พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1449-1458

 บทที่ 1449 แผนการลงโทษ

Ink Stone_Fantasy

 


 ซ่างก่วนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนเซ็งนิดหน่อย ทั้งสองไม่ได้ไปล่วงเกินโพ่จวิน แต่ผลปรากฏว่าพอประตูเมืองไฟไหม้ ส่งผลร้ายถึงปลาในบ่อ[1] โดนเจ้าล่อโง่ตัวนั้นตำหนิไปยกหนึ่งแล้ว ทำเอาพวกเขาดูเหมือนขุนนางชั่วอย่างนั้นแหละ


เกาก้วนยังคงยืนอยู่อย่างนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย


ราชินีสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานโดนโพ่จวินด่าต่อหน้าฝูงชนจนกลายเป็นกองอุจจาระสุนัขแล้ว ด่าจนดูไร้ค่าไร้ราคา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อยากจะบดขยี้ร่างโพ่จวินให้แหลกจริงๆ แต่นางดันทำอะไรโพ่จวินไม่ได้ โพ่จวินเถียงฝ่าบาทขนาดนี้ แต่ฝ่าบาทยังปล่อยเขาไป นางโมโหจะตายอยู่แล้ว!


ถึงแม้คนจะไปแล้ว แต่ในตำหนักใหญ่เหมือนยังมีเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดระหว่างโพ่จวินกับประมุขชิงดังก้องอยู่


คนในตำหนักเงียบงันพลางมองประเมินประมุขชิงที่โมโหจนหอบหายใจ ทุกคนไม่พูดอะไรทั้งนั้น ต่างก็รู้ว่าตอนนี้ประมุขชิงกำลังหัวร้อน โพ่จวินโต้แย้งกับประมุขชิงจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว คาดว่าประมุขชิงก็คงชินแล้วเช่นกัน แต่เรื่องที่โพ่จวินทำก็ใช่ว่าคนอื่นจะทำเหมือนกันได้


โพ่จวินทำตามหลักการโดยไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าจู่ๆ คนอื่นทำแบบนี้บ้าง ประมุขชิงก็จะต้องสงสัยในเจตนาของเจ้าแล้ว


หลังจากผ่านไปนาน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถึงได้กล้าถามออกมาว่า “ฝ่าบาท โจรชรานั่นไร้มารยาท ส่งหนิวโหย่วเต๋อนั่นให้หม่อมฉันจัดการดีไหมเพคะ?”


เกาก้วนและคนอื่นๆ เหล่ตามองแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเล่นบ้าอะไร วุ่นวายถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะกล้าลงมือกับหนิวโหย่วเต๋ออีกเหรอ? เดิมทีอีกฝ่ายก็อยากจะถอดเจ้าออกจากตำแหน่งอยู่แล้ว ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างโพ่จวิน ถ้าไปยั่วโมโหเขา เจ้าคิดว่าเขาจะไม่กล้าใช้กำลังทหารโจมตีเข้าวังหลังแล้วประหารก่อนค่อยรายงานโดยอ้างว่า ‘กวาดล้างคนเลวข้างกายราชัน’ เหรอ?


ประมุขชิงกวาดสายตาเย็นเยียบ แล้วตะคอกว่า “ออกไปให้หมด!”


“ฝ่าบาท…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังคิดจะพูดอีกสองสามประโยค ผลปรากฏว่าประมุขชิงถลึงตาอย่างดุดัน ทำให้นางตกใจจนต้องกลืนคำพูดกลับไป แล้วกล่าวเสียงอ่อนปวกเปียกว่า “หม่อมฉันขอตัว!”


หลังจากนางออกไปแล้ว ประมุขชิงถึงได้ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยว ปากยังคงพึมพำด่าอย่างเคียดแค้นไม่หยุดว่า “ตาแก่ปัญญาทึบ!”


“ฝ่าบาท!” ซือหม่าเวิ่นเทียนถามหยั่งเชิง


“มีเรื่องอะไร?” ประมุขชิงกวาดสายตาพร้อมเอ่ยถามถาม


ซือหม่าเวิ่นเทียนเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวงให้ฟังรอบหนึ่ง เริ่มตั้งแต่ตอนที่เกาก้วนเข้าไปในจวนแม่ทัพภาค เรื่องพวกนี้เกาก้วนเล่าไปแล้ว แต่ยังมีเรื่องบางอย่างที่เกาก้วนยังไม่รู้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเกาก้วนออกไปแล้ว


ตอนที่ได้ยินว่าโพ่จวินให้รางวัลลูกน้องของเหมียวอี้ เลื่อนยศให้ลูกน้องเหมียวอี้สองขั้น แต่กลับไม่ได้ให้รางวัล ‘ผู้สร้างผลงานใหญ่’ อย่างเหมียวอี้ สีหน้าโกรธเคืองของประมุขชิงก็เบาบางลง มองออกว่าโพ่จวินยังรู้จักบันยะบันยัง ออกหน้าปกป้องเหมียวอี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การที่เหมียวอี้จาบจ้วงอำนาจบารมีสวรรค์ก็เป็นเรื่องจริง โพ่จวินเองก็ไม่ได้ชื่นชมที่เหมียวอี้ทำแบบนั้น


โดยเฉพาะประโยคที่บอกว่า ‘รู้ทั้งรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งและมีอำนาจ แต่ก็ยังปฏิบัติตามคำสั่งทหารอย่างไม่ลังเล เห็นความตายเหมือนการกลับบ้านเก่า นี่ต่างหากคือจิตใจหยิ่งทระนงที่หน่วยองครักษ์ซ้ายควรจะมี ถ้าไม่มีจิตใจที่หยิ่งทระนงระดับนี้แล้วกลายเป็นนกสองหัวกันหมด แล้วจะเอาอะไรมาจงรักภักดีต่อฝ่าบาท!’


จากสิ่งนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าโพ่จวินทำไปก็เพื่อสร้างขวัญกำลังใจทหาร และก็เป็นอย่างที่โพ่จวินบอก กลายเป็นนกสองหัวกันหมด แล้วจะเอาอะไรมาจงรักภักดีต่อประมุขชิง


สิ่งนี้ก็พิสูจน์ได้เช่นกันว่าการที่โพ่จวินปกป้องหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจุดประสงค์ ความจริงคืออยากจะอาศัยเรื่องนี้มาโน้มน้าวเขา


อ่านนิยายคลิก


ประโยค ‘จงรักภักดีต่อฝ่าบาท’ นั้นเทียบเท่าพันคำพูดหมื่นคำจา ความเดือดดาลที่ประมุขชิงข่มไว้ในใจหายไปแล้ว สีหน้าท่าทางก็สงบลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน สำหรับเรื่องที่ขว้างของใส่หน้าโพ่จวินจนหัวแตกด้วยความโมโหเมื่อครู่นี้ เขาเองก็เสียใจอยู่บ้างเหมือนกัน


หลังจากเงียบไปนาน ประมุขชิงก็กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “หรือว่าข้าทำผิดไปแล้วจริงๆ? หรือว่าข้าเลี้ยงสาวงามไว้ในวังสวรรค์เยอะเกินไปจริงๆ? อย่าบอกนะว่าในสายตาของคนในใต้หล้า ข้ากลายเป็นพวกบ้าผู้หญิงไปแล้ว?” สายตามองไปที่ซือหม่าเวิ่นเทียน เห็นได้ชัดว่าให้เขาตอบก่อน


ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “โพ่จวินก็นิสัยเจ้าอารมณ์แบบนั้นขอรับ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำตามอารมณ์ ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ” ในใจพูดเสริมอีกว่า ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ฆ่าเขาอยู่ดี และไม่มีทางยอมรับคำตำหนิด้วย กับเรื่องแบบนี้ สำคัญด้วยเหรอว่าพวกเราจะพูดอะไร?


ซ่างก่วนชิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ฝ่าบาท ไม่ว่าเหตุผลที่ฟังคล้ายจะจริงของโพ่จวินจะถูกต้องหรือไม่ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ การโจมตีบุกยึดใต้หล้านั้นยาก แต่การปกครองใต้หล้านั้นยากกว่า เรื่องราวในใต้หล้านี้ ที่จริงก็เป็นเรื่องราวในครอบครัวของฝ่าบาท การบุกยึดใต้หล้าต้องอาศัยกำลังทหารกวาดล้างนั้นเป็นเรื่องปกติ อย่างไรเสียหลังจากโจมตีพังแล้วก็ต้องสร้างขึ้นใหม่ วุ่นวายนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก การปกครองบ้านตัวเองจะให้ใช้กำลังชกต่อยกันตั้งแต่เช้ายันค่ำเชียวหรือ ถ้าสู้กันจนบ้านพังแล้วจะถือว่าบ้านเป็นของใครล่ะ? ถ้าใช้วิธีการแข็งกร้าวกับทุกเรื่องจริงๆ อย่าว่าแต่ฝ่าบาทเลย คนที่ร่วมติดตามบุกยึดใต้หล้ากับฝ่าบาทในปีนั้นจะเป็นกลุ่มแรกที่ไม่เห็นด้วย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ โพ่จวินเชี่ยวชาญการรบ แต่กลับไม่เชี่ยวชาญการปกครองใต้หล้า การที่เขาพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ก็ไม่แปลกอะไร และพวกเราเองต่างก็รู้ดี ว่าฝ่าบาทไม่ใช่คนหมกมุ่นในนารี ถึงแม้วังสวรรค์จะมีสาวงามเยอะดั่งเมฆ แต่คนที่ฝ่าบาทเคยแตะต้องจริงๆ กลับมีไม่เยอะ ที่จริงสาวงามของวังสวรรค์เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าฝ่าบาทคือประมุขแห่งใต้หล้า ไม่ได้แย่อย่างที่โพ่จวินบอกขอรับ!”


คำพูดพวกนี้ ประมุขชิงฟังแล้วสบายใจ ไม่ผิดหรอก! สาวงามของวังสวรรค์เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น!


โดนโพ่จวินต่อว่าจนทั้งคิดทบทวนทั้งสับสน ในใจเรียกได้ว่าวุ่นวายไปหมดแล้ว ในที่สุดตอนนี้ก็หาเหตุผลที่ทำให้อารมณ์ตัวเองสงบลงได้แล้ว จึงแสยะยิ้มบอกว่า “ตาแก่ปัญญาทึบ ไม่คู่ควรจะมาปรึกษาหารือกับข้าหรอก!”


ชั่วพริบตาเดียวก็กลับมาใจเย็นและสุขุมเหมือนเดิมแล้ว มองสำรวจคนที่อยู่ตรงนั้นพร้อมถามว่า “เรื่องของหนิวโหย่วเต๋อนั่น ทุกคนคิดว่าควรจะจัดการอย่างไร?”


พอกล่าวคำนี้ออกมา เขาเองก็ค่อนข้างกลุ้มใจ ไม่น่าเชื่อว่าคนกลุ่มหนึ่งจะใช้สมองเยอะขนาดนี้เพื่อแม่ทัพภาคเล็กๆ คนเดียว


พวกเขาก็รู้เช่นกันว่าพอโดนโพ่จวินทำแบบนี้ เวลาจะลงโทษขึ้นมาก็จัดการยากนิดหน่อย โพ่จวินดันทุรังออกหน้าปกป้องคน ผลักความรับผิดชอบมาไว้ที่ตัวเอง แต่ถ้าปล่อยหนิวโหย่วเต๋อไปแบบนี้ จะให้ราชันสวรรค์ที่โดนหักหน้าอย่างเขาหาทางลงได้อย่างไร?


ทุกคนเงียบงัน ประมุขชิงจึงเรียกชื่อ “เกาก้วน เจ้าคือคนที่รับหน้าที่สอบสวนและบังคับใช้กฎหมาย”


เกาก้วนตอบเสียงเรียบว่า “โพ่จวินอวดดีอย่างบ้าระห่ำ บังอาจขัดขวางคำสั่งของฝ่าบาท ตามความเห็นของข้าน้อย ควรจะตักเตือนโพ่จวินสักหน่อย ตัดหัวหนิวโหย่วเต๋อขอรับ เพื่อไม่ให้ใครเอาเยี่ยงอย่าง ไม่อย่างนั้นถ้าให้ท้ายแบบนี้ต่อไป ในอนาคตเกรงว่าจะมีโพ่จวินคนที่สอง!”


ซือหม่าเวิ่นเทียนเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง คำตอบนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับไม่ได้ตอบ


ประมุขชิงเลิกคิ้วเล็กน้อย โพ่จวินคนที่สอง? มีโพ่จวินอีกคนไม่ดีงั้นเหรอ?


เขาเองก็มองไปที่เกาก้วนโดยจิตใต้สำนึกเช่นกัน ถามเสียงเรียบว่า “ทูตขวาเกาชื่นชมหนิวโหย่วเต๋อมากไม่ใช่ หรือเป็นเพราะก่อนหน้านี้ความเหย่อหยิ่งอวดดีของโพ่จวินที่จวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวงไปขัดใจทูตขวาเกาแล้ว? หรือเป็นเพราะเมื่อครู่นี้โพ่จวินเพิ่งด่าเจ้าว่าอาจไม่ใช่ขุนนางที่จงรักภักดี?”


