ลำนำบุปผาพิษ 1456-1465
บทที่ 1456 ไส้ศึกคือผู้ใด? 1
กู่ฉานโม่กวาดตามองฝูงชนแวบหนึ่ง “สิ่งนี้เป็นของผู้ใด? พู่ประดับเอวของผู้ใดหายไป?”
ฝูงชนต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครตอบรับ
สีหน้าของกู่ฉานโม่ย่ำแย่กว่าเก่า “หากว่าผู้ใดนำสิ่งนี้เข้ามาในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์โดยไม่ได้ตั้งใจ ขอเพียงบอกมาว่าเป็นผู้ใดที่มอบให้ก็พอ หากว่าดึงดันไม่ยอมรับจะถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา เป็นเพียงไส้ศึกที่เข้ามาปะปนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์! ถ้าหาตัวออกมาได้ ผลลัพธ์ต่อจากนั้น…ข้าไม่พูดพวกเจ้าก็คงจะรู้ดี! ข้าขอถามอีกครั้ง พู่ห้อยเอวสลักลายนี้เป็นของผู้ใด?!”
ผู้คนกว่าสองร้อยคนในลานกว้างใต้ต้นไม้ใหญ่ต่างเงียบกริบ เงียบจนถ้ามีเข็มสักเล่มร่วงลงพื้นก็ได้ยินกันทั่ว แต่ยังคงไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมาอยู่ดี
สายตาของกู่ฉานโม่กวาดผ่านใบหน้าของทุกคน สีหน้าของทุกคนล้วนสับสนระคนตกตะลึง
ผู้อาวุโสของหน่อยลงทัณฑ์จัดการคดีความเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง สายตาแต่ละคู่คมกริบเสมือนเหยี่ยว หากผู้ใดมีสีห้าผิดธรรมชาติแม้เพียงน้อยย่อมถูกพวกเขามองออกทันที แต่พวกเขามองอยู่พักใหญ่ ก็มองไม่ออกเลย พู่ประดับเอวลายเมฆาชิ้นนั้นไม่มีผู้ใดยอมรับเลยสักคน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ดูท่าจะมิใช่ผู้อื่นตะล่อมให้คนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์นำเข้ามาแล้ว แต่เป็นในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีไส้ศึกปะปนเข้ามาจริงๆ ไส้ศึกผู้นี้สร้างพู่ประดับเอวจากหยกมารเวหนขึ้นที่ด้านนอก แล้วสวมเข้ามาอย่างง่ายดายยิ่งนัก จากนั้นก็แอบนำไปซ่อนไว้ใต้รอยแตกในพื้นของโถงฝึกยุทธ์ เช่นนี้ก็หมดจดไร้ร่องรอยแล้ว
ต่อให้มีศิษย์ที่มีหน้าที่เก็บกวาดห้องโถงมาพบสิ่งนี้เข้าโดยบังเอิญก็จะไม่กระตุ้นความสงสัย นึกไปว่าเป็นของศิษย์คนใดที่ทำหล่นไว้ที่นั่น…
ไส้ศึกคือผู้ใด?
ฝันร้ายของพวกเขาเริ่มขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน เช่นนั้นสิ่งนี้ก็น่าจะถูกนำเข้ามาซุกไว้เมื่อสองเดือนก่อนด้วย…
กู่ฉานโม่รีบสั่งการให้ศิษย์ที่ดูแลเส้นทางเข้าออกของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไปตรวจค้นบันทึกข้อมูลทันที เรียกดูบันทึกการเข้าออกของศิษย์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ในช่วงสองเดือนถึงสามเดือนก่อน
แต่หลังจากได้ผลจากการตรวจสอบออกมาแล้วกู่ฉานโม่ก็ต้องขมวดคิ้วแน่นเช่นเดิม
ในช่วงนั้นมีศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ออกไปด้านนอกไม่น้อยเลย แม้ว่าจะไม่ถึงครึ่งแต่ก็นับเป็นหนึ่งในสาม ซ้ำยังมีคนที่ออกไปทุกสามวันห้าวันด้วย…
หลังจากคัดแยกรายชื่อของศิษย์เหล่านี้ออกมา มีถึงเจ็ดสิบแปดสิบคนเลยทีเดียว
ไส้ศึกผู้นี้เมื่ออกไปข้างนอกจะต้องไม่เกาะกลุ่มกับผู้อื่นแน่นอน ต่อให้ออกไปกับเหล่าสหายก็ต้องมีช่วงเวลาที่เขา (หรือนาง) อยู่เพียงลำพัง ถึงจะสามารถกระทำเรื่องลับๆ เช่นนี้ได้
ผู้อาวุโสของหน่วยลงทัณฑ์รีบคัดแยกคนที่ออกไปด้านนอกเพียงลำพัง หรือคนที่ออกไปแล้วแยกตัวกับสหายออกมาจากเจ็ดสิบแปดสิบคนนี้…
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม จึงได้ผลลัพธ์ออกมา ผู้ที่ออกไปข้างนอกเพียงลำพังในช่วงเวลานี้มีทั้งสิ้นยี่สิบสองคน ในบรรดานี้รวมถึงชายหญิงที่ออกไปค้างรกด้วยกันด้านนอกมากกว่าหนึ่งคืนด้วย…
ในยี่สิบสองคนนี้มีผู้อาวุโสสี่ท่าน อาจารย์สามคน ที่เหลือล้วนเป็นลูกศิษย์เช่นเดียวกับพวกเชียนหลิงอวี่
กล่าวอีกอย่างก็คือ ยี่สิบสองคนนี้น่าสงสัยที่สุด ไส้ศึกอาจอยู่ในบรรดานี้
แต่การควานหาตัวไส้ศึกออกมาจากกลุ่มคนกว่ายี่สิบคนมิใช่เรื่องง่ายเลย ตามวิธีการของผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์ ถ้าทำการไต่สวนคนเหล่านี้ทีละคนน่าจะสอบสวนออกมาได้ แต่ระยะเวลาที่ต้องใช้ก็มิใช่น้อยๆ อย่างน้อยก็ห้าหกวันขึ้นไป
ส่วนเรื่องที่ตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วกลับมาแล้วยังแพร่งพรายต่อภายนอกไม่ได้ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นยังไม่ทราบ ยามนี้เมื่อตี้ฝูอีปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ไส้ศึกผู้นั้นย่อมต้องฉวยโอกาสยามที่อยู่เพียงลำพัง หาทางส่งข่าวให้พรรคพวกที่อยู่ด้านนอกทราบเป็นแน่…
ดังนั้นต้องหาตัวไส้ศึกผู้นี้แข่งกับเวลา ดีที่สุดคือหาตัวให้ได้ภายในเวลาสองวัน
ถ้าจะไม่ให้ความลับรั่วไหล ก็ทำได้อย่างเดียวคือขังยี่สิบสองคนนี้ไว้ในสถานที่เดียวกัน เมื่อหาตัวไส้ศึกได้ค่อยปล่อยออกมา
—————————————————————-
บทที่ 1457 ไส้ศึกคือผู้ใด? 2
แต่คนเหล่านี้เป็นหัวกะทิของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แทบทิ้งสิ้น การขังไว้หลายวันออกจะไร้มนุษยธรรมยิ่งนัก ซ้ำยังทำให้เรื่องล่าช้าด้วย อีกอย่างที่นี่ก็ไม่มีเรือนใหญ่พอจะขังคนกว่ายี่สิบคนไว้ด้วยกันได้…
เหล่าผู้อาวุโสของหน่วยลงทัณฑ์มองหน้ากันแวบหนึ่ง ล้วนค่อนข้างลำบากใจ
กู่ฉานโม่ตัดสินใจในทันใด “แยกพวกเขาเป็นสามกลุ่ม ให้จับตามองกันและกัน รอจนหาตัวไส้ศึกออกมาได้ค่อยปล่อยคน!”
เมื่อเขาเอ่ยคำสั่งนี้ออกมา สีหน้าของยี่สิบสองคนนั้นล้วนแปรเปลี่ยนไป
ไม่คนทนไม่ไหวทักท้วงขึ้นมา “อาจารย์ใหญ่กู่ เช่นนี้ไม่ยุติธรรมเลย นี่มิใช่ว่าพวกเราต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วยหรือไร? หากว่าหาตัวไส้ศึกไม่ได้เลย เช่นนั้นพวกเรามิต้องถูกขังไปชั่วกัลปาวสานหรอกหรือ?”
