดูสักหน่อยว่าเป็นของจริงหรือปลอม หากเป็นของจริงก็ไม่มีปัญหา พวกเราก็ไม่ต้องไปชั้นสามแล้ว” หานลี่ดูสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด พลันกล่าวอย่างเรียบเฉย
เดิมทีชั้นสองก็มีความเป็นไปได้ที่ผลเพลิงอเวจีจะดำรงอยู่ เพียงแต่โอกาสไม่ค่อยสูงมากก็เท่านั้น ตอนนี้เพียงชั่วครู่ก็ถูกพวกเขาหาเจอแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับไม่ได้
“ใช่แล้ว ข้าจะนำทางไปเอง” เหลยหลันตอบรับด้วยความปลื้มปิติ พลันยืนขึ้นมาอย่างพลิ้วไหว
พวกไป๋ปี้สองคนก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน แม้ว่าคิดจะฝืนทำเป็นไม่สงบนิ่ง แต่ความตื่นเต้นดีใจก็เผยออกมาจากดวงตาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ด้วยการนำทางของเหลยหลัน ทุกคนเหาะทยานกันอย่างสุดกำลัง ภายในเวลาเพียงหนึ่งเค่อ ก็มาปรากฏที่กลางอากาศเหนือพื้นดินเปียกชื้นผืนหนึ่งภายในส่วนลึกของป่าทึบซึ่งถูกหมอกสีเทาจางๆ ปกคลุมอยู่
“อยู่ตรงนี้แหละ บริเวณใกล้ๆ มีสระน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ต้นผลเพลิงอเวจีพวกนั้นอยู่ที่ริมสระน้ำ” เหลยหลันชี้ไปยังเบื้องล่าง พลางพูดอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ตอนที่ 1458 เข็มอเวจีแม่น้ำโลหิต
ขณะที่มองดูไอหมอกที่อยู่เบื้องล่าง รูม่านตาของหานลี่ก็เปล่งดวงแสงสีน้ำเงินปราดหนึ่ง สายตามองทะลุไอสีเทาภายในชั่วพริบตา ทำให้มองเห็นสถานการณ์ที่อยู่เบื้องล่างอย่างชัดเจน
เขาสั่นแขนเสื้อคราหนึ่ง พายุหมุนพลันโหมซัดสาดออกมาจากแขนเสื้ออย่างบ้างคลั่ง ครู่ต่อมาก็พัดกลบไอหมอกจนโล่งแจ้งไปกว่าครึ่ง
ทิวทัศน์เบื้องล่างพลันมองเห็นรำไร
เบื้องล่างมีสระน้ำไม่ใหญ่อยู่หนึ่งสระดังคาด พื้นที่มีแค่ร้อยจั้งเศษเท่านั้น ส่วนสถานที่ที่ห่างจากสระน้ำเพียงสิบจั้งเศษ มีต้นไม้เตี้ยหลายสิบต้นขึ้นอยู่หร็อมแหร็ม ส่วนใหญ่ล้วนแตกต่างจากต้นใบเน่าที่อยู่รอบๆ
มีต้นไม้หลายต้นที่ตลอดทั้งลำต้นเป็นสีดำเขียว ที่ปลายกิ่งใบแต่ละสาขามีผลประหลาดสีดำเปรอะขนาดเท่ากำปั้นหนึ่งลูก
ผลเหล่านี้มีพื้นผิวขรุขระเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีรอยแยกเป็นเส้นเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ภายในนั้นมีไอสีดำหมุนเวียนเข้าออกอยู่ลางๆ
หานลี่หรี่ตาลง พลางคิดทบทวนครู่หนึ่ง เหมือนกับผลเพลิงอเวจีที่บันทึกในคัมภีร์โบราณทุกประการอย่างที่คาดไว้จริงๆ
ไม่เพียงแต่หานลี่ คนอื่นๆ เมื่อได้เห็นผลไม่กี่ลูกนี้ ใบหน้าต่างก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ศิษย์น้องเหลยพูดไม่ผิด เป็นผลเพลิงอเวจีจริงๆ” ไป๋ปี้พูดด้วยความปลื้มปิติ
“เด็ดลูกที่สุกแล้วลงมาเถอะ ดูท่าจะเพียงพอให้พวกเราแบ่งกันได้” หานลี่จ้องมองอีกสองสามหน จึงค่อยกล่าวอย่างช้าๆ สีหน้าท่าทีดูไม่รีบร้อนอยู่ตลอด
“หากเผ่าแดงสดพวกนั้นคิดจะดักซุ่มพวกเราที่ชั้นสาม ก็ให้พวกเขารอต่อไปเถอะ!” เหลยหลันเอ่ยด้วยท่าทางคล้ายกับกำลังหยอกล้อ
เห็นได้ชัดว่าจิตใจเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง!
