กระบี่จงมา ตอนที่ 145.2-147
บทที่ 145.2 รอยงูในพงหญ้า
โดย
ProjectZyphon
ตอนบนของแม่น้ำซิ่วฮวาที่ห่างจากเมืองหงจู๋มาทางทิศตะวันตกสองร้อยกว่าลี้ กลางแม่น้ำมีภูเขาลูกเล็กตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว พวกชาวบ้านเรียกว่าภูเขาหมั่นโถว ควันธูปในศาลเจ้าที่ของที่นี่พอจะกล้อมแกล้มได้อยู่
ชายร่างเตี้ยม่อต่อคนหนึ่ง “เดินออกมา” จากเทวรูปดินเผาที่สีสันหลุดลอก หลังพลิ้วกายลงมาบนพื้นก็ยื่นมือไปหิ้วเด็กคนหนึ่งที่สวมชุดสีชาดออกมาจากในกระถางธูป เรือนกายของเด็กผู้นี้สูงแค่ฝ่ามือ ซึ่งก็คือกุมารควันธูปที่เป็นเพียงผลิตผลเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของศาลเจ้าที่แห่งนี้ ชายฉกรร์วางมันไว้บนไหล่ของตัวเองแล้วเริ่มเดินออกไป กระแสน้ำในแม่น้ำไหลเชียว แต่ชายฉกรรจ์กลับเดินเหยียบลงบนแม่น้ำโดยตรง
กุมารชุดแดงที่ยังสะลึมสะลือนอนหมอบอยู่บนไหล่ สบถด่าอย่างขุ่นเคือง “นายท่านใหญ่ ทำไมต้องรบกวนการนอนของนายท่านใหญ่อย่างขาด้วย?! หลังกลับมามือเปล่าจากการล้อมไล่ล่าก่อนหน้านี้ เจ้าก็ทำตัวแปลกๆ หรือเป็นเพราะเห็นสาวงามตระกูลชาวเรือในเมืองหงจู๋คนใดแล้วถูกใจ แต่ไม่มีเงินซื้อพวกนางมานอนด้วย เจ้าก็เลยหงุดหงิดงุ่นง่าน?”
หายากที่ชายฉกรรจ์ไม่ได้จัดการกับคนควันธูปตัวจิ๋วที่ปากพล่อยผู้นี้ เขาเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักว่า “พวกเราไปหาภูตปลาหลีตัวนั้นที่เมืองหงจู๋ นำหินดีงูก้อนหนึ่งของถ้ำสวรรค์หลีจูไปมอบให้แก่เขา อีกไม่นานเขาจะได้กลายเป็นเทพวารีของแม่น้ำชงตั้น หากเจ้าเต็มใจ วันหน้าก็ติดตามอยู่ข้างกายเขาเถอะ ควันธูปในศาลของเทพวารี จะอย่างไรก็ต้องเจริญรุ่งเรืองกว่าศาลเจ้าที่ที่ใหญ่แค่ก้นของข้านี่…”
เด็กชายชุดแดงอึ้งงันไปก่อน จากนั้นก็โมโหเดือด กระโดดผาง เงื้อฝ่ามือตบลงไปบนซีกหน้าของชายฉกรรจ์แรงๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแต่ว่าเขาก็ตัวเล็กเพียงเท่านี้ จะดีจะชั่วอีกฝ่ายก็เป็นเทพเจ้าที่ตัวจริงเสียงจริง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาแค่รู้สึกเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น คนจิ๋วควันธูปเต้นผางพลางสบถด่าฉุนเฉียว “นายท่านใหญ่อย่างเจ้าห้ามหมิ่นเกียรตินายท่านใหญ่อย่างข้า!”
สุดท้ายเด็กชายนั่งกลับลงไปบนไหล่ของชายฉกรรจ์อย่างห่อเหี่ยว สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ
ชายฉกรรจ์ยิ้มกว้าง “ไม่ยอมไปเสวยสุขก็ตามใจ ชอบจะลำบากอยู่ที่บ้านตัวเองก็รอความตายอยู่ในภูเขากูซาน (ภูเขาโดดเดี่ยว) ไปแล้วกัน ข้าคร้านจะสนใจเจ้า”
พอได้ยินประโยคนี้ เด็กชายชุดสีชาดก็รีบเช็ดน้ำตา ยิ้มร่าทันที “รังเงินรังทองก็สู้รังหญ้าบ้านตัวเองไม่ได้ ใช่แล้ว เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดล่ะ ข้าไม่ได้อาลัยอาวรณ์ศาลเก่าโทรมของเจ้าสักนิด นายท่านก็แค่ตัดใจทิ้งกระถางธูปใบนั้นไม่ลง!”
ชายฉกรรจ์ไม่เอ่ยตอบโต้
เด็กชายชุดแดงเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามเบาๆ ว่า “เจ้าเป็นเทพเจ้าที่ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในเขตการปกครองของเรานานที่สุด เพื่อนร่วมงานในอดีตที่เป็นคนวัยเดียวกับเจ้าหลายคน ตอนนี้อย่างแย่ที่สุดก็กลายเป็นเทพอภิบาลเมืองแล้ว ทั้งๆ ที่เจ้าก็สนิทกับพวกเขาไม่น้อย หลายคนอยากจะมาเยี่ยมเยือนเจ้าที่ภูเขากูซาน แต่ทำไมให้ตายเจ้าก็ไม่ยอมพบพวกเขา?”
ชายฉกรรจ์ไม่ตอบคำถาม เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้
คนจิ๋วควันธูปที่ใช้ชีวิตประคับประคองกันมากับเขากลับไม่ยอมปล่อยเจ้านายตัวเองไปง่ายๆ จึงพูดจ้อต่อว่า “เพื่อนบ้านของเรา สตรีของแม่น้ำซิ่วฮวาผู้นั้น ทุกครั้งที่แอบมองเจ้า ดวงตาจะเป็นประกายวาววับ ขนาดนายท่านอย่างข้ายังแทบจะทนไม่ไหว แต่ทำไมเจ้าถึงได้ใจแข็งนัก? หากพวกขุนพลกุ้งหอยปูปลาใต้บังคับบัญชาของนางรู้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์แบบนี้กับนางอยู่ ไหนเลยจะกล้ารังแกพวกเรา ขอแค่เป็นเผ่าน้ำที่มีสติปัญญา จะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องก็ชอบจะมาพ่นน้ำลายใส่ชายฝั่งของภูเขากูซานของพวกเรา น่าโมโหยิ่งนัก! ทำเอาทุกครั้งที่ข้าออกไปเที่ยวเล่นแถวในเมือง คนเผ่าเดียวกันไม่ชอบพาข้าไปเล่นด้วย เพราะรังเกียจที่ชาติกำเนิดของข้าย่ำแย่ เป็นเด็กบ้านนอกยากจน ต้องโทษเจ้าคนเดียวเลย!”
ชายฉกรรจ์อารมณ์ไม่เลว จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “บุตรไม่รังเกียจมารดาอัปลักษณ์ มีแต่เจ้านี่แหละที่พูดมาก”
เด็กชายชุดแดงค้อนปะหลับปะเหลือก แค่นเสียงขุ่นเคือง “หลายปีมานี้ข้าเองก็ได้ยินข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ มามากมาย บ้างก็บอกว่าตอนนั้นเจ้าไปล่วงเกินบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายกรมพิธีการของเมืองหลวงต้าหลีเข้า ตอนที่เขาพาคนมาจุดธูปกราบไหว้ที่ภูเขากูซาน เจ้าไม่ปรนนิบัติเอาใจเขาดีๆ ก็ยังพอทำเนา แต่นี่ยังทำตัวไร้มารยาทต่อเขาอย่างมาก แถมยังมีคนบอกว่าเจ้าไปทำลายบุตรสาวของตระกูลเซียนบางคน ทำให้ยากที่จะผ่านด่านความรักไปได้ มหามรรคาจึงถูกถ่วงรั้ง เจ้าประมุขของตระกูลจึงสร้างแรงกดดันให้กับราชสำนักต้าหลี เรียกร้องให้บังคับเจ้าที่เป็นเทพเจ้าที่คอยเฝ้าอยู่ในศาลเก่าโทรมแห่งนี้ไปชั่วชีวิต แล้วก็มี…”
ชายฉกรรจ์หัวเราะ “พอแล้วๆ บัญชีเละเทะตั้งแต่ปีมะโว้ ขนาดข้ายังลืมไปหมดแล้ว เจ้าจะเดาส่งเดชอีกทำไม ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ แต่ขันทีกลับรีบร้อนงั้นหรือ”
เด็กชายชุดแดงกระโดดผลุงขึ้นมาตบหน้าชายฉกรรจ์อีกครั้ง “เจ้าว่าใครเป็นขันที?”
ชายฉกรรจ์ไม่ถือสาพฤติกรรมลามปามของเจ้าตัวน้อย จู่ๆ เขาก็หยิบก้อนหินสีเขียวอ่อนโปร่งใสก้อนหนึ่งออกมาจากหน้าอก แล้ววางไว้บนไหล่ “นี่ก็คือหินดีงูในตำนาน ให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตา เผ่าน้ำ โดยเฉพาะเผ่าน้ำประเภทเจียวและมังกร หากกลืนมันลงท้อง ขอแค่รอดมาได้ ตบะและขอบเขตก็จะทะยานพรวดพราด อีกทั้งยังไม่มีภัยร้ายทิ้งไว้เบื้องหลัง เท่ากับเป็นยาวิเศษชั้นหนึ่งของตระกูลเซียน”
เด็กชายชุดสีขาวรีบใช้สองมือประคอง “หินยักษ์สูงเท่าครึ่งตัวคน” ก้อนนั้นเอาไว้ทันที ถามอย่างใคร่รู้ “ใครให้เจ้ามา? ทำไมเขาถึงไม่เอาไปให้ปลาหลีที่ชื่อหลี่จิ่นอะไรนั่นโดยตรง?”