เกาก้วนตอบว่า “แต่ไหนแต่ไรมา ข้าก็น้อยเจาะจงเหตุการณ์ไม่เจาะจงคน ในเมื่อฝ่าบาทกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอแนะนำว่าให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ปล่อยหนิวโหย่วเต๋อไปก็สิ้นเรื่องแล้วขอรับ”


“ถ้าปล่อยเขาไปแบบนี้ ก็เท่ากับข้าไว้หน้าโพ่จวิน แล้วหน้าของอ๋องสวรรค์อิ๋งล่ะ เขาจะทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร?” ประมุขชิงถาม


พวกเขาพึมพำในใจว่า หน้าของอ๋องสวรรค์อิ๋งเป็นเรื่องรอง เกรงว่าจะเป็นเจ้าเองที่รู้สึกเสียหน้าไม่ได้มากกว่ามั้ง?


เพียงแต่ทิศทางของปัญหาก็ชัดเจนมากแล้ว โดนโพ่จวินเข้ามาประโสมโรงแบบนั้น ประมุขชิงไม่มีความคิดที่จะฆ่าหนิวโหย่วเต๋ออีกแล้ว เพียงแต่การลงโทษนั้นเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าลงโทษเบาไปเขาก็ขายหน้า จะอธิบายกับทางตระกูลอิ๋งไม่สะดวก ถ้าลงโทษแรงไป ก็กลัวว่าทางโพ่จวินจะก่อเรื่องอีก


“ส่งไปที่ ‘แดนมรณะดึกดำบรรพ์’ แบบนี้จะเป็นการไว้หน้าทั้งโพ่จวินทั้งอ๋องสวรรค์อิ๋ง” เกาก้วนกล่าว


“แดนมรณะดึกดำบรรพ์?” ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างก่วนชิงงงงัน ซ่างก่วนชิงขมวดคิ้วถามว่า “แบบนี้ต่างอะไรกับการส่งเขาไปตาย? กลิ่นอายสังหาร กลิ่นอายอัปมงคลในนั้นสามารถฆ่าเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย ถ้าอยากให้เขาตาย ทำแบบนี้ยุ่งยากเกินไปรึเปล่า”


ประมุขชิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ทูตขวาเกา เดี๋ยวถ้าโพ่จวินมาคิดบัญชีกับเจ้า เจ้าอย่ามาโทษว่าข้าไม่เข้าข้างเจ้านะ”


คลิกตรงนี้


จู่ๆ เกาก้วนก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “หรือว่าฝ่าบาทลืมไปแล้ว? เขาเป็นศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนี พวกกลิ่นอายสังหาร กลิ่นอายอัปมงคลน่าจะทำอะไรเขาไม่ได้ อสุราอัคนีผ่านการลับคมที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มา ถึงได้มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า”


ประมุขชิงชะงักไปชั่วครู่ แล้วขมวดคิ้วถามว่า “แต่อสุราอัคนีวรยุทธ์ไม่ธรรมดาตั้งแต่ก่อนเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว เขาเข้าไปจะทนไหวเหรอ?”


เกาก้วนตอบว่า “การที่สามารถฝึกตามก้าวของอสุราอัคนีได้ ก็ย่อมแปลว่ามีความสามารถเฉพาะตัวที่ดีกว่า ฝ่าบาทก็จะได้ทหารที่เข้มแข็งเกรียงไกรมาหนึ่งคน ถ้าไม่ไหวจริงๆ เขาก็ไม่ใช่คนโง่ คงไม่เข้าลึกไปในแดนมรณะจนยั่วโมโหสิ่งที่สู้ด้วยไม่ไหว แน่นอน ถ้าฝ่าบาทคิดว่าการลดตำแหน่งหรือใช้ทัณฑ์ทรมานหนิวโหย่วเต๋อสักยกจะทำให้ตระกูลอิ๋งรู้สึกว่ายุติธรรม ก็ไม่ต้องให้เขาไปก็ได้”


ประมุขชิงเงียบไป การให้คำอธิบายกับตระกูลอิ๋งเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญคือถ้าลงโทษเบาเกินไปเขาเองก็จะรู้สึกตงิดในใจ ขนาดก่อเรื่องใหญ่ในงานรับสนมของราชันสวรรค์ยังไม่โดนลงโทษหนักเลย แบบนี้คนในใต้หล้าจะมองอย่างไรล่ะ? อำนาจบารมีของเขาจะไปอยู่ไหนหมด?


ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างก่วนชิงสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าสองคนนี้กำลังแอบพึมพำอะไรกันอยู่


สุดท้ายก็เห็นประมุขชิงพยักหน้า แล้วประกาศว่า “ลงโทษให้เขาไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ นี่เป็นการลงโทษที่เบาที่สุดแล้ว” กำหนดตามนี้แล้ว


ซือหม่ากับซ่างก่วนมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วก็มองไปที่เกาก้วนด้วยสายตาตั้งคำถาม แต่เกาก้วนแสร้งทำเป็นไม่เห็น


“ฝ่าบาท ไปดำเนินการตอนนี้เลยใช่มั้ยขอรับ?” ซ่างก่วนชิงถาม


“พรุ่งนี้ค่อยประกาศแล้วกัน วันนี้เป็นวันมหามงคลของข้า ตาแก่ปัญญาทึบนั่นจะได้ไม่มาทำลายอารมณ์สุนทรีของข้าอีก” ประมุขชิงลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา เรื่องนี้มีบทสรุปแล้ว เขาเองก็เบาใจลงไม่น้อยแล้วเช่นกัน โบกมือบอกว่า “นำทาง อย่าให้สนมสวรรค์รอนาน”


ซ่างก่วนชิงยื่นมือนำทางอยู่ข้างหน้าทันที จากนั้นก็เดินตามกันไป


เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนที่เดินตามออกมาจากในตำหนักย่อมตามไปอีกไม่ได้ ทั้งสองหยุดยืนมองตามอยู่นอกตำหนัก ซือหม่าเวิ่นเทียนแอบส่ายหน้า เมื่อครู่นี้ยังบอกอยู่เลยว่าตัวเองไม่ใช่คนลุ่มหลงในนารี ตอนนี้ดันรีบไปนอนกกหลานสาวของอิ๋งจิ่วกวง


เกาก้วนชำเลืองมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย เรื่องบางเรื่องเขาเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน เรื่องวางกับดักที่ตลาดผีเป็นความคิดของเขา แต่เขานึกไม่ถึงว่าประมุขชิงจะเข้ามาแทรกวางแผนการมากมายขนาดนี้ ในที่สุดตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขชิงถึงต้องการจะผลักจ้านหรูอี้ไปอยู่หน้าเวที


ลมพัดแรงแสงจันทร์กระจ่าง แสงสีเงินส่องสว่างปูพื้นแผ่นดิน


บนภูเขาลูกหนึ่งของจวนแม่ทัพภาคที่อยู่ไกลๆ เหมียวอี้ยืนเงยหน้ามองแสงจันทร์กระจ่างอยู่ริมหน้าผา


“นายท่านไม่ต้องกังวล มีท่านนายท่านโพ่จวินออกหน้าให้แล้ว น่าจะไม่มีเรื่องใหญ่อะไรค่ะ” เฟยหงเดินมาพูดโน้มน้าวข้างหลังเขา


“เจ้ามาได้ยังไง?” เหมียวอี้ถามโดยไม่หันกลับมา


เขาอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียว สั่งไว้แล้วว่าไม่ให้คนตามมา


“ที่นี่ลมพัดแรงค่ะ” เฟยหงสะบัดผ้าออกมาคลุมบ่าให้เขา


ลมแรงจริงๆ ผ้าคลุมบนบ่าปลิวสะบัดอย่างรุนแรง เหมียวอี้หันตัวมา แล้วยื่นมือช้อนคางนาง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ได้เห็นเจ้าเต้นมานานแล้ว ท่วงท่ายามเฟยหงเต้นระบำใต้แสงจันทร์คงจะมีเสน่ห์ไปอีกแบบ”


เฟยหงยิ้มอย่างอ่อนหวานพราวไปด้วยเสน่ห์ นางก้าวถอยหลังช้าๆ แล้วกางแขนสองข้างอยู่ท่ามกลางสายลมอย่างอ่อนช้อย เอวเพรียวบาง กระโปรงปลิวสะบัด ราวกับจะถูกลมพัดไป


……………………………………..


[1] ประตูเมืองไฟไหม้ ส่งผลร้ายถึงปลาในบ่อ 城门失火殃及池鱼 อุปมาว่าได้รับผลกระทบไปด้วย เหมือนเวลาไหม้กำแพงแล้วคนมาวิดน้ำไปดับไฟจนน้ำแห้งปลาตาย


บทที่ 1450 ทำบ้าอะไรกัน

Ink Stone_Fantasy

 


เสียงมังกรคำรามดังขึ้น เฟยหงที่กำลังเต้นระบำอย่างอ่อนช้อยค่อยๆ หยุดอยู่ท่ามกลางสายลม แล้วมองเหมียวอี้ถือทวนรำอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ท่าทวนมีพลังน่าทึ่งราวกับเป็นมารคลั่ง


รอจนกระทั่งเหมียวอี้ใช้ทวนปักลงพื้นแล้วประคองทวนยืนเงียบๆ เฟยหงถึงได้เดินช้าๆ เข้ามาคล้องแขนเขา แล้วถามเบาๆ ว่า “ข้าไม่เข้าใจเลยค่ะ ทำไมนายท่านถึงทำเรื่องที่บุ่มบ่ามไร้เหตุผลแบบนั้น จนนำปัญหายุ่งยากมาให้ตัวเองแบบนี้?”


เหมียวอี้หันกลับมา แล้วจ้องมองอย่างแฝงความหมายล้ำลึกพักหนึ่ง ก่อนที่สายตาจะย้ายออกจากใบหน้างามเลิศล้ำที่ปอยผมปลิวมตามลม ขณะที่ทอดสายตามองไปไกลก็อ้างว่า “ข้ากับจ้านหรูอี้มีความแค้นต่อกัน ถ้านางได้กลายเป็นสนมสวรรค์ นางจะไม่มาหาเรื่องข้าหรอกเหรอ และนางก็เป็นสนมสวรรค์ไปแล้ว ข้าจะทำอะไรได้ล่ะ?”


ที่แท้ก็เป็นเช่นกัน! เฟยหงแอบพยักหน้า นางอยากรู้คำตอบของคำถามนี้ เป็นคำถามที่เบื้องบนให้นางมาสืบหาคำตอบเช่นกัน


เหมียวอี้รอไปได้คืนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่รู้ผลว่าตำหนักสวรรค์จะลงโทษเขาอย่างไร การที่รอคอยอย่างเชื่องช้าไม่เห็นความจริงเสียทีเป็นรสชาติที่ทรมาน


พอฟ้าสว่าง โค่วหลิงซวีก็เปิดประตูเดินออกมา ผู้เฒ่าถังได้ยินเสียงจึงเข้ามาต้อนรับ ประโยคแรกที่ถามก็คือ “ยังไม่ได้ผลลัพธ์อีกเหรอ?”


“ยังขอรับ” ผู้เฒ่าถังส่ายหน้า


โค่วหลิงซวีเอามือลูบเคราพร้อมถามอย่างลังเล “อย่าบอกนะว่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ?”


ในเรือนพักอ๋องสวรรค์อิ๋ง บนทางเดินเล็กๆ ในสวนป่า อิ๋งจิ่วกวงเอามือไขว้หลังเดินเอ้อระเหย บางครั้งหยุดชื่นชมน้ำค้างบนกลีบดอกไม้ ดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่ความจริงไม่ได้สงบเยือกเย็นแบบนั้น การที่เขาอยู่ที่นี่ต่อโดยยังไม่ได้ไปไหน ก็เป็นการแสดงความไม่สงบใจอย่างหนึ่ง


เดิมทีเขาเตรียมจะกลับไปหลังจากเสร็จพิธีรับสนม แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะก่อเรื่อง เดิมทีไม่ได้คิดจะอยู่ต่อ  แต่พอได้รู้ข่าวว่าโพ่จวินออกหน้าช่วยเหลือถึงได้อยู่ต่อ อยากจะดูบทสรุปการลงโทษของประมุขชิง ใครจะคิดว่ารอไปได้ครึ่งคืนแล้วยังไม่ได้ข่าว รอไปอีกครึ่งคืนก็ยังไม่ได้ข่าวเช่นกัน ก็เลยรอมาตลอดจนฟ้าสว่าง


บทสรุปที่ไม่มีบทสรุปแบบนี้ เป็นเหมือนที่โค่วหลิงซวีคาดเดาเอาไว้ อย่าบอกนะว่าที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นเพราะโพ่จวินออกหน้าจริงๆ? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จะให้ตระกูลอิ๋งทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร?