ฉินเสี่ยวย่อมดีใจเป็นอย่างมากเช่นกัน
ในระหว่างที่ทั้งสามคนคิดจะร่อนลงมาเด็ดผล จู่ๆ หานลี่ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม พลันยื่นแขนข้างหนึ่งไปในที่ว่างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังโดยไม่หันหน้ากลับไปมอง
“ป้าบ!”
มือใหญ่ห้าสีขนาดจั้งกว่าข้างหนึ่งปรากฏออกมาอย่างไร้สาเหตุ พลันตะปบลงไปข้างล่างอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น!
อากาศว่างเปล่าที่ถูกมือใหญ่ห้าสีกุมไว้ พลันเปล่งแสงโลหิตวูบหนึ่ง มือใหญ่สีโลหิตข้างหนึ่งก็สวนออกมาต้านรับไว้เช่นกัน
“ตูม!” ห้านิ้วกับห้านิ้วปะทะเข้าด้วยกัน ภายใต้การผสมผสานระหว่างแสงโลหิตกับเพลิงแสงห้าสี ในชั่วพริบตาก็แตกสลายหายไปพร้อมกัน
“เอ๋”
“น่าสนุกดีเหมือนกัน!”
เสียงอุทานเบาๆ ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงดังออกมาพร้อมกัน
ฝ่ายที่ส่งเสียง “เอ๋” ออกมาเบาๆ คือหานลี่ที่หันหน้าไปแล้วมองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ส่วนฝ่ายที่กล่าวถ้อยคำออกมา คือหมอกโลหิตที่ปรากฏมือใหญ่สีโลหิตผลุบๆ โผล่ๆ
ภายในหมอกมีเงาคนร่างสูงใหญ่ตะคุ่มๆ อยู่ร่างหนึ่ง
“ท่านคือผู้ใด เหตุใดต้องทำลับๆ ล่อๆ ด้วย?” หานลี่จ้องมองหมอกโลหิตพลางเค้นคำพูดออกมาทีละคำด้วยท่าทางน่าสะพรึงกลัวผิดปกติ
“ระดับแม่ทัพวิญญาณแต่สังเกตเห็นข้าได้ ดูท่าจะมีปัญหาอย่างที่คาดไว้จริงๆ” เงาคนภายในหมอกโลหิตหัวเราะประหลาดอย่างลึกลับ คล้ายกับกำลังพูดกระซิบกระซาบคนเดียว
“พวกเจ้าไปเก็บผลเพลิงอเวจีกันต่อ แล้วให้คนใดคนหนึ่งส่งมาให้ข้าก็พอแล้ว” หานลี่ดวงตาเปล่งประกายวาบหนึ่ง พลันกวักมือไปทางพวกเหลยหลันสามคนที่กำลังตกตะลึงอยู่ข้างๆ แล้วกล่าวกำชับเสียงแข็ง
“เจ้าค่ะ!”
“น้อมรับคำสั่ง!”
“พี่หานระวังตัวด้วย!”
