ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1454-1465
ตอนที่ 1454 ฟ้อง
ช่วงบ่ายมีเรียนเพียงคาบเดียวเหมยเหมยจึงไม่ได้กลับหอพัก แต่เตรียมไปรอเหยียนหมิงซุ่นที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย ทว่าเธอเพิ่งเดินออกจากตึกเรียนก็เห็นรถคันคุ้นตาเลยอดยิ้มร่าไม่ได้ก่อนจะวิ่งไปที่รถ
เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้ลงจากรถ และไม่แม้แต่จะแง้มเปิดหน้าต่างนั่นทำให้เขายิ่งดูลึกลับมากกว่าเดิม ทุกคนต่างสงสัยว่าคนในรถเป็นใครจึงพากันชะเง้อคอยาวแต่กลับมองไม่เห็นอะไร ทันทีที่เหมยเหมยขึ้นรถ รถก็พุ่งทะยานออกไปทันทีอย่างรวดเร็ว
“เป็นอะไรไป? ใครรังแกเหมยเหมยของพี่นะ?” เหยียนหมิงซุ่นมองปราดเดียวก็ดูออกว่าคนรักของตนไม่มีความสุขเลยพูดหยอกเย้าเธอ
เหมยเหมยโกรธจนกัดที่มือเขาแรง ๆทีหนึ่งพร้อมหางตาที่แดงระเรื่อเล็กน้อย ทำเอาเหยียนหมิงซุ่นตกใจแทบแย่รีบถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น
“คนสติไม่ดีโฮ่วเซิ่งหนานนั่นมาเป็นอาจารย์ที่มหาลัยฉัน แล้วยังเป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษฉันอีก วันนี้เธอรังแกฉันด้วย…”
เหมยเหมยยู่ปากออดอ้อน ดวงตาแดงก่ำ ต้องให้เหยียนหมิงซุ่นรู้ว่าเธอน้อยใจมากเหลือเกิน!
ทั้งหมดนี้ก็เพราะความเนื้อหอมของเขา
เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้วแน่น โฮ่วเซิ่งหนาน ผู้หญิงคนนี้ช่างคิดได้จริง ๆ มาเป็นอาจารย์ในมหาลัยเมืองหลวงหรือ?
แล้วยังบังเอิญเป็นอาจารย์สอนเหมยเหมยด้วย?
เหอะ พุ่งเป้ามาที่เหมยเหมยชัด ๆ!
ทำไมถึงต้องมาเจอยัยคนสติไม่ดีจอมตื๊อคนนี้ด้วย?
เรื่องนี้ต้องกลับไปปรึกษาพ่อบุญธรรมเขาสักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรระหว่างนี้ก็เกี่ยวโยงไปถึงนายใหญ่ที่ไม่เห็นแก่ภิกษุสงฆ์ก็ต้องเห็นแก่พระพุทธองค์บ้างล่ะ อีกอย่างโฮ่วเซิ่งหนานยังเคยช่วยชีวิตเขาไว้ เขาจะทำอะไรโฮ่วเซิ่งหนานไม่ได้เด็ดขาด ต้องให้นายใหญ่ออกหน้าเองถึงจะเหมาะสมที่สุด!
เหยียนหมิงซุ่นพูดโอ๋เสียงนุ่มนวลอยู่หลายทีก่อนจะให้เหมยเหมยอยู่ที่บ้าน ส่วนเขาขับรถไปที่ฟาร์ม เรื่องแบบนี้ต้องให้เฮ่อเหลียนชิงออกหน้าถึงจะได้
“ยอมกลับมาได้แล้วหรือไง?”
เฮ่อเหลียนชิงมองเหยียนหมิงซุ่นด้วยสายตาเย็นชา อ้าปากโพล่งออกมาก็เป็นคำประชดประชัน ซึ่งจุดนี้เหยียนหมิงซุ่นก็ชินชาเสียแล้วถึงทำหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย
“กลับมาเยี่ยมพ่อบุญธรรม ช่วงนี้ความอยากอาหารเป็นยังไงบ้างครับ?”
“ยังไม่ตายหรอก แกไม่รู้ศาสตร์แพทย์สักหน่อย ดูไปก็เปล่าประโยชน์” เฮ่อเหลียนชิงพูดถึงเรื่องความอยู่ความตายด้วยสีหน้าเรียบเฉยดูท่าทางไม่สนใจมันเลยแม้แต่น้อย
เหยียนหมิงซุ่นปากกระตุก พ่อบุญธรรมคนนี้ของเขาไม่เคยพูดจาน่าฟังเลยสักครั้ง คนอื่นมีแต่เอาคำไม่ดีมาพูดเป็นคำดี ๆ ส่วนเฮ่อเหลียนชิงกลับตรงกันข้ามเอาพูดคำดี ๆมาพูดให้แสลงหูไปเสียได้
หากไม่ใช่เพราะรู้นิสัยเฮ่อเหลียนชิงดี รับรองว่าไม่เกินสามประโยคก็ทำเอาเจ้าหมอนี่โมโหตายได้เลย
เฮ่อเหลียนชิงเสตากวาดมองประเมินเหยียนหมิงซุ่น พอเห็นท่าทางมีความสุขของเขาก็อดแค่นเสียงไม่ได้ ไม่กลับมาสองคืนติดคงไปค้างอยู่กับยัยนั่นแน่ ๆ ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองก็เปรียบดั่งฟืนกับไฟ จุดไฟไม่ติดสิแปลก!
“ฉันขอเตือนแกไว้ก่อนเลยนะอย่าให้ยัยนั่นท้องก่อนที่จะได้ใบปริญญาเสียล่ะ” เฮ่อเหลียนชิงพูดเสียงเข้ม
เหยียนหมิงซุ่นตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “พ่อบุญธรรมคิดมากไปแล้ว เหมยเหมยเป็นผู้หญิงที่ดี จะทำเรื่องแบบนี้ได้ไงกัน?”
เฮ่อเหลียนชิงแค่นเสียงอีกที ยัยนั่นดีไม่ดีเขาไม่รู้หรอกแต่เจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนดีอะไรแน่นอน ชายหญิงอยู่ร่วมห้องกันสองต่อสอง หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อยเขาจะใช้นามสกุลเดียวกับต้าหวงเลย!
พอนึกถึงเด็กทารกขาวอวบอ้วนเฮ่อเหลียนชิงก็ใจอ่อนยวบลงเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้ จะว่าไปเลี้ยงเด็กตัวขาวอวบอ้วนในฟาร์มนี้สักหน่อยก็ไม่เลว ว่าง ๆหยอกเล่นกันไปมาก็น่าจะสนุกกว่าต้าหวงเยอะ
เหยียนหมิงซุ่นพูดขัดฝันกลางวันของเฮ่อเหลียนชิงโดยบอกเรื่องโฮ่วเซิ่งหนานไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พ่อบุญธรรม นี่เป็นปัญหาที่ท่านหามาให้ผม ท่านต้องช่วยผมจัดการด้วย”
เฮ่อเหลียนชิงกะพริบตาปริบ ๆ คนยโสอย่างโฮ่วเซิ่งหนานกลับถูกใจลูกบุญธรรมของเขาได้?
ไม่นานเขาก็ใจวูบขึ้นมา จะว่าไปโฮ่วเซิ่งหนานเก่งกาจกว่ายัยนั่นเยอะเลย!
………………………….
ตอนที่ 1455 มีเมฆสีเขียวลอยอยู่บนฟ้า
เหยียนหมิงซุ่นแค่เห็นสีหน้าเฮ่อเหลียนชิงก็รู้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เลยตีหน้าขรึมพูดขึ้นว่า “ถ้าท่านเอาคนสติไม่ดีอย่างโฮ่วเซิ่งหนานมายัดเยียดให้ผม อย่าหาว่าผมไม่ปรานี!”
ต่อให้มีบุญคุณใหญ่หลวงเคยช่วยชีวิตไว้ ก็อย่าหาว่าเขาไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน!
เฮ่อเหลียนชิงไม่พอใจอย่างมาก “โฮ่วเซิ่งหนานสู้จ้าวเหมยไม่ได้ตรงไหน?”
“จะตรงไหนก็สู้ไม่ได้ทั้งนั้น เหมยเหมยแสนดีราวกับหยกขาว ผู้หญิงอย่างโฮ่วเซิ่งหนานสกปรกยิ่งกว่าท่อน้ำเสีย ถ้าผมตาบอดถึงจะเลือกคนอย่างหล่อน!” น้ำเสียงของเหยียนหมิงซุ่นแสดงความรังเกียจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ช่วงเวลาที่อยู่ในทะเลทรายนั่นเหยียนหมิงซุ่นเคยเห็นโฮ่วเซิ่งหนานกอดกับผู้ชายที่ชื่อเคนในทีมที่มาผจญภัยด้วยกัน ทว่าภายหลังเธอกลับวิ่งแจ้นมายั่วยวนเขาถึงในเต็นท์ จากนั้นก็มีท่าทีคลุมเครือกับเถียนมู่ที่ภัคตาคารเฟิ่งหลายอีก เห็นได้ว่าระหว่างเธอกับเถียนมู่ต้องเคยมีความสัมพันธ์บางอย่างแน่นอน
ผู้หญิงที่สำส่อนยิ่งกว่าโสเภณีแบบนี้ เขาคงตาบอดชอบลงหรอก!
อีกอย่างต่อให้โฮ่วเซิ่งหนานเก่งกาจและรักนวลสงวนตัวเหยียนหมิงซุ่นก็ไม่มีวันชอบหล่อน เขามีเหมยเหมยอยู่แล้ว เช่นนั้นจะไปรักผู้หญิงคนอื่นได้อย่างไรอีก?
เฮ่อเหลียนชิงไม่พอใจกับถ้อยคำของเหยียนหมิงซุ่นมาก จะว่าไปเขาประทับใจในตัวโฮ่วเซิ่งหนานไม่น้อย เด็ดเดี่ยวมีความสามารถเก่งกาจ หน้าตาก็ไม่ได้สวยมาก เป็นไปตามมาตรฐานว่าที่ลูกสะใภ้ที่เขาคาดหวังอย่างมาก
ส่วนโฮ่วเซิ่งหนานใช้ชีวิตในต่างประเทศอย่างไรนั้นเฮ่อเหลียนชิงไม่เคยรับรู้และไม่เคยคิดจะสั่งคนไปตามสืบเรื่องของหล่อน ครั้งนี้หากไม่ใช่เพื่อช่วยเหยียนหมิงซุ่นเขาคงนึกบุคคลนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป
“แกไม่ชอบโฮ่วเซิ่งหนานก็ไม่เห็นต้องว่าเธออย่างนั้นเลย เราพูดอะไรต้องมีหลักฐาน โฮ่วเซิ่งหนานทำงานเก่งกว่ายัยจ้าวเหมยมากโข ถ้าแกแต่งงานกับเธอ หลังจากนี้คงมีเรื่องให้คิดมากน้อยลง”
เฮ่อเหลียนชิงคอยพูดเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น บัดนี้เขาคิดได้แล้วว่าจะไม่แนะนำผู้หญิงตัวอ้วนหูใหญ่ให้เหยียนหมิงซุ่นอีก ผู้หญิงเหล่านั้นไม่เข้าตาเลยจริง ๆ ขณะที่โฮ่วเซิ่งหนานกำลังพอดี หน้าตาไม่ถือว่าสวยมากแต่ก็ไม่น่าเกลียด
พอจะคู่กับเหยียนหมิงซุ่นได้ ยิ่งไปกว่านั้นโฮ่วเซิ่งหนานยังเป็นคนพึ่งพาตัวเองและใจกล้าเด็ดขาด หนำซ้ำเป็นผู้หญิงที่สังคมรู้จักอย่างกว้างขวางนานาประเทศ ต้องมีประโยชน์ต่องานของเหยียนหมิงซุ่นมากแน่นอน
อย่างจ้าวเหมยวาดภาพไม่กี่เล่มใช้ได้ที่ไหน?