กู่ฉานโม่เอ่ยอย่างเยือกเย็น “ก็ไม่ถึงขนาดนั้น อย่างมากก็รอจนถึงยามที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นถูกสังหารแล้ว! ก็ถึงวันนั้น ก็ทำได้เพียงให้ทุกคนได้รับความเป็นไม่ธรรมเสียแล้ว”
ทุกคนทวีความไม่พอใจขึ้น แต่ละคนล้วนกล่าวว่าตนถูกปรักปรำ เกิดเสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นชั่วขณะ สีหน้าของคนที่ต้องถูกขังล้วนคับข้องหมองใจ
กู่ฉานโม่ทราบดีว่าทำให้คนมากมายของที่นี่ต้องได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันใหญ่หลวงเกินไป เขาไม่อาจแบกรับความเสี่ยงนี้ได้…
ขณะที่เขากำลังจะสั่งให้คนนำตัวคนเหล่านี้ไปคุมขัง จู่ๆ กู้ซีจิ่วที่อยู่ด้านข้างก็เปิดปากขึ้นมา “อาจารย์ใหญ่กู่ พวกเขาทักท้วงอย่างสุภาพ ไม่อาจทำให้คนมากมายต้องพลอยได้รับความไม่เป็นธรรมเพราะไส้ศึกผู้เดียวได้ ซีจิ่วมีวิธีหนึ่งที่สามารถหาตัวไส้ศึกออกมาได้ภายในวันเดียว และไม่จำเป็นต้องคุมขังทุกคนด้วย”
เมื่อเธอกล่าวประโยคนี้ออกมา ทุกคนต่างเบิกตากว้าง สายตาสงสัยนับไม่ถ้วนมองมาที่เธอ
กู้ซีจิ่วตบถุงจุสวรรค์ของตนเบาๆ หัวน้อยๆ ที่น่ารักน่าเอ็นดูหัวหนึ่งโผล่ออกมาจากถุง เป็นลู่อู๋น้อยนั่นเอง ดวงตาลู่อู๋น้อยดูหรี่ปรือง่วงงุน “เจ้านาย?”
กู้ซีจิ่วดีดหน้าผากมันทีหนึ่ง “ออกมา ฟังข้าสั่งการ”
ดวงตาลู่อู๋น้อยเปล่งประกาย รีบกระโดดออกมาทันที หมอบอยู่ตรงไหล่กู้ซีจิ่ว พวงหางทั้งเก้าโบกไปมา “ขอเชิญสั่งการ!” นัยน์ตาแวววาว สีหน้าตื่นเต้น
“เจ้านาย ข้าล่ะ? แล้วข้าล่ะ?” เจ้าหอยยักษ์ก็โผล่หัวออกมาจากถุงเหมือนกัน รีบเรียกร้องความสนใจ
ระยะนี้กู้ซีจิ่วพาพวกมันตะลอนไปทั่วอยู่ตลอด บางครั้งก็ปล่อยพวกมันออกมารับลมบ้าง ส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาวะเอื่อยเฉื่อยว่างงานอยู่เสมอ ยามนี้ทันทีที่เจ้าหอยยักษ์ได้ยินว่ามีภารกิจ ย่อมสงบใจไม่อยู่แล้ว
กู้ซีจิ่วก็ดึงมันออกมาด้วย “ประเดี๋ยวจะมอบหมายภารกิจให้เจ้าเช่นกัน รอก่อน”
“ได้เลย!” เจ้าหอยยักษ์กลับสู่ร่างเดิมทันที แผ่อยู่ตรงนั้นจ้องมองฝูงชนตาเป็นมัน
นัยน์ตากู่ฉานโม่กลับเปล่งแสงวาบทันที คล้ายจะนึกอะไรได้แล้ว “ซีจิ่ว เจ้าคิดจะให้หอยยักษ์ใช้วิชาบีบให้พวกเขาพูดความจริงออกมาสินะ?”
กู้ซีจิ่วตอบยิ้มๆ “ไม่ผิดเลย ท่านก็ทราบ เจ้าหอยยักษ์มีความสามารถเช่นนี้อยู่ สามารถทำให้ผู้อื่นบอกทุกอย่างที่อยู่ในใจได้”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา แทบทุกคนล้วนพากันถอยหลังไป
มนุษย์บนโลกนี้ ใครเล่าจะไม่มีความลับเล็กๆ น้อยๆ อยู่? ยกตัวอย่างเช่นผู้ใดแอบรักผู้ใด ผู้ใดชอบผู้ใด ผู้ใดเห็นผู้ใดขัดตา ร้องด่าบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรของอีกฝ่ายอยู่ในใจ หรือยกตัวอย่างเช่นบุรุษจำนวนหนึ่งไม่อาจแต่งงานได้ ยามที่เพลิงอารมณ์สุมกาย ชมชอบใช้แม่นางทั้งห้า…
เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความลับที่ในใจไม่อยากให้ผู้อื่นทราบ หากว่าถูกเปิดโปงออกมาต่อหน้าสาธารณะชน พวกเขายังจะเป็นคนต่อไปได้อีกหรือ?!
ในบรรดายี่สิบสองคนนี้ รวมจิ้งจอกน้อยกับเชียนหลิงอวี่ และพวกหลานเยวี่ยจางฉูฉู่ไว้ด้วย
จิ้งจอกน้อยเอ่ยต่อต้าน “ไม่ได้นะ! ซีจิ่ว เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าถูกปรักปรำ อย่าทดสอบเช่นนี้เลย!” ในใจนางมีความลับที่ไม่อาจบอกกล่าวได้ ไม่อยากถูกผู้อื่นทราบเข้า ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่อยากให้เยี่ยนเฉินได้ยิน
บทที่ 1458 ไส้ศึกคือผู้ใด? 3
ใบหน้าหล่อเหลาของเชียนหลิงอวี่ก็เขียวคล้ำเช่นกัน “ข้าก็ไม่เห็นด้วย!” เขาชอบกู้ซีจิ่วมาตลอด ชอบจนไม่อาจถอนตัวได้ บางครั้งยามที่เกิดอารมณ์ขึ้นในยามราตรีผู้ที่จินตนาการถึงก็คือนาง
แต่เขารู้ว่าระหว่างตนกับนางเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงฝืนตนข่มกลั้นไว้มาโดยตลอด เพียงหวังว่าเป็นสหายกับกู้ซีจิ่ว เป็นสหายที่คบหากันด้วยน้ำใสใจจริง
หากว่าเขาพูดความลับนี้ออกมาต่อหน้าสาธารณชน เขากับนางไม่พียงแต่จะเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้ว เกรงว่าเขาจะถูกตี้ฝูอีซัดฝ่ามือใส่จนตายเพราะไปยั่วยุอารมณ์เข้าด้วย…
คนที่เหลือก็พากันคัดค้านอย่างรุนแรง บางคนตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมถูกคุมขังกักบริเวณกว่าสิบวัน ไม่ต้องการถูกทดสอบ
เจ้าหอยยักษ์มองทางนั้นที มองทางนี้ที ร้องเชอะคราหนึ่ง ที่แท้พวกมนุษย์ก็มีความลับเล็กๆ น้อยๆ มากมายถึงเพียงนี้ ไหนเลยจะเหมือนมันเล่า? ภักดีต่อเจ้านายทั้งใจ! มากสุดก็ด่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจอมวิปริตผู้นั้นอยู่ในใจบ้างสองสามครั้งเท่านั้น…
กู้ซีจิ่วยกมือขึ้น “ความกังวลของทุกท่านซีจิ่วเข้าใจดี ดังนั้นซีจิ่วจึงไม่ใช้แค่วิธีนี้เพียงอย่างเดียว”
เธอล้วงหินหยกส่องประกายแวววาวออกมาจากถุงเก็บของ หยิบออกมายี่สิบสองก้อน โคลงไว้ในมือ “นี่คือหินหยั่งจิต”
ฝูงชนมองเธอด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเคยได้ยินสิ่งนี้เป็นครั้งแรก
แม้แต่ตี้ฝูอีก็เลิกคิ้วมองนางเช่นกัน หินนี้เขาก็รู้จักเหมือนกัน เป็นหินที่เจ้าหอยยักษ์พบในถ้ำบนภูเขาแห่งหนึ่งในตาค่ายนั้น เจ้าหอยยักษ์ชื่นชอบของแวววาว จึงขนกลับมารวดเดียวร้อยแปดสิบก้อน อ้างว่าเป็นไข่มุกที่มันสร้างขึ้นเอง…
เจ้าหอยยักษ์ยังมอบให้กู้ซีจิ่วไว้หลายสิบก้อนด้วย ให้นางเก็บรักษาไว้แทนมัน ยามนั้นเขาก็เคยศึกษาดูแล้วรอบหนึ่ง พบว่าของสิ่งนี้นอกจากสีสันงดงามทอประกายแวววาวพราวระยับแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรเลย จึงไม่สนใจอีก
นึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะหยิบสิ่งนี้ออกมา ซ้ำยังบอกว่าเป็นหินหยั่งจิตอะไรอีก…
เจ้าหอยยักษ์ก็มองตาแป๋วเช่นกัน มันก็เพิ่งเคยได้ยิน ‘ชื่อ’ ของหินชนิดนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน
หินนั้นส่องประกายอยู่ในฝ่ามือเธอ งดงามยิ่งนัก หลังจากกู้ซีจิ่วดึงดูดสายตาของทุกคนมาได้แล้ว ถึงอธิบายอย่างใจเย็น “หินหยั่งจิตนี้มีความพิเศษอยู่หย่างหนึ่ง หากว่าผู้ใดถือมันไว้เป็นเวลาหนึ่งส่วนสี่ชั่วยาม (ครึ่งชั่วโมง) มันจะจดจำกลิ่นอายจิตวิญญาณของอีกฝ่ายได้ ไม่มีทางจำผิด ในเมื่อหยกมารเวหนชิ้นนั้นเป็นสิ่งที่ไส้ศึกนำเข้ามา ย่อมต้องมีกลิ่นอายจิตวิญญาณของเขาหลงเหลืออยู่ที่หยกมารเวหนแน่นอน หากว่ากลิ่นอายจิตวิญญาณสองชิ้นที่เหมือนกันมาเจอกัน เมื่อผานการพัวพันด้วยกลิ่นอายของลู่อู๋กับเจ้าหอยยักษ์แล้ว ในอีกหกชั่วยามให้หลัง สีสันของหินหยั่งจิตจะเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับหยกมารเวหน เช่นนั้นไส้ศึกย่อมเผยตัวออกมาโดยธรรมชาติ”
กู้ซีจิ่วพูดพลางแจกจ่ายหินหยั่งจิตในมือให้ยี่สิบสองคนนั้นไปด้วย “มาๆ ทุกคนกุมมันไว้ คลึงมันไว้มือ…ข้าจะสอนวิธีคลึงมันให้พวกเจ้าเอง ทุกคนต้องทำแบบข้า ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเล่นตุกติก ผู้ใดตุกติกจต้องเป็นไส้ศึกแน่นอน!”
