คัมภีร์วิถีเซียน 1452-1454
ตอนที่ 1452 พัฒนาระดับขั้น
และในตอนนั้นเองกลางอากาศที่มืดสนิทก็มีลำแสงสีขาวเป็นสายๆ ปรากฎขึ้น ทันใดนั้นก็สลายออกกลายเป็นจุดลำแสงสีขาวนวลร่อนลงมาบนพื้น
แทบจะในเวลาเดียวกันผิวของอสูรน้อยก็เปลี่ยนไป กลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
จากนั้นร่างของอสูรน้อยก็มีกลิ่นหอมประหลาดโชยมา ทำให้ผู้คนที่ได้กลิ่นอดที่จะน้ำลายสอไม่ได้ ราวกับว่าร่างเล็กๆ ของอสูรเกล็ดมิคาทนกลายเป็นสิ่งหอมหวานที่หายากในใต้หล้าอย่างไรอย่างนั้น
ไป๋ปี้และพวกที่เดิมทีกำลังสงสัยท่าทางของหานลี่และอสูรน้อย ได้กลิ่นนี้ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
“กลิ่นเนื้อนิพพาน! พี่หาน อสูรวิญญาณของเจ้าจะพัฒนาระดับแล้ว” ไป๋ปี้หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ข้าน้อยเกรงว่าคงจะต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่สักวันนึง” หานลี่ลูบไปบนอสูรน้อยสองครั้ง แล้วหยัดกายลุกขึ้นพยักหน้า
“อสูรวิญญาณพัฒนาระดับย่อมเป็นเรื่องดี แต่มาเกิดขึ้นในนี้ คงไม่ใช่เรื่องเล็ก กลิ่นหอมนี้โชยออกไป เกรงว่าปีศาจทั้งแดนน้ำแข็งทมิฬคงกรูกันเข้ามา หากไม่ระวังมีปีศาจระดับสูงปรากฎขึ้น เกรงว่าพวกเราคงตกอยู่ในอัตรายแล้ว” ไป๋ปี้มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี พี่ไป๋อยากให้ข้าทิ้งอสูรวิญญาณของตนเองแล้วหนีไปหรือ?” แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นเยียบ พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนานั้น แค่…” เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ของหานลี่ ไป๋ปี้ก็รีบร้อนปฏิเสธ และคิดจะอธิบายอะไรได้ แต่หานลี่กลับโบกมือตัดคำพูดต่อมาของเขา
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะคิดอย่างไร หากพวกเจ้าคิดว่าอันตรายก็ไปได้ แต่ข้าจะไม่ไปไหน” หานลี่มีท่าทีแข็งกร้าว
เมื่อได้ฟังหานลี่กล่าวเช่นนี้ ไป๋ปี้เหลยหลันและพวกต่างก็มองสบตากัน อดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นขึ้นมาไม่ได้
พวกเขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับท่าทางเช่นนี้ของหานลี่เลย
หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาอสูรวิญญาณตัวหนึ่งกำลังจะพัฒนาระดับขั้นก็ต้องคอยดูแลมัน ไหนเลยจะทิ้งไปได้ง่ายๆ
หานลี่ในครานี้กลับไม่สนใจคนที่เหลืออีกสามคนอีก แค่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของตนเองเท่านั้น
อสูรน้อยจะพัฒนาระดับนั้นอย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ช่วงเวลานี้ขอแค่ปีศาจที่อยู่ในบริเวณนี้ได้กลิ่นก็อาจจะดึงดูดมันมาได้ แน่นอนว่าที่นี่คือแดนน้ำแข็งทมิฬ ย่อมเป็นที่ที่มีปีศาจน้ำแข็งทมิฬมากที่สุด
ร่างกายของหานลี่เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ชั่วครู่ก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ มือหนึ่งปัดไปที่ย่ามเก็บของ จานอาคมเป็นตั้งๆ ปรากฎขึ้นในมือ
ชูมือหนึ่งขึ้น!
ลำแสงยี่สิบสามสิบสายพุ่งออกไปรอบทิศทาง จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วทยอยกันจมหายไปกลางอากาศ
เสียง “ครืนๆ” ดังขึ้นจากพื้นดินรอบๆ เสาลำแสงสีแดงสิบสายทะลุออกมาจากใต้ชั้นน้ำแข็ง ทันใดนั้นเขตอาคมขนาดยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางร้อยจั้งพลันปรากฎขึ้นบนผิวน้ำแข็ง
ด้านในเขตอาคมมีอักขระประหลาดเรียงรายอยู่เต็มไปหมด อักขระสีแดงลอยวนเวียนไปมาไม่หยุด
กลิ่นอายร้อนฉ่าแผ่ออกไปรอบๆ แฝงไว้ด้วยกลิ่นไหม้จางๆ
นี่คือยุทธภัณฑ์เขตอาคมธาตุไฟชุดหนึ่งที่หานลี่เสียศิลาวิญญาณจำนวนไม่น้อยซื้อมาจากเมืองเทวะสวรรค์ มันสามารถสร้างเขตอาคมต้องห้ามที่มีชื่อว่า ‘เขตอาคมเพลิงมอดสิบผืน’
เขตอาคมนี้มีพลานุภาพไม่น้อย หากวางลงไปแม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงเข้ามาในเขตอาคม ก็ยังไม่อาจทลายออกได้ไป
หากเป็นปีศาจธาตุน้ำแข็งที่เย็นเยียบซึ่งเป็นธาตุที่ด้อยกว่า ก็ยิ่งมีอานุภาพที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
ทว่าไม่ใช่แค่นี้สองมือของหานลี่พลันร่ายอาคม กระบี่เล่มเล็กสีทองทั้งเจ็ดสิบสองเล่มพลันพุ่งออกมาจากจุดต่างๆ ของร่างกาย แล้วพลันบินไปเหนือศีรษะในเวลาเดียวกัน กลายเป็นกระบี่ลำแสงสองสามร้อยเล่มที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วท่ามกลางเสียงหึ่งๆ
หานลี่พลันบริกรรมคาถา ชี้ไปยังกระบี่ลำแสงที่ทอตัวอยู่กลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองสองสามร้อยสายพลันแตกกระจายออกรอบๆ หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็สลายหายไปกลางอากาศ
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะวางเขตอาคมมหากระบี่ทองคำของตัวเองลงในเขตอาคมอีก
จากพลังยุทธ์ระดับยอดสุดของระดับเทพแปลงของเขาในตอนนี้ วางเขตอาคมกระบี่ลงไปแล้ว แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญขั้นปลายเข้ามาก็ไม่อาจโชคดีรอดพ้นได้ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมร่างนั้นก็อาจจะถูกดึงพลังไปสองสามส่วน แต่ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก มีเพียงต้องลองทดสอบดูถึงจะรู้
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หานลี่ก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศในเขตอาคม สองตาหรี่ลงพลางขบคิดอะไรสักอย่าง แล้วสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง
เปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากเปล่งเสียงร้องเพรียกก็กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินตัวหนึ่ง หมุนวนกลางอากาศ แล้วเปล่งเสียง “สวบ” คาดไม่ถึงว่าจะจมหายเข้าไปใต้ชั้นน้ำแข็งอย่างไร้เงา
จากนั้นหานลี่ถึงได้ยกมือขึ้นปล่อยรถวิญญาณสามเหลี่ยมที่เคยใช้ไปออกมา
ทำให้รถคันนี้ลอยนิ่งอยู่กลางเขตอาคม ส่วนตัวเองก็นั่งสมาธิอยู่ในรถ หลับตาทั้งสองข้างลง
ครานี้อสูรน้อยที่อยู่ด้านล่างถูกลำแสงสีขาวห่อหุ้มเอาไว้ข้างใน ในเวลาเดียวกันก็แผ่กลิ่นอายที่หอมหวานมากกว่าเดิมออกมา แม้ว่าหานลี่จะวางเขตอาคมต้องห้ามเอาไว้ขนาดนี้ แต่ก็ไม่อาจกลบกลิ่นอายของมันได้เลยสักนิด
กลิ่นหอมของมันช่างเย้ายวนนัก แผ่ออกไปท่ามกลางความมืดมิดอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เหลยหลันและพวกทั้งสามพูดคุยกันเบาๆ รอบหนึ่ง ก็ยังบินเข้ามาอย่างว่าง่าย แล้วยืนอยู่บนรถวิญญาณ
สามคนนี้ล้วนไม่อยากเข้าไปสู่การโจมตีที่บ้าคลั่งของปีศาจ แต่จากอันตรายก่อนหน้า หากไม่มีหานลี่คอยปกป้องนั้น ไม่ต้องพูดถึงการตามหาผลเพลิงยมโลกเลย เกรงว่าแม้แต่ชั้นที่สามก็ยังเข้าไปได้ยาก
เช่นนั้นทั้งสามคนจึงทำได้เพียงทำใจดีสู้เสือเท่านั้น
โชคดีที่หานลี่เตรียมทุกอย่างไว้อย่างเพียงพอ ประกอบกับที่หานลี่มักจะเป็นผู้ที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาในความคิดของพวกนาง ขอแค่ไม่มีปีศาจที่แข็งแกร่งเกินไปปรากฎตัว เสียเวลาไปสักวันก็ไม่ใช่ว่าจะรับไม่ได้
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ลำแสงสีขาวนวลลดระดับลงมามากขึ้นเรื่อยๆ กลืนกินร่างของอสูรน้อยเอาไว้ข้างในจนมองไม่เห็น
อสูรเกล็ดมิคาทนที่แต่เดิมเงียบกริบ พลันเปล่งเสียงร้องคำรามเบาๆ ในลำแสงสีขาว ดูเหมือนว่าจะกำลังข้ามผ่านความเจ็บปวดอะไรสักอย่าง
“อสูรวิญญาณพัฒนาระดับไม่เหมือนกับพวกเรา ทุกครั้งล้วนทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าคนเผ่าวิญญาณเหาะเหินอย่างพวกเรา” ฉินเสี่ยวมองไปยังลำแสงสีขาวเบื้องหน้าแล้วเอ่ยพึมพำม
“กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ผิดแต่ความเจ็บปวดจากการชำระไขกระดูกนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะเทียบเทียมได้” เหลยหลันเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มจางๆ
ไป๋ปี้กลับมองไปยังแดนน้ำแข็งอันมืดมิดที่อยู่ไกลออกไป ใบหน้าเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
ครานี้รอบด้านดูจะเงียบสงัดเกินไปหน่อยกระมัง นอกจากเสียงวายุหวีดหวิวแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก ส่วนกลิ่นหอมที่แผ่ออกมาจากร่างของอสูรน้อยก็แผ่ไกลออกไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้ว ไกลออกไปยังพอว่า แต่ปีศาจในระยะร้อยลี้ ไม่อาจไม่ได้กลิ่นหอมนี้ได้
ไป๋ปี้ขบคิดเช่นนี้ ในใจพลันรู้สึกไม่ปลอดภัย อดที่จะหันหน้าไปมองหานลี่แวบหนึ่งไม่ได้
หานลี่หลับตาทั้งสองข้าลง สีหน้าราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง
แววตาของไป๋ปี้เปล่งแสงสว่างวาบ ริมฝีปากกำลังจะขยับคิดจะเอ่ยอะไรนั้น หานลี่กลับเบิกตาขึ้น แววตาเปล่งประกายระยิบระยับ!
แทบจะในเวลาเดียวกัน บางแห่งในความมืดมิดมีเสียงซ่าๆ ดังมา ดูเหมือนว่าของจำนวนนับไม่ถ้วนจะกำลังทะลักมาทางนี้
ครานี้ไม่เพียงไป๋ปี้ที่หน้าเปลี่ยนสี กำลังพูดคุยกับเหลยหลันและฉินเสี่ยวทีปิดปากเงียบเบาๆ และมองไปทางนั้นเช่นกัน
เห็นเพียงไกลออกไปมีลูกตาสีแดงสดสองสามคู่ปรากฎขึ้น จากนั้นเงาดำๆ ขนาดสองสามฉื่อฝูงใหญ่พลันทอยยกันกระโจนออกมาจากความมืดมิด
พวกมันมีเรือนกายสีดำเป็นประกาย แขนขาเคลื่อนไหว เสียงซ่าๆ ดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแมงมุมน้ำแข้งหน้าตาโหดเ**้ยมฝูงใหญ่!
มองปราดไปฝูงแมงมุมคาดไม่ถึงว่าจะเรียงตัวทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา ชั่วพริบตาก็เรียงรายอยู่เต็มพื้นน้ำแข็ง
ทว่าปีศาจน้ำแข็งทมิฬระดับต่ำสุดเหล่านี้ล้วนไม่ต้องให้หานลี่ลงมือ ฉินเสี่ยวของเผ่าราตรีเขียวก็เปล่งเสียงร้องออกมา สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวสิบกว่าสายพลันบินออกมา ร่อนลงไปหาฝูงแมงมุม
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ชั่วขณะนั้นท่ามกลางฝูงแมลงพลันมีหุน่เชิดไม้สูงสองสามจั้งสิบกว่าตัวปรากฎขึ้น
หุ่นเชิดเหล่านี้ดูเหมือนกิ้งก่ายักษ์ ไม่เห็นว่าพวกมันจะเคลื่อนไหวใดๆ ร่างกายเตี้ยๆ ก็อ้าปากออก พ่นเสาลำแสงสีเขียวออกมา
ทุกจุดที่ลำแสงสีเขียวกวาดผ่านไป แมงมุมน้ำแข็งทั้งหมดก็ละลายหายไปอย่างรวดเร็วราวกับหิมะที่ละลายในฤดูใบไม้ผลิ คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานาลำแสงนี้ได้เลยสักนิด
หุ่นเชิดเหล่านี้ยืนเรียงแถวกัน ชั่วพริบตาพลันสะบัดหัวไปซ้ายทีขวาที ทำให้แมงมุงน้ำแข็งที่อยู่ไกลออกไปไม่อาจเข้าใกล้ได้แม้แต่ก้าวเดียว ซากแมงมุมนับพันตัวเรียงรายอยู่บนพื้น ชั่วพริบตากองแมงมุมก็หนาขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าจำนวนของแมงมุมน้ำแข็งเหล่านี้ไม่มากนัก แม้ว่าลำแสงสีเขียวเหล่านี้จะแหลมคมเป็นอย่างยิ่ง แต่หลังจากที่ดาหน้ากันเข้ามาแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่าไม่สนใจชีวิตของตนเองอย่างไรอย่างนั้น
