คัมภีร์วิถีเซียน 1455-1456
ตอนที่ 1455 มู่ชิงกับมังกรโลหิต
การแสดงออกของหานลี่ยังคงทำให้พวกเหลยหลันทั้งสามคนตกตะลึงยกใหญ่ ต่อหน้าศัตรูสองฝ่ายที่ดูแข็งแกร่งสุดๆ คิดไม่ถึงว่าฝ่ายหนึ่งจะถูกสังหารอย่างง่ายดาย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งถูกทำให้ตื่นตระหนกจนหนีไป ท้ายที่สุดก็พ้นภยันตรายตรงหน้านี้ได้
ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังสบายใจกันอยู่นั้น ไม่ได้รู้ว่าหุ่นเชิดโลหิตสามตัวที่หานลี่สังหารไปนั้นมีพลังระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นต่ำ ไม่เช่นนั้นสามคนนี้คงได้ตื่นตระหนกตกใจยิ่งกว่าเดิมแล้ว
ดังนั้น เมื่อเห็นว่ารอบๆ ไม่มีปีศาจปรากฏออกมาอีกแล้ว ในขณะเดียวกัน หานลี่ได้ช่วยเหลืออสูรวิญญาณพัฒนาระดับจนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว พวกเหลยหลันทั้งสามจึงนั่งขัดสมาธิอยู่ในรถวิญญาณ ฟื้นฟูพลังปราณที่สูญเสียไปอย่างเงียบๆ
หนึ่งชั่วยามต่อมา บนพื้นดินพลันเปล่งแสงสีขาวอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามกึกก้องราวกับมังกรคำรามดังออกมาคราหนึ่ง
หานลี่ที่กำลังยื่นมือข้างหนึ่งเข้าไปในแสงสีขาวนั้น สีหน้าดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ครั้นโยกตัวคราหนึ่ง เงาลวงตาก็พุ่งถาโถมออกมาอย่างต่อเนื่อง
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เงาสีทองร่างหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากแสงสีขาว หลังจากหมุนเคว้งรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นเงาอสูรร่างยักษ์ลำตัวยาวสิบจั้งเศษตนหนึ่งท่ามกลางดวงแสงเจิดจ้า
ทั่วทั้งเรือนกายเป็นสีทองแวววาว มีเกล็ดปกคลุมตามร่างกาย ที่แท้ก็คืออสูรกิเลนสีทองตนหนึ่ง
แม้ว่ากิเลนตัวนี้จะเป็นแค่เงาลวงตาภาพหนึ่ง แต่เมื่อมันเงยหน้าและแผดเสียงคำรามอันน่าเกรงขามดังลั่น พลังอำนาจอันน่าสะพรึงก็พุ่งทยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แม้แต่หานลี่ที่เพิ่งจะยืนได้มั่นคงก็ยังต้องถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าวพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าเงาลวงตานี้ก็เป็นเหมือนกับดอกราตรีที่บานชั่วแวบเดียว ค่อยๆ สลายหายไปอย่างช้าๆ
ในเวลาเดียวกับที่แสงสีขาวดับวูบ อสูรตัวน้อยก็ปรากฏกายออกมา
อสูรกิเลนเสือดาวในตอนนี้ รูปร่างของมันไม่ต่างจากเมื่อก่อนมากนัก แต่ลวดลายบนเนื้อหนังของมันกลับมีสีทองปรากฏเป็นเส้นๆ ขณะเดียวกัน เมื่อมันลืมตาทั้งสองขึ้น รูม่านตาก็เปลี่ยนเป็นสีเงินแวววาว
เงาลวงตาเปล่งแสงวูบหนึ่ง อสูรกิเลนเสือดาวก็หายวับไปจากที่เดิมอย่างฉับพลัน
เกือบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่รู้สึกว่าที่หน้าอกตัวเองหนักขึ้น มีสิ่งที่เป็นขนปุกปุยโผล่ออกมา
เขาก้มหน้าดู ที่แท้ก็เป็นเจ้าอสูรตัวน้อยที่พัฒนาระดับกระโจนเข้ามาซุกร่างของตนนั่นเอง
อสูรตนนี้เบิกดวงตาอันแปลกประหลาดขึ้น พลางแลบลิ้นสีชมพูออกมา ใช้แรงเลียที่หลังมือของหานลี่สองสามทีด้วยท่าทางสนิทสนมสุดๆ
หานลี่ใช้จิตสัมผัสตรวจดูภายในร่างของอสูรตัวน้อยโดยไม่พูดจา ครู่ต่อมา บนใบหน้าก็เผยสีหน้าของความดีอกดีใจออกมา
อสูรตัวน้อยพัฒนาระดับสำเร็จดังคาด มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเทพแปลงแล้ว
ด้วยอิทธิฤทธิ์โดยกำเนิดและสายเลือดกิเลนในตัวของอสูรตนนี้ เหนือกว่าอสูรชนิดอื่นๆ ในระดับเดียวกันอย่างลิบลับ ภายภาคหน้าน่าจะสามารถกลายเป็นผู้ช่วยที่ขาดไม่ได้
