ลำนำบุปผาพิษ 1452-1455

 บทที่ 1452 เชือดทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายด้วยพันดาบ!


สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีจำนวนคนกว่าสองร้อยคน หลบซ่อนอยู่ที่นี่เยี่ยงพังพอนเหลือง ทุกคนย่อมรู้สึกลำบากยากแค้นยิ่งนักเป็นธรรมดา ตั้งตารอที่จะได้ย้ายกลับไปอีกครั้ง


ยามที่กู้ซีจิ่วเร่งกลับมาพร้อมกับพวกเยี่ยนเฉิน เห็นกู่ฉานโม่กำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ปราศรัยกับทุกคนที่มารวมตัวกัน เขาเอ่ยเสียงดัง ยามที่ปราศรัยเต็มไปด้วยความโกรธ “ทุกคนอย่าได้กังวล ไอ้บัดซบตี้ฝูอีผู้นั้นก่อกบฏเช่นนี้ ทำให้สวรรค์ขุ่นมนุษย์เคืองมาเนิ่นนาน อีกไม่นานเขาจะต้องได้รับการลงทัณฑ์จากสวรรค์ถูกอัสนีสวรรค์ผ่า! ผู้เฒ่าลองติดต่อกับสี่เทวทูตสาวกของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ตลอด เมื่อติดต่อได้ จะให้พวกเขารายงานต่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ รอจนถึงยามที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกโรง เมื่อถึงยามนั้นจะเป็นจุดจบของตี้ฝูอีผู้นี้!”


มีบางคนเกิดความกังวล “แต่เนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เห็นปรากฏตัวออกมาเลย หรือว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะปิดด่านกักตน?”


“ใช่แล้ว นี่ก็สองปีแล้วนะ ไม่มีข่าวของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สักนิดเลย ข้าสงสัยว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะถูกฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์อะไรนั้นเล่นงานเข้า ไม่แน่ว่าอาจจะสิ้นชีพไปนานแล้ว…มิเช่นนั้นถ้ามีคนมาแอบอ้างเป็นฮูหยินของเขาแล้วช่วยเหลือคนชั่วให้ก่อกรรม เขาจะไม่ออกมาลงโทษได้อย่างไร?”


กู่ฉานโม่กระอักกระอ่วน อันที่จริงเขาก็สงสัยจุดนี้เช่นกัน เมื่อก่อนถึงแม้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวไม่บ่อย แต่เมื่อเกิดจลาจลแม้เพียงน้อยเขาก็จะออกโรง ใช้ยุทธวิธีปราบปรามความวุ่นวาย คืนสันติสุขให้ทวีปนี้ ยามนั้นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็เป็นผู้แถลงการณ์ของเขา


ยามนี้ตี้ฝูอีเสมือนถูกผีเข้าก็มิปานก่อนเรื่องวุ่นวายใหญ่โตถึงเพียงนี้ขึ้น ซ้ำข้างกายยังมีฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์คอยร่วมหัวจมท้ายกับเขาด้วย ทำให้ยากนักที่ผู้คนจะไม่คาดเดากันว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ประสบเหตุไม่คาดฝันอันใดไปแล้ว


“ศิษย์รู้สึกว่าไม่ควรรอให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกหน้า เมื่อโลกวุ่นวายเช่นนี้ สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ของพวกเราควรจะแบกรับภาระหนักอึ้งนี้เอาไว้ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้กลายเป็นคนที่ปวงชนมากมายชี้หน้าร้องด่าแล้ว ข้าเชื่อว่าขอเพียงสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ของพวกเราชูแขนปลุกระดม ย่อมมีผู้ที่พร้อมติดตามมากมายเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนบุกไปสังหารที่เมืองหลวงพร้อมกัน ฟันไอ้สารเลวผู้นั้นเป็นหมื่นๆ ชิ้น…” บางคนที่หัวรุนแรงเสนอความคิดเห็นอย่างอดไว้ไม่อยู่แล้ว


กู่ฉานโม่พยักหน้าน้อยๆ “ผู้เฒ่ามีแผนการในใจแล้ว จะไม่ปล่อยให้เรื่องราวใดๆ จะดำเนินไปเช่นนี้เด็ดขาด เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผู้เฒ่าจะมาแจ้งให้ทุกคนทราบ…”


“ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสมควรตาย!”


“เชือดทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายด้วยพันดาบ!”


ฝูงชนร้องด่าอย่างฮึกเหิม แทบจะทักทายไปถึงบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว


กู้ซีจิ่วฟังเรื่องนี้อยู่ไกลๆ สีหน้าอึมครึมอย่างไม่อาจควบคุมได้ เอ่ยอยู่ในใจว่าโชคดีที่ตี้ฝูอีไม่ได้มาด้วย มิเช่นนั้นถ้าได้ยินเสียงด่าประณามเหล่านี้เข้าเกรงว่าคงปวดใจนัก!


พวกเชียนหลิงอวี่อดไม่ได้ที่จะมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง ทุกคนค่อนข้างละอาย “เรื่องนี้…ทุกคนค่อนข้างเข้าใจทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผิดไปจริงๆ…”


เยี่ยนเฉินเอ่ยขึ้นว่า “ซีจิ่ว พวกเราต้องบอกเรื่องทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกับทุกคนไหม?”


กู้ซีจิ่วใคร่ครวญครู่หนึ่ง พยักหน้าให้ “บอก!”


ถึงแม้ตี้ฝูอีจะให้เธอจัดการเรื่องครั้งนี้ให้เงียบเชียบเช่นเดิม เลี่ยงไม่ให้เป็นการเปิดเผยร่องรอย แต่เธอไม่อยากเห็นตี้ฝูอีถูกเหล่าศิษย์ในสำนึกศึกษาชุมนุมสวรรค์ก่นด่าถึงเพียงนี้  เธอจะต้องกอบกู้ชื่อเสียงให้เขา!


ยามนี้พวกเธอมาถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว เธอกระแอมเบาๆ กำลังจะกู่ตะโกน


พลันได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นในอากาศ “โอ้ พวกเจ้าด่าข้าอย่างชื่นมื่นกันเหลือเกินนะ มีฝีมือเพียงเท่านี้หรือ?”


ดวงตากู้ซีจิ่วเปล่งประกายทันที ตี้ฝูอี! นึกไม่ถึงว่าเขาจะกลับมาเร็วขนาดนี้! เหล่าศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต่างหน้าเปลี่ยนสีกันทุกคน พากันเงยหน้ามองขึ้นไปในอากาศ


ภายใต้นภาครามปุยเมฆขาว คนชุดม่วงผู้หนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ อาภรณ์สีม่วงเจิดจรัส ใต้หน้ากากเงินเผยให้เห็นริมฝีปากบางที่หยักโค้งนิดๆ แถบแพรนัยน์ตาจิ้งจอกทอประกายแวววาวอยู่กลางหน้าผาก


เป็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้น!


ฝูงชนตกตะลึงพรึงเพริด การได้เห็นเขาน่ากลัวกว่าการได้พบเห็นภัยพิบัติใดๆ เสียอีก!


———————————————————————–


บทที่ 1453 ด่าเจ้าวันล่ะแปดรอบก็ยังถือว่าเบาไปด้วยซ้ำ!


คนที่ชักยุทโธปกรณ์ก็ชักยุทโธปกรณ์ คนที่ชักกระบี่ก็ชักกระบี่ เกิดเสียงเสียดสีของศาสตราวุธแว่วขึ้น ทุกคนไม่รอคำสั่งจากกู่ฉานโม่ เรือนกายวูบไหวจัดกระบวนค่ายสังหารเพื่อต่อกรกับมารร้ายแล้ว…ทุกคนพร้อมประจัญบาน!


ตี้ฝูอีหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ กอดอกมองพวกเขาจัดกระบวนค่าย


หลายปีมานี้สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เตรียมพร้อมรับมือกับอันตราย วิชายุทธ์ค่ายกลอันใดล้วนไม่ย่อหย่อนลงเลย บัดนี้เมื่อต้องจัดกระบวนค่ายจึงจัดได้ว่องไว ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ ลานกว้างใต้ต้นไม้ใหญ่ก็จัดขบวนค่ายขนาดใหญ่ที่เปี่ยมด้วยไอสังหารเสร็จแล้ว!