แม้ว่าลำแสงสีเขียวที่หุ่นเชิดกิ้งก่ายักษ์สิบกว่าตัวพ่นออกมาจะร้ายกาจ แต่เห็นได้ชัดว่าต้องสูญเสียศิลาวิญญาณไปไม่น้อย แต่แค่เวลาชั่วครู่ ลำแสงสีเขียวในปากก็เปลี่ยนเป็นสีหมองหม่น ไม่อาจไล่สังหารแมงมุมต่อไปได้อีก
เช่นนั้นแมงมุมจำนวนนับไม่ถ้วนจึงทะลวงผ่านปราการ เข้ามาประชิดหุ่นเชิดเหล่านั้น
เสียง “ฟู่ๆ” ดังสนั่นขึ้น เส้นไหมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่พ่นออกมาจากปากของแมงมุม ห่อหุ้มหุ่นเชิดกิ้งก่ายักษ์เอาไว้ รัดเอาไว้แน่นจนไม่มีช่องโหว่
จากนั้นภายใต้การดึงของเส้นไหมสีดำ หุ่นเชิดสิบกว่าตัวทยอยกันล้มลงกับพื้น ไม่อาจกระดุกกระดิกได้เลยสักนิด
เมื่อเห็นฉากนี้ฉินเสี่ยวที่ยืนอยู่ในรถวิญญาณพลันรู้สึกตกตะลึง แต่ในเวลาเดียวกันพลันสัมผัสได้ว่าบนพื้นไร้ซึ่งลำแสง ทันใดนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงต่ำๆ ว่า
“เหล่าสหายอย่าลงมือ เจ้าพวกนั้นมอบให้น้องหญิงจัดการเถิด” ทันใดนั้นสตรีผู้นั้นก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบทะลวงออกจากเขตอาคมใหญ่ ไปอยู่เหนือแมงมุมน้ำแข็ง
แน่นอนว่าฝูงแมงมุมพลันพบเป้าหมายกลางาอากาศในทันที ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงร้องซือๆ ออกมา แล้วพ่นเส้นไหมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนไปทางสตรีที่อยู่กลางอากาศ
ฉินเสี่ยวมีสีหน้าเคร่งขรึม ฉับพลันนั้นร่างกายพลันมีเปลวเพลิงสีเขียวมรกตชั้นหนึ่งปรากฎขึ้น หลังจากที่สัมผัสกับเส้นไหมสีดำ ก็กลายเป็นกลุ่มควันสีเขียว หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
และทันใดนั้นสตรีผู้นี้ก็เปล่งเสียงร้องตะโกนต่ำๆ ออกมา มือหนึ่งกวาดออกไป กระบี่เพลิงสีเขียวเล่มหนึ่งปรากฎขึ้นในมือ สะบัดไปทางด้านล่างอย่างแม่นยำ
ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงสีเขียวหนาๆ สายหนึ่งพลันสับลงไป หลังจากเสียงดังสนั่นขึ้น เบื้องหน้าฝูงแมงมุมก็มีร่องลึกความกว้างสองสามจั้งสายหนึ่งปรากฎขึ้น
ด้านในมีเปลวเพลิงสีเขียวหมุนวน แมงมุมน้ำแข็งทั้งหมดที่ร่วงลงไป พลันหายวับไปในพริบตา
ฉินเสี่ยวถึงได้หยักรอยยิ้มที่มุมปากขึ้น ตอนที่กำลังคิดจะเพิ่มกระบี่สองสามเล่มไปขยายร่องลึกอีกสักสองสามส่วนนั้น กลับมีเสียงร้องด้วยความโกรธาสองสามเสียงดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ฉับพลันนั้นพลันมีสิ่งมหึมาขนาดสองสามจั้งสองสามตัววิ่งออกมา
ภายใต้การจับจ้องอย่างละเอียดของสตรีผู้นี้ ก็อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยไม่ได้
เจ้าพวกนี้คือแมงมุมยักษ์สี่หัวที่มีขนาดใหญ่กว่าพวกพ้อง ทุกตัวล้วนมีขนสีดำที่แผ่นหลัง เผยเขี้ยวที่แหลมคมออกมาจากปาก เปล่งเสียงร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวออกมาไม่หยุด
ฉินเสี่ยวพลันขมวดคิ้ว กวาดกระบี่เพลิงในมือออกไป สับลงไปหาพวกมันอย่างไม่เกรงใจ
แต่ชั่วพริบตานั้นผิวของแมงมุมเหล่านี้ก็มีลำแสงสีดำไหลเวียนไปมา แผ่นหลังมีปีกจั๊กจั่นสีดำสนิทปรากฎขึ้น
มันกระพือปีกแล้วทยอยกันพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ฉินเสี่ยวเห็นเช่นนั้นใบหน้าผ่อนคลายบนใบหน้าพลันหายวับไป!
ตอนที่ 1453 ปีศาจพฤกษามรกต
เหลยหลันเห็นเช่นนั้นพลันขมวดคิ้วว พลางหันหน้าไปพูดกับไป๋ปี้
“เจ้าพวกนี้ดูเหมือนว่าจะยุ่งยากไม่น้อย ข้าจะไปช่วยพี่หญิงฉินอีกแรงเถิด” พูดไปพลางร่างของสตรีผู้นี้ก็เปล่งแสงสีทองสว่างวาบ และชี้ไปที่จุดหนึ่งพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่นและเอ่ยว่า
“ศิษย์น้องหญิงเหลยข้าว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องช่วยแม่หญิงฉินหรอก พวกเรามีอีกอย่างต้องจัดการ” เหลยหลันได้ยินพลันตกตะลึง มองไปทางทีไป๋ปี้ชี้ไป
ผลคือท่ามกลางความมืดมิด ปีศาจหมาป่าฝูงใหญ่เดินออกมาอย่างเงียบเชียบ มองทอดไกลออกไปทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยขน ไม่รู้ว่ามีอยู่กี่ตัว
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น อีกด้านหนึ่งพลันมีเสียงร้องดังขึ้น
เหลยหลันหลันเหลือบตามองไป เห็นเพียงเงาสีดำทางด้านนั้นพลิ้วไหว เผยวานรน้ำแข็งสูงสองสามจั้งฝูงหนึ่งออกมา ทุกตัวล้วนมีขนที่ยาวมาก โค้งงอเล็กน้อย แต่ในมือของมันส่วนใหญ่ล้วนกลับมีไม้กระบองหินอยู่ ทุกตัวล้วนมีเขี้ยวแหลมคมท่าทางดุดัน
“ข้าจะไปจัดการฝูงหมาป่า วานรน้ำแข็งเหล่านั้นให้ศิษย์พี่ไป๋จัดการก็แล้วกัน” เหลยหลันกลับเอ่ยอย่างรวดเร็ว เสียงสวบดังขึ้น คนกลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเงินสายหนึ่งพุ่งเข้าไปหาฝูงหมาป่า
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นประจุไฟฟ้าหนาๆ สิบกว่าสายระเบิดออกท่ามกลางฝูงหมาป่า จากนั้นก็ดีดตัวออก
ปีศาจหมาป่าที่ถูกประจุไฟฟ้าสีเงินกวาดไป ทอยยกันตัวสั่นเทาแล้วล้มลงกับพื้น ร่างกายมีกลิ่นไหม้โชยมา
ไป๋ปี้เห็นเช่นนั้นพลันสั่นศีรษะคารวะหานลี่ แล้วกลายเป็นลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกไป
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ฝูงวานรที่อยู่อีกด้านพลันเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น ทันใดนั้นลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดออกกลางอากาศ เส้นไหมสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มลงไปด้านล่าง
เสียงร้องอันน่าอนาถดังขึ้น!