พวกเหลยหลันทั้งสามแม้ว่าจะดูพลังของเงาคนภายในหมอกโลหิตไม่ออก แต่เมื่อเห็นว่าหานลี่มีท่าทางเคร่งขรึมเช่นนี้ ใจก็เต้นโครมครามโดยไม่รู้ตัว รีบขานรับในทันที
จากนั้นทั้งสามคนก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี ร่อนลงไปยังผลเพลิงอเวจีที่อยู่เบื้องล่าง
“ทำไมรึ พวกเจ้าสนใจไม้ผลที่อยู่ข้างล่างพวกนั้นสินะ หึๆ แม้ว่าพวกมันจะไม่ใช่ของดีอะไร แต่ก็ไม่ใช่ของที่ได้มาโดยง่ายเช่นนั้น” เงาคนภายในหมอกโลหิตกวาดตามองพวกเหลยหลันไป๋ปี้หนหนึ่ง แล้วกล่าวเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
หานลี่ใจหายวาบ พลันกระตุ้นจิตสัมผัส คิดจะเอ่ยปากเตือนพวกไป๋ปี้สามคนอย่างฉับพลัน แต่ก็สายไปแล้ว
เบื้องล่างเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นคราหนึ่ง ทันใดนั้นภายในสระน้ำก็เกิดคลื่นมหึมาขึ้น ตามด้วยหนวดสีชมพูหลายเส้นที่กวาดคลื่นน้ำออก พร้อมกับลูกธนูวารีที่พวยพุ่งออกมาอย่างหนาแน่น
พวกไป๋ปี่ที่เพิ่งจะลงมาถึงริมสระน้ำ เห็นสิ่งนี้ก็ตกตะลึงยกใหญ่
ผลเพลิงอเวจีพวกนั้นก็อยู่ข้างหลังแล้ว ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้หลุดมือไปได้ง่ายๆ ภายใต้ความจนใจของทั้งสามคน จำต้องพากันสำแดงอิทธิฤทธิ์เพื่อฝืนรับการโจมตีนี้
คนหนึ่งถูมือสองข้างคราหนึ่ง ปลดปล่อยประกายแสงสีเงินหยาบหนาออกมาหลายดวง อีกคนหนึ่งปล่อยเส้นไหมสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งผสมผสานที่เบื้องหน้า ส่วนฉินเสี่ยวอ้าปากคราหนึ่ง พ่นแสงอรุโณทัยสีเขียวออกมาผืนหนึ่ง
อิทธิฤทธิ์ทั้งสามชนิดผสานเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นก็ปะทะเข้ากับหนวดและลูกธนูวารี
“โครม!” ร่างของพวกเหลยหลันสามคนสั่นสะเทือน จึงอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองสามก้าว
ภายในสระน้ำส่งเสียงคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดคราหนึ่ง พลันเกิดคลื่นน้ำขึ้น ปีศาจสีน้ำตาลรูปร่างคล้ายปลาหมึกตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากใต้น้ำ ดวงตาประหลาดสีเขียวจ้องเขม็งมาที่ริมสระ พร้อมกับทำท่าแยกเขี้ยวยิ่งฟัน ยื่นหนวดหลายเส้นออกมาจากใต้น้ำ แต่ละเส้นมีความสูงสิบจั้ง ทำให้ผู้ที่เห็นเป็นต้องหวาดกลัว
ศีรษะอันใหญ่โตของปีศาจตนนี้มีขนอ่อนสีน้ำเงินขึ้นอย่างหนานแน่น ทุกครั้งที่มันเหวี่ยงหนวด ก็จะเกิดเสียงแหวกอากาศขึ้น
สิ่งที่ยิ่งทำให้พวกเหลยหลันรู้สึกกลุ้มใจอย่างหนักก็คือ หนวดที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้น หลังจากเปล่งแสงสีน้ำเงินวูบหนึ่ง บาดแผลก็สมานกันในชั่วพริบตา ฟื้นคืนสู่สภาพเดิม