ยี่สิบสองคนนั้นย่อมรับไว้ ตัวกู้ซีจิ่วเองก็ถือไว้ก้อนหนึ่งใช้มือคลึงเช่นกัน ให้คนทำตามเธอ
วิธีคลึงนี้ง่ายดายยิ่งนัก ทุกคนเรียนครู่เดียวก็ทำเป็นแล้ว ยี่สิบสองคนยืนเรียงแถวกัน โดยมีคนอื่นๆ จับตามองการคลึงของพวกเขา
วิธีนี้แปลกใหม่ยิ่งนัก ไม่ใช่แค่คนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เท่านั้นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้แต่ตี้ฝูอีเองก็ไม่เคยยินมาก่อนเช่นกัน เขาจึงกอดอกชมดูอยู่ตรงนั้นเสียเลย
คนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีมากมาย คนเกือบสองร้อยคนจับตามองคนยี่สิบสองคน ย่อมเปรียบเสมือนการส่องด้วยไฟสปอร์ตไลท์ ผู้ใดก็ไม่อาจตุกติกได้ ความเคลื่อนไหวแม้เพียงน้อยนิดล้วนอยู่ในสายตาของผู้คน
กู้ซีจิ่วก็ตระเวนไปในหมู่ยี่สิบสองคนนี้เป็นครั้งคราว ตรวจสอบการแสดงออกของพวกเขาแต่ละคนอยู่เงียบๆ…
————————————————————————-
บทที่ 1459 ไส้ศึกคือผู้ใด 4
บางคนก็คลึงอย่างเอาจริงเอาจัง บางคนก็มีสีหน้าคล้ายจะสนใจใคร่รู้ บ้างก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งด้วย บ้างก็มีสีหน้าไร้อารมณ์ บ้างก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว…
เมื่อมองไปรอบๆ เธอก็อดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนใจอยู่ในใจสภาวะจิตใจของไส้ศึกคนนั้นแข็งแกร่งจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เผยพิรุธออกมาเลยสักนิด
ผ่านไปสักพักก็คลึงเสร็จเรียบร้อย กู้ซีจิ่วให้ทุกคนสลักชื่อตัวเองลงบนหินหยั่งจิตในมือตน
เนื้อของหินหยั่งจิตนี้ค่อนข้างอ่อน จึงแกะสลักได้ไม่ยาก
หลังจากแกะสลักเสร็จจะมีคนตรวจสอบแล้วเก็บมาตามลำดับ
เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นอายของคนที่เก็บหินปนเปื้อนบนหินหยั่งจิต กู้ซีจิ่วจึงมอบถุงมือยางคู่หนึ่งให้คนเก็บหิน…
หินก้อนน้อยที่ทอประกายแวววาวหนึ่งกองกลับสู่มือของกู้ซีจิ่วอีกครั้ง กู้ซีจิ่วถือพวกมันเดินไปที่เบื้องหน้าของเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อย ให้พวกมันแต่ละตัวหายใจรดลงไป
เจ้าสองตัวนั้นย่อมปฏิบัติตาม จะว่าไปก็แปลก เดิมทีเนื้อหินเป็นกึ่งโปร่งแสงส่องประกายแวววาว หลังจากถูกเจ้าสองตัวนี้หายใจรด ไม่น่าเชื่อว่าจะแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำนม ดูน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสร็จเรียบร้อยแล้ว! อาจารย์ใหญ่กู่ ท่านนำหินหยั่งจิตยี่สิบสองก้อนนี้กับหยกมารเวหนไปวางไว้ในถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปสิบลี้ ส่งลูกศิษย์สองคนที่มีราศีมังกรไปเฝ้าไว้ อีกหกชั่วยามให้หลังข้าจะพาทุกคนไปตรวจสอบผลลัพธ์”
กู่ฉานโม่เต็มไปด้วยความฉงน เพียงแต่เขายังไม่วางใจนัก “ซีจิ่ว ส่งศิษย์ไปเฝ้าแค่สองคนจะน้อยไปหน่อยหรือเปล่า? หากว่าเกิดเรื่องผิดพลาด…”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ถ้าต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ยิ่งมีคนเข้าใกล้มันน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี ข้าว่าสองคนก็มากเกินไปแล้ว วางใจเถอะ ไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นหรอก”
ในเมื่อกู้ซีจิ่วกล่าวเช่นนี้ กู่ฉานโม่จึงทำได้เพียงปฏิบัติตาม
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย “เช่นนั้นต้องเฝ้ายี่สิบสองคนนี้ไว้ด้วยไหม?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ถึงแม้พวกเขาล้วนน่าสงสัย แต่ถ้าหากมีไส้ศึกอยู่เพียงคนเดียว แล้วทำให้คนอื่นพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วยคงไม่ดีเท่าหร่ วิธีนั้นของข้าหากว่าไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ไม่มีทางผิดพลาดเด็ดขาด พวกเรารอคอยผลในอีกหกชั่วยามให้หลังก็พอแล้ว”
กู่ฉานโม่พยักหน้า จัดการไปตามนั้น
….
ณ ถ้ำบนภูเขาที่มืดมิดแห่งหนึ่ง
เดิมทีมีสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำ ทว่าถูกคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ขับไล่ไปแล้ว จากนั้นตี้ฝูอีใช้คาถาชำระล้างด้านในด้วยตัวเองสี่ห้ารอบแล้ว ด้านในจึงไม่มีกลิ่นแปลกๆ อยู่อีก
ในถ้ำมีโขดหินยาวอยู่ก้อนหนึ่ง
บนโขดหินวางหยกมารเวหนชิ้นนั้นกับหินหยั่งจิตสลักชื่อกองหนึ่งไว้
ศิษย์จากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์สองคนได้รับคำสั่งให้เฝ้ายามอยู่นอกถ้ำ ป้องกันไม่ให้มีคนเข้าไปเล่นเล่ห์ได้
ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ในป่าทึบผืนหนึ่ง ยามนี้เป็นฤดูร้อน เป็นช่วงที่ยุงชุกชุมพอดี
นับตั้งแต่การทดสอบของกู้ซีจิ่วจบลงก็ผ่านพ้นไปสามชั่วยามแล้ว ฟ้ามืดแล้ว ยุงอาละวาดหนักขึ้น ศิษย์สองคนนั้นยืนเฝ้าอยู่นอกถ้ำตลอด บางครั้งก็ถูกยุงกัดเข้าตุ่มสองตุ่ม ค่อนข้างทรมานยิ่งนัก
บางครั้งพวกเขาก็ตบยุงที่เข้ามาใกล้ตัว แล้วสบถด่าไส้ศึกคนนั้นอีกประโยคสองประโยค…
พลังยุทธ์ของศิษย์สองคนนี้มิได้ล้ำเลิศนัก ยามนี้มีพลังวิญญาณขั้นหกตอนกลาง แม้แต่คาถาปกป้องร่างจากยุงก็ใช้ไม่ได้ กำจัดยุงได้ด้วยการตบเท่านั้น
ยุงในหุบเขาก็ตัวใหญ่ยิ่งนัก กัดทีหนึ่งก็บวมตุ่ยแล้ว บนร่างศิษย์ทั้งสองถูกกัดไปกว่าสิบตุ่มแล้ว ตัวคนย่ำแย่ไปหมดแล้ว!