ชายฉกรรจ์ส่ายหน้า “ตอนนั้นคร้านจะถาม ตอนนี้คร้านจะเดา”
เด็กชายชุดแดงยกสองมือกุมหน้า อยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา “สวรรค์ ทำไมข้าถึงได้มาผูกติดอยู่กับเจ้านายที่ไม่รู้จักความก้าวหน้าแบบนี้นะ ฟ้ามีตาโปรดสงสาร ประทานแม่นางน้อยที่ร่าเริงน่ารัก งดงามล่มบ้านล่มเมือง มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เกิดในชาติตระกูลสูงส่งมาให้เป็นภรรยา ถือเป็นการชดเชยให้ข้าได้หรือไม่?
ชายฉกรรจ์หยิบหินดีงูกลับไป เอ่ยหยอกล้อ “คนอย่างเจ้าเนี่ยนะ? รอชาติหน้าเถอะ”
เด็กชายชุดแดงปีนขึ้นไปบนศีรษะของบุรุษด้วยความโมโห นั่งเงียบๆ อยู่ท่ามกลางเส้นผมยุ่งเหยิงอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มบิดตัวไปมา
ชายฉกรรจ์ถาม “เจ้าจะทำอะไร?”
เด็กชายชุดแดงตอบเสียงสะบัด “คำพูดเมื่อครู่นี้ของเจ้าทำร้ายจิตใจกันเกินไป ข้าจะอึลงบนหัวเจ้า”
“สามวันไม่ตีปีนขึ้นไปรื้อหลังคา!” (เปรียบเปรยถึงเด็กดื้อที่หากไม่ถูกสั่งสอนก็จะยิ่งซุกซนหนักข้อ)
ด้วยความโมโห ชายฉกรรจ์จึงคว้าร่างเจ้าตัวน้อยแล้วเหวี่ยงไปยังชายฝั่งตรงข้าม
ร่างของเด็กชายชุดแดงหมุคว้างอยู่กลางอากาศ เขาหัวเราะร่าเสียงดังอย่างสนุกสนาน “วู้ รู้สึกเหมือนเซียนที่กำลังขี่กระบี่บินอยู่เลย!”
ชายฉกรรจ์ที่เดินอยู่บนแม่น้ำโกรธจัดจนกลายเป็นขำ “เจ้าตะพาบน้อยตัวดื้อ”
……
ควันดำขุมหนึ่งผุดทะลักจากใต้ดิน มาปรากฏอยู่ตรงหน้าจวนโอ่อ่าที่แขวนป้ายคำว่า “น้ำใสลมเย็น” แล้วก่อตัวขึ้นเป็นร่างคน
จวนใหญ่ที่เดิมทีอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายพลันสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากโคมไฟนับร้อยนับพัน แสงสีแดงเจิดจ้าส่องสะท้อนท้องนภา
สตรีที่มีใบหน้าซีดขาวราวหิมะผู้หนึ่งบินทะยานจากในจวนมาหยุดลอยอยู่หน้ากรอบป้าย แผดเสียงด้วยสีหน้าดุดัน “เจ้ายังมาทำอะไรอีก? ทำไม ก่อนหน้านี้เจ้าเสียสติเกือบจะทำลายรากฐานของข้า ยังไม่สาแก่ใจพอ ยังอยากจะทำอะไรอีก?”
ไม่รู้ว่าทำไม ผีสาวถึงไม่ได้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดอีกแล้ว
เทพหยินกล่าวว่า “เจ้าอยากไปจากที่นี่หรือไม่? หากต้องการ เจ้าจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนให้ข้ากลายมาเป็นเจ้านายคนใหม่ของจวนแห่งนี้แทนเจ้า”
ผีสาวเอามือหนึ่งกุมท้องหัวเราะขำ “เสียสติไปแล้ว คราวนี้เจ้าเสียสติจริงๆ”
เทพหยินกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้ล้อเล่น เจ้าไม่อยากไปสำนักศึกษากวานหูเพื่องมศพของคนผู้นั้นขึ้นมาหรอกหรือ? ไม่อยากหาเบาะแสเพื่อแก้แค้นแทนเขาหรอกหรือ? ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว หากยังถ่วงเวลาออกไปอีก เกรงว่าศัตรูในอดีตคงได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเป็นสุข จากนั้นก็ทยอยกันแก่ตายไปหมดแล้วกระมัง”
ผีสาวพลันเงียบงัน
นางถามคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญ “ต่อให้ข้ายอมยกสถานที่นี้ให้เจ้า แต่เจ้าจะอาศัยอะไรมาทำให้ราชสำนักต้าหลียอมรับตัวตนของเจ้า?”
เทพหยินตอบลวกๆ “ข้าย่อมมีวิธี ฮูหยินไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล”
ผีสาวที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศหมุนตัวกลับไปมองกรอบป้ายนั้น จากนั้นก็หันไปมองทางภูเขาที่ทอดยาวไปไกล
ในอดีตตรงจุดนั้นเคยมีบัณฑิตร่างผอมบางสะพายหีบหนังสือเก่าโทรมเดินโซซัดโซเซอยู่ท่ามกลางสายฝนยามราตรี บางทีอาจเพราะต้องการปลุกความกล้าให้กับตัวเองจึงเอ่ยท่องเนื้อหาในตำราลัทธิขงจื๊อเสียงดังกังวาน
สายตาของบัณฑิตยากจนที่เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อร่วมการสอบเป็นประกายเจิดจ้า
นางพลิ้วกายลงพื้น เอ่ยถาม “ไม่เปลี่ยนกรอบป้ายนี้ได้หรือไม่?”
เทพหยินพยักหน้ารับ “ทำไมจะไม่ได้? อย่างมากสุดหนึ่งร้อยปี ข้าจะมอบจวนแห่งนี้คืนให้แก่ฮูหยินในสภาพเดิม”
ผีสาวเดินไปข้างหน้าช้าๆ สวนไหล่กับเทพหยินแล้วเดินจากไปไกลทั้งอย่างนี้
นางพูดพึมพำกับตัวเอง “ภูเขาแม่น้ำบรรจบ ไม่อาจพานพบกันใหม่”
นางหันกลับมาคลี่ยิ้ม “ศูนย์กลางของจวนอยู่ที่กรอบป้าย ข้าสละอำนาจในการควบคุมมันแล้ว หลังจากนี้จะดึงเอาโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำมาได้กี่ส่วนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเองแล้ว”
เทพหยินถามอย่างคลางแคลงใจ “เจ้าไม่แค้นราชวงศ์ต้าหลีหรือ? พวกเขาจงใจปิดบังความจริงกับเจ้าเพราะต้องการให้เจ้าพิทักษ์โชคชะตาของที่แห่งนี้ต่อไป”
ผีสาวล่องลอยจากไปไกล นางไม่ได้ตอบคำถาม
……
มีคฤหาสน์หลังหนึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเขาทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิง หนทางในภูเขาอันตราย แต่เนื่องจากบริเวณใกล้เคียงมีสถานที่ที่มีชื่อเสียงอยู่แห่งหนึ่ง เหนือหน้าผาริมแม่น้ำมีหินแกะสลักยากจะทำความเข้าใจอยู่หนึ่งแถบ ตัวอักษรทุกตัวใหญ่เท่างอบ เป็นเหตุให้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนอย่างต่อเนื่อง บวกกับที่จวนแห่งนี้สร้างอยู่บนทางภูเขากว้างขวางซึ่งรถม้าสามารถผ่านได้ ดังนั้นจึงไม่ถือว่ากันดารร้างผู้คน คนที่ผ่านทางมาจึงมักจะมาขอนอนค้างหรือหยุดพักผ่อนอยู่เป็นระยะ
เจ้าของคฤหาสน์คือผู้เฒ่าชราที่ร่างกายยังแข็งแรงไม่ธรรมดา ในอดีตเขาเคยเป็นซือหลางฝ่ายกรมคลังของแคว้นหวงถิง ผู้เฒ่าชอบต้อนรับแขกมาโดยตลอด ไม่ว่าผู้ที่มาเยือนจะเป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ หรือพรานป่าชาวบ้านธรรมดาก็มักจะให้การต้อนรับขับสู้อย่างกระตือรือร้น
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง เหนือผืนป่าและแม่น้ำปูแผ่ไปด้วยแสงจันทร์
ท่าข้ามฟากขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่แทบจะไม่มีคนมาเยือนตลอดทั้งปี มีผู้เฒ่าคนหนึ่งในมือถือโคมไฟสีเหลืองสลัวราง ตรงรักแร้หนีบตำราสีเหลืองไว้เล่มหนึ่ง เขาเดินออกมาจากหอเรือนเพียงลำพัง ลงจากเขามายังท่าข้ามฟากขนาดเล็กที่ไม่มีเรือจอดอยู่แม้แต่ลำเดียว เขาควักเรือไม้ขนาดเล็กยาวเท่าเล็บมือออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วจึงโยนลงไปในอ่าวเล็กเบาๆ ขณะที่เรือไม้ยังอยู่ห่างจากผิวน้ำอีกประมาณหนึ่งจั้ง เรือไม้ลำเล็กก็พลันขยายใหญ่ สุดท้ายก็กลายมาเป็นเหมือนเรือปกติทั่วไป มันพลันตกกระแทกลงบนผิวน้ำ สะเก็ดน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็น เมื่อมาอยู่ท่ามกลางราตรีมืดมิดจึงเกิดเป็นเคลื่อนไหวที่น่าตกตะลึงไม่น้อย
