ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 145-156

 บทที่ 145 ดื่มเชื่อมสัมพันธ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

คุณลุงฮิคสันจัดเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพ เขามีฝีมือในการย่างหมูหันมาก เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตาอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟ


หมูหันน้อยตัวนี้ถูกย่างจนมีสีแดงเนื่องด้วยน้ำเชื่อมที่เคลือบอยู่ เดิมทีหนังของมันมีสีเหลืองอ่อนแต่ด้วยด้านนอกที่ถูกย่างจนกรอบ จึงทำให้ได้เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มในสุดพิเศษนี้มา


 ในท้องของหมูหันเต็มไปด้วยสมุนไพร เช่น สมุนไพรที่มีกลิ่นหอม ผักกูด หัวหอมป่า สาหร่ายและเห็ดหอม สมุนไพรพวกนี้สามารถทานได้และรสชาติก็ยิ่งอร่อย ขณะย่างหมูหันนั้นน้ำมันหมูหยดออกมาผสมกลมกลืนไปกับกลิ่นหอมของผักป่า กลิ่นของมันทั้งหอมทั้งสดใหม่ ช่างสุดยอดจริงๆ


อาหารจานอื่นๆ ก็ถูกทยอยยกออกมาเสิร์ฟบนโต๊ะอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้เป็นอาหารเลื่องชื่อของแคนาดา อย่างเช่นปลาค็อดสอดไส้ชีส สเต๊กย่างซอส แซลมอนรมควัน มิลค์เชค และอื่นๆ


ฝีมือการปรุงอาหารของคุณลุงฮิคสันนั้นยอดเยี่ยม ทุกจานเต็มไปด้วยสีสัน รสชาติโอชะ ด้วยเหตุนี้ทำให้เหมาเหว่ยหลงชมไม่ขาดปาก


หลังจากรับประทานอาหาร ขณะที่ฉินสือโอวกำลังชำระเงินก็มีสายเรียกเข้า ต้นสายคือ บิลลี่ สเต็มเมอร์ นักประดาน้ำอาวุโสของบริษัทโอดิสซี มารีน เอกซ์พลอเรชั่น ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยโทรมาสอบถามเกี่ยวกับเรือดังเคิลออสเตียส


ครั้งนี้บิลลี่ไม่ได้พูดถึงเรือดังเคิลออสเตียสเลยแม้แต่น้อย แต่เขาโทรมาหารือเกี่ยวกับปัญหาการเลี้ยงปลาในฟาร์มปลาและการกู้ซากเรืออับปางในมหาสมุทร หมอนี่คารมคมคายไม่เบา มีความรู้กว้างขวาง ดังนั้นฉินสือโอวค่อนข้างรู้สึกดีในการสนทนาครั้งนี้


เห็นได้ชัดว่าบิลลี่เปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ เขาทำการบ้านล่วงหน้า ติดตามการโพสต์ก่อนๆ ของฉินสือโอว ทำให้รู้จักตัวตนและความชอบของเขามากขึ้น และตั้งใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับเขาก่อน


ฉินสือโอวไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าจุดประสงค์ของบิลลี่นั้นยังคงเป็นไดอารี่ของกัปตันที่เขาได้มาจากห้องกัปตัน


หลังจากจบการสนทนา บิลลี่ขอวางสายก่อน เขาทิ้งประโยคไว้ให้ฉินสือโอวคิดตาม “คุณฉินคุณคงทราบดีแก่ใจว่าบริษัทโอดิสซี มารีน เอกซ์พลอเรชั่นของเราเป็นหนึ่งในบริษัทกู้เรืออับปางที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นจึงเรามีช่องทางมากมายสำหรับการจัดการสมบัติในมหาสมุทร หากคุณมีสิ่งที่ต้องการกู้ขึ้นมา คุณสามารถติดต่อผมได้ ผมคิดว่าพวกเราช่วยคุณได้”


ฉินสือโอวนึกถึงเงินแท่งมากกว่าหนึ่งร้อยตันที่ตัวเองซ่อนเอาไว้ใต้ท้องทะเล เรื่องนี้ยากมากที่เขาจะจัดการเอาขึ้นมาเองได้ เช่นนั้นอาจร่วมมือกับบริษัทโอดิสซี มารีน เอกซ์พลอเรชั่นได้


หลังจากวางสาย ฉินสือโอวโทรไปที่บ้าน เพราะคนที่เขาห่วงมากที่สุดในตอนนี้คือพ่อกับแม่


ณ ตอนนี้ชีวิตพ่อและแม่ของฉินสือโอวสุขสบายเป็นอย่างมาก ลูกชายร่ำรวย อีกทั้งยังมีความกตัญญู ชีวิตไม่มีความกดดันใดๆ แต่ยังคงทำการเกษตรเพื่อฆ่าเวลาไปวันๆ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องตื่นแต่เช้าทำงานอย่างหนัก


ฉินสือโอวรู้จักนิสัยของพ่อและแม่เป็นอย่างดี พวกเขาเป็นเกษตรกรรุ่นก่อนที่มีความรู้สึกผูกพันต่อผืนแผ่นดินถึงแม้ว่าพวกเขาจะเหน็ดเหนื่อยกับการทำเกษตร อีกทั้งหยาดเหงื่อแรงกายทั้งชีวิตของพวกเขาได้รินหลั่งลงไปบนผืนดินเกษตรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยวจะให้พวกเขาวางมือได้อย่างไร


สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือให้พ่อแม่ของเขาปล่อยเช่าที่ดินทำการเกษตร และพื้นที่ปลูกผักในช่วงฤดูหนาวมาพักผ่อนที่ฟาร์มปลา จากนั้นค่อยให้พวกเขาย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากนัก


ที่พี่สาวพูดก็ถูก พวกเขาไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ ไม่คุ้นเคยกับวิถีชีวิตของประเทศแคนาดา ไม่มีคนรู้จักมักคุ้น มาอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกทิ้งไว้ในป่าลึกหรอกเหรอ? การที่ไม่มีการปฏิสัมพันธ์ต่างหากเป็นความอ้างว้างที่น่ากลัวที่สุด


นีลเซ็นพาเด็กๆ ทั้งสี่คนกลับไปส่งที่วิลล่า ฉินสือโอวพาเหมาเหว่ยหลงไปที่ร้านเหล้าดวงดาวเปล่งประกาย


ปกติแล้วบาร์แห่งนี้มีคนไม่มาก เพราะในเมืองเล็กๆ มีผู้คนไม่มากนักที่มีเงินเหลือมากพอมาใช้บริการที่นี่ ฉินสือโอวเป็นลูกค้าที่นีลชื่นชอบมากที่สุด สำหรับบาร์เล็กๆ แห่งนี้ นี่คือลูกค้ารายใหญ่ ดังนั้นเมื่อฉินสือโอวเข้ามา เขาจึงรีบเตรียมไอซ์ไวน์อย่างดีอกดีใจ


ฉินสือโอวทักทายฮิวจ์คนน้องและพวก และบอกนีลว่า “ขอมาร์ตินี่สักแก้ว ส่วนของฮิวจ์คนน้องและพวกผมเลี้ยงเอง “


ฮิวจ์คนน้องชนกำปั้นกับเขาหัวเราะอย่างมีความสุข พูดขึ้น “ฉิน ฉันชอบนาย นายนี่มันช่างเจ๋งสุดๆ ไปเลย! เอิ่ม ช่วงนี้เพื่อนของฉันได้โสมอเมริกามาล็อตหนึ่ง ไว้ฉันจะเอาไปฝากนายนะ”


ฮิวจ์คนน้องไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง และมักจะพาพรรคพวกไปหาทำงานต่างๆ สิ่งไหนที่ทำแล้วเป็นเงินเป็นทองก็ทำสิ่งนั้น


โสมอเมริกันเป็นโสมแถบประเทศตะวันตกที่มีชื่อเสียงมาก มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่ป่าของรัฐวิสคอนซินทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกา และพื้นที่บนภูเขาในภาคใต้ของแคนาดา


รัฐนิวฟันด์แลนด์เป็นส่วนหนึ่งของภาคใต้ประเทศแคนาดา ดังนั้นโสมชนิดนี้พบได้ในเทือกเขาเคอร์บัล แต่เป็นของหายาก เพราะโดยทั่วไปโสมอเมริกันมักจะเจริญเติบโตบนภูเขาสูงประมาณ 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล


“อย่างนั้นดีเลย ฉันจะมอบให้พ่อกับแม่ของฉัน แต่โสมของนายนี่ไม่ได้ปลูกเองใช่ไหม?” ฉินสือโอวยิ้ม


ฮิวจ์คนน้องกล่าว “แน่นอนว่าไม่ ฉันไม่มีทางที่จะเอาไอ้พวกของปลูกเองเน่าๆ นั่นมอบให้นายหรอก? รับรองว่าเป็นสินค้าป่าแน่นอน เพื่อนของฉันคนหนึ่งรู้จักกับคนเก็บโสมบนเทือกเขาร็อกกีที่ประสบการณ์เชี่ยวชาญ พวกเขามีสินค้าที่ดีมากมายอยู่ในมือ”


ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาแนะนำฮิวจ์คนน้องให้เหมาเหว่ยหลงรู้จัก จากนั้นพาเหมาเหว่ยหลงมานั่งที่ด้านหน้าของบาร์


เมื่อเทียบกับบาร์ในประเทศแล้วร้านเหล้าดวงดาวเปล่งประกายนั้นเงียบกว่ามาก แม้ว่าทุกคนสรวลเสเฮฮา แต่ก็ไม่มีความวุ่นวาย


เหมาเหว่ยหลงพูดขึ้น “บรรยากาศของบาร์นี้ทำให้รู้สึกยืดยาด เหมาะสำหรับการพักผ่อนมาก”


ฉินสือโอวพูด “แน่นอน ดังนั้นฉันจึงคิดจะร่วมมือกับการท่องเที่ยวในประเทศทำแผนการท่องเที่ยว”


นีลเปิดทีวีจอแขวนด้านบนของบาร์ซึ่งกำลังถ่ายทอดการแข่งขันฮอกกี้น้ำแข็ง ฉินสือโอวดูไม่รู้เรื่อง ขอให้เปลี่ยนเป็นช่องบาสเกตบอลเอ็นบีเอแทน


“นี่คือการถ่ายทอดซ้ำนะเพื่อน ดูแล้วจะสนุกอะไร” นีลกล่าวอย่างอึดอัดในอารมณ์ ลูกค้าคือพระเจ้าโดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่อย่างฉินสือโอว เขาไม่อยากให้เกิดความขุ่นเคืองใจขึ้น


การแข่งขันบาสเกตบอลเอ็นบีเอรอบชิงชนะเลิศจบไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคมแล้ว แต่สำหรับฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงการดูการถ่ายทอดซ้ำรายการแข่งขันบาสเกตบอลเอ็นบีเอนั้นสนุกกว่าการดูฮอกกี้น้ำแข็งเสียอีก


ที่บาร์มีให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันไปพลางก็เล่น QQ ไปด้วย ในที่สุดเหมาเหว่ยหลงก็มีของให้ได้อวดแล้ว เริ่มจากรูปภาพตนที่ถือ AR15 อยู่บนเรือยอชต์ และอาหารทะเลมื้อใหญ่ หลังจากนั้นก็มีรูปการตกปลาในวันนี้ และรูปการท่องราตรีในบาร์ ณ ตอนนี้เขาอัพรูปลงเรื่อยๆ


ฉินสือโอวเห็นวินนี่ออนไลน์ก็เข้าไปทักทายพูดคุย เขากับวินนี่ติดต่อกันในทุกๆ ระบบแชท ไม่ว่าจะเป็น QQ MSN WhatsApp และแม้แต่ระบบแชทอื่นๆ


‘เริ่มเข้าสู่ตลาดอเมริกาเหนือเมื่อปีที่แล้วช่วงนี้มีการติดต่อกับ Google เพื่อจัดกิจกรรม เพียงแค่ลูกค้าเชื่อมต่อบัญชี Google’ จากนั้นเพิ่มผู้ติดต่อ 5 ราย ก็จะได้รับคูปองของขวัญร้านอาหารมูลค่า 40 ดอลลาร์แคนาดา สามารถเข้าไปรับประทานอาหารได้ฟรีในร้านอาหารทั่วประเทศแคนาดาซึ่งมีไว้ให้บริการกว่าหนึ่งหมื่นร้าน


ขณะสนทนากับวินนี่ฉินสือโอวถามเหมาเหว่ยหลงว่า “พรุ่งนี้นายอยากไปยิงปลาที่ทะเลสาบกับพวกเรา หรือจะไปขึ้นเขา? นายจะล่าสัตว์ก็ได้บนเขามีทั้งหมูป่า กระต่ายป่า และไก่ป่าก็มี”


ตอนที่อยู่ในประเทศ เหมาเหว่ยหลงไปล่าสัตว์เป็นครั้งคราว ปกติจะล่าแถวมณฑลกุ้ยโจวและเสฉวน เขาชื่นชอบอาวุธปืนและการตั้งแคมป์ ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้แล้ว จึงเลือกกิจกรรมที่คุ้นเคยมากกว่า และพูดขึ้น “พรุ่งนี้ลองไปปีนเขากันดูเถอะ”


พวกเขาอยู่ในบาร์จนกระทั่งตีหนึ่งกว่า ฉินสือโอวจึงได้พาเหมาเหว่ยหลงกลับไปพักผ่อน


เช้าตรู่ของวันถัดมาฮิวจ์คนน้องมาถึงก่อนที่ฉินสือโอวจะออกไปที่อื่น เขานำโสมอเมริกันสองหัวบรรจุในกล่องของขวัญเรียบง่ายมอบให้ฉินสือโอว “นี่คือโสมชั้นดีสองหัว นายลองดูสิ”


เมื่อฉินสือโอวเปิดดูโสมอเมริกันสองหัวนั้น โสมมีสีเหลืองอ่อน ผิวมันเงา เนื้ออวบแน่นละเอียด เป็นรูปทรงกระบอกปลายเรียวมีความยาวมากกว่า 20 เซนติเมตร ดูก็รู้ว่าเป็นของดี


ฉินสือโอวรู้สึกเกรงใจ และพูดขึ้น “พระเจ้า นี่เป็นของดีจริงๆ เจ้าสองหัวนี้ราคาไม่ถูกแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องห้าร้อยหยวนล่ะ?”


ฮิวจ์คนน้องยิ้มแล้วกล่าว “นายเป็นเพื่อนที่ดี ดังนั้นไม่ว่าจะราคาเท่าไร มันก็คุ้มค่าที่ฉันจะมอบให้นาย ถ้าเป็นพี่ชายของฉันล่ะก็ ฉันจะไม่ให้อะไรกับเขาฟรีๆ หรอก”


…………………………………………………………………………………


บทที่ 146 ชนเผ่าลึกลับในเทือกเขาร็อกกี

โดย

Ink Stone_Fantasy

ที่จริงความสัมพันธ์ของพี่น้องฮิวจ์ลึกซึ้งมาก เพียงแต่มุมมองของทั้งสองคนไม่เหมือนกัน พี่คนโตคิดว่าน้องชายควรหางานที่มั่นคงทำสักงาน หรือไม่ก็ช่วยเขาเปิดร้านสะดวกซื้อ แต่คนน้องเกลียดวิถีชีวิตที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ ยืนยันไม่ยอมรับคำแนะนำของเขา


ฉินสือโอวไม่ต่อความยาวสาวความยืด รับโสมมาอย่างสบายใจแล้วพูดว่า “ก็ได้ อย่างนั้นฉันไม่เกรงใจล่ะนะ ฉันคิดว่าธุรกิจครั้งนี้นายก็คงทำกำไรได้ไม่น้อย พวกนี้เป็นโสมชั้นดีทั้งนั้นสามารถขายออกได้ในราคาสูงทีเดียว”


ฮิวจ์คนน้องยักไหล่อย่างจนปัญญา “เงินทุนไม่พอ พวกเรารับโสมมาเพียง 40 ต้นเท่านั้น ดังนั้นก็เลยได้เงินไม่เท่าไร”


“ราคาเท่าไร?” ฉินสือโอวถาม


“ขนาดเล็กใหญ่ไม่เหมือนกัน ราคาก็ไม่เหมือนกัน 40 ต้นนี้ราคา 7 พัน คนเก็บโสมผู้นั้นเป็นหัวหน้าชนเผ่าหนึ่งบนเทือกเขาร็อกกี ชนเผ่าพวกเขามีโสมอยู่ไม่น้อย พวกเราคิดว่าจะขาย 40 ต้นนี้ก่อน รอคืนทุนก่อนแล้วค่อยทำธุรกิจร่วมกับพวกเขา ให้พวกเขาส่งโสมอเมริกามาให้พวกเราโดยเฉพาะ”


ฉินสือโอวถามต่อ “ชนเผ่านั้น ใหญ่มากเลยเหรอ? พวกเขายังมีโสมในมืออีกเท่าไร?”


“ฮ่า ก็ใหญ่จริงนั่นแหละ แต่ว่าพวกเขาค่อนข้างเก็บตัว ปกติก็ไม่ค่อยได้ลงจากเขามาทำการค้า เพื่อนของฉันเป็นนักเดินทางแบกเป้เที่ยว รู้จักหัวหน้าพวกเขาโดยบังเอิญ โสมในชนเผ่าพวกเขาอย่างน้อยยังมีอีกสองพันต้น!”


ฉินสือโอวพูดต่อ “ถ้าหากคุณภาพโสมพวกนั้นดีเหมือนกับสองต้นนี้ เช่นนั้นนี่ก็เป็นธุรกิจที่น่าร่วมลงทุนด้วย พวกนายขาดแคลนเงินทุนเหรอ? ฉันลงทุนกับนายสักเล็กน้อยเป็นยังไง ฉันสามารถออกเงินทุนให้ได้สองแสน”


ฮิวจ์คนน้องรีบเอ่ยถามขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น “จริงเหรอ?”


ฉินสือโอวยิ้ม “แน่นอนว่าจริงสิ ฉันรู้สึกว่านายเปิดร้านขายของป่าร้านหนึ่งได้ หมู่บ้านกำลังจะพัฒนาการท่องเที่ยวแล้ว ฉันกล้าพนันเลยว่าของที่นายรวบรวมมาจากชนเผ่านั้นจะต้องได้รับความนิยมเป็นแน่”


ฮิวจ์คนน้องลุกขึ้นเดินหมุนสองรอบอย่างเร็ว “อย่างนั้นฉันจะต้องวางแผนหน่อย แต่ว่าสองแสนที่นายบอก…”


“บอกเลขบัญชีมาฉันโอนให้นายได้เลย” ฉินสือโอวพูดอย่างสบายๆ


ฮิวจ์คนน้องถามต่ออีก “แล้วพวกเราจะแบ่งหุ้นกันยังไง?”


นี่เป็นปัญหาใหญ่ ฉินสือโอวไม่ได้ใส่ใจมาก “ฉันแนะนำว่าแบ่งห้าสิบห้าสิบ ฉันไม่สนใจว่าพวกนายจะมีกันกี่คน ทางฉันได้ครึ่งหนึ่งก็พอ”


ฮิวจ์คนน้องยิ้มขึ้นมา ข้อเสนอนี้ของฉินสือโอวถือได้ว่าใจกว้างมากแล้ว เพราะว่าเขาสามารถลงทุนสองแสนเป็นเงินลงทุนเริ่มต้น สำหรับพวกเขาถือว่าเป็นเงินทุนก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเลยทีเดียว


ฉินสือโอวเรียกเออร์บักกลับมา ตาเฒ่ากำลังกำจัดวัชพืชในแปลงผัก สองวันนี้พลังโพไซดอนที่ปรับสุขภาพของเขาให้ดีขึ้นนั้นเห็นผลในทันที อาการอาเจียน ปวดหัวตอนเช้าต่างๆ ของเขาก็ดีขึ้นแล้ว ตอนกลางคืนก็สามารถนอนหลับได้แล้ว สภาพจิตใจดีกว่าวันก่อนมากแล้ว


เออร์บักร่างแบบหนังสือสัญญาการลงทุนและการแบ่งหุ้นส่วน ฉินสือโอวและฮิวจ์คนน้องเซ็นชื่อ เรื่องนี้จึงจบด้วยการตกลงกันแบบนี้


รอจนฮิวจ์คนน้องกลับไป ฉินสือโอวและนีลเซ็นเก็บของเตรียมขึ้นเขา


ชาร์คและซีมอนสเตอร์ต้องดูแลฟาร์มปลา ดังนั้นจึงไม่สามารถไปได้ ฉินสือโอวทิ้งงานทั้งหมดให้พวกเขาทำ โดยที่ตัวเองพาอีวิลสันและนีลเซ็นไปก็พอแล้ว


อีวิลสันมีกำลังเรี่ยวแรงมาก ขึ้นเขาไม่สามารถขับรถได้ เขาคือรถขนส่งที่ดีที่สุด นีลเซ็นเป็นคนนำทางและบอดี้การ์ด มีแค่สองคนนี้ก็เพียงพอแล้ว


เหมาเหว่ยหลงเห็นท่าทางทิ้งการทิ้งงานของเขาแบบนี้แล้วจึงเอ่ยว่า “ไม่เข้าใจคุณจริงๆ ดูเหมือนคุณไม่ได้สนใจทำฟาร์มปลานี้สักเท่าไรนะ แต่ว่าครั้งก่อนคุณคงได้เงินไม่น้อยจากการขายวัตถุโบราณ คุณทำฟาร์มปลาเล่นๆ เหรอ?”


ฉินสือโอวยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ใช่ ฟาร์มปลานี้ฉันตั้งใจทำมันนะ เพียงแต่นายไม่เข้าใจเท่านั้น ที่ฉันต้องทำไม่ใช่ออกไปตรวจตราและตรวจสอบสถานการณ์ปลา ฉันมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องทำ”


ที่จริงแล้ว การใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้ได้ผลประโยชน์มากที่สุดคือการกอบกู้ซากเรือใต้ทะเล เพียงแค่กอบกู้ไม่กี่ลำเรืออับปางที่เต็มไปด้วยเพชรพลอยทองคำ เขาก็สามารถใช้ชีวิตตามใจชอบไปได้ทั้งชาติแล้ว


แต่ว่าฉินสือโอวไม่เคยมีความคิดนี้เลย ในแผนการของเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบริหารฟาร์มปลาให้ดี รองลงมาถึงจะเป็นการค้นหาสมบัติใต้ทะเล


เพราะว่าหลายวันมานี้เขาพบว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะหาซากเรืออับปางในท้องทะเลอันกว้างใหญ่นี้ ไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร และจะพบเรืออับปางที่เต็มไปด้วยเพชรพลอยเงินทองในบรรดาซากเรืออับปางนี้ยิ่งเป็นเรื่องยากมากขึ้นไปอีก


ควบคุมปลาในทะเลเพื่อค้นหาซากเรืออับปาง เป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก ฉินสือโอวไม่ได้ชอบทำเรื่องแบบนี้เลย การสร้างฟาร์มปลาน่าสนใจยิ่งกว่า อีกอย่างหนึ่ง เขามีความทะเยอทะยานในใจ นั่นคือการควบคุมอุปทานผลผลิตจากทะเลของแคนาดาทั้งหมด!