ศิษย์คนหนึ่งจึงออกความเห็น เสนอให้ใช้การสุมควันไล่
นี่เป็นวิธีที่ดีโดยแท้ ศิษย์อีกคนจึงไปหาต้นไอ้[1]ที่ใช้รมควันยุงโดยเฉพาะมาทันที จากนั้นก็จุดไฟ ควันสีขาวนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา รมควันยุงที่อยู่รอบข้างจนหนีไปไม่น้อย
ศิษย์ทั้งสองยืนอยู่ด้านข้างต้นไอ้ ในที่สุดก็สงบใจลงได้แล้ว
ที่พวกเขาไม่สังเกตเห็นก็คือ จุดที่ไม่ไกลจากพวกเขาเท่าไหร่ มีเงาร่างมนุษย์ที่แทบจะกลมกลืนไปกับรัตติกาลแล้วซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น เขาสังเกตการณ์อยู่หลังต้นไม้ใหญ่เงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วเป่าควันบางๆ สายหนึ่งไปทางศิษย์สองคนนั้น
————————————————————————
[1] ต้นไอ้ คนไทยรู้จักกันในนาม เฮียเฮียะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปีเป็นพืชท้องถิ่นในจีน ญี่ปุ่น และไซบีเรีย ใบสีเทาเขียว มีขนนิ่มๆอยู่ประปราย ด้านล่างสีเทาขาว มีขนจำนวนมาก มีสรรพคุณหลากหลาย
บทที่ 1460 ไส้ศึกเผยตัว 1
ผ่านไปครู่หนึ่งศิษย์สองคนนั้นก็เริ่มพากันขยี้ตา ศิษย์คนหนึ่งตะโกนอย่างโมโห “เสี่ยวห้าวเจ้าไปเอาต้นไอ้นี่มาจากไหน? ฉุนเหลือเกิน จะถูกรมตายแล้ว ตาของข้าแทบลืมไม่ขึ้นแล้ว!”
“อาจเป็นเพราะต้นไอ้ชื้นเกินไปดังนั้นควันจึงรมให้แสบตา…” ศิษย์อีกคนขยี้ตาพลางคาดเดาไปด้วย
ทั้งสองถูกรมควันจนน้ำตาไหลพราก ลืมตาไม่ขึ้นเลย
และในระยะเวลาชั่วครู่ที่พวกเขาขยี้ตา เงาดำที่แอบอยู่ในจุดอับก็เคลื่อนไหวปานสายฟ้าแลบ แวบผ่านด้านหน้าคนทั้งสอง ตรงเข้าไปในถ้ำ
เงียบเชียบแบบเทพไม่รู้ผีไม่เห็นโดยแท้ ศิษย์สองคนนั้นไม่สังเกตเห็นเลย
เงาดำโพกหนาด้วยผ้าสีดำ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่ง เมื่อเขาเข้าไปในถ้ำแล้วก็ตรงไปยังจุดที่วางหินหยั่งจิตไว้ ดวงตาที่คล้ายตาจิ้งจอกจับจ้องบนหินหยั่งจิตนั้น
ผ่านไปสามชั่วยามแล้ว หินหยั่งจิตทุกก้อนล้วนมีความเปลี่ยนแปลงแล้ว ทุกก้อนแปรเปลี่ยนเป็นสีสันที่ต่างกันไป และยังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงด้วย…
หินเหล่านี้เปลี่ยนสีได้จริงๆ ด้วย!
กู้ซีจิ่วไม่ได้หลอกลวง! เห็นทีจะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว หินที่เป็นตัวแทนของเขาก้อนนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับหยกมารเวหน…
เขายื่นมือไปคว้าหินก้อนนั้นที่เป็นตัวแทนของตนอย่างรวดเร็ว มองชื่อที่สลักไว้บนนั้น มีแสงจางๆ ผุดออกมาจากปลายนิ้ว ลบชื่อบนหินหยั่งจิตทิ้งไป…
จากนั้นเขาก็เริ่มเขียนชื่อหนึ่งลงไปอีกครั้ง…
เห็นได้ชัดว่าเขาลอกเลียนแบบลายมือของผู้อื่นได้ เมื่อเขียนเสร็จก็พิศมองอยู่ครู่เดียว มุมปากยกขึ้นน้อยๆ
“เจ้ามีความสุขมากสินะ” จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ไกลจากเขา น้ำเสียงใสกระจ่าง ถึงขั้นที่เจือเสียงหัวเราะไว้ด้วย “ข้าก็มีความสุขมากเช่นกัน” เป็นเสียงของกู้ซีจิ่ว
เงาดำนั้นปานถูกสายฟ้าฟาด แข็งทื่อไปชั่วครู่ นับว่าเขาก็มีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวเช่นกัน แทบไม่มองคนเลย เงาร่างพุ่งวาบทันที เหินทะยานไปทางนอกถ้ำ แต่ก็เกือบชนใส่ร่างคนผู้หนึ่งเข้า!
“มีข้าอยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีรอดหรือ?” น้ำเสียงคนผู้นั้นเย็นชาแฝงเสน่ห์ดึงดูด เป็นเสียงของตี้ฝูอี
พลันโบกแขนเสื้อไปทางคนโพกหน้าชุดผู้นั้น ผ้าโพกหน้าบนใบหน้าของคนชุดดำผู้นั้นหลุดร่วง เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา
น้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยวของกู่ฉานโม่แว่วออกมาจากส่วนลึกที่มืดมิด “หงเทียนซิน! ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเจ้า!”
ใบหน้าคนชุดดำผู้นั้นเป็นสีเทาทึบทึม ถลึงตามองสามคนนั้นที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหนกัน “เจ้า…พวกเจ้า…” เขาพยายามพูดแถ “ศิษย์เพียงแค่ เพียงแค่มาดูเพราะอยากรู้อยากเห็น มิได้เป็นไส้ศึก”
กู่ฉานโม่ซัดฝ่ามือใส่จนเขาหงายหลังตีลังกา เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “อย่ามาเล่นลิ้น! ผู้เฒ่าเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เจ้าแก้ชื่อบนหินตัวแทนของเจ้าให้กลายเป็นคนอื่น! เมื่อครู่หากว่าไม่หยุดยั้งเจ้า เกรงว่าเจ้าคงนำหินของผู้รับเคราะห์คนนั้นมาแก้เป็นชื่อเจ้าไปแล้ว!“
หงเทียนซินไม่พูดอะไร
กู่ฉานโม่นำหินที่สลักชื่อเดียวกันทั้งสองก้อนมาถือไว้ มองครู่หนึ่ง โกรธเคืองอย่างยิ่ง “ที่แท้แพะรับบาปที่เจ้าหามาก็คือสหายสนิทของเจ้าเล่อเฟิงเหยียน!”
ถูกจับได้คาหนังคาเขาแล้ว ต่อให้หงเทียนซินมีวาทศิลป์ยอดเยี่ยมเพียงใดก็ไม่อาจอธิบายได้แล้ว
สีหน้าเขาดุจคนตาย ถอยหลังไปสองก้าว แล้วก็ถอยไปอีกสองก้าว มีสามคนนี้อยู่ที่นี่ ต่อให้เขามีปีกสี่คู่ก็บินหนีไม่ได้แล้ว!
เขาตัดสินใจในทันใด พลันหลับตา กัดฟันทันที!
ฟันไม่ได้ขบเข้าหากันอย่างที่เขาปรารถนา แต่กัดลงบนหินหยกก้อนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน หินที่เย็นเฉียบแข็งทื่อแทบจะทำให้เขาสูญเสียฟันหน้าทั้งสองซี่ไปแล้ว!
เขาลืมตาขึ้นทันที สิ่งที่มองเห็นคือใบหน้าที่เย็นชายิ่งนักของผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์ “คิดจะฆ่าตัวตายรึ? ไม่มีทาง!”
ผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์ยื่นนิ้วมือสองนิ้วกดเข้าที่ฟันกรามด้านหลังของเขาอย่างแรง ยาลูกกลอนสีขาวขนาดเท่าเมล็ดถั่วกระเด็นออกมาจากปากเขาหนึ่งเม็ด ตกลงกลางฝ่ามือของผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์
——————————————————————————
บทที่ 1461 ไส้ศึกเผยตัว 2
ผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์ยังถือโอกาสสกัดจุดหงเทียนซินไปหลายจุด เพื่อให้แน่ใจเขาไม่มีทางเล่นเล่ห์อันใดได้อีก แล้วจึงค่อยส่งยาลูกกลอนให้ตี้ฝูอี
ตี้ฝูอีใช้วิชาชำระล้างบนยาลูกกลอน เขาเหลือบมองยาลูกกลอนนั้นแวบหนึ่ง ลักษณะของยาลูกกลอนแปลกประหลาดยิ่งนัก เป็นรูปร่างดาราแฉกซึ่งเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
กู้ซีจิ่วเดินเข้ามา เหลือบมองยาลูกกลอนนั้นแวบหนึ่ง “ยาเม็ด!”