ผู้เฒ่าเดินขึ้นเรือลำเล็ก แต่กลับไม่มีไม้พายที่สามารถแจวเรือได้
ผู้เฒ่ายกโคมที่อยู่ในมือของตัวเองขึ้นมา พอปล่อยนิ้วมือออกก็ดึงตำราออกจากใต้รักแร้ โคมที่เดิมทีควรจะร่วงลงพื้นกลับหยุดค้างอยู่กลางอากาศอย่างน่าประหลาดใจ และยังคงเปล่งแสงสีขาวสะอาดนวลตา
ผู้เฒ่านั่งขัดสมาธิ มือหนึ่งถือหนังสือ มือหนึ่งพลิกเปิดหน้าตำรา เรือน้อยลำนั่นลอยออกจากอ่าวเล็ก มุ่งหน้าสู่แม่น้ำใหญ่ไปด้วยตัวเอง
ความเร็วในการพลิกเปิดหน้าหนังสือของเชื่องช้าอย่างยิ่ง น้ำในแม่น้ำคืนนี้นิ่งสงบอย่างหาได้ยาก เรือลำน้อยแทบจะไม่กระเพื่อมไหวเลย
เมื่อนั่งเรือมาถึงใต้หน้าผาหินแห่งนั้น ผู้เฒ่าถึงเงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรโบราณที่ไม่มีใครไขปริศนาของพวกมันออก
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ อันที่จริงก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะมีคนให้คำตอบที่ถูกต้อง คือเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งจากราชวงศ์ต้าหลี มองดูแล้วอายุน่าจะประมาณสิบห้าสิบหกปี แต่กลับสามารถเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ได้เพียงคำพูดประโยคเดียว เขาบอกว่านั่นคือ “ฝีมือแกะสลักจากมหาเทพแห่งสายฟ้า คือถ้อยคำกล่าวเตือนเจียวและหลงจากราชาแห่งสวรรค์”
ต่อให้ผู้เฒ่าจะเคยเห็นฤดูเวียนเปลี่ยนผ่านมานับครั้งไม่ถ้วน แต่นาทีนั้นในใจก็ยังคงมีคลื่นอารมณ์สะท้านสะเทือนโถมกระหน่ำอยู่ดี เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าก็เท่านั้น
ผู้เฒ่าถอนสายตากลับมา อารมณ์ซับซ้อน ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง
ต้นไม้อยากหยุดนิ่งแต่ลมไม่หยุดพัด
เบื้องใต้ผิวน้ำที่ถูกเรือแจวลำน้อยกดทับ สิ่งมีชีวิตเผ่าน้ำทั้งหมดอย่างกุ้งหอยปูปลา ฯลฯ แทบจะหมอบกรานตัวสั่นอยู่ใต้ก้นแม่น้ำ
ผู้เฒ่าเก็บโคมไฟและตำราลงไป นั่งอาบแสงจันทร์อยู่บนเรือเพียงลำพัง
จากนั้นผู้เฒ่าก็เสกเหล้าขึ้นมาหนึ่งกา ไม่ได้รีบร้อนดื่มทันที แต่กวาดตามองไปรอบด้าน เอ่ยปลงอนิจจัง “ดับตะเกียงที่ใช้อ่านหนังสือ ทั้งตัวเหลือเพียงแสงจันทร์”
“มหาปราชญ์ในอดีตล้วนมีชีวิตเงียบเหงา มีเพียงนักร่ำสุราที่ได้ทิ้งชื่อเอาไว้ ดื่มเหล้าๆ!” ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง แล้วจึงเริ่มกรอกสุราเข้าปาก คำแล้วคำเล่า กาเหล้าใบเล็ก มองดูแล้วน่าจะบรรจุเหล้าได้แค่ครึ่งจิน แต่ผู้เฒ่ากลับดื่มไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคำแล้ว
สุดท้ายผู้เฒ่าดื่มจนเมามาย ศีรษะส่ายโอนเอน จึงโยนกาเหล้าทิ้งลงไปในแม่น้ำแล้วหลายตัวไปด้านหลัง เสียงตุ้บดังหนึ่งครั้ง เขาที่นอนหงายผลึ่งอยู่ในเรือลำเล็กก็หลับสนิทไปทันที
เรือลำน้อยลอยทวนน้ำต่อไป แล้วทันใดนั้นหัวเรือก็พลันตวัดขึ้นสูง ลอยพ้นจากผิวน้ำ จากนั้นเรือทั้งลำก็ไปจากแม่น้ำสายใหญ่ ล่องลอยไปลางอากาศสูงทั้งอย่างนี้
ยิ่งนานก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
เรือลำน้อยลอดผ่านทะเลเมฆชั้นแล้วชั้นเล่า แม่น้ำสายใหญ่กลายมาเป็นสายยาวสายหนึ่งนานแล้ว ตลอดทั้งแคว้นหวงถิงมีขนาดเท่าแค่เมล็ดถั่วเหลือง บุรพแจกันสมบัติทวีปเปลี่ยนมาเป็นแจกันหนึ่งชุ่น
เมื่อผู้เฒ่าตื่นขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าเรือลำน้อยลอยพ้นจากพื้นมาไกลเท่าไหร่แล้ว และอยู่ใกล้กับท้องนภามากแค่ไหน
เรือลำน้อยส่ายไหวเบาๆ
แล้วก็เจอกับแม่น้ำสายใหญ่อีกหนึ่งสาย เพียงแต่ไม่เหมือนกับในโลกมนุษย์ ดูเหมือนว่าแม่น้ำสายนี้จะไม่มีจุดสิ้นสุด ดวงดาวจับกลุ่มทอประกายพร่างพราว
ผู้เฒ่าสีหน้ารันทดระคนลนลาน ริมฝีปากสั่นระริก พึมพำเบาๆ “เหล้าล่ะ?”
ผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบปีนอนหงายลงไปอีกครั้ง เขาหลับตาลงคล้ายระลึกถึงความทรงจำที่ย่ำแย่ที่สุด สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด พึมพำซ้ำไปซ้ำมาว่า “เหล้าของข้าล่ะ เหล้าของข้าล่ะ เหล้าอยู่ไหน…”
เมาแล้วไม่รู้ว่านภาสะท้อนลงในน้ำ รอบเรือห้อมล้อมด้วยมหาสมุทรดวงดาว
……
ชาวลัทธิขงจื๊อท่าทางสง่างามผู้หนึ่งยืนอยู่บนหน้าผาหินริมแม่น้ำสายใหญ่ รอให้เรือลำนั้นหวนกลับคืนมา
เขาก็คือชุยหมิงหวงแห่งสำนักศึกษากวานหู ในฐานะหนึ่งในสองวิญญูชนแห่งลัทธิขงจื๊อที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของแจกันสมบัติทวีป เขาเคยเข้าไปมีส่วนร่วมในช่วงเวลาสุดท้ายของถ้ำสวรรค์หลีจู
หลังจากที่เขาได้รับจดหมายลับสองฉบับก็เร่งร้อนเดินทางมาที่นี่ เพื่อเป็นตัวแทนราชครูชุยฉานและกับหยางเหล่าโถวของเมืองเล็กมาทำการแลกเปลี่ยนกับเจียวเฒ่าตัวนี้
เพราะตอนนี้ต้าหลีได้ครอบครองมังกรที่แท้จริงครึ่งตัวสุดท้ายของโลก
นี่คือเบี้ยเดิมพันที่ใหญ่ที่สุด และในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเบี้ยเดิมพันเพียงหนึ่งเดียวด้วย
……
ที่ตั้งเดิมของศาลเทพอภิบาลเมือง โรงเตี๊ยมชิวหลู
ปากบ่อและก้นบ่อ
มีเด็กหนุ่มสองคนที่อายุใกล้เคียงกัน แต่สถานะกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เฉินผิงอันเหยียบขึ้นไปบนริมขอบเหนือบ่อน้ำ โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย มองไปยังก้นบ่อน้ำที่ดำมืด ตะโกนเรียก “ชุยตงซาน”
เด็กหนุ่มชุดขาวยืนสองมือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้น หรี่ตาพูด “ทำไม ในที่สุดก็คิดตกแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพูดต่อ “ครั้งแรกที่พวกเราเจอกัน เจ้าบอกว่าตัวเองชื่ออะไรนะ?”
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มชุยฉานพลันเกิดความระแวง ชาไปทั้งหนังศีรษะ ทะเลสาบหัวใจเดือดพล่าน
แล้วทันใดนั้นแสงสีขาวหิมะเส้นหนึ่งก็พุ่งจากปากบ่อลงมายังก้นบ่อ!