ช่วยอะไรไม่ได้เลย!
ไหนยังต้องให้เหยียนหมิงซุ่นแบ่งสมาธิไปดูแลยัยบ้านั่นอยู่บ่อยครั้ง ดีแต่เป็นตัวถ่วงเสียจริง
เหยียนหมิงซุ่นเขม่นมองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์พลางแค่นเสียงทีหนึ่ง “ถ้าแต่งกับผู้หญิงอย่างโฮ่วเซิ่งหนาน ท้องฟ้าเหนือสวนฟาร์มของเราคงมีแต่เมฆสีเขียวลอยเต็มไปหมด!”
เฮ่อเหลียนชิงสีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลันแสดงสีหน้าไม่ค่อยดีนัก สายตาเย็นยะเยือกในทันที
ช่วยไม่ได้ ประเด็นเรื่องนี้สำหรับเขาแล้วอ่อนไหวเกินไป ต่อให้ผ่านพ้นมาหลายปีเขาก็ไม่สามารถใจเย็นลงได้
“หมายความว่ายังไง?” เฮ่อเหลียนชิงถามเสียงดุดัน
เหยียนหมิงซุ่นเล่าพฤติกรรมของโฮ่วเซิ่งหนานที่ทะเลทรายรวมถึงเรื่องที่เธอจูบกับเถียนมู่ต่อหน้าผู้คนอย่างดูดดื่ม พลางพูดเสียงประชด “โฮ่วเซิ่งหนานคนนี้อยู่ต่างประเทศไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย แต่เรื่องแบบนี้กลับเรียนรู้มาสิบเต็มสิบ ผมไม่มีความเคยชินที่จะถูกสวมหมวกสีเขียว[1]หรอกนะ”
“แกพูดจริงเหรอ?” เฮ่อเหลียนชิงยังสงสัยอยู่เล็กน้อย เขาคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่เหยียนหมิงซุ่นจงใจแต่งเรื่องหลอกเขา หลานสาวของนายใหญ่จะเป็นผู้หญิงแบบนั้นได้อย่างไร?
เหยียนหมิงซุ่นรู้อยู่แล้วว่าเฮ่อเหลียนชิงไม่มีทางเชื่อง่าย ๆ ดีที่เขาเตรียมการไว้แล้ว
“ผมให้คนไปสืบแล้ว รอได้ข้อมูลแล้วบอกท่านอีกที ก่อนจะถึงเวลานั้นท่านอย่าก่อเรื่องอะไรเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมทำเกินไปแล้วกัน!” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยเตือน
เฮ่อเหลียนชิงใจฝ่อขึ้นมา จะว่าไปเขามีความคิดที่จะเชิญโฮ่วเซิ่งหนานมาทานข้าวที่ฟาร์มอยู่จริง ๆด้วยสิ!
“ฉันจะก่อเรื่องอะไรได้ น่าขำจริง ๆ ไปไปไป อย่ามากวนฉัน!”
เฮ่อเหลียนชิงโบกมือไล่อย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะปอกเปลือกช็อกโกแลตป้อนฉิวฉิวเพื่อปกปิดอาการพิรุธของเขา
………………………..
[1] สวมหมวกเขียว เปรียบเปรยคนที่โดนสวมเขา
ตอนที่ 1456 ฉิวฉิวที่แสดงละครเป็น
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะเสียงเบา พลางมองไปทางฉิวฉิวแวบหนึ่ง ทำไมถึงอ้วนขึ้นรอบเอวหนึ่งแล้วล่ะ?
“พ่อป้อนช็อกโกแลตให้ฉิวฉิวน้อย ๆหน่อย เหมยเหมยบอกว่าเธอเตรียมให้เจ้าหมอนี่ลดความอ้วน ถ้ากินอีกก็ปีนต้นไม้ไม่ขึ้นแล้ว” เหยียนหมิงซุ่นพูดเตือน
ฉิวฉิวแยกเขี้ยวใส่เหยียนหมิงซุ่นอย่างไม่พอใจ…
“ให้ตายเถอะ ตอนอยู่ในทะเลทรายรับปากไว้ดิบดีพอตอนนี้ใช้งานข้าเสร็จก็เปลี่ยนท่าทีเชียวนะ? มิน่าถึงโดนเจ้าลิงตัวเมียถูกใจเข้า!”
สมน้ำหน้า!
เหยียนหมิงซุ่นเด็ดลูกองุ่นจากเหนือศีรษะดีดใช้อุดปากที่กำลังร้องเสียงโหวกเหวกของฉิวฉิวอย่างเหมาะเจาะ นั่นจึงทำเอาเขาสำลักจนตาขาวถลน แขนขาสี่ข้างตะเกียกตะกายไปมาเหมือนโรคลมชักกำเริบ
เฮ่อเหลียนชิงรีบตบลูบหลังฉิวฉิวผู้น่าสงสารแรง ๆหลายทีเพื่อให้ลูกองุ่นกลิ้งตกลงพื้น ฉิวฉิวหอบอยู่หลายทีแล้วปีนป่ายขึ้นไหล่เฮ่อเหลียนชิงด้วยความโกรธ ใช้ดวงตาสำดำขลับเท่าเม็ดถั่วมองเขาอย่างน่าสงสาร
“แกนี่มันยิ่งโตยิ่งไม่เข้าท่าเลยจริง ๆ รังแกฉิวฉิวมันใช้ได้ที่ไหนกัน!”
เฮ่อเหลียนชิงก่นด่าติดกันหลายประโยค แล้วแกะช็อกโกแลตปลอบใจฉิวฉิวอีกหลายแท่งถึงทำให้ฉิวฉิวหายโกรธได้ ระหว่างที่แทะแท่งช็อกโกแลตเสียงดังกรุบ ๆก็ยังไม่วายส่งสายตาได้ใจให้เหยียนหมิงซุ่น
เหยียนหมิงซุ่นลอบขำอยู่ในใจ เจ้าตัวเล็กนี่ร้ายกาจจริง ๆ!
แสดงละครเป็นเสียด้วยทั้งที่เมื่อครู่เขาหลบลูกองุ่นได้อย่างง่ายดายแท้ ๆ แต่เพื่อแท่งช็อกโกแลตเพียงไม่กี่แท่งกลับยอมให้โดนลูกองุ่นติดคอ เก่งกับแค่เรื่องแบบนี้เท่านั้นแหละ!
เหยียนหมิงซุ่นไม่สนใจเฮ่อเหลียนชิงอีกต่อไป แล้วหันไปบอกเสี่ยวเมิ่งที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆประโยคหนึ่งว่าเตรียมจะกลับไปหาเหมยเหมยแล้ว
“ฉันว่าวัน ๆแกมัวแต่ไปนอนบ้านยายนั่นมันเข้าท่าเสียที่ไหน? ไม่ถูกต้องตามจารีต ที่บ้านไม่มีของกินของใช้ให้แกหรือไง?” เฮ่อเหลียนชิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก
เหยียนหมิงซุ่นตอบกลับเสียงเย็นชาโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา “ใครกล้าปากพล่อย? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ?”
อยู่กับเหมยเหมยได้นอนกอดภรรยาตัวหอมนุ่มทุกวันแล้วยังได้ทำในสิ่งที่ชอบทำอีกด้วย นอนที่ฟาร์มจำต้องอยู่กับตาแก่น่าเบื่ออย่างเฮ่อเหลียนชิง คนโง่ยังรู้ว่าต้องเลือกทางไหน
เฮ่อเหลียนชิงเบะปากหันไปบ่นกับเสี่ยวเมิ่ง “ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว คำพูดของฉันทำเป็นหูทวนลมได้ ตอนนี้ในใจในสายตามีแต่เจ้าเด็กบ้านั่นไม่นึกถึงฉันสักนิด แต่ละคนใจร้ายใจดำเสียจริง…”
เสี่ยวเมิ่ง ‘…’
นั่นก็เพราะนายท่านทำตัวเองไม่ใช่หรือ?
ใครใช้ให้คุณท่านทำให้คุณหนูจ้าวไม่พอใจกันล่ะ!
เหยียนหมิงซุ่นกลับแอบนึกโชคดีอยู่ไม่น้อยที่กลับฟาร์มได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นคนน่าเป็นห่วงอย่างเฮ่อเหลียนชิงอาจเอาตัวปัญหาอย่างโฮ่งเซิ่งหนานมาให้ก็เป็นได้ ฆ่าก็ฆ่าไม่ได้แล้วยังคุยไม่รู้เรื่องอีก เขาคิดหาทางแก้ไขที่ดีไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้นนี้หรอก
หวังเพียงว่าจะมีข่าวดีจากทางเซียวเซ่อโดยเร็วที่สุด เช่นนี้เขาจะเป็นฝ่ายโจมตีได้สักที
ที่แท้หลังจากเหยียนหมิงซุ่นรู้ว่าโฮ่วเซิ่งหนานกลับประเทศก็รีบติดต่อเซียวเซ่อให้เธอรีบช่วยสืบประวัติของโฮ่วเซิ่งหนาน ผู้หญิงคนนี้เรียนมหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษและแวดวังสังคมหลักก็อยู่ที่ประเทศอังกฤษ ตอนนี้เซียวเซ่อมีเส้นสายเป็นของตัวเอง การสืบเรื่องพวกนี้ไม่น่ามีปัญหาอะไร
เหยียนหมิงซุ่นกล้าเอาหัวเป็นประกันว่าโฮ่วเซิ่งหนานต้องใช้ชีวิตที่สกปรกในต่างประเทศ
ทว่าหลังจากเขาเห็นข้อมูลที่ได้มาจากเซียวเซ่อเหยียนหมิงซุ่นรู้สึกสะอิดสะเอียนใจยิ่งกว่า โฮ่วเซิ่งหนานสำส่อนยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้อีก ทำให้เขารู้สึกว่าการถูกผู้หญิงแบบนี้จับจ้องถือเป็นการหยามเหยียดในอีกรูปแบบหนึ่ง
นี่มันสุนัขตัวเมียติดสัดที่มีตัวผู้รายล้อมชัด ๆ!
กระทั่งคืนวันที่สองเหมยเหมยขออนุญาตเหยียนหมิงซุ่นไปมุมภาษาอังกฤษเป็นเพื่อนฉีฉีเก๋อ มุมภาษาอังกฤษโดยทั่วไปเปิดตั้งแต่สองทุ่มถึงสี่ทุ่มซึ่งตั้งอยู่ตรงสวนดอกไม้ข้างสระบัวของมหาวิทยาลัย มีนักเรียนแลกเปลี่ยนและอาจารย์ต่างชาติไม่น้อย รวมถึงเหล่านักศึกษาที่ต้องการจะพัฒนาภาษาอังกฤษด้วยบางส่วน
ชาวต่างชาติอยากเรียนภาษาจีนขณะที่นักศึกษาชาวจีนเองต้องการพัฒนาทักษะการสื่อสาร ต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายเป็นของตัวเองเลยก่อให้เกิดมุมภาษาอังกฤษขึ้นมา บรรยากาศการเล่าเรียนยามค่ำคืนก็เข้มข้นพอสมควร
แน่นอนว่ามีคนบางส่วนมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อื่นซึ่งไม่ใช่เพื่อมาเรียนภาษาอังกฤษ
……………………..