ถ้าหากเขาสามารถทำจุดนี้ได้ นั่นถึงเป็นชัยชนะที่แท้จริง ซากเรืออับปางได้เงินไม่เร็วเท่ากับการขายผลิตภัณฑ์ทางทะเล


กองทัพต้องเดินด้วยท้อง นี่เป็นหลักการที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง


ฉินสือโอวให้นีลเซ็นไปซื้ออุปกรณ์สำหรับการตั้งแคมป์ปีนเขาในครั้งนี้ ทุกคนต่างมีเครื่องวิทยุสื่อสารกำลังแรงสูงติดตัว ช่วงรัศมีกว้างถึงสองกิโลเมตรครึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เดินพลัดหลงกัน


ทุกคนต่างเตรียมพร้อมกันอย่างดี บนร่างกายสวมใส่ชุดกีฬาที่แห้งเร็ว กางเกงที่ป้องกันการขีดข่วน ที่เท้าคือรองเท้าปีนเขา บนหัวคือหมวกกันแดด ถุงมือ สนับเข่าและสนับข้อศอกก็สวมใส่ครบ ล้วนเป็นของดีของแบรนด์คาเมล


และอีกอย่าง นีลเซ็นยังเตรียมเต็นท์กันฝน เบาะรองพื้น ถุงนอน ไฟฉายคาดหัว ไฟฉาย อุปกรณ์ส่องสว่างต่างๆ


สิ่งของทุกอย่างนี้ถูกมอบให้กับอีวิลสันดูแล ข้างหลังมีกระเป๋าใบหนึ่งและในมือก็มีอีกใบหนึ่ง รวมๆ แล้วก็น่าจะมีน้ำหนักกว่าร้อยกิโลกรัม คนปกติคงถูกทับล้มไปแล้ว แต่อีวิลสันไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย


ฉินสือโอวแบกกระเป๋าเป้ปีนเขา ข้างในมีที่ชาร์จไฟ อุปกรณ์อาบน้ำ ขวดน้ำแก้วน้ำ ผลิตภัณฑ์อนามัย ยาปฐมพยาบาลฉุกเฉิน ถุงกันน้ำและถุงขยะ


ถุงขยะเป็นสิ่งของที่คนปีนเขาในแคนาดาต้องเตรียมพร้อม การตระหนักต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของที่นี่ถูกฝังแน่นอยู่ในใจของผู้คน บนเขาไม่มีคนดูแลป่าหรือคนทำความสะอาดอะไรอย่างนั้น ทุกคนต้องจัดการกับขยะของตัวเอง


กระเป๋าบนตัวเขาหนักเป็นอันดับสอง นอกจากสิ่งของจำเป็นพวกนี้แล้ว ในกระเป๋าคาดเอวของเขายังมีอาวุธปืนและกระสุน


ในกระเป๋าของนีลเซ็นหลักๆ แล้วคือกระสุนดินปืน อาหารให้เหมาเหว่ยหลงดูแล มีข้าวสารและขนมปังกรอบ อาหารสำเร็จรูปอื่นๆ ถือว่าเบาที่สุดในนี้แล้ว


ทุกคนอาวุธครบครัน นีลเซ็นนำ SIG มา ฉินสือโอวแบก AR15 ไว้บนหลัง สะพายปืนเดสเสิร์ท อีเกิ้ลและปืนกล็อกไว้ ส่วนเหมาเหว่ยหลงเองก็มีเรมิงตัน M870 บวกกับ QSZ-92


เห็นว่าฉินสือโอวมี QSZ-92 เขาดีใจมาก เพราะว่าเป็นปืนที่พ่อเขาใช้บ่อยที่สุด และก็คุ้นชินมากที่สุดจนสามารถถอดประกอบอย่างรวดเร็ว


ตอนที่เตรียมตัวออกเดินทาง ฉินสือโอวพาหู่จือและเป้าจือไปด้วย ทั้งสองตัวโตเร็วมาก ตัวใหญ่เท่าครึ่งหนึ่งของแลบราดอร์แล้ว ฉลาดและตื่นตัว นับว่าเป็นผู้ช่วยที่ดีในการขึ้นเขา


เดิมทีเขาไม่ได้อยากพาฉงต้ามาด้วย แต่ตอนออกมาฉงต้าก็มากอดขาเขาเอาไว้ ฉินสือโอวหัวเราะ “พวกเราจะไปปีนเขา แกจะไปเหรอ? เหนื่อยมากด้วยนะ แถมยังอาจจะเจอกับหมาป่าและหมูป่า ไม่แน่อาจจะมีหมีตัวใหญ่ แกไม่กลัวเหรอ?”


บนเขา หมีตัวใหญ่เป็นศัตรูตัวฉกาจของหมีตัวเล็ก หมีตัวผู้ชอบฆ่าหมีตัวเล็กเพื่อบีบบังคับให้หมีตัวเมียผสมพันธุ์กับพวกมัน


ฉินสือโอวชี้ไปทางเทือกเขาเคอร์บัลด้านตะวันออกเฉียงเหนือของฟาร์มปลา ฉงต้ากะพริบตาเล็กๆ ที่ดำสนิท จากนั้นก็ตัดสินใจกอดขาของฉินสือโอวแน่นไม่ยอมให้เขาไป


ชาร์คที่เตรียมตัวจะออกทะเลหัวเราะขึ้นว่า “บอส พาฉงต้าไปด้วยเถอะ มันเป็นผู้ช่วยที่ดีตอนเข้าป่าเลย เพราะว่ายังไงที่นั่นก็เป็นพื้นที่ของสายพันธุ์ของพวกมัน”


“ฉงต้ายังเล็กเกินไป ฉันกลัวว่าหากมีอันตรายแล้วจะดูแลมันไม่ได้” ฉินสือโอวอธิบาย


ชาร์คพูดต่อว่า “ยังไม่แน่ว่าใครจะได้ดูแลใคร ประสาทดมกลิ่นของหมีสีน้ำตาลดีกว่าหมาล่าเนื้ออีก และกลิ่นตัวของมันที่แผ่ออกมายังสามารถทำให้สัตว์ป่าตกใจกลัวได้ ดังนั้นมันน่าจะสามารถช่วยเหลือคุณในป่าได้นะ”


ได้ยินชาร์คพูดอย่างนี้ ฉินสือโอวจึงพยักหน้ารับ จูงฉงต้าเดินนำไปทางพื้นที่ป่าของฟาร์มปลา


…………………………………………………………………………….


บทที่ 147 ไร้ร่องรอยสิ่งมีชีวิต

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฟาร์มปลาต้าฉิน ล้อมรอบด้วยเทือกเขาเคอร์บัล ทางทิศเหนือของฟาร์มปลาเป็นจุดเริ่มต้นของแนวเขาที่อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเล็ก ครั้งนี้พวกเขาเริ่มปีนเขาจากจุดนี้ เพราะว่าแม่น้ำไหลผ่านตำแหน่งตรงนี้ และนีลเซ็นกำหนดแผนเอาไว้ว่าจะปีนขึ้นไปตามเส้นแม่น้ำสายนี้


ฉินสือโอวเดินไปตรวจดูเล้าไก่ เป็ด หมูของตัวเองก่อน พวกมันเจริญเติบโตดีมาก เป็ดกินปลาและกุ้งในแม่น้ำได้ พวกไก่ก็สามารถจับแมลงที่อยู่บนหญ้ากินได้ ส่วนหมูก็กินอาหารได้หลากหลายอย่างพวกวัชพืช ผลไม้เน่า เป็นต้น


ตอนนี้หน้าที่ให้อาหารไก่ให้อาหารหมูก็ตกไปเป็นของอีวิลสันแล้ว ซึ่งเขาก็ชอบทำงานที่ไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรพวกนี้มากที่สุด


พอถึงที่เล้า ฉงต้าก็ยกขาขึ้นฉี่ ซึ่งนี่กลายเป็นการตอบสนองด้วยความคุ้นชินโดยอัตโนมัติไปเสียแล้ว พอฉินสือโอวทานข้าวเสร็จก็มักจะพามันมาเดินเล่นที่เล้า ให้มันขับถ่ายที่นี่เพื่อทิ้งกลิ่นของหมีเอาไว้


ที่เชิงเขาเป็นผืนป่าประกอบไปด้วยต้นเมเปิล ต้นสน ต้นสพรูส ต้นซีดาร์แดงตะวันตก ต้นสนดักลาส ผืนป่านี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของฟาร์มปลา มีพื้นที่ประมาณ 40-50 หมู่[1]


ตอนนั้นฉินสือโอวยังไม่เข้าใจว่าฟาร์มปลาที่ถูกทิ้งแห่งนี้จะมีมูลค่าถึง 200-300 ล้านหยวนได้อย่างไร แต่พอดูคำอธิบายของสินทรัพย์ก็เข้าใจว่า ฟาร์มปลาไม่ได้แค่หมายถึงผืนทะเล แต่ยังหมายถึงอาณาเขตบริเวณ ซึ่งถ้ายึดตามกฎหมายของประเทศแคนาดาแล้ว ของที่อยู่ในอาณาเขตเหล่านี้ถือเป็นสินทรัพย์ของเขา


อย่างเช่นผืนป่าแห่งนี้ ต้นไม้ที่อยู่ในป่าแห่งนี้ก็เป็นของฉินสือโอวทั้งหมด ต่อให้เขาขายไม้ที่อยู่ในผืนป่าแห่งนี้ก็ยังคงขายได้ 20 ล้านหยวน


พอถึงฤดูร้อน ต้นไม้ก็จะเปลี่ยนเป็นเขียวชอุ่ม ต้นไม้แต่ละชนิดก็จะผลิใบอ่อนออกมา พื้นปกคลุมไปด้วยดอกไม้นานาพรรณที่บานเบ่งและพุ่มไม้ ซึ่งนั่นเรียกว่า ดอกไม้สวยสดสะพรั่ง


นอกจากนี้แล้ว ที่ผืนป่าแห่งนี้ยังปลูกต้นไม้ที่มีมูลค่าไว้อีกด้วย ซึ่งตอนที่นีลเซ็นอยู่กองกำลังพิเศษก็มักจะทำการฝึกภาคสนาม จึงคุ้นเคยกับชนิดต้นไม้และพรรณพืชต่างๆ เป็นอย่างดี


ตลอดทางเขาแนะนำต้นไม้ที่มีมูลค่าบางชนิดให้สองคนนั้นฟัง ไม่ว่าจะเป็นต้นหงส์ฟู่ ต้นสนสีทอง ต้นเชอรี่พลัม ต้นเมเปิลแดง ต้นโซโฟร่าทอง ต้นควันใบม่วง ต้นสนบลูไอซ์…


ต้นไม้เหล่านี้กระจายตัวในหมู่มวลไม้ ทำให้ไม้สีเขียวประดับด้วยสีสันสดสวย แต่งแต้มเสน่ห์ได้มากยิ่งขึ้น


ในแมกไม้เหล่านี้ ได้ยินเสียงดังเจื้อยแจ้วหรือเสียงสูงของนกน้อยอยู่ตลอดเวลา และยังได้ยินเสียงพวกแมลง จึงทำให้ผืนป่าแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก


เดินขึ้นไปตามลำน้ำ ฉินสือโอวและพรรคพวกเดินไปอย่างช้าๆ เพราะถึงอย่างไรของที่นำมาด้วยก็มีไม่น้อยจึงต้องเก็บออมแรงไว้ก่อน


เมื่อใกล้ถึงธารน้ำตกน้อย ทันใดนั้นนีลเซ็นที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็ยกมือขวาขึ้นมากำหมัดแน่น ฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงหยุดฝีเท้าและไม่เอ่ยอะไรออกมาทั้งนั้น ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงถึงว่ามีปัญหาอะไรบางอย่างให้ทุกคนหลบก่อน


เมื่อเห็นฉินสือโอวหมอบลง หู่จือและเป้าจือคลานมาอยู่ด้านข้างเขาอย่างชาญฉลาด ปิดปากเงียบและจ้องมองเหมือนรอคำสั่ง


ฉงต้าไม่รู้เรื่องราวจึงอยากจะตะโกนเรียกเพื่อแสดงถึงความมีตัวตน อีวิลสันถลึงตามองมัน มันอ้าปากแล้วก็กะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา หุบปากไปอย่างไม่พอใจ


นีลเซ็นหันไปมอง พูดกระซิบว่า “บอส อาหารกลางวันออกมาแล้ว”


“เป็นสัตว์ใหญ่รึเปล่า” ฉินสือโอวยังคงกระซิบ


“ไม่ใช่ เป็นไก่ป่า ไก่ป่าเฮเซล!” นีลเซ็นพูดเสียงเบาขึ้น


เหมาเหว่ยหลงถามขึ้นมาว่า “ไก่ป่าตัวหนึ่ง พวกเราจะกระซิบกันทำไม กลัวหรือไงกัน”


ฉินสือโอวและนีลเซ็นมองหน้ากัน บ้าเอ๊ย ทำอะไรของมันล่ะเนี่ย


ยกเออาร์15 ขึ้นมา ฉินสือโอวพร้อมลุย นีลเซ็นกดปากกระบอกปืนไว้ แล้วพูดว่า “ถ้ายิงนัดนี้ไป แม้แต่ขนไก่พวกเราก็ไม่ได้กิน! ใช้ธนู!”


ฉินสือโอวถือธนูทดกำลังของเขา ส่วนนีลเซ็นก็เตรียมหน้าไม้ ทั้งสองค่อยๆ ย่องเดินจากทั้งทางซ้ายและขวาอ้อมวนไป ไก่ป่าหลายตัวที่กำลังจิกกินในพุ่มไม้เบอร์รีก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า


สีขนของไก่ป่าพวกนี้ขาดสีสันมาก เกือบจะมีแค่สองสีคือขาวและดำ บางครั้งถึงจะมีขนสีเหลืองบ้าง และรูปร่างของมันก็เล็กกว่าแม่ไก่พ่อไก่มาก ตัวใหญ่ที่สุดก็แค่ประมาณ 30 เซนติเมตร ตัวอื่นๆ มีขนาดประมาณ 20 กว่าเซนติเมตร บนหัวมีขนสั้นๆ กระจุกหนึ่ง มองแล้วไม่ได้ดึงดูดสายตาอะไร


หู่จือและเป้าจือตามฉินสือโอวอยู่ข้างๆ กาย ค่อยๆ เข้าใกล้ไก่ป่ากลุ่มนี้ ฉินสือโอวและนีลเซ็นพยักหน้าให้กัน ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นมาพร้อมกัน แล้วง้างคันธนูยิงพุ่งออกไป


ในขณะเดียวกัน หู่จือและเป้าจือก็เหมือนลูกกระสุนปืน ร่างกายที่แข็งแกร่งพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ขาสี่ขาของมันเคลื่อนไหวว่องไว ต่างมุ่งไปที่ไก่ป่าแต่ละตัว


ตอนนี้ทักษะการยิงธนูของฉินสือโอวรุดหน้าไปมาก เขาเล็งไปที่ไก่ป่าตัวที่อ้วนที่สุด เพียงลูกธนูพุ่งออกไป ก็สามารถตรึงไก่ป่าอยู่ที่พื้นได้ทันที


นีลเซ็นก็โชว์ฝีมือของตนเองเช่นกัน เขาดึงไกหน้าไม้อย่างรวดเร็ว ยิงลูกดอกออกไปสองดอกติดกัน พุ่งเข้าหาไก่ป่าสองตัวได้อย่างแม่นยำ


ไก่ป่าห้าหกตัวที่เหลือตกใจจนกระพือปีกอย่างหวาดกลัว ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่ถนัดบิน แต่ก็สามารถบินได้ วิ่งได้สองก้าว ก็ร้องจิ๊บๆ แล้วกระพือปีกบินขึ้นมา


ไก่สองตัวที่ถูกหู่จือและเป้าจือจ้องอยู่นั้นไม่ทันจะบินหนี กระพือปีกบินเข้าไปหลบในพุ่มไม้ หู่จือและเป้าจือเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ตามติดอยู่ด้านหลัง พุ่งเข้าไปในพุ่มไม้ไล่จับไก่ป่าสองตัวได้สำเร็จ


อีวิลสันเข้าไปจัดการเก็บกวาดเรียบร้อย ไก่ป่าตัวที่โดนยิงโดยฉินสือโอวลมหายใจขาดห้วงไปแล้ว อีกสองตัวที่เหลือยังดิ้นอยู่เพราะโดยทั่วไปไก่ป่านั้นมีพละกำลังล้นหลาม


สองนาทีกว่าผ่านไป หู่จือและเป้าจือก็วิ่งตามๆ กันมา พร้อมไก่ป่าในปากของพวกมันแต่ละตัวที่โดนกัดจนตายไปแล้ว


ฉินสือโอวรับไก่ป่ามา โอบเจ้าสองตัวที่เริงร่า แล้วเอ่ยปากชม “ลูกรัก! ทำดีมาก ช่างเป็นลูกที่ดีจริงๆ พวกแกช่วยพ่อทำงานได้แล้ว พ่อมีความสุขเหลือเกิน!”


หู่จือและเป้าจือแลบลิ้นมาเลียเขา ฉินสือโอวยิ้มไปลูบคลำพวกมันไป โดนพวกมันเลียจนแฉะไปหมด


เหมาเหว่ยหลงเดินมาดู ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่มันของดีจริงๆ มังกรฟ้านะเนี่ย”


“อะไร มังกรฟ้า?” ฉินสือโอวถาม


เหมาเหว่ยหลงจับเอาไก่ป่าขึ้นมาแล้วพูดว่า “นี่ไม่ใช่ไก่ป่าหรอกเหรอ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเราเรียกว่ามังกรฟ้า เขาบอกกันว่าจักรพรรดิเฉียนหลงหลังจากที่ได้กินไก่ตุ๋นชนิดนี้ก็รู้สึกว่ารสชาติวิเศษมาก จึงคิดถึงประโยคหนึ่งที่ว่า ‘เนื้อมังกรบนสวรรค์ เนื้อลาบนพื้นดิน’ จึงประทานชื่อให้ไก่ป่าเหล่านี้ว่า ‘มังกรฟ้า’”


“ถ้าเช่นนั้น มื้อกลางวันนี้เราก็มากินเนื้อมังกรกัน” ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูด


พวกเขาเดินต่อไปข้างหน้า ระหว่างทางก็เจอไก่ป่าพวกนี้อีกหลายตัว นีลเซ็นจึงอธิบายว่า “ไก่ป่าเฮเซลเป็นไก่ป่าชนิดหนึ่งที่พบมากที่สุดบนเขาของพวกเรานี้ โดยปกติแล้วพวกเราที่นี่ถ้าขึ้นมาบนเขาแล้วก็จะล่ากลับไปหลายตัวเพื่อนำไปต้มกิน รสชาติอร่อยมากๆ”


ฉินสือโอวไม่ได้ไล่ล่าต่อ ทุกเรื่องต้องมีขีดจำกัด ไก่ห้าตัวเพียงพอสำหรับพวกเขาแล้ว อีกอย่างก็ยังมีของกินอื่นๆ ที่กินได้อีก


เดินไปตามล่องแม่น้ำ ภูมิประเทศค่อนข้างราบเรียบ ชายหาดถูกเซาะออกมา อีกทั้งมีลำน้ำที่พวกสัตว์ป่า สัตว์ปีก นก เหยียบย่ำไว้ตอนมาดื่มน้ำ ดังนั้นทางที่พวกเขาเดินจึงไม่นับว่าลำบากมากนัก


เดินไปก็ชื่นชมธรรมชาติอันเขียวขจีไป เมื่อถึงตอนกลางวันพวกเขาก็ได้ข้ามเนินเขาเล็กๆ มาเรียบร้อยแล้ว ราวสิบเอ็ดโมงครึ่ง นีลเซ็นแสดงสัญญาณว่าเราจะตั้งแคมป์กินข้าวกลางวันและหลบร้อนกันชั่วคราวที่นี่


ฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงตกปลา นีลเซ็นพาหู่จือและเป้าจือไปออกล่า อีวิลสันทำความสะอาดบริเวณตั้งแคมป์ ซึ่งหลักๆ แล้วก็คือเอาหินก้อนใหญ่ออกเพื่อให้พื้นมีความราบเรียบเพิ่มขึ้นมา


ฉงต้านั่งลงพร้อมเสียงหอบ หน้าที่ของมันก็คือทำตัวทึ่มๆ และแอ๊บแบ๊ว งานอื่นๆ ก็ทำไม่ได้


ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนพายวนรอบในแม่น้ำไปหนึ่งรอบ จนหาแหล่งปลาชุกชุมเจอแล้วจึงเริ่มลงมือ


ฝีมือตกปลาของเหมาเหว่ยหลงยังคงยอดเยี่ยม เขาหาไส้เดือนโดยการเขี่ยหินที่อยู่ริมแม่น้ำออก แทนที่เขาจะนำไส้เดือนไปล้างก่อน แต่เขากลับเอาไส้เดือนพวกนั้นจุ่มลงไปในน้ำมันงาแล้วใช้เป็นเหยื่อตกเบ็ดเลยซึ่งดึงดูดใจปลาพวกนี้ได้ดียิ่ง


ผ่านไปสิบนาที เขาก็สามารถตกปลาไพค์ได้สามตัว ปลากะพงขาวสองตัว ปลากะพงปากเล็กสองตัว รวมๆ กันแล้วก็ 7-8 กิโลกรัม


ฉินสือโอวตกปลาสเมลท์ได้ เขาเอาน้ำมันมะกอกไปด้วย ตั้งใจทำอาหารจานนี้ขึ้นมากินตอนกลางวัน


ปลาสเมลท์มีอีกชื่อเรียกว่า ‘ตัวชุนอวี๋ (ปลาไข่เยอะ)’ ตอนฤดูร้อนไข่ปลาจะเยอะมากและมีมากที่สุดตอนฤดูใบไม้ร่วง ปลาชนิดนี้ไม่ว่าจะเอามาปิ้งย่างหรือเอามาผัดรสชาติก็หอมอร่อย


……………………………………….