ปราณกระบี่ดุจม่านน้ำตกที่ไหลกรากลงมา กระแสน้ำอัดเต็มแน่นทั่วทั้งบ่อ
—–
บทที่ 146 ที่พึ่งและผู้ช่วย
โดย
ProjectZyphon
น้ำตกสายหนึ่งร่วงกระแทกลงบนศีรษะ
เนื่องด้วยอายุที่อยู่ในวัยเลือดลมพลุ่งพล่านของเนื้อหนังมังสาร่างนี้ นอกเหนือจากความตกตะลึงแล้ว เหตุการณ์นี้ยังส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจส่วนหนึ่งของชุยฉานไม่มากก็น้อย บวกกับเพราะอยู่ในบ่อโบราณ ความเร็วในการร่วงดิ่งลงสู่ก้นบ่อจึงถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจเร็วไปมากกว่าปราณกระบี่ ชุยฉานไม่เหลือทางให้ถอยนานแล้ว จึงไม่คิดจะถอยหนี มือข้างหนึ่งของเขาทำมุทราอยู่เบื้องหน้า ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งชูขึ้นไปทางปากบ่อแล้วร่ายยันต์คุ้มกันชีวิตชิ้นหนึ่งที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสมบัติก้นกรุออกมา
เห็นเพียงว่าฝ่ามือที่ขาวสะอาดดุจหยกของเด็กหนุ่มมีกระจกบานหนึ่งปรากฏขึ้น หน้ากระจกเล็กกว่าปากบ่อแค่หนึ่งรอบเล็กๆ เท่านั้น เหนือผิวกระจกแผ่แสงเหลืองขมุกขมัวบางๆ ชั้นหนึ่ง
มีปราณกระบี่สีขาวบางส่วนไหลผ่านริมขอบกระจกลงมาเบื้องล่าง น้ำในบ่อจึงระเหยเหือดหายไปเกลี้ยงในเสี้ยววินาที
กระจกทั้งบานต้านรับปราณกระบี่ส่วนใหญ่เอาไว้ เพียงพุ่งปะทะ ผิวกระจกก็ปลดปล่อยแสงสายฟ้าจ้าแสบตา
เสียงเพล้งดังหนึ่งครั้ง
ร่างของเด็กหนุ่มชุดขาวดิ่งฮวบลงไปด้านล่าง ขณะที่ร่วงลงไปได้ครึ่งจั้งกว่า แขนทั้งแขนก็สั่นสะท้านไม่หยุด จากนั้นจึงถูกปราณกระบี่กดทับจนร่างค่อยๆ งอลง สุดท้ายฝ่ามือก็ค่อยๆ ลดระดับลงจนเท่ากับศีรษะ
ศีรษะของเด็กหนุ่มชุยฉานเริ่มเอียง ต้องเปลี่ยนมาใช้ไหล่แบกกระจกโบราณแทน ขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างก็พยายามยันด้านล่างของกระจก ศีรษะเอียงได้ แต่หากกระจกเอียงแล้วปราณกระบี่ราดรดบนร่างเมื่อไหร่ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่แค่เรือนกายไร้ตำหนิที่มีมูลค่าควรเมืองเรือนกายนี้เท่านั้นที่ต้องเผาไหม้ แต่ยังเป็นร่าง “เด็กหนุ่มชุยฉาน” ของตนที่ร่างดับสูญมรรคาสิ้นสลายไปด้วย และบนโลกนี้จะเหลือแค่ชุยฉานราชครูต้าหลีเพียงคนเดียวเท่านั้น
เรือนกายที่เกิดมาก็มีโครงร่างของ “กิ่งทองใบหยก” ชั้นยอด บัดนี้ข้อต่อกระดูกทุกชิ้นล้วนส่งเสียงอื้ออึงเหมือนถั่วเหลืองระเบิดแตก
สีหน้าของเด็กหนุ่มชุยฉานดุดัน ไหล่ถูกด้านล่างของกระจกเสียดสีจนห้อเลือด สีหน้าซีดขาวไร้สีเลือด เรือนกายที่อยู่ก้นบ่อถูกกดลงไปทีละชุ่น ทีละชุ่น แต่เขากลับยังคงกล่าวกลั้วหัวเราะเสียงแหบ “ข้าผู้อาวุโสก็มีวันนี้เหมือนกันหรือ? ซิ่วไฉเฒ่า ฉีจิ้งชุน เจ้าคนสารเลวทั้งสอง พวกเจ้าทำร้ายคนได้ลึกล้ำนัก! คนหนึ่งทำให้ข้าหล่นจากขอบเขตสิบสองสู่ขอบเขตสิบ อีกคนหนึ่งทำให้ข้าหล่นจากขอบเขตสิบสู่ขอบเขตห้า! แน่จริงก็ให้ลูกศิษย์และศิษย์น้องของพวกเจ้าทำให้ข้าชุยฉานกลายเป็นคนธรรมดาไปอย่างสิ้นเชิงเสียเลยสิ! แน่จริงก็มาสิ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าปราณกระบี่ที่เด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองร่ายใช้จะสามารถทำลายกระจกตราผนึกกองอสนีได้จริงๆ!”
หนึ่งกระบี่ที่เซียนกระบี่พสุธาปล่อยออกมา พลังอำนาจสะท้านฟ้า ผุดจากพื้นดิน ส่องสว่างพร่านภา
เนื่องด้วยการปล่อยกระบี่ครั้งนี้ของเฉินผิงอันเป็นการปล่อยลงไปในบ่อน้ำจึงไม่สะดุดตานัก ทว่าทางน้ำที่เชื่อมโยงกับก้นบ่อกับแม่น้ำใหญ่กลับได้รับหายนะครั้งใหญ่แล้ว แม้แต่จวนมหาวารีที่อยู่ห่างไกลออกไปก็ยังถูกลูกหลง โชคชะตาเริ่มสั่นคลอนไปด้วย
เดิมทีบุรุษชุดดำผู้เป็นเทพวารีแม่น้ำหันสือนึกว่าหายนะที่ได้รับในคืนนี้จะนำพาโชคดีมาให้ในภายหลัง เวลานี้จึงกำลังดื่มเหล้าฉลองอยู่กับบัณฑิตสุยปินพ่อเฒ่าลำคลองและคางคกสกัดนทีเทพลำคลอง ผลกลับกลายเป็นว่าจู่ๆ หายนะนี้ก็หล่นมาจากฟากฟ้า จนอักษรทองสามคำบนป้าย “จวนมหาวารี” เริ่มเกิดรอยแตกร้าวลามไปหลายเส้น ทำเอาบุรุษชุดดำรีบทะยานมาอยู่หน้าประตูใหญ่ ยื่นมือไปประคองสองมุมของกรอบป้าย หลีกเลี่ยงไม่ให้กรอบป้ายอักษรทองต้องแตกพัง จนเป็นเหตุให้โชคชะตาแห่งแม่น้ำบนร่างของตนต้องไหลหายไปทั้งอย่างนี้
ก้นบ่อ เด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วใช้ไหล่ยันกระจก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “เฉินผิงอัน! หากครั้งนี้เจ้าฆ่าข้าไม่สำเร็จ ต่อให้ข้าชุยฉานต้องทุ่มครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ก็จะต้องขึ้นไปปลิดชีพเจ้ากับมือตัวเองให้ได้! ข้าจะดึงวิญญาณของเจ้าออกมาทีละนิด ให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตายนานนับร้อยปี!”
ตอนที่อยู่ในเมืองเล็ก คนแซ่ชุยเคยขโมยกลอนคู่บนกำแพงบ้านของซ่งจี๋ซิน ภายหลังเฉินผิงอันไปที่เรือนด้านหลังของร้านยาตระกูลหยาง เคยพูดถึงคำเรียกขานอย่างซิ่วหู่และอาจารย์อา แต่ผู้เฒ่ากลับไม่ได้พูดอะไร เฉินผิงอันจึงไม่ได้ซักไซ้ แค่คิดไปว่าหยางเหล่าโถวไม่เคยได้ยิน หรือไม่ก็ไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง
เพราะก่อนหน้านี้ตอนอยู่ใต้ซุ้มประตูหิน เด็กหนุ่มผู้มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วเคยแนะนำชื่อแซ่ของตัวเอง ตอนนั้นเด็กหนุ่มพูดชื่อที่มีสองพยางค์ ตัวเขาเองยังบอกด้วยว่าตัวอักษรที่สองของชื่อตัวเองค่อนข้างจะเข้าใจยากและไม่ค่อยมีคนใช้ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงแน่ใจแค่ตัวอักษรเดียวคือคำว่าชุยเท่านั้น
ภายหลังเฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แม่นางหนิงเคยพูดถึงโดยบังเอิญว่า ต้าหลีมีคนผู้หนึ่งที่ใช้ฉายาว่าซิ่วหู่ เล่นหมากล้อมเก่งมาก เป็นบุคคลเดียวที่ทำให้นักเล่นหมากล้อมของต้าสุยมองเป็นศัตรูตัวฉกาจได้
เฉินผิงอันเคยถามพวกหลี่เป่าผิงสามคนว่าเคยได้ยินชื่อ “ซิ่วหู่” หรือไม่ เด็กทั้งสามที่เติบโตขึ้นมาในเมืองเล็กเหมือนกับเขาต่างก็ส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้จัก ภายหลังเฉินผิงอันยังเคยถามคำถามนี้กับเทพหยิน เห็นได้ชัดว่าเทพหยินรู้คำตอบ แต่กลับบอกว่าตนมีกฎให้ต้องรักษา ไม่อาจพูดได้ หากละเมิดข้อสัญญาเหล่านั้นจะต้องโดนทัณฑ์สายฟ้าทำให้จิตวิญญาณของเขาแหลกสลาย เฉินผิงอันย่อมไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่นจึงวางคำถามนี้ไว้ก่อนชั่วคราว
เฉินผิงอันสังเกตท่าทีที่เทพหยินมีต่อเด็กหนุ่มแซ่ชุยซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงความห่างเหินแต่นิ่งเฉย อย่างน้อยก็ไม่ได้มองเด็กหนุ่มชุดขาวเป็นศัตรู เฉินผิงอันจึงพอจะวางใจได้บ้าง รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นชุยตงซานก็ดี นักเล่นหมากล้อมซิ่วหู่ก็ช่าง ไม่ว่าเขาจะมีเจตนาอะไรต่อตนเอง สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงแค่ “การเข่นฆ่าระหว่างคนสองคน” เท่านั้น ต่อให้ตน “เล่นหมากล้อม” แพ้ อย่างมากก็แค่เรียกปราณกระบี่ออกมาสู้ให้พินาศวอดวายกันไปทั้งคู่ หากปราณกระบี่หนึ่งเส้นยังไม่พอก็ใช้อีกเส้น และหากใช้ปราณกระบี่หมดสองเส้นแล้วก็ยังสังหารเด็กหนุ่มชุดขาวไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็ได้แต่ยอมเชื่อฟังลิขิตสวรรค์
แต่หลังจากที่เฉินผิงอันมองเส้นทางนั้นบนแผนที่ออก ความกระวนกระวายในใจก็ยิ่งทบทวี หวาดกลัวอย่างยิ่งว่าเส้นทางที่เริ่มต้นจากที่ว่าการอำเภอเส้นนี้ แท้จริงแล้วยังมีต้นกำเนิดที่ห่างไกลไปยิ่งกว่านั้น มีแผนการชั่วร้ายที่เฉินผิงอันไม่อาจจินตนาการได้ถึงซุกซ่อนอยู่ ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ฉีที่อยู่ดีๆ ก็จากโลกนี้ไป หลังจากนั้นท่านหม่าของโรงเรียนก็ตายเฉียบพลันระหว่างที่พาพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไปยังสำนักศึกษาซานหยา ส่วนเขาเฉินผิงอันกลับกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดของเมืองเล็ก ได้ครอบครองภูเขาถึงห้าลูกในท้ายที่สุด!