ยาเม็ดชนิดนี้คล้ายคลึงกับยาเม็ดฮอร์โมนสเตอรอยด์สมัยใหม่มาก เป็นยาที่คนสมัยนี้สร้างขึ้นมาไม่ได้
อย่างไรเสีย การสร้างยาชนิดนี้จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยมากมาย ในยุคนี้คนที่สร้างยาชนิดนี้ขึ้นมาได้ นึกถึงใครอื่นไปไม่ได้เลย…หลงฟั่น!
ดูเหมือนว่ามือของไอ้คนชั่วช้าผู้นี้จะยื่นออกไปทั่วทุกสารทิศ…
วิญญาณชั่วร้ายของไอ้คนชั่วช้าผู้นี้ยังคงไม่ไปไหนเลยจริงๆ!
การฆ่าตัวตายของหงเทียนซินล้มเหลว ทั้งร่างกายพลันสั่นสะท้าน กู่ฉานโม่ก็โมโหจนร่างกายเกือบสั่นเทา
หลงซือเย่แนะนำหงเทียนซินผู้นี้เมื่อปีกลาย และสานุศิษย์สวรรค์คนอื่นๆ ก็เป็นคนแนะนำให้เข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เป็นอัจฉริยะหาได้ยาก ตอนเข้ามามีพลังวิญญาณขั้นเจ็ด หนักแน่นและมีความสามารถ เป็นที่โปรดปรานของกู่ฉานโม่ยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าเขากลับเป็นไส้ศึกที่หลงฟั่นส่งเข้ามาเพื่อเล่นงานสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์!
“ไอ้คนสารเลว เจ้าเป็นคนของหลงฟั่นงั้นรึ?!”
ถึงตอนนี้หงเทียนซินก็ตาสว่างแล้ว สายตาจ้องมองใบหน้ากู้ซีจิ่ว “ที่แท้นี่ก็เป็นแผนการของเจ้า! ความพิเศษของหินหยั่งจิตอะไรนั่นเป็นแค่เรื่องโกหกกระมัง? เจ้าทำเช่นนี้ก็เพื่อหลอกล่อให้ข้ามาติดกับเสียเอง?”
กู้ซีจิ่วตอบอย่างสบายใจ “ถูกต้องแล้ว!”
หงเทียนซินกระชับกำปั้น ความจริงเขาก็เคยสงสัยในจุดนี้อยู่เช่นกัน ทว่าสิ่งที่กู้ซีจิ่วทำทั้งหมดเหมือนจริงยิ่งนัก เขาจึงคลายความสงสัย
ตอนมาเขายังแอบสำรวจอยู่รอบหนึ่ง เมื่อเห็นตี้ฝูอี กู้ซีจิ่ว กู่ฉานโม่ กับเหล่าผู้อาวุโสกำลังหารือบางเรื่องกันอยู่ เขาตรวจสอบกลลวงที่เป็นไปได้ทั้งหมดแล้ว และไม่พบความผิดปกติอันใดเลย จึงเริ่มเคลื่อนไหว นึกไม่ถึงว่ายังคงตกหลุมพรางของคนอื่นได้!
กู่ฉานโม่เป็นคนใจร้อน เมื่อจับตัวไส้ศึกได้ทำให้เขาโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เขาอยากจะสอบสวนว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังและจุดมุ่งหมายของการกระทำเช่นนี้ในทันที ทว่าปากของหงเทียนซินเสมือนเปลือกหอย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถง้างปากเขาให้พูดออกมาได้
กู้ซีจิ่วจึงเรียกเจ้าหอยยักษ์ออกมา ให้มันใช้วิชาห้วงฝันมายาทำให้คนผู้นี้ปริปากพูดความจริง
เจ้าหอยยักษ์ย่อมดีใจเป็นอย่างมาก ยามนี้มันใช้วิชานี้ได้อย่างแคล่วคล่องแล้ว ผ่านไปไม่กี่นาทีหงเทียนซินก็เหมือนดังเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ เปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้ออกมาจนหมดเปลือก
แต่กลับไม่เหมือนกับที่กู้ซีจิ่วคาดเดาไว้สักเท่าไหร่ เจ้านายสายตรงของหงเทียนซินไม่ใช่หลงฟั่น แต่กลับเป็นคนลึกลับผู้หนึ่ง คนลึกลับผู้นี้ติดต่อกับเขาโดยใช้วิชาส่งกระแสจิต อีกทั้งยังเป็นการติดต่อเพียงฝ่ายเดียว มีเพียงคนลึกลับผู้นั้นติดต่อเขาได้ แต่เขาไม่มีทางติดต่อกลับไปหาคนลึกลับผู้นั้นก่อน
คนลึกลับผู้นั้นติดต่อเขาทั้งหมดสามครั้ง ครั้งแรกเพื่อบอกข้อมูลเกี่ยวกับหยกหอมเวหน เพื่อให้เขารายงานแก่กู่ฉานโม่รับทราบ หยกหอมเวหนเป็นหยกวิญญาณชนิดหนึ่ง ประสิทธิภาพแกร่งกล้า กู่ฉานโม่เป็นผู้รอบรู้ เมื่อพบหยกชนิดนี้ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังสั่งคนให้ใช้หยกชนิดนี้สร้างพู่ห้อยเอวขับไล่วิญญาณชั่วร้ายและเพิ่มพลังวิญญาณที่ทุกคนห้อยติดตัวได้ออกมา
ครั้งที่สองคือให้เขาออกมา เพื่อตรวจดูพู่ห้อยเอวของเขา
ครั้งที่สามคือมอบพู่ห้อยเอวหยกมารเวหนกับเขา ให้เขาเอามันไปซ่อนใต้พื้นของหอฝึกยุทธ์…
คนลึกลับผู้นี้ถึงแม้เรียกเขาไปพบถึงสองครั้ง ทว่าเขาเพียงได้ยินเสียง ไม่เคยเห็นตัวตน แม้แต่พู่ห้อยเอวยังมอบให้เขาโดยวางไว้ในโพรงต้นไม้กลางป่ารกร้าง…
ส่วนเรื่องพู่ห้อยเอวหยกมารเวหนมีการใช้งานอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง หงเทียนซินไม่รู้อันใดสักนิดเลย
อีกทั้งวิธีที่คนลึกลับผู้นี้ใช้ควบคุมเขาก็แปลกประหลาดยิ่งนัก มีเสียงสั่งการดังขึ้นภายในหัวสมองของเขา หากเขาไม่ทำตามก็จะปวดศีรษะอย่างหาที่เปรียบมิได้ เจ็บปวดยิ่งกว่ามงคลรัดเกล้าของซุนหงอคงเสียอีก…
บทที่ 1462 ไส้ศึกเผยตัว 3
ผู้บงการอยู่เบื้องหลังมีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนว่าน่าจะเป็นหลงฟั่นไม่มีอันใดผิดพลาด ทว่าจุดมุ่งหมายที่เขาทำเช่นนี้กลับทำให้คนคิดไม่ตก
สิ่งที่หยกมารเวหนทำลายก็คือจิตวิญญาณของมนุษย์ เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปจะทำให้คนเสียสติ ทว่าเหตุการณ์ฝันร้ายติดต่อกันทำให้ผู้คนจำต้องอพยพ ไม่มีทางอยู่ที่นั่นต่อไปได้ เมื่อใดที่หลุดพ้นจากการควบคุมของหยกมารเวหนนี้ จิตวิญญาณของผู้คนก็จะค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา ไม่มีผลกระทบร้ายแรงเท่าใดนัก
เช่นนั้น เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อซ่อนหยกมารเวหนภายในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ด้วยเหตุใดกันแน่เล่า?
หรือว่าต้องการสิ่งใดจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ดังนั้นจึงขับไล่ผู้คนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ออกไป?
ทว่าที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีเขตแดนอันแกร่งกล้า ถึงแม้จะขับไล่คนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ออกไปได้ทั้งหมด คนนอกก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี…
หรือบางทีอาจรู้สึกขวางหูขวางตาคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ อยากขับไล่พวกเขาออกมาแล้วสังหารทิ้งเสีย?