ปีศาจตนนี้ไม่มีเจตนาจะยั้งมือแม้แต่น้อย มันได้เห็นบริเวณใกล้เคียงของสระน้ำเป็นอาณาเขตของมันไปแล้ว ครั้นเงยหน้าก็ส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง ภายใต้การเหวี่ยงหนวดหลายเส้นของมัน ฉับพลันก็ปล่อยแสงสีน้ำเงิน พุ่งเข้าไปโอบรัดทั้งสามคน
เพื่อผลเพลิงอเวจีแล้ว พวกเหลยหลันจึงไม่อาจถอยได้แม้แต่ก้าวเดียว จึงพากันร้องเสียงเบาแล้วสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกไปต้อนรับขับสู้
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงฟ้าร้องและระเบิดดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ทั้งสามคนกับปีศาจรูปร่างคล้ายปลาหมึกก็ต่อสู้พัวพันกันอุตลุด
อีกด้านหนึ่ง หานลี่ดึงสายตาที่เหล่มองกลับมา ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ไม่เผยสีหน้าของความเป็นกังวลแม้แต่น้อย
แม้ว่าปีศาจตนนั้นจะดุร้ายป่าเถื่อน แต่หากเวลานานออกไปเล็กน้อย ย่อมไม่ใช่คู่มือของพวกเหลยหลัน บุตรสวรรค์ทั้งสามเป็นอันขาด แต่ผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นศัตรูตัวฉกาจอย่างเห็นได้ชัด จึงต้องรับมืออย่างระมัดระวัง
“เจ้ากับหุ่นเชิดโลหิตที่ปรากฏตัวก่อนหน้านี้เกี่ยวข้องอะไรกัน?” หานลี่จ้องมองฝ่ายตรงข้าม พลันเอ่ยถามออกมาเช่นนี้
“หึๆ หุ่นเชิดโลหิต! พูดเช่นนี้ก็แสดงว่าตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยได้ส่งคนมาแล้ว และพวกมันน่าจะถูกเจ้าเชือดทิ้งไปแล้วสินะ ดี ดีมาก! ค่อยคู่ควรให้ข้าออกโรงครั้งนี้หน่อย” ภายในหมอกโลหิตส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมาครู่หนึ่ง ไม่มีเจตนาที่จะตอบคำถามของหานลี่แม้แต่น้อย
หานลี่ย่นคิ้วคราหนึ่ง ฝูงกระบี่บินภายในร่างพลันโลดเต้นด้วยอารมณ์คึกคักอยากจะลองดู
ทว่าในตอนนี้เอง ฉับพลันอีกฝั่งก็เกิดเสียงแหลมแสบแก้วหูดังขึ้น ทำให้เขาปวดหูสองข้างขึ้นมา
หานลี่ตกตะลึงอย่างหนัก ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เบื้องหน้าก็มีลมหนาวจู่โจมใส่อย่างฉับพลัน เข็มโลหิตเล่มหนึ่งที่คล้ายขนหนึ่งเส้นก็พวยพุ่งออกมาจากกลางอากาศที่ใกล้เพียงลัดนิ้วมือ มาถึงบริเวณหว่างคิ้วของหานลี่
ด้วยระยะห่างที่ใกล้เช่นนี้ หานลี่จึงไม่สามารถโต้ตอบใดๆ ได้เลย
เห็นเพียงแสงโลหิตสว่างวาบ เข็มโลหิตก็แทงลงบนหน้าผากของหานลี่ราวกับภูตพราย
มุมปากของเงาคนในหมอกโลหิตกระตุกคราหนึ่ง พลันแสยะรอยยิ้มดุร้ายออกมา
อิทธิฤทธิ์นี้ สามารถทำให้เขาสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ยังไม่เคยพลาดมือมาก่อน
“เคร้ง!” เกิดเสียงโลหะกระทบดังก้อง เข็มเรียวเล็กคล้ายกับแทงลงบนแผ่นเหล็กกล้า ถูกสะท้อนลอยหมุนติ้วกลางอากาศ