เมื่อจัดกระบวนค่ายขนาดใหญ่นี้ออกมา สามารถต้านทานพลทหารได้หนึ่งแสน คราก่อนสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็ได้ใช้กระบวนค่ายสังหารนี้เพื่อขับไล่การรุกรานจากสำนักอื่นๆ อยู่หลายครั้ง


กู่ฉานโม่หรี่ตามองตี้ฝูอีที่อยู่กลางอากาศ แววตาเฉียบคมมีประกายแสงลุกโชน


ไม่น่าเชื่อว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้จะบุกมาด้วยตัวคนเดียว!


วรยุทธ์ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสูงส่งจริงๆ แต่หากว่ายอดฝีมือของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ร่วมมือกัน เขาไม่มีทางรอดออกไปได้!


นี่เขามาหาที่ตายสินะ?! หรือว่าเขาจะพาคนอื่นมาด้วย เพียงแต่หลบซ่อนอยู่เท่านั้น?


เขากวาดสายตามองรอบตัวตี้ฝูอีอย่างรวดเร็ว ด้านหลังเขาคือสายลมพิสุทธิ์แจ่มใส แม้แต่เมฆขาวสักก้อนก็ไม่เห็นเลย ย่อมซ่อนคนไว้ไม่ได้…


มารดามันเถอะ! ไม่สนแล้ว ยากนักที่จะได้เห็นได้บัดซบนี่อยู่คนเดียว ถ้าไม่คว้าโอกาสนี้ไว้เขาก็เป็นไอ้หลานเต่าแล้ว!


เขาโบกมือคราหนึ่ง ผู้อาวุโสแปดคนที่อยู่ในสังกัดเขาเหินทะยานขึ้นมาพร้อมเขา ปิดล้อมตี้ฝูอีไว้ตรงกลาง ก่อเป็นกระบวนค่ายสังหารอีกครั้ง สอดรับกับกระบวนค่ายสังหารของศิษย์ที่อยู่ด้านล่างเหล่านั้น


จัดกระบวนค่ายเรียบร้อยแล้ว กู่ฉานโม่ก็มีความมั่นใจเพียงพอแล้ว!


“ตี้ฝูอี สวรรค์มีหนทางแต่เจ้ากลับไม่เดิน นรกไร้ประตูแต่เจ้ากลับบุกเข้ามา ครั้งนี้เป็นตัวเจ้าที่เข้ามาหาที่ตายเอง ผู้เฒ่าจะลงทัณฑ์เจ้าแทนสวรรค์!” กระบี่หนักในมือกู่ฉานโม่แทบจะจ่อเข้าที่ปลายจมูกของตี้ฝูอีแล้


ตี้ฝูอีกลับไม่อนาทรร้อนใจ เพ่งพิศกู่ฉานโม่กับผู้อาวุโสทั้งแปดแวบหนึ่ง “ไม่ได้พบกันแปดปี ก็ไม่เห็นว่าวรยุทธ์ของพวกเจ้าจะก้าวหน้าขึ้นเท่าไหร่นะ”


แปดปีก่อนพวกกู่ฉานโม่มีพลังวิญญาณขั้นเก้า ยามนี้ก็ยังคงเป็นพลังวิญญาณขั้นเก้าอยู่ พัฒนาขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อก่อนมากสุดคือขั้นเก้ากับอีกสามส่วนยามนี้ยกระดับเป็นขั้นเก้ากับอีกห้าส่วน


กู่ฉานโม่ร้องเฮอะคราหนึ่ง “ไม่ได้พบกันแปดปีอันใด? หนึ่งปีก่อนพวกเราพบหน้ากันอยู่หนหนึ่งมิใช่หรือ? เจ้ายังให้ผู้เฒ่าติดตามเจ้าไปอยู่เลย…”


ตี้ฝูอีเลิกคิ้วแวบหนึ่ง “ตาเฒ่ากู่ เจ้ารู้จักมักจี่กับข้ามาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ยังแยกตัวจริงกับตัวปลอมไม่ออกอีกหรือ? ตาคู่นี้ของเจ้าไปมองล่อมองลาที่ไหนอยู่กัน?”