ที่จริงการรออยู่ที่นี่โดยยังไม่ไปไหน ก็เป็นวิธีการกดดันประมุขชิงอย่างเงียบๆ แบบหนึ่ง ต้องการให้ประมุขชิงให้คำอธิบายแก่เขา เขาเชื่อว่าทางวังสวรรค์รู้ว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งยังอยู่ที่นี่ ยังไม่ได้ออกไปไหน


สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขาสิ้นหวังมาก ภายนอกเหมือนไม่ทุกข์ร้อน แต่ภายในใจเดือดแค้นอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่เพราะเหมียวอี้ แต่เป็นเพราะท่าทีของประมุขชิง ข้าเพิ่งจะให้หลานสาวแต่งงานกับเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ไว้หน้าตระกูลอิ๋งเลยแม้แต้น้อย เห็นตระกูลอิ๋งเป็นอะไรไปแล้ว?


เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ถ้าประมุขชิงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เช่นนั้นเขาก็จะไม่เกรงใจแล้ว ทำได้เพียงใช้วิธีการที่แข็งกร้าวแล้ว


ในเมื่อประมุขชิงไม่ลงโทษเหมียวอี้ เช่นนั้นเขาก็จะลงโทษเอง!


แน่นอน เขาไม่ลงมือด้วยตัวเองหรอก เขาออกไปจากที่นี่ก็ได้ แต่ตระกูลอิ๋งมีคนที่ทนข่มความโมโหนี้ไม่ไหว จะไปปลิดชีพเหมียวอี้โดยตรง เป็นอารมณ์ชั่ววูบล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับตระกูลอิ๋ง เดี๋ยวต่อไปเขาก็จะเอาเยี่ยงอย่างโพ่จวินเช่นกัน ออกหน้าขอร้องด้วยตัวเอง ไม่มีเหตุผลที่จะไว้หน้าโพ่จวินแต่ไม่ไว้หน้าตระกูลอิ๋ง


ผ่านไปไม่นาน อ๋องสวรรค์ทั้งสองก็ได้รับข่าว ว่าโพ่จวินถูกเรียกเข้าวังไปแล้ว จากนั้นวังสวรรค์ก็มีคนได้รับคำสั่งให้นำทหารสวรรค์หลายคนไปที่จวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวง


อ๋องสวรรค์ทั้งสองกระปรี่กระเปร่าขึ้นมาแล้ว คงจะได้บทสรุปการลงโทษออกมาแล้ว


อิ๋งจิ่วกวงอยากจะเห็นว่าประมุขชิงจะให้คำตอบที่ตนพอใจได้หรือไม่


แต่เป็นเพราะสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง ประมุขชิงทำให้คนครุ่นคิดหาคำตอบว่ามีเจตนาอะไรกันแน่ โค่วหลิงซวีก็กำลังตั้งตารอเช่นกัน ถ้าโพ่จวินกับอิ๋งจิ่วกวงสู้กันแล้วเหมียวอี้ยังหนีไม่พ้นความตาย ก็แสดงว่าถึงคราวที่เขาจะต้องออกหน้าแล้ว เขาจะต้องเริ่มดึงตัวมาเป็นหลานเขย


เขาเทียบกับโพ่จวินไม่ได้ กำลังของเขาไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่เดียว ถ้าเขาลงมือ ประมุขชิงกับอิ๋งจิ่วกวงก็จะต้องยอมถอยหนึ่งก้าวเช่นกัน สาเหตุก็ไม่ซับซ้อน จุดประสงค์ที่อิ๋งจิ่วกวงส่งหลานสาวเข้าวังคืออะไรล่ะ? ถ้าอาศัยตระกูลอิ๋งตระกูลเดียวเพื่องัดข้อกับตระกูลเซี่ยโห้ว ก็มีความเป็นไปได้น้อยที่ตระกูลอิ๋งจะได้เปรียบ จะต้องดึงอำนาจในวังของอีกสามอ๋องสวรรค์มาช่วยจ้านหรูอี้แน่นอน ในวังเป็นเพียงหนึ่งในสนามการต่อสู้เท่านั้น นอกวังต่างหากที่เป็นสนามที่ใช้รบซึ่งๆ หน้ากับตระกูลเซี่ยโห้ว อิ๋งจิ่วกวงไม่มีทางดึงดันจะเล่นงานให้หลานเขยของเขาตายโดยไม่สนใจผลประโยชน์ที่จะได้มาเพียงชั่วอึดใจเดียวหรอก มีแต่จะยอมถอยให้


หลักการเดียวกัน ถ้าประมุขชิงไม่อยากให้จุดประสงค์ที่รับจ้านหรูอี้เข้าวังพังลง ไม่อยากผลักตระกูลโค่วไปอยู่ฝ่ายตระกูลเซี่ยโห้ว ก็ต้องยอมถอยเช่นกัน


อ่านที่แรก


คนที่รอบทสรุปไม่ใช่แค่คนพวกนี้ ทุกคนของกองมังกรดำให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากที่สุดเช่นกัน ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพภาคจะมีจุดจบเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่ามีพี่น้องในกองทัพตั้งเท่าไรกำลังจับจ้องมาที่จวนแม่ทัพภาค


ครั้งนี้ไม่มีตัวละครใหญ่ๆ โผล่หน้ามาอีก แต่การปรากฏตัวของพ่อบ้านเล็กๆ จากวังสวรรค์ก็ทำให้กำลังพลของกองมังกรดำจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันทันที มาล้อมอยู่นอกตำหนักใหญ่ของจวนแม่ทัพภาค


“แดนมรณะดึกดำบรรพ์!”


หลังจากพ่อบ้านที่อยู่ในตำหนักใหญ่ประกาศบทสรุปการลงโทษแล้ว นอกตำหนักก็ฮือฮาทันที มีเสียงพูดคุยหลายปากดังขึ้น ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าท่านแม่ทัพภาคจะโดนลงโทษด้วยวิธีการแบบนี้


เหมียวอี้ที่ฟังการลงโทษอยู่ในตำหนักก็งุนงงเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะคุมตัวเขาไปรับโทษที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ แบบนี้หมายความว่าอะไร? การลงโทษข้าจำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้เลยเหรอ? ถ้าอยากจะให้ข้าตายก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้ก็ได้


หยางชิ่งและคนอื่นๆ ก็ทำสีหน้าแตกต่างกันไป บ้างก็ขมวดคิ้วมุ่น บ้างก็ทำสีหน้ากังวลใจ


พ่อบ้านที่ประกาศคสั่งเสร็จแล้วนำทหารสวรรค์หลายคนออกไปทันที ทิ้งไว้เพียงแม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่ชื่อว่าเหวินเจ๋อ


เหวินเจ๋อมองทุกคนในตำหนักพลางหรี่ตายิ้ม หลังจากเหมียวอี้ไปรับโทษที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ เขาก็จะต้องมารับตำแหน่งพ่วงในการคุมกองมังกรดำ เพียงแต่ตำแหน่งสำคัญของเขายังอยู่ที่วังสวรรค์ โพ่จวินเลือกให้เขามาดูแลงานของกองมังกรดำ


กวาดสายตามองรอบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็มาหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “หนิวโหย่วเต๋อ มัวเหม่ออะไรอยู่ล่ะ ใช้เวลาแค่หนึ่งพันปีเท่านั้นเอง ไม่นานก็ผ่านไปแล้ว คิดเสียว่าไปฝึกตนสงบๆ ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็แล้วกัน”


“หนึ่งพันปีเหรอ? หลังจากข้าไปแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตรอดได้สักกี่ชั่วยาม” เหมียวอี้เยาะเย้ยตัวเอง


แดนมรณะดึกดำบรรพ์ เขาเองก็เคยได้ยินมานานแล้ว เป็นอาณาเขตที่ถูกครอบครองโดยเผ่ามังกรและเผ่าหงส์เฟิ่งหวง เดิมทีเรียกว่า ‘ถ้ำมังกรรังหงส์’ เหมือนจะมีมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว แต่ไม่รู้ชัดว่าสภาพเป็นอย่างไร รู้เพียงว่าอันตรายมาก ได้ยินว่าถ้าวรยุทธ์ไม่ถึงระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ถ้าเข้าไปในนั้นก็แทบจะเป็นการรนหาที่ตาย เหมือนจะโดนตำหนักสวรรค์ปิดทางเข้าออกไว้นานแล้ว กลายเป็นแดนมรณะที่รกร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกลืม เขาคิดไม่ตกว่าทำไมต้องเอาเขาไปที่ไว้ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อรับโทษ


เหวินเจ๋อหัวเราะเบาๆ มองคนอื่นในตำหนัก แล้วตบบ่าเหมียวอี้พร้อมบอกว่า “ไปเถอะ! ไปหาที่สงบๆ คุยกัน”


เหมียวอี้อึ้งทันที มองออกว่าเขาเหมือนจะอยากคุยกับตนแบบหลีกเลี่ยงคนอื่น จึงยื่นมือเชิญ “เชิญนายท่าน!”


ท่ามกลางสายตาที่สนใจของทุกคน ทั้งสองไปที่ลานบ้านด้านหลัง พาหาที่ลับตาได้แล้วก็เดินเตร่เคียงบ่ากันไปตอนนี้เหวินเจ๋อถึงได้เอ่ยปากกล่าวอย่างสนใจว่า “น้องชายเอ๊ย! กล้าตบหน้าตระกูลอิ๋งในงานพิธีรับสนมของฝ่าบาท ทั้งยังสะเทือนไปถึงผู้บัญชาการองครักษ์ให้ต้องมาขอร้องให้เจ้า ตอนนี้ที่หน่วยองรักษ์ซ้ายมีใครไม่รู้จักหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังบ้าง อนาคตยาวไกลไร้ขอบเขตเชียวนะ!”


เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าเครียดทันทีว่า “คนใกล้จะตายอยู่แล้ว เหตุใดนายท่านต้องเอาข้าไปล้อเล่น นายท่านพูดมาตรงๆ ดีกว่า”


เหวินเจ๋อยกมือขึ้นปัดกิ่งไม้ที่เข้ามาโดนหน้า พลางบอกว่า “อย่างอื่นข้าไม่รู้หรอก ข้ารู้เพียงว่าเช้านี้ผู้บัญชาการองครักษ์เข้าวังเพื่อไปต่อต้านไม่ให้ลงโทษเจ้าด้วยการส่งเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ตอนหลังไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไร ผู้บัญชาการองครักษ์ส่งให้ข้ามาคุมกองมังกรดำอีก เจ้ายังมองเจตนาไม่ออกอีกเหรอ?”


เหมียวอี้มีความคิดบางอย่างโผล่ขึ้นมารางๆ แต่ก็ไม่กล้าแน่ใจ ถึงได้บอกว่า “ไม่เข้าใจความหมาย นายท่านได้โปรดชี้แนะ”


เหวินเจ๋อยิ้มพร้อมบอกว่า “ไม่ซับซ้อนเลย ถ้าจะส่งคนมารับช่วงต่อกองมังกรดำ ก็ไม่จำเป็นต้องส่งคนระดับข้ามาหรอก ชัดเจนว่ายังรักษาตำแหน่งให้เจ้าอยู่ นอกจากนี้เจ้าสังเกตเห็นมั้ย? เบื้องบนบอกเพียงว่าจะคุมตัวเจ้าไปขังในแดนมรณะแค่หนึ่งพันปี ไม่ได้บอกว่าจะถอดเจ้าออกจากตำแหน่ง ไม่ได้ลดยศของเจ้า แถมยังไม่ลดค่าจ้างด้วย แบบนี้เท่ากับอธิบายปัญหาชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ”


เหมียวอี้สายหน้า “เกรงว่าจะรู้ว่าหลังจากข้าไปที่นั่นแล้วจะตายแน่นอน ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากอีกกระมัง”


คลิกตรงนี้


เหวินเจ๋อโบกมือ “ข้ามาคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว ก็เพราะผู้บัญชาการองครักษ์มีบางอย่างฝากมาบอก สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ได้มีผลกระทบต่ออสุราอัคนีมากนัก น่าจะไม่มีผลกระทบต่อเจ้ามากเช่นกัน…”


นี่มันหลักการอะไรกัน? เหมียวอี้งุนงง “หมายความว่ายังไงขอรับ?”


“เจ้าไม่เข้าใจความหมายเหรอ? ข้ายังนึกว่าเจ้าเข้าใจความหมายเลย ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” เหวินเจ๋อแปลกใจ


“เอ่อ…” ไม่นานเหมียวอี้ก็รู้ตัวแล้ว จำได้ว่าตอนแรกที่เกาก้วนมาสืบภูมิหลังของตน ก็เคยถามถึงสถานะอย่างอย่าง ตนเหมือนจะยอมรับไปแล้วว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนี พอนึกถึงตรงนี้ก็ปวดประสาทนิดหน่อย อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะแบบนี้ถึงได้จับตนไปโยนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ตอนนี้ต้องโดนวางกับดักตายแน่นอน


พอเข้าใจแล้ว เขาก็เอามือลูกจมูกพร้อมตอบว่า “เหมือนจะเข้าใจแล้ว”


“เข้าใจก็ดีแล้ว” เหวินเจ๋อพยักหน้า แล้วบอกพูดต่อว่า “ทางที่ดีเจ้าอย่าเข้าไปลึก อย่าไปหาเรื่องสิ่งที่สู้ด้วยไม่ไหว ให้อยู่บริเวณทางเข้าแล้วตั้งใจฝึกตน ส่วนค่าจ้างในแต่ละปีของเจ้า เดี๋ยวจะแลกเป็นทรัพยากรฝึกตนแล้วส่งเข้าไปให้เจ้า จุจุ จุดประสงค์ชัดเจนเกินไปแล้ว ชัดเจนว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไรแน่นอน น้องชายเอ๊ย ขนาดข้ายังอิจฉาเจ้าเลย นี่เจ้าเข้าตานายท่านผู้บัญชาการองครักษ์แล้วนะ!”