หลังจากที่ปีศาจวานรกลุ่มใหญ่มีลำแสงสีทองสว่างวาบ ร่างก็ถูกเส้นไหมสีทองทะลุผ่านจุดตาย ทยอยกันล้มลงกับพื้นกลางบ่อโลหิต…
ไม่ว่าจะเป็นฝูงหมาป่าหรือว่าฝูงวานร หากเป็นแค่ปีศาจระดับต่ำล่ะก็ ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหลยหลันและพวก แต่ท่ามกลางฝูงอสูรระดับต่ำเหล่านั้น กลับมีปีศาจระดับกลางที่มีความสามารถไม่น้อยปรากฎขึ้น ทำให้พวกเขาและฉินเสี่ยวไม่อาจสังหารฝูงอสูรได้ทันที จึงทำได้เพียงค่อยๆ ต่อกรกับมันไปเท่านั้น
หานลี่ยืนมองดูสถานการณ์อยู่บนรถวิญญาณ หน้าเปลี่ยนสี ขบคิดว่าจะให้ทั้งสามคนถอยหลับมา อาศัยอานุภาพของเขตอาคมจับปีศาจเหล่านี้ทั้งหมดดีหรือไม่
แต่ในตอนนั้นเองฉับพลันนั้นกลางอากาศพลันมีเสียงประหลาดๆ ดังขึ้น ดูเหมือนว่าจะมีอะไรสักอย่างบินมา
แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบจ้องเขม็งไป แต่ทันใดนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
เห็นเพียงกลางอากาศมีปีศาจน้ำแข็งทมิฬรูปร่างประหลาดๆ นับร้อยตัวบินมา ทุกตัวล้วนมีร่างกายสีดำแวววาว ขนาดใหญ่หน่อยก็มีขนาดถึงสิบจั้ง เล็กน้อยก็มีขนาดแค่สองสามจั้ง
ดูจากกลิ่นอายที่โชยออกไปข้างนอกเห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นปีศาจที่อยู่ในหุบเหว
ปีศาจเหล่านี้ทุกตัวล้วนมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ บินตรงเข้ามาในเขตอาคมใหญ่ เห็นได้ชัดว่าถูกกลิ่นหอมของอสูรน้อยที่โชยออกไปล่อมา
หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชา ยืนนิ่งที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน มองเหล่าปีศาจที่บินเข้ามาในชั่วพริบตานิ่ง จากนั้นปากก็เปล่งเสียงร้องประหลาดๆ ออกมาขณะกระโจนเข้ามาในเขตอาคมใหญ่ หมายจะตรงเข้ามายังอสูรน้อยที่อยู่ตรงใจกลาง
เมื่อเห็นว่าปีศาจทมิฬนับร้อยตัวบินเข้ามากว่าครึ่ง หานลี่ถึงได้ลงมือ
เขาพลิกฝ่ามือมือหนึ่ง กลางฝ่ามือมีธงอาคมยาวสองสามชุ่นด้ามหนึ่งปรากฎขึ้น เป็นสีแดงเพลิงเปล่งแสงสว่างพร่าง
ใส่ลมปราณทั้งหมดเข้าไปในธงอาคม ปลายแหลมของธงชี้ไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว
หลังจากเสียง “ฟู่” ดังขึ้น พ่นลำแสงสีแดงสายหนึ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเขตอาคมอย่างไร้ร่องรอย
เสียง “ปังๆ” ดังสนั่นขึ้น เสาลำแสงสิบสายที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงขอบของเขตอาคมพลันสั่นคลอน อักขระต่างๆ ปรากฏขึ้น ม่านลำแสงสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนบินม้วนวนออกมาจากจุดต่างๆ ชั่วครู่ก็ล้อมรอบน้ำแข็งทมิฬในเขตอาคมเอาไว้ข้างใน
ปีศาจเหล่านี้พลันตกตะลึงบ้างก็อ้าปากพ่นวายุสีดำสนิทออกมา บ้างก็กะหรือปีกอย่างบ้าคลั่งเรียกหิมะสีดำและลูกเห็บออกมารอบกาย
แต่ไม่ว่าจะเป็นความสามารถด้านน้ำแข็งชนิดใด หลังจากลำแสงสีแดงม้วนวนผ่านแล้ว ต่างก็ละลายหายไป ส่วนน้ำแข็งทมิฬเหล่านั้นเมื่อถูกลำแสงสีแดงกวาดผ่านไป น้ำแข็งบนร่างกายก็ค่อยๆ ละลายออกเป็นชั้นๆ
ชั่วพริบตา ปีศาจในเขตอาคมก็ทยอยกันหายไปเหลือเพียงไอน้ำแข็งทมิฬเป็นกลุ่มๆ ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ปีศาจที่อยู่ด้านนอกเขตอาคมพลันตกตะลึง!
ปีศาจบางตัวที่เสียดายกลิ่นหอมนี้ จึงไม่อาจจากไปได้ยังคงวนเวียนอยู่ด้านนอกเขตอาคม บ้างที่มีสติปัญญาค่อนข้างสูงเห็นท่าไม่ดีจึงหันกลับหนีไป
หานลี่พลันขมวดคิ้วอ้าปากออกพ่นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมา ด้านในมีหม้อเล็กๆ สีเขียวใบหนึ่งถูกห่อหุ้มอยู่
ของสิ่งนี้หมุนคว้างอยู่กลางอากาศไม่หยุด จากนั้นลำแสงพลันเปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นหม้อยักษ์ขนาดสองสามจั้ง
เสียง “ปัง” ดังขึ้น หานลี่ตกไปที่หม้อใบยักษ์
หลังจากเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น ชั่วขณะนั้นฝาหม้อพลันปลิวกระเด็นออกไป เส้นไหมสีเขียวพุ่งออกมาจากหม้อ หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้งก็หายวับไปกลางอากาศ
ครู่ต่อมาด้านนอกเขตอาคมใกล้ๆ กับปีศาจน้ำแข็งทมิฬเหล่านั้น
ระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพ่นออกมาจากกลางอากาศ หลังจากพ่นไปทั่วทุกสารทิศ ชั่วขณะนั้นก็ทะลวงผ่านน้ำแข็งทมิฬเหล่านั้น แม้ว่าสองสามตัวจะหนีออกไปได้ไกลระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจหลบพ้นการโจมตีของเส้นไหมสีเขียวได้
หลังจากที่ลำแสงสีเขียวหม่นแสงลง ซากของปีศาจทั้งหมดก็กลายเป็นชิ้นๆ ร่วงลงมาจากท้องฟ้า
เห็นได้ชัดว่าอานุภาพของหม้อนภาสูญนั้นเพิ่มขึ้นตามพลังยุทธ์ของหานลี่ ไม่เหมือนกับในวันวานแล้ว
ฉินเสี่ยวและพวกเองที่สำแดงความสามารถอยู่ไกลออกไปกำลังทยอยกันสังหารปีศาจระดับกลางเหล่านั้น ในที่สุดก็ทำให้ปีศาจแมลงเหล่าแตกฮือและล่าถอยไป
“คิดไม่ถึงว่าแดนน้ำแข็งทมิฬนี้จะมีปีศาจอยู่มากถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด” เหลยหลันและฉินเสี่ยวบินกลับเข้ามาในรถวิญญาณก็ส่งเสียงจุ๊ๆ เอ่ยอย่างชื่นชม
“หึๆ ที่นี่กว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้ มีที่ซ่อนอยู่มากมายอยู่แล้ว ทว่าปีศาจเหล่านี้เป็นพวกที่อยู่ในระแวกนี้ อีกเดี๋ยวอสูรปีศาจที่อยู่ไกลออกไปก็คงจะมา ครานั้นอาจจะมีปีศาจระดับสูงปรากฏขึ้น” ลำแสงสีทองสว่างวาบ ไป๋ปี้เองก็เข้ามาในรถวิญญาณแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
หานลี่ได้ยินกลับมีสีหน้าเยือกเย็นเป็นพิเศษ