อสูรตัวน้อยหาวหวอดในอ้อมอกหานลี่ ท่าทางดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด การพัฒนาระดับเมื่อครู่ทำให้ร่างกายของมันรับไม่ไหว จึงต้องรีบฟื้นฟูพลังปราณที่สูญเสียไป
หานลี่เห็นเช่นนี้จึงพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ระหว่างนิ้วพลันปรากฏยาลูกกลอนสีเหลืองอมแดงออกมาเม็ดหนึ่ง พอยัดเข้าไปในปากของอสูรตัวน้อยเสร็จ ก็ใช้มือตบๆ ร่างของอสูรตัวน้อยเบาๆ
แสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างของอสูรตัวน้อยหายไปอย่างไร้ร่องรอย มันถูกเก็บเข้าไปในกำไลเก็บของ ตอนนี้กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ข้างใน
สามคนที่อยู่บนรถวิญญาณได้เห็นเงาลวงตากิเลนก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย พลันหันมาสบตากันด้วยจิตใต้สำนึก ต่างก็เห็นอาการตกตะลึงในดวงตาของอีกฝ่าย
แม้ว่าเผ่าวิญญาณเหาะเหินจะเลื่อมใสแค่ระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของเผ่าวิหคเท่านั้น แต่ที่เหมือนกับกิเลนซึ่งได้รับชื่อเสียงเลื่องชื่อลือนามจากเผ่าต่างๆ ในแดนวิญญาณมาช้านานว่ามีพลังระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้อันเกรียงไกรเช่นนี้ พวกเขาจะไม่รู้จักได้อย่างไร
อสูรวิญญาณของหานลี่ยังมีสายเลือดของกิเลนวิญญาณเที่ยงแท้อยู่ เรื่องนี้ย่อมทำให้แต่ละคนตกตะลึงพรึงเพริดอีกครั้ง
ตอนนี้ร่างของหานลี่พลันพลิ้วไหว กลายเป็นรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า วนรอบอาณาเขตหลายร้อยจั้งรอบหนึ่ง ลำแสงหลากหลายสีสันก็พุ่งทยานออกจากพื้นดิน ก่อนที่จะหายวับเข้าไปในรุ้งสีเขียว
ธงเขตอาคมและจานเขตอาคมถูกเขาเก็บเข้าไปในแขนเสื้อใหญ่ๆ ทั้งหมด
เสาแสงสีแดงฉานสิบกว่าต้นและเขตอาคมบนพื้นดินก็สลายหายไปในทันที ทุกอย่างฟื้นคืนกลับมาเป็นสภาพเดิม
“พวกเรามีเวลาไม่มาก จะต้องเข้าสู่ชั้นที่สามโดยเร็วที่สุด” แสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างของหานลี่พลันปรากฏภายในรถเหาะ พูดกับพวกเหลยหลันทั้งสามด้วยท่าทางสงบนิ่ง
พวกไป๋ปี้และเหลยหลันย่อมไม่มีข้อคิดอื่นใด จึงพากันพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
ดังนั้น หานลี่เพียงแค่ใช้ปลายเท้าแตะเบาๆ ลงบนรถวิญญาณสามเหลี่ยม ก็กลายเป็นลำแสงสีขาวพวยพุ่งออกไป หลังจากพุ่งฉวัดเฉวียนไม่กี่หน ภาพของรถเหาะก็ค่อยๆ จางลงและเลือนหายไปในขอบฟ้าอันมืดมิดในที่สุด
ชั้นลึกแห่งหนึ่งในเหวพสุธา ช่วงเวลาเดียวกับตอนที่หุ่นเชิดโลหิตทั้งสามถูกเพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณเผามอดจนกลายเป็นเถ้าธุลี ชายชุดโลหิตที่กำลังนอนหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องลับบริเวณกลางเขา ครู่ต่อมาดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง พลันลืมตาขึ้นแล้วอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความสงสัย
“เอ๋! หุ่นเชิดโลหิตถูกทำลายแล้ว แม้แต่จิตสัมผัสทั้งสามสายก็หนีออกมาไม่ได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าจะมีผู้อื่นสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องดีของผู้เฒ่า?” ชายชุดโลหิตพูดด้วยสีหน้าเฉียบขาด พลันปรากฏท่าทางดุร้ายออกมา
“ช่างเถอะ ก็แค่หุ่นเชิดโลหิตสามตัวเท่านั้นเอง จะส่งหุ่นเชิดตัวอื่นไปอีกก็เกรงว่าจะไม่ทันแล้ว กับระดับแม่ทัพวิญญาณกระจอกๆ แค่คนเดียว ไม่ถึงกับต้องให้ผู้เฒ่าไปเยือนชั้นบนด้วยตัวเองหรอก” ชายชุดโลหิตเอามือลูบๆ คาง พลางบ่นพึมพำ
ผ่านไปนานสองนาน เขาจึงค่อยสั่นแขนเสื้อคราหนึ่ง ก้อนกลมที่ใช้ไปเมื่อครั้งก่อนพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง หลังจากหมุนโคจรรอบหนึ่ง ก็ลอยคว้างอยู่เบื้องหน้า