เหมียวอี้กระตุกมุมปาก “จากที่ฟังนายท่านพูด ข้างในมีสิ่งที่ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว สิ่งนั้นคืออะไรเหรอ?”


เหวินเจ๋อยักไหล่สองข้าง “ข้าเองก็ไม่เคยเข้าไป ข้าจะรู้ได้ยังไงล่ะ คนที่เข้าไปก่อนหน้านี้ก็มีรอดชีวิตกลับมาไม่เยอะ ข่าวลือสะเปะสะปะพวกนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือโกหก ถ้าข้าพูดซี้ซั้วตอนนี้ก็อาจจะส่งผลกระทบกับเจ้าด้วยซ้ำ ผู้บัญชาการองครักษ์เคยเข้าไป ถ้าเจ้าทำตามที่ผู้บัญชาการองครักษ์บอกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จำไว้นะ เจ้ายังมีเวลาเหลืออีกสามวัน หลังจากสามวันนี้เบื้องบนจะส่งคนมาคุมตัวเจ้า ถ้ามีเรื่องอะไรก็รีบจัดการให้เร็วที่สุด ส่วนพวกลูกน้องของเจ้าที่กองมังกรดำ เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วง เบื้องบนให้ข้ามาควบตำแหน่งนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าต้องการจะรักษาโครงสร้างเดิมเอาไว้ เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ไปโยกย้ายซี้ซั้วหรอก รอให้เจ้ากลับมาจากที่นั่น จะคืนทุกอย่างให้เจ้าอย่างครบถ้วนแน่นอน น้องชาย ทิ้งวิธีการติดต่อไว้เถอะ ถ้ามีเรื่องอะไรพวกเราก็ติดต่อกันเอาไว้” ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมาตรงตราอิทธิฤทธิ์แล้วยื่นให้


เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงหยิบระฆังดาราอันหนึ่งมาลงตราอิทธิฤทธิ์แล้วยื่นให้เขา แลกของกันเรียบร้อยแล้ว


“แดนมรณะดึกดำบรรพ์?”


บนตึกศาลาหลังหนึ่งของเรือนพักอ๋องสวรรค์โค่ว อิ๋งจิ่วกวงกับโค่วหลิงซวีนั่งดื่มสุราด้วยกัน อิ๋งจิ่วกวงเป็นฝ่ายตั้งใจมาหาโค่วหลิงซวี อิ๋งจิ่วกวงสงสัยนิดหน่อยว่าจู่ๆ โค่วหลิงซวีมาพักที่นี่เพราะมีจุดประสงค์อะไร เลยตั้งใจมาสืบ


ยังไม่ทันจะสืบอะไรได้ บทสรุปการลงโทษของเหมียวอี้ก็มาแล้ว บทสรุปนี้ทำให้ทั้งสองงงเหมือนกัน ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็รู้สึกประหลาดใจหาคำตอบไม่ได้


ตอนนี้ทั้งสองต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะใช้ความพยายามจากตรงไหน ไม่รู้ว่าประมุขชิงกำลังทำบ้าอะไรกันแน่


โค่วหลิงซวียกจอกสุราดื่มย้อมใจ


อิ๋งจิ่วกวงก็โวยวายไม่ได้แล้วเช่นกัน อย่างไรเสียอาศัยวรยุทธ์อย่างหนิวโหย่วเต๋อ การจับหนิวโหย่วเต๋อไปไว้ที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับส่งไปตาย ประมุขชิงนับว่าไว้หน้าเขาแล้ว


แต่ทั้งสองก็รู้ได้โดยไม่ต้องเดา ว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาขนาดนั้น ไม่ว่าจะลงโทษเป็นหรือลงโทษตาย ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ยุ่งยากแบบนี้


…………………………


บทที่ 1451 คุมขังหนึ่งพันปี

Ink Stone_Fantasy

อ๋องสวรรค์ทั้งสองจะคิดอย่างไร เหมียวอี้ก็ไม่รู้ ตอนนี้เขากำลังรีบร้อนสืบหาข้อมูลของแดนมรณะดึกดำบรรพ์


เพราะไม่มีทางเลือก เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีการลงโทษครั้งนี้ เดิมทีกะว่าจะเรียกรวมผู้เหลือรอดของหกลัทธิให้มาดักพาตนหนีไประหว่างทางดีหรือไม่ แล้วต่อไปนี้ก็ไม่ต้องทำมาหากินที่ตำหนักสวรรค์แล้ว เป็นเพราะความวู่วามชั่วขณะในครั้งนี้ในล่วงเกินตระกูลอิ๋งอย่างรุนแรงมากจริงๆ กอปรกับการที่จ้านหรูอี้กลายเป็นสนมสวรรค์นั้นทำให้เขากดดันนิดหน่อย


คนอื่นนั้นไม่รู้ แต่เขากลับลำบากใจเหมือนน้ำท่วมปาก จ้านหรูอี้มาคุกเข่าให้เขา ทั้งยังถอดเสื้อผ้าต่อหน้าเขาอีก สิ่งที่ไม่ควรเห็นก็ได้เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าจ้านหรูอี้จะเคียดแค้นตนอย่างไรบ้าง พอนึกว่าตัวเองได้เห็นผู้หญิงของราชันสวรรค์ถอดเสื้อผ้า เขาเองก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว วางแผนที่จะออกจากตำหนักสวรรค์แล้วจริงๆ ที่จริงในใจเขาไม่อยากเผชิญหน้ากับจ้านหรูอี้อีก


แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าตำหนักสวรรค์ไม่ให้เขาพาคนของตัวเองไป เขาก็ไม่มีทางพาไปด้วยได้ ถ้าจะให้ทิ้งพวกเหยียนซิวไว้โดยไม่สนใจ เขาก็ทำไม่ลงเช่นกัน ที่สำคัญคือตอนนี้เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน ทำไมจะต้องส่งข้าไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ล่ะ? พอมีบทเรียนที่ตำหนักสวรรค์วางกับดักที่ตลาดผีแล้ว เขาก็เลยสงสัยนิดหน่อยว่าตำหนักสวรรค์มีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นจะทำให้ยุ่งยากแบบนี้ทำไม? ตอนนี้เพียงอยากจะดูไปทีละก้าว คิดหาทางรอดชีวิตออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ให้ได้ก่อน


เขารีบเรียกรวมคนตำแหน่งสำคัญของกองมังกรดำ แล้วส่งต่องานต่อหน้าเหวินเจ๋อ


หลังจากส่งต่องานกันเรียบร้อยแล้ว พอคิดไปคิดมา ถ้าอยากจะสืบสถานการณ์ของสถานที่เก่าแก่อย่างแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็ต้องไปถามจากคนเก่าคนแก่ คนแรกที่เขานึกถึงก็คือจินม่านที่อยู่แดนอเวจี


หลังจากได้ฟังสถานการณ์ในปัจจุบันของเหมียวอี้แล้ว จินม่านก็บอกสถานการณ์ของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ให้รู้


แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว ดำรงอยู่มานานมาก สถานที่นั้นคือพื้นที่ว่างพิเศษที่เกิดขึ้นหลังจากดาราจักรพังถล่มลงด้วยสาเหตุบางอย่าง ถูกมังกรและหงส์ยึดครองเป็นของตัวเอง สองเผ่านี้ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับการรบราฆ่าฟันของนักพรต แต่จนใจที่หลายปีมานี้กลับมีนักพรตไปก่อกวนไม่หยุด พวกเขาอยากจะได้มังกรและหงส์สักตัวมาทำเป็นสัตว์พาหนะเทพ บางคนก็อยากจะอาศัยสภาพแวดล้อมพิเศษของแดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อฝึกตนด้วย


แต่การที่สองเผ่านี้ยึดครองพื้นที่ได้ก็ย่อมแปลว่าไม่ได้อ่อนด้อยฝีมือ ตั้งแต่สมัยโบราณมีนักพรตไม่รู้ตั้งเท่าไรที่ล้มตายอยู่ที่นั่น กอปรกับเผ่ามังกรมีเทพมังกรแปดท่าน เผ่าหงส์เฟิ่งหวงมีเทพสตรีสองคน แปดเทพมังกรกับสองเทพสตรีเป็นผู้อาวุโสของทั้งสองเผ่า และเป็นเทพผู้พิทักษ์ของสองเผ่านี้ด้วย ในใต้หล้าไม่มีใครสู้ได้ คอยรักษาความสงบสุขให้ ‘ถ้ำมังกรรังหงส์’


ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ แดนดึกดำบรรพ์มีสภาพแวดล้อมพิเศษที่เข้าข้างสองเผ่านั้นโดยธรรมชาติ ที่นั่นมีฟ้าเป็นวงกลม ฟ้ากลมแผ่นดินเหลี่ยม ไม่เหมือนดาวเคราะห์ในดาราจักรทั่วไปที่มีลักษณะเป็นทรงกลมเหมือนกันหมด แต่อาณาเขตก็กว้างใหญ่ไพศาลมาก ว่ากันว่าไม่มีใครเดินไปจนถึงปลายสุดของอาณาเขตนี้ได้


สำหรับนักพรต ผลกระทบที่พิเศษที่สุดของสภาพแวดล้อมแบบนั้นก็คือ นอกจากนักพรตผี นักพรตแบบอื่นที่เข้าไปที่นั่นแล้วก็จะสูญเสียความสามารถในการเหาะเหิน แต่มังกรกับหงส์สามารถบินอยู่ที่นั่นได้อย่างอิสระ เวลานักพรตโจมตีหงส์กับมังกรก็ย่อมเสียเปรียบอยู่แล้ว ทั้งยังมีปราณเหี้ยมโหด ปราณสังหาร ปราณอาฆาต ปราณมรณะที่มาจากไหนก็ไม่รู้ มาแบบไม่จบไม่สิ้น ความเข้มข้นของมันก็มีมากจนถึงขั้นทำให้ปราณชั่วร้ายพวกนั้นมีวิญญาณ วิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นกลัวหงส์มังกรโดยธรรมชาติ แต่กลับไม่กลัวนักพรตทั่วไป มันจะโจมตีนักพรตที่บุกเข้าไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้นักพรตเข้าไปตั้งหลักในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้ยาก


แต่ยังมีนักพรตอีกประเภทที่เป็นข้อยกเว้น นั่นก็คือนักพรตที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ เปลวเพลิงอันร้อนแรงสามารถเอาชนะวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นได้


พอฟังถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ตกตะลึงอยู่บ้าง วิชาที่ตัวเองฝึกก็เป็นเคล็ดวิชาธาตุไฟไม่ใช่เหรอ?


ความคิดนี้เพียงแวบผ่านเข้ามาในหัวเท่านั้น แล้วก็ตั้งใจฟังจินม่านอธิบายต่อ


ตอนหลังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ โลกภายนอกมีคนประหลาดที่ชื่อเสียงดังเกริกก้องสั่นสะเทือนยุคโบราณโผล่มาคนหนึ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน พระปีศาจหนานโปนั่นเอง พระปีศาจหนานโปเหยียดหยามสรรพสิ่งในใต้หล้า ตั้งตนเป็นเทพ ยอมรับไม่ได้หากมีสิ่งใดที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง ถึงได้บุกเข้าไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ดั้งนั้น แดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่ไม่เคยมีใครเอาชนะได้จึงโดนพระปีศาจหนานโปล้างเลือดไปรอบหนึ่ง เทพมังกรทั้งแปดผู้พิทักษ์เผ่ามังกรกับสองเทพสตรีที่พิทักษ์หงส์เฟิ่งหวงล้วนตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป มังกรและหงส์เรียกได้ว่าประสบหายนะครั้งใหญ่ ผู้ที่เหลือรอดพากันหนีออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ จนกระทั่งหกปราชญ์สยบพระปีศาจหนานโปได้ หงส์กับมังกรถึงได้กลับบ้านเก่าอีกครั้ง ทว่าหลังจากประมุขพุทธะกับประมุขชิงเป็นประมุขของใต้หล้า ต้องการจะจัดระเบียบการปกครองใต้หล้าใหม่ ทั้งสองไม่อยากให้มีเทพมังกรกับเทพสตรีคนใหม่เกิดขึ้นที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วมาตีเสมอกับตำหนักสวรรค์อีก ต้องการจะกวาดล้างแดนมรณะดึกดำบรรพ์


ดังนั้นยอดฝีมือของเผาหงส์และมังกรจึงโดนพระปีศาจหนานโปสังหารจนแทบหมดสิ้น ต้านทานการโจมตีของประมุขชิงกับประมุขพุทธะไม่ไหวเลย เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นชะตากรรมสูญพันธุ์ ถึงได้ยอมสวามิภักดิ์เป็นพาหนะให้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะ ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้มีชีวิตอยู่ก็คือทิ้งแดนดึกดำบรรพ์อันเป็นที่อยู่มาหลายยุคสมัย เท่ากับว่าโดนตัดขาดแหล่งทรัพยากรในการฟื้นคืนความเฟิ่งฟูของสองเผ่า เป็นเพราะมีเพียงสภาพแวดล้อมพิเศษของแดนดึกดำบรรพ์เท่านั้นที่จะสร้างเทพมังกรกับเทพสตรีคนใหม่มาพิทักษ์รักษาเผ่าได้ สภาพแวดล้อมของโลกภายนอกไม่เหมาะกับการฝึกตนของพวกมันเลย


ตอนนี้ต่อให้ทั้งสองเผ่าจะอยากกลับไปก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว ประมุขชิงกับประมุขพุทธะไม่มีทางมอบโอกาสให้สองเผ่าผงาดขึ้นมาอีกครั้ง ส่งคนไปปิดล้อมทางเข้าออกแดนดึกดำบรรพ์แล้ว


หลังจากฟังจบ เหมียวอี้ก็ทอดถอนใจไม่หยุด มังกรกับหงส์พวกนั้นที่ยอมให้ตำหนักสวรรค์ควบขี่ ภายนอกดูงดงามสดใส ไม่น่าเชื่อว่าจะประสบกับความโศกเศร้าน่าเวทนาเช่นนี้


หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ถามว่า : คนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟมีโอกาสอยู่รอดที่แดนดึกดำบรรพ์มากแค่ไหน?