ตอนที่ 1457 อยากดื่มเหล้าไหม
“คนเยอะจัง เหมยเหมย หรือว่าเราไปที่อื่นกันเถอะ!” พอฉีฉีเก๋อเห็นคนมากมายขนาดนี้ก็เกิดอาการตื่นตระหนก ดูเคอะเขินหมดซึ่งความเด็ดขาดตรงไปตรงมาเฉกเช่นปกติ
เหมยเหมยถลึงตาใส่เธอแวบหนึ่งแล้วออกแรงฉุดกระชากเธอให้เดินไปข้างหน้า “นาน ๆทีฉันถึงจะได้ออกมาสักครั้งนะ ถ้าเธอไม่ไปจะทำให้ฉันผิดหวังมากเลยล่ะ อีกอย่างเธอกลัวอะไรกันแน่? คนพวกนั้นไม่มีใครรู้จักเธอ เธอก็ไม่รู้จักพวกเขา ต่อให้พูดผิดก็ไม่เป็นไร ใครจะรู้ว่าเธอเป็นใครกันล่ะ!”
ฉีฉีเก๋อเริ่มใจกล้าขึ้นอีกนิด เมื่อลองคิด ๆดูแล้วเพื่อนยอมสละเวลาคืนหนึ่งเพื่อเธอ หากเธอยังไม่เปิดปากพูดสักหน่อยคงรู้ผิดไม่น้อย
“งั้นฉัน…จะพูดแล้วนะ…เธออย่าหัวเราะเยาะฉันนะ!”
ฉีฉีเก๋อทำใจดีสู้เสือก่อนเดินไปยังสนามหญ้าที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน
เหมยเหมยกลอกตาใส่เธออีกที “ฉันมาด้วยกันกับเธอนะ ฉันหัวเราะเยาะเธอแล้วฉันได้หน้าเหรอ?”
ฉีฉีเก๋อหัวเราะอย่างใสซื่อและรู้สึกใจกล้ามากกว่าเดิมอีกนิด จึงเป็นฝ่ายดึงแขนเหมยเหมยให้เดินไปที่คนหมู่มาก ไม่รอให้พวกเธอต้องหาเป้าหมายก็มีคนเข้ามาทักทายก่อนด้วยสายตาอึ้งทึ่ง
“สวัสดี ฉันพอล คนออสเตรเลีย ยินดีที่ได้รู้จัก” คนที่มาทักทายคือชายผิวขาวที่มีผิวเป็นสีแทนน้อยๆ ร่างสูงใหญ่บึกบึนที่ดูปราดเดียวก็รู้ได้เลยว่าเป็นมืออาชีพด้านกีฬา ทั้งยังพูดภาษาจีนได้คล่องแคล่วอีกด้วย
ขณะนี้อยู่ช่วงเดือนตุลาคมซึ่งอากาศในเมืองหลวงค่อนข้างเย็น เหมยเหมยสวมเสื้อไหมพรมบาง ๆแล้วแต่พอลคนนี้กลับยังใส่เสื้อยืดแขนสั้นเผยให้เห็นกล้ามแขนที่นูนเป็นก้อน ๆราวกับน่องไก่ชิ้นโต
พอลยื่นมือออกมาหาเหมยเหมย เหมยเหมยไม่ชอบจับมือกับผู้ชายอื่นเลยมุ่นคิ้วน้อย ๆแต่ก็ยื่นมือออกไปจับแล้วชักกลับอย่างรวดเร็ว
“สวัสดี ฉันจ้าวเหมย นี่เพื่อนฉันฉีฉีเก๋อ” เหมยเหมยกล่าวแนะนำ
ฉีฉีเก๋อยิ้มให้พอลเล็กน้อยทำเอาพอลตาวาวแอบร้องเฮในใจว่าวันนี้โชคดีสุด ๆไปเลย ไม่คิดว่าเพื่อนของสาวงามสุดจะบรรยายคนนี้ก็เป็นคนสวยอีกคนหนึ่ง!
จะว่าไปส่วนตัวพอลแอบชอบหุ่นของฉีฉีเก๋อกว่าเล็กน้อย แค่ดูก็รู้ว่าฉีฉีเก๋อเป็นเด็กผู้หญิงที่ออกกำลังกายบ่อยกล้ามเนื้อแน่นนั้นเรียกให้เขาหลงใหล แต่ความงามของจ้าวเหมยกลับทำให้เขาหลงใหลมากกว่า หลงใหลเสียจนสามารถมองข้ามหุ่นบอบบางของจ้าวเหมยไปได้เลย
หากได้สองสาวคนสวยนี้มาทั้งคู่ ครั้งนี้เขาก็มาไม่สูญเปล่าแล้ว!
เหมยเหมยขมวดคิ้วอีกครั้ง เธอรู้สึกได้ถึงเจตนาร้ายของพอล
“เราออกไปดื่มเหล้ากันสักแก้วไหม ฉันเลี้ยงเอง!” พอลพูดเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น
ฉีฉีเก๋อตาเป็นประกาย เธอชอบดื่มเหล้ามากที่สุดแต่เธอไม่ได้ตอบตกลงทันทีแต่หันมามองเหมยเหมย นี่เป็นถิ่นของเพื่อน เธอต้องเชื่อฟังเพื่อน
เหมยเหมยสีหน้าเย็นชาลงพลางตอบปฏิเสธเด็ดขาด “ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่เราไม่สนใจจะดื่มเหล้า ลาก่อน!”
ว่าแล้วเธอก็ฉุดแขนฉีฉีเก๋อเดินจากไปด้วยความรู้สึกคุกรุ่นอย่างมาก หรือว่าเธอดูเหมือนเป็นผู้หญิงตื้นเขินที่ชอบเรื่องเงินหลงเรื่องของนอกกายแบบนั้นหรือ?
แม้เธอเพิ่งเคยมามุมภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรกเช่นกันและเคยได้ยินคนเคยเล่าว่ามีนักศึกษาหญิงมากมายที่อยากหาทางลัดไปต่างประเทศก็จงใจตีสนิทกับอาจารย์ชาวต่างชาติหรือนักเรียนแลกเปลี่ยน ส่วนพวกสวะต่างชาติกลุ่มนี้ยิ่งให้การต้อนรับเหล่านักศึกษาหญิงที่เป็นฝ่ายเข้าหาก่อนเป็นอย่างดี แต่ภายในใจกลับดูถูกพวกเธออย่างที่สุด
ถึงขั้นเคยมีชาวต่างชาติบางส่วนพูดโอ้อวดกับคนนอกว่าผู้หญิงชาวจีนพวกนี้แค่พาไปเลี้ยงเหล้าที่ผับบาร์สักแก้วก็พาขึ้นเตียงได้อย่างง่ายดายแล้ว ง่ายยิ่งกว่าหญิงขายบริการตามซ่องเสียอีก
ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้เหมยเหมยก็นึกเกลียดพวกเศษสวะจากต่างชาติพวกนี้เหลือเกิน ยิ่งเกลียดผู้หญิงที่ไม่รักในศักดิ์ศรีตัวเองมากกว่า
ตัวเองยังไม่รู้จักให้เกียรติตัวเอง มิน่าพวกสวะชาวต่างชาติน่าแค้นใจพวกนั้นถึงพูดจาแบบนี้ได้ อับอายขายหน้าหญิงชาวจีนหมด!
ส่วนพอลคนนี้สงสัยคงเป็นหนึ่งในพวกสวะจากต่างชาติ เขาเห็นเธอและฉีฉีเก๋อเป็นอย่างผู้หญิงที่ไม่รักในศักดิ์ศรีตัวเองจึงแสดงท่าทีแบบนี้ใส่
เพราะอยู่ในที่แบบนี้ หากมีชาวต่างชาติชวนไปร้านเหล้าก็เหมือนชวนคุณไปดื่มกาแฟในต่างชาติ จุดประสงค์ก็เพื่อพาขึ้นเตียงนั่นแหละ
ตอนที่ 1458 เป็นผีตามติดไม่เลิก
พอลมองแผ่นหลังของเหมยเหมยด้วยความตกใจแต่ไม่นานก็ได้สติกลับมาจึงวิ่งเหยาะตามไล่หลังไป เอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ไม่ดื่มเหล้าก็ไม่เป็นไร พวกเธออยากเรียนภาษาอังกฤษไหม? ฉันสอนพวกเธอได้นะ!”
“ไม่จำเป็นหรอก!”
เหมยเหมยใช้ภาษาอังกฤษปฏิเสธ สำเนียงของเธอได้เซียวเซ่อเป็นคนสอนจึงออกเสียงถูกต้องแม่นยำแบบฉบับบริติชยิ่งกว่าของพอล พอลเบิกตากว้างด้วยความคาดไม่ถึง
พูดถึงก็มีอยู่หลายประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการจึงทำให้มีสำเนียงที่หลากหลาย แต่ที่ถูกต้องแม่นยำที่สุดคือสำเนียงอเมริกันกับบริติช ในสำเนียงบริติชนั้นที่ถูกต้องที่สุดคือสำเนียงจากกรุงลอนดอน อีกทั้งในฐานะที่คนอังกฤษเป็นจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน เพราะเช่นนี้ถึงได้มีความหยิ่งยโสติดตัวมาแต่เกิด มักคิดว่าภาษาอังกฤษของพวกเขาถูกต้องแม่นยำที่สุดในโลก
ส่วนสำเนียงอเมริกันออสเตรเลียนหรืออื่น ๆล้วนเป็นเพียงขยะ!
แน่นอนว่าทวีปออสเตรเลียที่เคยเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษ ถึงแม้ขณะนี้จะเป็นเอกราชแล้วแต่ก็ยังมีสายสัมพันธ์กับประเทศอังกฤษ จึงเป็นเหตุผลที่หลังจากพอลได้ฟังสำเนียงจากกรุงลอนดอนอย่างถูกต้องของเหมยเหมยแล้ว ความดูถูกเหยียดหยามในก่อนหน้าจางหายมากทีเดียว
พอลคิดว่าเหมยเหมยอาจเป็นชาวอังกฤษเชื้อสายจีนเลยไม่กล้าดูถูกมากนัก
“ที่แท้เธอคือคนอังกฤษนี่เอง!” พอลยิ้มกล่าวและชักจะไม่กล้าคิดล่วงเกินเหมยเหมยแล้ว
“ฉันคือคนจีน เกิดและเติบโตที่ประเทศจีน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอังกฤษแม้แต่น้อย” เหมยเหมยแสดงสีหน้าจริงจังมากและขึ้นเสียงสูงกว่าเดิมไม่น้อย
เศรษฐกิจของประเทศจีนในเวลานี้ยังไม่เจริญรุ่งเรืองเมื่อเทียบกับประเทศทุนนิยมพวกนั้นก็จริง แต่ลูกไม่มีวันรังเกียจแม่ ตัวเธอรู้สึกว่าการเป็นคนชนชาติจีนไม่ได้เลวร้ายอะไร ไม่อยากไปใช้ชีวิตต่างประเทศเลยสักนิด กินไม่ได้อยู่ไม่ดี ไปเที่ยวยังพอว่าหากต้องไปอยู่ระยะยาวก็ขอบายดีกว่า!
“Hello พอล นายมาที่นี่ได้ยังไง?” เสียงแหบแห้งของหญิงสาวคนหนึ่งดังแว่วมาแต่ไกล เหมยเหมยใจกระตุกวูบและแอบคิดในใจว่าซวยจริง ๆ
ทำไมยัยบ้านี่ถึงเป็นผีตามติดไม่เลิกนะ ไปไหนก็เจอ!