คืนนี้ก่อนที่จะเข้าไปในบ่อน้ำ ตอนอยู่ในห้องของเขา เด็กหนุ่มชุดขาวแซ่ชุยเป็นคนพูดถึงตราประทับ “ใต้หล้ารับวสันต์” (เทียนเซี่ยอิ๋งชุน) กับปากตัวเอง และในมือเฉินผิงอันก็มีตราประทับ “สงบใจสมปรารถนา” (จิ้งซินเต๋ออี้) ที่อาจารย์ฉีมอบให้อยู่ชิ้นหนึ่งพอดี (ตราประทับทั้งสองมีคำว่าจิ้งและชุนเหมือนชื่อของฉีจิ้งชุน)
จะต้องเกี่ยวข้องกับอาจารย์ฉี
จะต้องเกี่ยวข้องกับพวกหลี่เป่าผิงสามคนแน่นอน!
ไม่แน่ว่าอาจเป็นสถานการณ์ที่ต้องมีคนตาย
ตอนที่อยู่ในเมืองเล็ก เฉินผิงอันก็เคยได้สัมผัสกับความโหดเหี้ยมไร้ปราณีของผู้ฝึกตนกับตัวเองมาแล้ว
เฉินผิงอันไม่อาจจินตนาการได้ว่าหากหลี่เป่าผิงที่น่ารัก หลี่ไหวเด็กขี้ขลาดและหลินโส่วอีที่ฉลาดเฉลียวตายอยู่ตรงหน้าตัวเอง โดยที่ตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงให้ช่วยเหลือ ถึงเวลานั้นในใจของตนจะรู้สึกผิดและเจ็บแค้นมากแค่ไหน?
เวลาที่เฉินผิงอันเล่นหมากล้อม เขาวางหมากทั้งช้าทั้งไม่คล่องแคล่ว ไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็นคนถือรองเท้าให้หลินโส่วอีเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะไม่สามารถจัดระเบียบต้นสายปลายเหตุได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ในเมื่อรู้ถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่อาจปล่อยให้ซิ่วหู่ผู้มีฝีมือในการเล่นหมากล้อมที่ร้ายกาจวางแผนทีละก้าวอีกต่อไป ถึงเวลาที่คนผู้นี้รวบแห เฉินผิงอันกลัวว่าต่อให้เขาจะมีปราณกระบี่สองเส้นก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดจบได้
หากอีกฝ่ายวางแผนคาดหวังกับสิ่งของที่เขาเฉินผิงอันได้ครอบครอง หรือมหามรรคาที่เลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ของหลินโส่วอี เฉินผิงอันไม่มีทางตัดสินใจลงมือชิงความได้เปรียบอย่างรุนแรงเช่นนี้!
เวลานี้หลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยปราณกระบี่ออกไปเส้นหนึ่ง ช่องโพรงอันเป็นที่พักพิงของปราณกระบี่เส้นนั้นก็ว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรสักอย่าง ดังนั้นลมปราณที่ฟูมฟักออกมาจากเรือนกายจึงฉวยโอกาสลอดตามช่องว่างกรูกันเข้าไปภายในอย่างบ้าคลั่ง พาให้เลือดลมในช่องโพรงใกล้เคียงสั่นสะเทือนรุนแรงตามไปด้วย จนเป็นเหตุให้เฉินผิงอันรู้สึกราวหับใจถูกบีบเค้น เจ็บปวดจนเด็กหนุ่มเซล้มลงไปนั่งบนปากบ่อ ต้องรีบหอบหายใจ
เนื่องจากถูกกระจกโบราณบานนั้นขัดขวาง แสงปราณกระบี่จึงคงอยู่ในบ่อเป็นนานไม่ยอมสลายไป
เฉินผิงอันจ้องเขม็งไปยังก้นบ่อแล้วรีบปรับลมหายใจ พยายามจะกระตุ้นกำลังของตัวเอง ล้มเหลว ทดลองอีกครั้ง ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา
ดวงตาสองข้างของเด็กหนุ่มแดงก่ำ หูสองฝั่งได้ยินเพียงเสียงอื้ออึง หัวใจเต้นกระหน่ำรัวแรงราวรัวกลอง เส้นชีพจรทั้งหมดในร่างกายคล้ายแม่น้ำลำธารหลายเส้นที่หลังจากผ่านพายุฝนกระหน่ำก็พากันห้อตะบึงเชี่ยวกราก เด็กหนุ่มที่เหลือเพียงความคิดเดียวลุกขึ้นยืนโงนเงน บอกกับตัวเองในใจว่า “เอาใหม่ ต้องทำซ้ำอีกรอบ ต้องให้ปราณกระบี่เส้นสุดท้ายเตรียมพร้อมรออยู่ในช่องโพรง ไม่อย่างนั้นหากคนผู้นั้นเหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน เขาจะต้องทำร้ายทุกคนแน่! ข้าเคยรับปากอาจารย์ฉีว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องกับพวกเขาเด็ดขาด ข้าจะต้องรักษาคำพูด…”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่จิตสำนึกพร่าเลือนอาศัยความดึงดันนี้ลุกขึ้นยืนโงนเงนก่อน จากนั้นเท้าข้างหนึ่งก็ก้าวเหยียบขึ้นไปบนปากบ่อ แล้วก้าวอีกข้างตามไปติดๆ
ไม่ว่าร่างท่อนบนของเด็กหนุ่มจะส่ายโอนเอนอย่างไร เท้าสองข้างของเฉินผิงอันก็ปักตรึงอย่างมั่นคงอยู่บนปากบ่อน้ำ
น่าเสียดายที่ไม่มีใครได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้
นิ้วมือสองข้างที่สั่นสะท้านของเด็กหนุ่มประกบกันเป็นกระบี่ แล้วชี้ไปยังก้นบ่อ
……
ทางฝั่งตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป ริมชายฝั่งแห่งหนึ่งของมหาสมุทรใหญ่มีซิ่วไฉยากจนคนหนึ่งกำลังจะคิดว่าจะไปจากแจกันสมบัติทวีป กลับคืนไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ห่างไกล หลังจากสัมผัสได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมุมหนึ่ง เขาก็กล่าวอย่างจนใจว่า “เจ้าเด็กคนนี่ ยิ่งอายุน้อยก็ยิ่งรนหาที่ตาย สั่งสอนไม่เข้มงวดคือความผิดของอาจารย์ ช่างเถอะๆ อึเองก็ให้เขาเช็ดก้นเองก็แล้วกัน”
“ขอข้าดูหน่อยสิว่าที่ไหน ทิศเหนือแคว้นหวงถิง ยังไม่ถึงต้าสุย เอ๊ะ? อยู่ใกล้กับแม่น้ำเส้นนั้นมากเลย ดีมากๆ ก่อนหน้านี้ไปที่หน้าผาฟ้าผ่าพอดี ประหยัดเวลาไปได้เยอะเลย”
“ความสามารถเยอะ ฝีมือสูงก็ไม่ใช่เรื่องดี เวลาที่ต้องเลือกจะเป็นปัญหามาก ขอให้ข้าคิดดูหน่อย อืม ใช้วิชาย่อพื้นที่เป็นหนึ่งชุ่นของลัทธิเต๋าก็แล้วกัน”
ซิ่วไฉเฒ่าเขย่าสัมภาระที่สะพายอยู่ด้านหลัง ถอนหายใจแล้วยื่นปลายเท้าออกไปกวาดกองทรายไว้เบื้องหน้าตัวเองพลางท่องคาถา จากนั้นจึงใช้เท้าเหยียบกองทรายขนาดเล็กให้ราบ
เวลาเดียวกันนั้นร่างของผู้เฒ่าก็หายวับไป
พริบตาเดียวผู้เฒ่าก็โซเซมาปรากฏตัวอยู่บนหน้าผาใหญ่อันเป็นซากปรักหักพังของแคว้นสู่โบราณซึ่งเขียน “ถ้อยคำกล่าวเตือนเจียวและหลงจากราชาแห่งสวรรค์” เอาไว้ เท้าสองข้างของเขาทยอยกันเหยียบลงบนยอดเขาเบาๆ พอยืนอย่างมั่นคงแล้วก็ทอดสายตามองไปไกล สีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ไม่มีเนื้อหนังมังสานี้เป็นภาระน่าจะดีกว่านี้”
หน้าผาทั้งแถบส่ายไหวเสียงดังครืนครั่น น้ำในแม่น้ำสายใหญ่ก็ยิ่งเหมือนผ้าต่วนที่วางปูไว้บนโต๊ะซึ่งถูกคนกระชากแล้วสะบัดแรงๆ หลายที แม่น้ำในบริเวณใกล้เคียงจะต้องมีคลื่นลูกใหญ่สูงเท่าตึกหลายใหญ่โถมตัวขึ้นมาทุกๆ ระยะห่างสิบกว่าจั้ง
ผู้เฒ่าไม่ต้องการให้ชายฝั่งสองด้านต้องถูกทำลายลงเพราะเหตุนี้ จึงรีบยื่นมือออกไปแล้วกดลงเบื้องล่าง
น้ำในแม่น้ำที่เหมือนมีมังกรคะนองน้ำอาละวาดสงบลงในเสี้ยววินาที
เวลานี้ผู้เฒ่าถึงได้ค้นพบว่าตรงตำแหน่งที่อยู่ริมขอบสุดของหน้าผามีชาวขงจื๊อหนึ่งผู้เฒ่าหนึ่งเด็กที่ท่าทางเหมือนนักท่องเที่ยวกำลังเบิกตากว้างมองมายังตน ซิ่วไฉเฒ่าจึงได้แต่ยิ้มอย่างเก้อกระดาก “พระจันทร์ไม่เลว พระจันทร์ไม่เลว ข้าไม่รบกวนการชื่นชมทัศนียภาพของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าคิดซะว่าข้าไม่ได้มาก็แล้วกัน”
จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็มองไปยังทิศไกลแล้วพยักหน้า “ตรงนั้นเอง ยังดีที่ไม่ไกลมาก”
ซิ่วไฉเฒ่าเตรียมจะยกเท้าก้าวออกไป พื้นรองเท้าห่างจากพื้นแค่เสี้ยวเดียว ทว่ากลับหยุดค้างอยู่ตรงนั้น สีหน้าของซิ่วไฉเฒ่าพลันเคร่งเครียด “เอ๊ะ?”