[1] หมู่ เป็นหน่วยวัดมาตราหนึ่งของประเทศจีน 1 หมู่ เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร


บทที่ 148 โอพอสซัมเวอร์จิเนีย

โดย

Ink Stone_Fantasy

รูปร่างลักษณะทั่วไปของปลาสเมลท์จะเล็กและบางมาก มันมีลำตัวยาวเหมือนกระสวยทอผ้า ความยาวไม่เกิน 7-8 เซนติเมตร ซึ่งในช่วงฤดูกาลนี้ปลาสเมลท์ตัวเมียจะเก็บไข่ไว้เต็มท้อง พวกมันมักจะอาศัยอยู่ริมแม่น้ำ ปลาสเมลท์เป็นสัตว์ที่มีการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไวจึงทำให้ยากต่อการจับ


ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนแผ่คลุมแม่น้ำส่วนหนึ่งเอาไว้แล้วจับปลาตัวอ้วนใหญ่ขึ้นมาได้ 40-50 ตัว โดยปกติแล้ว เครื่องในของปลาชนิดนี้ไม่ต้องจัดการอะไรมากเพียงแค่นำมาล้างน้ำให้สะอาดก็สามารถนำมาทำอาหารได้เลย


อีวิลสันมีจุดเด่นอย่างหนึ่งคือ เขาเป็นคนทำงานอย่างมุ่งมั่นตั้งใจและละเอียดรอบคอบ ฉินสือโอวให้เขาจัดการกับพื้นบริเวณใต้ร่มเงาไม้ที่เป็นจุดตั้งแคมป์ให้เรียบเสมอกัน เขาก็ใช้หินก้อนแบนหนึ่งก้อนมากดจนพื้นดินค่อยๆ เรียบอย่างเชื่อฟัง


สถานที่ตั้งแคมป์ที่พวกเขาเลือกเป็นเนินเขาที่ค่อนข้างสงบและอยู่ห่างจากแม่น้ำสายเล็กไปประมาณ 200 เมตร มีต้นเมเปิลขนาดใหญ่เรียงกันสองต้น ภายใต้พระอาทิตย์ดวงใหญ่แบบนี้ สามารถหลบร้อนพักรับอากาศเย็นสบายใต้ต้นไม้อันกว้างใหญ่ได้


ฉินสือโอวถือแหจับปลาอยู่ในมือแล้วกล่าวขึ้น “แบบนี้ไม่ไหว อีวิลสันนายทำดีแล้ว เอาของในนี้ไปทำความสะอาดก็พอ มา! เอาหม้อออกมาได้แล้ว เราจะได้เตรียมอาหารกลางวันกัน”


เพราะคืนนี้จะต้องค้างคืนบนเขา ฉินสือโอวได้เตรียมเครื่องครัวในการทำอาหารไว้ครบหมดทุกอย่างแล้ว มีทั้งหม้ออัดความดัน หม้อตุ๋น นอกจากนี้ยังมีกระทะอีกด้วย


อันดับแรกต้องสะเด็ดน้ำออกจากปลาที่ล้างน้ำสะอาดแล้วก่อน แล้วนำเครื่องปรุง พริกไทยเสฉวน เหล้าที่ใช้ทำอาหาร ซอสถั่วเหลืองและซอสเปรี้ยวที่เตรียมไว้มาหมักคลุกเคล้าให้เข้ากัน หลังจากนั้นฉินสือโอวก็ก่อกองไฟเพื่อที่จะตั้งหม้อทำอาหาร


ด้านนี้กำลังต้มน้ำด้วยหม้ออัดความดัน ส่วนด้านฉินสือโอวนั้นก็นำไก่ป่าเฮเซลทั้งห้าตัวมาถอนขนและแยกเครื่องใน เครื่องในที่แยกแล้วก็นำลงไปใส่ในหม้อที่เริ่มเดือด ส่วนเนื้อไก่ก็หั่นเป็นชิ้นและล้างให้สะอาด พอหั่นเสร็จเครื่องในที่ต้มอยู่ก็สุกได้ที่พอดี หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนน้ำต้มและนำเนื้อไก่ลงไปในหม้อเพื่อที่จะเริ่มตุ๋นเนื้อไก่


ไก่ป่าเฮเซลมีรสชาติที่สดและอร่อย จึงไม่จำเป็นต้องปรุงอะไรเพิ่มอีก หลังจากตุ๋นไก่เดือดได้ที่ก็โรยด้วยผักชีและตามด้วยเกลือเล็กน้อยก็ใช้ได้แล้ว


ฉินสือโอวตุ๋นไก่ป่าทิ้งไว้ แล้วนำเครื่องในที่ต้มจนสุกดีแล้วไปผึ่งแดดเพื่อเตรียมไว้ให้หู่จือ เป้าจือและฉงต้า


ปกติแล้วคนแคนาดาจะไม่กินเครื่องในของสัตว์ปีก นอกจากตับห่านเท่านั้น ส่วนใหญ่จะกินเนื้อสัตว์ทั่วไปมากกว่า


ฉินสือโอวก่อกองไฟอีกกองหนึ่ง เขาตั้งกระทะและเทน้ำมันมะกอกลงไป


ขณะนี้ ปลาที่หมักไว้กำลังได้ที่แล้ว หลังจากรอน้ำมันเดือดเขาก็จุ่มปลาลงในซอสที่ทำจากแป้งดิบและไข่ จากนั้นใส่ปลาลงในน้ำมันที่กำลังเดือดแล้วใช้ตะหลิวทอดพลิกไปมา


ไม่รอช้า ปลาทอดก็ส่งกลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล ฉินสือโอวกลัวว่าฉงต้าจะเข้ามาแอบกินปลาและจะถูกน้ำมันลวก เขาจึงคิดว่าจะไปดูเจ้าฉงต้าก่อน แต่พอเขาหันหลังกลับไปก็ไม่เห็นฉงต้าแล้ว


ฉินสือโอวรีบไปถามเหมาเหว่ยหลงที่กำลังจัดการกับเครื่องในปลาอยู่ริมแม่น้ำ “โคโกโร่ ฉงต้าอยู่ตรงนั้นกับนายหรือเปล่า?”


ฉงต้าชอบกินปลาสดๆ มีความเป็นไปได้ที่อาจจะได้กลิ่นคาวของปลาแล้วเดินตามกลิ่นนั้นไป


เหมาเหว่ยหลงแหงนหน้ามองหาฉงต้า “ไม่นะ ไม่ได้อยู่ที่นี่”


ฉินสือโอวรู้สึกร้อนใจ เจ้าเด็กน้อยตัวนี้วิ่งหายไปไหนแล้ว? อีวิลสันพึมพำแล้วชี้ไปที่ป่าด้านหลัง “ฉงต้าเข้าไปในนั้น”


“เมื่อไร?” ฉินสือโอวถาม เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นเจ้าเด็กนี่มาสักพักแล้ว


อีวิลสันเกาหัวและคิดอยู่พักหนึ่ง “น่าจะหลังจากที่นายไปตกปลา”


นี่ก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงหนึ่งแล้ว ฉินสือโอวไม่สามารถทำอาหารต่อได้ เขาอยากออกไปตามหาฉงต้ามากกว่า บังเอิญที่นีลเซ็นพาหู่จือกับเป้าจือกลับมาจากในป่าพอดี “เห็นฉงต้าบ้างไหม?” ฉินสือโอวถาม


นีลเซ็นส่ายหัว หลังจากที่ฉินสือโอวถาม “ไม่เห็นนะ บอสอย่ากังวลไปเลย ถึงแม้ว่าฉงต้าจะยังเด็ก แต่มันก็อยู่บนเขาแห่งนี้จนสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ฉงต้าคงร้องคำรามขึ้นนานแล้ว”


ฉินสือโอวอยากออกไปตามหาฉงต้ามาก แต่ไม่รู้จะไปหาอย่างไร ได้เพียงแต่ทำอาหารอย่างร้อนใจ


ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเงาอ้วนท้วมโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ด้านหลังที่ตั้งแคมป์ หัวกลมๆ เล็กๆ ก้นใหญ่ๆ อ้วนๆ ถ้าไม่ใช่ฉงต้าแล้วจะเป็นใครได้?


ฉงต้าวิ่งออกมาอย่างอิ่มเอมใจ พร้อมกับฮัมเสียง ‘ฮืดฮาด ฮืดฮาด’ ในลำคอ ฉงต้าแหงนหน้าขึ้นสูง ในปากคาบสัตว์ตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งความยาวประมาณ 20 กว่าเซนติเมตร เห็นแล้วฉงต้าดูมีความสุขมาก


สัตว์ตัวเล็กๆ ที่ถูกคาบมาเหมือนว่ามันจะถูกฉงต้ากัดตายแล้ว มันมีขนสีขาวทั้งตัว ปากแหลมยาว ใบหูกลมๆ สองข้างสีดำดูสวยมาก มันถูกฉงต้าพามาที่แคมป์และโยนลงบนพื้น มันนอนแน่นิ่งไม่ขยับตัวเลยสักนิด


“นี่มันคือตัวอะไร?” เหมาเหว่ยหลงเข้าไปดูใกล้ๆ


นีลเซ็นชำเลืองมองและไม่สนใจอะไร “มันคือโอพอสซัมเวอร์จิเนีย ฉันเห็นเจ้าตัวนี้บ่อยๆ”


หู่จือและเป้าจือที่นอนหมอบบนพื้นอยู่ก่อนหน้า เมื่อมองเห็นศพโอพอสซัมตัวนี้พวกมันก็คลานเข้าไปใกล้ๆ ทั้งซ้ายขวาพร้อมกัน


ฉินสือโอวรู้ทันเจ้าสองตัวนี้ดี ถ้าพวกมันแสดงท่าทางแบบนี้ แสดงว่าเจ้าโอพอสซัมตัวนี้ต้องมีปัญหาแน่นอน ดังนั้นเขาจึงรีบลุกขึ้น “ออกห่างจากเจ้าตัวนี้เดี๋ยวนี้นะ!”


นีลเซ็นคิดว่าฉินสือโอวรังเกียจเจ้าโอพอสซัมตัวนี้ จึงหัวเราะขึ้น “ถึงแม้ว่ารูปร่างมันจะเป็นหนู แต่ความจริงแล้วเจ้าโอพอสซัมตัวนี้ไม่ใช่สัตว์จำพวกหนูหรอกนะ มันเป็นสัตว์ที่ใกล้เคียงกับจิงโจ้ อีกทั้งอุณหภูมิในร่างกายของมันจะต่ำกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมปกติทั่วไป ดังนั้นร่างกายของมันจึงมีแบคทีเรียและไวรัสน้อยมาก มันอาจจะดูสกปรก แต่จริงๆ แล้วมันสะอาดมาก”


ทางด้านนีลเซ็นก็กำลังอธิบายไป แต่ทางด้านหู่จือกับเป้าจือก็กำลังจะวิ่งโผเข้าไปหาเจ้าโอพอสซัม


ตอนที่เจ้าแลบราดอร์ทั้งสองตัวนี้กำลังเข้าไปใกล้เจ้าโอพอสซัมที่เหมือนจะตายแล้ว จู่ๆ ก็มีเสียง ‘จี๊ดๆ’ ดังขึ้น มันลุกขึ้นมากะทันหันพร้อมก้มหน้าก้มตาพยายามวิ่งหนี


เจ้าตัวเล็กตัวนี้ท่าวิ่งของมันดูปราดเปรียว ต่างจากสัตว์ทั่วไปที่ขาหน้าและขาหลังแตะพื้นไม่พร้อมกัน คือขาหน้าหรือขาหลังข้างหนึ่งจะเดินก่อน และตามด้วยขาหน้าหรือขาหลังอีกข้าง ดังนั้นขาหน้าซ้ายกับขาหลังขวาของมันจะแตะพื้นพร้อมกัน ดูแล้วท่าทางการวิ่งของมันประหลาดมาก


“เฮ้ แล้วเจ้าโอพอสซัมยังชอบแกล้งตายอีกด้วยนะ” นีลเซ็นหัวเราะขึ้นมา โอพอสซัมมันแกล้งตายเก่ง เมื่อไรก็ตามที่เจอสัตว์ที่เป็นศัตรูมันจะนอนหงายนิ่งบนพื้น ซึ่งมีสัตว์บางจำพวกที่ไม่กินซากสัตว์ดังนั้นจึงทำให้พวกโอพอสซัมรักษาชีวิตรอดได้


ทันทีที่เจ้าโอพอสซัมกำลังจะหนี ฉงต้าที่ผู้คนเข้าใจว่ามีนิสัยเซ่อซ่ามาโดยตลอดก็ออกแรงรีบยกขาหลังมาขวางไว้ เมื่อปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของเจ้าโอพอสซัมได้แล้ว มันก็อ้าปากร้องคำรามอย่างรุนแรง “โฮก! โฮก!”


แม้ว่าเจ้าอ้วนฉงต้าจะไม่ได้ดูน่าเกรงขามอะไร แต่หมีสีน้ำตาลก็คือหมีสีน้ำตาล ถึงอย่างไรมันก็คือราชาแห่งป่า เสียงคำรามของมันยังคงเป็นการวางท่าอย่างน่าเกรงขามราวกับว่าเป็นเทพเจ้าสายฟ้า


เจ้าโอพอสซัมตกใจกลัวรีบก้าวฝีเท้าน้อยๆ ถอยหลังออกมา ฉงต้ายังคงแยกเขี้ยวยิงฟันขู่คำรามอยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นความหยิ่งผยองน่ากลัวที่ฉงต้าแสดงออกมา


ทันใดนั้นก็เห็นมันจะเอื้อมมือไปจับเจ้าตัวน้อย แต่เจ้าโอพอสซัมกลับบิดตัวและกระดกก้นออกมาเหมือนเพียงพอน จากนั้นมันก็ผายลมใส่ฉงต้า


ฉงต้าผู้ดุดันและโหดร้ายได้ปะทะเข้ากับความพ่ายแพ้เข้าแล้ว จังหวะที่เจ้าโอพอสซัมผายลมนั้น เป็นช่วงที่ฉงต้ากำลังจะหายใจพอดี ดังนั้นฉงต้าจึงสูดเข้าไปเต็มๆ


เล่ห์เหลี่ยมของเจ้าโอพอสซัมได้ผลมาก จากนั้นฉงต้าก็ยังอยากจะร้องคำรามอีกหลังจากสูดหายใจเข้าไป แต่เสียงร้องคำรามของมันกลายเป็นแค่เสียงหอนและใบหน้ากลมเล็กของมันก็ขมวดคิ้วเป็นปมเพราะกลิ่นเหม็นฉุนทำให้มันจามจนน้ำตาไหล


หู่จือและเป้าจือขวางเจ้าโอพอสซัมไว้ได้ หู่จือผู้กล้าหาญวิ่งเข้าไปหมายจะกัดตรงที่คอของเจ้าโอพอสซัม


ฉินสือโอวรู้สึกว่าเจ้าพวกนี้ไม่ได้จะกินเจ้าโอพอสซัมและไม่จำเป็นต้องทำร้ายมัน เขาจึงรีบตะโกนขึ้น “กลับมา!”


หู่จือหุบปากได้ทันก่อนที่คอของเจ้าโอพอสซัมจะถูกกัดขาด ทันใดนั้นก็กระแทกมันให้กระเด็นออกไป


เจ้าโอพอสซัมกลิ้งไปหลายตลบจนหัวของมันไปชนกับหินก้อนหนึ่งและนอนแน่นิ่งไม่ขยับอีกครั้ง


ฉินสือโอวเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าโอพอสซัมตัวนี้ชนหินตายจริงๆ หรือแกล้งตายกันแน่ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ฉินสือโอวลากฉงต้ามาที่ริมแม่น้ำ เอาน้ำล้างปากฉงต้าให้สะอาด ถึงการทำแบบนี้มันจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่ก็ถือว่าสามารถปลอบใจฉงต้าได้


ฉงต้ากอดขาของฉินสือโอวด้วยความเสียใจ ไม่ง่ายเลยที่ฉงต้าจะกล้าจับเหยื่อสักตัว แต่สุดท้ายในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของฉงต้ามันก็ทำพลาด ทำให้ตัวเองรู้สึกขายหน้า


ฉินสือโอวกอดฉงต้าและตบหลังปลอบใจมันเบาๆ “เก่งมาก ฉงต้าเก่งที่สุดแล้วนะ ฉงต้าของพ่อเรียนรู้การล่าสัตว์เป็นแล้ว พ่อดีใจจริงๆ! พอแล้วๆ ไม่เป็นไรนะ ต่อไปนี้ก็ต้องระวังให้มากขึ้น เข้าใจไหม? ไป พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ”


……………………………………………………….


บทที่ 149 ผู้ติดตามของฉงต้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

สิ่งที่ปลอบใจฉงต้าได้อย่างแท้จริง คือกลิ่นหอมของไก่เฮเซลตุ๋น ฟืนต้นสนแห้งนั้นเผาไหม้ง่ายเป็นอย่างมาก เปลวไฟโชติช่วงลามเลียไปทั่วหม้ออัดความดัน ผ่านไปชั่วครู่รูระบายความร้อนของฝาหม้อก็เริ่มสั่นแล้วส่งเสียง ‘หึ่ง หึ่ง’ กลิ่นหอมของไก่ตุ๋นฟุ้งกระจายตามไอน้ำไปทั่วทุกสารทิศ กระตุ้นความอยากอาหารของผู้คน


ฉงต้าสะบัดขนบนหัวให้แห้ง ก่อนจะวิ่งไปที่หน้าหม้ออัดความดันนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วรอฝาหม้อเปิดออกด้วยความกระวนกระวายใจ


แต่ว่าตอนนี้ยังกินไม่ได้


นีลเซ็นนำกระต่ายอ้วนกลับมาหกตัว ล้วนแต่เป็นกระต่ายสโนว์ชู กระต่ายพันธุ์นี้เป็นอาหารประจำถิ่นอเมริกาเหนือ ขนของมันหนึ่งปีจะผลัดสีถึงสองครั้ง ในฤดูร้อนขนของมันจะเป็นสีน้ำตาลอมเทา แต่เมื่อถึงฤดูหนาวขนของมันจะกลายเป็นสีขาวได้อย่างน่าอัศจรรย์


เพราะว่าขาหลังของกระต่ายป่าพันธุ์นี้นั้นใหญ่มาก ชื่อของมันจึงเรียกว่าสโนว์ชู หนึ่งปีให้กำเนิดได้เจ็ดถึงแปดตัว คุณภาพเนื้อก็ถือว่าไม่เลว


นำกระต่ายสโนว์ชูมาถลกหนังแล้วควักเครื่องในออก แล้วนีลเซ็นก็เอ่ยอธิบาย “ตอนแรกฉันลองหาพวกกวางปักกิ่ง แพะภูเขาอะไรพวกนั้น ผลคือที่นี่ยังสูงไม่พอ จึงไม่มีพวกสัตว์ใหญ่แบบนั้น แต่กระต่ายป่านั้นกลับมีเยอะมาก ดูท่าว่าถ้าอยากล่ากวางหรือหมูป่าคงต้องเดินลึกเข้าไปข้างใน”


ฉินสือโอวนำข้าวไปหุง ตอนนี้ปลาสเมลท์ทอดจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเริ่มจัดการกับปลาที่เหมาเหว่ยหลงตกมา ถึงอย่างไรก็นำซอสวัตถุดิบมาแล้ว เลยเอามาทำรวมกันกลายเป็นปลาตุ๋นซอสน้ำแดง


หู่จือและเป้าจือนอนกันอยู่ที่ใต้เงาร่มไม้ ฉงต้านั่งลงแล้วแหงนหน้าขึ้นอย่างห้าวหาญมีสง่า ฉินสือโอวหัวเราะออกมา เข้าใจในความคิดของฉงต้า เจ้าเด็กน้อยนี้เห็นว่าทุกคนมัวแต่ทำนู่นทำนี่ คาดว่าคงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย เลยตั้งใจที่จะวิ่งเข้าไปในป่าแล้วล่าสัตว์กลับมา


เพียงแต่ ที่มันล่ามาดันเป็นโอพอสซัมเวอร์จิเนีย ของสิ่งนี้ไม่มีทางที่จะกินเข้าไปได้


แม้จะก้าวเท้าผิดไปเสียหน่อย แต่อย่างไรฉงต้าก็ยังเล็กนัก ฉินสือโอวจึงรู้สึกว่าตัวเองต้องปลอบใจมันเสียหน่อย ในระหว่างทางนีลเซ็นยังขุดเอาผักป่ากลับมาไม่น้อย ทั้งยังเก็บผลเบอร์รีกลับมามากมาย เขาจึงกำแบล็กเบอร์รีจำนวนหนึ่งส่งให้ฉงต้า ให้มันกอบไว้ในมือทั้งสองข้างแล้วกิน


ผักป่าที่เยอะที่สุดในเทือกเขาเคอร์บัลคือผักกูด ผักอองดีฟและขึ้นฉ่ายป่า ใบกระเทียมป่า สองอย่างแรกนั้นคนแคนาดาไม่กิน เลยทำให้มีอยู่เต็มเขาทั้งหมด มีเพียงสองอย่างหลังที่คนแคนาดาค่อนข้างชอบ


ฉินสือโอวเด็ดผักป่าจนสะอาด ก่อนเอ่ย “ช่วงบ่ายตอนที่พวกเราลงเขา อย่าลืมว่าต้องเก็บผักป่ามาในระหว่างทาง เย็นวันนี้มากินมื้อใหญ่ดีๆ กันเถอะ”


เหมาเหว่ยหลงหัวเราะก่อนเอ่ย “อย่างนั้นมื้อกลางวันของเรานี้ก็ไม่ใช่มื้อใหญ่น่ะสิ”


ฉินสือโอวส่ายหัวไปมาก่อนเอ่ย “ไม่มีหมูป่า ไม่มีกวาง นี่จะนับว่าเป็นมื้อใหญ่ได้อย่างไร?”


ได้ยินอย่างนี้ เหมาเหว่ยหลงก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะถาม “บนเขามีหมูป่าและฝูงกวางจริงๆ เหรอ?”


คำถามประเภทนี้ฉินสือโอวไม่เสียเวลาตอบ เอาไว้ให้เห็นกับตาด้วยตัวเองในตอนเย็นเถอะ


หลังจากกระต่ายถูกล้างจนสะอาด นีลเซ็นใช้กิ่งไม้เสียบแล้วย่างบนกองไฟ ฝีมือของเขานั้นยอดเยี่ยม ทั้งกระต่ายสโนว์ชูยังอ้วนท้วนสมบูรณ์ แค่เพิ่งเริ่มย่างน้ำมันก็ไหลซึมออกมา นีลเซ็นพลิกกระต่ายไปมาไม่หยุด ย่างช้าๆ จนมีสีเหลืองทองอร่าม


 ฉงต้า หู่จือ เป้าจือ ต่างพากันนั่งไม่ติดแล้ว พวกมันวิ่งไปอยู่ข้างๆ ฉินสือโอวแล้วเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาระยิบระยับ


ของที่พวกมันกินไม่จำเป็นต้องสุกมาก ฉินสือโอวจึงหยิบกระต่ายอ้วนตัวหนึ่งลงมา มันสุกถึงแปดส่วนแล้ว หู่จือและเป้าจือได้ขาหลังอ้วนพีตัวละอัน ส่วนที่เหลือเป็นของฉงต้า


ฉงต้าเอาแบล็กเบอร์รีที่ยังกินไม่หมดวางไว้ใต้ต้นไม้ มันคาบกระต่ายของตัวเองแล้ววิ่งกลับไป ก่อนจะอ้าปากแล้วเริ่มฉีกกิน


ข้าวหุงจนสุกแล้ว ฉินสือโอวและคนอื่นๆ จึงเริ่มทานข้าว โดยเริ่มจากซุปไก่เฮเซลตุ๋นคนละชาม หลังจากที่ของสิ่งนี้โรยด้วยใบขึ้นฉ่ายป่าและเกลือแล้ว กลิ่นจึงไม่ต้องหอมมากนัก


น้ำมันไก่ที่ลอยอยู่หนึ่งชั้นช่างยั่วยวนผู้คน ในแต่ละชามล้วนมีซุปไก่อยู่ครึ่งชามและเนื้อไก่อีกครึ่งชาม ยกเว้นชามของอีวิลสัน ที่ล้วนเป็นเนื้อไก่ เขาดมแล้วดมอีก รอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏขึ้นอยู่บนใบหน้า คว้าทั้งหมดเข้าไปในปาก เคี้ยวดังกรุบกรับแม้แต่กระดูกยังเคี้ยวเข้าไปด้วย


ฉินสือโอว นีลเซ็นและเหมาเหว่ยหลงดื่มน้ำซุปไก่กันก่อน ของบำรุงและรสชาติของไก่เฮเซลนี้แท้จริงล้วนอยู่ในน้ำซุป


ซุปไก่ทั้งหอมทั้งสดใหม่ เหมาเหว่ยหลงสูดซดน้ำซุป ซดจนหมดชามแล้วถอนหายใจ “ทำไมถึงได้หอมอย่างนี้ อร่อยจริงๆ! ไก่บ้านและซุปไก่ที่เคยดื่มเมื่อก่อนแทบจะตกอันดับไปเลย! หลังจากดื่มเจ้าสิ่งนี้ คาดว่าหลังฉันกลับไปคงไม่สามารถดื่มพวกซุปไก่โง่ๆ นั่นได้อีก มันแตกต่างกันเกินไปแล้ว”


ฉินสือโอวดื่มซุปจนหมด ก็ตักข้าวมาหนึ่งชามกินด้วยกันกับปลาตุ๋นน้ำแดงและปลาสเมลท์ทอดแห้ง


ปลาสเมลท์สามารถพบเห็นได้บ่อยในประเทศ มันก็คือปลาไข่นั่นเอง ปลาประเภทนี้เมื่อกินด้วยกันกับไข่ปลาจะมีกลิ่นที่หอมเป็นอย่างมาก หอมกว่าปลาทะเลราคาแพงอย่างแซลมอนพวกนั้นอีก โดยเฉพาะเมื่อจุ่มลงในผงยี่หร่าหรือผงปรุงรส ยิ่งมีรสชาติมากยิ่งขึ้น


ฉงต้าและหู่จือเป้าจือกินกระต่ายย่างสองสามคำหมดไปก็วิ่งมา กระต่ายย่างที่เหลือห้าตัวล้วนสุกหมดแล้ว ฉินสือโอวให้อีวิลสันสองตัว ให้เจ้าเด็กน้อยทั้งสามแบ่งกันกินหนึ่งตัว ที่เหลือสองตัวเขาและนีลเซ็นเหมาเหว่ยหลงแบ่งกันกิน


กินข้าวไปได้ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นหู่จือเป้าจือก็เงยหน้าขึ้นมา ฉงต้าเองก็สูดจมูกก่อนจะหันไปมองยังด้านข้าง ที่แท้เจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนียที่โดนหู่จือชนล้มนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว คาดว่าเมื่อครู่เจ้าตัวนี้คงแค่โดนชนจนล้มแล้วหมดสติไป ตอนนี้พอตื่นขึ้นมาแล้วก็ตั้งใจปีนป่าย มันก้มหัวเดินโซซัดโซเซไปสองสามก้าว ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ต่างมองดูมันกันเงียบๆ ตอนแรกแค่อยากจะปล่อยให้มันเดินออกไปก็พอแล้ว


แต่สุดท้าย ไม่รู้ว่ามันโดนชนจนมึนหัวไปแล้วหรืออย่างไร ถึงได้เดินเบนเข็มไปตรงด้านหน้าของฉงต้า


เมื่อเดินไปแล้ว เจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนียก็ขยับจมูกยาวๆ ของตัวเองไปมา แล้วเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ตอนนี้เองมันจึงเพิ่งเห็นฉงต้าที่อยู่ด้านหน้า มันตกใจยกเท้าอยากจะวิ่งหนี แต่คาดว่าสมองมันน่าจะยังคงมึนงงอยู่ พอหมุนตัวด้วยความรวดเร็วจึงล้มลงไปอีกครั้ง


มันคลานขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนียนอนหมอบตัวสั่นอยู่บนพื้น มองไปที่ฉงต้าด้วยความหวาดกลัว


ฉงต้าตอนนี้กินอิ่มดื่มอิ่ม ไม่ได้สนใจเจ้าสิ่งของตัวเล็กนี้ มันสะบัดตัวหนีแล้วไปเล่นกับหู่จือเป้าจือ


เจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนียค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ดวงตาจ้องมองผลแบล็กเบอร์รีที่ฉงต้าวางไว้ใต้ต้นไม้ อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากตัวเองไปมา


ฉินสือโอวถึงเพิ่งเข้าใจ เจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนียคงถูกกลิ่นหอมของผลแบล็กเบอร์รีดึงดูดเข้าให้แล้ว


นีลเซ็นอธิบาย “อาหารอย่างแรกที่เจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนียเลือกกินคือผลแบล็กเบอร์รี พวกมันเป็นสัตว์กินพืช ถ้าไม่มีผลแบล็กเบอร์รีพวกมันก็จะกินหญ้า”


ฉงต้าที่กินอิ่มดื่มอิ่มจนรู้สึกสบายตัวมาก มันหันไปสังเกตเจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนียที่น่าสงสารกำลังจ้องมองผลแบล็กเบอร์รี มันจึงใช้อุ้งมือปัดผลแบล็กเบอร์รีกลิ้งไปตรงหน้าเจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนีย


เหมาเหว่ยหลงเอ่ยอย่างตะลึง “โอ้ สรรพสิ่งทั้งหลาย เจ้าหมีบ้านนายตัวนี้ ดูท่าแล้วแม่มันคงฉลาดมากใช่หรือไม่? พฤติกรรมการแบ่งอาหารแบบนี้ ดูเป็นมนุษย์เกินไปหน่อยไหม?”