หลังจากนั้นไม่นาน รอบด้านก็มีเสียงร้องคำรามยาวบ้างสั้นบ้างคำรามขึ้น ปีศาจต่างๆ เริ่มทยอยกันปรากฏตัว พลางพุ่งเข้ามาที่เขตอาคม
ครั้งนี้หานลี่ไม่ได้ให้คนที่เหลือทั้งสามคนออกไป แต่เปิดการทำงานของเขตอาคม ไม่ว่าปีศาจชนิดใดที่กระโจนเข้ามาในเขตอาคมก็จะโดนลำแสงสีแดงม้วนเข้าไปแล้วเปล่งเสียงร้องอันน่าอนาถออกมากลายเป็นเถ้าถ่าน…
เช่นนั้นปีศาจระลอกแล้วระลอกเล่า ค่อยๆ โจมตีเข้ามาเวลาครึ่งวันจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แม้กระทั่งในช่วงเวลานั้นยังมีปีศาจระดับสูงปรากฏตัวขึ้นตัวหนึ่ง แต่ภายใต้สถานการณ์ที่หานลี่ใช้เขตอาคมมหากระบี่ทองคำอย่างไม่ลังเลใจนั้นก็สังหารปีศาจตนนี้ได้อย่างง่ายดาย
ไม่รู้ว่าปีศาจตนนี้เป็นปีศาจที่มีชื่อเสียงในแดนน้ำแข็งทมิฬหรือไม่ จากนั้นก็ไม่มีปีศาจที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นในระยะเวลานั้นอีกเลย
หานลี่และพวกจึงรู้สึกยินดีมาก
สองสามชั่วยามต่อมาเมื่อกลิ่นหอมบนร่างของอสูรเกล็ดมิคาทนเริ่มเบาบางลง ฝูงวิหคประหลาดที่เดิมกำลังกระโจนเข้ามาหาเขตอาคมอย่างต่อเนื่องก็แตกฮือออกอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน คาดไม่ถึงว่าจะล้มเลิกการโจมตี
ขณะที่หานลี่กำลังตกตะลึงนั้นไกลออกไปก็มีเสียง “ตึงๆ” ของฝีเท้าอันหนักอึ้งดังขึ้น
ทุกย่างก้าวทำให้น้ำแข็งในบริเวณนั้นสั่นสะเทือนราวกับว่ามีสิ่งมหึมากำลังเดินมาทางนี้
เหลยหลันและพวกมองสบตากันแวบหนึ่งแล้วพลันเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แววตามีสีฟ้าสว่างจ้า
ครู่ต่อมาปีศาจยักษ์ส่วนสูงสองสามร้อยจั้งเรือนกายเป็นสีเขียวมรกตก็เดินออกมาจากความมืดมิด
“ปีศาจพฤกษามรกต คิดไม่ถึงว่าจะเป็นปีศาจพฤกษาตนนี้” เมื่อเห็นรูปร่างของสัตว์ประหลาดอย่างชัดเจน ไป๋ปี้ก็เอ่ยชื่อของปีศาจตนนี้ออกมาด้วยความตรึงเครียด
ปีศาจที่อยู่เบื้องหน้าช่างแปลกประหลาดนัก!
ร่างกายอันใหญ่โต ท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่างเป็นกวาง หัวด้านบนเป็นสีเขียวมรกต คาดไม่ถึงว่าจะเชื่อมกับต้นไม้ยักษ์ ด้านบนยังมีดอกและใบสีเขียวงอกอยู่ดูแล้วช่างน่าขันนัก
แต่สองมือของปีศาจตนนี้กลับถือค้อนขนาดเท่าภูเขาอยู่ไม่ว่าผู้ใดเห็นแล้วก็ไม่อาจหัวเราะเยาะได้
“ไม่เป็นไร แม้ว่าปีศาจพฤกษามรกตจะมีร่างกายใหญ่โต พลังมหาศาลแต่ร่างกายของมันค่อนข้างหนักขอแค่ไม่ถูกอาวุธของมันโจมตีก็ไม่เป็นไร” ไป๋ปี้เอ่ยเตือนและมองไปทางหานลี่แวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ผลคือกลับทำให้ตะลึงงัน!
เห็นเพียงหานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมมาก คาดไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาครั้งแรกตั้งแต่ที่พบเหล่าปีศาจล้อมโจมตี
“พี่หาน เจ้า…” ไม่ใช่แค่ไป๋ปี้ ฉินเสี่ยวและพวกที่พบแล้วก็อดจะเอ่ยถามด้วยความฉงนไม่ได้
“ถ้าหากมีแค่ปีศาจตนนี้ก็พอจะต่อกรได้ แต่ปีศาจอีกตัวที่ยืนอยู่เกรงว่าคงยุ่งยากแล้ว” หานลี่เงียบขรึมไปเล็กน้อยคาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“อีกตัวหนึ่ง?” เมื่อได้ยินหานลี่และพวกเอ่ยเช่นนี้ไป๋ปี้และพวกพลันตกตะลึง รีบร้อนมองไปยังเหนือหัวของปีศาจพฤกษามรกต
ภายใต้การเพ่งพินิจมองอย่างละเอียดในที่สุดก็มองเห็นปีศาจอีกตนหนึ่ง
คาดไม่ถึงว่าปีศาจตนนี้จะมีความสูงไม่ถึงสองฉื่อ เป็นคนแคระเครายาวสวมชุดคลุมสีเขียวมรกต มือหนึ่งถือไม้เท้าเอาไว้ยืนนิ่งอยู่เหนือศีรษะปีศาจพฤกษามรกต ประกอบกับที่ถูกใบไม้ปกคลุมร่างเอาไว้เกือบครึ่ง คนอื่นๆ จึงไม่พบร่องรอยของเขาในคราแรก
“พวกเจ้าฟังให้ดี ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคือคนจากบนพื้นดิน และมีความสามารถ แต่พลังยุทธ์แค่นี้ล้วนไม่ใช่คู่มือของตาเฒ่า ขอแค่ยอมมอบอสูรวิญญาณที่กำลังจะพัฒนาระดับตัวนั้นให้แต่โดยดี ตาเฒ่าก็จะจากไปทันที มิเช่นนั้นที่นี่จะเป็นที่ตายของพวกเจ้า” เมื่อเห็นหานลี่และพวกพบตนเองแล้วคนแคระก็เอ่ยคำพูดอย่างโอหังออกมาโดยที่ดวงตาไม่กระพริบ
เหลยหลันได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยอย่างโอหังเช่นนี้ ก็ไม่แน่ใจพลังของอีกฝ่าย จึงอดที่จะมองสบตากันไม่ได้
หานลี่แววตาเปล่งประกายสองสามครั้ง มองปราดเดียวก็รู้พลังยุทธ์ของอีกฝ่าย จึงอดที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งไม่ได้
มิน่าล่ะคนแคระถึงได้พูดจาโอหังเช่นนี้ เขาสามารถควบคุมปีศาจระดับสูงอย่างปีศาจพฤกษามรกตได้ ตัวของเขาคาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวโดยมีระดับเทียบเท่ากับระดับหลอมสูญขั้นกลาง ทว่าพลังยุทธ์เช่นนี้ หากเผชิญหน้ากับบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินธรรมดาๆ ก็คงไม่อาจต่อกรได้ แต่สำหรับหานลี่ในครานี้ขอแค่อีกฝ่ายไม่ได้มีความสามารถเหนือชั้นก็ไม่ได้นับว่าเป็นศัตรูอะไร ดังนั้นหานลี่จึงขี้เกียจจะตอบอะไรกลับไป แค่ใช้สองมือประสานมือคารวะมองไปยังคนแคระด้วยท่าทีอมยิ้มไม่เอ่ยปากอะไรออกมา
แม้ว่าไป๋ปี้และพวกทั้งสามจะใจเต้นตึกตัก แต่แน่นอนว่าย่อมยอมให้หานลี่เป็นผู้นำ เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ปิดปากเงียบอย่างรู้จักวางตัว
คนแคระที่อยู่บนร่างของปีศาจพฤกษามรกตเห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกโกรธเกรี้ยว ดวงตาทั้งสองข้างค้อนปะหลักปะเหลือก เอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“ในเมื่อพวกเจ้าเลือกหนทางแห่งความตาย งั้นตาเฒ่าก็จะส่งพวกเจ้าไปก็แล้วกัน!”