จินม่าน : น่าจะมีโอกาสรอดไม่น้อยเลย ตอนนี้ในนั้นไม่มีหงส์กับมังกรอยู่แล้ว ขอเพียงสามารถใช้เคล็ดวิชาธาตุไฟต้านทานการจู่โจมจากปราณชั่วร้ายได้ ไม่เข้าไปลึกจนยั่วโมโหวิญญาณที่โกรธแค้นพวกนั้น ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร


ที่จริงนางก็ไม่รู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันในแดนดึกดำบรรพ์ชัดเจนนัก ถึงอย่างไรนางก็โดนขังอยู่ในนรกตั้งแต่ระบบของตำหนักสวรรค์ยังไม่เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่สายลับคนนั้นที่อยู่ตำหนักสวรรค์เหมือนจะรู้ว่าเหมียวอี้จะมาสืบข่าวจากนาง จึงสั่งไว้ล่วงหน้าแล้วว่าให้นางให้ความร่วมมือ


แต่พอเหมียวอี้ได้ยินจินม่านพูดแบบนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจแล้ว ตามหลักการแล้วจินม่านไม่จำเป็นต้องหลอกลวงเขาด้วยเรื่องแบบนี้ ในเมื่อแม้แต่จินม่านยังรู้สึกว่ามีอันตรายมาก บวกกับที่โพ่จวินให้เหวินเจ๋อมาบอก เขาจึงมีความมั่นใจแล้ว จึงคิดเสียว่าไปฝึกตนที่นั่น ถือโอกาสไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย ต้องทราบไว้ว่าทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าใครก็ไปที่แดนดึกดำบรรพ์ได้


“คุมขังหนึ่งพันปีที่แดนดึกดำบรรพ์…”


ดาวเทียนหยวน ฝูชิงกำลังพึมพำพลางเดินไปเดินมาอยู่ในสวนดอกไม้ของตำหนักคุ้มเมือง เขารู้สึกตกตะลึงมาก


ชิงเฟิงที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คุณชายห้าช่างเป็นคนที่ใจกว้างจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าก่อเรื่องในพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ ไม่โดนประหารก็นับว่าโชคดีมากแล้ว”


ร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่จวินโหรวที่ได้รับข่าวติดต่อเหมียวอี้เพื่อยืนยันสถานการณ์ทันที


เมื่อมีระฆังดารา ข่าวนี้ก็แทบจะแพร่ไปทั่วอย่างรวดเร็วภายในสองสามวัน แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับการที่เหมียวอี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ถึงแม้การทำโทษโดยคุมขังไว้ในแดนดึกดำบรรพ์จะค่อนข้างประหลาด แต่สิ่งที่ทุกคนสนใจมากกว่านั้นกลับเป็นเหตุการณ์ที่เหมียวอี้ก่อเรื่องในงานพิธีรับสนมของประมุขชิง สถานการณ์ของเรื่องหลังข่มเรื่องแรกไปแล้ว


เหมียวอี้อยู่ที่พิภพใหญ่ ศักยภาพยังไม่ถึงจริงๆ แต่ชื่อเสียงกลับกระจายไปทั่วหล้าครั้งแล้วครั้งแล้ว เพิ่งจะสร้างผลงานที่ตลาดผีแล้วได้เลื่อนตำแหน่ง ก็ทำผิดแล้วโดนกักบริเวณทันที เปลี่ยนแปลงแบบขึ้นสุดลงสุด


พวกจีเหม่ยลี่พากันติดต่อมาหาเหมียวอี้เพื่อแสดงความเป็นห่วงกังวล ทุกคนพากันบ่นเหมียวอี้ว่าทำไมก่อเรื่องแบบนี้ได้


โง่เขลา! ไม่น่าเชื่อว่าจะทำเรื่องแบบนี้ได้! อวิ๋นจือชิวเดือดดาลแล้ว ทำให้โมโหจนสุดจะทนไหวจริงๆ ด่าเหมียวอี้จนยับเยินไปยกหนึ่ง


ท่ามกลางกลุ่มภรรยา มีเพียงฮูหยินอย่างนางที่มีฐานะทัดเทียมเหมียวอี้ นางมีสิทธิ์ด่าเขาแบบนี้ หลังจากด่าจบแล้วก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย นอนเคียงหมอนกันมาหลายปีขนาดนี้แล้ว นางเข้าใจดีที่สุดว่าสามีตัวเองเป็นคนอย่างไร ถึงแม้จะชอบทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่เมื่ออยู่ในโอกาสและสถานที่แบบนั้น ถ้าไม่มีใครไปยั่วโมโหเขา แล้วเขาจะปฏิเสธรางวัลและด่าคนอื่นทำไม? ควรจะอยากได้รางวัลมากขึ้นสิถึงจะถูก!


หลังจากถามซักไซ้หลายรอบ เหมียวอี้ก็ยังไม่คายความจริงออกมา แค่อารมณ์ร้อนชั่ววูบจะก่อเรื่องแบบนี้ได้เหรอ สร้างผลกระทบที่ใหญ่โตขนาดนี้ได้เลยเหรอ? จากระฆังดาราจากหลายฝ่ายที่ที่ส่งข่าวมาถามไม่หยุดหย่อนก็ทำให้รู้แล้ว แล้วจะให้เขาพูดกับอวิ๋นจือชิวได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่อยากแบ่งปันความรู้สึกผิดนี้กับใคร ยอมฝังไว้ในส่วนลึกของหัวใจดีกว่า


ดังนั้นเขาจึงบอกเพียงว่าเขาหัวร้อนไปชั่วขณะจึงพูดแบบนั้นออกมา


อวิ๋นจือชิวไม่เชื่อ จึงติดต่อกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์เพื่อถามถึงสถานการณ์ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาก็เป็นแบบนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเกิดเรื่องอื่นขึ้น เป็นสิ่งที่เหมียวอี้พูดออกมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบจริงๆ


“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้…”


อวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ถือระฆังดาราอย่างห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง นั่งเงียบงันอยู่นานมาก


ว่ากันตามตรง ในใจนางยังรู้สึกไม่เชื่อนิดหน่อย นางถึงขั้นสงสัยว่าระหว่างเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้มีความสัมพันธ์ชายหญิงที่พิเศษอะไรหรือเปล่า?


สรุปก็คือ อวิ๋นจือชิวทั้งโมโหทั้งกังวลกับพฤติธรรมหัวร้อนของเหมียวอี้ ตอนนี้มาโทษกันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว มีคำสั่งลงมาแล้ว เหมียวอี้ในตอนนี้จะต้องถูกควบคุมอยู่แน่นอน ในบริเวณวังสวรรค์ ทั้งใต้หล้าคงจะมีไม่กี่คนที่พาเหมียวอี้ออกไปได้ ทำได้เพียงยอมรับความจริงเรื่องถูกคุมตัวไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์ นอกเสียจากจะชิงตัวกลางทาง…


เวลาสามวันผ่านไปเร็วมาก หน่วยองรักษ์ซ้ายส่งคนมาคุมตัวเหมียวอี้ด้วยตัวเอง ถ้าพูดแบบกว้างๆ หน่อยก็คือ เป็นพี่น้องในระบบเดียวกันทั้งนั้น เป็นพวกเดียวกันทั้งนั้น มิหนำซ้ำยังเป็นคนที่นายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ปกป้องเอาไว้ พวกเขาจึงไม่กลั่นแกล้งเหมียวอี้ ถึงแม้จะบอกว่าควบคุมตัว แต่ที่จริงแล้วใกล้เคียงกับการคุ้มกันส่งมากกว่า


อุทยานหลวง ในเรือนพักของท่านโหวจ้านผิง บนตึกศาลาหลังหนึ่งที่สามารถมองเห็นรอบด้าน สตรีรูปร่างสูงเพรียวคนหนึ่งสวมชุดกระโปรงสีรุ้ง กระโปรงสีสว่างดุจแสงอาทิตย์ยาวลากพื้น นางยืนอย่างเงียบงัน บนศีรษะสวมมงกุฏหงส์ เด่นสง่ามีราศรี แต่งตัวสูงส่งดูแพง เพียงแต่สีหน้าเย็นชาไปหน่อย เป็นจ้านหรูอี้ที่ออกมาพบบิดามารดาหลังจากเข้าวังได้สามวัน


ขณะเดียวกันก็นำรางวัลจากราชันสวรรค์มาให้ตระกูลจ้านด้วย จ้านผิงได้เลื่อนยศหนึ่งขั้น มียศเทียบเท่าเทพประจำดาว กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ห้าแถบแล้ว อิ๋งลั่วหวนก็ได้เลื่อนยศหนึ่งขั้นเช่นกัน ทั้งยังได้รับสมบัติล้ำค่าหายากมากองหนึ่งด้วย


จ้านหรูอี้ทอดสายตามองไปยังจวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวงอย่างเงียบๆ นางเห็นทหารสวรรค์หลายคนคุมตัวคนคนหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว และรู้เช่นกันว่าคนที่ถูกคุมตัวไปคือใคร รู้ด้วยว่าจะถูกคุมตัวไปที่ไหน เป็นสถานที่ที่แทบจะมีโอกาสตายมากกว่ารอด


สาเหตุที่ถูกควบคุมตัวไป นางเองก็ได้ยินมาแล้วเช่นกัน คนคนนั้นทำเรื่องที่โง่เง่าที่สุด ละเมิดอำนาจบารมีสวรรค์ในงานพิธีที่นางเข้าวัง ถ้าไม่ใช่เพราะผู้บัญชาการองครักษ์โพ่จวินของหน่วยองรักษ์ซ้ายปกป้องไว้ ก็คงจะสิ้นชีพไปแล้ว


ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้นางกำลังยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้นเพราะคิดอะไรอยู่


บางทีอาจจะมีคนรู้ก็ได้ จ้านผิงที่ยืนอยู่ระหว่างตึกศาลาเหมือนกันกำลังมองลูกสาวอย่างเงียบๆ


มีเพียงเขาที่รู้ว่าการกระทำที่ทุ่มสุดตัวของเหมียวอี้ในงานพิธีได้ทำให้ลูกสาวเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งแล้ว ถ้าเหมียวอี้ไม่ทำอย่างนั้นก็ยังดีหน่อย แต่พอทำแบบนั้นกลับทำให้ลูกสาวเจ็บลึกกว่าเดิมด้วยซ้ำ กลายเป็นความเจ็บปวดที่ลบไม่ออกตลอดไป เป็นเพราะเหมียวอี้ทำช้าไปหน่อย สายเกินไปแล้ว!


…………………………


บทที่ 1452 แดนมรณะดึกดำบรรพ์

Ink Stone_Fantasy

คนที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนเหมือนกันก็คือเหมียวอี้ที่ทำเรื่องโง่เง่า


เหมือนกับทางเข้าแดนอเวจี ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ถูกค่ายกลใหญ่แบบเดียวกับแดนอเวจีปิดล้อมไว้ เพียงแต่สำหรับตำสวรรค์ แดนมรณะดึกดำบรรพ์ในตอนนี้ไม่ได้สำคัญเท่าแดนอเวจีเลย การเฝ้าแดนอเวจีจึงเข้มงวดแน่นหนากว่าเล็กน้อย ส่วนแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ให้คนของอำนาจท้องถิ่นที่ประจำอยู่ในพื้นที่เฝ้าโดยตรงเลย


แดนมรณะดึกดำบรรพ์อยู่ในอาณาเขตของอ๋องสวรรค์ฮ่าวเต๋อฟาง ย่อมถูกเฝ้าโดยอ๋องสวรรค์ฮ่าวอยู่แล้ว ที่บังเอิญกว่านั้นก็คือ ที่ตั้งอยู่บนเขตแดนของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ


เหลียงตู้ หัวหน้ากลุ่มที่หน่วยองรักษ์ซ้ายส่งมาให้ควบคุมตัวเหมียวอี้ไปส่ง หลังจากอธิบายสถานการณ์ของกำลังพลที่เฝ้าที่นี่ให้ฟังคร่าวๆ แล้ว เห็นว่าข้างหน้าคือจุดหมายที่กำลังจะไปถึง ก็ถามเหมียวอี้อีกว่า “ได้ยินว่าเจ้ามีความขัดแย้งกับเทพประจำดาวฟ้าเถาะนิดหน่อยเหรอ?”