กู่ฉานโม่ตะลึงงัน “อะไรนะ?!”


ตี้ฝูอีกล่าวอย่างสบายๆ “แปดปีนี้ข้าไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นบนทวีปนี้เลย ยามนี้ผู้ที่กระทำเรื่องชั่วช้าอยู่ภายนอกเป็นตัวปลอมที่แอบอ้างสวมรอย!”


ฝูงชนตกตะลึง!


“ผายลม!” กู่ฉานโม่ตะลึงไปครู่หนึ่งจากนั้นก็คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “ตี้ฝูอี เจ้าอย่าฝันว่าจะใช้ถ้อยคำไม่มีมูลอ้างอิงเหล่านี้มาโป้ปดข้าผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ได้ เจ้านึกว่าอาจารย์ใหญ่เช่นข้าโง่งมหรือไง? เจ้าคงไม่ได้จะใช้วิธีนี้เพื่อล้างตัวให้ไร้มลทินกระมัง? คิดจะป่าวร้องอันใดอีก?”


ตี้ฝูอีดีดเล็บเล็กน้อย “ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรเจ้าก็ไม่ยอมเชื่อสินะ?”


“แน่นอนอยู่แล้ว! ไม่มีผู้ใดเชื่อเจ้าหรอก! ตี้ฝูอี ครั้งนี้ต่อให้เจ้าพูดจามีวาทศิลป์แค่ไหน พวกเราก็ไม่เชื่อถือแม้แต่ครึ่งคำ!”


ตี้ฝูอีหลุบตาเล็กน้อยถอนหายใจเบาๆ “ไม่น่าเชื่อว่าตัวข้าจะมีวันที่จนตรอกดั่งหนูเฒ่าข้ามถนนอย่างที่ผู้อื่นว่าไว้ พวกเจ้ามักจะด่าข้าอยู่บ่อยๆ สินะ?”


ยามนี้กู่ฉานโม่ไม่แยแสอะไรอีกแล้ว เอ่ยโพล่งออกไป “แน่นอน! เจ้าอย่านึกว่าจะใช้อำนาจปิดปากทุกคนไว้แล้วจะไม่มีใครกล้าด่าเจ้า ในใจของปวงชนในทวีปนี้ต่างร้องด่าบรรพบุรุษของเจ้าไปแปดชั่วโคตรแล้ว! ส่วนตัวข้าผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ ด่าเจ้าวันละแปดรอบก็ยังถือว่าเบาไปด้วยซ้ำ!”


บทที่ 1454 อันที่จริงก็ไม่ได้ด่าบ่อยขนาดนั้น…


“พวกเจ้าด่าผิดคนแล้ว! แปดปีนี้เขาอยู่กับข้าตลอด ผู้ที่ก่อกรรมทำเข็ญอยู่ด้านนอกทำให้ทุกคนต้องพลัดถิ่นฐานเป็นตัวปลอมจริงๆ!” เสียงใสกระจ่างสายหนึ่งดังออกมาจากป่าตรงทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อกะพริบตาอีกครั้ง สตรีนางหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้างกายตี้ฝูอีแล้ว…


พวกกู่ฉานโม่เบิกตากว้าง


ถึงแม้เวลาจะผ่านไปแปดปีแล้วแต่กู้ซีจิ่วไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่ ดูเหมือนอายุสิบแปดสิบเก้าเท่านั้น พวกกู่ฉานโม่ย่อมจดจำได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว


“ซีจิ่ว!”


“ซีจิ่ว!”


“กู้ซีจิ่ว…”


ท่ามกลางฝูงชนไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่ร้องเรียกออกมา


กู้ซีจิ่วทำความเคารพกู่ฉานโม่ “อาจารย์ใหญ่กู่ ซีจิ่วคารวะ”


ยามนี้ดวงตาของกู่ฉานโม่เจิดจ้ายิ่งกว่าคบเพลิงเสียอีก!