ฉินสือโอวหัวเราะเอ่ย “เพราะว่าฉันสอนมาดี”


คาดว่าเจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนียก็คงหิวแย่แล้ว มันรีบใช้อุ้งเท้าเล็กจับผลนั้นไว้ ก่อนกัดกินไม่กี่คำก็หมดแล้ว


ฉงต้าเอียงคอมองเจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนียกินของ รอจนมันกินหมด มันก็เขี่ยอีกสองอันไปใหม่ แล้วก็ให้อาหารเจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนียมันอยู่อย่างนั้น


                เจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนียกินผลแบล็กเบอร์รีไปสิบกว่าผล ก็ไม่กินต่อแล้ว ไปนอนข้างๆ ฉงต้าอย่างเรียบร้อย ราวกับน้องชายผู้สวามิภักดิ์อย่างไรอย่างนั้น


                ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้สนใจอีก ทั้งหมดนั่งพูดคุยกัน อีวิลสันทำลายล้างจนหมดสิ้น เอาเนื้อไก่น้ำซุปไก่ กระต่ายย่างปลาเผาและข้าวที่เหลือทั้งหมดกินจนสะอาดหมดเกลี้ยง หลังจากนั้นก็วิ่งไปล้างหม้อล้างชามอย่างรู้หน้าที่


                ในช่วงบ่ายระหว่างเดินทาง ฉินสือโอวหันกลับไปมอง เห็นว่าด้านหลังฉงต้ามีหางเล็กๆ ยื่นออกมา ที่แท้แล้วเป็นขนสีขาวหิมะของเจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนียนั่นเอง


                เจ้าโอพอสซัมเวอร์จิเนียกระโดดดึ๋งตามมาอยู่ด้านหลัง ฉงต้าจึงหยุดแล้วหันกลับไปมอง มันก็ส่ายหางไปมา และคาดว่าฉงต้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันกะพริบตาปริบๆ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ


ฉินสือโอวพยายามทำให้เจ้าพอสซัมน้อยตกใจ อยากให้มันตกใจจนวิ่งหนีไป แต่ปรากฏว่ามันดันวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังฉงต้าเสียอย่างนั้น ราวกับว่ายึดเอาฉงต้าเป็นเกราะป้องกัน


“โอ้ นี่คงไม่ใช่ว่าในระหว่างสัตว์ด้วยกันก็มีโรคอย่างสตอกโฮล์ม ซินโดรมด้วยหรอกนะ?” ฉินสือโอวถลึงตา


..              ………………………………………………………


บทที่ 150 สัตว์ป่าอาละวาด

โดย

Ink Stone_Fantasy

สตอกโฮล์ม ซินโดรม คือความหลงใหลที่เหยื่อของอาชญากรรมเกิดความรู้สึกต่ออาชญากร แม้กระทั่งผันตัวไปช่วยอาชญากร ความรู้สึกนี้เป็นเหตุให้เหยื่อเกิดความรู้สึกดี เกิดความหวังพึ่งพาต่อผู้ก่อเหตุ


ฉินสือโอวรู้สึกว่าเจ้าพอสซัมน้อยนี่ถูกเจ้าอาชญากรฉงต้าตัวนี้ทำให้เกิดอาการสตอกโฮล์ม ซินโดรมแล้วใช่ไหม


ไร้หนทางที่จะหาความจริง ถึงอย่างไรฉงต้าก็มีลูกสมุนตัวเล็กเพิ่มมาอีกหนึ่งเเล้ว ฉินสือโอวอยากไล่เจ้าพอสซัมตัวน้อยไป แต่มันกลับไม่ยอมไป และหลบอยู่ข้างกายฉงต้า


ฉงต้าดูเหมือนจะชอบอะไรแบบนี้ ทำเป็นไม่เห็นฉินสือโอวไล่เจ้าพอสซัม หันหัวมองไปรอบทิศอย่างไร้เดียงสา แต่ยังคงกำบังเจ้าพอสซัมน้อยไว้ แผนการของมันเปิดเผยแล้ว


พอฉินสือโอวสังเกตเห็น ก็ไม่ได้ไล่เจ้าพอสซัมอีกต่อไป เขาเข้าใจฉงต้าแล้ว ตั้งแต่มาถึงฟาร์มปลา ฉงต้าก็ไม่มีเพื่อน แถมถูกรังแกอยู่บ่อยครั้ง ตอนนี้พอสซัมตัวนี้เต็มใจอยู่เล่นเป็นเพื่อนมัน มันได้เพื่อนคู่หูแล้ว


แม้ว่าในใจของเจ้าพอสซัมน้อย ฉงต้าจะไม่ใช่คู่หูก็ตาม


แต่ว่าแล้วมันจะสำคัญตรงไหนล่ะ?


ฉินสือโอวให้ราสเบอร์รีกับฉงต้าสองสามลูก ให้ฉงต้าส่งต่อให้เจ้าพอสซัมอีกที ถือเป็นการยืนยันความสัมพันธ์ของทั้งสองตัว


 “ไม่มีอะไรหรอก ปกติหนูอายุไม่ยืน สามสี่ปีก็นับว่าถึงที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นเลี้ยงมันไปสักพักก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่แน่ฉงต้าเล่นจนพอแล้วอาจจะกินมันไปก็ได้” นีลเซ็นพูด


 “ฉงต้าไม่ใช่คนแบบนั้น อ่า… ไม่สิ ฉงต้าไม่ใช่หมีแบบนั้น เจ้าตัวนี้เป็นเพื่อนซี้ของมันแล้ว” ฉินสือโอวพูดตาเขม็ง


เช่นนี้ ปีนเขาขึ้นมาได้ไม่เท่าไร ขบวนก็ได้เพื่อนร่วมทีมใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งตัวแล้ว


เดินต่อขึ้นไปตามลำน้ำ ตรงทางโค้งมีฝูงกวางเรนเดียร์โผล่มาฝูงหนึ่ง ในฝูงนี้มีกวางประมาณสิบกว่าตัวได้ กวางเรนเดียร์ที่ตัวใหญ่ที่สุดมีเขาผลิออกมาได้สิบกว่าเขา ลำตัวยาวหนึ่งเมตรกับอีกยี่สิบเซนติเมตร สูงเมตรกว่า ช่างเป็นอะไรที่น่าทึ่ง


ปกติแล้วไม่มีใครขึ้นมาล่าสัตว์บนเขา กวางเรนเดียร์พวกนี้จึงไม่ค่อยหวาดระแวงคนสักเท่าไร ในตอนที่นีลเซ็นเดินออกมา พวกมันหันมามองทีหนึ่งแล้วก็ก้มหาตะไคร่แถวริมแม่น้ำกินต่อไป


หู่จือและเป้าจือเห็นกวางเรนเดียร์เข้าก็ตื่นตัวมีชีวิตชีวาขึ้นมา หากแต่ไม่ได้รับคำสั่งจากฉินสือโอว พวกมันก็ไม่อาจหาญลงมือจู่โจม ฉงต้ามองไปทีหนึ่งก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร หันกลับมาเล่นกับคู่หูของตัวเอง


ที่ดีใจที่สุดเห็นจะเป็นเหมาเหว่ยหลง เขายกปืนเรมิงตันขึ้น แต่นึกขึ้นได้ว่าปืนกระบอกนี้ไม่เหมาะกับการยิงระยะไกล จึงลดปากกระบอกลง แล้วถามอย่างตื่นเต้น “เป็นไง เริ่มล่าเลยไหม?”


ฉินสือโอวก็อยากล่ากวางเรนเดียร์สักตัว เขาดูในหนังฮอลลีวูด พวกนายพรานมักจะชอบแขวนหัวกวางเรนเดียร์ไว้ในบ้าน ที่ฟาร์มปลาของเขายังไม่มีเลยนี่นา


 “ไม่ใช่เวลานี้ แล้วในนี้ก็ไม่มีกวางเรนเดียร์ที่ตัวใหญ่ ช่างมันเถอะ” นีลเซ็นพูดพลางส่ายหัว


“อ๋า ไม่ล่าเหรอ” เหมาเหว่ยหลงผิดหวังอยู่บ้าง


 “โพล้เพล้แล้ว ไว้ตอนเตรียมตั้งแคมป์หรือหลังจากตั้งแคมป์เสร็จค่อยไปล่ากวางเรนเดียร์กับหมูป่ากัน ไม่อย่างนั้นจะปีนถึงยอดเขาได้อย่างไร อีกอย่าง กวางเรนเดียร์ตัวที่ใหญ่ที่สุดในนี้ก็มีแค่แปดเขาเอง กวางเรนเดียร์สิบเขาสักตัวยังไม่มี ล่าไปก็เปล่าประโยชน์” นีลเซ็นอธิบาย


เช่นนี้ ทั้งขบวนเลยได้แต่เดินขึ้นไปกันต่อ


ตามแนวลำน้ำ ฝั่งนี้คือเหล่าคนที่แบกปืน ส่วนฝั่งนั้นคือกวางเรนเดียร์ที่กำลังหาอาหาร สองฝ่ายมองกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นไม่มีการปะทะอะไรเกิดขึ้น ฝ่ายหนึ่งเดินไปตามทาง อีกฝ่ายหาอาหาร ต่างคนต่างไป


หลังออกจากฝูงกวาง เหมาเหว่ยหลงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เเม่เจ้า นี่มันความปรองดองระหว่างมนุษย์กับสัตว์ป่าที่เขาว่ากันใช่ไหม”


แคนาดามีกวางเรนเดียร์จำนวนมาก ตั้งแต่เล็กจนโตยังไม่เคยเห็นคนล่าพวกมัน เพราะอย่างนั้นพวกมันจึงไม่ได้หวาดระแวงอะไรกับมนุษย์ แน่นอนว่าถ้าฝูงประจำถิ่นถูกล่าไป คงตื่นตัวกันขึ้นเยอะ เห็นคนทีคงวิ่งเตลิดเปิดเปิง


อ้อมผ่านโค้งลำน้ำมา นีลเซ็นวางกระเป๋าสะพายลง เริ่มรวบรวมพืชชนิดหนึ่ง ความสูงประมาณครึ่งเมตรกว่า พืชพวกนี้มีหน่อแข็งและหนา กิ่งก้านแตกใบเป็นรูปสามเหลี่ยม


 “นี่คือต้นเฟิร์น ชอบสภาพแวดล้อมที่ชุ่มชื้น เห็นได้บ่อยตามโค้งแม่น้ำ เอามาผัดกับเนื้อกินได้ รสดีทีเดียว ถ้าตากแดดแล้วเอาไปดองกิน ก็จะดีขึ้นไปอีก” นีลเซ็นแนะนำขณะกำลังเก็บ


นีลเซ็นเก็บมาได้กำใหญ่ เอาใส่ลงไปกระเป๋าสะพายหลัง แล้วทั้งขบวนก็ออกเดินกันอีกครั้ง


ปีนเขาตอนบ่ายนั้นเหน็ดเหนื่อยมาก ยังดีที่มีหมาสองตัว หมีหนึ่งตัวกับพอสซัมอีกหนึ่งตัวให้ได้หยอกเล่น สร้างความสนุกสนานขึ้นมาได้บ้าง


พบเจอกระต่ายป่าสโนว์ชู ไก่ป่า นกมุดน้ำ สัตว์ป่าและสัตว์ปีกต่างๆ ของอเมริกาเหนือครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้นีลเซ็นปล่อยไปไม่ได้แล้ว ขอแค่มีโอกาสก็ลงมือล่าได้


ตอนที่เจอกระต่ายป่าสโนว์ชูตัวแรก เหมาเหว่ยหลงตื่นเต้นจนเกินไป ยกปืนเรมิงตันขึ้นลั่นยิงไปหนึ่งนัด โดนเจ้ากระต่ายอ้วนเข้าอย่างจังจนร่างแหลก ฉงต้าเห็นแล้วขยาด


เหมาเหว่ยหลงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองถูกฉินสือโอวต้มเสียแล้ว เอาปืนเรมิงตันมาล่าสัตว์ไม่ใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวเหรอ? นอกเสียจากจะใช้ล่าแรดและช้าง ไม่อย่างนั้นสัตว์พาหนะจำพวกกวางเรนเดียร์ กวางแดง กวางมูส โดนยิงด้วยปืนเรมิงตันแค่นัดเดียวก็แหลกเป็นจุณ


ระหว่างทางพวกเขาเจอกวางเรนเดียร์อีกสองสามฝูง ที่เเท้ฝูงกวางเรนเดียร์บนเขาเคอร์บัลนั้นมีอยู่ล้นหลาม


ปีนไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ขบวนก็มาถึงเนินที่มีผักขึ้นฉ่ายป่าขึ้น เลยเตรียมจะเก็บผักป่าถือโอกาสพักสักหน่อย


ผลสุดท้ายนั่งได้ไม่เท่าไร ฉงต้าก็ทำจมูกฟุดฟิด ปีนขึ้นไปมองรอบๆ อย่างลุกลี้ลุกลน คำรามเสียงต่ำอยู่ในคอ


ทันใดนั้น หู่จือและเป้าจือก็กระโดดพล่าน จ้องไปยังลำธารด้วยสายตาเฉียบคม


ไม่ช้า หมูป่าตัวหนึ่งก็มุดออกมาจากป่าพร้อมลูกหมูอีกสองตัว


ต่างจากหมูป่าเซ่อซ่าตัวที่ฉินสือโอวเจอตัวแรก หมูป่าตัวนี้ระวังตัวเป็นอย่างมาก พอมันออกจากป่ามาเห็นฉินสือโอวกับขบวน ก็แยกเขี้ยวโก่งที่แหลมคมทั้งสี่ขึ้นมาทันที


พอเห็นว่าเป็นแม่หมูป่าที่ปกป้องลูก นีลเซ็นก็ประหม่าขึ้นมา เก็บสัตว์ป่าอย่างลูกหมูป่าไปด้วยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ปัญหาอยู่ที่ว่า ถึงไม่ไปยุ่งกับมัน มันก็มายุ่งกับเราอยู่ดีนี่สิ


ฉินสือโอวยกหน้าไม้ขึ้น ครั้งนี้ปืนเรมิงตันของเหมาเหว่ยหลงมีประโยชน์แล้ว เขาก็ยกปืนขึ้นแล้วเหมือนกัน แต่ตอนนี้ระยะห่างไกลไปหน่อย สองร้อยกว่าเมตรได้ ปืนเรมิงตันจึงไม่อาจแสดงฤทธิ์เดชได้ ถ้าแม่หมูป่ากล้าเข้ามาใกล้ เขาจะให้ลูกปืนมันกิน


แม่หมูป่ารับรู้ได้ถึงอันตราย มันส่งเสียงฮึดฮัดอยู่สองครั้ง พาลูกหมูน้อยกลับเข้าป่าไป


เรื่องนี้ผ่านไปเช่นนี้ คนในขบวนไม่ได้ไล่ตาม เก็บผักขึ้นฉ่ายป่าเสร็จก็เดินทางต่อไป


ไม่นานก็พบแมวป่าแคนาดาเข้าอีก เจ้าตัวนี้เจ้าหู่จือเป็นผู้ค้นพบ แมวป่านั่งยองอยู่บนกิ่งของต้นบีช ตัวยาวแปดสิบเซนติเมตร ปกคลุมไปด้วยขนสีเหลืองปนน้ำตาล ดูคล้ายเสือชีตาห์ขนาดย่อส่วน


แม้ว่าตัวจะไม่ใหญ่ แต่ร่างกายของแมวป่าตัวนี้สมบูรณ์แข็งแรง ขาทั้งสี่ล่ำสันและแข็งแรง ใบหูมีขนสีดำตั้งฟู แก้มทั้งสองข้างมีขนยาวลงมา ขนสั้นบนตัวเป็นลายจุด แววตาเฉียบคม ช่างน่าเกรงขาม


นีลเซ็นส่งสัญญาณให้ทุกคนเข้าใกล้อย่างช้าๆ อีวิลสันทำกระฟัดกระเฟียดขึ้นมาทันที เขาบุกขึ้นไปอย่างดุดัน เงยหัวขึ้นร้องขู่แมวป่า ‘โฮ่ว!’ ‘โฮ่ว!’ ‘โฮ่ว!’


เดิมทีแมวป่าไม่ได้คิดจะปะทะ ฝ่ายตรงข้ามทั้งตัวใหญ่ทั้งมีจำนวนเยอะ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน พอถูกอีวิลสันส่งเสียงขู่ให้ตกใจอย่างนี้ หางน้อยสั้นๆ สีดำก็ตั้งชัน กระโดดขึ้นกิ่งไม้อย่างรวดเร็ว แล้วหายลับไปในป่า


ตอนนี้พวกเขาเดินตามทางน้ำมาไกลยี่สิบกว่ากิโลเมตรแล้ว ผ่านมาครึ่งทางของไหล่เขาเคอร์บัลพอดี มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลสี่ร้อยเมตร นีลเซ็นเห็นว่าตอนนี้สี่โมงครึ่งแล้ว จึงตัดสินใจหาจุดกางเต็นท์


หากไม่ใช่เพราะเรื่องแมวป่า เขาคงไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้พวกเขาเดินลึกเข้ามาในเขาแล้ว ถ้ามีแค่เขาคนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เขามีคนที่พามาด้วยอีกสามคน ฉินสือโอวยังพอได้ อีวิลสันเซ่อๆ ซ่าๆ ส่วนเหมาเหว่ยหลงก็เป็นคุณชายใหญ่ ถ้าเดินหน้าต่อไปแล้วเกิดอะไรขึ้น เขาคงดูแลไม่ไหว


…………………………………………………………………


บทที่ 151 ตั้งแคมป์ล่ากวางล่าหมูป่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

                ทุกคนเริ่มเตรียมการตั้งแคมป์ นีลเซ็นขอให้ทุกคนวางกระเป๋ากองรวมกัน หู่จือและเป้าจือคอยเฝ้าสัมภาระ อีกสี่คนพาฉงต้าไปหาที่ที่เหมาะสมสำหรับการตั้งแคมป์


                การเลือกตั้งค่ายพักแรมบนภูเขาต้องรอบคอบ นีลเซ็นเป็นหัวกะทิจากกองกำลังพิเศษ เรื่องแบบนี้จึงไม่ยากเย็นสำหรับเขา หลังจากทดสอบทิศทางลมแล้ว เขาก็เลือกเนินเขาทิศใต้ซึ่งห่างจากแม่น้ำมากกว่า 400 เมตร


                “ตอนนี้เป็นทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เราตั้งแคมป์ทางทิศใต้จะสามารถลดความแรงของลมที่มากระทบเต็นท์ได้ รอบเนินเขาไม่มีต้นไม้เลยสักต้น ดังนั้นมันจะไม่มีงูหรือสัตว์เลื้อยคลานใดๆ ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่เหมาะเจาะมาก เราต้องพยายามให้วิสัยทัศน์กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนเหตุผลเดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังทีหลัง”


                นีลเซ็นอธิบายและกำหนดที่ตั้งค่ายพักแรม อีวิลสันเห็นว่าเหมาเหว่ยหลงเหนื่อยล้าแล้วจึงให้คนอื่นรออยู่ที่นี่ จากนั้นเขาก็จัดการแบกสัมภาระของทุกคนไปมาสองรอบจนเสร็จ และแน่นอนว่าฉงต้าก็ถูกใช้ให้แบกกระเป๋าเล็กๆ ไว้บนหลังเช่นกัน


                นีลเซ็นเริ่มเอาเต็นท์ออกมากาง พวกมันเป็นเต็นท์ขนาดใหญ่สำหรับสองคนพักจำนวนสองหลัง มันมีความสูงเกือบเมตรครึ่ง พื้นที่กว้างเจ็ดถึงแปดตารางเมตร มีพื้นที่เหลือมากพอสำหรับนอนได้สองคน


                นอกจากนั้นเต็นท์นี้ยังเป็นเต็นท์พักร้อน มันมีเบาะรองเป่าลมเพื่อหลีกเลี่ยงไอน้ำเย็นจากบนพื้นที่อาจจะทำร้ายร่างกายได้


                นีลเซ็นพาฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงไปกางเต็นท์ ส่วนอีวิลสันก็เก็บหินและกิ่งไม้รอบๆพื้นที่นั้น


                ในความคิดของฉินสือโอว การตั้งแคมป์ในป่าก็แค่การกางเต็นท์สองหลัง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แค่นั้น