บนเส้นวงกลมห่างออกไปประมาณสิบลี้โดยมีหน้าผาใหญ่ริมแม่น้ำแห่งนี้เป็นจุดศูนย์กลาง ปราณกระบี่เส้นแล้วเส้นเล่าปรากฎขึ้นกลางอากาศว่างเปล่า มากมายนับร้อยนับพัน ก่อนจะรวมตัวกันกลายมาเป็นค่ายกลกระบี่ทรงกลมขนาดใหญ่ยักษ์ที่น่าครั่นคร้าม
ผู้ที่สัมผัสโดนปราณกระบี่ต้องแหลกสลายกลายเป็นจุลแน่นอน
นี่ก็คือความรู้สึกแรกของชุยหมิงหวงแห่งสำนักศึกษากวานหู
บ่อสายฟ้าไม่อาจข้ามผ่าน
นี่คือความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองของผู้เฒ่าที่หวนกลับจากทางช้างเผือกมายังโลกมนุษย์
จากนั้นคนทั้งสองก็มองหน้ากัน ต่างก็ยิ้มขื่นและตะลึงสงสัย
ล้วนบอกกันว่าเทพเซียนตีกันคนธรรมดาเดือดร้อน ทว่าพวกเขาสองคนถือเป็นเทพเซียนบนภูเขาตัวจริงเสียงจริงแล้ว แล้วที่รู้สึกในตอนนี้มันคืออะไรกัน?
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา พึมพำกับตัวเองว่า “ทำอะไรของเจ้าเนี่ย”
มีเสียงหัวเราะพรืดของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นมา “ทำไม อนุญาตให้แค่พวกเจ้ามีผู้ช่วยมีที่พึ่งได้เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ผิงอันน้อยของข้ามีได้มั่งหรือ?”
—–
บทที่ 147 เชิญทำลายค่ายกล
โดย
ProjectZyphon
ยอดเขาที่หน้าผาสลักคำกล่าวเตือนเจียวและหลงจากราชาแห่งสวรรค์เวลานี้มีคนยืนอยู่สามคน และยังมีสตรีที่ร่ายใช้เวทกระบี่อีกคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าตัวยางอยู่ที่ไหน ได้ยินแต่เสียงไม่เห็นหน้าค่าตา
ชุยหมิงแห่งสำนักศึกษากวานหูที่ตบะต่ำสุดรู้สึกปวดหัวยิ่งกว่าใคร อยู่ที่อื่น จะอย่างไรเขาวิญญูชนชุยฉานก็ต้องเป็นเทพเซียนอันดับหนึ่ง เป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ถ้อยคำประจบยกยอก็ได้ฟังจนหูแฉะ น่าเสียดายที่มาอยู่ที่นี่ในค่ำคืนนี้ ชุยฉานกลับกลายมาเป็นมดตัวหนึ่งที่ไม่สะดุดตามากที่สุด หรืออาจถึงขั้นเทียบไม่ได้กับมดสักตัวเลยด้วยซ้ำ
ความรู้สึกย่ำแย่เช่นนี้ทำให้ชุยหมิงหวงผู้อยู่สูงส่งเหนือใครมาจนชินอัดอั้นตันใจยิ่งนัก จำต้องท่องคาถาของลัทธิขงจื้อเพื่อสยบความคิดวุ่นวายอยู่ในใจ
เขาเหลือบมองผู้เฒ่าที่โดยสารเรือกลับจากทางช้างเผือกมายังโลกมนุษย์ สถานะจอมปลอมที่เอาไว้บอกกับคนนอกของผู้เฒ่าในเวลานี้คืออดีตซือหลางของแคว้นหวงถิง แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากลับเป็นเจียวเฒ่าตัวหนึ่งที่อายุมากจนน่าตกใจ
ผู้เฒ่าในเวลานี้สุขุมเยือกเย็นกว่าชุยหมิงหวงอยู่มาก มือหนึ่งของเขาลูบเครา มองกรงขังปราณกระบี่ด้วยความสนใจพลางจุ๊ปากชื่นชมอยู่กับตัวเอง
การเดินทางในครั้งนี้ของชุยหมิงหวงเพราะได้รับคำสั่งจากราชครูให้มุ่งหน้าลงใต้เงียบๆ เพื่อมาปรึกษาเรื่องลับกับเจียวเฒ่าที่จำศีลอยู่ที่นี่ ราชครูต้าหลีต้องการให้ผู้เฒ่าที่จำแลงร่างกลายมาเป็นอดีตซือหลางกรมพิธีการของแคว้นหวงถิผู้นี้ออกไปรับตำแหน่งเจ้าขุนเขาคนแรกของสำนักศึกษาแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นบนเขาพีอวิ๋น ส่วนเขาชุยหมิงหวงจะยังคงเป็นรองเจ้าขุนเขาตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ บวกกับเจ้าสำนักของวงการวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงมากพออีกคนหนึ่งของต้าหลี คนทั้งสามร่วมกันควบคุมดูแลสำนักศึกษาแห่งใหม่ที่เข้ามาแทนที่ตำแหน่งว่างของสำนักศึกษาซานหยา เชื่อว่าด้วยความทะเยอทะยานและจิตมุ่งมั่นอันแข็งแกร่งของฮ่องเต้ต้าหลี สำนักศึกษาแห่งใหม่บนเขาพีอวิ๋นที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อจะต้องมีขนาดใหญ่ยิ่งกว่า และมีกลิ่นอายของการศึกษาเข้มข้นยิ่งกว่าสำนักซานหยาของฉีจิ้งชุนแน่นอน
ส่วนตำแหน่งเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งใหม่ที่รับปากกับสำนักศึกษากวานหูเอาไว้ ว่ากันว่าฮ่องเต้ต้าหลีจะทำการชดเชยให้เป็นการส่วนตัว
ก่อนหน้าที่ชุยหมิงหวงจะได้รับจดหมายลับจากราชครูชุยฉาน เขาไม่รู้เลยว่าในบ่อน้ำเล็กๆ ของแคว้นหวงถิงเล็กๆ แห่งนี้จะถึงขั้นซุกซ่อนเจียวตัวใหญ่ขนาดนี้เอาไว้ ด้วยเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานและเวทอภินิหารเกี่ยวกับน้ำที่ได้รับมาตั้งแต่เกิดของพวกเจียวและมังกร ต่อให้มีตบะเท่าขอบเขตที่สิบ พลังการต่อสู้ก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่สิบเอ็ดแน่นอน
ในจดหมายลับของราชครูต้าหลีเปิดเผยให้รู้ว่า นับตั้งแต่ศึกสังหารมังกรสะท้านฟ้าสะเทือนดินครั้งนั้นสิ้นสุดลง ท่ามกลางเทือกเขาและแม่น้ำของแคว้นสู่โบราณที่ถูกขนานนามว่ามีเจียวและมังกรอยู่มากมายนั้น เลือดไหลนองนับหมื่นลี้ ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่เศษซากเจียวและมังกร ชวนสังเวชจนไม่อาจทนมองได้
จากนั้นท่ามกลางสายธารเวลาอันยาวนาน เจียวเฒ่าอายุมากตัวนี้หลบซ่อนตัวเป็นอย่างดี คอยเปลี่ยนแปลงรูปโฉมอยู่ตลอดเวลา เคยเป็นทั้งอัครเสนาบดี พ่อค้าแผงลอย พลทหาร แม่ทัพ จอมยุทธ์ผู้ผดุงคุณธรรม เรียกได้ว่ามีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ผกผันแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
เจียวเฒ่าไม่สนใจในการสืบพันธ์จึงมีลูกหลานน้อยมาก ทั่วทั้งภูเขาและแม่น้ำบริเวณโดยรอบแคว้นหวงถิง มีแค่หนึ่งบุตรสาวสองบุตรชายเท่านั้น หนึ่งในนั้นมีบุตรชายคนเล็กซึ่งก็คือเทพวารีแม่น้ำหันสือของจวนมหาวารี ส่วนบุตรสาวคนโตก็คือบุรพาจารย์บุกเบิกขุนเขาของทำเนียบตะวันม่วงที่หลิวฮุ่ยเจียโรงเตี๊ยมชิวหลูเป็นลูกศิษย์ เพียงแต่ว่านางไม่เคยเปิดเผยตัวตนกับคนนอก ต่อให้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดรุ่นแรกของทำเนียบตะวันม่วงก็ยังรู้เรื่องของนางแค่เล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้เมื่อบรรพบุรุษของทำเนียบตะวันม่วงจากโลกนี้ไป ความจริงก็สูญสลายตามไปด้วย ส่วนบุตรชายคนโตของเจียวเฒ่านั้นมีจิตใจดีงาม ผิดแผกไปจากเจียวทั่วไป อีกทั้งยังชอบท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ไม่มีใครทราบข่าวคราว ยังอยู่ในแจกันสมบัติทวีปหรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก
ซิ่วไฉเฒ่ายากจนที่สะพายสัมภาระไว้ด้านหลังเพิ่งจะใช้เวทคาถาย่อส่วนพื้นที่ของลัทธิเต๋าจากชายหาดมหาสมุทรมายังยอดเขาแห่งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนขัดขวาง ประเด็นสำคัญคือปัญหาไม่ใช่เล็กๆ นี่จึงทำให้ซิ่วไฉเฒ่ายิ่งขมวดคิ้วมุ่น เพราะกำแพงปราณกระบี่ที่พุ่งทะยานสู่ชั้นฟ้าสกัดกั้นลมปราณฟ้าดินเอาไว้ ต่อให้เป็นผู้เฒ่าเองก็ยังไม่อาจรับสัมผัสกับเหตุการณ์ภายนอกได้ชั่วคราว
ซิ่วไฉเฒ่านวดคลึงปลายคาง “คุณพระช่วย เดี๋ยวนี้สตรีด้านนอกร้ายกาจขนาดนี้แล้วหรือ?”