คนอื่นๆ ก็ออกมาจากส่วนลึกของป่าเช่นกัน เป็นพวกเยี่ยนเฉิน…


….


ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทุกคนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ต่างล้อมวงกันเป็นวงหนึ่ง ให้ตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วอยู่กลางวง ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความโมโหขุ่นเคือง เพียงแต่โทสะที่สูงเทียมฟ้านี้มิได้มีต่อตี้ฝูอีแล้ว แต่โกรธเคืองหลังจากที่ได้ทราบความจริง!


ไม่น่าเชื่อเลยว่าตัวปลอมคนหนึ่งจะก่อพายุนองโลหิตไปทั่วทั้งทวีปได้ ทำร้ายทุกคนมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้!


ความจริงนี้โหดร้ายเกินไป และน่าเหลือเชื่อเกินไป หากมิใช่เพราะกู้ซีจิ่วกลับมาพร้อมกับตี้ฝูอีด้วย ทุกคนไม่มีทางเชื่อแน่!


มีกู้ซีจิ่วอยู่ที่นี่ พวกเยี่ยนเฉินก็ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างละเอียด ในที่สุดทุกคนจึงเข้าใจ จากนั้นก็ละอาย!


พวกเขาด่าผู้อื่นอยู่ที่นี่เนิ่นนานถึงเพียงนั้น ซ้ำยังถูกผู้อื่นจับได้คาหนังคาเขาอีก!


ใบหน้าชราของกู่ฉานโม่แดงก่ำ แทบไม่กล้าสบตาตี้ฝูอีแล้ว ตี้ฝูอีนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูงตัวหนึ่ง เท้าแก้มมองเขา “เจ้าด่าข้าวันล่ะแปดรอบเชียว…”


กู่ฉานโม่ยิ้มแห้งๆ “นี่…เรื่องนี้ความจริงแล้วคนที่ด่าก็คือตัวปลอมผู้นั้น…อันที่จริงก็ไม่ได้ด่าบ่อยขนาดนั้น…”


ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว “ถึงแม้เจ้าจะด่าตัวปลอมผู้นั้น แต่นามที่เอ่ยแซ่ที่กล่าวเป็นนามของข้า ข้าไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่…”


กู่ฉานโม่ทราบมาตลอดว่าตี้ฝูอีเป็นคนที่รับมือได้ยาก ยามนี้ถูกเขาจับจุดได้ยิ่งรับมือได้ยากขึ้นไปอีก เขาทำได้เพียงตอบอย่างพินอบพิเทานอบน้อม ซ้ำยังสั่งให้คนไปนำชาที่ดีที่สุดมาและชงด้วยมือตัวเอง ส่วนเหล่าศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ย่อมพากันคุกเข่ารับความผิด…


จนปัญญาที่ว่าตี้ฝูอีไม่สนใจเลย เพียงยิ้มมิเชิงยิ้ม ทว่าอำนาจบนกายกลับแข็งกล้ายิ่งนัก


กู่ฉานโม่ก็ทราบดีว่าหนนี้ล่วงเกินผู้อื่นอย่างร้ายแรงแล้ว จึงได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่กู้ซีจิ่ว


กู้ซีจิ่วก็มิเสียทีที่เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ในยามคับขันยังคงช่วยพูดให้พวกเขายิ่งนัก เธอมองตี้ฝูอี “ฝูอี เรื่องนี้ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด…”


ตี้ฝูอีถึงได้ลุกขึ้นยืน กวาดตามองฝูงชนแวบหนึ่ง “เห็นแก่หน้าซีจิ่ว จะละเว้นพวกเจ้าสักครั้งแล้วกัน”


เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทุกคนล้วนถอนหายใจเหยียดยาว


กู่ฉานโม่ทราบนิสัยของตี้ฝูอีดี ยามปกติล่วงเกินเขาแม้เพียงน้อยเขาก็ไม่ยินดีจะละเว้น ไม่ได้ถลกหนังคนไม่นับว่าจบเรื่อง นึกไม่ถึงว่าหนนี้จะยอมให้อภัยเร็วถึงเพียงนี้ ถึงขั้นที่เขาไม่ได้รับบทลงโทษตามสมควรอันใดเลย…


ทุกอย่างนี้เป็นความดีความชอบของกู้ซีจิ่ว…


ทุกคนมองกู้ซีจิ่วด้วยสายตาซาบซึ้งตื้นตัน


ยามนี้อารมณ์ของทุกคนเบิกบานยินดียิ่งนัก ความหดหู่ในหลายวันมานี้มลายหายไป! ทุกคนต่างพับกางเกงถลกแขนเสื้อเตรียมพร้อมรับศึกใหญ่!