มือหนึ่งร่ายคาถา ส่วนอีกมีหนึ่งแตะไปที่ก้อนกลมหนึ่งที แสงโลหิตจากไข่มุกพลันขยายใหญ่ขึ้น พร้อมส่งเสียงดังหึ่งๆ ออกมาเบาๆ
ครู่ต่อมา เสียงพูดอันเยือกเย็นของหญิงสาวผู้หนึ่งดังออกขึ้น “ตี้เซวี่ย เจ้าหาข้ามีธุระอะไร?” เจ้าของเสียงพูดกับชายชุดโลหิตอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“เหอะๆ ผู้เฒ่าอยากจะทำข้อแลกเปลี่ยนเล็กน้อยกับสหายมู่ชิง” ชายชุดโลหิตตอบกลับพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“ข้อแลกเปลี่ยนอะไร?” หญิงสาวรู้สึกคาดไม่ถึงอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าน้อยแค่อยากยืมมังกรโลหิตระดับผู้บัญชาวิญญาณขั้นสูงตัวนั้นของแม่นางสักหน่อย” ชายชุดโลหิตพูดอย่างไม่หนักหนาอะไร
“มังกรโลหิต? เจ้าจะยืมพวกมันไปทำไม ข้ายังต้องให้พวกมันช่วยหาอาหารโลหิตที่ใช้เซ่นไหว้ให้ข้าอยู่” หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจ
“ข้าจำเป็นต้องใช้พวกมันสังหารชาววิญญาณเหาะเหินระดับแม่ทัพวิญญาณสองสามคน พวกเขาอยู่ที่ชั้นสอง หากข้าจะลงมือเองก็เห็นทีจะไม่ทันแล้ว อีกทั้งที่นี่ยังไม่มีอาคมส่งตัวที่สามารถส่งไปถึงที่นั่นโดยตรงได้ ดังนั้นจึงต้องไหว้วานแม่นางแล้ว” ชายชุดโลหิตกล่าวออกมาเช่นนี้
“หึ ระดับแม่ทัพวิญญาณสองสามคนค่อยคู่ควรที่จะใช้มังกรโลหิตหน่อย เอาเถอะ ข้าไม่สนว่าเจ้ามีแผนมุ่งร้ายอะไร คิดจะยืมมังกรโลหิตก็ได้ แต่เจ้าต้องส่งพฤกษาซ่อนวิญญาณมาให้ข้าท่อนหนึ่งถึงจะได้ ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ต้องมาคุยกันต่อหน้า!” หญิงสาวเงียบขรึมไปพักหนึ่ง จึงค่อยตอบกลับอย่างเรียบๆ
“พฤกษาซ่อนวิญญาณ! ได้ ไม่มีปัญหา แต่มีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง จิตวิญญาณบริสุทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินพวกนี้ข้าจำเป็นต้องใช้มัน หลังจากฆ่าพวกเขาแล้ว ให้มังกรโลหิตนำมาให้ข้า” ชายชุดโลหิตพูดอย่างไม่กระโตกกระตาก
“แค่นี้เรื่องเล็ก เจ้านำตำแหน่งและรูปร่างหน้าตาของคนพวกนั้นส่งมาให้ข้า” หญิงสาวรับปาก พลันเสนอความต้องการด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมาเล็กน้อย
“ย่อมได้อยู่แล้ว สหายมู่รอสักประเดี๋ยว” ชายชุดโลหิตยื่นนิ้วหนึ่งออกมาแตะบนหยดเลือด พลางหลับตาลงอย่างนิ่มนวล ส่งมอบของบางอย่างให้ผ่านทางจิตสัมผัส
ผ่านไปพักหนึ่ง ชายชุดโลหิตงอนิ้วกลับ พลันลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้น “ที่ข้าส่งให้เจ้าคือตำแหน่งที่พวกนั้นปรากฏตัวเมื่อไม่นานมานี้ เพียงแค่มังกรโลหิตไล่ตามทันก็น่าจะหาพวกเขาเจอง่ายมาก ส่วนข้าจะรอฟังข่าวดีจากสหาย”
“ตราบใดที่เป็นระดับแม่ทัพวิญญาณจริงก็คงไม่เปลืองเวลาสักเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าหากสถานการณ์กับสิ่งที่เจ้าพูดไม่ตรงกันละก็…” หญิงสาวหัวเราะเยาะอย่างมีนัยแอบแฝง
“หากไม่ตรงตามที่ว่ามา แม่นางย่อมสามารถยกเลิกข้อแลกเปลี่ยนนี้ได้ทุกเมื่อ” ชายชุดโลหิตยิ้มจางๆ คราหนึ่งแล้วตอบ
ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเขา แม้แต่ระดับแม่ทัพวิญญาณแค่ไม่กี่คน ย่อมไม่มีทางดูพลังยุทธ์ผิดแน่นอน
“สหายยืนยันเช่นนี้ก็ดี เรื่องนี้ก็ถือว่าทำการตกลงแล้ว ข้าจะส่งมังกรโลหิตไปยังชั้นสองโดยตรง สามวันให้หลัง น่าจะมีข่าวคราวส่งกลับมา” หญิงสาวพูดอย่างสงบนิ่ง แสงโลหิตบนก้อนกลมพลันสว่างวาบ การติดต่อก็ถูกตัดขาดลง
ชายชุดโลหิตเห็นดังนี้ก็ไม่ได้โกรธ ใบหน้ากลับเผยความพึงพอใจออกมา