“มีเรื่องไม่พอใจกันนิดหน่อย” เหมียวอี้พยักหน้า


“เจ้าวรยุทธ์ไม่สูง แต่ศัตรูเยอะมากจริงๆ” เหลียงตู้ส่ายหน้า แล้วเตือนว่า “ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผังก้วนคงไม่ถึงขั้นส่งคนเข้ามาทำร้ายเจ้าในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ถึงอย่างไรกำลังพลของเขาก็เฝ้าที่นี่ ถ้าจู่ๆ แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีคนนอกโผล่มา คนฝ้าพิทักษ์รักษาอย่างเขาก็จะยากที่จะพ้นโทษ แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เจ้าก็ต้องระวังตัวไว้หน่อย ถ้าพบบุคคลน่าสงสัยโผล่มาที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็ให้ติดต่อกับหน่วยองรักษ์ซ้ายทันที หน่วยองรักษ์ซ้ายของเราก็ไม่ได้อ่อนด้อยเหมือนกัน”


เหมียวอี้เองก็ไม่สะดวกจะเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเทพประจำดาวฟ้าเถาะ จึงขานรับแล้วกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณนายท่านเหลียงที่เตือน ข้าน้อยจะจดจำไว้”


กำลังพลที่เฝ้าทางเข้าออกแดนดึกดำบรรพ์ได้รับข่าวล่วงหน้าแล้ว พอคนฝั่งนี้มาถึง คนกลุ่มหนึ่งก็เหาะเข้ามาดูเอาสนุกทันที มาดูว่าหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังหน้าตาเป็นอย่างไร คนกลุ่มหนึ่งที่ล้อมเขามามองสำรวจเรียกได้ว่าทำสีหน้าประหลาดใจ


ทั้งสองฝ่ายไม่ได้สนิทอะไรกัน และไม่มีความจำเป็นต้องถ่วงเวลา พอเหลียงตู้ส่งต่อกันให้อีกฝ่ายแล้ว หัวหน้ากองทัพที่ประจำการอยู่ที่นี่ก็ออกคำสั่ง บนดาวหกดวงในลำแสงที่หมุนวนยิงแสงสีขาวสายหนึ่งออกมาทันที ตำแหน่งตรงนั้นเกิดเป็นภาพดาวหกมุมขนาดใหญ่ ทันใดนั้นแสงสีขาวตรงกลางแผนภาพก็เริ่มหายไป เผยช่องสุญญาที่อยู่ในสภาพฉีกขาด


หัวหน้ากองทัพที่ประจำอยู่ที่นี่หันมาบอกเหมียวอี้ว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เข้าไปเถอะ ผ่านช่องสุญญานั่นไปก็จะเป็นแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว”


เหมียวอี้หันกลับไปมองเหลียงตู้ เหลียงตู้พยักหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “ตรงทางเข้าไม่จำเป็นต้องคุ้มกันอะไร สามารถเข้าไปได้โดยตรงเลย”


ถึงแม้จะบอกแบบนี้ แต่เหมียวอี้ก็ยังรีบหยิบเกราะรบผลึกแดงของตัวเองออกมาสวม แม้แต่เฮยทั่นก็เรียกออกมาด้วย เฮยทั่นเองก็สวมเกราะรบที่ดุร้ายน่ากลัวเช่นกัน


เหมียวอี้กระโดดขึ้นตัวเฮยทั่นที่กำลังสั่นหัวส่ายหน้า แล้วกุมหมัดคารวะเหลียงตู้ในขณะที่ถือทวน “รบกวนแล้ว!”


เหลียงตู้พยักหน้า


“กรร…” เฮยทั่นเงยหน้าคำราม แบกเหมียวอี้พุ่งไปยังช่องสุญญาที่ฉีกขาดไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปในนั้นแล้ว


พอหัวกองทัพที่เฝ้าประจำอยู่ที่นี่โบกมือ ค่ายกลใหญ่ก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน กลับสู่สภาพปิดสนิทเหมือนเดิมแล้ว…


และพอเหมียวอี้หันกลับไปมองอีกครั้ง ก็ไม่เห็นฉากทิวทัศน์ด้านนอกทางเข้าแล้ว เขาจึงมองไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าออกจากทางเข้ามาไกลขนาดไหน เมื่อตัวอยู่ในนั้นถึงได้พบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่ว่างเกลียวคลื่นที่มีรอยฉีกขาดไม่หยุด แต่ก็ยังไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามที่มีอานุภาพมากมายอะไร รู้สึกเพียงว่ารอบตัวเหมือนมีกระแสไฟฟ้ากำลังไหลเลื้อยอยู่


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เหมียวอี้ก็ยังระมัดระวังตัวสูงมาก เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด


ทว่าทันใดนั้นตรงหน้าก็พลันสว่างวาบ การปรากฏขึ้นของแสงสว่างนี้กะทันหันมาก ราวกับแทรกซึมมาอยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างฉับพลัน ทำให้เจ้าเตรียมตัวอะไรไม่ทันเลย ชั่วพริบตาเดียวตัวเจ้าก็เข้าไปอยู่ในแสงนั้นแล้ว


โครม! เกิดเสียงดังขึ้น เฮยทั่นที่พุ่งเข้ามาในลำแสงชนอะไรบางอย่างก็ไม่รู้


ภาพตรงหน้าพร่ามัว ฝุ่นดินปลิวว่อน ท่ามกลางเสียงดังโครมคราม เหมียวอี้พบว่าตัวเองกับเฮยทั่นโดนชนจนกลิ้งอยู่บนพื้น เมื่อเห็นร่างกายมหึมาของเฮยทั่นกลิ้งเข้ามา เขาก็อยากจะทะยานขึ้นฟ้าโดยสัญชาตญาณ ทว่าร่างกายเหมือนจะกลายเป็นความว่างเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าพลังอิทธิฤทธิ์จะประคองตัวเองขึ้นมาไม่ได้ พลังอิทธิฤทธิ์ที่ยกขึ้นเหมือนกับทะลุผ่านกำแพงไป ทำให้ลนลานทำอะไรไม่ถูก


ชั่วขณะนั้น เขาตระหนักได้ว่าตัวเองอาจจะมาถึงสิ่งที่เรียกว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว แต่สิ่งที่เขาต้องรีบรับมือก็คือตอนนี้กำลังเห็นเฮยทั่นกลิ้งเข้ามาหาตน โครม! เขารีบใช้เท้าเตะหนึ่งที ทำให้เฮยทั่นที่กลิ้งเข้ามากระเด็นออกไปจากยอดศีรษะของเขา


ยังดีหน่อย ถึงแม้จะเหาะไม่ได้ แต่พลังอิทธิฤทธิ์บนตัวก็ยังมีอานุภาพเหลืออยู่ ไม่อย่างนั้นคงโดนหนามแหลมบนเกราะรบของเฮยทั่นจิ้วจนทั่วแน่


เฮยทั่นตกลงพื้นเสียงดังแล้วลุกขึ้นขึ้น ขณะที่กำลังลุกขึ้นยืนช้าๆ มันก็มองเหมียวอี้อย่างค่อนข้างคับแค้นใจ


เหมียวอี้หันกลับไปมองจุดที่มันกลิ้งออกมา เห็นเพียงทะเลทรายหินอันเปล่าเปลี่ยวมีช่องสุญญาที่มีรัศมีรอยแยกขนาดหลายสิบจั้ง รอยแยกที่ยาวต่อเนื่องไม่หยุดเหมือนรูปกระแสไฟฟ้า คงจะเป็นทางที่เข้ามา และเป็นทางออกเช่นกัน สงสัยมุมที่พุ่งออกมาจะผิดตำแหน่ง ถึงได้ชนกระแทกลงบนพื้น


เหมียวอี้ที่กำลังถือทวนมองสำรวจไปรอบๆ ทะเลทรายหินอันรกร้างกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ตรงจุดไกลๆ สามารถเห็นแนวภูเขารางๆ รอบข้างไม่มีพืชพรรณดำรงอยู่ แต่กลับมีกระดูกขาวนับไม่ถ้วนกระจายอยู่บนทะเลทรายหิน เป็นกระดูกขาวหลายแบบ ส่วนใหญ่เป็นกระดูกคน


เสียงดังกรอบแกรบดังอยู่ใต้เท้า ทำลายความเงียบของทุ่งที่กว้างโล่ง เหมียวอี้ก้มหน้ามอง พบว่าเป็นกระดูกกรอบสีขาวชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้ามองฟ้าอีก บนท้องฟ้าเป็นสีเทาขมุกขมัว ทั้งโลกราวกับถูกครอบด้วยสีเทาขมุกขมัว ในขณะนี้เอง จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงอันตรายอันน่าขนลุกจนเขาต้องหันขวับ แล้วโบกทวนชี้ไป


ภาพตรงหน้าว่างเปล่า ไม่มีอะไรทั้งนั้น มีเพียงหมอกสีชมพูอันเลือนรางที่กระเพื่อมเข้ามาหลายระลอก


จนกระทั่งหมอกสีชมพูเข้ามาใกล้ตัว เหมียวอี้ถึงได้เข้าใจว่ามันคืออะไร ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นปราณสังหารที่ก่อตัวเป็นร่างจริงแล้ว


เหมียวอี้ยื่นมือเข้าไปสัมผัสหมอกสีชมพูที่ลอยเข้ามา พอถุงมือโลหะที่ละเอียดไปสัมผัสโดน ปราณสังหารนั่นก็เหมือนฉลามที่ได้กลิ่นคาวเลือดทันที ราวกับมีชีวิตขึ้นมา รูปแบบไอหมอกที่กระจายตัวหดรวมเป็นก้อนเดียวกันอย่างรวดเร็ว แล้วลอยวนเวียนอยู่บนถุงมือโลหะ หลังจากสีชมพูควบแน่นแล้วสีก็เข้มขึ้น ราวกับเป็นลำแสงสีเลือด แทรกซึมเข้ามาในรอยแยกบนถุงมืออย่างรวดเร็ว


“ซี้ด…” เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง ปราณสังหารนี้ราวกับมีดกรีดกระดูก มีความสามารถกัดกร่อนกายเนื้ออันน่าสะพรึง เจาะจนผิวตรงนิ้วของเขาแยกออกจากันแล้ว เขารู้สึกได้ว่านิ้วตัวเองมีเลือดออก


แทบจะชั่วพริบตาเดียว เปลวเพลิงล่องหนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมาจากฝ่ามือของเหมียวอี้ ทำให้ปราณสังหารกลุ่มนั้นเหมือนตกใจกลัว พวกมันกำลังจะรีบหนีไป แต่กลับสายไปเสียแล้ว โดนเพลิงจิตเผาจนหายไปแล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เหมียวอี้กลับอดไม่ได้ที่จะถอดถอนใจอย่างตกตะลึง เขามองออกว่าปราณสังหารพวกนี้มีวิญญาณจริงๆ ดูท่าแล้วจินม่านจะพูดเอาไว้ไม่ผิดสักนิด


ลมเพิ่งจะพัดผ่านตรงนี้ไป สิ่งที่พามาด้วยไม่ได้มีแค่หมอกสีชมพู ทั้งยังมีหมอกสีขาว สีเทา สีดำเหมือนน้ำหมึกด้วย


เหมียวอี้มีแต่ความประหลาดใจต่อสถานที่แห่งนี้ ไม่ปฏิเสธสิ่งที่เข้ามาหาถึงที่ ค่อยๆ หยั่งเชิงทดสอบไอหมอกประเภทต่างๆ ที่ลอยเข้ามา


เมื่อกระแสหมอกสีขาวมาอยู่บนมือ ก็ทำให้คนรู้สึกได้ถึงความอาฆาตแค้นอย่างรุนแรงทันที นี่เป็นความรู้สึกที่ต่างจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาโดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่เรียกว่าปราณอาฆาต ส่วนหมอกสีเทาก็คือปราณมรณะที่ทำให้คนรู้สึกมัวหมองไร้ชีวิตชีวา ส่วนสีดำก็มีกลิ่นอายของแรงปะทะที่มุทะลุดุดันที่สุด คงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าปราณเหี้ยมโหด


เมื่อใช้มือทดสอบไอหมอกที่ลอยผ่านไปหลายครั้ง เหมียวอี้ก็เริ่มหาวิธีการแยกแยะเจอแล้ว เป็นไปได้สูงว่าอากาศธาตุเล็กๆ หลากหลายรูปร่างพวกนั้นจะมีวิญญาณ ส่วนอากาศที่มีลักษณะเป็นหมอกกระจายไร้ระเบียบนั้นยังไม่มีวิญญาณที่สามารถรุกโจมตีได้