ทว่าหลังจากที่คนสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ออกมากลับไม่ถูกโจมตีอันใด ถึงแม้พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างยากลำบาก แต่ก็ไม่เคยพบเจออันตรายใดๆ…
เห็นได้ชัดว่าจุดมุ่งหมายของบุคคลผู้บงการอยู่เบื้องหลังไม่ใช่สิ่งนี้
หงเทียนซินถูกพาตัวออกไป เพื่อรอรับโทษทัณฑ์สถานหนักของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์
ในเมื่อจับตัวการที่ทำให้ฝูงชนฝันร้ายได้แล้ว กู่ฉานโม่ย่อมไม่ต้องการให้ผู้คนของเขาอยู่ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้อีกต่อไป
ฝูงชนต่างรีบร้อนอยากกลับบ้าน จึงรีบกลับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ภายในคืนนั้นเลย
ทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจ ร้องรำร่ำสุรา หนุ่มสาวกลับบ้านพร้อมเพรียง
หลังจากกลับถึงสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ทุกคนยุ่งง่วนกันอยู่ช่วงหนึ่ง จัดเก็บหลายสิ่งหลายอย่างให้เรียบร้อย
เนื่องจากกู้ซีจิ่วไม่ได้บอกอย่างชัดเจนเรื่องความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของเธอกับตี้ฝูอี กู่ฉานโม่หัวโบราณจึงรีบจัดแจงให้กู้ซีจิ่วกลับไปอยู่ห้องเดิมที่เธอเคยอยู่ ส่วนตี้ฝูอีกลับถูกจัดให้อยู่ภายในเรือนที่เขาเคยอยู่เช่นกัน ทำให้พวกเขาสามีภรรยาต้องแยกเรือน
กู้ซีจิ่วแอบแย้มยิ้มในใจ ตี้ฝูอีเจ้าคนผู้นี้เป็นคนบอกเองว่าไม่อยากเปิดเผยเรื่องนี้ เช่นนั้นเธอก็ทำให้เขาได้สมหวังก็แล้วกัน คืนนี้เธอก็จะได้นอนหลับสบายสักตื่น เพื่อป้องกันไม่ให้ใครบางคนจับไปทำกิจกรรมอันใดได้อีก
กู้ซีจิ่วกลับมาที่นี่ ยังคงทอดถอนใจอยู่ไม่น้อยเมื่อมองเห็นต้นไม้ใบหญ้าที่คุ้นเคย
เปรียบเสมือนความรู้สึกของผู้เดินทางไกลหวนคืนสู่บ้านเกิด
ภายในห้องของเธอยังคงได้รับการดูแลอย่างสะอาดสะอ้าน เธอใช้วิชาชำระล้างเพียงเล็กน้อย ทุกอย่างก็กลับมาเป็นดังเดิมแล้ว
หลานไว่หู่มาเคาะประตูในระหว่างที่เธอกำลังเก็บกวาด เธอเปิดประตูพบว่าเด็กคนนี้อุ้มหมอนหนึ่งใบยืนอยู่ด้านนอกสายตาจ้องมองเธออย่างเป็นกังวล “ซีจิ่ว คืนนี้ข้านอนกับเจ้าด้วยได้หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วย่อมไม่มีทางปฏิเสธ พยักหน้าตอบรับ
เด็กน้อยส่งเสียงดีใจ อุ้มหมอนกระโจนไปที่เตียงของเธอทันที ก้มหน้าก้มตาจัดวางหมอนอย่างดี อีกทั้งยังจัดแจงเครื่องนอนอย่างรวดเร็ว
“ซีจิ่ว พวกเรานอนด้วยกันได้หรือไม่? ข้ามีเรื่องมากมายอยากคุยกับเจ้า”
ความจริงกู้ซีจิ่วก็คิดถึงนางมาก อีกทั้งยังนำของฝากมาให้นางตั้งมากมาย จึงหยิบออกมามอบให้นางในตอนนี้
ของฝากที่กู้ซีจิ่วหยิบออกมาย่อมไม่ใช่สิ่งของธรรมดา หลานไว่หู่ถือของฝากนั้น ดวงตาโค้งยิ้มดุจจันทร์เสี้ยว ดีใจจนแทบจะม้วนตัวเป็นวงกลมแล้ว
กู้ซีจิ่วกล่าว “คราวนี้ ข้านำของมาฝากให้คนมากมาย เจ้าไปแจกจ่ายเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่?”
“ได้สิ” เด็กน้อยไม่รู้จักว่าการปฏิเสธคือสิ่งใดจึงรีบถีบตัวลุกขึ้นมา
กู้ซีจิ่วพานางไปมอบของฝากให้แก่พวกเพื่อนๆ
เพื่อนของกู้ซีจิ่วมีมากมาย คนที่ต้องมอบของให้ย่อมมีไม่น้อย เมื่อเดินครบรอบหนึ่งไปก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว
ในที่สุดก็เดินมาถึงที่พักของเยี่ยนเฉินอย่างไม่รู้ตัว ที่นี่คือที่พำนักเดิมของเยี่ยนเฉิน ซึ่งถูกแบ่งให้ศิษย์คนอื่นๆ หลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาไป
เมื่อเยี่ยนเฉินกลับมาครานี้ เดิมทีหัวหน้าผู้ดูแลจัดห้องรับรองแยกให้เขา ทว่าเขากลับอยากอยู่ห้องที่เขาเคยอยู่ หัวหน้าผู้ดูแลคนนั้นจึงเอ่ยปากกับศิษย์ที่อาศัยอยู่ที่แห่งนี้ ศิษย์เหล่านั้นย่อมตกปากรับคำยกห้องให้แก่เขาและย้ายออกไป
—————————————————————————–
บทที่ 1463 พิธีหมั้นหมาย
ยามกู้ซีจิ่วมาถึงสถานที่แห่งนี้ เยี่ยนเฉินเพิ่งจะเก็บกวาดห้อง
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูและเปิดประตูมาพบว่าเป็นพวกนาง เขาค่อนข้างประหลาดใจจึงเชิญพวกนางเข้ามา
ไม่ได้พบเจอกันแปดปี ชายหนุ่มที่เคยหนักแน่นเงียบขรึม มีใบหน้าไม่ประสาน้อยลง เป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบดังชายชาตรีมากขึ้นหลายส่วน
เขารินชาวางไว้ที่ข้างมือของทั้งสอง
หลานไว่หู่มองดูชา นั่นคือชาผลไม้ซึ่งนางเคยชอบมากที่สุด
นางขบเม้มริมฝีปาก กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เปลี่ยนเป็นอีกแบบได้หรือไม่?”
เยี่ยนเฉินตกตะลึง “เจ้าไม่ได้ชอบดื่มชาแบบนี้ที่สุดหรอกหรือ?”
หลานไว่หู่หลุบแพขนตา น้ำเสียงแผ่วเบาทว่าหนักแน่น “เคยชอบมาก แต่ว่าตอนนี้ไม่ชอบแล้วล่ะ ตอนนี้ข้าชอบดื่มชาหอม”
นิ้วมือเยี่ยนเฉินพลันแข็งทื่อ พยักหน้ารับในทันที “ได้ ข้าเปลี่ยนให้เจ้า”
ในขณะที่กำลังจะรินชาหอมที่อ่อนละมุนแก้วหนึ่ง หลานไว่หู่พลันเอ่ยขึ้นอีก “ข้าอยากดื่มชาเข้มและรสชาติกลมกล่อมสักหน่อย”
เยี่ยนเฉินขมวดคิ้ว “ดื่มชาเข้มตอนกลางคืนไม่เป็นผลดีต่อการนอนหลับ เจ้า…”
“ไม่เป็นไร คนไม่คิดมากอย่างข้า ดื่มชาเข้มแค่ไหนก็ยังนอนหลับได้ หลานเยวี่ยก็ชอบดื่มชาเข้มๆ ตอนกลางคืน ข้ากับเขาเหมือนกัน เป็นคนประเภทเดียวกัน พวกเราดื่มชาเข้มไม่เป็นอะไร” หลานไว่หู่ตัดบทคำแนะนำของเขา
เยี่ยนเฉินขบเม้มริมฝีปากไม่พูดจาอันใดแล้ว ชงชาที่ค่อนข้างเข้มให้นางแก้วหนึ่ง เป็นเพียงชาที่ค่อนข้างเข้มเท่านั้น ไม่ถึงขั้นชาเข้ม
ภายในห้องเงียบสงัดไปชั่วขณะ เป็นกู้ซีจิ่วที่หยิบยกเรื่องมอบของฝากให้เขาและชวนคุยเรื่องอื่นๆ ถึงได้ทำให้บรรยากาศภายในห้องดีขึ้นมาเล็กน้อย
กู้ซีจิ่วพูดถึงจุดประสงค์ของการมาครั้งนี้อย่างชัดเจน อยากให้เยี่ยนเฉินกับคนสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ร่วมมือกันจัดการคนที่ปลอมตัวเป็นตี้ฝูอี
เยี่ยนเฉินย่อมตกปากรับคำ รับฟังคำสั่งของกู้ซีจิ่วทั้งหมด กู้ซีจิ่วมอบยันต์ถ่ายทอดเสียงที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษให้กับเขาหนึ่งอัน เพื่อให้ติดต่อกันได้ตลอดเวลา
เมื่อพูดคุยกับกู้ซีจิ่ว เยี่ยนเฉินไม่ได้เหลือบมองหลานไว่หู่เลย ส่วนหลานไว่หู่ก็ไม่อาจสอดปากเข้ามาในเรื่องการเมืองเหล่านี้ได้ จึงได้แต่รับฟังพลางดื่มชาอยู่ด้านข้าง
น้ำชาเย็นชืดลงอย่างไม่รู้ตัว นางยังคงดื่มอย่างออกรสออกชาติ ในที่สุดเยี่ยนเฉินก็เหลือบมองนางแวบหนึ่ง มองถ้วยชาที่เย็นลงของนาง เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เก็บกดมันเอาไว้
เขามองท้องฟ้าด้านนอก สื่อความหมายถึงการยกน้ำชาส่งแขกอย่างหนึ่ง
กู้ซีจิ่วมองดูจิ้งจอกน้อย ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ สายตาเหม่อลอยมองไปทิศทางหนึ่งไม่กะพริบ
กู้ซีจิ่วเรียกนางคราหนึ่ง นางจึงได้สติกลับคืนมา วางถ้วยชาที่เย็นชืดลงแล้วลุกขึ้นยืน
เยี่ยนเฉินเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ หยิบเทียบเชิญสีแดงสดสองใบออกมาจากหน้าอกยื่นให้ตรงหน้าของทั้งสองคน “ซีจิ่ว ไว่หู อีกครึ่งเดือนเป็นวันมงคลของข้า หวังว่าพวกเจ้าทั้งสองคนจะให้เกียรติมาร่วมงาน”
เห็นได้ชัดว่าหลานไว่หู่แข็งทื่อไปครู่หนึ่ง ยื่นมือออกไปรับเทียบเชิญงานสมรสนั้นไว้ในมือ
ตอนที่ดึงมือกลับไม่ทันได้ระวัง แขนเสื้อชนเข้ากับถ้วยชาที่เย็นชืดบนโต๊ะ ตกลงพื้นดังเพล้ง
ถ้วยชาตกแตก น้ำชาไหลรินเป็นทางบนพื้น
“ขออภัย” หลานไว่หู่กล่าวคำขอโทษ น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“เจ้าเป็นอะไรไป?” เยี่ยนเฉินจ้องมองใบหน้าพริ้มเพราของนาง “ไม่สบายหรือเปล่า?”