หญิงสาวผู้มาเยือนก็คือโฮ่วเซิ่งหนานนั่นเอง เธอกลับไปแต่งตัวอย่างมีรสนิยมอย่างเคย ใส่ตุ้มหูห่วงอันใหญ่ปากแดงเพลิง รอบตาดำคล้ำ เสื้อแจ็กเก็ตหนังคู่กับกางเกงหนังแนบเนื้อเผยให้หุ่นอันเร่าร้อน พอเธอเห็นเหมยเหมยก็มีท่าทีตกใจเล็กน้อย
แต่ไม่นานเธอก็หัวเราะเสียงเย้ยหลงคิดว่าเหมยเหมยเองก็เหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆที่คิดจะหาผู้ชายชาวต่างชาติเลยเลือกมาตามหาเป้าหมายที่นี่
โฮ่วเซิ่งหนานปรายตามองเหมยเหมยแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจลอบด่าว่ายัยโง่ ชาวต่างชาติที่มาเรียนและทำงานในประเทศนี้มีสักกี่คนกันที่เป็นคนชนชั้นสูงและมีฐานะจริง ๆ?
บางส่วนถึงขั้นใช้ชีวิตในประเทศตัวเองไม่ไหวจึงกลายเป็นคนขี้แพ้ที่ต้องอาศัยเงินช่วยเหลือสำหรับคนตกงานประทังชีวิต
แต่หลังมาที่ประเทศจีนเพียงแค่อาศัยทักษะภาษาแม่ของพวกเขาก็ช่วยให้หางานที่ดี ผันตัวมาอยู่เหนือกว่าคนอื่น ทั้งยังสามารถตามล่าหญิงสาววัยใสหน้าตาสวยหลากหลายรูปแบบได้ตามอำเภอใจ
มิน่าพวกสวะต่างชาติถึงบอกว่าหลังมาอยู่ประเทศจีนก็เปรียบเสมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ ทำเอาพวกเขาไม่อยากกลับประเทศกันเลยทีเดียว
อย่างเช่นพอลที่อดีตนับว่าเป็นคนแวดวงสังคมเดียวกับพวกเขาแต่เพราะตระกูลลงทุนล้มเหลวทำให้ร่วงตกลงมาเป็นเพียงคนชนชั้นธรรมดาในค่ำคืนเดียว ครอบครัวยากจนแทบต้องนอนข้างถนน พอลเลยหายตัวจากแวดวงสังคมของพวกเขาไปแต่กลับไม่คิดว่าจะมามีชีวิตที่ดีในประเทศจีนเสียได้
พอลเห็นโฮ่วเซิ่งหนานก็นึกตกใจอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรก็เคยมีความสัมพันธ์กันมาบ้างนี่นา!
“เจสสิก้า ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
พอลสวมกอดโฮ่วเซิ่งหนานอย่างเร่าร้อน เหมยเหมยคอยมองทั้งสองคนที่แนบหน้าจูบปากกันอย่างไม่สนใจใครเลยจึงนึกเอะใจว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ว่าเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพอลด้วยหรอกนะ?
ให้ตายเถอะ ผู้หญิงคนนี้ไม่กลัวติดโรคเอดส์หรือไงกัน!
โฮ่วเซิ่งหนานพลอดรักกับพอลเสร็จก็ตะโกนใส่เหมยเหมยที่เตรียมเดินหนี “ทำไมเห็นฉันก็ไปแล้วล่ะ? หรือว่าเธอกลัวฉัน?”
……………………..
ตอนที่ 1459 จะสั่งสอนเธอเป็นอย่างดี
เหมยเหมยจำต้องชะงักฝีเท้าแล้วตอบกลับอย่างจริงใจ “ใช่แล้ว ฉันกลัวมาก ๆ เพราะฉันกลัวถูกโรคติดต่อแพร่ใส่!”
แวบแรกโฮ่วเซิ่งหนานยังฟังไม่เข้าใจ แต่ไม่นานก็เข้าใจเลยตีหน้าขรึม กลิ่นอายรอบตัวเย็นยะเยือก ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในระหว่างคาบเรียน เธอไม่จำเป็นต้องอดทน
“จ้าวเหมยเธอกล้ามาก!”
เหมยเหมยหลุดขำออกเสียง “โฮ่วเซิ่งหนานทำไมเธอยังไม่ตื่นจากฝันสักทีล่ะ ต้าชิงล่มสลายไปแล้ว เธออย่าเอาแต่พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นเจ้าหญิงสักที เป็นบ้าเหรอ?”
ผู้หญิงคนนี้คิดเข้าข้างตัวเองเก่งเหลือเกินมักมีท่าทีถือตัวอยู่เหนือกว่าใคร ราวกับใต้หล้านี้มีเธอเพียงคนเดียว! เหอะ ไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหนกัน!
ก็เป็นแค่หลานสาวคนหนึ่งเท่านั้นนี่นา!
สมองไล่เรียงไม่ถูกเลยหรือไง!
“จ้าวเหมยเธอมันปากคอเราะร้าย คิดว่าฉันหาทางจัดการเธอไม่ได้จริง ๆเหรอ?” โฮ่วเซิ่งหนานมองเธอด้วยสายตาเย็นยะเยือกและเกิดความอาฆาตขึ้นในใจแล้ว
จ้าวเหมยคนนี้พูดจาไม่ให้เกียรติเธอครั้งแล้วครั้งเล่าแถมยังพูดคำหยามเหยียดพวกนั้นอีก เท่ากับกำลังรนหาที่ตายชัด ๆ!
เหมยเหมยแสร้งทำท่าหวาดกลัว “โอ๊ย ฉันกลัวจังเลย…โฮ่วเซิ่งหนานเธอเก่งจริงก็ลงมือตอนนี้เลยสิ เก่งแต่ปากมันใช้ได้ที่ไหน? ฉันว่าเธอก็มีแค่ความสามารถในการแย่งผู้ชายเท่านั้นแหละ!”
“วอนหาที่ตายนักนะ!”
โฮ่วเซิ่งหนานโกรธเกรี้ยวพุ่งมาตรงหน้าเหมยเหมยอย่างรวดเร็วเพราะคิดจะตบหน้าเธอ ในเมื่อตรงนี้แสงไฟมืดสลัว คนอื่นมองไม่ชัดว่าเธอเป็นใคร
ฉีฉีเก๋อสะดุ้งเฮือกขณะที่จะไปขวางตัวหน้าเหมยเหมย เหมยเหมยกลับผลักเธอออกแล้วแวบหนีไปข้างๆ ก่อนจะล้วงแส้ยาวจากกระเป๋าออกมาฟาดใส่โฮ่วเซิ่งหนาน
“เพี้ยะ”
โฮ่วเซิ่งหนานรู้สึกถึงความเจ็บบนตัวอย่างรุนแรง เธอก้มมองทีหนึ่งอย่างไม่เชื่อสายตาพบว่าบริเวณลำคอมีรอยแส้ขึ้นเป็นริ้วแดง แสบร้อนเข้ากระดูก
เหมยเหมยแค่นหัวเราะทีก่อนจะออมแรงฟาดไปอีกหนึ่งที ครั้งนี้โฮ่วเซิ่งหนานหลบได้ทัน เธอเคยเรียนยูยิตสูมาก่อนอีกทั้งประสบการณ์ต่อสู้ก็มีไม่น้อยจึงไหวตัวทันอย่างรวดเร็วและเริ่มจู่โจมเหมยเหมย
หากพูดถึงเรื่องแรงและประสบการณ์การต่อสู้นั้นย่อมเป็นโฮ่วเซิ่งหนานที่อยู่เหนือกว่าหนึ่งขั้น แต่เหมยเหมยมีแส้ยาวในมืออยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านี้เธอยังเป็นคนมีไหวพริบ บวกกับอารมณ์ขุ่นเคืองที่อัดอั้นอยู่เต็มอกกลับทำให้ทั้งคู่สู้กันอย่างไม่มีใครเป็นรองใคร สถานการณ์ดุเดือดเป็นอย่างมาก
จึงดึงดูดคนรอบข้างพากันเข้ามามุงดู แต่ละคนต่างอ้าปากเหวอตาโต
นี่กำลังถ่ายหนังอยู่หรือ?
แต่ไม่นานพวกเขาก็เข้าใจ ที่แท้ก็เพื่อแย่งผู้ชาย…
“โฮ่วเซิ่งหนานเธอทำให้คุณลุงของเธออับอายขายหน้าหมดแล้ว อยู่ต่างประเทศทำตัวสำส่อนเหมือนหญิงโสเภณี ไม่สิ เธอมันยิ่งกว่าหญิงโสเภณี โสเภณีขายตัวเพื่อหาเงินใช้ชีวิตแต่เธอกลับทำเพื่อเติมเต็มความต้องการของเธอ เธอมันเป็นของสกปรกยิ่งกว่าผู้หญิงขายตัวอีก!”
เหมยเหมยใช้ภาษาอังกฤษด่ากลับไป อย่าให้พูดเลยว่าหลายวันมานี้ได้ปะทะกับโฮ่วเซิ่งหนานช่วยพัฒนาทักษะการพูดของเธอได้มากทีเดียว เซียวเซ่อจะต้องภูมิใจแน่ ๆ
คนที่มามุมภาษาอังกฤษหากไม่ใช่ชาวต่างชาติก็ต้องนักศึกษาที่ต้องการฝึกทักษะด้านการพูดย่อมฟังรู้เรื่องได้เป็นส่วนมาก จึงแสดงสีหน้าประหลาดพลางมองโฮ่วเซิ่งหนานหลายทีอย่างอดไม่ได้
แม้จะมองเห็นหน้าไม่ชัดนักแต่ดูจากการแต่งตัวของผู้หญิงคนนี้ ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่สาวกุลสตรีเรียบร้อยนี่นา!
“จ้าวเหมยเธอมันรนหาที่ตาย ฉันจะให้ทนายของฉันติดต่อเธอไปแน่!” โฮ่วเซิ่งหนานสีหน้าเย็นยะเยือกและลงมืออย่างไม่ปรานีแต่กลับโดนแส้ฟาดใส่ตัวหลายทีเลยยิ่งคับแค้นใจกว่าเดิม
“แล้วมีแค่เธอเหรอที่มีทนาย? โฮ่วเซิ่งหนานเธออย่าคิดว่าเธอไม่ยอมรับเรื่องฉาวโฉพวกนั้นแล้วจะไม่มีใครรู้ เหอะ ถ้าคนอื่นไม่รู้ก็ยกเว้นเสียแต่ว่าตัวเองไม่ได้ทำ!”
เหมยเหมยทุ่มแรงสุดตัวที่มีกระตุกแส้ฟาดไปอีกครั้งแรง ๆ
ให้เธอแย่งผู้ชายของฉัน!
ฟาดให้ตายไปเลยดีกว่า!