                นีลเซ็นบอกเขาว่าค่ายพักแรมเต็มรูปแบบแห่งหนึ่งจะต้องมีพื้นที่สำหรับกางเต็นท์ ก่อไฟ รับประทานอาหาร สันทนาการ พื้นที่ใช้น้ำและสุขาภิบาลด้วย พวกเขามีกันไม่กี่คน ดังนั้นพื้นที่สันทนาการจึงไม่จำเป็น พื้นที่สำหรับรับประทานอาหารและก่อไฟก็รวมเป็นพื้นที่เดียวกัน ส่วนอีกสองพื้นที่นั้นจะต้องแยกจากกัน


                พื้นที่ก่อไฟต้องอยู่ปลายลมและควรห่างจากพื้นที่กางเต็นท์มากกว่าสิบเมตรเพื่อป้องกันลมพัดเปลวไฟไปเผาเต็นท์


                พื้นที่สุขาภิบาลจะต้องอยู่ในระดับต่ำสุดของลมในบริเวณที่ตั้งแคมป์ การตั้งแคมป์จะต้องใส่ใจกับปัญหาด้านสุขอนามัย เพราะหากมีปัญหาเรื่องปรสิตหรือการปนเปื้อนจากของเสียที่ถ่ายออกมาจะทำให้ท้องเสียเป็นไข้ไทฟอยด์หรืออาจจะอันตรายถึงชีวิตได้


                พื้นที่ใช้น้ำจะค่อนข้างสะดวกสบายหน่อยเพราะพวกเขาล่องขึ้นมาตามลำน้ำ ดังนั้นจึงสามารถใช้น้ำได้อย่างสะดวกสบาย


                หลังจากพวกเขากางเต็นท์และตั้งหม้อเสร็จก็ได้เวลาเริ่มช่วงไฮไลต์เสียที มันคือการล่าสัตว์นั่นเอง และเป้าหมายของนีลเซ็นคือหมูป่าและกวางเรนเดียร์


                เมื่อได้ยินว่าเขากำลังเตรียมพร้อมที่จะออกล่าหมูป่า เหมาเหว่ยหลงผู้เหนื่อยล้าก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ฉินสือโอวหยิบปืน AR-15 ส่งให้เขา ตัวเขาเองก็ใช้ธนูคอมพาวด์และปืนพกก็พอ ส่วนเรมิงตันก็เก็บไว้ให้อีวิลสัน เขาจะอยู่คอยเฝ้าเต็นท์ให้


                นีลเซ็นเป็นผู้นำทางโดยมีฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงเดินตาม หู่จือและเป้าจือดมกลิ่นบนพื้นดินไม่หยุดและพาทั้งสามคนไปตามแม่น้ำเพื่อค้นหาที่อยู่อาศัยของหมูป่าและกวางเรนเดียร์


                ทรัพยากรสัตว์ป่าของเทือกเขาเคอร์บัลอุดมสมบูรณ์มาก เมื่อพวกเราเดินไปตามแม่น้ำได้ไม่ถึง 1 กิโลเมตรก็มีฝูงกวางเรนเดียร์ปรากฏตัวขึ้นมา


                กวางฝูงนี้มีความตื่นตัวมาก หลังเดินออกจากป่าพวกมันมองไปรอบๆ ก่อนที่จะเดินตรงไปที่แม่น้ำ ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ไม่ได้หลบซ่อนให้ดี ดังนั้นเมื่อพวกกวางเห็นพวกเขาเข้าจึงรีบวิ่งเข้าไปเข้าในป่า


                เหมาเหว่ยหลงใจร้อนตั้งท่าเตรียมยิง แต่นีลเซ็นก็หยุดเขาเอาไว้แล้วส่ายหัวก่อนจะพูดขึ้น “รอก่อน”


                เหมาเหว่ยหลงซ่อนตัวใต้ต้นไม้อย่างไม่สบอารมณ์แล้วกระซิบออกมา “นายว่ากวางพวกนี้ฉลาดเกินไปหรือเปล่า? ตอนแรกเราไม่ได้อยากฆ่าพวกมัน ปรากฏว่ากวางพวกนี้เห็นเราก็ไม่ได้วิ่งหนีไปไหน แต่ตอนนี้พอพวกเราเตรียมพร้อม กวางฝูงนี้เห็นพวกเราก็รีบวิ่งหนีไปทันที น่าแปลกจริงๆ”


                ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่าประมาทสัมผัสที่หกของสัตว์ป่า” เขาคิดและพูดต่อ “คิดว่าครั้งนี้พวกเราคงจะส่งไอสังหารออกมาล่ะมั้ง มันก็เลยทำให้กวางพวกนี้รับรู้ได้ถึงไอสังหารพวกนั้น”


                เหมาเหว่ยหลงยิ้ม ฉินสือโอวยิ่งพูดก็ยิ่งลี้ลับ และคำอธิบายของนีลเซ็นก็ยังน่าเชื่อถือกว่า “พวกเราโชคไม่ดี แถมยังเจอกวางที่เคยถูกล่ามา พวกมันเห็นปืนในมือของพวกเราก็ต้องวิ่งเป็นธรรมดา”


                นีลเซ็นขอให้พวกเขารออยู่ที่นี่ สาเหตุที่ฝูงกวางวิ่งหนีไปเมื่อครู่นี้เป็นเพราะการตอนสนองโดยสัญชาตญาณ ไม่ใช่การวิ่งหนีพวกเรา ดังนั้นตราบใดที่พวกเราซ่อนตัวไม่เคลื่อนไหว ฝูงกวางคิดว่าไม่มีภัยคุกคามแล้วมันก็จะกลับมาดื่มน้ำตามเส้นทางเดิมอีกครั้ง


                และแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากผ่านไปสิบนาทีเสียง ‘กับ กับ กับ’ ก็ดังขึ้น จากนั้นกวางหลายตัวก็กลับมาอีกครั้ง


                นีลเซ็นค่อยๆยกกระบอกปืนขึ้นมา เขาเห็นเหมาเหว่ยหลงดูตื่นเต้นมากจึงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกระซิบบอก “เดี๋ยวตอนล่าหมูป่า คุณค่อยจัดการ ส่วนกวางนี่ให้บอสจัดการเอง”


                ฉินสือโอวได้ยินดังนั้นก็ถามออกไป นีลเซ็นจึงบอกว่าที่ให้เขาล่ากวางตัวเล็กๆ เพราะประการแรกคือเนื้อกวางตัวเล็กนั้นอ่อนนุ่ม ประการที่สองก็คือกวางตัวใหญ่กินไม่หมดก็เสียของเปล่าๆ ประการที่สามคือกวางตัวเล็กยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ และยังไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีผลกระทบต่อฝูงกวางมากนัก


                ฉินสือโอวเล็งไปที่กวางตัวเล็กๆ ที่มีลำตัวยาวประมาณ 80 เซนติเมตร ไม่ว่ากวางเรนเดียร์จะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย เมื่อถึงเวลาก็จะมีเขางอกออกมา และในตอนเด็กๆ ที่พวกมันยังไม่มีเขางอกออกมาแบบนี้ พวกมันก็มักจะกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ มันตามหลังแม่กวางอย่างชาญฉลาดอยู่สักพักก่อนที่มันจะวิ่งไปที่แม่น้ำและโน้มตัวลงกินน้ำ


                เมื่อมองดูตัวผอมเล็กของกวางน้อย ฉินสือโอวก็ง้างสายธนูและกระซิบออกมา “โถ่เอ๊ย นี่มันไร้มนุษยธรรมเกินไป ฉันทำไม่ลงหรอก”


                นีลเซ็นยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่มีอะไรที่ทำไม่ลงหรอก คุณไม่เคยเห็นภาพของกวางเรนเดียร์ฝูงใหญ่ลงเขาในฤดูหนาวเพื่อไปทำลายพืชผลของชาวไร่น่ะสิ? เจ้านั่นมันก็แค่กวางน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น”


                ปากกระบอกปืนของเหมาเหว่ยหลงดังลั่นขึ้นมา ตอนลงมือยิงเขากลับหวาดกลัวยิ่งกว่าฉินสือโอวเสียอีก เขาเองก็รู้สึกว่าการฆ่ากวางตัวน้อยๆเป็นเรื่องไร้มนุษยธรรมเหมือนกัน แต่การฆ่ากวางตัวใหญ่กลับไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิด นี่แหละผลต่างของการได้รับการอบรมสั่งสอนที่ไม่เหมือนกัน


                ไหนๆก็ไหนๆแล้ว งั้นฆ่ากวางตัวใหญ่ไปเลยก็แล้วกัน


                เมื่อตัดสินใจแล้วฉินสือโอวก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น เขาลุกยืนขึ้นทันใดขณะที่มือซ้ายจับคันธนูและใช้มือขวาง้างลูกธนู เล็งไปยังกวางตัวใหญ่ที่มีความยาวหนึ่งเมตรครึ่ง จากนั้นเขาก็ดึงสายธนูจนมันกลายเป็นพระจันทร์เต็มดวงแล้วปล่อยลูกธนูออกไปเสียงดัง ‘ฟุบ’ ลูกธนูพุ่งออกไปเหมือนดาวตกก่อนที่มันจะเสียบเข้าไปที่ลำคอของกวางตัวใหญ่อย่างแม่นยำ


                หู่จือและเป้าจือส่งเสียงเห่าดังก้องแล้วกระโจนออกไป ฝูงกวางต่างตกใจจนรีบหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในป่า


                กวางหนุ่มพยายามวิ่งต่อไปได้อีกหลายก้าว แต่ธนูคอมพาวด์คันนี้โหดเหี้ยมเกินไป ลูกธนูพุ่งตรงทะลุคอของมันจนทำให้เลือดสดๆไหลทะลักพุ่งออกมา หลังจากมันวิ่งออกไปอีกไม่กี่ก้าวมันก็หมดแรงแล้วล้มลงกับพื้น


                เมื่อฉินสือโอววิ่งไปหากวางหนุ่มที่ตายแล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวธนูคอมพาวด์ที่อยู่ในมือของเขามากยิ่งขึ้น อาวุธสังหารที่มนุษย์สร้างขึ้นมาพวกนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ


                ทั้งสามช่วยกันเอากวางหนุ่มกลับไปที่แคมป์ก่อน จากนั้นพวกเขาจึงค่อยออกไปตามหาหมูป่า


                นีลเซ็นมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วพูดออกมา “เร็วๆ หน่อยพวกเรา ถ้าเจอหมูป่า ผมกับบอสจะเป็นฝ่ายป้องกัน เหมายิงเปิดนัดแรก ถ้ามันยังไม่ล้มบอสก็ยิงธนูซ้ำซะ ผมจะเป็นคนยิงซ้ำคนที่สามอีกที”


                หลังจากปรึกษาหารือกันเรียบร้อยแล้วทั้งสามก็ไม่คิดจะรออยู่ข้างแม่น้ำอีกต่อไป แต่พวกเขากลับหามูลหมูป่าสดๆ มากองหนึ่งเพื่อให้หู่จือและเป้าจือสูดดมแล้วตามรอยของหมูป่า


                หู่จือและเป้าจือผ่านการเปลี่ยนแปลงด้วยพลังโพไซดอนมาแล้ว ดังนั้นการรับกลิ่นของมันจึงดีกว่าของสุนัขล่าเนื้อมืออาชีพเสียอีก พวกมันทั้งสองตัวก้มหน้าดมกลิ่นบนพื้นพลางวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลเลยสักนิด และจากนั้นไม่นานพวกเราก็เจอหมูป่าหนุ่มขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตัวหนึ่ง


                หมูป่าตัวนี้กำลังล่าเหยื่ออยู่หน้าพุ่มไม้ มันเคี้ยวกิ่งไม้อ่อนกร้วมๆๆ และกินอย่างเอร็ดอร่อย


                นีลเซ็นกำกำปั้นของเขาเพื่อส่งสัญญาณให้ฉินสือโอวหยุดเดิน เหมาเหว่ยหลงเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าวจนห่างจากหมูป่าตัวนั้นห้าสิบเมตร จากนั้นเขาก็ตั้ง AR-15 เล็งไปที่คอกว้างของหมูป่าก่อนจะเขาสูดลมหายใจลึกแล้วใช้นิ้วชี้เหนี่ยวไก


                AR-15 ของฉินสือโอวติดตั้งลำกล้องเล็งและเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดเอาไว้ด้วย ดังนั้นหากมีประสบการณ์ยิงปืนแม้เพียงเล็กน้อย การล่าหมูป่าในระยะ 50 เมตรก็ไม่มีทางพลาดเป็นแน่นอน


                หลังจากเล็งโดยไม่ลังเล เหมาเหว่ยหลงก็ประทับปืนเข้ากับร่องไหล่แล้วเหนี่ยวไกปืนอย่างดุดัน ‘ปัง ปัง ปัง! ’


                สามนัดติดกัน!


                ฉินสือโอวเห็นเลือดหมูป่าสาดกระเซ็นไปทั้งหัวและลำคอก็พลันรู้สึกโล่งใจ หมูป่าตัวนี้ไม่รอดแน่


                และปรากฏว่าหลังจากสิ้นสุดเสียงปืน หมูป่าก็ไร้ซึ่งการตอบสนองและล้มลงบนพื้นทันที


                เสียงปืนดังขึ้น หมู่นกนับไม่ถ้วนในป่าต่างก็แตกตื่นตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเวลาที่เหล่านกเหนื่อยล้าและกลับเข้าสู่ป่าแล้ว ในเวลานี้มีนกจำนวนมากมายอยู่ในป่า พวกมันบินว่อนอยู่เหนือศีรษะดังพั่บๆๆ ฉินสือโอวอยากยิงนกสักสองตัวเอาไปต้มซุปกิน แต่เมื่อพิจารณาว่าเนื้อหมูและเนื้อกวางมีมากพอแล้วเขาจึงไม่ได้ลงมือ


………………………………………….


บทที่ 152 ใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

โดย

Ink Stone_Fantasy

หมูป่าตัวนี้หนักแค่ 25-30 กิโลกรัมเท่านั้นซึ่งฉินสือโอวก็สามารถแบกขึ้นบ่าได้อย่างง่ายดาย แต่เขาไม่อยากแสดงความเปลี่ยนแปลงของตัวเขาออกมาต่อหน้าคนที่คุ้นเคยกันดีอย่างเหมาเหว่ยหลง นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เขาเรียกอีวิลสันมา


อีวิลสันมีรูปร่างสูงใหญ่คล้ายไดโนเสาร์ แขนขาทั้งสี่ยาวได้มาตรฐาน และเขาแค่ใช้มือข้างเดียวก็สามารถลากขาหลังของหมูป่าที่ตัวค่อนข้างใหญ่ไปได้อย่างง่ายดายแล้ว


การฆ่าสัตว์ป่าบนเขาที่ดีที่สุดคือควรจะไปทำในน้ำเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการทิ้งกลิ่นเลือดสดๆไว้แถวที่ตั้งค่าย มิเช่นนั้นไม่เพียงแต่มันจะล่อพวกหมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายกว่านั้นมา (เสือ สิงโต) แต่มันอาจจะดึงดูดพวกหนอนหรือมดมาอีกด้วย


ฉินสือโอวและอีวิลสันจัดการหมูป่าคนหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งก็จัดการกวางตัวผู้อยู่ที่ริมแม่น้ำ พวกเขาใช้น้ำร้อนเดือดๆเพื่อให้หนังของพวกมันอ่อนนุ่ม จากนั้นแต่ละคนก็ใช้มีดแล่หนังออกอย่างรวดเร็ว


หนังหมูป่านั้นถลกออกยากที่สุด เพราะมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อไปแล้ว ไม่เหมือนหนังกวางแค่ลอกออกก็ได้แล้ว


หลังจากถลกหนังเสร็จพวกเขาก็โยนเครื่องในทั้งหมดทิ้งลงในน้ำ เหลือไว้แค่เนื้อก็พอแล้วล่ะ สำหรับคนสี่คนหมาสองตัวกับหมีที่ค่อนข้างตัวใหญ่อีกหนึ่ง ตัวจะกินได้มากแค่ไหนเชียว?


ฉินสือโอวนำเอาหนังของกวางหนุ่มไปล้างอย่างสะอาด หลังจากนั้นก็นำไปตากแห้งบนต้นไม้ หนังกวางนับว่าเป็นของดี แต่คงไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรหากจะเอากลับไปที่ค่ายทั้งที่ยังมีรอยเลือดติดอยู่ ดังนั้นเอาห้อยไว้ที่ต้นไม้คงดีที่สุด นอกจากจะหลอกล่อพวกสัตว์ป่าได้แล้ว ยังได้ผึ่งให้แห้งอีกด้วย


หลังจากล้างเลือกออกจากเครื่องในเสร็จเรียบร้อยแล้ว ร่างของกวางและหมูป่าส่วนใหญ่ก็ถูกจัดการจนเรียบร้อยและพร้อมสำหรับอาหารเย็นแล้ว


เหมาเหว่ยหลงและอีวิลสันไปเก็บฟืนแห้งมาเป็นจำนวนมาก ส่วนนีลเซ็นก็ใช้ก้อนหินมาก่อเป็นเตาสองเตาและก่อกองไฟสำหรับย่างและบริเวณรอบๆ ได้นำหินและดินเหนียวที่ขุดมาจากตรงริมแม่น้ำมาวางแยกไว้เป็นส่วนๆ เพราะการก่อไฟปิ้งย่างบนเขาอาจจะก่อให้เกิดอัคคีภัยได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องเตรียมการป้องกันไว้อย่างดี


จริงๆแล้วเนื้อกวางก็ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร มันออกจะแข็งและแห้งไปเล็กน้อย อีกทั้งยังไม่ค่อยมีไขมันจนเกือบจะเป็นเนื้อแดงทั้งหมดด้วย นอกจากนี้กลิ่นของมันก็ไม่ค่อยดีจึงไม่สามารถกินแบบลวกได้ ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องย่างกิน แต่พอตอนย่างยังมีน้ำมันหยดลงมาไม่หยุดแบบนี้ค่อยน่ากินหน่อย


ฉินสือโอวเอากระดูกหมูป่าทั้งหมดสับเป็นท่อนๆ แล้วโยนลงต้มในหม้อต้มที่มีอุณหภูมิเดือดสุดๆ จากนั้นเขาก็หั่นพวกผักป่าเช่น ขึ้นฉ่ายป่า ต้นหอมป่า และผักชีโยนลงไปในหม้อแล้วตามด้วยต้นหอม ขิง กระเทียมและเครื่องเทศ พอโยนเข้าไปหมดแล้วต้มเข้าด้วยกันก็จัดได้ว่ารสเด็ดเลยทีเดียว


ส่วนเนื้อกวางนั้นเขาก็เลือกขาสองข้างออกมาก่อน จากนั้นก็ใช้มีดหั่นเป็นชิ้นยาวๆ หนักประมาณสองสามปอนด์ได้ สุดท้ายเสียบใส่กิ่งไม้และย่างบนกองไฟ และหลังจากนีลเซ็นทาน้ำมันกับซอสอย่างละเมียดละไม ไม่นานพวกมันก็เป็นมันวาวและเหลืองอร่ามน่ากิน


ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทลงไปแล้ว ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป ส่วนดวงจันทร์ก็ลอยขึ้นมาแทนที่ วันนี้อากาศดีท้องฟ้าจึงเต็มไปด้วยดวงดาวดาษดื่นเต็มม่านฟ้าที่มืดสนิทเหมือนกับเพชรเม็ดเล็กๆใหญ่ๆโรยอยู่บนผ้าแพรเต็มไปหมด


เทือกเขาเคอร์บัลเต็มไปด้วยก๊าซออกซิเจนธรรมชาติอย่างแท้จริง แต่ถ้าเป็นตอนอยู่ในเมืองแล้วทำกิจกรรมเยอะอย่างวันนี้ เกรงว่าเหมาเหว่ยหลงคงจะนอนสลบอยู่บนพื้นและขยับไปไหนไม่ได้ตั้งนานแล้ว แต่เมื่ออยู่บนภูเขาลูกใหญ่ลูกนี้ เขาจึงเพียงแค่พักนิดหน่อยเท่านั้น เพราะที่นี่มีออกซิเจนบริสุทธิ์ให้สูดหายใจเข้าไปอย่างไม่ขาดสาย


เหมาเหว่ยหลงพักไปสักหน่อยก็กลับมามีชีวิตชีวาอย่างเดิมแล้ว เขาโยนฟืนสองท่อนเข้าไปในกองไฟอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้มันคอยลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา


ท้องฟ้าก็ช่างเป็นใจ วันนี้ลมไม่แรงและมีลมอ่อนๆพัดมาปะทะบนลำตัวและใบหน้าของพวกเขาบ้างเล็กน้อยชวนให้ความรู้สึกเบาสบาย


นอกจากนี้แล้วเปลวไฟกองนี้ไม่มีทางถูกลมพัดหายไปได้แน่นอน กองเพลิงที่ลุกโชติช่วงขึ้นสู่ฟ้าเป็นกองไฟแบบที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนจนทำให้พวกเขาอดที่จะรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาไม่ได้


เหมาเหว่ยหลงหยิบเอาเบาะรองนั่งมาแล้วเอนตัวลงไป แบบนี้เขาจึงได้มองเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน เขามองไปยังท้องฟ้ากระจ่างราวกับไร้ซึ่งเศษฝุ่นละอองใดๆ แม้นิดเดียวก่อนที่เขาจะอ้าปากกว้างพูดอะไรไม่ออกสักคำ


ฉินสือโอวได้แต่ขำ เขาคิดว่าเหมาเหว่ยหลงจะต้องเหมือนกับเขาแน่ๆ ครั้งแรกที่เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมืองแฟร์เวล เขาก็ตกตะลึงเพราะความกระจ่างเหล่านี้เช่นกัน


ไม่ว่ามนุษยชาติจะสามารถสร้างงานวิศวกรรมได้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่สิ่งที่สามารถทำให้คนใจสั่นได้มากที่สุดก็เห็นจะมีแต่ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่นี่แหละ


“ฉินโซ่ว ฉันคิดบทกลอนออกบทหนึ่ง” แล้วไม่นานเหมาเหว่ยหลงก็พึมพำออกมา


ฉินสือโอวยิ้มอย่างมีเลศนัย “งั้นนายก็ท่องออกมา เดี๋ยวฉันจะฟัง ขอฟังดูหน่อยซิว่าผู้ชายเสเพลอย่างนายจะเข้าใจอะไรกับบทกลอน”


เหมาเหว่ยหลงไม่ได้จะตอบโต้อะไรกับเขา ดวงตากลมโตของเขามองไปที่หมู่ดาวและท่องกลอนออกมาทีละคำอย่างช้าๆ “แสง-หิ่งห้อย-ในฤดูใบไม้ร่วง-สาดกระทบ-ฉากกั้น หยิบ-พัด-ผ้าไหม-โปร่งใส-มาปัดไล่-หิ่งห้อย ท้องฟ้ายามค่ำคืน-หนาวเหน็บ-เหมือน-สายน้ำ นั่ง-มอง-สองกลุ่มดาว-สาวทอผ้า-กับ-หนุ่มเลี้ยงวัว!”


ฟังกลอนบทนี้จบ ฉินสือโอวก็ไม่รู้จะพูดอะไรไปเลย เขาได้แต่จ้องไปยังเปลวไฟที่ลุกโชน จากนั้นสักพักเขาก็พูดขึ้น “เจ้าหลานชาย นึกไม่ถึงเลยว่านายก็ยังมีสมองนะเนี่ย! กลอนบทนี้ช่างเข้ากับบรรยากาศจริงๆ ใครเป็นคนแต่งเหรอ?”