เมื่อเอ่ยจบไม้เท้าในมือของคนแคระก็แตะไปที่ปีศาจพฤกษามรกตใต้ล่าง
ชั่วขณะนั้น ปีศาจตนนี้พลันเปล่งเสียงร้องคำรามออกมา สาวเท้ายาวๆ เข้าไปที่เขตอาคม
ตอนที่ 1454 หุ่นเชิดโลหิต
หานลี่มองดูปีศาจร่างยักษ์เดินเข้ามาทีละก้าวอย่างเยือกเย็น ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
เพียงแค่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้อีกหน่อย ก้าวเข้ามาในขอบเขตอานุภาพของเขตอาคมกระบี่ เขาก็จะใช้เขตอาคมมหากระบี่ทองคำจู่โจมอย่างไม่ปรานี สังหารสองปีศาจสองตนพร้อมกันในคราเดียว
ทว่าในขณะนี้ ไกลออกไปบนขอบฟ้าพลันปรากฏแสงสีแดงสว่างขึ้นวาบหนึ่ง พร้อมกับเสียงร้องแหลม
ตามด้วยแสงโลหิตสามดวงที่ปรากฏออกมาท่ามกลางความมืดมิด กลายเป็นรุ้งสีโลหิตสามสายพวยพุ่งเข้ามา
เมื่อเห็นฉากนี้ คนแคระก็หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ใช้ไม้เท้าในมือแตะไปที่ศีรษะของปีศาจพฤกษาอีกคราหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปมองรุ้งสีโลหิตด้วยใบหน้าตื่นตระหนกระคนสงสัยไม่หยุด
เสียง “ตึงๆ” ดังขึ้นสองสามหน ปีศาจพฤกษามรกตพลันหยุดฝีเท้า คิดไม่ถึงว่าจะหยุดที่บริเวณขอบของเขตอาคมมหากระบี่ทองคำอย่างพอดิบพอดี
หานลี่ขมวดคิ้วคราหนึ่ง แต่เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่เกิดขึ้นก็เบนสายตาไปยังกลางอากาศที่ไกลออกไปอย่างไม่ใส่ใจ
พวกไป๋ปี้ทั้งสามคนเห็นดังนี้ก็พากันไม่สบายใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าที่ปรากฏออกมาใหม่นี้เป็นปีศาจชนิดใดอีก
รุ้งสีโลหิตสามสายนี้มีความเร็วที่น่าประหลาด พุ่งปราดเปรียวมาถึงกลางอากาศในบริเวณใกล้เคียงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ครั้นลำแสงดับวูบ มนุษย์ร่างเล็กสีแดงสูงฉื่อกว่าสามคนก็ปรากฏออกมา
มนุษย์ร่างเล็กแต่ละคนล้วนมีใบหน้างามสะโอดสะองค์ มองไม่ออกว่ามีอายุเท่าไหร่ ทว่าบนร่างสวมเกราะศึกสีแดงแปลกตา บนพื้นผิวของเกราะสลักอักขระไว้อย่างถี่ยิบ ผิวหนังก็เป็นสีแดงสดเช่นกัน ทั้งยังแผ่กลิ่นคาวเลือดที่ชวนคลื่นเ**ยนอาเจียนออกมา
ดวงตาไร้ซึ่งความรู้สึกทั้งสามคู่กวาดมองลงมายังเบื้องล่างครู่หนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยลำแสงประหลาดลงมายังร่างของหานลี่ในท้ายที่สุด
รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บที่ผุดออกมาจากแผ่นหลังแล้วแผ่ไปยังทั่วร่าง ราวกับกำลังถูกอสรพิษสามตัวจ้องเขม็งอยู่ก็มิปาน
“หุ่นเชิดโลหิต นั่นคือหุ่นเชิดร่างแยกของอรหันต์ตี้เซวี่ย!” เมื่อคนแคระเห็นรูปร่างของมนุษย์ร่างเล็กชัดเจน ใบหน้าก็ซีดเผือดขึ้นมา สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“หุ่นเชิดโลหิต? ตี้เซวี่ย?” หานลี่โคจรความคิดอย่างรวดเร็ว ทว่าในหัวกลับไม่มีความทรงจำแม้แต่เสี้ยวเดียว จึงอดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกปลาดใจอยู่บ้าง
มนุษย์ร่างเล็กทั้งสามมองหานลี่อย่างประเมินอยู่นานสองนาน ทันใดนั้นดวงตาก็ปรากฏสีของความดุร้ายออกมา มนุษย์ร่างเล็กทั้งสามอ้าปากพร้อมกัน ลำแสงสีโลหิตสามสายพลันพวยพุ่งออกมา ในชั่วพริบตาก็มาโผล่ที่เบื้องหน้าของหานลี่
แม้ว่าหานลี่จะระมัดระวังอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายปล่อยการโจมตีออกมาโดยไม่ส่งสัญญาณแม้แต่น้อย ก็ยังต้องตกตะลึงระคนโมโหอย่างหนัก
ทันทีที่ชูแขนขึ้นโดยไม่คิด แสงอรุโณทัยสีเทาผืนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ขณะเดียวกัน บนร่างมีปราณสีดำผุดออกมากลุ่มใหญ่ พลันปรากฏเกราะศึกโบราณสีดำขลับ
“พรึ่บ!” “พรึ่บ!” “พรึ่บ!” เกิดเสียงดังอื้ออึงสามครั้ง
ไม่รู้ว่าลำแสงโลหิตสามสายนี้เป็นอิทธิฤทธิ์แบบใด แต่คาดไม่ถึงว่าแสงเทวะดูดปราณที่สามารถควบคุมพลังเบญจธาตุได้นั้น แค่ลำแสงนี้เปล่งกะพริบไม่กี่ทีก็ถูกทะลวงเป็นรูโหว่และโจมตีใส่เกราะสังหารที่ปรากฏบนร่างของหานลี่
แสงโลหิตสั่นกระเพื่อมอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่ลำแสงสีโลหิตทั้งสามสายมีกำลังอ่อนลงหลายส่วน ครู่ต่อมาก็ทะลวงเกราะสังหารเป็นรูโพรงขนาดเท่าข้อมือสามโพรง ก่อนที่จะปะทะเข้ากับทรวงอกของหานลี่อย่างแข็งกร้าว
พวกเหลยหลันที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต่างพากันหน้าถอดสี ทว่าฉากต่อจากนี้ถึงกับทำให้แต่ละคนต้องตกตะลึงจนตาค้างไปตามๆ กัน
เสียงกึกก้องราวกับฟ้าผ่าดังออกมาจากหน้าอกของหานลี่ หลังสิ้นเสียงสะเทือนเลือนลั่น ลำแสงสีโลหิตก็ผสานเข้ากับประกายอัสนีสีเงินทองแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยในเวลาเดียวกัน
คาดไม่ถึงว่าการโจมตีนี้จะถูกอาภรณ์อัสนีของหานลี่ต้านไว้ได้ในที่สุด
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้หานลี่รู้สึกตื่นตกใจอย่างหนัก สีหน้าของเขาหม่นหมองโดยพลัน หลังจากแค่นเสียงคราหนึ่ง เกราะสังหารที่ถูกแหวกออกเป็นโพรงใหญ่สามโพรงกลับผุดปราณสีดำออกมาจากข้างใน ภายในชั่วพริบตาก็ฟื้นคืนสภาพเดิม
หากไม่รู้ว่าเกราะสังหารนี้ได้กระจายอานุภาพของลำแสงโลหิตสามสายนี้ไว้ เกรงว่าอาภรณ์อัสนีก็ไม่อาจต้านทานได้