หลานไว่หู่ส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “มือไม้อ่อนไปชั่วขณะเท่านั้นเอง ไม่สบายอะไรที่ไหนกันเล่า? เอาเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกข้าขอตัวลา”
นางลากกู้ซีจิ่วเดินออกไป
กู้ซีจิ่วไม่พูดจาอันใด ทว่ารับรู้ได้ถึงนิ้วมือเล็กๆ อันเย็นเยือกกับฝ่ามือที่เปียกชื้นของหลานไว่หู่
เยี่ยนเฉินมองดูเบื้องหลังของหลานไว่หู่ที่วิ่งไปอย่างลุกลี้ลุกลน ดวงตาวาบไหวเล็กน้อย
เขาอ้าปากเหมือนอยากพูดบางสิ่ง ท้ายที่สุดก็เก็บกดเอาไว้
บนเทียบเชิญงานสมรสสีแดงสดเต็มไปด้วยดอกบัวแฝด ชื่อของทั้งสองคนด้านบนดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
พิธีหมั้นหมายระหว่างเยี่ยนเฉินกับเหลิ่งอู๋ซวง ขอเชิญเพื่อนรักหลานไว่หู่ร่วมเป็นเกียรติ
หลังจากกลับมาหลานไว่หู่ก็นั่งบนโต๊ะ เอาแต่เหม่อลอยมองเทียบเชิญงานสมรสสีแดงสดนั้น
บทที่ 1464
“จิ้งจอกน้อย เจ้ากับเยี่ยนเฉินมีเรื่องอันใดกัน?” กู้ซีจิ่วก็มองไปที่เทียบเชิญใบนั้น
ความรู้สึกที่เยี่ยนเฉินมีต่อจิ้งจอกน้อยเมื่อแปดปีก่อนชัดเจนยิ่งนัก กู้ซีจิ่วคิดมาตลอดว่าบางทีพวกเขาอาจแต่งงานกันไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจิ้งจอกน้อยกลับหมั้นหมายกับหลานเยวี่ยอะไรนั่น ส่วนเยี่ยนเฉินก็กำลังจะหมั้นหมายกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง…
โดยปกติหลานไว่หู่มีอะไรจะพูดกับกู้ซีจิ่ว ทว่าหนนี้นางกลับเงียบขรึมอยู่นานสองนาน ก่อนจะฝืนยิ้มหนึ่งครา “ข้ากับเขาไม่ได้มีอะไรกันนี่ ข้ามองเขาเป็นพี่ชายมาตลอด”
กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง
กู้ซีจิ่วไม่พูดจาอันใดแล้ว จิ้งจอกน้อยเมื่อแปดปีก่อนยังคงไร้เดียงสาเสียจริง พึ่งพาเยี่ยนเฉินเหมือนดังพี่ชายแท้ๆ ทว่าไม่มีพี่ชายแท้ๆ คนไหนที่จะปฏิบัติต่อจิ้งจอกน้อยอย่างที่เยี่ยนเฉินรักใคร่เช่นนั้น
ความรักในครอบครัวไม่เหมือนกันกับความรักหนุ่มสาว
การพึ่งพาทั้งกายใจของจิ้งจอกน้อยที่มีต่อเยี่ยนเฉินก็ไม่เหมือนกับพี่ชายไปเสียทั้งหมด บางทีตัวนางเองอาจทึมทื่อแยกแยะไม่ออก แต่กู้ซีจิ่วยังคงเข้าใจยิ่งนัก
ทว่าระยะเวลาแปดปีสามารถเปลี่ยนคนได้มากมาย แน่นอนว่าความรู้สึกทั้งหลายก็จืดจางได้เช่นกัน คนที่เคยรักกันจะเป็นจะตายยังเลิกรากันได้ด้วยดี ดังนั้น การเลิกราของจิ้งจอกน้อยกับเยี่ยนเฉินก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเท่าใด
กู้ซีจิ่วไม่ใช่คนที่ชอบซุบซิบนินทา ในเมื่อจิ้งจอกน้อยไม่อยากพูด เธอก็ไม่ถามอีกต่อไปแล้ว
เธอวิ่งวุ่นมาทั้งวัน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ดังนั้นเธอจึงล้างหน้าล้างตาเล็กน้อยแล้วเข้านอน
จิ้งจอกน้อยที่เดิมทีชอบเอะอะโวยวายก็เงียบสงบลงอย่างเห็นได้ยาก เพียงแค่นอนข้างๆ เธอ
กลางดึก กู้ซีจิ่วถูกเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ ปลุกให้ตื่น
เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าจิ้งจอกน้อยกำลังร้องไห้ในห้วงความฝัน แพขนตายาวเปียกชุ่มเป็นสาย เด็กคนนี้เจ้าน้ำตายิ่งนัก ทุกครั้งที่ร้องไห้น้ำตาจะพรั่งพรู ทำให้ดวงหน้าน้อยๆ เปียกโชกไปหมด
“ข้าไม่ใช่นางจิ้งจอก! ข้าไม่ใช่…” หลานไว่หู่สะอึกสะอื้น “ข้าไม่มีทางทำร้ายใคร…”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
เธอตกตะลึงครู่หนึ่ง เอ่ยถามนางด้วยเสียงนุ่มนวล “ใครว่าเจ้าเป็นนางจิ้งจอก?”
หลานไว่หู่เพียงหลั่งน้ำตาในห้วงความฝัน หลังจากนั้นก็กระซิบเรียกอีกครั้ง “หลานเยวี่ย เจ้า…” ประโยคหลังจากนั้นไม่ชัดเจน เธอฟังไม่ออกว่านางพูดอะไร
เพียงแต่คิ้วเล็กๆ ขมวดรัดแน่นขึ้น
จิ้งจอกน้อยมีเรื่องในใจอันหนักอึ้ง หรือว่านางเปลี่ยนใจไปรักหลานเยวี่ยแล้วจริงๆ?