หลังจากที่เขาเก็บก้อนกลมเสร็จ ก็กล่าวพึมพำขึ้นมาคนเดียว “ลงมือด้วยมังกรโลหิตระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นสูง น่าจะไม่มีทางพลาดอย่างเด็ดขาด หากยังลงมือไม่สำเร็จ นั่นก็หมายความว่าอาวุโสของเผ่าวิญญาณเหาะเหินพวกนั้นลอบเข้ามาในเหวพสุธาจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องรับมืออย่างระมัดระวัง จะเสียการใหญ่ไม่ได้”
ขณะพูดอยู่ ชายชุดโลหิตก็ขยับตัวพิงเก้าอี้ ไม่นานก็ส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ
ในตอนนี้เอง เขาได้เข้าสู่สภาวะนิทราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
…
ที่ชั้นสามของเหวพสุธา ภายในวิหารใหญ่ที่สร้างจากไม้ดำจำนวนนับไม่ถ้วนแห่งหนึ่ง เงาร่างสีดำเลือนรางร่างหนึ่งกำลังนั่งเท้าคางไม่ขยับเขยื้อนอยู่ในดอกไม้ใหญ่สีทองขนาดจั้งกว่า
และเบื้องล่างซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก กลับมีเงาดำร่างเตี้ยสูงไม่เท่ากันคุกเข่าเรียงกันเป็นสองแถว ดูแล้วน่าจะมีราวๆ สิบห้าถึงสิบหกร่าง
ผ่านไปนานสองนาน ทันใดนั้นเงาดำก็โบกมือข้างหนึ่ง ลำแสงสีเขียวมรกตสายหนึ่งพวยพุ่งออกมา แล้วจมหายเข้าไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
เพียงชั่วครู่ต่อมา จู่ๆ ภายนอกวิหารใหญ่ก็มีเสียงฟ้าร้องดังสะเทือนเลือนลั่น ตามดวยแสงโลหิตสว่างวาบที่นอกประตู หมอกโลหิตสลัวๆ พลันพุ่งเข้ามาในวิหารจากภายนอก
หมอกโลหิตพลันกระจายออก ปีศาจร่างคนหัวมังกรตนหนึ่งปรากฏที่ใจกลางวิหารใหญ่ โค้งคำนับแสดงความเคารพเงาดำที่นั่งอยู่บนดอกไม้สีทองด้วยท่าทางเคารพนบน้อม พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ไม่ทราบว่านายท่านเรียกเซวี่ยตู๋มีเรื่องสำคัญอันใด?”
“เซวี่ยตู๋ เจ้าหยุดเรื่องรวบรวมอาหารโลหิตไว้ชั่วคราวก่อน แล้วไปที่ชั้นสองซะ” เสียงพูดเย็นชาของหญิงสาวดังมาจากข้างในเงาสีดำ ที่แท้ก็คือ “มู่ชิง” ที่เคยเจรจากับตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยในก้อนกลมผู้นั้น
“นายท่านโปรดกำชับ!” ปีศาจหน้ามังกรตนนี้ ศีรษะของมันเป็นสีแดงสด ขณะที่กำลังกลอกตาก็แผ่ไอแห่งความโหดเ**้ยมอย่างบอกไม่ถูกออกมา ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเงาดำนี้กลับดูนอบน้อมผิดปกติ
“ที่ชั้นสองมีเผ่าวิญญาณเหาะเหินอยู่สองสามคน เจ้าส่งมันไปฆ่าพวกเขาทิ้งซะ แล้วนำจิตวิญญาณบริสุทธิ์ส่งมอบให้ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยโดยตรง นี่คือรูปร่างหน้าตาและตำแหน่งที่พวกเขาปรากฏตัวครั้งสุดท้าย ระวังให้ดี เผ่าวิญญาณเหาะเหินพวกนี้อาจจะมีความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง หากมีตรงไหนผิดปกติ ให้กลับมาบอกข้าในทันที รีบไปรีบกลับล่ะ!” หญิงสาวชูมือแล้วขว้างกระบอกไม้ไผ่สีดำออกไปกระบอกหนึ่ง พลางพูดอย่างราบเรียบ
“น้อมรับคำสั่ง!” ปีศาจหัวมังกรยื่นมือรับกระบอกไม้ไผ่ พลางพูดขานรับ ก่อนที่จะขยับร่างอย่างฉับพลัน กลายเป็นหมอกโลหิตพุ่งทะยานออกไป เพียงแค่พุ่งปราดเปรียวไม่กี่หนก็หายไปจากนอกประตูวิหารอย่างไร้ร่องรอย
“เอาล่ะ จากนี้รายงานความคืบหน้าการจับอาหารโลหิตในแต่ละชั้นให้ฟังหน่อย การเซ่นไหว้ครั้งต่อไปเหลือเวลาไม่เท่าไหร่แล้ว เฮยจั๋ว ถึงตาเจ้าแล้ว” หญิงสาวจ้องเขม็งไปที่ประตูวิหารครู่หนึ่ง จึงค่อยดึงสายตากลับมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“อสรพิษเวหาสี่ปีกและแมงป่องเมฆาเรืองรองจากชั้นสี่ซึ่งเป็นฝูงอาหารโลหิตที่ใหญ่ที่สุดล้วนจับมาหมดแล้ว เหลือแค่หนูสามตาไม่กี่ฝูงที่หนีเข้าไปในเขาอีกาดำ จึงจับไม่ได้ชั่วคราวขอรับ…” เงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนขึ้น แล้วเริ่มอธิบายเป็นอย่างๆ
ตอนที่ 1456 โลหิตอัสนีดาวเหนือกับเพลิ...