“ตู้มู้ นักกวีแห่งยุค!” เหมาเหว่ยหลงพูดอย่างไม่สะทกสะท้านต่ออีกว่า “นายว่าการจะสามารถเขียนกลอนแบบนี้ได้ ‘ค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วง’ ดวงดาวที่ตู้มู้ดูอยู่ในตอนนั้นก็น่าจะเป็นแบบนี้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”


ฉินสือโอวพูดขึ้น “ดวงดาวที่บรรพบุรุษของพวกเราเฝ้าดูจะต้องส่องสว่างเจิดจ้า สุกใสเป็นประกายและสวยงามยิ่งกว่าตอนนี้แน่เลย ยิ่งในสมัยราชวงศ์ถังนะ ตอนนั้นประเทศชาติสงบสุข ประชาชนก็อยู่เย็นเป็นสุข ความคิดเปิดกว้าง ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวในสายตาของคนสมัยราชวงศ์ถังจะต้องกว้างใหญ่กว่าสมัยอื่นมากแน่นอน!”


“แม่เอ้ย พูดแล้วก็อยากจะย้อนเวลากลับไปดูสักหน่อย ดูแค่สักหน่อยก็พอใจแล้ว” เหมาเหว่ยหลงพูดอย่างมีความหวัง


“วี๊ดวี๊ดวี๊ด…” หม้อความดันสูงเริ่มเดือดขึ้นมาพร้อมเปล่งเสียงแสบแก้วหูออกมาด้วย


จิตใจของฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงยังคงเคลิบเคลิ้มกับประวัติศาสตร์จีนเมื่อห้าพันปีก่อน เมื่ออยู่ใต้ท้องฟ้าของต่างถิ่นต่างประเทศเวลาแบบนี้ ลูกหลานหยางหวง(ชาวจีน)สองคนก็เกิดรู้สึกภูมิใจในประวัติศาสตร์ชาติตัวเองขึ้นมาอย่างฉับพลัน


บางทีเศรษฐกิจกับเทคโนโลยีของยุโรปในตอนนี้อาจจะล้ำหน้าจีนไปแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็คงไม่มีวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองเหมือนราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่งที่เต็มไปด้วยนักกวีและกาพย์กลอนแน่นอน ในอนาคตพวกเขาอาจจะไล่ตามได้ แต่ประวัติศาสตร์ ยังไงก็กลับไปแก้ไขไม่ได้หรอก!


เนื้อกวางย่างได้ที่แล้ว ฉงต้าก็พาพอสซั่มหางเล็กๆรีบวิ่งมาก่อนใครเพื่อน จากนั้นหู่จือกับเป้าจือก็นั่งลงข้างฉินสือโอวและมองเนื้อกวางในมือของนีลเซ็นอย่างรอคอยพลางแลบลิ้นเลียปาก แต่พวกมันก็ไม่เข้าไปยื้อแย่ง


ฉินสือโอวเห็นพอสซั่มวิ่งมาข้างๆ เขาเลยโบกมือทักทายมัน พอสซั่มน้อยตกใจไปเล็กน้อย หลังจากนั้นมันถึงค่อยเข้าใกล้เขาด้วยความระมัดระวัง


ฉินสือโอวลูบคลำขนสีขาวนุ่มสลวยของพอสซั่มแล้วหันไปพูดกลั้วหัวเราะกับเหมาเหว่ยหลง “เจ้าหนุ่มน้อยนี่ยังไม่มีชื่อเลยนะ นายตั้งให้มันสักชื่อดีไหม?”


เหมาเหว่ยหลงกลอกตามองบนแล้วพูดขึ้น “ฉันกำลังรำลึกให้แก่ความเจ็บปวดในอดีตอยู่ นายอย่ามากวนได้ไหม ไสหัวไปทางนู้นเลยไป!”


ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงคิดชื่อด้วยตัวเอง แต่เขาเป็นคนที่ไม่มีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อจริงๆ ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มน้อยตัวนี้จะมีขนขาวทั้งตัวแถมยังเป็นผู้ติดตามของฉงต้าอีก อืม งั้นเรียกว่าต้าป๋ายเลยแล้วกัน


แน่นอนว่าพอสซั่มตัวนี้ยังไม่โต แต่สักวันมันก็ต้องโตแหละน่า


พอตั้งชื่อให้แล้วก็เท่ากับว่าฉินสือโอวยอมรับเจ้าพอสซั่มตัวนี้แล้ว เขาคิดไปคิดมาก็รู้สึกตลก ฟาร์มปลาใกล้จะกลายเป็นรังหนูแล้ว ตอนแรกก็เป็นกระรอกน้อย ต่อมาเป็นหนูเหลืองน้อย มาตอนนี้ก็เป็นพอสซั่มน้อยสินะ


ต้าป๋ายไม่ผิดนะ พวกเราก็แค่ไม่ใช่สัตว์ตระกูลเดียวกับพวกสัตว์ที่ใช้ฟันแทะนี่นา (หนู กระรอก กระต่าย) พวกเราเป็นพวกตระกูลจิงโจ้ และร่างกายพวกเราก็ไม่มีไวรัสหรือเชื้อโรคจำพวกโรคกลัวน้ำหรืออหิวาตกโรคหรอกนะ


เนื้อกวางย่างชุดแรกสุกแล้ว พวกเขานั่งเรียงกันแล้วจัดการแบ่งเนื้อ ฉินสือโอวให้อีวิลสันก่อนสองชิ้นเพราะรู้ว่าเขาหิวจนหน้าอกจะไปติดหลังท้องอยู่แล้ว นั่นเป็นเพราะเขากินข้าวเที่ยงไม่อิ่มเลยสักนิด


และก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พอเนื้อถึงมือ อีวิลสันแทบจะไม่รอให้หายร้อนเลย พอเขาฉีกมันได้เขาก็เริ่มยัดเข้าไปในปากอย่างตะกละตะกลามจนน้ำมันไหลเลอะเต็มปาก


ฉงต้าได้ไปหนึ่งชิ้น หู่จือและเป้าจือแบ่งกันกินหนึ่งชิ้น ฉินสือโอวให้นีลเซ็นกินไปก่อนเลย เดี๋ยวเขาขอย่างต่ออีกสักหน่อย


แต่แน่นอนว่านีลเซ็นไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เขาเลยให้เหมาเหว่ยหลงกินไปก่อน ฉินสือโอวเดินไปดูหม้อความดันสูง พอเปิดหม้อออกกลิ่นเนื้อหมูป่าหอมเข้มข้นคลุกเคล้ากับผักป่าก็ส่งกลิ่นหอมกรุ่นโชยออกมา


ฉินสือโอวตักน้ำซุปมาชิมก่อนหนึ่งถ้วย รสชาติของมันไม่ต่างกับซุปไก่เท่าไร มันไม่มีรสฝาดแบบนั้น ส่วนกลิ่นหอมได้ที่แล้ว ซึ่งกลิ่นหอมนี้ก็ไม่เหมือนกัน เพราะในหม้อนี้ล้วนมีแต่เนื้อหมูป่าสะอาดที่ถูกเลือกมาเป็นอย่างดี พวกมันถูกต้มจนเปื่อยได้ที่ ดังนั้นซุปเนื้อหม้อนี้จึงเข้มข้นและมีกลิ่นหอมมาก


“เนื้อชิ้นใหญ่มีไว้กิน ถ้วยใบใหญ่มีไว้ดื่ม หยิบเหล้าที่พกมาด้วยออกมาสิ เย็นนี้เราจะสนุกกันให้สุดเหวี่ยง!” ฉินสือโอวเรียกเหมาเหว่ยหลง


ไม่ต้องรอให้เขาบอก เพราะเพียงเริ่มกินเหมาเหว่ยหลงก็พุ่งไปที่กระเป๋าของฉินสือโอวทันทีแล้ว จากนั้นเขาก็นำเหล้าเหมาไถสองขวดมาเป็นเสบียงในอาหารมื้อนี้


………………………………………………………………….


บทที่ 153 ดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเทียบกันแล้ว รสชาติอาหารของชาวแคนาดานั้นจืดกว่ามาก อย่างซุปไก่ตุ๋นก็แทบจะไม่ใส่เครื่องปรุงอะไรเลยสักนิด หลังจากนีลเซ็นดื่มซุปไปหนึ่งอึกเขาก็บอกว่าซุปนี้อร่อยมาก แต่พอเหมาเหว่ยหลงลองชิมเข้าไปแล้วเขาก็หยิบเกลือและพริกไทยป่นเติมลงไปในซุปจำนวนหนึ่งอย่างไม่ลังเลทันที


ส่วนอีวิลสันก็ไม่ได้สนใจ เขาไม่เลือกกินอาหารยิ่งกว่าเจ้าฉงต้าซะอีก แต่เจ้าฉงต้าที่ถูกฉินสือโอวเลี้ยงดูอยู่ตอนนี้เริ่มที่จะเลือกกินบ้างเล็กน้อย แถมมันยังชอบกินกระดูกอัดแท่งด้วย เรื่องนี้ทำให้หู่จือกับเป้าจือปวดหัวไม่น้อยเช่นกัน


เมื่อได้ดื่มซุปอุ่นๆ กลิ่นหอมๆ และได้เคี้ยวเนื้อกวางย่างเหนียวนุ่ม แถมตรงหน้ายังมีแก้วเหล้าเหมาไถอยู่อีกหนึ่งใบ หากเป็นตอนที่ฉินสือโอวกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยล่ะก็ เขาคงไม่กล้าคิดถึงช่วงเวลาแบบนี้เป็นแน่


                “อีกแก้ว อีกแก้ว” ความสามารถในการดื่มของเหมาเหว่ยหลงเริ่มปรากฏออกมา เขาดื่มเหล้าจากขวดเหมาไถขนาดครึ่งลิตรไปแล้วหลายแก้วแต่ก็ยังไม่เมา แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นคนประเภทที่เมื่อพบเจอคนรู้ใจดื่มกันพันจอกก็ยังน้อยเกินไป


ฉินสือโอวนั้นชวนนีลเซ็นดื่มด้วยกัน แต่นีลเซ็นปฏิเสธ อีกทั้งยังบอกว่าบนภูเขายามค่ำคืนแบบนี้อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องรักษาสติไว้ให้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์


ตอนนี้หู่จือกับเป้าจือดื่มเหล้าเป็นแล้ว ตั้งแต่ครั้งนั้นที่เหล่านักศึกษามหาวิทยาลัยที่มาทำบาร์บีคิวรินเบียร์ให้มันทั้งสองตัวดื่ม หลังจากนั้นเมื่อพวกมันได้กลิ่นแอลกอฮอล์ก็จะกระดิกหางไปมาทันที


นีลเซ็นพูดกลั้วหัวเราะออกมา “น่าเสียดายจริงๆ หู่จือกับเป้าจือเป็นสุนัขทหารมาตั้งแต่เกิด ประสาทรับกลิ่นของพวกมันไวต่อกลิ่นที่พิเศษเสมอ ดูพวกมันสิ แค่ชิมเหล้าไปครั้งเดียวก็จำกลิ่นได้แล้ว ถ้าให้พวกมันดมหาสารเสพติดล่ะก็ พวกมันจะต้องทำผลงานได้เยอะแน่นอน”


ฉินสือโอวโอบกอดเจ้าสองตัวนั้นแล้วหัวเราะขึ้นมา “ตอนนี้พวกมันก็ทำผลงานได้เยอะเหมือนกัน แต่ทำให้กับฟาร์มปลานะ”


เขาเทเหล้าลงบนมือของตัวเอง จากนั้นหู่จือกับเป้าจือก็สลับกันยื่นลิ้นสีชมพูออกมาเลีย หลังจากที่ดื่มจนพอใจแล้วพวกมันก็พากันหาวออกมาก่อนจะกระโดดโลดเต้นเข้าไปวุ่นวายกับเจ้าฉงต้าที่นอนอยู่ข้างกองไฟ


เจ้าฉงต้าพาเพื่อนตัวน้อยทั้งสองตัวไปหาต้าไป๋ หู่จือชนเข้ากับต้าไป๋หนึ่งที ทันใดนั้นต้าไป๋ก็เกิดอาการไม่พอใจขึ้นมา มันยืนขึ้นแล้วยืดคอขู่ใส่หู่จือ จากนั้นหู่จือก็ยืนอุ้งเท้าอ้วนๆของมันดันต้าไป๋ออกไปด้านข้าง


ดูเหมือนหู่จือจะโมโหขึ้นมานิดหน่อยแล้วเช่นกัน มันถลึงตาใส่เจ้าฉงต้าแล้วหันไปเล่นกับเป้าจืออีกครั้ง


เหมาเหว่ยหลงมองดูเหตุการณ์นั้นด้วยรอยยิ้ม แล้วท้ายที่สุดเขาก็ส่ายหัวไปมา “ทำไมเจ้าพวกที่นายเลี้ยงถึงได้ฉลาดขนาดนี้เนี่ย? เจ้าพวกนี้เหมือนเด็กเลย ถ้านายหาวิธีให้ฉันเลี้ยงแลบราดอร์หรือลูกหมีได้ ฉันก็ว่าจะลองเลี้ยงดูเหมือนกัน”


“ขนาดจะเลี้ยงตัวเองให้ดีนายยังทำไม่ได้ นี่นายยังจะเลี้ยงหมาอีกเหรอ?” ฉินสือโอวชำเลืองมองเหมาเหว่ยหลงอย่างดูถูก


เหมาเหว่ยหลงยกเท้าขึ้นเตะขาของฉินสือโอว ทั้งสองคนเลยทะเลาะกันขึ้นมา หลังจากดื่มกินกันจนพอใจพวกเขาก็ล้อมวงรอบกองไฟแล้วพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย ส่วนนีลเซ็นที่ไม่มีอะไรทำแล้วก็ขอตัวไปนอน


เพราะรู้ว่าบนภูเขาแห่งนี้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เหมาเหว่ยหลงจึงพกเกมพีเอสพีของตัวเองมาด้วย จากนั้นเขาก็เล่นเกม ‘วอริเออร์โอโรจิ’ ได้อย่างหน้าชื่นตาบาน


ฉินสือโอวนอนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนบนพื้นหญ้า เขามีรูปตำแหน่งกลุ่มดาวจักรราศีบนท้องฟ้าประเทศแคนาดาอยู่ในโทรศัพท์มือถือ เขามองหากลุ่มดาวจักรราศีที่อยู่บนท้องฟ้าจากรูปในโทรศัพท์มือถือ แต่ปรากฏว่าหาไปหามาก็ยังหาไม่เจอ เขาหาเจอแค่ทางช้างเผือกที่มีรูปร่างเหมือนเข็มขัดสีเงินเท่านั้น


                เมื่อเหมาเหว่ยหลงเล่นเกมจนพอใจแล้วก็หันมาถามฉินสือโอวว่ากำลังดูอะไรอยู่ ฉินสือโอวจึงตอบกลับไปว่า “กำลังมองหาตำแหน่งของกลุ่มดาวจักรราศีอยู่ อย่ากวน ฉันยังหาไม่เจอ”


เมื่อได้ยินดังนั้นเหมาเหว่ยหลงก็หัวเราะออกมาแล้วพูดขึ้น “มา คนโง่อย่างนายจะหาเจอกับผีน่ะสิ เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะสอนวิธีหาตำแหน่งกลุ่มดาวจักรราศีให้นายเอง”


                ฉินสือโอวคิดว่าเขาพูดจาไร้สาระ แต่ปรากฏว่าเหมาเหว่ยหลงมาเอนตัวลงนอนลงข้างๆเขาพลางชี้นิ้วไปที่ทางช้างเผือกแล้วพูดขึ้นมา “การจะมองหากลุ่มดาวจักรราศีน่ะไม่สามารถมองหามั่วๆไปทั่วท้องฟ้าได้หรอกนะ แบบนี้ยิ่งหาก็จะยิ่งสับสน นายต้องหาดาวดวงที่สว่างที่สุดดวงหนึ่งก่อน จากนั้นค่อยเริ่มหาดาวดวงอื่นๆ จากตรงนั้น”


“งั้นฉันจะสอนนายหากลุ่มดาวราศีพิจิกก่อนแล้วกัน กลุ่มดาวนี้หาง่ายที่สุดแล้ว นายเห็นทางช้างเผือกแล้วใช่ไหม?”


ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวไม่เคยสนใจทางช้างเผือกเลย อีกอย่างท้องฟ้าที่เมืองไหเต่าก็มองเห็นได้ไม่ชัด แต่ตอนนี้บนเกาะแฟร์เวลซึ่งแทบจะไม่มีมลพิษทางอากาศแห่งนั้น ขอเพียงเป็นวันที่มีอากาศดี ตอนกลางคืนก็จะสามารถมองเห็นทางช้างเผือกที่เป็นเส้นสีขาวจางๆได้อย่างชัดเจน


“มองจากทางช้างเผือกลงมานายก็จะเห็นกลุ่มดาวเรียงตัวกันเป็นรูปทรงตะขอ นั่นแหละคือกลุ่มดาวราศีพิจิก ฉันจะบอกเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ให้นะ กลุ่มดาวราศีพิจิกเป็นกลุ่มดาวลำดับที่แปดในหมู่กลุ่มดาวจักรราศี แถมยังเป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่สวยที่สุดและเป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่มีจำนวนดวงดาวเยอะที่สุดด้วย”


“มองไปทางทิศตะวันออกของกลุ่มดาวราศีพิจิกสิ มองตามหางของกลุ่มดาวลงมานะ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของมันจะมีกลุ่มดาวเรียงกันเป็นเส้นโค้ง นายสังเกตเห็นรึยัง? นั่นคือกลุ่มดาวราศีธนู มันเป็นกลุ่มดาวลำดับที่ก้าวในหมู่ดาวจักรราศี”


ฉินสือโอวมองไปก็เห็นตามที่เหมาเหว่ยหลงพูด และเมื่อเขาลองเทียบกับรูปภาพในโทรศัพท์มือถืออีกทีทุกอย่างก็ถูกต้องทั้งหมด


                เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกหดหู่จนต้องเอ่ยปากพูดออกมา “ตอนเด็ก ๆ นายคงไม่ได้เอาแต่กินข้าวแล้วก็ขี้โม้ไปวัน ๆ สินะ ถึงได้รู้เรื่องไม่น้อยเลย”


เหมาเหว่ยหลงกลอกตาไปมาแล้วพูดขึ้น “ไปไกล ๆ เลยเจ้าเด็กนี่ เรื่องที่พี่รู้ไม่ใช่น้อย ๆ นะ แต่พี่รู้เยอะเลยล่ะ! เมื่อก่อนที่ไม่เคยแสดงท่าทีดูถูกต่อหน้านายก็เพราะว่ากลัวนายจะน้อยใจไงล่ะ! มา ฉันจะสอนวิชาความรู้ทั่วไปต่อแล้ว กลุ่มดาวราศีธนูไม่เพียงเป็นหนึ่งในกลุ่มดาวที่เห็นชัดที่สุดในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น แต่มันยังเป็นตำแหน่งของดวงอาทิตย์ในช่วงฤดูหนาวด้วย ทุกวันที่ 16 เดือนธันวาคมของทุกปี ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ในวงล้อมของกลุ่มดาวราศีธนู”


“คราวนี้มองถัดไปอีกหน่อย ตรงนั้นน่ะ ตรงกลางทางช้างเผือกนั่น ตรงนั้นเป็นที่ตั้งของกลุ่มดาวหงส์ ตอนนี้เป็นฤดูร้อนเลยทำให้ดาวฤกษ์ทั้งห้าของกลุ่มดาวหงส์ส่องสว่างเป็นรูปกางเขน ซึ่งตรงนั้นก็คือกลุ่มดาวที่เราชาวจีนรู้จักกันในชื่อกลุ่มดาวกางเขนเหนือไงล่ะ แถมมันยังเป็นตำแหน่งปากของหงส์ขาวตัวนั้นพอดีด้วย”


“เดี๋ยวฉันจะสอนนายหาตำแหน่งของกลุ่มดาวสามเหลี่ยมฤดูร้อนแล้วกัน…ตรงนี้เป็นกลุ่มดาวงูใหญ่…อือ งั้นตรงนี้ก็เป็นกลุ่มดาวคนแบกงู นายลองดูที่กลุ่มดาวคันชั่งอีกทีสิ…”


มองว่าเหมาเหว่ยหลงคนนี้เป็นคนไม่ได้เรื่องอีกไม่ได้แล้ว เมื่อเขาอธิบายเรื่องกลุ่มดาวพวกนั้น เขากลับพูดออกมาอย่างกับน้ำไหลไฟดับ ท่าทางตอนที่เขาพูดออกมาก็ดูจริงจังเป็นอย่างมาก


ฉินสือโอวจึงถามออกไปอย่างอดไม่ได้ “นายไปเรียนเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไร? ตกลงตอนนี้นายทำงานอยู่ที่สำนักงานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์หรือว่าอยู่องค์การนาซ่ากันแน่?”


เหมาเหว่ยหลงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “นายจะไปเข้าใจอะไร คนอย่างฉันน่ะยังต้องเรียนเรื่องพวกนี้อยู่อีกเหรอ? ฉันรู้มาตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนแล้ว…”


“งั้นฉันก็เป็นแพทย์จีนโบราณที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาสุดๆ….” ฉินสือโอวพูดขัดจังหวะเขาขึ้นมาด้วยท่าทีสบาย ๆ


เหมาเหว่ยหลงสำลักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาอย่างขมขื่น “นี่คือสิ่งที่ฉันเรียนจากศูนย์เด็กเล็กตอนที่ยังเป็นเด็กไงล่ะ เฮ้อ ตอนนั้นฉันชอบดูกลุ่มดาวจักรราศีในคาบภูมิศาสตร์ที่สุด ให้ตายเถอะ แป๊บเดียวก็ผ่านมายี่สิบปีแล้ว ทำไมเวลามันถึงได้ผ่านไปเร็วอย่างนี้นะ”


ฉินสือโอวเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ดี เมื่อคิดถึงเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วก็ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจในชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง ทั้งสองคนเริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมาเล็กน้อย พวกเขาจึงตัดสินใจแยกย้ายกันเข้านอน


ช่วงเวลากลางคืนในหุบเขาแบบนี้ไม่ได้เงียบสงบเลย ที่นี่มีเสียงร้องของแมลงดังอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็มีเสียงหมาป่าและหมูป่าร้องคำรามออกมาด้วย ยังดีที่ว่านกทุกชนิดเข้านอนไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกมันอาจจะส่งเสียงดังจนทำให้ทุกคนนอนไม่หลับเอาได้


แม้ว่าจะมีเสียงดัง แต่ฉินสือโอวก็ยังนอนหลับได้ แถมยังนอนหลับสนิทด้วย เสียงดังแบบนี้เทียบไม่ได้กับเสียงดังของรถยนต์และผู้คนในเมืองเลยสักนิด


                แต่เมื่อผ่านไปครึ่งค่อนคืน จู่ๆเสียงเห่าหอนของหู่จือกับเป้าจือก็ดังขึ้นจนปลุกฉินสือโอวให้ตื่น


เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นในตอนกลางคืน นีลเซ็นจึงให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้ยินเสียงสุนัขเห่า ฉินสือโอวก็หยิบปืน AR-15 แล้วออกมาจากเต็นท์ทันที ณ เวลานี้พลังจากลูกธนูคงสู้กับอาวุธปืนไม่ได้แน่นอน


การเคลื่อนไหวของฉินสือโอวนั้นเร็วพอสมควร แต่เมื่อเขาออกมาจากเต็นท์ นีลเซ็นก็ถือปืน SIG-556 รออยู่ด้านนอกก่อนแล้ว ปากกระบอกปืนของนีลเซ็นเล็งไปรอบๆ ขณะกำลังมองไปรอบด้านด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 “เป็นยังไงบ้าง?” ฉินสือโอวถามออกมา ที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ เพราะแม้ว่าเขาจะออกมาแล้ว แต่หู่จือกับเป้าจือก็ยังคงเห่าอยู่ ก่อนหน้านี้หากเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาปรากฏตัวออกมาเจ้าพวกนี้ก็จะหยุดเห่าทันที


                นีลเซ็นพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฝูงหมาป่า! หมาป่าสีเทา!”