เมื่อเห็นว่าการโจมตีไม่ได้ผล หุ่นเชิดโลหิตทั้งสามกลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย แผ่นหลังเปล่งแสงโลหิตออกมาวาบหนึ่ง ปีกสีแดงฉานก็ปรากฏออกมาทีละคู่ เพียงแค่กระพือคราหนึ่ง มนุษย์ร่างเล็กก็หายไปอย่างไร้สาเหตุ
หานลี่รู้สึกใจหายวาบ ยังไม่ทันได้ทำการตอบโต้ใดๆ ก็เกิดระลอกคลื่นในอากาศบริเวณใกล้เคียงขึ้น มนุษย์ร่างเล็กทั้งสามก็โผล่พรวดออกมา
พวกมันแกว่งมือทั้งสองคราหนึ่ง ในมือของแต่ละตัวปรากฏมีดยาวสีโลหิตสองเล่ม เมื่อฟันไปยังอากาศตรงหน้าหานลี่ ลำแสงมีดสีโลหิตทั้งสามเส้นก็ผ่าลงมาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสีแดงสด คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะไม่สนใจพวกเหลยหลันที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงแม้แต่น้อย
หุ่นเชิดโลหิตเหล่านี้ล้วนมีจิตสัมผัสของชายชุดโลหิตอยู่ในนั้นเสี้ยวหนึ่ง ย่อมสามารถแยกแยะได้ว่ามีเพียงหานลี่เท่านั้นที่สามารถคุกคามเขาได้ เพียงแค่กำจัดเขาทิ้ง คนที่เหลืออยู่ย่อมไม่คณามืออยู่แล้ว
หานลี่ร้องออกมาด้วยความเกรี้ยวโกรธ ปีกสองข้างบนแผ่นหลังสั่นไหวคราหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาแล้วหายไปท่ามกลางเสียงฟ้าร้องก้อง
ในเวลาต่อมา กลางอากาศสูงห่างจากจุดเดิมประมาณยี่สิบจั้งเศษ เกิดประกายอัสนีสีเขียวขาวขึ้นวาบหนึ่ง ร่างของหานลี่ก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง
ทว่าเกือบจะในเวลาเดียวกัน ลำแสงโลหิตเปล่งประกายขึ้นพร้อมกันทั้งสามทิศทาง มนุษย์ร่างเล็กทั้งสามก็ปรากฏออกมาอย่างฉับพลัน การกระทำของพวกมันยังคงเหมือนเดิม ทว่าคมมีดโลหิตทั้งหกเล่มได้กลายเป็นลำแสงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วน ปกคลุมหานลี่ไว้เบื้องล่างโดยตรง
หานลี่ใบหน้านิ่งดุจสายน้ำ บนร่างพลันเปล่งแสงสีทองวูบหนึ่ง บนกล้ามเนื้อปรากฏแผ่นเกล็ดสีทองแวววับออกมาชั้นหนึ่ง พร้อมทั้งเปล่งเสียงร้องดังลั่นออกจากปากในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือสีขาวดำสองข้างซัดออกไปอย่างเลือนราง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเงาฝ่ามือสีขาวดำผสานกันไม่ชัดเจนผืนหนึ่ง
เกิดเสียงดัง “เคร้งๆ” อยู่หลายหน ราวกับโลหิตที่ส่งเสียงดังก้องเมื่อถูกกระทบ ครั้นคมมีดโลหิตสามเล่มฟันลงบนเงาฝ่ามือ ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่โถมทะลักออกมาอย่างยากที่จะต้านทานได้ ก่อนที่จะปริแตกพร้อมส่งเสียงร้องน่าเวทนา
หุ่นเชิดทั้งสามตัวถูกพลังมหาศาลที่ส่งมาจากคมมีดผลักออกอย่างรุนแรง พากันกระเด็นหงายหลังไปไกลหลายจั้ง
แสงโลหิตบนร่างเปล่งประกายเปะปะครู่หนึ่ง หุ่นเชิดโลหิตทั้งสามก็กลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง พอเงยหน้าขึ้นไปอีกที ก็ตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่
เบื้องหน้าว่างเปล่าไร้ผู้คน มองไม่เห็นร่องรอยของหานลี่แล้ว
ที่แท้ภายในชั่วพริบตานั้น หานลี่ได้ใช้วิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้กลับมาอยู่บนรถวิญญาณแล้ว
เมื่อเห็นว่าคนร่างเล็กก้มหน้าหาเขาเจอได้ในที่สุด ใบหน้าของหานลี่ก็ปรากฏรอยยิ้มเยาะออกมา
สองมือตั้งท่าร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว ในปากพลางเปล่งคำร่าย
กลางอากาศบริเวณใกล้เคียงเกิดเสียงดังกระจ่างชัด เส้นไหมสีทองแต่ละสายพลันปรากฏออกมา เปล่งแสงวูบวาบพลางขยับเข้าใกล้จากสี่ทิศแปดทาง โอบล้อมหุ่นเชิดโลหิตทั้งสามตัวไว้ใจกลางสุด
ที่แท้เขตอาคมมหากระบี่ทองคำซึ่งฝังไว้ในบริเวณใกล้เคียงก่อนหน้านี้ได้ถูกหานลี่สำแดงอานุภาพออกมาแล้วนั่นเอง
อานุภาพของเขตอาคมกระบี่ย่อมเพิ่มขึ้นตามระดับพลังยุทธ์ของหานลี่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นธรรมดา เส้นไหมกระบี่ที่จากเดิมเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง ชั่วพริบตาที่ปรากฏก็รีบพุ่งมารวมกันที่ใจกลางในทันที แม้ว่าความเร็วของมันยังไม่นับว่ารวดเร็ว แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้วก็ยังเร็วกว่าไม่น้อย
หุ่นเชิดโลหิตสามตัวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ลำแสงโลหิตภายในดวงตาก็โคจรรอบหนึ่ง ปีกโลหิตบนหลังพลันพลิ้วไหว แล้วหายไปในอากาศอย่างน่าประหลาด
ดูเหมือนพวกมันคิดจะใช้เคล็ดวิชาลับ จึงหนีออกนอกเขตอาคมกระบี่โดยตรง แต่ด้วยความยอดเยี่ยมของเขตอาคมมหากระบี่ทองคำ มีหรือที่พวกมันจะหนีรอดไปเช่นนี้ได้
พื้นที่ว่างบริเวณขอบของเขตอาคมกระบี่สามแห่งส่งเสียงดังหึ่งๆ ออกมา เส้นไหมกระบี่จำนวนนับร้อยก็พุ่งกระจายไปยังพื้นที่ว่างพร้อมกัน
ทันใดนั้นแสงโลหิตก็ปรากฏออกมา มนุษย์ร่างเล็กทั้งสามถูกบังคับให้เผยร่าง เส้นไหมสีทองพลันผสานรวมเป็นหนึ่ง หุ่นเชิดทั้งสามตัวก็ถูกตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับเพียงเท่านี้ก็ถูกทำลายลงแล้ว
พวกเหลยหลันและคนแคระที่อยู่ไกลออกไปต่างก็เหินจนเบิกตาอ้าปากค้างอยู่นานแล้ว
ทว่าทันทีที่คนแคระสำนึกตัวจากอาการตื่นตกใจ ไม่รู้ว่าใช้วิธีใด ปีศาจพฤกษาที่อยู่เบื้องล่างก็ถอยไปข้างหลังอย่างช้าๆ แต่การกระทำทั้งหมดกลับไร้สุ้มเสียง