โฮ่วเซิ่งหนานหลบไม่ทันจึงโดนฟาดไปอีกทีพลันนึกโกรธจนกระทืบเท้า เธอสวมรองเท้าส้นสูงส้นเข็มแหลมปรี๊ด หากเธอเตะโดนตัวต้องได้แผลเลือดตกยางออกบ้างแหละ
ตอนที่ 1460 พวกเธอกำลังต่อสู้กัน
เหมยเหมยหลบไม่ทันเลยรีบตีลังกาหงายหลังเก้าสิบองศา ร่างกายที่อ่อนยืดหยุ่นตีเป็นสะพานโค้งสวยงาม เพื่อน ๆที่มุงอยู่รอบด้านต่างปรบมือเฮลั่น เป็นปกติที่คนเรามักจะเห็นใจคนที่อ่อนแอกว่า โฮ่วเซิ่งหนานกับเหมยเหมยสองคน
คนหนึ่งตัวสูงใหญ่ คนหนึ่งร่างเล็กบอบบาง
คนหนึ่งแต่งตัวเหมือนหญิงขายบริการตามข้างทาง ส่วนอีกคนกลับดูเรียบร้อยไร้ตำหนิ
ภายในใจของทุกคนเลยเอนเอียงไปทางเหมยเหมยอย่างชัดเจน หวังเพียงว่าเหมยเหมยจะเอาชนะโฮ่วเซิ่งหนานได้
พอโฮ่วเซิ่งหนานเตะหนึ่งทีไม่โดนก็ยกขาเตะเป็นครั้งที่สอง เหมยเหมยตกใจกลิ้งลงสนามหญ้าอยู่หลายทีด้วยท่าทียากลำบาก แต่คนสวยต่อให้กลิ้งอย่างไรก็ยังงดงามน่าเชยชมอยู่ดี ทุกคนกลับเป็นห่วงเธอเสียมากกว่า
เหมยเหมยแค้นใจที่ผู้หญิงคนนี้จะเอาถึงตายหลายต่อหลายครั้ง รองเท้าส้นสูงคู่นั้นคืออาวุธสังหารร้ายที่หากเตะโดนเธอเข้าหากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสบ้างแหละ เธอตัดสินใจฟาดแส้อย่างแรงให้พันข้อขาข้างหนึ่งของโฮ่วเซิ่งหนานไว้ จากนั้นก็กระชากอีกทีจนโฮ่วเซิ่งหนานล้ม เหมยเหมยค่อยกระโดดขึ้นคร่อมบนตัวเธอกระชากผมเธอไว้อย่างแรงให้หน้าเธอมุดเข้ากองหญ้า
“ผู้หญิงที่ต่ำช้ายิ่งกว่าหมาอย่างเธอ พี่หมิงซุ่นแค่เห็นก็อยากอ้วกแล้ว เธอไสหัวไปให้ไกลเลยนะ!”
“อย่าคิดว่าเธอมีคุณลุงคอยหนุนหลังก็ทำอะไรตามอำเภอใจได้ เหอะ ต่อให้เธอเป็นเจ้าหญิงจริง ๆก็ไม่มีอำนาจมากขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้นเธอเป็นแค่ลูกสาวตระกูลโฮ่ว จะมาทำตัวอวดดีต่อหน้าฉันอะไรนักหนา!”
“ถ้าคราวหน้ายังวางท่าทำอะไรตามอำเภอใจต่อหน้าฉันอีก อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ!”
……
เหมยเหมยด่าหนึ่งประโยคก็จับศีรษะโฮ่วเซิ่งหนานกระแทกพื้นหญ้าทีหนึ่ง แม้จะไม่เจ็บแต่กลับเป็นการหยามอย่างถึงที่สุด
นิสัยคุณหนูใหญ่อย่างโฮ่วเซิ่งหนานต้องไม่มีทนไหวอยู่แล้ว
เหมยเหมยต้องการใช้วิธีนี้หยามโฮ่วเซิ่งหนานให้เธอรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ประเทศจีนในตอนนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เธอคิดว่าอยากทำอะไรก็ทำได้ อยากทำตัวกร่างก็กลับไปกร่างที่ตระกูลโฮ่วไป!
โฮ่วเซิ่งหนานอยากพลิกตัวให้เหมยเหมยอยู่ด้านล่างแทนอยู่หลายครั้ง แต่เหมยเหมยกดทับจุดเส้นประสาทบางจุดของเธอไว้โดยบังเอิญทำให้ตัวอ่อนปวกเปียกไม่มีแรงใด ๆ จึงจำต้องปล่อยให้โดนหยามต่อไป
“จ้าวเหมย…ฝากไว้ก่อนเถอะ…”
โฮ่วเซิ่งหนานจ้องเหมยเหมยอย่างดุดันราวกับมองคนตายก็ไม่ปาน สิ่งที่โดนหยามในวันนี้หากเธอไม่เอาคืนเป็นร้อยเท่าก็อย่ามาเรียกว่าโฮ่วเซิ่งหนานเลย!
“ฉันจะรอ!”
เหมยเหมยลุกขึ้นยืนใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบหน้าโฮ่วเซิ่งหนานไว้แล้วก้มมองเธอจากที่สูง ในที่สุดก็ได้ปลดปล่อยสักที
ให้ผู้หญิงคนนี้ได้ลิ้มรสที่โดนดูถูกหยามเหยียดเสียบ้าง
ทุกคนลูกตาแทบถลนเพราะผลลัพธ์ที่ออกมา ทำไมถึงกลายเป็นว่าดอกไม้ดอกเล็กเอาชนะดอกไม้พันธุ์ดุร้ายได้ล่ะ?
นี่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!
แต่ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าจนทำให้พวกเขาต้องเชื่อ พอลเองก็ได้สติกลับมาอย่างไว เขาไม่คิดว่าโฮ่วเซิ่งหนานที่เย่อหยิ่งยิ่งกว่านกยูงในขณะนี้จะถูกคนสวยที่ดูอ่อนแอบอบบางเหยียบไว้ใต้เท้าเยี่ยงหมา นี่มันน่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ!
“เจสสิก้า…พระเจ้า…รีบปล่อยเจสสิก้า!”
พอลคิดจะมาดึงเหมยเหมยออกแต่ฉีฉีเก๋อขวางเขาไว้ด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเธอกำลังสู้กันอยู่ เราจะเข้าไปยุ่งไม่ได้”
“สู้เหรอ?” พอลทำท่างุนงง
นี่ไม่ใช่การทะเลาะวิวาทกันหรอกหรือ?
“ใช่ ต่อสู้เพื่อความรัก เราแค่คอยดูอยู่ข้าง ๆก็พอ”
ฉีฉีเก๋อพูดด้วยท่าทีจริงจังซึ่งแน่นอนว่าเธอคิดเช่นนี้จริง ๆ เพราะที่ทุ่งหญ้าบ้านเกิดเธอมีผู้ชายมากมายที่จะทำการต่อสู้เพื่อหญิงผู้เป็นที่รัก คนพ่ายแพ้จะเป็นฝ่ายถอยออกไปเอง เธอคิดว่าเหมยเหมยกับโฮ่วเซิ่งหนานก็เช่นกัน
พอลเห็นว่าเธอไม่เหมือนกำลังโกหกเลยหลงคิดไปตามนั้นจึงตัดสินใจไม่เข้าไปห้าม เขาเลือกที่จะรอให้พวกเหมยเหมยต่อสู้กันเสร็จก่อนอย่างเงียบ ๆเฉกเช่นเดียวกับฉีฉีเก๋อ
พระเจ้าคุ้มครอง!
อาเมน!
……………………….
ตอนที่ 1461 เธอแพ้แล้ว
เหมยเหมยย่ำฝ่าเท้าลงไปที่หน้าของโฮ่วเซิ่งหนานอย่างแรงนั่นจึงทำให้คลายความโมโหลงได้ พลันเอ่ยขึ้นด้วยความเย็นชา “โฮ่วเซิ่งหนาน เธอแพ้แล้ว!”
โฮ่วเซิ่งหนานเจ็บปวดใจ จนแทบจะกระอักออกมาเป็นเลือด
ตั้งแต่เล็กจนโตไม่ว่าจะเป็นการสอบหรือการแข่งขันก็ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ในชั่วชีวิตของเธอเองก็ไม่เคยมีคำว่า ‘แพ้’ คำนี้อยู่เลย
แต่ตอนนี้…
เธอกลับถูกกระต่ายน้อยสีขาวตัวหนึ่งทำให้พ่ายแพ้?
และยังเป็นหนึ่งวิธีการที่น่าอับอายที่สุด!
ในเวลานี้โฮ่วเซิ่งหนานคิดแค่อยากจะฆ่าจ้าวเหมย ทำลายเกียรติของเธอ และทิ้งเธอไว้ในย่านโคมแดงของตะวันออกกลาง พร้อมให้คนชนชั้นล่างที่แสนน่าขยะแขยงเหล่านั้นทรมานเธอ…
แต่เธอก็ทนไหว เรื่องเหล่านี้จะต้องจัดการอย่างลับ ๆและไม่ควรให้คุณลุงรับรู้ เธอจะต้องคิดหาวิธีการที่ดีต่อกันทั้งสองฝ่าย กำจัดเสี้ยนนามอย่างยัยจ้าวเหมยนี่ทิ้ง และยังไม่ควรให้เหยียนหมิงซุ่นรับรู้ว่าเธอเป็นคนทำ
มิเช่นนั้นในภายภาคหน้าเธอจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับเหยียนหมิงซุ่นได้อย่างไร?
เหมยเหมยดึงฝ่าเท้ากลับคืน รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมามาก คิดไปคิดมาก่อนจะพูดเสริมขึ้นว่า “โฮ่วเซิ่งหนาน เธอมันก็แค่เนี่ย เธอจะจองหองต่อหน้าฉันไปเพื่ออะไร?”
พอพูดจบเธอจึงชูนิ้วก้อยส่งให้โฮ่วเซิ่งหนาน พร้อมกับลากฉีฉีเก๋อออกไป
“ขอโทษนะ เอาไว้คราวหน้าฉันจะมาเป็นเพื่อนอีก” เหมยเหมยเกิดรู้สึกผิด พูดเสียดิบดีว่าจะมาฝึกทักษะการพูดเป็นเพื่อนเธอ ผลสุดท้ายกลับมาทะเลาะกับโฮ่วเซิ่งหนานเสียอย่างนั้น
ฉีฉีเก๋อไม่ได้สนใจอะไร อีกทั้งยังนึกโล่งใจเสียมากกว่า พูดตามความจริง เธอไม่อยากจะอ้าปากพูดภาษาอังกฤษต่อหน้าผู้คนมากมายเอาเสียเลย!
“เหมยเหมย เมื่อครู่ทำไมเธอถึงไม่รับปากดื่มเหล้าล่ะ?” ฉีฉีเก๋อแปลกใจไม่น้อย แค่ดื่มเหล้าเท่านั้นเอง อย่างมากเธอจ่ายเงินให้ก็ได้นี่
เหมยเหมยจึงอธิบายความหมายการอุปมาของการดื่มเหล้า เธอพูดออกมาด้วยคำพูดที่ค่อนข้างมีนัยยะแอบแฝง แต่ฉีฉีเก๋อก็เข้าใจได้ ใบหน้าแดงปรี๊ดในทันที โกรธเป็นอย่างมาก
“โชคดีนะที่เธอปฎิเสธไป ไอ้ฝรั่งตาน้ำข้าวนี่ช่างน่าขยะแขยง ฉันดูเหมือนเป็นพวกผู้หญิงง่ายหรือไง…น่าโมโหชะมัด…ครั้งหน้าหากได้เจอหน้าฝรั่งตาน้ำข้าวนั่นอีกละก็ ฉันจะอัดหน้ามัน!”
ฉีฉีเก๋อก่นด่าไปยกใหญ่ แต่ก็นับว่าเป็นความโชคดีของเธอที่เหมยเหมยมาเป็นเพื่อน ไม่งั้นความซื่อบื่อของเธอ ไม่แน่ว่าอาจจะตามไปดื่มเหล้าด้วย และอาจจะเกิด…
ความกลัวเพียงชั่วครู่ ยิ่งทำให้เธอรู้สึกขอบคุณเหมยเหมยมากขึ้น พ่อพูดไม่ผิดเลย คบกับเพื่อนที่จริงใจยังมีคุณค่าเสียยิ่งกว่าม้าพันลี้สักตัวหนึ่ง
เหมยเหมยและเหยียนหมิงซุ่นนัดเวลากันเอาไว้คือเก้าโมงครึ่ง แต่เป็นเพราะการปรากฏตัวของโฮ่วเซิ่งหนาน ในขณะนี้ยังไม่ทันถึงเก้าโมง เหมยเหมยก้มมองดูเสื้อไหมพรมที่เต็มไปด้วยเศษหญ้าแห้ง เธอไม่เต็มใจที่จะกลับหอไปเพื่อเป็นตัวตลกของเจิ้งเสวี่ยซานและคนอื่น ๆ และแม้ว่าเมื่อครู่เธอนั้นจะฟาดโฮ่วเซิ่งหนานไปหลายครั้งด้วยแส้ แต่ตัวเธอเองก็โดนหมัดไปไม่น้อยเหมือนกัน
เมื่อครู่อยู่ในอารมณ์โกรธจึงไม่รับรู้สึกถึงความเจ็บ แต่ตอนนี้กลับเริ่มรู้สึกปวดเป็นพัก ๆแล้ว
เธอวิ่งไปยังตู้โทรศัพท์เพื่อโทรหาเหยียนหมิงซุ่น ไม่นานเหยียนหมิงซุ่นก็มารับเธอ เพียงได้เห็นร่องรอยน่าเวทนาบนตัวเธอ เหยียนหมิงซุ่นก็รู้ได้ว่าเกิดเรื่อง เพิ่งขึ้นรถเขาก็รีบเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เหมยเหมยมุ่ยหน้าพูด เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจ “เมื่อกี้ฉันสั่งสอนโฮ่วเซิ่งหนานไปอย่างสาหัสเลย คอยดูว่าต่อไปนี้ยังจะกล้าเบ่งต่อหน้าฉันอีกไหม!”