หานลี่สีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ แขนข้างหนึ่งยื่นออกไปข้างหน้าอย่างเลือนราง คว้าเข็มโลหิตไว้ในมือ รอยยิ้มที่เพิ่งปรากฏบนใบหน้าของเงาคนภายในหมอกโลหิตก็แข็งค้างโดยพลัน
“กายเนื้อของเจ้าสามารถต้านทานเข็มอเวจีแม่น้ำโลหิตของข้าได้?” ดูเหมือนเงาคนภายในหมอกโลหิตรู้สึกยากที่จะเชื่อ
ทว่าหานลี่กลับไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว เพียงแค่คลายนิ้วทั้งหาออกอย่างช้าๆ ที่เบื้องหน้า
เห็นเพียงเข็มโลหิตเล่มนั้นเด้งไปมาในฝ่ามือไม่หยุด ราวกับมีชีวิต ทว่าในฝ่ามือก็ปรากฏเพลิงแสงห้าสีออกมาทีละแผ่น ทำให้เข็มเล่มนี้ไม่สามารถออกห่างได้เกินชุ่นกว่า
สีหน้าของหานลี่ดูย่ำแย่มาก ถึงกับเขียวคล้ำอยู่หน่อยๆ ความหนาวเย็นอย่างสุดขั้ววนเวียนอยู่ภายในจิตใจไม่สูญหาย
การจู่โจมทีเผลอของอีกฝ่ายในครั้งนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้วนหน้าประตูยมโลกไปรอบหนึ่งแล้วเดินกลับมาอีกครั้งจริงๆ
หากไม่ใช่เพราะกายเนื้อของเขาเหนือกว่าอสูรปีศาจในระดับเดียวกันมาก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหนังหรือกระดูกก็แข็งแรงทนทานกว่าศาสตราอาคมทั่วไป หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง คงได้ซี้ม่องเท่งลงตรงนี้แล้ว
แต่เป็นเช่นนี้ ก็ขู่ขวัญให้เขาเหงื่อออกทั้งตัวแล้ว ความรู้สึกอยู่หรือตายที่แทบจะเฉียดไหล่ผ่านไปนี้ เขาไม่ได้สัมผัสมานานหลายปีแล้ว
ความตกตะลึงของเงาร่างในหมอกโลหิตก็ไม่น้อยไปกว่าหานลี่เช่นกัน!
ศัตรูที่กายเนื้อแข็งแกร่งถึงระดับนี้ มันไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ จึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าหานลี่เป็นเผ่าวิญญาณเหาะเหินจริงๆ หรือไม่ และเป็นปีศาจที่กายเนื้อแข็งแกร่งแปลงกายมาหรือไม่
สีหน้าของมันค่อนข้างลังเลเช่นกัน
ในตอนนี้เอง หานลี่ชู่มือขึ้นช้าๆ พลางเปล่งเสียงประหลาดภายในดวงตา ทันใดนั้นก็แค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง
เงาคนภายในหมอกโลหิตรู้สึกเหมือนสมองระเบิด ราวกับถูกคนใช้แท่งเหล็กแหลมออกแรงแทงเข้าไป ความเจ็บปวดทรมานอย่างสาหัสพลันโลดแล่นขึ้นมา
แม้ว่าเงาคนร่างนี้จะทรงอิทธิฤทธิ์อย่างที่ปีศาจระดับเดียวกันไม่อาจเทียบได้ แต่ก็ยังต้องดิ้นด้วยความเจ็บปวดทรมานบนร่างอย่างห้ามไม่อยู่ แทบจะโก้งโค้งตัวลงไปในทันที
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เศษเสี้ยวของสติที่ยังหลงเหลือของมันสัมผัสได้ถึงสายลมอ่อนๆ ที่โชยมาจากด้านหลัง ตามด้วยความหนาวเหน็บอันแปลกประหลาดส่งมายังบริเวณเอวอย่างฉับพลัน
คนผู้นี้ตกตะลึงอย่างหนัก คิดที่จะหลบหนี แต่ด้วยความเจ็บปวดทรมานของจิตสัมผัสจึงทำให้มือไม้เคลื่อนไหวเชื่องช้าผิดปกติ จะหลบหลีกก็ไม่ทันการแล้ว