ความร้ายกาจของหุ่นเชิดโลหิตนั้น มันผู้นี้ซึ่งเป็นผู้อาศัยเดิมของเหวพสุธาย่อมรู้ดีจนไม่อาจจะรู้ดีไปกว่านี้แล้ว ขนาดทั้งสามตัวร่วมมือกันยังไม่ใช่คู่มือของเจ้าของอสูรตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเลย ไหนเลยจะกล้าคิดหาทางจับอสูรกิเลนเสือดาวอีก
ทว่าในตอนนี้เอง ฉากที่น่าประหลาดพลันปรากฏขึ้นภายในเขตอาคมกระบี่
ทันใดนั้น เศษร่างของหุ่นเชิดโลหิตที่ดูเหมือนขี้เลื่อยก็เปล่งแสงโลหิตสว่างพร่าง กลายเป็นหยดเลือดทยอยมารวมตัวกันที่ใจกลางทีละหยดๆ ครู่ต่อมาก็หลอมรวมเป็นก้อนโลหิตขนาดเท่าศีรษะสามหัว แผ่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
ครั้นก้อนโลหิตหมุนเคว้งรอบหนึ่ง ที่พื้นผิวของมันก็ปรากฏรูปร่างของมือเท้าและศีรษะออกมา เห็นได้ชัดว่าหุ่นเชิดโลหิตสามตัวนี้กำลังจะคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
เมื่อได้ประจักษ์ภาพนี้ หานลี่นอกจากจะไม่ตื่นตระหนกแล้ว ใบหน้ากลับเผยอารมณ์แปลกประหลาดออกมา พลันแตะเบาๆ ไปยังเขตอาคมกระบี่ทีหนึ่ง
“สวบ!” วิหคเพลิงสีเงินตัวหนึ่งปรากฏออกมาจากพื้นที่ว่างภายในเขตอาคมกระบี่ ทว่าทันทีที่เสียง “พรึบ” ระเบิดออกมา เพลิงสีเงินสามกองขนาดเท่าข้อมือก็พุ่งออกมาปรากฏที่บริเวณใกล้เคียงของก้อนโลหิตทั้งสาม
หลังส่งเสียงดังอื้ออึงหลายหน เพลิงสีเงินก็พุ่งเข้าใส่ก้อนโลหิตอย่างรุนแรง
เพลิงสีเงินก่อตัวสูงขึ้น ปกคลุมก้อนโลหิตไว้ภายใน เมื่อพื้นผิวของมันกับเพลิงสีเงินสัมผัสกัน ทันใดนั้นก็มีกลิ่นไหม้โชยออกมา พร้อมทั้งส่งเสียงแหลมโอดครวญอย่างน่าเวทนา
เพลิงสีเงินทั้งสามพุ่งชนกับเขตอาคมกระบี่อย่างเปะปะ ราวกับแมลงวันที่ไร้หัว
หานลี่จ้องมองทั้งหมดนี้ด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ แต่ในใจก็ยังแอบรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง
สำหรับอานุภาพของเพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณนั้น เขารู้ดีที่สุดแล้ว บ่อยครั้งที่เผชิญหน้ากับศัตรู อีกฝ่ายแค่แตะเพียงเล็กน้อยก็จะกลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา แต่สำหรับหุ่นเชิดโลหิตสามตัวนี้ คิดไม่ถึงว่ายังสามารถยืนหยัดต่อไปได้อีก
ทว่าเพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณก็ยังรุนแรงเหนือธรรมดาจริงๆ เพียงไม่นาน เสียงคร่ำครวญภายในก้อนโลหิตทั้งสามก็ค่อยๆ เบาลงและหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในที่สุดก้อนโลหิตก็กลายเป็นเถ้าธุลีภายในเพลิงสีเงิน
คราวนี้ หุ่นเชิดโลหิตทั้งสามตัวไม่ฟื้นคืนกลับมาแล้วจริงๆ
หานลี่กวักมือไปไกลโพ้น ทันใดนั้นเพลิงสีเงินทั้งสามกองก็ผสานรวมเป็นหนึ่ง คืนสภาพเป็นวิหคเพลิงสีเงินอีกครั้ง พุ่งทยานแล้วจมหายไปในแขนเสื้อ
ทว่าทันทีที่เขาเปลี่ยนสีหน้า ราวกับสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็หันหน้ามองไปยังอีกฝั่ง
เห็นเพียงปีศาจพฤกษามรกตร่างมหึมาตัวนั้น ไม่รู้ว่าถอยไกลออกไปหลายร้อยจั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อคนแคระตัวนั้นเห็นสายตาของหานลี่มองมาทางนี้ ทันใดนั้นใจก็เต้นโครมคราม พลันผิวปากออกมาโดยไม่ต้องคิด
ปีศาจพฤกษาที่ไร้สุ้มเสียงในตอนแรก จู่ๆ ก็เปล่งแสงสีเขียวทั่วร่าง ก่อนที่จะก้าวเท้ายาวเปิดวิ่งพรวดไปยังทางที่มาอย่างไม่ปิดบังอำพรางใดๆ อีก
ด้วยความสูงใหญ่ของปีศาจตนนี้ คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่พุ่งปราดไม่กี่ทีก็หายไปในความมืดแล้ว
“คิดจะหนีเรอะ!” หานลี่พูดคนเดียว ครั้นอ้าปากออก เตาจิ๋วใบหนึ่งที่ถูกหุ้มด้วยแสงสีเขียวก็พวยพุ่งออกมา คือเตานภาสูญนั่นเอง!
ทว่าในตอนนี้ จู่ๆ เบื้องล่างของรถวิญญาณก็มีเสียงคำรามอย่างไร้เรี่ยวแรงของอสูรดังออกมา
หานลี่ได้ยินดังนี้ก็รู้สึกปิติอยู่ในใจ ครั้นทอดมองไปยังทิศทางที่ปีศาจพฤกษาหายไปก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย เขาอ้าปากแล้วดูดเอาเตาจิ๋วเข้าไปในท้องอีกครั้ง ก่อนที่ร่างจะเลือนรางและหายไปจากรถวิญญาณอย่างน่าประหลาด
ครู่ต่อมา ตัวเขาก็ปรากฏบนพื้นดินเบื้องล่างราวกับภูตพราย กำลังยืนอยู่ข้างๆ แสงสีขาวกลุ่มนั้น
ในตอนนี้ กลิ่นหอมที่แผ่กำจายออกมาจากแสงสีขาวได้จางลงอย่างหาที่สุดมิได้
ด้วยการเชื่อมจิตสัมผัสอันลึกซึ้งของหานลี่ จึงรู้ว่าอสูรกิเลนเสือดาวใกล้จะพัฒนาระดับเสร็จสมบูรณ์แล้ว เห็นทีสุดท้ายแล้วควรช่วยมันอีกแรงหนึ่งจึงจะเป็นการดีที่สุด
หานลี่สูดหายใจลึกคราหนึ่ง มือข้างหนึ่งพลันยื่นออก สอดเข้าไปในม่านแสงแล้วกดลงบนร่างของอสูรตัวน้อยที่อยู่ด้านใน
ในขณะเดียวกัน พลังวิญญาณบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งก็ถาโถมเข้าไปในร่างของอสูรตัวน้อยอย่างหนักหน่วง
ร่างของหานลี่เปล่งแสงสีเขียวสว่างพร่าง สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมา
เหลยหลันกับพวกไป๋ปี้ทั้งสามคนที่อยู่บนรถวิญญาณต่างก็ถอนหายใจยาวออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ครั้นสบตากันคราหนึ่ง แต่ละคนต่างก็มีท่าทีโล่งใจกันยกใหญ่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น