พรึ่บ! จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงดังขึ้นพักหนึ่ง เหมียวอี้จึงหันไปมอง ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงงงวย


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นเขาเล่นกับไอหมอกพวกนั้นแล้วดูน่าสนุกหรือเปล่า เฮยทั่นก็เริ่มเล่นกับไอหมอกพวกนั้นแล้วเหมือนกัน


เขากำลังทดสอบ แต่เฮยทั่นเล่นแล้วจริงๆ ไอหมอกที่มีวิญญาณพวกนั้นแนบติดอยู่บนตัวเฮยทั่นแล้ว นอกจากจะทำอะไรผิวหนังหยาบหนาของเฮยทั่นได้ยาก สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออกที่สุดก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าเฮยทั่นจะดูดกินไอหมอกพวกนั้นราวกับดูดกินปราณเซียน เหมือนดูดกินจนเสพติด มันกระโดดไล่ตามดูดกลืน


หลังจากรู้ตัวแล้วเหมียวอี้ก็ตกใจทันที รีบวิ่งเข้าไปห้ามให้เฮยทั่นหยุด จากนั้นยื่นมือไปกดบนตัวเฮยทั่นแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบดูอาการภายใน


ตอนไม่ตรวจก็ยังไม่รู้ แต่พอตรวจแล้วเขาก็มองเฮยทั่นเหมือนมองเห็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง อากาศธาตุหลายชนิดที่เข้าไปในร่างกายเฮยทั่นถูกระบบอวัยวะภายในที่พิเศษของเฮยทั่นผนึกเอาไว้ในท้องทันที ส่วนอวัยวะภายในของเฮยทั่นก็เหมือนจะควบคุมอากาศธาตุที่มีวิญญาณเหล่านั้นได้ ภาพเหตุการณ์นั้นเหมือนภาพที่เฮยทั่นย่อยยาเจี๋ยตันในร่างกาย อุณหภูมิสูงในท้องของมันกำลังย่อยและดูดซึมไอหมอกเหล่านั้น


หลังจากยืนยันซ้ำแล้ว ก็พบว่าเฮยทั่นไม่ได้รู้สึกไม่สบายตัวอะไร กลับเจริญอาหารดีมากด้วยซ้ำ กินอย่างสบายอกสบายใจมาก ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘เจ้าอย่ามาขัดขวางข้า ให้ข้ากินต่อไปดีมั้ย?’


เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง เจ้าอ้วนนี่กินปราณชั่วร้ายเป็นอาหารเหรอ? มารดาเจ้าเถอะ จำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้มั้ย?


ท่ามกลางสายตาที่กระหายของเฮยทั่น เหมียวอี้ปล่อยมันไปไล่ตามกินปราณชั่วร้ายที่ลอยกระเพื่อมพวกนั้นต่อ เขาเริ่มครุ่นคิดอะไรบางอย่าแล้ว พอนึกขึ้นได้ถึงคำพูดของจินม่าน เขาก็เริ่มจะเข้าใจบ้างแล้ว


จินม่านเคยบอกไว้แล้ว ว่าเผ่าหงส์และเผ่ามังกรสามารถเอาชนะปราณชั่วร้ายได้ และเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรก็ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมพิเศษอย่างแดนดึกดำบรรพ์เท่านั้น ถึงจะฝึกตนจนเกิดเทพมังกรและเทพสตรีได้ เหมียวอี้เอามือลูบคางพลางมองเฮยทั่นที่กำลังสั่นหัวส่ายหางวิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ทีเพื่อดูดกินปราณอย่างสำราญ เขากำลังคิดว่า ถ้าตัวเองเดาไม่ผิด สาเหตุที่สถานที่แห่งนี้สามารถฝึกเทพมังกรกับเทพสตรีออกมาได้ อาจจะเกี่ยวข้องกับการที่เฮยทั่นดูดกินปราณอยู่ในตอนนี้ก็ได้ ถึงแม้เฮยทั่นจะไม่ใช่มังกร แต่กลับเป็นหลีหลง อีกไม่นานก็จะวิวัฒนาการกลายเป็นมังกรแล้ว


ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ เหมียวอี้เริ่มรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ค่อนข้างเฝ้ารอว่าการตัดสินของตัวเองจะไม่ผิด หวังว่านี่จะเป็นวาสนาของเฮยทั่น ถ้าสามารถสร้างความโชคดีให้กับเฮยทั่นได้จริงๆ การโดนส่งมาขังในแดนดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปีครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า


ผ่านไปไม่นาน ปราณชั่วร้ายที่อยู่รอบตัวก็โดนเฮยทั่นดูดกินไปหมดแล้ว เฮยทั่นเริ่มกระโดดโลดเต้นบนพื้น กระโดดขึ้นไปข้างบนไม่หยุด อยากจะดูดกินปราณชั่วร้ายที่อยู่บนฟ้า ทว่าสิ่งที่ทำให้มันใจฝ่อก็คือ มันค้นพบแล้วว่าตัวเองอยู่ที่นี่แล้วเหาะไม่ขึ้น เลยดันทุรังให้กำลังอันป่าเถื่อนกระโดดขึ้นกระโดดลง มันกระโดดขึ้นสูงมาก แล้วก็ร่วงลงจากฟ้าราวกับลูกตุ้มตาชั่ง กระแทกพื้นเสียงดังโครมครามไม่หยุด ฝุ่นควันปลิวขึ้นมาทั่วสารทิศ


เหมียวอี้มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังเล็กน้อย เสียงความเคลื่อนไหวดังขนาดนี้ อย่ายั่วให้สิ่งที่เขาสู้ด้วยไม่ไหวออกมานะ เขาจึงตะโกนทันที “โจรอ้วน หยุดให้พ่อเดี๋ยวนี้นะ!”


เฮยทั่นตกลงจากฟ้าและกลิ้งบนพื้น พอมันลุกขึ้นได้ก็มองเขาอย่างไม่ยอมแพ้


เหมียวอี้เองก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ทดลองอีกรอบเช่นกัน เป็นอย่างที่จินม่านบอกจริงๆ อยู่ที่นี่เหาะไม่ขึ้นเลย แต่อาศัยกำลังอันป่าเถื่อนกระโดดขึ้นไปก็ไม่ใช่ปัญหา


จากนั้นเขาก็เดินไปข้างกายเฮยทั่น แล้วมองสำรวจมันอย่างแปลกใจเล็กน้อย เจ้าอ้วนนี่สามารถดูดกลืนปราณชั่วร้ายของที่นี่ได้ แต่ทำไมเหาะไม่ขึ้น ไหนบอกว่าอยู่ที่นี่หงส์กับมังกรบินได้ไม่ใช่เหรอ?


พอคิดไปคิดมา เขาก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเฮยทั่นยังไม่ได้วิวัฒนาการเป็นมังกร ยังไม่ได้เป็นมังกรอย่างแท้จริง


บทที่ 1453 กลิ่นหอมอัศจรรย์บนตัวเฮยทั่น

Ink Stone_Fantasy

ฉวยโอกาสตอนที่เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดจนใจลอย เฮยทั่นเหยียดขาวิ่งไปไกลอีกครั้ง ถ้าไม่ให้มันกระโดด เช่นนั้นก็วิ่งไปไกลๆ แทนแล้วกัน


พอเหมียวอี้หันกลับมา ก็เดาความคิดของมันออกทันที เขาหน้าดำคร่ำเครียดพร้อมตะโกนว่า “ไสหัวกลับมา!”


ซวบ! เท้าทั้งสี่หยุดวิ่งกะทันหัน ทำให้หินดินปลิวขึ้นมา เฮยทั่นหันกลับมามอง แล้วหันตัวตามมาอย่างช้าๆ มันรู้สึกไม่ยอมนิดหน่อย วิ่งกลับมาช้าๆ อย่างไม่เต็มใจ แล้วก้มหน้าพ่นเสียงทางจมูกใส่เหมียวอี้เพื่อแสดงการต่อต้าน


เหมียวอี้ยกมือขึ้นลูบหัวมัน แล้วกล่าวอย่างจริงจังจริงใจว่า “โจรอ้วน ที่นี่มีสิ่งที่พวกเราสู้ด้วยไม่ไหว เข้าไปลึกกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้าตะกละกินจะเป็นการรนหาที่ตาย เข้าใจมั้ย?”


เฮยทั่นสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ เพียงแต่พูดไม่ได้เท่านั้นเอง มันจามหนึ่งที แล้วสั่นหัวเล็กน้อย สุดท้ายหมอบลงบนพื้นแล้วสะบัดหางไปมา


เหมียวอี้เองก็ฟังคนอื่นพูดมาเหมือนกัน ส่วนรอบข้างจะมีสิ่งที่สู้ด้วยไม่ไหวหรือไม่ เหมียวอี้ก็ไม่รู้ แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ข้อมูลน่าจะไม่ผิดพลาด ระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะมาเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว


เขาไตร่ตรองครู่หนึ่ง แล้วปักทวนในมือลงบนพื้น ใช้สายตาจ้องไปยังจุดไกลๆ รอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วพลันแยกออก พอตาทิพย์โผล่ออกมา เสาแสงต้นหนึ่งที่มีสีรุ้งลอยวนเวียนพลันยิงออกมา แล้วเริ่มสำรวจด้านหลังภูเขาที่อยู่ไกลๆ


ที่นี่มีปราณชั่วร้ายลอยวนเวียน ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นมาก ต่อให้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็มองได้ไม่ไกล เขาทำได้เพียงใช้ตาทิพย์ที่สิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์เพื่อตรวจดู ต้องยืนยันให้แน่ใจก่อนว่ารอบข้างมีภัยคุกคามหรือไม่ ถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะไปตั้งหลักอยู่ที่ไหน


ตาทิพย์มองทะลุปราณชั่วร้ายที่วนเวียนอยู่ไกลๆ ไปเจอกับภูเขากลุ่มหนึ่ง แล้วก็มองข้ามไปเสียเลย สายตาหักเลี้ยวไปตรวจดูสภาพการณ์ในภูเขา


การมองครั้งนี้ เป็นการมองทุกอย่างตามทุกซอกทุกมุมในระยะร้อยลี้ เขาหมุนตัวอย่างช้าๆ มองสภาพการณ์รอบด้านจนทั่ว นอกจากกระดูกขาวที่กระจายอยู่ทั่วทุกที่ ก็เหมือนจะไม่มีภัยคุกคามอะไรแล้ว จากนั้นก็เงยหน้ากวาดมองบนฟ้า พอมองทะลุหมอกหนาไปก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเห็นดวงดาวเดียรดาษของจักรวาล ที่แปลกก็คือ ไม่ว่าตาทิพย์จะมองได้ไกลขนาดไหน แต่เหมือนว่ากับดวงดาวที่อยู่ใกล้มาก สายตาของตาทิพย์กลับไม่มีวันมองไปถึง เหมือนกับรูปภาพภาพหนึ่ง นี่ไม่ใช่สภาพของดาราจักรปกติเลย


เสาแสงตรงหว่างคิ้วพลันถูกเก็บกลับมา รอยนูนตรงหว่างคิ้วปิดสนิทแล้ว เหมียวอี้ไตร่ตรองเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่พบภัยคุกคามอะไรที่อยู่รอบๆ แต่คิดไปคิดมาก็ยังตัดสินใจทำตามที่จินม่านสั่งไว้ อย่าวิ่งไปไกลเกินไป ถ้าไปยั่วโมโหสิ่งที่สู้ด้วยไม่ไหวขึ้นมา ตัวอยู่ในนี้จะหนีไปไหนก็หนีไม่ได้


เหมียวอี้ยกมือดึงทวนเกล็ดย้อนที่ปักอยู่บนพื้น แล้วคลำหาไปทั่วทุกที่ ทำให้เจอสภาพพื้นที่ที่ลาดชันแห่งหนึ่ง จากนั้นยื่นทวนชี้บอกใบ้ให้เฮยทั่นขุดหลุม


รอจนเฮยทั่นวิ่งมา ขณะกำลังจะขุดหลุม เหมียวอี้ถือทวนเฉียงห้ามมันไว้อีก เฮยทั่นมองเขาอย่างงุนงงนิดหน่อย ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร


หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ตระหนักได้ถึงปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งแล้ว อยู่ที่นี่ไม่ได้อยู่แค่วันสองวัน และไม่ได้อยู่แค่ปีสองปี แต่ต้องอยู่หนึ่งพันปี ทางที่ดีควรไปหาที่ที่มีแหล่งน้ำ


เขายื่นมือไปทดสอบอุณหภูมิอากาศ ถึงแม้อาศัยวรยุทธ์อย่างเขาจะสามารถกลั่นน้ำจากอากาศมาใช้ดำรงชีวิตได้ แต่ก็ยังใค่อยสะดวกอยู่ดี ยิ่งไปหว่านั้นเฮยทั่นก็ยังชอบเล่นน้ำด้วย


เขาจำได้ว่าเมื่อครู่นี้นี้ที่เพิ่งใช้ตาทิพย์ เขาเห็นทะเลสาบแห่งหนึ่งอยู่ด้านหลังภูเขาทางนั้น เหมือนจะอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล ไม่เห็นว่ามีภัยคุกคามอะไรที่นั่นเช่นกัน