เหยียนหมิงซุ่นที่ได้ฟังก็รับรู้ได้ว่าเหมยเหมยไม่ได้เสียเปรียบ จึงอดขำไม่ได้ พลางยื่นมือไปตบไหล่เหมยเหมยเบา ๆ
“โอ๊ย…”
เหมยเหมยทนไม่ได้จึงร้องออกมาแล้วหดตัวไปด้านหลัง เมื่อครู่โฮ่วเซิ่งหนานปล่อยหมัดเข้าที่ไหล่เธอครั้งหนึ่ง
เหยียนหมิงซุ่นสีหน้าขรึมขึ้นมาทันที เขาหยุดรถ พร้อมกับค่อย ๆดึงคอเสื้อไหมพรมที่เหมยเหมยใส่ลง เผยให้เห็นไหล่เปลือยเปล่าราวกับหยกขาว แต่บัดนี้กลับเผยรอยฟกช้ำที่น่าตกใจเพิ่มขึ้นมา
“โฮ่วเซิ่งหนานทำหรือ?” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ ในแววตาฉายแววความปวดใจขึ้นมา
ตอนที่ 1462 กู่เจิงระดับไฮเอนด์
เหมยเหมยพยักหน้ารับอย่างตรงไปตรงมา และยังพูดอีกว่า “โฮ่วเซิ่งหนานเจ็บหนักกว่าฉันอีก ฉันฟาดแส้ใส่เธอไปตั้งหลายที”
เหยียนหมิงซุ่นจ้องเธออย่างโมโห ผู้หญิงคนนั้นต่อให้ตายไปเขาก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าภรรยาของเขานั้นบาดเจ็บเพียงปลายขนก็ทำให้เขารู้สึกปวดใจแล้ว
“ใครเริ่มก่อน?” เหยียนหมิงซุ่นถาม
“โฮ่วเซิ่งหนาน เธอจะตบหน้าฉัน ฉันถึงได้เอาคืน” เหมยเหมยมีเหตุผลพอจึงพูดได้อย่างเต็มปาก เธอทำไปเพื่อป้องกันตัว ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีเหตุผลทั้งนั้น
“เด็กดี!”
เหยียนหมิงซุ่นลูบหัวเธอ ในใจกลับคิดหาแผนการที่จะกำจัดยัยโรคจิตโฮ่วเซิ่งหนานนั่นให้ออกไปจากมหา’ลัยถึงจะวางใจได้ มิเช่นนั้นยัยโรคจิตนี่วัน ๆเอาแต่จับจ้องเหมยเหมย เขาเองต้องมีช่วงเวลาที่ดูแลไม่ได้แน่ อย่างเช่นคืนนี้
แต่หลังจากกลับถึงบ้าน เดิมเหยียนหมิงซุ่นเตรียมที่จะเพลิดเพลินกับการอาบน้ำร่วมอ่างกับภรรยาของตน แต่กลับพบว่าตามตัวเหมยเหมยปรากฏร่องรอยฟกช้ำจำนวนมาก ทำเอาดวงตาของเขาแทบลุกเป็นไฟ
เพียงแค่ขับไล่ให้ออกไปจากมหาวิทยาลัยนั้นดูจะง่ายต่อยัยโรคจิตนั่นไปหน่อย ต้องทำให้เธอไม่มีที่ยืนในฮวาเซี่ยถึงจะสาแก่ใจ
รอให้ทางเซียวเซ่อส่งข้อมูลมา เขาค่อยดูว่าจะมีวิธีการอะไรดี ๆอีกบ้าง !
“เธออดทนอีกไม่กี่วัน พี่จะหาวิธีทำให้โฮ่วเซิ่งหนานออกไปจากมหาวิทยาลัยให้ได้” เหยียนหมิงซุ่นพูดข้างหูเหมยเหมย มือก็นวดบริเวณฟกช้ำให้เธอไม่หยุดเพื่อกระจายลิ่มเลือด ทำให้ปวดจนเหมยเหมยน้ำตาเล็ด
“…เจ็บ…ฉันไม่อยากนวดแล้ว…อีกไม่กี่วันมันก็จะหายเอง”
เหมยเหมยอัดอั้นเสียเป็นไหน ๆ เริ่มจากถูกต่อยไปหลายหมัด แล้วตอนนี้ยังมาเจอแรงนวดของเหยียนหมิงซุ่น ปวดยิ่งกว่าการถูกต่อยก่อนหน้านั้นอีก
เหยียนหมิงซุ่นเห็นดังนั้นก็นึกขำ แรงที่ฝ่ามือไม่มีลดหย่อนเลยแต่น้ำเสียงกลับนุ่มนวลมาก “พี่บีบนวดแบบนี้ พรุ่งนี้รอยจ้ำเลือดก็หายแล้ว ถ้าหายเองต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ยอมเจ็บเพียงชั่วครู่ดีกว่าต้องทนเจ็บระยะยยาวนะ”
เหมยเหมยซบอยู่ในอ้อมแขนของเหยียนหมิงซุ่นร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด กล้าโมโหแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก
อันที่จริงตัวเธอยอมทนเจ็บระยะยาวดีกว่า!
ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของยัยโรคจิตโฮ่วเซิ่งหนาน ต่อไปนี้ถ้าเธอได้เจอหน้าหนึ่งครั้งเท่ากับอับอายหนึ่งครั้ง!
เหมยเหมยสาปแช่งโฮ่วเซิ่งหนานอยู่หลายครั้ง การนวดของเหยียนหมิงซุ่นรวมกับน้ำอุ่น ทำให้เธอค่อย ๆคืบคลานเข้าสู่ห้วงนิทรา และนอนหลับคาอยู่ในอ่างอาบน้ำเสียอย่างนั้น เหยียนหมิงซุ่นช่วยล้างตัวให้เธอจนสะอาดด้วยการกระทำที่แสนจะนุ่มนวล จากนั้นอุ้มมาวางบนเตียง สวมกอดเธอไว้แล้วหลับไปพร้อมกัน
วันถัดมาในช่วงสายมีคาบเรียนภาษาอังกฤษ แต่โฮ่วเซิ่งหนานไม่ได้เหมือนครั้งก่อน ๆที่มักทำให้เหมยเหมยอึดอัด ทั้งคาบนั้นอยู่ในความสงบ แต่เหมยเหมยรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องอยู่ในวังวนสกปรกคงคิดกำลังว่าจะจัดการกับเธอเช่นไร
ตอนเที่ยงช่วงพักผ่อนกันอยู่ในหอพัก สีอันน่าถามขึ้นกะทันหัน “สวีจื่อเซวียน งานเลี้ยงต้อนรับเธอเตรียมการแสดงอะไรหรือ?”
สวีจื่อเซวียนมีท่าทีเย็นชาเหมือนดั่งเดิม “ไม่มีอะไร แค่เล่นกู่เจิง”
“เธอเล่นกู่เจิงได้ด้วย เยี่ยมมากเลย!”
สีอันน่าชูนิ้วโป้งให้รู้สึกเกินคาดไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าคนอย่างสวีจื่อเซวียนที่มาจากตำบลเล็ก ๆจะเล่นกู่เจิงที่เป็นเครื่องดนตรีระดับไฮเอนด์ได้
สวีจื่อเซวียนยิ้มขำอย่างไม่เห็นด้วยนัก “เล่นกูเจิงได้มีอะไรเยี่ยมนักหนา”
สีอันน่านิ่งค้างไป ทำไมฟังดูแล้วทะแม่ง ๆจึงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองสวีจื่อเซวียนนานขึ้น ซึ่งยังคงเป็นเหมือนเดิม เงียบขรึมเย็นชา บนใบหน้าเขียนไว้ชัด ‘คนนอกห้ามรบกวน’ จึงได้ปิดปากเงียบด้วยความโมโห
แต่เมื่อเธอยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ ที่ปล่อยให้รูมเมทที่มาจากตำบลเล็ก ๆดูถูกเอาได้ เธอจะทนได้อย่างไรเล่า?
“พวกเธอรู้หรือยัง? อาจารย์ภาษาอังกฤษก็จะร่วมการแสดงในงานเลี้ยงต้อนรับด้วยนะ!?” สีอันน่าเปิดการสนทนาก็เอ่ยถึงโฮ่วเซิ่งหนานขึ้นมาทันที ทุกคนต่างก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา
“อาจารย์ภาษาอังกฤษจะแสดงอะไร? ข่าวนี้เป็นเรื่องจริงหรือ?” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเอ่ยถามอย่างเหลือเชื่อ
สีอันน่าจึงโมโหขึ้นมา “แน่นอนสิว่าต้องเป็นเรื่องจริง ประธานของเราพูดเองเลย เขาเป็นพิธีกรของงานเลี้ยงต้อนรับเลยนะ โดยบอกว่าอาจารย์โฮ่วรับปากที่จะแสดงลาตินแดนซ์ในงานให้ คู่เต้นดูเหมือนจะเป็นเพื่อนของเธอ คงเป็นหนุ่มสุดหล่อชาวต่างชาติมั้ง!”
………………………………………………
ตอนที่ 1463 ลาตินแดนซ์
“ลาติน? โอ้โหว ครั้งนี้พวกเราคงได้เปิดหูเปิดตาแล้วล่ะ ฉันคิดว่าอาจารย์โฮ่วต้องเต้นลาตินแดนซ์ได้ดีมากแน่” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
สีอันน่าเข้าชมรมสุนทรพจน์ ซึ่งชมรมนี้มีบทบาทในมหาวิทยาลัยเป็นอย่างมาก เครือข่ายก็ใหญ่ที่สุด นั่นเพราะประธานชมรมเป็นเดือนของมหาวิทยาลัยและถือว่ามีบทบาทสำคัญ ปกติแล้วงานใหญ่ ๆของทางมหาวิทยาลัยล้วนเป็นเขาที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรในงาน
ดังนั้นแล้ว การที่โฮ่วเชิ่งหนานเข้าร่วมแสดงในงานเลี้ยงต้อนรับนั้นคงจะเป็นเรื่องจริง
ถังม่านลี่กลับไม่เข้าใจว่าอะไรคือลาติน สภาพจิตใจของเธอยังคงดีอยู่ เมื่อวานจะเป็นจะตาย เพียงชั่วข้ามคืนก็กลับมาเป็นปกติได้เหมือนอย่างแต่ก่อน เพียงแค่ไม่สนใจเหมยเหมย
“ลาตินคืออะไร?” ถังม่านลี่เอ่ยขอคำแนะนำอย่างนอบน้อม
เดิมทีเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเกิดอาการเบื่อหน่าย แต่พอเห็นดวงตาของถังม่านลี่ที่ยังคงบวมแดงอยู่เล็กน้อยก็เกิดใจอ่อนขึ้นมา รู้สึกว่ายัยบ้านนอกคอกนานี่ก็น่าสงสารเหมือนกัน แม้จะเป็นเพราะตัวเธอรนหาที่ตายเองและไม่ควรจะเห็นใจ แต่ใครใช้ให้คุณหนูเหริ่นอย่างเธอเป็นคนใจดีกันเล่า!