เมื่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงปรากฏตัวขึ้น เช่นนั้นเวลาเปิดโปงตัวปลอมผู้นั้นก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว


ใบหน้าชราของกู่ฉานโม่ยิ้มหน้าบานปานดอกเบญจมาศ สอบถามความเคลื่อนไหวขั้นต่อไปของตี้ฝูอี


——————————————————————–


บทที่ 1455 หาตัวไส้ศึก


ตี้ฝูอีกวาดสายตามองฝูงชนแวบหนึ่ง หัวเราะเบาๆ “รีบร้อนอันใดกัน? ข้ามีแผนการแล้ว เพียงแต่ก่อนจะกล่าวถึงแผนการนี้ ข้าต้องไต่สวนเรื่องหนึ่งให้กระจ่างก่อน”


ฝูงชนงงงันเหมือนมีน้ำเข้าสมอง


กู่ฉานโม่ยิ้มสู้ “เรื่องใดรึ?”


ตี้ฝูอีตวัดแขนเสื้อ เกิดแสงวาบขึ้นมา ฝ่ามือปรากฏของสิ่งหนึ่ง ของสิ่งนั้นเป็นพู่หยกที่แกะสลักจากหยกชิ้นเดียว รูปทรงคล้ายกิเลนตัวหนึ่ง ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก “สิ่งนี้เป็นของผู้ใด?”


ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลา กู่ฉานโม่ขมวดคิ้ว “สิ่งนี้ทุกคนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ล้วนมีเหมือนกันหมด เป็นพู่ห้อยเอวที่เป็นสัญลักษณ์ยืนยันตัวตนอย่างหนึ่ง พู่ห้อยเอวนี้มีปัญหาอะไรหรือ?”


ตี้ฝูอีกวาดตามองฝูงชนอีกครั้ง “มีกันทุกคนหรือ?”


กู่ฉานโม่พยักหน้า “ผลิตขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน เป็นพู่ห้อยเอวแบบใหม่ของศิษย์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เมื่อก่อนทุกคนล้วนห้อยติดกายไว้ ครั้งนี้เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยฐานะ ทุกคนจึงถอดพู่ห้อยเอวออก เพียงแต่ยังคงพกติดตัวอยู่…”


ขณะที่พูดเขาก็หยิบพู่ห้อยเอวชิ้นหนึ่งออกมาด้วย เหมือนชิ้นนั้นที่อยู่ในมือของตี้ฝูอีทุกประการจริงๆ


ตี้ฝูอีนำพู่ห้อยเอวอันนั้นมาเทียบกันดู เอ่ยถามเขา “หินวิญญาณที่พวกเจ้าใช้สร้างพู่ห้อยเอวทั้งหมดคือหยกหอมเวหนกระมัง?”


กู่ฉานโม่พยักหน้า “มิผิด หยกหอมเวหนชนิดนี้เมื่อสวมติดกายจะมีกลิ่นหอมสดชื่นของพืชพรรณ ซ้ำยังชำระล้างไอขุ่นมัวในร่างได้ด้วย ด้วยเหตุนี้ผู้เฒ่าจึงต้องการให้ทุกคนห้อยกันคนละชิ้น”


ตี้ฝูอีโยนพู่ห้อยเอวในมือให้เขา “เช่นนั้นเจ้าลองดูอีกทีสิ ว่าชิ้นที่อยู่ในมือข้าใช่หยกหอมเวหนหรือไม่?”