เมื่อได้ยินคำนั้นเหมาเหว่ยหลงที่เพิ่งจะออกมาจากเต็นท์ก็เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นทันที จากนั้นเขาก็ถามขึ้นมา “ทำไมยังมีหมาป่าสีเทาอยู่อีกล่ะ? พวกมันสูญพันธุ์ไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”


นีลเซ็นมองเหมาเหว่ยหลงอย่างงุนงงพลางพูดขึ้น “ใครบอกคุณว่าพวกมันสูญพันธุ์ไปแล้ว? ที่แคนาดายังมีหมาป่าพวกนี้อยู่…อ้อ คงอ่านมาจากในหนังสือสินะ? เมื่อก่อนชาวอเมริกาฆ่าพวกมันเป็นจำนวนมากจนสูญพันธุ์ไปจริงๆ แต่มันก็แค่ในอเมริกาเท่านั้นแหละ อีกอย่างในปี 1995 อเมริกาก็ได้นำเข้าหมาป่าจากเมืองแอลเบอร์ตาไปฝูงหนึ่ง เพราะงั้นตอนนี้น่าจะมีหมาป่าอาศัยอยู่ที่รัฐมอนตานาอีกเยอะเลยล่ะ“


ฉินสือโอวมองไปรอบๆ ตอนแรกก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อเขาค่อยๆหันไปด้านหลังเขาก็เห็นดวงตากลมโตสีเขียวหลายคู่จ้องมองออกมาจากเงามืดในป่า เหตุการณ์แบบนี้เหมือนกับในภาพยนตร์ไม่มีผิด เมื่อตกกลางคืนดวงตาของหมาป่าจะกลายเป็นสีเขียวไปจริงๆ


จากนั้นไม่นานดวงตาสีเขียวของฝูงหมาป่าก็ล้อมรอบที่แห่งนี้เอาไว้จนหมด


………………………………………….


บทที่ 154 สู้กับหมาป่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อพูดถึงหมาป่าสีเทาของอเมริกาเหนือ ฉินสือโอวก็รู้สึกกลัวอยู่หน่อยๆ


หมาป่าสีเทาเป็นคำเรียกรวมๆ ของหมาป่าที่กระจายตัวอยู่ในภาคเหนือของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตัวผู้เมื่อโตเต็มวัยลำตัวสามารถยาวได้ถึง 2 เมตร หนักได้ถึง 70 กิโลกรัมส่วนตัวเมียจะหนักประมาณ 50 กิโลกรัม นับได้ว่าเป็นหมาป่าที่ตัวใหญ่ที่สุดในตระกูลหมาป่าด้วยกัน


และแน่นอนว่ามันต่อสู้เก่งที่สุดในตระกูลหมาป่าด้วยเช่นกัน


พวกมันต่อสู้ได้เก่งแค่ไหนน่ะเหรอ? เปรียบเทียบให้ฟังอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณว่าสุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์แรงเยอะไหม? ทิเบตัน มาสทิฟฟ์เดียวสามารถเอาชนะเสือได้สามตัว ทิเบตัน มาสทิฟฟ์สามตัวสามารถจมเรือบรรทุกเครื่องบินได้ ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ห้าตัวสามารถสู้กับพระเจ้าได้ พวกมันสิบตัวสามารถสร้างตำนานได้เลย ฟังดูสุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ? ชาวเติร์กถึงกับยกย่องพวกมันว่าเป็น “ความโกรธของพระเจ้า” แต่ถ้าหากพวกมันบังเอิญได้เจอกันในป่าล่ะก็ หมาป่าสีเทาตัวเดียวสามารถจัดการทิเบตัน มาสทิฟฟ์ได้ถึงสองตัวอย่างสบายๆ เลยล่ะ!


หมาป่าชนิดนี้มีแรงกัดที่น่าทึ่งมากถึง 700 ปอนด์ วิ่งเร็วสุดได้ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและสามารถวิ่งต่อไปอีก 20 กิโลเมตรด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อไหร่ก็ตามที่ถูกพวกมันหมายตา เมื่อนั้นฝันร้ายได้มาเยือนคุณแล้ว


ฉินสือโอวกระชับปืนในมือแล้วเขยิบเข้าใกล้นีลเซ็น ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ให้ตายสิ โชคร้ายจริงๆ ขึ้นเขาครั้งแรกก็เจอกับหมาป่าสีเทาเลยเหรอเนี่ย?”


ที่แคนาดาหมาป่าชนิดนี้เคยถูกล่ามาก่อน เนื่องจากพวกมันชอบทำร้ายสัตว์ชนิดอื่น ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่มันกินอิ่มแล้วมันก็ยังทำร้ายสัตว์ตัวอื่นๆ ที่เหลืออยู่อีกด้วย ทำให้ผู้คนต่างพากันเกลียดพวกมัน เมื่อก่อนเมืองแฟร์เวลก็เคยจัดกิจกรรมล่าหมาป่า ว่ากันว่าตอนนี้หมาป่าบนเขาเหลือไม่เยอะแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะเจอพวกมัน


ขนสีทองของหู่จือและเป้าจือตั้งชัน หูใหญ่ๆ ของพวกมันลู่ไปด้านหลัง สายตาดุดันเปล่งประกาย แยกเขี้ยวจนเห็นฟันอันแหลมคม พวกมันยืนเป็นรูปตัว ‘วี’ อยู่ด้านหน้าสุด เผชิญหน้ากับหมาป่าในเงามืดอย่างดุเดือด “แฮ่~ แฮ่~ แฮ่~”


ฉงต้าก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน ฉินสือโอวคิดว่าเจ้าขี้ขลาดนี่จะวิ่งมาหลบหลังเขาซะอีก ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร ฉงต้าค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ หดลำคอ เบิกตากว้างมองไปรอบ ๆ และกรงเล็บกางกรงเล็บที่เหมือนมีดขนาดเล็กที่มักจะหดตัวในอุ้งมือออกมา


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีทั้งหมา หมีและปืน ฝูงหมาป่าก็รู้สึกลังเล ไม่กระโจนออกมา เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดแล้ววิ่งไปวิ่งมา แต่ไม่ส่งเสียง นีลเซ็นบอกว่าพวกมันไม่แน่ใจว่าจะโจมตีพวกเราดีไหม


ฉินสือโอวกลัวว่าฉงต้าจะถูกหมาป่าทำร้าย ในสายตาของเขาเจ้าหมีน้อยคือสัตว์ที่มักจะเดินอุ้ยอ้ายส่ายก้นไปมา


แต่วันนี้ฉงต้าทำให้ฉินสือโอวถึงกับตะลึง มันค่อยๆ เดินไปอยู่ข้างๆ หู่จือกับเป้าจือแล้วหดคอให้สั้นเข้าไปอีก นีลเซ็นกระซิบเบาๆ ว่า “หมีกำลังจะโจมตีแล้ว!”


“โฮ่! โฮ่!”ฉงต้ายื่นคอไปข้างหน้าแล้วส่งเสียงคำรามก้องกังวานออกมาสองครั้ง อยู่ดีกินดีมาสองเดือนกว่า ทำให้ฉงต้าโตขึ้นไม่น้อย เสียงคำรามของมันไม่เหมือนเด็กอีกต่อไป แต่เหมือนกับสัตว์ป่าดุร้ายในป่าใหญ่


ฉงต้าพุ่งตัวไปข้างหน้าหลังจากคำราม โดยมีหู่จือและเป้าจือขนาบข้าง พวกมันพุ่งตัวออกไปได้ประมาณสิบกว่าเมตรก็ถึงขอบของเงาดำ


ฉินสือโอวรู้สึกเป็นห่วงจึงรีบยกปืนขึ้นมาเล็ง นีลเซ็นรั้งเขาไว้พร้อมพูดว่า “ไม่ต้องห่วงนะบอส มันไม่สู้กันตรงๆ หรอก พวกมันกำลังหยั่งเชิงกันอยู่ รอดูกันว่าใครกลัวใคร!”


“ทำไมพวกเราถึงไม่โยนเนื้อให้พวกมันไปซะก็สิ้นเรื่อง”ฉินสือโอวพูด “ยังไงซะเราก็มีหมูตั้งครึ่งตัวกับเนื้อกวางอีกไม่น้อย”


นีลเซ็นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก หมาป่าเป็นพวกโลภมาก ชอบรังแกสัตว์อื่นและกลัวสัตว์ที่แข็งแรงกว่า ถ้าคุณโยนเนื้อให้พวกมัน พวกมันจะคิดว่าคุณกลัวแล้วพวกมันก็จะยิ่งเหิมเกริมได้คืบจะเอาศอก”


ฉงต้าคำรามด้วยความโกรธเคือง ส่วนหู่จือกับเป้าจือก็แผดเสียงสุดกำลังของพวกมันเช่นกัน เมื่อเจอกับสามสหายน้อยในระยะประชิด ฝูงหมาป่าหมาป่าไม่ได้จู่โจมเจ้าตัวเล็กเหล่านี้ที่กำลังยั่วยุพวกมัน แต่กลับล่าถอยไป


การเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายนั้นต้องใช้ทักษะเป็นอย่างมาก แต่พวกมันไม่ต้องให้ใครมาสอน พวกมันรู้ว่าต้องทำอย่างไร ทักษะการเอาตัวรอดในสถานการณ์แบบนี้มันอยู่ในสายเลือดอยู่ในกระดูกของพวกมันอยู่แล้ว


เมื่อหมาป่าล่าถอยไป ฉงต้ากับหู่จือและเป้าจือก็รีบถอยกลับมาไม่ได้ตามพวกมันไป


นีลเซ็นอธิบายว่า “พวกหมาป่าพยายามล่อเจ้าพวกนี้ให้เข้าไปในเงามืด เพื่อให้ง่ายต่อการโจมตี แต่หมีกับหมาสองตัวนี้ไม่หลงกล พวกมันอยู่ในระยะที่แสงจากกองไฟส่องถึงเสมอ เพราะพวกมันรู้ว่าพวกหมาป่ากลัวไฟ”


ฉินสือโอวพยักหน้า พวกหมาป่ายังคงวนเวียนอยู่รอบๆ นีลเซ็นจึงพูดกับเหมาเหว่ยหลงว่า “คุณยิงปืนขึ้นฟ้าสักสองนัด หมาป่าพวกนั้นไม่ส่งเสียงอะไรเลย ดูเหมือนว่าพวกมันจะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะโจมตีหรือไม่แบบนี้พวกเราไล่พวกมันไปก็เรียบร้อย”


เหมาเหว่ยหลงยกปากกระบอกปืนลูกซองเรมิงตันขึ้นมาแล้วกดไกปืนซ้ำๆ “ปัง! ปัง! ปัง!”


เสียงดังราวกับยิงปืนใหญ่ดังก้องไปทั่วผืนป่าอันเงียบสงัด นีลเซ็นกับฉินสือโอวก็ยกปืนขึ้นมายิงด้วยเช่นกัน


เห็นได้ชัดว่าพวกหมาป่ารู้สึกหวาดผวา พอพวกมันได้ยิงเสียงปืนในที่สุดพวกมันก็รู้สึกกลัว แล้วค่อยๆ ล่าถอยไป ในที่สุดดวงตาสีเขียวก็หายไปในเงามืด


หู่จือกับเป้าจือเห่าอยู่สักพักก่อนที่เส้นขนตั้งชันจะกลับสู่สภาพปกติ พวกมันเลียปากแล้วเดินกลับมา ส่วนฉงต้าก็เดินกลับมาทำตัวน่ารักเหมือนเดิม


ฉินสือโอวกอดหู่จือกับเป้าจือและดึงฉงต้าเข้ามากอดด้วยเช่นกัน เขาหอมพวกมันทั้งสามอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “สุดยอดไปเลย ช่างเป็นเด็กที่กล้าหาญจริงๆ! พวกแกปกป้องพ่อของพวกแกไว้ ฮ่าๆ ทำได้ดีมาก! หู่จือเป้าจือกล้าหาญมาก ส่วนฉงต้าก็ทำดีมากๆ เลย…”


ท่าทีของฉงต้าวันนี้เหนือความคาดหมายของฉินสือโอวไปมากจริงๆ ปกติแล้วแค่ลมพัดหญ้ากระดิกมันก็แทบจะมุดเข้าเป้ากางเกงของตัวเองแล้ว แต่หลังจากขึ้นเขามา ความกล้าหาญที่มันแสดงออกมาเป็นสิ่งที่ฉินสือโอวไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ


ชาร์คพูดถูก หมีสีน้ำตาลเป็นสัตว์ที่ต้องอาศัยอยู่ในป่า ที่บ้านมีของแปลกตาเต็มไปหมดมันจึงรู้สึกกลัว ในป่าต่อให้ต้องเจอกับเสือสิงห์กระทิงแรดพวกมันก็กล้าที่จะเดินหน้าเข้าไปสู้!


ความมั่นใจและเด็ดเดี่ยว มันอยู่ในสายเลือดของหมีสีน้ำตาลอยู่แล้ว!


ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเคยได้ได้ยินมาว่าตอนที่หมาป่าออกล่าเหยื่อ พวกมันมั่นคงและหนักแน่นมาก วิ่งไล่ล่าเหยื่อไม่ยอมปล่อยเป็นร้อยกิโล ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลัวว่าพวกมันจะกลับมาแก้แค้นในภายหลัง


แต่ก็อย่างว่าสิบปากว่าหรือจะเท่าตาเห็น หมาป่าสีเทาของอเมริกาเหนือถือเป็นเผ่าพันธุ์ที่ดุร้ายที่สุดในบรรดาหมาป่า แต่พวกมันก็ไม่ได้เข้ามายุ่งกับฉินสือโอวและคนอื่นๆ หลังจากที่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองมีทั้งสุนัข หมีและปืนล่าสัตว์ พวกมันก็รู้ว่าพวกมันควรปล่อยเหยื่ออย่างพวกเราไป


ค่อนคืนไปแล้วแต่ฉินสือโอวกลับนอนหลับอย่างไม่เป็นสุขเท่าไร เขากังวลว่าหมาป่าเหล่านั้นจะกลับมาแต่สุดท้ายหู่จือกับเป้าจือก็ไม่ได้ส่งเสียงเห่าแต่อย่างใด เขาจึงหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย


ฉินสือโอวตื่นขึ้นมาตอนหกโมงเช้าแล้วเห็นว่าเหมาเหว่ยหลงยังคงนอนกอดหมอนอยู่จึงเดินออกจากเต็นท์มา


หู่จือกับเป้าจือก็ตื่นแล้วเหมือนกัน พวกมันนอนเล่นกันอยู่บนพื้นพอเห็นฉินสือโอวจึงวิ่งมาหา


ฉงต้ายังคงนอนขดตัวอยู่โดยมีต้าป๋ายเพื่อนสนิทของฉงต้าอยู่ให้อ้อมแขน ทำให้ดูเหมือนว่าฉงต้ามีขนสีขาวอยู่หย่อมหนึ่ง


หู่จือกับเป้าจือกำลังจะเห่า แต่ฉินสือโอวเอานิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปากของเขาพร้อมกับส่งเสียง ‘ชู่ว’ เมื่อเห็นดังนั้นแลบราดอร์ตัวน้อยทั้งสองก็หุบปากของมันเข้าด้วยกันแล้วเอาตัวไปถูขาของฉินสือโอวแทน


หุบเขาในยามเช้านั้นสวยงามราวกับสวนดอกไม้บนสรวงสวรรค์


ดวงอาทิตย์กำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับลูกไฟสีแดงขนาดใหญ่แขวนอยู่ทางทิศตะวันออก ลำแสงสีทองตกกระทบผืนดินกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา


หมอกยามเช้าจาง ๆ แผ่ปกคลุมไปทั่วผืนป่า ใบไม้สีเขียวของต้นเมเปิล ต้นสน ต้นบีช ต้นปาล์มแคระ ต้นเบิร์ชและอื่นๆ อีกมากมายมีไอน้ำเกาะอยู่ทั่วไปหมด ให้ความรู้สึกแสนสดชื่น


สายลมแผ่วเบาพัดมาสัมผัสร่างกาย ฉินสือโอวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่ครู่หนึ่งจนความรู้สึกหวานแผ่ซ่านจากจมูกและปากเข้าสู่ปอด


สัตว์ป่าน้อยใหญ่จำนวนหนึ่งก็พากันมาดื่มน้ำในตอนเช้า เมื่อฉินสือโอวเดินไปถึงริมแม่น้ำ เขาก็เห็นพวกกระต่ายสโนว์ชู ไก่ป่าฮาเซล นกมุดน้ำ กวางเรนเดียร์ กวางแดงจำนวนไม่น้อยอยู่ที่ริมแม่น้ำ


เวลานี้โลกและสวรรค์สงบสุขที่สุดเป็นประวัติการณ์ ฉินสือโอวไม่อยากเป็นคนทำลายความเงียบสงบนี้ ขนาดหู่จือกับเป้าจือยังหมอบลงกับพื้นไม่ส่งเสียงใดๆ


นกที่ตื่นเช้ามักมีหนอนให้กิน นกฝูงใหญ่กระพือปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและก็มีนกแอ็งกรีเบิร์ดสามสี่ตัวบินมาหาหนอนหาหญ้ากินที่ริมน้ำ ตัวมันอ้วนตุ๊ต๊ะและกระโดดหยองๆ แหยงๆ เหมือนลูกไฟกำลังเต้น


…………………………………….


บทที่ 155 เหล่าฉลาม

โดย

Ink Stone_Fantasy

หมื่นทางเดินร้างรอยคน


แต่ความคึกคักของเทือกเขาเคอร์บัลนั้นคือเหล่าแมลง นก สัตว์ป่ารวมถึงปลาในแม่น้ำซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัย พวกมันพากันออกมาต้อนรับแสงอาทิตย์ในยามเช้าตรู่ บ้างวิ่ง บ้างบิน บ้างว่ายต้อนรับวันใหม่อันแสนสวยงาม


ฉินสือโอวนั่งอยู่ริมแม่น้ำ ทอดสายตาไปยังป่าเขาแสนบริสุทธิ์อันไร้ร่องรอยของเหล่ามนุษย์ ทำให้จิตใจของเขาสงบขึ้นเรื่อยๆ เขาหลับตาลงและควบคุมจิตสำนึกดำดิ่งสู่ท้องมหาสมุทร


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนตื่นขึ้นมาเห็นปลาแฟงค์ทูธฝูงหนึ่งเป็นอย่างแรก นี่เป็นปลาพันธุ์ที่ฉินสือโอวเพิ่งจะย้ายมันลงมาที่ชายขอบของฟาร์มปลาได้ไม่นาน ตรงนี้มีความลึกสี่ร้อยกว่าเมตร พวกมันเป็นปลาทะเลน้ำลึกแม้ว่าจะได้รับการปรับแต่งด้วยพลังโพไซดอนแล้ว แต่พวกมันก็ยังคงชอบที่จะอยู่ในเขตที่น้ำค่อนข้างลึกอยู่ดี


ไม่มีอะไรน่าดูไปกว่าน่านน้ำแนวปะการังอีกแล้ว ที่นั่นเป็นที่ที่ฟาร์มปลาเจริญเติบโตมากที่สุด ห่วงโซ่อาหารนั้นสมบูรณ์แบบ ทุกๆ ชีวิตมีอาหารเพียงพอไม่ว่าจะเป็นแพลงก์ตอนหรือเหล่าปลาตัวใหญ่


เมื่อเทียบกับน่านน้ำอื่นๆ แล้ว ปลาค็อดรอบๆ แนวปะการังนั้นเติบโตเร็วที่สุด ในระยะเวลาเพียงสองเดือน พวกมันสามารถโตได้ถึงเจ็ดสิบแปดสิบเซนติเมตร ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่น่าทึ่งมาก


นอกจากปลาค็อดแล้ว ปลาชนิดอื่นๆ ก็เติบโตได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ปลาทูน่าครีบน้ำเงินตัวที่ใหญ่ที่สุดนั้นยังสามารถโตได้อีกยี่สิบกว่าเซนติเมตร ความยาวของมันตอนนี้ประมาณสองเมตรยี่สิบเซนติเมตรเห็นจะได้ ซึ่งมันน่าจะทำลายสติโลกไปแล้วด้วย


หอยนมสาวทะเลยักษ์ก็แฮปปี้ดี เนื่องจากสโนว์บอลได้รับคำแนะนำจากฉินสือโอวจึงได้ทำการอนุรักษ์มันไว้ โดยการไล่พวกปลาและปูเสฉวนที่เข้าใกล้มันออกไป ไม่อย่างนั้นแล้วมันก็คงจะถูกบุกรุก ถูกแย่งที่อยู่อาศัยด้วยนิสัยเสียเกียจคร้านแต่กำเนิดของมันไปนานแล้ว


แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉินสือโอวสงสัย เจ้าสโนว์บอลนั้นโตช้ามาก มันโตขึ้นแค่เจ็ดสิบถึงแปดสิบเซนติเมตรเอง แต่ว่าผิวของมันนั้นเนียนละเอียดและเงางาม ถ้ามันลอยอยู่เฉยๆ ในน้ำคงจะเหมือนกับงานศิลปะที่แกะสลักจากหยก ทั้งสวยงามและน่าทึ่ง


เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอน เจ้าสโนว์บอลก็ปล่อยฟองอากาศออกมาสามสี่ฟอง แล้วสะบัดครีบออกตามหาฉินสือโอวทันที แต่หลังจากที่มันว่ายวนไปวนมาอยู่ในท้องทะเลที่ถูกควบคุมโดยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนแล้วไม่พบเจอใคร มันก็รู้สึกผิดหวังและว่ายมุดลงสู่ท้องทะเลไป


ฉินสือโอวปลอบมันอยู่สักพักและคิดว่าถ้าลงจากเขาไปแล้วคงต้องแวะไปเล่นกันกับเจ้าสโนว์บอลเสียหน่อย มันอยู่ในทะเลตัวคนเดียวไม่มีเพื่อนคงจะเหงาน่าดู


ฉินสือโอวเฝ้ารอให้แม่ของเจ้าสโนว์บอลกลับมาหรือไม่ก็เจ้าสโนว์บอลตามหาแม่ของมันเจอ แต่มันก็ไม่เคยเป็นจริงขึ้นมาเลย นึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่ได้เจอกับเจ้าสโนว์บอลกับบาดแผลบนตัวมัน เขาคาดเดาไม่ถูกเลยว่าแม่ของเจ้าสโนว์บอลจะมีชะตากรรมอย่างไร


เจ้าปลาทูน่าครีบเหลืองไม่อยู่อีกแล้ว ฉินสือโอวจึงเคลื่อนย้ายจิตสำนึกโพไซดอนไปอยู่บนตัวพวกมันแทนแล้วก็ได้พบว่าพวกมันอยู่ห่างจากฟาร์มปลาออกไปถึงสองสามร้อยไมล์ทะเล ด้านหน้ามีปลาแมคเคอเรลเหลืออยู่ครึ่งตัว คาดว่าก่อนหน้าที่ฉินสือโอวจะมาถึงพวกมันคงกำลังกินกันอยู่


ฉินสือโอวปล่อยให้มันกินต่อไป แล้วพาตัวเองเที่ยวเล่นไปรอบๆ


ที่นี่คือทะเลเขตน้ำลึก แสงส่องไม่ถึง ท้องทะเลบริเวณนี้จึงทั้งมืดมิดและหนาวเย็น ที่ก้นทะเลมีปะการังรูปร่างแปลกประหลาดและหินขรุขระเหมือนอยู่ในนรกอย่างไรอย่างนั้น


มีสิ่งมีชีวิตอีกมากมายที่อยู่นอกเหนือสิ่งที่มนุษย์รู้ สาหร่ายทะเลน้ำลึกสีแดงลอยละล่องไปมา พวกมันเปรียบเสมือนกับพวกยิปซีในทะเล ล่องลอยไปตามกระแสใต้น้ำ อยู่ที่ใดที่หนึ่งได้ไม่นานโดยเฉพาะที่ก้นทะเล เนื่องจากที่นี่ไม่มีแสงแดดที่พวกมันใช้ในการดำรงชีวิต