“การเต้นรำประเภทหนึ่งของชาวต่างชาติเป็นการเต้นระหว่างชายหญิงและให้อารมณ์เคลิบเคลิ้มตาม โธ่เอ๊ย พูดไปเธอก็ไม่เข้าใจ รอให้ถึงงานเลี้ยงต้อนรับเธอรอดูอาจารย์โฮ่วเต้นก็รู้เอง”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดตั้งนานสองนาน ถังม่านลี่ก็ยังคงมึนงง เธอจึงรู้สึกเสียอารมณ์
ถังม่านลี่จึงไม่กล้าถามอีก เพียงแอบหวังว่างานเลี้ยงต้อนรับจะมาถึงในเร็ววัน แบบนั้นจะทำให้เธอได้เรียนรู้ถึงความรู้ใหม่ ๆได้
สีอันน่าจงใจพูด “ฉันคิดว่างานเลี้ยงต้อนรับจะต้องเป็นงานที่ทำให้อาจารย์โฮ่วโดดเด่นมากแน่ ๆ เพราะเธอมีเสน่ห์บางอย่างในตัวอยู่แล้ว ต่อให้ยืนอยู่เฉย ๆก็สามารถทำให้ผู้คนละสายตาไปไหนไม่ได้เลย”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไม่ได้สนใจคำพูดของเธอเลย แต่กลับมองอย่างเอือมระอา
อาจารย์ภาษาอังกฤษและเหมยเหมยไม่ลงรอยกัน เธอไม่มีทางพูดจาโง่ ๆแบบนั้นเพื่อหาเรื่องเหมยเหมยหรอก!
อีกอย่างใจจริงของเธอนั้นไม่ได้รู้สึกว่าโฮ่วเชิ่งหนานสวย รูปลักษณ์ท่าทีก็ถือว่าไม่เลว เค้าโครงหน้าก็แค่นั้น เทียบไม่ได้กับเธอเลย!
เธอคิดว่าหากตัวเองผอมลงจะต้องสวยกว่าโฮ่วเชิ่งหนานแน่ มีคำพูดหนึ่งพูดว่าอย่างไรนะ คนอ้วนล้วนเป็นดั่งหุ้นที่เปี่ยมด้วยศักยภาพนี่!
เหมยเหมยแกล้งหลับอยู่บนเตียง จึงได้ยินคำพูดเหล่านี้อย่างชัดเจนพลันขบคิดไม่หยุด
ช่วงเวลานี้ต่อให้เป็นมหานครใหญ่อย่างเมืองหลวงคนที่เต้นลาตินแดนซ์ได้ก็น้อยนิด อีกทั้งผู้คนจำนวนมากก็เป็นเหมือนถังม่านลี่ แม้แต่ลาตินคืออะไรก็ยังไม่รู้ ยิ่งกว่านั้นคือไม่เคยเห็น
โฮ่วเชิ่งหนานจงใจเลือกเต้นลาตินแดนซ์ในงานเลี้ยงต้อนรับ จุดประสงค์ก็คงไม่พ้นเรื่องดึงดูดสายตาคนอื่น หากพูดตรง ๆก็เพื่อทำให้ตัวเองโดดเด่นนั่นแหละ
เป้าหมายเดียวในการมีชีวิตอยู่ของผู้หญิงคนนี้ก็คงเพื่อให้ตัวเองโดดเด่น!
ทั้ง ๆที่เป็นอาจารย์ ยังคิดที่จะเข้าไปวุ่นวายในงานเลี้ยงของนักเรียนอีก เหอะ ก็คิดได้แค่นี้!
คำพูดของสีอันน่าได้เตือนสติเหมยเหมย เป็นไปได้ว่าโฮ่วเชิ่งหนานอาจจะใช้การเต้นลาตินมาเป็นตัวช่วยในการดึงดูดสายตาผู้คนในงานเลี้ยง นางผู้หญิงคนนี้คงภาคภูมิใจมากสินะ?
เหมยเหมยกัดฟันแน่น เธอไม่ควรปล่อยให้นางผู้หญิงคนนี้ได้ใจไปมากเกิน เธออยากจะโดดเด่นนักไม่ใช่หรือ?
ไม่ปล่อยให้เธอได้ประสบความสำเร็จหรอก!
ระหว่างทางที่เดินไปเรียนในช่วงบ่าย เหมยเหมยได้พูดกับฉีฉีเก๋อ “เธอช่วยบอกฉางชิงซงแทนฉันหน่อยว่าฉันตกลงที่จะร่วมแสดงในงานเลี้ยงต้อนรับด้วย”
ฉีฉีเก๋อดีใจเป็นอย่างมาก จึงถามเธอว่าจะแสดงอะไร
เหมยเหมยคิดไปคิดมา ก่อนจะตอบ “ระบำกลอง!”
นี่เป็นสิ่งที่เธอขบคิดมาเนิ่นนานเมื่อครู่ ในเมื่อไม่อยากให้โฮ่วเชิ่งหนานโดดเด่น เพราะงั้นการแสดงของเธอจะต้องโดดเด่นและเป็นที่จับตามองของผู้คนมากกว่าการแสดงของโฮ่วเชิ่งหนาน อีกอย่างหนึ่งคือโฮ่วเชิ่งหนานต้องการพึ่งพาความยิ่งใหญ่ของการเต้นแบบตะวันตกเพื่อเรียกร้องให้ผู้คนสนใจ งั้นเธอก็จะแสดงการเต้นรำแบบดั้งเดิมของฮวาเซี่ย
ระบำกลองเป็นการเต้นที่มีชื่อเสียงของอาจารย์ไต้ผิ่นเหลียนที่เป็นปรมาจารย์ด้านการเต้น เป็นผลงานที่คุณไต้ศึกษาจากข้อมูลเอกสารจำนวนมาก ดัดแปลงมาจากการเต้นแบบโบราณ ทุกครั้งที่ขึ้นแสดงจะได้เสียงปรบมือต้อนรับกึกก้อง และเป็นผลงานที่ถูกนักเต้นรำคนอื่นลอกเลียนแบบ แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครแซงหน้าได้
แต่คุณไต้กลับได้ถ่ายทอดทักษะไม้เด็ดอันมีชื่อเสียงของเขาให้กับเหมยเหมย ทั้งยังบอกอีกว่าเหมยเหมยนั้นมีจิตวิญญาณของเขาอยู่ในตัว
ตอนที่ 1464 ระบำกลอง
ก่อนหน้านั้นเหมยเหมยเคยดูวีดิโอระบำกลองของครูไต้มาก่อน ช่างเก่งกาจจนน่าอัศจรรย์ราวกับเทพธิดาเต้นระบำอยู่บนกลอง เธอรู้ตัวเองดีว่าความสามารถเทียบเท่ากับคุณไต้ไม่ได้เศษเสี้ยวเลย แต่ก็มีความมั่นใจมากพอที่จะเอาชนะลาตินอะไรนั่นของโฮ่วเซิ่งหนานแน่นอน
“ระบำกลองคือระบำอะไรเหรอ?” ฉีฉีเก๋อแปลกใจมาก ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
เหมยเหมยเผยรอยยิ้มบาง ๆ “ถึงเวลานั้นเธอก็รู้เอง”
ตอนนี้เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่าก็จะถึงวันงานเลี้ยงต้อนรับซึ่งเพียงพอที่เตรียมตัว
พอฉางชิงซงรู้ว่าเหมยเหมยจะเข้าร่วมแสดงในงานเลี้ยงต้อนรับ อย่าให้เอ่ยเลยว่าดีใจแค่ไหน เขารู้อยู่แล้วว่าให้คนแพร่ข่าวเรื่องที่โฮ่วเซิ่งหนานร่วมแสดงด้วย ดาวมหาวิทยาลัยคงไม่นิ่งนอนใจแน่!
ผู้หญิงสองคนสู้กันเพื่อแย่งผู้ชายคนเดียว หากไม่ใช่ลมตะวันออกพัดลมตะวันตกให้ล้ม ก็คงเป็นลมตะวันตกที่พัดลมตะวันออกให้ล้มลง!
คิดไปคิดมางานเลี้ยงต้อนรับที่จัดขึ้นในปีนี้จะต้องครึกครื้นแน่!
ที่เหมยเหมยไม่รู้คือข่าวคราวที่เธอจะแสดงระบำกลองนั้นได้ถูกป่าวประกาศไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย จากเดิมพวกนักศึกษาปีแก่ที่ไม่ได้สนใจต่องานเลี้ยงต้อนรับนี่เท่าไร แต่ทุกคนต่างก็เหมือนกับฉีดเลือดไก่[1]ก็มิปาน
“ระบำกลองคืออะไร?”
“เหมือนกับจ้าวเฟยเยี่ยนที่ยืนอยู่บนแผ่นเงินแล้วโบยบินไปตามสายลมใช่ไหม?”
“เจ้าโง่ อันหนึ่งคือกลอง อีกอันคือแผ่นเงิน สิ่งของแตกต่างกันแล้วจะไปหาคนที่แข็งแกร่งพอจะแบกดาวมหา’ลัยได้จากที่ไหนเล่า?”
“มามามา…พนันกัน เรามาพนันกันว่าอาจารย์เจสสิก้ากับดาวมหา’ลัย ใครจะเต้นได้ดีจนดึงดูดผู้คนมากกว่ากัน?”
“ฉันพนันเจสสิก้า!”
“ฉันพนันดาวมหา’ลัย!”
…
เหมยเหมยทำราวกับไม่ได้ยินเรื่องเหล่านี้ ทุกวันนี้เธอยุ่งจนหัวหมุน ทั้งเรียน วาดภาพ ไหนจะซ้อมเต้นอีก…ตกดึกยังต้องอยู่กับเหยียนหมิงซุ่น เธอแทบอดใจไม่ไหวที่จะแยกร่างออกเป็นสามส่วน
“งานเลี้ยงต้อนรับคือวันไหน? ถึงเวลานั้นพี่จะไปดู” เหยียนหมิงซุ่นบีบ ๆ นวด ๆขาให้เหมยเหมย แอบฉวยโอกาสเอาเปรียบเธออย่างเปิดเผย
“ต้นเดือนหน้า…ซี๊ด…เบาหน่อยสิ…” เหมยเหมยกัดผ้าปูที่นอนไว้พร้อมกับเปล่งเสียงร้อง ไม่ได้ฝึกซ้อมมาช่วงหนึ่ง กระดูกและข้อต่อแข็งไปหมด
เหยียนหมิงซุ่นไม่เข้าใจเลยว่าเจ้าตัวแสบกำลังคิดอะไรอยู่ หากตามแผนของเขา โฮ่วเซิ่งหนานคงได้ถูกไสหัวออกจากมหาวิทยาลัยไปตั้งนานแล้ว แต่เหมยเหมยกลับไม่เห็นด้วย เอาแต่บอกว่ารอให้ผ่านพ้นช่วงงานเลี้ยงต้อนรับไปก่อนถึงจะยอมให้ผู้หญิงคนนั้นออกไป
ทั้งยังบอกว่าจะมอบของขวัญส่งท้ายที่ยากจะลืมให้กับผู้หญิงคนนั้นด้วย!