กู่ฉานโม่ยังคงรอบรู้ยิ่งนัก เขานำหยกห้อยเอวชิ้นนั้นมาส่องแสงตะวันแล้วมองอย่างละเอียด สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน “นี่มันหยกมารเวหน!”


หยกมารเวหนเมื่อเทียบกับหยกหอมเวหนแล้ว ลักษณะภายนอกเหมือนกันทุกอย่าง แยกแยะได้ยากยิ่งนัก แต่คุณสมบัติกลับแตกต่างกันลิบลับ!


หยกมารเวหนเป็นหยกหายากชนิดหนึ่ง ร่ำลือกันว่าหยกนี้มีพลังมารแกร่งกล้า สามารถทำลายวิญญาณของผู้ที่สวมใสได้ ทำให้พลังยุทธ์ของคนลดลงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความจำถดถอย ถึงขั้นที่สามารถทำให้คนกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปอย่างช้าๆ…


กำลังของหยกชิ้นนี้มหาศาลนัก เพียงชิ้นเดียวก็สามารถส่งผลกระทบต่อคนได้ในรัศมีหลายลี้ ถ้าอธิบายตามยุคปัจจุบัน สิ่งนี้ค่อนข้างคล้ายวัสดุเฟอร์ไทล์ แผ่ขยายพลังงานเป็นวงกว้างอย่างยิ่ง


ไม่นึกเลยว่าชิ้นที่อยู่ในมือของตี้ฝูอีจะกลายเป็นสิ่งนี้ไปได้


พู่ห้อยเอวเช่นนี้ถึงแม้จะมีกันทุกคน แต่เพื่อให้ทุกคนสามารถแยกแยะได้ แต่ละคนจึงทำสัญลักษณ์ของตนไว้ บ้างก็สลักอักษรคำหนึ่งในชื่อตนลงไป บ้างก็สลักตราประจำตระกูลลงไป บ้างก็ทำเป็นลวดลายให้ตัวเองจดจำได้


หยกชนิดนี้ไม่ใช่ของที่แกะสลักได้ง่ายๆ จะต้องมีพลังวิญญาณขั้นแปดขึ้นไปถึงจะแกะสลักได้ และถ้าต้องการสลักภาพลงไปตามใจปรารถนาก็ต้องมีพลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไป


บนหลังของกิเลนชิ้นที่อยู่ในมือตี้ฝูอีสลักลายเมฆาก้อนหนึ่งไว้ ลายเมฆานั้นแช่มช้อยลื่นไหล เห็นได้ชัดว่าสลักโดยยอดฝีมือที่มีพลังวิญญาณขั้นเก้า


“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านไปได้สิ่งนี้มาจากที่ใดกัน? หรือมีคนลอกเลียนแบบพู่ประดับเอวของสำนักข้า ประสงค์ร้ายต่อสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ใช่หรือไม่?”


ตี้ฝูอีโยนหยกในมือชิ้นนั้นเบาๆ “ข้าพบมันที่ใต้อิฐก้อนหนึ่งในสนามฝึกยุทธ์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ สิ่งนี้คือตัวการที่ทำให้ทุกคนฝันร้าย!”


ฝูงชนตกตะลึง


ตัวการที่ทำให้ทุกคนพลัดถิ่นฐานมามอมแมมหน้าคลุกฝุ่นคือสิ่งนี้หรือ?!


กู่ฉานโม่ขมวดคิ้วจนยับย่นแล้ว รีบสอบถามเหล่าผู้อาวุโสคุ้มกฎหลายคนรอบกายที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าแล้วทันที ว่ามีใครเคยสลักลายเมฆาลงบนพู่ประดับเอวชิ้นนี้หรือไม่


ผู้อาวุโสคุ้มกฎหลายท่านนั้นส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง ผู้ใดก็ไม่เคยทำเรื่องนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้ถูกนำเข้ามาโดยศิษย์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เนื่องจากในระยะครึ่งปีมานี้ไม่มีคนนอกเข้ามาที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เลย!


ไม่จำเป็นต้องซักไซ้เลย ถ้ามิใช่มีคนใช้ประโยชน์จากศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ก็แปลว่าในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีไส้ศึกอยู่!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)