ผู้เฒ่าถอนหายใจ ชูมือขึ้น ปลายนิ้วเคาะลงบนความว่างเปล่าหนึ่งครั้ง เอ่ยเบาๆ “นิ่ง”
ฟ้าดินพลันเงียบสงัดในเสี้ยววินาที ไม่มีเสียงน้ำไหลเชี่ยวกราก แล้วก็ไม่มีเสียงแตกปะทุเบาๆ ยามลมโชยปะทะกำแพงกระบี่
กาลเวลาของเทือกเขาและแม่น้ำในรัศมีสิบลี้ไม่ไหลหายอีกต่อไป
ปรากฎการณ์จากอริยะขงจื๊อยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ชุยหมิงหวงเปลี่ยนจากตกตะลึงมาเป็นยินดีอย่างบ้าคลั่ง เริ่มท่องบทคำสอนของอริยะอยู่ในใจเสียงดังกังวาน เพื่อใช้สิ่งนี้มาเพิ่มกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมให้แก่ตน
สำหรับวิญญูชนลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่มีปณิธานอยากกลายเป็นอริยะแล้ว นี่คือโอกาสที่พันปียากจะพานพบสักครั้ง
บัดนี้แม้แต่เจียวเฒ่าที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนก็ยังตกตะลึง ถอยกรูดไปด้านหลังหลายก้าว ทิ้งระยะห่างจากซิ่วไฉเฒ่าที่หน้าตาไม่โดดเด่นผู้นั้นตามจิตใต้สำนึก ต่อให้ระยะห่างเพียงเท่านี้จะไม่ช่วยอะไรเลยก็ตาม แต่เจียวเฒ่าก็ยังทำเพื่อแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน
ในยุคบรรพกาล ก่อนศึกสังหารมังกร ตอนที่เจียวผู้เฒ่ายังเป็นเด็กเคยได้ยินผู้อาวุโสในเผ่าเล่าให้ฟังว่า อริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่ตำแหน่งเทพในศาลเจ้าบุ๋นเป็นรองแค่ปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยตั้งกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่งกับราชามังกรสี่ทิศว่า เมื่อเจียวและมังกรอยู่บนบก เมื่อเจอปราชญ์ต้องหลบเลี่ยง เจออริยะต้องซ่อนตัว
เคยมีมังกรใหญ่แห่งทะเลสาบที่เป็นรองแค่ราชามังกรสี่ทิศ อาศัยว่าตนพักอยู่ในทะเลสาบใหญ่ไปก่อความวุ่นวายต่อหน้าอริยะที่ท่องเที่ยวอยู่บนชายฝั่ง จงใจทำให้ยอดคลื่นสูงกว่าท้องฟ้าของกำแพงเมืองบนชายฝั่ง สร้างความตกตะลึงให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบ เพื่อท้าทายอริยะ ความหมายของการกระทำนี้ก็คือ ข้าไม่เคยขึ้นฝั่ง ไม่เคยทำผิดกฎ ต่อให้เจ้าเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อแล้วจะทำอะไรข้าได้?
ตอนนั้นเจียวเฒ่าที่ยังเด็กเพิ่งจะรู้สึกว่าการกระทำนี้ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก ผลกลับได้ยินผู้อาวุโสเล่าโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นภายหลังอย่างสะเทือนใจว่า อริยะลัทธิขงจื๊อท่านนั้นชี้นิ้วออกไปข้างหนึ่ง กล่าวด้วยถ้อยคำซึ่งคล้ายคลึงกับที่ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยในคืนนี้ ใช้เวทอภินิหารยิ่งใหญ่ที่แค่ปลายนิ้วก็สยบมรสุมให้หยุดนิ่ง กักร่างของเจินหลงตัวนั้นให้ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ทำให้น้ำในทะเลสาบถอยกลับไปหลายสิบลี้ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าเจินหลงขึ้นฝั่งโดยพลการ อีกทั้งพอเจออริยะยังไม่ยอมซ่อนตัว ดังนั้นอริยะจึงถลกหนังดึงเส้นเอ็นของมันออกมาแล้วสยบมันไว้ใต้ก้อนหินใต้ทะเลสาบที่ใหญ่โตดุจขุนเขา ลงโทษให้มันจำศีลอยู่ด้านใต้ไม่อาจออกมาพบเจอโลกภายนอกได้อีกพันปี
ครั้งนั้นผู้อาวุโสเอ่ยกำชับเด็กรุ่นเยาว์ด้วยความปรารถนาดีว่า นิสัยของอริยะลัทธิขงจื๊อเหล่านั้น โดยเฉพาะพวกที่มีเทวรูปตั้งอยู่บนแท่นบูชาในศาลเจ้าบุ๋นล้วนไม่ค่อยดีนัก หาไม่แล้วจะมีคำเรียกขานที่ฟังไปในทางลบอย่าง “แสร้งวางท่าภูมิฐาน” ได้อย่างไร?
ตอนนั้นเจียวเฒ่าถามด้วยความคลางแคลงใจว่า การกระทำนี้ของอริยะลัทธิขงจื๊อเท่ากับไม่รักษากฎไม่ใช่หรือ?
ผู้อาวุโสกลับตอบอย่างหงุดหงิดว่า เจ้าโง่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าใครเป็นคนตั้งกฎเกณฑ์?
ไม่รู้ว่าเจียวเฒ่าที่อยู่บนยอดเขานึกถึงเรื่องอะไรในอดีตขึ้นมาได้ สีหน้าเขาถึงค่อนข้างจะเศร้าหมอง พูดพึมพำว่า “สิ่งมีชีวิตอย่างมังกรและเจียว ผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์ ประทานเมฆโปรยฝน สูงศักดิ์เกินจะเปรียบ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ครองแคว้นอิสระที่รับบัญชาเฉพาะการศึกไม่รับการแต่งตั้งหรือตบรางวัล สุดท้ายแทบจะสูญพันธ์ ต้องกลายมามีสภาพอย่างทุกวันนี้ จะโทษเหล่าอริยะก็ไม่ได้ ล้วนเป็นเพราะใจทะเยอทะยาน เป็นเพราะหาเรื่องใส่ตัวเองทั้งสิ้น”
ซิ่วไฉเฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที หันหน้ามามองเจียวเฒ่าที่อยู่ในสภาพของปัญญาชนวัยเจ็ดสิบปีแล้วยิ้มบางๆ พยักหน้าให้ “รู้แก้ไขเมื่อทำผิด ประเสริฐยิ่งแล้ว มิน่าเล่าครั้งก่อนที่ผ่านมายังที่แห่งนี้ ได้เห็นทัศนียภาพอันงดงาม แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ที่แท้สาเหตุก็เพราะเจ้านี่เอง อืม ยังมีวิญญูชนอีกคน วิญญูชนเชียวนะ ปีนั้นเสี่ยวฉี…เอาเถอะ ได้พบเจอถือเป็นวาสนา…น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจพวกเจ้า ไป”
ซิ่วไฉเฒ่าพึมพำกับตัวเองแล้วก็ปาดนิ้วไปทางด้านนอกเบาๆ หนึ่งครั้ง
เจียวเฒ่าและชุยหมิงหวงจึงถูกบังคับให้ย้ายออกไปจากยอดเขา
หนึ่งคนหนึ่งเจียวร่วงลงบนผิวน้ำที่ห่างออกไปไกล ต่างคนต่างแบมือก้มหน้าลงมอง จากนั้นก็กำมือแน่นแทบจะเวลาเดียวกัน เพื่อซุกซ่อนตัวอักษรสีทองที่อยู่ในฝ่ามือของตัวเอง พวกเขาย่อมไม่เต็มใจให้คนอื่นเห็นอยู่แล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ท่ามกลางค่ายกลกระบี่บนยอดเขากวาดตามองไปรอบด้านแล้วหัวเราะร่าเสียงดัง “หลบๆ ซ่อนๆ ไม่ถือว่าเป็นลูกผู้ชาย!”