มันทำได้เพียงเปล่งเสียงร้องเบาๆ จากปากคราหนึ่ง บนร่างพลันเปล่งแสงโลหิตเจิดจ้า ปรากฏเป็นเกราะเกล็ดสีเขียวรูปลักษณ์แปลกตา ต้านความหนาวประหลาดไว้เบื้องหน้า แล้วป้องกันทั้งร่างอย่างมิดชิดไร้ช่องโหว่
“ฉึก!” ลำแสงสีทองสายหนึ่งแทงลงบนเกราะเกล็ดอย่างไม่ปรานี ทว่าจมเข้าไปได้เพียงหลายชุ่นก็ไม่สามารถเจาะลึกได้กว่านี้อีก แสงสีทองพลันดับวูบ ปรากฏเป็นกระบี่บินสีทองแวววาวยาวฉื่อกว่าเล่มหนึ่ง
ที่แท้ก็เป็นกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาของหานลี่
และเบื้องหลังของหมอกโลหิตซึ่งไกลออกไปหลายจั้ง หานลี่ก็กำลังยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าตื่นตะลึง
ในขณะเดียวกับที่เขาปล่อยจิตทิ่มแทงออกไปเมื่อครู่ ก็สำแดงอิทธิฤทธิ์ของปีกวายุอัสนี อาศัยเคล็ดวิชาวายุหลีกหนี กลายเป็นสายลมอ่อนเคลื่อนย้ายมาถึงที่นี่ในชั่วพริบตา แล้วใช้กระบี่ฟันฉับไปในหมอกโลหิตอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ทว่าคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังประคองสติได้เสี้ยวหนึ่ง ปล่อยเกราะเกล็ดรูปร่างแปลกประหลาดออกมา คิดไม่ถึงว่าจะต้านทานความแหลมคมของกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาเอาไว้ได้
นี่มันเกราะศึกอะไรกัน คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะแข็งแกร่งเพียงนี้
หานลี่รู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจ
“รนหาที่ตาย!”
ภายในชั่วพริบตา เงาคนภายในหมอกโลหิตก็ฟื้นสติจากจิตทิ่มแทงได้ทั้งหมด กระบี่เมื่อครู่ของหานลี่ ทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวภายหลังไม่หยุด ภายใต้ความโกรธเกรี้ยว มันกลับหลังหันพลางอ้าปาก ลำแสงสีโลหิตสายหนึ่งก็โถมทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ทว่าหานลี่กลับไม่มีเจตนาที่จะฝืนรับการโจมตีนี้ ปีกสองข้างบนแผ่นหลังพลันสั่นระริก แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยท่ามกลางประกายแสงอัสนีสีเขียวขาว
ครู่ต่อมา ณ จุดเดิมที่หานลี่ยืนก่อนหน้า เกิดเสียงฟ้าร้องดังเกริกก้องคราหนึ่ง ร่างของเขาก็ปรากฏที่นั่นอีกครั้ง
สีหน้าของเขาสงบนิ่งเหมือนปกติ ราวกับว่าตั้งแต่เริ่มไม่เคยออกห่างจากที่นี่เลย
ในตอนนี้ ฝั่งตรงข้ามส่งเสียงร้องเบาๆ คราหนึ่ง หมอกโลหิตค่อยๆ พลิกตัวแล้วสลายหายไป พลันปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริงของเงาคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามออกมา
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นปีศาจร่างมนุษย์หัวมังกรสีแดงโลหิตตนหนึ่ง!
“มังกรโลหิต!”
รูม่านตาหานลี่พลันหดเล็กลง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น