ชั้นสองของเหวพสุธา บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั้งสี่คน บนหลังมีปีกสีขาวอ่อน เส้นผมสยาย กำลังเดินทางพร้อมต่อสู้กับฝูงแมงป่องพิษสีดำร่างยาวหลายฉื่อ
แม้ว่าแมงป่องเหล่านี้จะไม่มีปีก ทว่าแต่ละตัวยังสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ด้วยการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วผิดปกติ บวกกับความไร้เทียมทานของกรดเหลวที่พ่นออกจากปากและพิษประหลาดที่หางตะขอของพวกมัน ทำให้ชั่วขณะหนึ่ง ชาววิญญาณเหาะเหินทั้งสี่รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า ยังหาทางหลุดพ้นจากการพัวพันของแมงป่องดำเหล่านี้ในทันทีไม่ได้จริงๆ
กว่าครึ่งชั่วยามต่อมา หลังจากที่ชาววิญญาณเหาะเหินคนหนึ่งตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว สำแดงอิทธิฤทธิ์อันร้ายกาจสุดๆ ชนิดหนึ่งอย่างไม่เสียดายพลังยุทธ์ ปล่อยลูกไฟสีครามแวววาวออกมาทีละลูกใส่แมงป่องดำสามสี่ตัวที่ล้อมพวกเขาจนกลายเป็นเถ้าธุลีทั้งหมด ในที่สุดแมงป่องดำที่เหลืออยู่ก็หนีไปอย่างไม่ยินยอม
ชาววิญญาณเหาะเหินทั้งสี่จึงค่อยถอนหายใจยาวออกมาและรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ไม่ทันรอให้พวกเขาได้เอ่ยปากพูดคุยกัน ทันใดนั้น ไกลออกไปบนท้องฟ้า มีแสงวิญญาณเปล่งประกายวูบหนึ่ง หมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งพลันม้วนเป็นเกลียวพุ่งมาจากขอบฟ้า
หมอกโลหิตนี้ไร้สุ้มเสียง เคลื่อนตัวรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ราวกับภูตพราย หลังจากพลิ้วไหวไม่กี่ที ก็มาปรากฏที่บริเวณใกล้เคียงของพวกชาววิญญาณเหาะเหินทั้งสี่คนและวนรอบพวกเขาอยู่หลายรอบ
ด้วยความตื่นตกใจ บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั้งสี่ย่อมต้องตั้งท่าเตรียมพร้อมในทันที
ภายในหมอกโลหิตมีเสียงคนแค่นเสียงคราหนึ่ง ปรากฏภาพลางๆ ของดวงตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง หลังจากที่กวาดมองมาที่ร่างของชาววิญญาณเหาะเหินทั้งสี่ด้วยสายตาโหดเ**้ยม ก็เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงแหบแห้งที่ชวนให้ชาววิญญาณเหาะเหินรู้สึกหวาดกลัวเป็นการใหญ่
“แม้ว่าจะไม่ใช่เจ้าพวกนั้น! แต่ในเมื่อถูกข้าพบแล้ว เช่นนั้นก็ยอมรับความซวยเสียเถิด”
เพิ่งกล่าวคำนี้จบ ภายในหมอกโลหิตก็แผดเสียงฟ้าร้องดัง ทันใดนั้น ท้องฟ้าในบริเวณใกล้เคียงก็กลายเป็นสีแดงโลหิตทั้งผืน เมฆโลหิตพลันปรากฏออกมาอย่างน่าประหลาด เคลื่อนตัวไม่หยุดนิ่ง
“แย่แล้ว นั่นมันโลหิตอัสนีดาวเหนือ หนีเร็ว!” หนึ่งในชาววิญญาณเหาะเหินทั้งสี่เห็นฉากนี้ สีหน้าพลันซีดเผือดอย่างถึงที่สุด ปากพลางส่งเสียงร้องดังลั่น ทั้งร่างกลายเป็นลำแสงสีเหลืองสายหนึ่ง หนีไปยังทิศทางหนึ่งอย่างลุกลี้ลุกลน
บุตรศักดิ์สิทธิ์สามคนที่เหลือได้ยินคำว่า “โลหิตอัสนีดาวเหนือ” ก็พากันตกใจกลัวจนขวัญกระเจิง พลันเปล่งแสงวิญญาณ พากันหันหลังกลับแล้วขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีเช่นเดียวกัน
ทว่าในชั่วพริบตา กลางอากาศเกิดเสียงอัสนีบาตขึ้น สายฟ้าฟาดสีแดงโลหิตสี่เส้นปรากฏออกมาจากก้อนเมฆ ก่อนที่จะบิดงอแล้วหายไปอย่างไร้สาเหตุ ในเวลาต่อมา โลหิตอัสนีทั้งสี่เส้นก็มาปรากฏเหนือลำแสงหลีกหนีทั้งสี่ที่กำลังหนีอยู่ ผ่าลงมาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เสียงร้องอันน่าเวทนาดังออกมาสี่เสียง ลำแสงหลีกหนีทั้งสี่สายพลันแตกสลายในชั่วพริบตาที่โลหิตอัสนีต้องตัว
ร่างของบุตรศักดิ์สิทธิ์เผ่าวิญญาณเหาะเหินทั้งสี่ดิ้นพล่านอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางแสงอัสนีอยู่สองสามหน แล้วกลายเป็นเถ้าธุลีในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแสงวิญญาณคุ้มกันหรือสมบัติคุ้มกายล้วนแต่ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังมาจากภายในหมอกโลหิต ก่อนที่จะเปล่งแสงโลหิตเจิดจ้าแล้วพวยพุ่งจากไปในอากาศอันไกลโพ้นราวกับดาวตกสีโลหิต เพียงชั่วครู่เดียวก็ไม่เห็นร่องรอยแล้ว
…
ณ ที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าไกลออกไปกี่หมื่นลี้ หานลี่ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง มองดูชาววิญญาณเหาะเหินเจ็ดคนที่จู่ๆ ก็เข้ามาห้อมล้อมพวกเขาตรงหน้าด้วยความมุ่งร้าย พลางเอ่ยถามอย่างราบเรียบ “สหายทั้งหลายไม่ได้ตามหาผลเพลิงอเวจี แล้วขวางพวกเราไม่กี่คนไว้ทำไม!”
“ดูเหมือนเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเราจะไม่มีความแค้นอะไรกับเผ่าของเจ้ากระมัง” ไป๋ปี้ที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม แต่ท่าทีกลับดูเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด
“หึๆ ที่จริงแล้วเผ่าวิหคสวรรค์ก็ไม่ได้มีข้อทะเลาะเบาะแว้งใดๆ กับเผ่าวิญญาณทมิฬของพวกเราหรอก แต่ก่อนที่พวกสาขาที่แข็งแกร่งไม่กี่คนของพวกเผ่าแดงสดจะออกได้ทาง ได้แอบติดประกาศรางวัลให้บุตรสวรรค์สาขาอื่นๆ ของพวกเราไว้ว่า เพียงแค่สามารถทำให้พวกเจ้าไม่กี่คนอยู่ในเหวพิภพนี้ไปตลอดกาล พวกเราก็จะได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย หากไม่พบเจอพวกเราก็แล้วไป พวกเราก็ไม่ตั้งใจไปหาพวกเจ้าหรอก แต่ในเมื่อเจอกันแล้ว เรื่องที่ถือโอกาสทำตามความสะดวกเช่นนี้ พวกเราเผ่าวิญญาณทมิฬไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน” ชาววิญญาณทมิฬคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นปีกหรือผิวหนังก็ล้วนเป็นสีดำสนิท กำลังยืนกอดอกพูดกับหานลี่ด้วยท่าทางยโสโอหัง
ชาววิญญาณทมิฬคนอื่นๆ ที่ล้อมพวกหานลี่ทั้งสี่คนอยู่ ต่างก็ยืนยันรูปร่างลักษณะของพวกเขาด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์
เรื่องนี้ก็ไม่แปลก แม้ว้าเผ่าวิญญาณทมิฬจะไม่ได้เป็นสาขาอันดับต้นๆ ในเจ็ดสิบสองสาขา แต่ก็จัดว่าอยู่ในอันดับที่สูง เหนือกว่าเผ่าวิหคสวรรค์ซึ่งเป็นสาขาอ่อนแอที่แทบจะอยู่รั้งท้ายอย่างลิบลับ
“ประกาศให้รางวัล?” หานลี่ขมวดคิ้วคราหนึ่ง ค่อนข้างนอกเหนือจากความคาดหมายของเขา
“ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว พวกเจ้ามาถึงใต้พิภพจะมาทำเป็นเลอะเลือนไม่ได้แล้ว ตอนนี้ก็ไปตายอย่างสงบได้แล้ว” ชาววิญญาณทมิฬที่นำหน้าไม่ยอมพูดอะไรมาก ใบหน้าพลันปรากฏจิตสังหาร พลางโบกมือข้างหนึ่ง
ชาววิญญาณทมิฬที่อยู่ทิศทางอื่นอ้าปากพร้อมกันโดยไม่พูดจา พลันพ่นขนนกสีดำออกมาคนละหนึ่งก้าน
เริ่มแรกยังมีขนาดแค่ประมาณชุ่นกว่า แต่เมื่อถูสองมือด้วยกัน ชั่วพริบตาก็มีขนาดฉื่อกว่าขึ้นมา พื้นผิวเปล่งแสงสีดำสลัวๆ มีอักขระพลิกตัวไปมา ดูแล้วไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป
ชาววิญญาณทมิฬหกคนสำแดงอิทธิฤทธิ์ของขนนกในมือใส่พวกหานลี่พร้อมกัน เปลวเพลิงสีดำแต่ละผืนพลันพวยพุ่งออกจากขนนกอย่างน่าประหลาด ก่อนที่จะโบกพัดแล้วฟุ้งกระจายไปทั่วทุกสารทิศ
“ตูม!” เพลิงสีดำก่อตัวเป็นม่านเพลิงมหึมาผืนหนึ่ง ปิดล้อมทั้งสี่คนไว้ภายใน
ชาววิญญาณทมิฬพวกนี้ลงมืออย่างไม่ปรานีแม้แต่น้อย คิดจะสังหารเผ่าวิหคสวรรค์ในคราเดียว สำหรับฉินเสี่ยวที่เป็นเผ่าราตรีเขียว แม้ว่าจะไม่ใช่คนของเผ่าวิหคสวรรค์ แต่ก็ไม่มีเจตนาที่จะละเว้นอย่างเห็นได้ชัด
เหลยหลันเห็นเพลิงนี้ หน้าก็เปลี่ยนสียกใหญ่ บนร่างพลันเกิดประจุไฟฟ้าสีเงินขึ้น ทันใดนั้นก็ก่อตัวเป็นม่านป้องกันหนึ่งชั้น คุ้มกันร่างของตัวเองไว้ ตามด้วยน้ำเต้าสีทองที่ต้นคอสั่นระริก พลันปล่อยเส้นไหมสายฟ้าเรียวเล็กสีเขียวออกมา ประจุไฟฟ้าก็กลายเป็นสีม่วงในชั่วพริบตา อานุภาพน่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หญิงสาวผู้นี้จึงค่อยถ่ายทอดเสียงกับหานลี่ด้วยความรีบร้อน “พี่หาน นี่ก็คือเพลิงวิญญาณอีกาดำของเผ่าวิญญาณทมิฬ สามารถดูดซับพลังยุทธ์ของพวกเราได้ น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง อย่าให้พวกมันแตะถูกตัวเป็นอันขาด”
ไป๋ปี้กับฉินเสี่ยวต่างก็เผยสีหน้าหวาดผวาออกมา รีบกระวีกระวาดร่ายคาถาด้วยความมือไม้อ่อนทำอะไรไม่ถูก