และเนื่องจากไม่ค่อยมีสาหร่ายให้กินปลาน้ำลึกส่วนมากจึงเป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร ปลากินพืชและปลากินที่ทั้งพืชทั้งเนื้อพบเห็นได้น้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นปลาน้ำลึกส่วนใหญ่ล้วนเป็นปลาตัวใหญ่ทั้งสิ้น ส่วนฉลามก็สามารถพบเห็นได้บ่อยในแถบนี้เช่นกัน


หลังจากล่องลอยอยู่ครู่หนึ่งฉินสือโอวก็พบกับกลุ่มฉลามมะนาวสี่ห้าตัวกับลูกๆ ของพวกมันกำลังออกล่า พวกมันล้อมปลาแซลมอนโคโฮหลายสิบตัวไว้แล้ว


มันเหมือนสิงโตตัวเมียในทุ่งหญ้าแอฟริกาที่กำลังสอนให้ลูกสิงโตออกล่า ฉลามมะนาวตัวใหญ่ล้อมเอาไว้ทั้งสี่ด้านและให้ลูกฉลามบุกโจมตีเข้าไปตรงกลาง


เหล่าฉลามน้อยยังไร้เดียงสา พวกมันไล่ตามปลาแซลมอนอยู่ครู่หนึ่งแล้วรู้สึกสนุกดีจึงเปลี่ยนจากการล่าเป็นการแกล้งให้ตกใจแทน


แต่เวลาแห่งความสนุกก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อจู่ๆ ก็มีฉลามท่าทางดุร้ายโผล่ขึ้นมาด้านข้างจากทางด้านหลัง เมื่อเปรียบเทียบกับฉลามมะนาวที่ลำตัวยาวไม่ถึงสามเมตรแล้ว ฉลามสองตัวที่ยาวเจ็ดแปดเมตรนี้น่ากลัวกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย


เมื่อรู้ว่าฆาตกรตัวจริงมาถึงแล้วเหล่าปลาแซลมอนก็ยิ่งพากันโกลาหลอลหม่านกันเข้าไปใหญ่ ส่วนแม่ฉลามมะนาวก็รีบพาลูกน้อยหนีไอย่างรวดเร็ว


ดูจากรูปร่างของเจ้าบึ้กนี้แล้วล่ะก็ ฉินสือโอวก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือฉลามขาวผู้โด่งดัง


ฉลามขาวเป็นหนึ่งในสามของฉลามที่อันตรายที่สุดในโลก มีข่าวว่าพวกมันจู่โจมมนุษย์ออกมาทุกปี แค่นี้ก็พอจะรู้แล้วใช่ไหมว่าพวกมันดุร้ายแค่ไหน


แต่ในความเป็นจริงเมื่อเทียบกับหมาป่าหรือว่าเสือที่อยู่บนบก ฉลามขาวนั้นถือว่าค่อนข้างอ่อนโยนแล้ว พวกมันจะไม่โจมตีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เช่นมนุษย์ถ้าไม่ถูกยั่วยุหรือหิวโหย


และแน่นอนว่าสำหรับปลาในท้องทะเล พวกมันไม่ได้สุภาพขนาดนั้น พี่บึ้กทั้งสองพุ่งเข้าใส่ฝูงปลาแซลมอน พวกมันอ้าปากกว้างโจมตีไปทั่วสารทิศและงับเอาปลาแซลมอนหลายตัวเข้าปากไปในเวลาอันรวดเร็ว


ยังมีปลาแซลมอนที่ยังไม่ถูกกินอยู่อีกจำนวนหนึ่ง แต่จู่ๆ ฉลามขาวทั้งสองก็ว่ายไปอีกทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวตามไปเพราะอยากรู้ว่าเจ้าพวกนี้ปกติทำอะไรบ้าง


หลังจากการดำน้ำมาครู่หนึ่งฉลามทั้งสองก็ชะลอความเร็วลงและจดจ้องไปทางด้านหน้า


ฉินสือโอวเห็นว่าด้านหน้าก็มีฉลามตัวใหญ่อีกตัวหนึ่ง


ที่บอกว่าตัวใหญ่ ความจริงแล้วมันคือฉลามขนาดประมาณสามเมตรครึ่ง ซึ่งเมื่อเทียบกับฉลามขาวแล้วยังถือว่าตัวเล็กอยู่มาก


ฉลามตัวนี้มีลำตัวสีเทาเข้มและค่อยๆ อ่อนลงเรื่อยๆ จนถึงบริเวณท้องซึ่งจะเป็นสีขาว รูปร่างหน้าตาเหมือนจะดุร้าย มันมีครีบหลังขนาดใหญ่ถึงสองครีบ ครีบที่อยู่ด้านหน้าจะยาวเป็นพิเศษ หางก็ยาวมากเช่นกัน


ฉินสือโอวมองดูอยู่สักพักก็จำได้ว่ามันคือฉลามเสือทรายซึ่งเป็นปลาที่มีในมหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น


อย่างที่ทราบกันดีว่าปลาตระกูลใหญ่อย่างฉลามเสือนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในน่านน้ำทั่วโลก ยกเว้นมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สองแห่งนี้ไม่มีฉลามเสือพันธุ์แท้


อย่างไรก็ตามในมหาสมุทรแอตแลนติกมีฉลามเสือวงศ์ตระกูลรองอยู่ชนิดหนึ่ง นั่นก็คือฉลามเสือทรายหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฉลามฟันกรวย ฉลามฟันง้าวหรือไม่ก็ฉลามง้าว


ฉลามเสือทรายตัวนี้กำลังคลอดลูกและมีเลือดออกมาพร้อมกับฉลามตัวน้อยด้วย คาดว่าฉลามขาวสองตัวนี้คงว่ายตามกลิ่นเลือดมา


แม้จะเผชิญหน้ากับฉลามขาว แต่แม่ฉลามเสือทรายตัวนี้กลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด อันที่จริงแล้วพวกมันเป็นปลาที่กล้าหาญมาก ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกก็สามารถรับรู้ได้ จมูกแหลมยาว ดวงตาเล็กและดุร้าย เพียงอ้าปากก็จะเห็นฟันที่น่ากลัวกว่าเคียวเสียอีก


ด้านข้างของแม่ฉลามเสือทรายมีลูกฉลามเสือทรายที่เพิ่งคลอดความยาวประมาณสี่สิบเซนติเมตรเห็นจะได้ เนื่องจากฉลามออกลูกเป็นตัวและตอนที่พวกมันอยู่ในท้องพวกมันก็กินกันเอง ดังนั้นพวกมันจึงมีความสามารถในการล่าติดตัวมาตั้งแต่เกิด


เพียงแต่ว่าตอนนี้มันสามารถล่าได้เพียงแค่ปลาตัวเล็กๆ เท่านั้น สำหรับคู่ต่อสู้อย่างสัตว์ประหลาดตัวบึ้กอย่างฉลามขาวแล้ว พวกมันยังไม่มีแรงงับที่มากพอจะฝังฟันของมันลงไป


ฉลามเสือทรายออกลูกได้สองถึงสี่ตัวต่อครั้ง ตอนนี้เห็นแค่หนึ่งตัวหมายความว่ายังมีฉลามตัวน้อยอีกอย่างน้อยหนึ่งตัวที่ยังไม่คลอดออกมา


ดูเหมือนว่าฉลามขาวสองตัวนั้นก็รู้ข้อนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพวกมันถึงได้ไม่รีบเข้าไปโจมตี เพียงแต่หันหน้าเข้าหาฉลามเสือเสือในรูปตัววีแทน ดวงตาของพวกมันดุร้ายแต่ก็แฝงไปด้วยความหยอกล้อ


หน้าท้องของแม่ฉลามเสือทรายเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับลูกฉลามตัวน้อยที่ค่อยๆ โผล่ออกมาอย่างช้าๆ


ฉลามขาวเริ่มแกว่งหางของมันด้วยความตื่นเต้น นี่คือสัญญาณเริ่มการโจมตีของพวกมัน


ตอนที่ฉลามเสือตัวน้อยปรากฏตัวออกมา ฉินสือโอวตกตะลึงเล็กน้อย เพราะลำตัวของมันเป็นสีขาวซึ่งแตกต่างจากแม่ของมันอย่างสิ้นเชิง โชคดีที่พ่อของมันไม่ได้อยู่แถวนี้ มิฉะนั้นพ่อของมันคงจะลงไม้ลงมือกับแม่ของมันแล้วถามว่าไปมีชู้รึเปล่าเป็นแน่


…………………………………..


บทที่ 156 หอยสีเทา

โดย

Ink Stone_Fantasy

เห็นลูกฉลามเสือทรายที่ลำตัวมีสีขาวราวกับหิมะซึ่งแตกต่างจากแม่ของมันโดยสิ้นเชิงแล้ว ฉินสือโอวก็นึกถึงข้อมูลชิ้นหนึ่งขึ้นมาได้ ข้อมูลนั้นบอกว่าฉลามเสือเป็นฉลามพันธุ์ที่มีโอกาสให้กำเนิดปลาเผือกมากที่สุดและดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กนี่จะเป็นปลาเผือกที่ว่า


ตามการรับรู้คุณค่าทางความงามของมนุษย์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสือเผือก สิงโตเผือกหรือสัตว์ชนิดไหนก็ตามที่เป็นเผือกล้วนได้รับการชื่นชมว่าสวยงาม


แต่ในความเป็นจริงสายพันธุ์เผือกเหล่านี้คือความผิดปกติซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต


อย่างแรกเลยคือสีผิวของพวกมันแตกต่างจากตัวอื่น ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับและมักจะถูกขับไล่ออกจากฝูง ซึ่งมันยากมากที่จะอยู่รอดในธรรมชาติแสนโหดร้ายด้วยตัวของมันเอง


ต่อมาก็คือไม่ว่าจะเป็นเสือ เสือดาวหรือว่าปลา สีผิวของพวกมันล้วนถูกวิวัฒนาการมาหลายพันปีเพื่อความอยู่รอด สีของสัตว์แต่ละชนิดมีไว้เพื่อนปกป้องตัวของมันเอง ทำให้พวกมันสามารถซ่อนตัวอยู่ในป่าหรือน้ำได้ดียิ่งขึ้น และไม่ว่าจะในป่าหรือว่าในน้ำ สีขาวเป็นสีที่อันตรายสำหรับพวกมันที่สุด เนื่องจากไม่สีขาวไม่มีคุณสมบัติในการช่วยพรางตัว


ตอนนี้เจ้าฉลามเสือทรายน้อยกำลังเผชิญกับวิกฤตนี้ ทันทีที่มันคลอดออกมาก็เห็นฉลามขาวตัวใหญ่ถึงสองตัวกำลังจับจ้องมาที่มัน ด้วยความกลัวมันจึงหมุนตัวหวังจะไปหลบข้างหลังแม่ของมัน


แต่แม่ฉลามเสือทรายปฏิเสธแล้วว่ายน้ำไปกับลูกอีกตัว สายตาที่แม่ฉลามเสือทรายมองลูกฉลามเสือทรายเผือกนั้นเหมือนสายตาที่ฉลามขาวใช้มองฉลามเสือทราย


ลูกฉลามเสือทรายเผือกมีอาการงุนงง มันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


ฉลามเสือทรายนั้นเป็นสัตว์มีนิสัยดุร้าย โดยเฉพาะฉลามเสือทรายแม่ลูกอ่อนนั้นยิ่งดุร้ายเข้าไปใหญ่ ฉลามขาวอยากลองโจมตีดู แต่มันกัดพลาด แม่ฉลามหลบการจู่โจมของฉลามขาวได้อย่างคล่องแคล่วแล้วเป็นฝ่ายกัดฉลามขาวแทน


หลังจากได้รับบาดเจ็บฉลามขาวไม่ได้โกรธแต่มันระมัดระวังตัวมากขึ้น พวกมันรู้แล้วว่าไม่ควรยุ่งกับฉลามเสือทรายแม่ลูกอ่อน


อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้กินปลาแซลมอนมาเกือบจะอิ่มแล้วและเห็นว่าแม่ฉลามเสือทรายนั่นไม่ใช่เหยื่อที่จะจัดการได้ง่ายๆ เนื่องจากพวกมันจู่โจมหลายครั้งแล้วก็ไม่ได้ผล พวกมันก็เลยล้มเลิกการจู่โจมไปในที่สุด


เมื่อแม่ฉลามขาวเห็นดังนั้นก็รีบพาลูกที่มีความคล้ายกับตัวเองว่ายจากไปด้วยความรวดเร็ว


ลูกฉลามเสือทรายเผือกอยากจะตามไปด้วย แต่ฉลามขาวรั้งมันไว้และแม่ของมันก็ไม่หันกลับมาช่วยมันเลย แม่ของมันว่ายลับตาไปด้วยความเฉยเมย


ฉลามขาวต้องการระบายความอัดอั้นที่เมื่อครู่ไม่สามารถจู่โจมแม่ของมันได้มาลงที่เจ้าลูกฉลามเสือทรายเผือกแทน หนุ่มน้อยตื่นตระหนกและงุนงงอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มกล้าหาญขึ้น มันอ้าปากเล็กๆ ของมันเผชิญหน้ากับฉลามขาวด้วยความกล้าหาญ


การฆ่าที่โหดร้ายทารุณกำลังจะเปิดฉากขึ้น


ฉินสือโอวใจอ่อน เจ้าฉลามเสือทรายเผือกน้อยนี่ช่างโชคร้ายเหลือเกินที่ถูกแม่ของมันทิ้ง เขานึกถึงเจ้าบอลหิมะที่โดดเดี่ยวอยู่ที่ฟาร์มปลาจึงตัดสินใจจะพาเจ้าฉลามเผือกน้อยนี่กลับไปด้วย


พวกฉลามขาวที่ชอบรังแกสัตว์อื่นและกลัวสัตว์ที่แข็งแรงกว่า ต้องเจอกับจิตสำนึกแห่งโพไซดอนตอนโกรธ จู่ๆ ก็เกิดคลื่นขนาดใหญ่ราวกับมีการระเบิดใต้ทะเลลึก ผืนน้ำทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยจิตสำนึกของโพไซดอนนั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง น้ำทะเลพุ่งสูงขึ้นและกระแสน้ำเชี่ยวกราก!


นี่เป็นครั้งแรกฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนแสดงความโกรธออกมา หากบอกว่านี่คือความโกรธแค้นของโพไซดอนก็คงไม่เป็นการพูดเกินจริง


กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากในมหาสมุทรก่อให้เกิดกระแสน้ำวนที่ก้นทะเลอย่างฉับพลัน ฉลามขาวผู้โชคร้ายติดอยู่ในน้ำวนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะฉินสือโอวสงบอารมณ์โกรธลงได้ก่อน พวกมันก็คงถูกแรงเหวี่ยงของน้ำวนฉีกเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว!


เมื่อฉินสือโอวสงบสติอารมณ์ลงเขาถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วจิตสำนึกแห่งโพไซดอนนั้นนอกจากจะสามารถแหวกว่ายไปมาในทะเลได้แล้ว ยังสามารถควบคุมน้ำทะเลได้อีกด้วย


เมื่อรอดชีวิตมาได้ฉลามขาวก็ตื่นตระหนกกว่าเหล่าปลาแซลมอนก่อนหน้านี้เสียอีกและพอพวกมันสงบสติอารมณ์ลงได้ พวกมันก็รีบสะบัดหางว่ายหนีไปทันที


เจ้าฉลามเสือทรายเผือกน้อยก็เวียนหัวจากกระแสน้ำวนเมื่อครู่เช่นกัน มันไม่ง่ายเลยที่จะแกว่างครีบเพื่อทรงตัวอีกครั้ง


และเมื่อพบว่าฉลามขาวที่คุกคามมันหายไปแล้ว เจ้าฉลามเสือทรายเผือกตัวน้อยก็ดีใจมาก มันสะบัดหางยาวๆ ของมันพลิกตัวไปมา


ฉินสือโอวเห็นแล้วก็หัวเราะออกมา เขานำจิตสำนึกของเขาเข้าไปในร่างกายของเจ้าฉลามเสือทรายเผือก สัตว์ที่เพิ่งเกิดแบบนี้สามารถดูดซับพลังงานและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว


หลังจากที่ได้รับพลังจากจิตสำนึกแห่งโพไซดอน เจ้าฉลามเผือกก็รู้ว่าใครเป็นคนช่วยชีวิตมันเอาไว้ มันแหวกว่ายในน่านน้ำที่ถูกควบคุมโดยจิตสำนึกของโพไซดอนอย่างมีความสุข โดยไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกควบคุมอยู่


เมื่อเห็นดังนั้น ฉินสือโอวก็ควบคุมลูกฉลามเสือทรายเผือกให้ว่ายกลับไปที่ฟาร์มปลาให้ไปเป็นเพื่อนกับเจ้าบอลหิมะ


ระหว่างทางกลับฉินสือโอวก็คิดว่าคงต้องตั้งชื่อให้เจ้าฉลามเสือทรายนี่สักหน่อย ตอนแรกเห็นตัวมันเป็นสีขาวก็เลยจะตั้งชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘สโนว์’


แต่พอลองมองดูดีๆ แล้ว สีของเจ้าฉลามเสือทรายเผือกกับสีของบอลหิมะแตกต่างกัน บอลหิมะนั้นตัวขาวราวกับน้ำนมบริสุทธิ์แต่เจ้าฉลามเสือทรายกลับเป็นขาวแบบซีดๆ และมีสีอมเทาเล็กน้อย ดูแล้วควรตั้งชื่อให้หนาวเย็นกว่านี้


พอดีกับที่เจ้าฉลามเสือทรายน้อยเห็นหอยสีดำตัวใหญ่จึงอ้าปากพุ่งเข้าใส่หมายจะกิน ทำให้ฉินสือโอวเห็นฟันที่คมราวกับใบมีดของมันเข้าจึงเกิดปิ๊งไอเดียและตั้งชื่อมันว่าไอซ์เสกต เพราะที่รองเท้าไอซ์เสกตก็มีใบมีดเหมือนกัน


อืม…เอาชื่อไอซ์สเกตนี่แหละ ฉินสือโอวตัดสินใจ


เจ้าไอซ์สเกตว่ายไปยังโขดหินที่มีหอยอยู่จำนวนหนึ่ง


หอยเหล่านี้มีเปลือกสีขาวอมเทาไม่ก็สีเทาออกเงินๆ ตัวที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดเท่ากับกระทะก้นแบนที่ใช้กับเตาแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งนับว่าเป็นหอยที่ตัวใหญ่เลยทีเดียว


ก่อนหน้านี้พวกหอยกำลังอ้าเปลือกเพื่อกินอาหารแต่พอเจ้าไอซ์สเกตว่ายเข้าไปพวกมันก็ค่อยๆ ปิดเปลือกเข้าหากัน


เจ้าไอซ์สเกตต้องการจะโจมตี แต่เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มันเจอกับสัตว์หน้าตาประหลาดนี้มันก็เลยไม่กล้าที่จะโจมตีตรงๆ สุดท้ายเปลือกหอยก็ปิดสนิทเหลือเพียงเปลือกเย็นๆ ให้เจ้าไอซ์สเกตได้เชยชม


ฉินสือโอวบังคับให้หอยตัวที่ใหญ่ที่สุดอ้าเปลือกออกเพื่อจะหัดให้เจ้าไอซ์สเกตล่าเหยื่อ


แต่พอเปิดเปลือกหอยออก เขาก็พบว่าในเปลือกหอยนั้นมีไข่มุกสีดำเม็ดใหญ่เม็ดเล็กอยู่เต็มไปหมด!


เนื่องจากไข่มุกเหล่านี้ยังคงถูกห่อหุ้มด้วยเนื้อหอยจึงมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร แต่จิตสำนึกแห่งโพไซดอนนั้นทำให้ฉินสือโอวรับรู้และสัมผัสถึงไข่มุกสีดำเหล่านั้นได้


ไข่มุกสีดำที่อยู่ในเปลือกหอยนั้นมีขนาดแตกต่างกันและไม่ได้กลมทั้งหมด พูดได้ว่าเม็ดที่กลมนั้นมีน้อยมากจริงๆ


แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกตื่นเต้นได้แล้ว ไอซ์สเกตพุ่งเข้ามาเพื่อจะโจมตี ฉินสือโอวจึงต้องรีบห้ามเอาไว้ก่อน เขามองดูรอบๆ หอยที่มีเปลือกสีเทาออกเงินแล้วคิดว่านี่น่าจะใช่หอยนางรมลอย


หอยนางรมลอยเป็นหอยที่มีค่าชนิดหนึ่ง พบเห็นได้น้อยมากในแคนาดา หอยชนิดนี้ส่วนใหญ่เติบโตแถวแนวปะการังของเฟรนช์พอลินีเชีย, หมู่เกาะคุก, เกาะปานามาและอ่าวเม็กซิโก เคยมีการค้นที่ฟาร์มปลาในรัฐนิวฟันด์แลนด์ของแคนาดาครั้งหนึ่งซึ่งก็เป็นเวลานานมากกว่ายี่สิบปีมาแล้ว


หอยนางรมลอยพวกนี้มาจากอ่าวเม็กซิโกอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนที่พวกมันยังเล็กมันอาจจะติดกับตัวปลามาและคาดว่ามันคงหลุดจากปลาตอนที่มาถึงที่นี่ นอกจากนี้แล้วที่นี่ยังเป็นที่ที่กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมไหลผ่าน พวกมันก็เลยมีชีวิตอยู่ได้


ตอนนี้ไม่สามารถเอามันกลับไปด้วยได้ ฉินสือโอว


เจ้าไอซ์สเกตนั้นยังเด็กอยู่มาก อายุของมันยังไม่ถึงหนึ่งวันเลยด้วยซ้ำ มันช่างไร้เดียงสาจริงๆ หลังจากที่มันว่ายน้ำไปได้สักพักมันก็ลืมเรื่องที่ฉินสือโอวเปิดเปลือกหอยให้มันแต่ไม่ยอมให้มันกินเนื้อหอยไปเสียสนิท แล้วมันก็ว่ายน้ำอยู่ในวังวนของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนต่อไปอย่างมีความสุข


เนื่องจากมีจิตสำนึกแห่งโพไซดอนคอยสนับสนุน เจ้าไอซ์สเกตก็เลยไม่รู้สึกเหนื่อยจนว่ายเข้ามาถึงฟาร์มปลา


บอลหิมะว่ายเข้ามาต้อนรับ ไอซ์สเกตเด็กว่าบอลหิมะมาก มันมองบอลหิมะแล้วก็หมุนตัวกลับเพราะกลัว


จนฉินสือโอวต้องปลอบให้มันยอมเข้าใกล้เจ้าบอลหิมะ บอลหิมะตื่นเต้นที่ในที่สุดมันก็มีเพื่อนเสียทีจึงรีบว่ายไปหาเจ้าไอซ์สเกตด้วยความเร็ว เจ้าไอซ์สเกตตกใจกลัวจนว่ายน้ำไปมามั่วไปหมด


พอพวกมันสองตัวคุ้นเคยกันแล้ว ก็ถึงคราวที่ปลาตัวอื่นๆ จะตกใจกันบ้างแล้ว โดยเฉพาะเจ้าพวกฉลามกบมันเดย์ถึงซันเดย์ทั้งเจ็ดตัวที่ปกติเจ้าบอลหิมะก็ชอบแกล้งพวกมันอยู่แล้ว ตอนนี้เพื่อแสดงความเป็นเพื่อนต่อไอซ์สเกต มันจึงตัดสินใจชวนไอซ์สเกตแกล้งพวกฉลามกบด้วยกัน


ฉินสือโอวมองดูอยู่สักพัก เห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรก็เตรียมจะกลับไปปลุกทุกคนลงจากเขา


…………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)