เพียงไม่นานซิ่วไฉเฒ่าก็รู้สึกได้ว่าคำพูดประโยคนี้ของตนไร้เหตุผลสิ้นดี จึงอึกอักเพราะหาทางลงให้ตัวเองไม่เจอ
ตรงหน้าผาใกล้กับแม่น้ำมีเรือนกายของหญิงสาวร่างสูงใหญ่สวมชุดขาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมา ในมือนางถือใบบัวขนาดใหญ่ สามารถมองเป็นร่มใบบัวคันหนึ่งได้ เพียงแต่ว่าทั้งใบและก้านของมันล้วนเป็นสีหิมะ สอดคล้องกับอาภรณ์และรองเท้าสีขาว สะอาดบริสุทธิ์แม้แต่ฝุ่นสักเม็ดก็ไม่อาจเกาะติด
หลังจากมองเห็นใบบัวนั้น ซิ่วไฉเฒ่าก็ขมวดคิ้ว เริ่มอนุมานในใจอย่างรวดเร็ว สุดท้ายสีหน้าหม่นหมอง ถอนหายใจหนึ่งที แล้วจึงเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่ยอมถอนสายตากลับเป็นนาน ปากพึมพำว่า “ครั้งสุดท้ายไปที่นั่นเองหรือ? นึกถึงเด็กหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาในปีนั้น เขาพร่ำพูดว่าวิญญูชนต้องมีเที่ยงตรงยุติธรรม ยอมหักไม่ยอมงอ แม้ร่างจะแหลกเป็นผุยผง พอถึงท้ายที่สุด…ลำบากเจ้าแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่ามองไปยังหญิงสาวสูงใหญ่ชุดขาว “หากเฉินผิงอันสังหารเด็กหนุ่มชุยฉานได้ ไม่ใช่เรื่องดี”
นางยิ้มบางๆ “แบบนี้เองหรือ แต่ข้าไม่สน เจ้าแน่ใจก็ออกไปจากค่ายกลกระบี่ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ไม่ต้องพูดถึงหลักการอะไรกับข้าทั้งนั้น เจ้าไปพูดกับผิงอันน้อยของข้าจะยังมีประโยชน์มากกว่า”
นางพลันหยุดพูด ก่อนแค่นเสียงหยัน “แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องออกไปให้ได้ก่อน การที่เจ้าสองคนนั้นถูกเจ้าส่งออกไปได้อย่างราบรื่นเป็นเพราะข้าคร้านจะขัดขวางก็เท่านั้น”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนใจ “ตอนที่ข้ามีชีวิตอยู่ก็ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้อยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งไม่ได้เรื่องเข้าไปใหญ่ เหตุใดเจ้าต้องสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่น อีกอย่างตอนนี้เฉินผิงอันกับเด็กหนุ่มชุยฉาน คนหนึ่งก็เป็น…ลูกศิษย์ของข้าครึ่งตัว อีกคนก็เป็นศิษย์หลานของข้าครึ่งตัว เจ้าว่าข้าควรจะช่วยใครล่ะ? ครั้งนี้ข้าไปที่นั่น แม้จะบอกว่าช่วยให้ชุยฉานรอดชีวิต แต่สืบสาวกันอย่างถึงแก่นแล้วก็ไม่ใช่เพราะหวังดีกับเฉินผิงอันหรอกหรือ?”
สตรีชุดขาวพยักหน้ารับ “เหตุผลนี้มีเหตุผลมาก”
แต่แล้วนางก็ส่ายหน้า “ทว่าข้าออกมาคราวนี้ไม่ใช่เพื่อใช้เหตุผลพูดคุยกับคนอื่นสักหน่อย”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ่งเหนื่อยใจ “เห็นแก่ผิงอันน้อยของเจ้า ยกเว้นข้าสักคนได้ไหม? ข้าเป็นแค่อาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่ง เจ้าไม่รับฟังเหตุผล ต่อให้ข้ามีความสามารถก็ไม่มีที่ให้ใช้ อีกอย่างเจ้าก็เป็นหนึ่งในคนไม่กี่คน…หนึ่งในกระบี่ไม่กี่เล่มที่ต่อสู้เก่งที่สุดในสี่ทวีปใต้หล้า จะพูดว่ากระบี่ก็ไม่ถูกทั้งหมด ช่างเถอะๆ ไม่มัวมาเถียงกันเรื่องชื่อเรียกนี่แล้ว สรุปคือทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับข้า!”
หญิงสาวร่างสูงใหญ่ที่ในมือถือร่มประหลาดสีหน้าเฉยชา “ทำลายค่ายกลเถอะ”
ผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความจำใจ ได้แต่ถามอย่างระมัดระวัง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
มุมปากของหญิงสาวชุดขาวตวัดขึ้นสูง “รู้สิ เหวินเซิ่ง (ปราชญ์ด้านภาษา) ไงล่ะ”
ผู้เฒ่าตะลึงลาน ในใจคิดว่าในเมื่อรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของตนแล้ว ยังไม่ยอมไว้หน้ากัน แบบนี้ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว
คำเรียกขานว่าจื้อเซิ่ง (มหาปราชญ์) หลี่เซิ่ง (ปราชญ์ด้านพิธีการ) และหย่าเซิ่ง (รองปราชญ์) ของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้
แบ่งออกเป็นเจ้าลัทธิขงจื๊อ ผู้เฒ่าคนนี้คือปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อทุกคนใต้หล้าให้ความเคารพ นั่งอยู่ในตำแหน่งกลางสุดและสูงสุดของศาลเจ้าบุ๋น
อันดับต่อมาก็คือเจ้าลัทธิรุ่นที่สองของลัทธิขงจื๊อที่เทวรูปตั้งอยู่ฝั่งซ้ายและขวา ซึ่งแบ่งเป็นหลี่เซิ่ง (ปราชญ์ด้านพิธีการ) และหย่าเซิ่ง (รองปราชญ์) ที่ช่วยสืบทอดสายบุ๋นให้แก่ลัทธิขงจื๊อ
ฝ่ายแรกได้รับคำชมและของรางวัลจากปรมาจารย์มหาปราชญ์มากที่สุด ถูกลัทธิขงจื๊อมองเป็นอาจารย์แห่งพิธีการ ตัวอย่างแห่งคุณธรรม เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนและเข้มงวดที่สุดของลัทธิขงจื๊อทั้งชุด ฝ่ายหลังได้รับการยอมรับว่ามีความรู้กว้างขวางและลึกซึ้งที่สุด ใกล้ชิดกับปรมาจารย์มหาปราชญ์มากที่สุด อีกทั้งยังบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ ทำให้ลัทธิขงจื๊อได้เป็น “อาจารย์ของจักรพรรดิ” เพียงหนึ่งเดียวที่แท้จริงในใต้หล้า
อันดับต่อมา เหวินเซิ่ง (ปราชญ์ด้านภาษา) ก็คืออริยะลัทธิขงจื๊อที่อยู่ตำแหน่งสูงเป็นอันดับที่สี่ของศาลเจ้าบุ๋น
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องเก่าแก่ในอดีต ปัจจุบันตำแหน่งนี้ปล่อยค้างมานานมากแล้ว เพราะเทวรูปถูกลดตำแหน่งลงต่ำครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายแม้แต่ในศาลเจ้าบุ๋นก็อยู่ต่อไม่ได้ จึงถูกย้ายออกไป อริยะอันดับที่สี่ผู้ยิ่งใหญ่ถูกถอดถอนออกจากระบบดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อก็แล้วไปเถอะ แต่นี่สุดท้ายแม้แต่เทวรูปก็ยังไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ ต้องมาถูกลูกศิษย์ขงจื๊อกลุ่มหนึ่งที่ถือทิฐิอย่างสุดโต่ง ภาคภูมิใจว่าตัวเองคือผู้ผดุงคุณธรรมทุบเทวรูปที่ตกอยู่ในสภาพชวนสังเวชจนต้องฝากฝังไว้ใต้ชายคาคนอื่นนั้นจนแหลกละเอียด แล้วถึงพากันเดินอาดๆ จากไป
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นมือไปด้านหลัง ตบเบาๆ ลงบนห่อสัมภาระ ห่อสัมภาระก็พลันหายไป
จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าจึงเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความอดทนว่า “ไม่อย่างนั้นเรามาคุยกันดีๆ ไหม? ไม่ต้องตีกันได้ไหม?”
สตรีครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเกรงใจสักหน่อย?”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้าอย่างยินดี หัวเราะพลางกล่าวว่า “เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด”
วินาทีนั้นปราณกระบี่ของค่ายกลกระบี่ก็ยิ่งเข้มข้นแผ่ไพศาล พลังอำนาจของกระบี่ที่ไร้ทัดเทียมขุมนั้นแทบจะกรีดผ่าฟ้าดินให้เป็นร่องลึก
เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลมีเซียนกระบี่มากมาย เหล่าผู้กล้าฝีมือโดดเด่นไม่แม้แต่จะยอมก้มหัวให้บุรุพาจารย์สามลัทธิ พวกเขาทะยานอยู่ทั่วทุกใต้หล้าอย่างกำเริบโอหัง ใช้เวทกระบี่ขอบเขตปลายทาง ใช้วิถีกระบี่ขอบเขตปรมัตถ์ ใช้กระบี่วิเศษที่ไร้เทียมทานโลดแล่นอยู่ในโลกมนุษย์
มุมปากของหญิงสาวกระตุกขึ้น “เหวินเซิ่งเชิญทำลายค่ายกล! พูดแบบนี้ถือว่าเกรงใจแล้วหรือเปล่า?”
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น