คนหนึ่งปล่อยลำแสงสีทองหมื่นสาย คนหนึ่งเรียกป้ายหยกสีเขียวแก่ออกมา ปล่อยแสงสีเขียวออกมาเป็นเส้นๆ พยายามต้านทานการจู่โจมของเพลิงสีดำอย่างสุดชีวิต
“เพลิงวิญญาณอีกาทอง! น่าสนุกดีนี่!” หานลี่ยิ้ม แต่ก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ บนร่างปรากฏเพลิงแสงห้าสีออกมาผืนหนึ่ง แม้ว่าเพลิงสีดำเหล่านั้นจะมีอานุภาพยิ่งใหญ่ แต่เมื่อสัมผัสถูกเพลิงแสงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะส่งเสียงฟ้าร้องทุ้มต่ำสะเทือนเลือนลั่น ภายใต้สองสิ่งที่สัมผัสถูกกัน พลันเกิดอาการตอบสนองอย่างรุนแรงผิดปกติ ราวกับน้ำแข็งที่ร่วงลงไปในน้ำมันเดือด
เมื่อเห็นฉากนี้ ชาววิญญาณทมิฬพวกนั้นก็ตกตะลึง
ทว่าชาววิญญาณทมิฬที่นำหน้านั้น รูม่านตาหดเล็กลง พลันร้องเสียงดังอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เพิ่มอานุภาพเพลิงวิญญาณ! พวกเรามีคนมากมายเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าหนูนี่จะมีอิทธิฤทธิ์บางอย่างที่สามารถต้านทานเพลิงวิญญาณไว้ได้ชั่วคราว แต่ก็ไม่อาจต้านไว้ได้นานหรอก!”
ชายหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากสำหรับชาววิญญาณทมิฬ คนที่เหลือต่างก็ขานรับ พลันโบกไหวขนนกในมือเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งด้านหลังของแต่ละคนยังปรากฏเงาลวงตาวิหคยักษ์สีดำออกมาหนึ่งตัว ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพเลือนรางผิดปกติ มีหนึ่งถึงสองตัวที่ชัดเจนบ้างเป็นบางครั้ง เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ไม่อาจคงความเสถียรไว้ได้อย่างเห็นได้ชัด
แต่หลังจากที่ภาพอาคมวิญญาณเหล่านี้ปรากฏรูปร่าง อานุภาพของขนนกสีดำเหล่านั้นก็เพิ่มขึ้นมากอย่างฉับพลัน เพลิงที่พ่นออกมาแทบจะกลายเป็นสีดำมะเมื่อมราวกับน้ำหมึก แม้กระทั่งจุดที่ถูกเพลิงสีดำหอบไว้ รวมทั้งอากาศบริเวณใกล้เคียงก็ยังส่งเสียงเพรียกแผ่วเบา เกิดการบิดงอของรูปร่างอยู่ลางๆ
นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอานุภาพของเปลวเพลิงมาถึงจุดสุดยอดที่แน่นอนแล้ว
อานุภาพเช่นนี้ การป้องกันของพวกเหลยหลันกับฉินเสี่ยวในตอนแรกก็เริ่มส่อแววต้านไม่อยู่แล้ว ด้วยความหวาดผวาอย่างหนัก ทั้งสามคนจึงรีบเรียกสมบัติชิ้นอื่นๆ ออกมาอีก แต่ก็ไม่อาจประคองไว้ได้นานนัก
แต่เพลิงแสงห้าสีบนร่างของหานลี่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะที่อานุภาพของเพลิงสีดำเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพลิงแสงห้าสีก็ขยายตัวขึ้นหลายฉื่อเช่นเดียวกัน ยังคงต้านทานเพลิงสีดำอยู่ที่ไกลๆ อย่างมั่นคง
คราวนี้ ชาววิญญาณทมิฬที่นำหน้าสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่ยังไม่ทันให้เขาได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก หานลี่ก็ชำเลืองมองพวกเหลยหลันที่พยายามต้านเพลิงสีดำอย่างสุดชีวิตอยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง พลันอ้าปาก พ่นเพลิงสีเงินออกมา หลังจากส่งเสียงดังพึ่บพั่บ ก็กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินตัวหนึ่ง
เมื่อวิหคเพลิงปรากฏกายออกมา ก็จ้องมองไปที่เพลิงสีดำที่อยู่ภายนอกเพลิงแสง มันอ้าปากส่งเสียงเพรียกด้วยความเบิกบานใจ ครั้นสยายปีกคราหนึ่ง รูปร่างก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า กลายเป็นวิหคยักษ์สีเงินขนาดประมาณจั้งกว่า
ไม่รอให้หานลี่ได้ร่ายคาถากระตุ้น วิหคเพลิงสีเงินก็พุ่งกระโจนเข้าไปในเพลิงสีดำที่อยู่ด้านนอก แสงเพลิงสีดำและสีเงินผสมปนเปเข้าด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าจะไร้ซึ่งเสียงใดๆ ทว่าร่างของวิหคเพลิงที่ราวกับกลายเป็นแม่เหล็ก ได้ดูดเพลิงสีดำหายเข้าไปข้างในทั้งหมด
เดิมทีเพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณก็หลอมรวมมาจากเพลิงแท้กลายพันธุ์ที่มีอานุภาพรุนแรงหลายชนิด อีกทั้งตัวมันเองก็มีคุณสมบัติของธาตุวิญญาณ เชี่ยวชาญด้านกลืนกินเพลิงวิญญาณชนิดต่างๆ เป็นที่สุด
สำหรับสิ่งที่เรียกว่าเพลิงวิญญาณอีกาทองนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่เพลิงเทวะอีกาทองที่สามารถหลอมละลายมิติ เผาราบเป็นวงกว้าง ซึ่งกระตุ้นด้วยวิญญาณแท้อีกาทองจริงๆ แต่ในนั้นได้อาศัยการสนับสนุนจากขนของอีกาทอง ทั้งยังมีอานุภาพของเพลิงเทวะอีกาทองแฝงอยู่ในนั้นเสี้ยวหนึ่ง จึงเป็นสิ่งที่เพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณโปรดปรานที่สุด
ดังนั้น พอหานลี่ปล่อยวิหคเพลิงกลืนวิญญาณเข้าไปในเพลิงสีดำแล้ว มันก็เริ่มสวาปามอย่างไม่เกรงใจในทันที เพียงแค่เวลาไม่กี่ชั่วอึดใจ เพลิงสีดำที่ลุกมอดไหม้อย่างเกรียงไกรก็ถูกวิหคเพลิงบินวนรอบ กลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่เสี้ยวเดียว
ทันใดนั้น ชาววิญญาณทมิฬทั้งกลุ่มก็พากันเบิกตาอ้าปากค้างขึ้นมา!
พวกเหลยหลันกับไป๋ปี้ย่อมดีอกดีใจยกใหญ่อยู่แล้ว!
“เจ้าเป็นใคร เผ่าวิหคสวรรค์ไม่มีทางมีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้แน่” ด้วยความตื่นตระหนกตกใจ ชาววิญญาณทมิฬที่นำหน้าจึงร้องถามออกมาด้วยความรู้สึกตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
“ดูเหมือนข้าจะไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเจ้าแล้ว” หานลี่กล่าวเบาๆ พลันกางปีกสองข้างบนหลังออก ทันใดนั้นก็กลายเป็นประกายอัสนีสีเขียวขาวแล้วหายไปจากที่เดิม
เห็นได้ชัดว่าชาววิญญาณทมิฬที่นำหน้าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ต่อสู้อย่างชกโชนเช่นกัน เมื่อเห็นภาพนี้กับตา มือข้างหนึ่งพลันสั่นแขนเสื้อ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ตั้งท่าร่ายคาถาในเวลาเดียวกันอย่างฉับพลันทันที
ทันใดนั้น ตาขายเส้นไหมสีดำผืนหนึ่งก็พวยพุ่งออกจากแขนเสื้อ ทว่าเป้าหมายนั้นไม่ใช่หานลี่ แต่ย้อนกลับมาหาตนเอง ชั่วพริบตาก็ก่อรูปร่างเป็นทรายสีดำหนึ่งชั้น ปกคลุมร่างของตนไว้เบื้องล่างอย่างหนาแน่น
พอโบกมืออีกข้างหนึ่ง กลับมีบอลสายฟ้าสีดำขลับสามลูก ขนาดเท่าปากถ้วยพวยพุ่งออกมา หมุนโคจรรอบกายของตนอย่างไม่หยุดนิ่ง
หลังสิ้นเสียงฟ้าร้องครั่นครืน หานลี่แทบจะปรากฏกายแนบชิดติดกับทรายสีดำ
“ตูม!” เกิดเสียงระเบิดดังสะนั่นสามครา บอลสายฟ้าสามลูกพวยพุ่งอย่างฉับไว จู่โจมเข้าใส่ร่างของหานลี่อย่างแม่นยำไม่มีพลาดเป้า ทว่าบนร่างหานลี่ไม่รู้ว่ามีชุดเกราะศึกสีดำปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่
แม้ว่าบอลสายฟ้าสามลูกนี้จะมีอานุภาพไม่น้อย แต่ก็พอที่จะตีเกราะสังหารแตกได้เสี้ยวเดียวเท่านั้น ไม่อาจทำให้หานลี่บาดเจ็บได้แม้แต่ปลายผม
กลับเป็นหานลี่ที่ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ บนร่างเปล่งแสงสีทองวูบหนึ่ง ปรากฏเป็นเกราะเกล็ดสีทองออกมาหนึ่งชั้น ห่อหุ้มแขนข้างหนึ่งอย่างเลือนราง พลันยื่นออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ห้านิ้วก็จ้วงแทงไปยังจุดสำคัญที่ด้านหลังของชาววิญญาณทมิฬราวกับตะขอ
“แคว่ก!” ทรายสีดำที่ดูไม่ธรรมดา คิดไม่ถึงว่าภายใต้ประกายแสงสีทองจากนิ้วทั้งห้า จะถูกฉีกขาดราวกับกระดาษ
ชายหนุ่มของเผ่าวิญญาณทมิฬรู้สึกเย็นสันหลังวาบ แขนสีทองข้างหนึ่งทะลวงออกมาจากหน้าอก ที่น่าแปลกคือ ตลอดทั้งแขนกลับไม่เปื้อนเลือดแม้แต่หยดเดียว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น