หลานเยวี่ยคนนั้นแทบจะไม่มีเสน่ห์น่าดึงดูดเท่ากับเยี่ยนเฉิน และไม่ได้ปฏิบัติต่อจิ้งจอกน้อยดีเท่ากับเยี่ยนเฉินอีกด้วย
เยี่ยนเฉินปฏิบัติต่อจิ้งจอกน้อยด้วยความรักใคร่จริงใจ และแทบจะเป็นความรักที่เคยชินไปแล้ว
แต่หลานเยวี่ยส่วนมากเป็นความหึงหวง เป็นความหึงหวงเมื่อมีคนปรารถนาในสมบัติของตนเอง…
“จิ้งจอกน้อย เจ้าชอบหลานเยวี่รึไม่?” กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เธอใช้วิชาบางอย่าง ทำให้คำพูดส่งผ่านเข้าไปในห้วงความฝันของจิ้งจอกน้อยได้…
จิ้งจอกน้อยงึมงำ “เขาเป็น…ข้าไม่อาจขัดคำสั่งเขาได้…”
กู้ซีจิ่วพูดจาอันใดไม่ออก
“เขาเป็นอะไร?” กู้ซีจิ่วค่อยๆ โน้มน้าว
“เขาเป็น…เป็นอัจฉริยะ คือความภาคภูมิใจของตระกูลเขา ไม่คู่…ไม่คู่ควรกับเด็กบ้านป่าที่ความเป็นมาไม่ชัดเจนอย่างข้า…ข้าไม่ได้เป็นเด็กบ้านป่า ข้ามีพ่อ…ข้าไม่ได้ทำให้การฝึกฝนของเขาล่าช้า…ข้าเชื่อฟังมาโดยตลอด เหตุใด เหตุใดยังต้องต่อว่าข้าเป็นนางจิ้งจอก? ต่อว่าข้าไร้ยางอาย…”
กู้ซีจิ่วพูดจาอันใดไม่ออก เธอถามถึงหลานเยวี่ย ทว่าคำตอบเลอะเลือนของจิ้งจอกน้อยในห้วงความฝันกลับเหมือนกำลังพูดถึงเยี่ยนเฉิน?
จิ้งจอกน้อยดูเหมือนจะตกอยู่ในห้วงฝันร้าย น้ำตาไหลพรากอีกครั้ง “ข้า…ข้าไม่ได้ไม่รู้ความ ข้าไม่อยากทะเลาะกับเขา พวก…พวกเขาต่อว่าข้า…ซ้ำยังต่อว่าแม่ข้าเป็นนางโลม…ข้าโกรธจนทนไม่ไหว…”
กู้ซีจิ่วรู้สึกสับสน
—————————————————————–
บทที่ 1465 ใครกล้ารังแกเจ้า ข้าจะเชือดมันแทนเจ้าเอง!
เธอขมวดคิ้ว เธอไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่เธอก็ปกป้องพวกพ้อง เพื่อนของเธอไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาดูหมิ่นได้!
และเห็นได้ชัดว่าจิ้งจอกน้อยได้รับความอยุติธรรมยิ่งนัก กู้ซีจิ่วหรี่ตานิดๆ สรุปแล้วเป็นผู้ใดกันที่รังแกนาง?!
จิ้งจอกน้อยหลับสนิทไปอีกครั้ง ยังมีหยดน้ำตาหลงเหลืออยู่ตรงหางตา
ปลอกหมอนของนางเปียกชุ่มจากการร้องไห้ กู้ซีจิ่วใช้คาถาชำระล้าง ทำให้ปลอกหมอนของนางแห้ง
ครั้นยื่นมือไปเช็ดน้ำตาตรงหางตาของจิ้งจอกน้อย คล้ายว่าจิ้งจอกน้อยจะสัมผัสถึงไออุ่นจากนิ้วกู้ซีจิ่วได้ จึงพลิกตัวกอดมือเธอไว้ ถูไถใบหน้าเล็กๆ เข้ากับมือของกู้ซีจิ่วดั่งลูกแมวน้อย จากนั้นก็เอามือเธอไปกอดแนบอก ราวกับได้กอดอะไรสักอย่างที่พึ่งพาได้ แอบอิงแขนนเธอไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยอีกกู้ซีจิ่วรู้สึกว่าทุกครั้งที่ตนอยู่กับจิ้งจอกน้อยผู้นี้ สัญชาตญาณความเป็นแม่จะลุกโชนขึ้นมา…
เธอยื่นมือทัดผมจิ้งจอกน้อยไปไว้หลังหู จิ้งจอกน้อยครางงึมงำอยู่ในลำคอ พึมพำออกมาประโยคหนึ่ง “ไม่เอานะ…อย่าไม่ต้องการข้าเลย…ข้าเป็นเด็กดีมาก…”
กู้ซีจิ่วลูบดวงหน้าเล็กๆ ของจิ้งจอกน้อย “เด็กดี ไม่มีผู้ใดไม่ต้องการเจ้าหรอก ใครกล้ารังแกเจ้า ข้าจะเชือดมันแทนเจ้าเอง!”
ต่อให้อยู่ในห้วงนิทราจิ้งจอกน้อยก็ยังคงเชื่อฟังยิ่งนัก “อื้อ…”
ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังจะเคลิ้มหลับไป จิ้งจอกน้อยที่อยู่ข้างกายก็กระสับกระส่ายอีกครั้ง ร้องไห้ขึ้นมาอีก…
ชัดเจนยิ่งนัก นางถูกความฝันแย่ๆ อันใดตอแยเข้าอีกแล้ว…
ไม่ได้พบหน้ากันแปดปี จากจิ้งจอกน้อยที่เคยช่างจ้อกลายเป็นจิ้งจอกน้อยเจ้าน้ำตาไปเสียแล้ว กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยื่นนิ้วหนึ่งไปแตะที่หว่างคิ้วของนางเสียเลย
ตอนนี้พลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วคือขั้นสิบ เคยเรียนรู้วิชาเข้าฝันได้แล้ว เธออยากเห็นว่าในความฝันที่จิ้งจอกน้อยที่ติดอยู่มีอะไรกันแน่! สรุปแล้วฝันร้ายที่จิ้งจอกน้อยสลัดทิ้งไปไม่ได้คือเรื่องใด….
ถึงแม้ความฝันของจิ้งจอกน้อยจะกระจัดกระจายไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ทว่าแจ่มชัดยิ่งนัก
และวิชาเข้าฝันที่กู้ซีจิ่วใช่มิใช่เข้ามาในความฝันของนางได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังอ่านความทรงจำบางส่วนของนางได้ด้วย…
และสิ่งที่ปรากฏขึ้นในความฝันของจิ้งจอกน้อยมากที่สุดก็คือเยี่ยนเฉิน…
เยี่ยนเฉินพากเพียรฝึกฝนวรยุทธ์ยิ่งนัก ในความฝันของจิ้งจอกน้อย เยี่ยนเฉินฝึกวรยุทธ์แทบทุกวัน ส่วนจิ้งจอกน้อยกลับชอบเล่นสนุกยิ่งนัก การหายตัวไปของกู้ซีจิ่วส่งผลกระทบต่อจิ้งจอกน้อยอย่างใหญ่หลวง นางค่อนข้างเสียศูนย์ อยากให้เยี่ยนเฉินอยู่เป็นเพื่อนนาง…
แต่ทุกครั้งที่นางไปหาเยี่ยนเฉิน เยี่ยนเฉินยุ่งอยู่กับการฝึกฝน ระหว่างที่ฝึกฝนอยู่เมื่อเห็นจิ้งจอกน้อยที่ทำตาแป๋วเฝ้าอยู่ด้านข้างเข้า เขาก็มักจะเรียกนางเข้าไปฝึกฝนด้วยกัน เยี่ยนเฉินสามารถนั่งอยู่ตลอดได้ถึงสองวันเต็ม ไม่สนใจจิ้งจอกน้อยอย่างเห็นได้ชัด จิ้งจอกน้อยฝึกฝนกับเขาอยู่สองสามครั้ง แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น นั่งติดกันเป็นเลาสองวันในที่สุดนางก็ค่อนข้างนั่งไม่ติดแล้ว เลี่ยงไม่ได้ที่จะขยับตัวขยุกขยิกบ้าง
ทุกครั้งที่เยี่ยนเฉินลืมตามาเห็นท่าทางไม่เอาถ่านเช่นนี้ของนางเข้า มักจะสั่งสอนนางประโยคสองประโยคเป็นประจำ ดุจนนางปวดหัว ดุจนนางลนลานไม่เป็นสุข
ยามที่เยี่ยนเฉินเข้มงวดจะเหมือนอาจารย์ยิ่งนัก ทำให้จิ้งจอกน้อยไม่กล้าโต้แย้ง แต่ในใจกลับคับข้องหมองใจอยู่บ้าง และความคับข้องหมองใจนี้ก็ทวีขึ้นตามจำนวนครั้งที่ถูกสั่งสอน สะสมขึ้นไปเรื่อยๆ นางรู้สึกอยู่เสมอว่าตนคล้ายจะเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ของผู้อื่นอยู่บ้าง และแทบทุกครั้งที่มาล้วนถูกเขาอบรมสั่งสอน นี่ทำให้จิ้งจอกน้อยค่อนข้างสลดหดหู่ ในที่สุดก็มีวันหนึ่งที่นางตัดสินใจโมโหกลับบ้าง ฝืนอดกลั้นไม่ไปหาเขาอยู่ไม่หลายวัน
ฝ่ายเยี่ยนเฉินก็คล้ายจะไม่สังเกตเลย นางไม่ไปหาเขา เขาก็ไม่ปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ไม่มานางเลยสักแวบ
จิ้งจอกน้อยจึงหดหู่ยิ่งกว่าเดิม อึดอัดคับข้องอยู่เช่นนี้จนถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์
——————————————————————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น