จิตใจของผู้หญิงนั้นยากแท้หยั่งถึง แม้แต่เจ้าตัวแสบของเขายังกลายเป็นดั่งเข็มในมหาสมุทร
ในเมื่อเหมยเหมยเตรียมตัวที่จะให้ตัวเองโดดเด่นในงานเลี้ยงจึงเป็นธรรมดาที่จะตระเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อม ชุดเต้นและกลองเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุด และหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกลอง กลองใหญ่ตัวหนึ่งที่รับน้ำหนักคนยืนได้ และยังมีกลองเล็กอีกแปดตัว เพียงแค่นี้ก็ดูใหญ่โตโอ่อ่าแล้ว
แต่มีเหยียนหมิงซุ่นอยู่ทั้งคนนี่ เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แค่เหยียนหมิงซุ่นออกคำสั่งไม่ถึงสามวันก็ยืมกลองมาจากคณะระบำของเมืองหลวงมาได้
วันเวลาผ่านพ้นไปในแต่ละวันระบำของเหมยเหมยก็ฝึกซ้อมได้ดีมากพอ เพียงไม่นานวันงานเลี้ยงต้อนรับก็ล่วงเลยมาถึง
งานเลี้ยงต้อนรับปีใหม่จัดขึ้นในหอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยในช่วงบ่าย เหมยเหมยเปลี่ยนมาสวมชุดระบำสีแดงสดซึ่งเป็นชุดที่ยืมมาจากคณะระบำ เหยียนหมิงซุ่นยังได้ยืมช่างแต่งหน้าของที่นู่นมาด้วย เพื่อแต่งหน้าให้เหมยเหมยจะได้ขึ้นเวทีอย่างงดงาม
เฮ่อเหลียนชิงว่าง ๆอยู่ในสวนฟาร์มจนรู้สึกเบื่อ ช่วงนี้เห็นเหยียนหมิงซุ่นไม่ค่อยทำการทำงานเท่าไหร่นัก เอาแต่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับคณะระบำ พอสอบถามจนรู้ความที่แท้ก็ทำเพื่อนางเด็กบ้านั่น และได้ยินมาอีกว่าเตรียมตัวแสดงระบำกลองอะไรนั่น เฮ่อเหลียนชิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจ
เมื่อก่อนเขาเคยเห็นไต้ผิ่นเหลียนทำการแสดงระบำกลองมาก่อน นึกไม่ถึงว่านางเด็กบ้านี่จะกล้าท้าทายการเต้นที่มีความยากในระดับนี้ได้ ถึงเวลานั้นจะต้องอับอายขายขี้หน้าเป็นแน่!
เมื่อเป้าหมายคือการรอดูเหมยเหมยขายขี้หน้า เฮ่อเหลียนชิงจึงมาที่มหาวิทยาลัยด้วยความตื่นเต้น นั่นแทบจะทำให้อธิการเป็นโรคหัวใจได้ ไม่อาจรู้เลยว่าท่านผู้นี้มาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
“คุณอย่ามานั่งข้างผม ไปนั่งที่อื่น อย่าให้คนอื่นรู้ว่าผมมาที่นี่สิ” เฮ่อเหลียนชิงปัดป่ายมืออย่างรังเกียจ ไม่ยอมให้อธิการนั่งขวางหูขวางตาข้าง ๆเขา
อธิการอึดอัดใจ…
โธ่พ่อคุณ ที่นั่งที่อยู่ใต้ก้นคุณก็คือนั่งของอธิการอย่างผมไงล่ะ!
………………………………………………….
ตอนที่ 1465 ขัดต่อประเพณีและศีลธรรมอันดี
ที่คอของเหยียนหมิงซุ่นแขวนกล้องถ่ายรูปเอาไว้และมัวยุ่งอยู่ด้านล่างเวที เขากำลังมองหาที่ที่เหมาะต่อการถ่ายวิดีโอ อีกเดี๋ยวจะต้องถ่ายเก็บภาพความงดงามของภรรยาตัวน้อยของตนเอาไว้
“แกนั่งลงจะได้ไหม ขยับไปขยับมาอยู่ได้ ตาลายหมดแล้ว!” เฮ่อเหลียนชิงตวาดออกมาอย่างไม่พอใจ
ตั้งแต่เข้าหอประชุมมาจนถึงตอนนี้ เจ้าเด็กบ้านี่ไม่ยอมหยุดนิ่ง ใช่ว่าจะไม่มีกล้องถ่ายเสียหน่อย ไม่เห็นด้านข้างที่มีพวกนักข่าวกระโดดโลดเต้นไปทั่วเหมือนกับลิงหรือไง?
เฮ่อเหลียนชิงจึงอดไม่ได้และพูดอีกครั้ง “เรื่องพรรณนี้จำเป็นต้องลงมือทำเองหรือ? อีกเดี๋ยวหานักข่าวสักคน แล้วก็เอากล้องอัดวิดีโอมาก็ได้แล้วไม่ใช่หรือไง?”
เหยียนหมิงซุ่นไม่แม้แต่จะหันกลับ ยังคงตามหาที่ที่เหมาะกับการถ่ายวิดีโอและพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบ “คนอื่นถ่ายไม่ดีเท่าผมถ่าย อีกอย่างเหมยเหมยกำชับไว้ด้วย ว่าผมต้องถ่ายเองกับมือ”
แม้สีหน้าของเขาจะไร้ซึ่งอารมณ์ แต่เฮ่อเหลียนชิงกลับมองเห็นถึงความภาคภูมิใจและการโอ้อวดที่ปรากฏบนใบหน้าของเหยียนหมิงซุ่น ในใจจึงเกิดรู้สึกไม่พอใจจึงบ่นพึมพำไปที
“รังเกียจ!”
เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้สนใจเขาแต่กลับวิ่งไปหลังเวที ระบำกลองของเหมยเหมยถูกจัดไว้ในลำดับที่สิบ แต่ลาตินแดนซ์ของโฮ่วเซิ่งหนานถูกจัดเป็นลำดับแรก อีกสักพักการแสดงก็จะเริ่มขึ้นแล้ว
เขาไม่ได้สนใจที่จะดูยัยผู้หญิงโรคจิตนั่นแสดง ไปหลังเวทีเพื่อดูภรรยาคนสวยของตนไม่ดีกว่าอีกหรือ
ผ้าม่านบนเวทีค่อย ๆลากเปิด พิธีกรชายหญิงสองคนเปี่ยมด้วยท่าทีกระปรี้กระเปร่าได้เดินขึ้นมาบนเวที
พิธีกรชายคือประธานสโมสรสุนทรพจน์ของสีอันน่า เดือนมหาวิทยาลัยเมืองหลวงนามว่าจ่านเฟยไป๋ พ่อแม่ล้วนเป็นศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัย ประวัติครอบครัวนับว่าไม่เลวและตัวเขาเองก็โดดเด่นไม่น้อย ดังนั้นถึงได้ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้อย่างสำเร็จรุ่งเรือง
พิธีกรหญิงนั้นเป็นบุคคลที่แสนจะคุ้นเคย นั่นก็คือดาวมหาวิทยาลัยที่ถูกเหมยเหมยเข้ามาแทนที่อย่างฮวาเซียวเวย
“เรียนอาจารย์ที่เคารพทุกท่าน และสวัสดีเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆที่น่ารักทุกคนครับ งานเลี้ยงต้อนรับร่วมด้วยงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ได้เริ่มขึ้นแล้ว!” น้ำเสียงดั่งท่วงทำนองอันไพเราะและเต็มไปด้วยแรงดึงดูดของจ่านเฟยไป๋ดังขึ้น
เซียวเวยเผยรอยยิ้มหวานเยิ้ม น้ำเสียงไพเราะยิ่งกว่า “การแสดงแรกของงานเลี้ยง คือการแสดงเต้นรำแบบลาติน นำโดยมิสโฮ่วผู้งดงามสูงส่งใจกว้างของพวกเรา ทุกคนขอเสียงปรบมือต้อนรับหน่อยค่ะ!”
เหมยเหมยที่อยู่หลังเวทีได้ยินเข้าจึงนึกเย้ยหยัน ยัยเซียวเวยที่ประจบสอพลอได้อย่างไม่มีระดับเอาเสียเลย
งดงามสูงส่งใจกว้าง?
ยัยลิงปากม้านั่นคู่ควรเสียที่ไหน?
แต่นักเรียนด้านล่างเวทีกลับชอบใจกับคำพูดเหล่านี้ เสียงปรบมือราวกับน้ำท่วมดังขึ้นและรวมกับเสียงหวีดปากอีกหลายครั้ง
สงครามระหว่างอาจารย์เต่าทะเลคนสวยกับดาวมหาวิทยาลัยคนสวยเจ้าถิ่น เป็นข่าวลือที่เล่าขานกันไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยอยู่พักใหญ่ บางคนถึงขั้นเปิดพนันเกมกันเป็นการส่วนตัว พนันว่าใครจะแสดงได้ดีกว่ากัน
และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้งานเลี้ยงต้อนรับในปีนี้มีผู้ชมเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
ใครไหนเล่าจะไม่อัดอันจนมาถึงตอนนี้?
เพียงแค่อยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วลมตะวันออกจะเก่งกาจกว่าหรือลมตะวันตกจะดุเดือดกว่ากัน?
เสียงดนตรีดังขึ้น โฮ่วเซิ่งหนานและพอลเดินออกมาตามจังหวะดนตรี ยังไม่ทันได้เริ่มการแสดง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง
เพราะโฮ่วเซิ่งหนานแต่งตัวได้เซ็กซี่เป็นอย่างมาก
เศษผ้ายาว ๆหลายชิ้นถูกเย็บเข้าติดกับสายเดี่ยวกระโปรงสั้นที่ห่อหุ้มแค่ส่วนสะโพกเท่านั้น พอหมุนตัวก็เผยให้เห็นถึงง่ามก้น และบนแถบผ้ายังประดับด้วยแผ่นทองวาวที่ส่องประกายวับวาว ภายใต้แสงไฟของเวทีที่ส่องเล่นไฟระยิบระยับ ทำให้รู้สึกแสบตามาก
เฮ่อเหลียนชิงขมวดคิ้วแน่น หันไปด้านข้างเพื่อบ่นพึมพำกับเสี่ยวเหมิง “เศษผ้าพวกนี้ได้มาจากไหน? ใส่กับไม่ใส่นี่ต่างกันอย่างไรเหรอ? ฉันบอกแล้วว่าไม่ควรไปประเทศทุนนิยม ดูสิ่งที่ร่ำเรียนมาสิ!”
เขาเป็นพวกพรรคบอลเชวิคผู้แน่วแน่ สิ่งที่ไม่เข้าตาเขาที่สุดก็คือพวกงานเลี้ยงของประเทศทุนนิยม และแน่นอนว่ารู้สึกขัดตากับชุดเศษผ้าของโฮ่วเซิ่งหนานเป็นอย่างมาก
เฮ่อเหลียนชิงจึงนึกถึงคำพูดพวกนั้นของเหยียนหมิงซุ่นขึ้นมาอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะคิดพิจารณาต่อโฮ่วเซิ่งหนานใหม่
หากว่าที่เหยียนหมิงซุ่นพูดนั้นเป็นความจริง ผู้หญิงที่ขัดต่อประเพณีและศีลธรรมอันดีอย่างโฮ่วเซิ่งหนาน แท้จริงแล้วเทียบไม่ได้กับนางเด็กบ้านั่นแม้แต่นิดเดียวเลย!
………………………………………………………….
[1] เป็นคนเชื่อทางแพทย์แผนจีนยุค 60 ที่มองว่าการฉีดเลือดไก่เข้าไปจะทำให้มีอาการคึก เลือดลมสูบฉีด หน้าแดง ภายหลังจึงกลายเป็นสำนวนที่ใช้เปรียบคนที่มีอาการคึก และตื่นเต้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น