พอคิดไปคิดมา ก็ปีนขึ้นขี่บนหลังเฮยทั่น แล้วโบกทวนเกล็ดย้อนไปข้างหลัง เคาะบนก้นของเฮยทั่น


เฮยทั่นวิ่งเร็วราวกับลมพายุทันที วิ่งตะบึงไปยังจุดที่เหมียวอี้ชี้ทวนไป เสมือนมีเงาแฉลบผ่าน ทะเลทรายหิน ถึงแม้วันนี้มันจะถนัดเหาะเหิน แต่ความเร็วในการวิ่งก็ไม่ได้ลดลงจากในปีนั้น ทั้งยังเร็วกว่าเมื่อก่อนด้วย และยังมีข้อได้เปรียบอีกอย่าง นั่นก็คือในปีนั้นเฮยทั่นมีสี่กีบเท้า เวลาวิ่งตะบึงน่าทึ่งมาก ตอนนี้กีบเท้ากลายเป็นกรงเล็บแล้ว เหยียบลงพื้นอย่างแข็งแรงและแผ่วเบา เวลาแฉลบผ่านพื้นดินแทบจะไม่มีเสียงอะไร


เหมียวอี้สวมเกราะรบถือทวน ขี่บนตัวเฮยทั่นอยู่ท่ามกลางสายลม ฉากแบบนี้เป็นเรื่องในอดีนนานมากแล้ว เมื่อได้สัมผัสความรู้สึกตอนวิ่งตะบึงแบบนี้อีกครั้ง เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ นึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ตอนเจอเฮยทั่นที่อ้วนเหมือนหมูครั้งแรกที่ถ้ำล่องนิภา นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าชั่วพริบตาเดียวจะผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว


ผ่านประสบการณ์เรื่องราวและผู้คนข้างกายมาแล้วไม่น้อย ผ่านความขัดแย้งมามากมายเช่นกัน แต่เฮยทั่นกลับอยู่ข้างกายเขาตลอด


พอออกจากทะเลทรายหินที่รกร้าง มุมที่ชนปะทะก็พลันเปลี่ยนไป เฮยทั่นกระโจนเพียงหนึ่งครั้ง ก็ทะยานขึ้นไปบนภูเขาแล้ว วิ่งบนภูเขาสูงราวกับวิ่งบนพื้นราบ ข้ามผ่านภูเขาไปอย่างรวดเร็ว พอสามารถมองเห็นทะเลสาบข้างหน้าได้แล้ว เฮยทั่นก็พุ่งเข้าไปในอึดใจเดียว ไปหยุดอย่างกะทันหันที่ริมทะเลสาบแล้ว


เหมียวอี้ถือทวนมองดู ตรงหน้าคือทะเลสาบที่มีรัศมีหลายลี้ น้ำทะเลสาบใสสะอาด จุดเดียวที่ทำให้ไม่สมบูรณ์แบบก็คือไม่มีพืชพรรณใดๆ เลย ทำให้ที่นี่ดูค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว พอเขายกมือยื่นเข้าไป หยดน้ำหยดหนึ่งก็ดีดขึ้นมาจากผิวทะเลสาบ มาตกลงที่ปลายเล็บของเขา หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบแล้ว ก็นำใส่ปากแล้วกลืน


หลังจากแน่ใจแล้วว่าในทะเลสาบไม่มีพิษ ก็โบกทวนตีเฮยทั่น ทำให้เฮยทั่นเลี้ยวและวิ่งไปที่ตีนเขาริมทะเลสาบ เหมียวอี้กระโดดลงมาแล้วโบกทวนชี้ เฮยทั่นใช้งานเท้าทั้งสี่ทันที ขุดดินอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานก็ขุดถ้ำใต้ดินที่ลึกสิบกว่าจั้งได้แล้ว


หลังจากจัดการกลบกองดินหินที่กองอยู่ด้านนอกแล้ว เหมียวอี้ก็เข้ามาจัดระเบียบในถ้ำใต้ดิน ทำให้เหมือนวังใต้ดินแบบเรียบง่าย เตรียมจะเก็บตัวฝึกตนอย่างสงบใจอยู่ที่นี่สักหนึ่งพันปี แต่น่าเสียดายที่มีการป้องกันน้อยไป ทำได้เพียงให้เฮยทั่นเฝ้าอยู่นอกถ้ำ


เดิมทีการใช้ตั๊กแตนในมือเขามาวางกำลังป้องกันนั้นเหมาะสมที่สุด แต่จนใจที่ก่อนจะเข้าอุทยานหลวง เขากังวลว่าจะโดนค้นตัว จึงให้เหยียนซิวพกไปให้อวิ๋นจือชิวเลี้ยง เรื่องบางเรื่องถึงแม้เขาจะยังยืนยันไม่ได้ แต่เขาก็พอจะเดาอะไรได้คร่าวๆ แล้ว เขาไม่กล้าปล่อยตั๊กแตนพวกนั้นออกมาง่ายๆ อีก


พอออกจากวังใต้ดินแล้ว เฮยทั่นก็วิ่งเข้ามา แล้วทำเสียงฟึดฟัดไปทางทะเลสาบ เหมียวอี้เข้าใจความหมายที่มันต้องการจะสื่อ มันอยากจะลงไปเล่นในน้ำแล้ว เพียงแต่เกราะรบบนตัวหนักไปหน่อย ส่งผลต่อการเล่นน้ำของมัน


พอเหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ชี้ เกราะรบบนตัวเฮยทั่นก็กะพริบแสง แล้วพลิกกดเก็บเสียงดังเปาะแปะ สุดท้ายก็กลายเป็นห่วงเหล็กบนคอของเฮยทั่น


“โจรอ้วน จำไว้นะ ถ้าข้าไม่อนุญาต ก็ห้ามออกไปจากหุบเขาแห่งนี้” เหมียวอี้กล่าวเตือน


เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหาง แสดงออกว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นหันเลี้ยววิ่งออกไปอย่างสำราญบานใจ เสียงน้ำกระเด็นดังตูม มันพุ่งลงไปเกลือกกลิ้งเล่นอยู่ในน้ำแล้ว


พอเปิดใช้ตาทิพย์ตรวจดูสภาพในทะเลสาบอย่างละเอียดอีกรอบ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีความผิดปติ เหมียวอี้ก็ถอดเกราะรบบนร่างกายออก แล้วเริ่มหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอก คนแรกที่ติดต่อคืออวิ๋นจือชิว บอกฮูหยินว่าตัวเองมาถึงแดนดึกดำบรรพ์แล้ว ตอนนี้ปลอดภัยมาก ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่จินตนาการไว้


ทางด้านอวิ๋นจือชิวก็กำชับว่าอย่าประมาท ความปลอดภัยต้องมาอันดับแรก ขณะเดียวกันก็บอกด้วยว่า หกลัทธิเตรียมส่งกำลังพลไปเจอกับไป๋เฟิงหวงแล้ว


จากนั้นเหมียวอี้ก็ทยอยส่งข่าวบอกคนอื่นๆ ว่าตัวเองปลอดภัย


หลังจากทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว พอเห็นสีของท้องฟ้า เหมียวอี้ก็กำลังจะเรียกเฮยทั่นกลับมา แต่ใครจะคิดว่าเฮยทั่นจะกลับมาเองแล้ว ในปากคาบตัวอะไรบางอย่างที่กำลังดิน


เหมียวอี้งงงวย ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป รอจนกระทั่งเฮยทั่นคลายปากโยนสิ่งนั้นมาที่ข้างกายเขา เขาถึงได้พบว่าตัวเองมองไม่ผิดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นปลาตัวหนึ่งที่หน้าตาค่อนข้างประหลาด เป็นปลาที่ทั้งตัวมีสีขาวเหมือนหิมะ


เหมียวอี้กางนิ้วทั้งห้า ดูดปลาที่ยาวประมาณสองฉื่อ[1]มาไว้ในมือ ขณะกำลังเตรียมจะดูว่าเป็นปลาอะไร ใครจะคิดว่าตอนที่ปลาขาวเพิ่งจะเข้ามาในมือ ก็ทำให้เขาหนาวสั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ โยนปลาตัวนั้นทิ้งโดยจิตใต้สำนึก เป็นความอาฆาตแค้นที่ลึกซึ้งมาก!


เหมียวอี้ตกใจไม่เบา ถ้าเดาไม่ผิด ปลาตัวนี้น่าจะเกิดจากปราณอาฆาต หลังจากสิงร่างแล้วจะไม่ปรากฏตัวในภาพไอหมอก แต่จะกลายเป็นพวกปลา แต่ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง ปราณอาฆาตที่รวบรวมไว้ในปลาตัวนี้ก็เยอะจนไอหมอกก่อนหน้านี้เทียบไม่ติด ตอนนี้มันกลายเป็นร่างจริงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นวิญญาณที่มีชีวิต


พอเห็นว่าในดวงตาของปลาตัวนั้นมีพลังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม ปรากฏออกมาเป็นความอาฆาตแค้นอย่างลึกซึ้ง


เพียงแต่ก่อนหน้านี้ตัวเองเพิ่งใช้ตาทิพย์ตรวจดูในทะเลสาบแล้วแท้ๆ แต่ไม่เห็นมีปลาชนิดใดอยู่เลย แล้วนี่เป็นปลาที่โผล่มาจากไหนกัน?


สายตามองไปตามสภาพของทะเลสาบ ไม่นานก็เข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว มันน่าว่ายน้ำลงมาจากต้นน้ำด้านบน


รอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเปิดออก เสาแสงอันสวยงามต้นหนึ่งยิงออกมา ตาทิพย์เปิดออกอีกครั้ง สำรวจดูสภาพในทะเลสาบอีกรอบ พอกวาดมองดูเล็กน้อย ก็พบว่าในทะเลสายมีปลาชนิดนี้อยู่จริงๆ เป็นปลาสีขาวชนิดนี้ทั้งหมด พอสายตาของเขามองไปทางต้นน้ำ เป็นอย่างที่คิดไว้ ยังมีปลาทยอยว่ายมาจากต้นน้ำอย่างต่อเนื่อง


พอเก็บตาทิพย์แล้ว เหมียวอี้ก็มองสีของท้องฟ้าที่มืดลงทีละนิด สงสัยนิดหน่อยว่าเป็นเพราะฟ้ามืดหรือเปล่า ปลาชนิดนี้ถึงได้ปรากฏตัว


จู่ๆ เฮยทั่นก็จามใส่เขาหนึ่งที่ เขาเอียงหน้าไปมอง เข้าใจความหมายแล้ว นี่คือปลาที่มันหามาให้เขา นิสัยเก่าของคู่หู แค่เห็นการกระทำก็เข้าใจแล้ว มันต้องการให้เขาก่อไฟย่างกิน


เหมียวอี้ส่ายหน้าบอกว่า “ข้าไม่วาสนาย่อยของพวกนี้หรอก ถ้าเจ้าไม่กลัวว่ากินแล้วจะท้องไส้ปั่นป่วน เจ้าก็เอาไปกินเองเถอะ”


เฮยทั่นไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเกรงใจ’ มันตะปบกรงเล็บไปเกี่ยวปลาสีขาวบนพื้น แล้วเอาเข้าปากทันที จากนั้นก็เงยหน้าสะบัดหัวกลืนลงท้อง ท่าทางสุขสำราญหวานชื่น แล้วเหล่ตามองเหมียวอี้ราวกับกำลังบอกว่า ‘เหมียวอี้ไม่เข้าใจการเสพสุข’ เสร็จแล้วสะบัดหางพุ่งไปที่ทะเลสาบอีก


เดิมทีเหมียวอี้อยากจะเรียกมันกลับมา ทว่าพอคิดไปคิดมา มือที่ยกขึ้นก็วางลงอีกครั้ง ไปสำรวจสถานการณ์รอบๆ สักหน่อยก็ดีเหมือนกัน เขาเองก็รออยู่นอกถ้ำ อยากจะดูว่าจะเป็นอย่างที่ตัวเองเดาหรือไม่ ปลาพวกนี้จะออกมาตอนที่ฟ้ามืดหรือไม่


ทว่าหลังจากยืนอยู่ตรงนี้ได้สิบกว่าชั่วยาม ก็ไม่เห็นว่าฟ้าจะสว่างขึ้นเลย เฮยทั่นกลิ่นปลาในทะเลสาบจนท้องกลม ประคองตัวไม่ไหวจนต้องกลับมานอนหมอบอยู่ในถ้ำ แล้วก็เริ่มนอนงีบหายใจเสียงดังราวกับฟ้าผ่า


เหมียวอี้เริ่มตระหนักได้ว่าสีของท้องฟ้าที่นี่ไม่สามารถนำมาคาดคะเนตามปกติได้ ที่จริงในดาราจักรก็มีดาวเคราะห์มากมายที่มีสีของท้องฟ้าแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่นเขาภูตพเนจร ที่นั่นฟ้าจะมืดอยู่ตลอดเวลา


ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไรกว่าฟ้าจะสว่างอีกครั้ง เหมียวอี้หันตัวเดินกลับเข้ามาในถ้ำ แล้วนั่งสมาธิฝึกตน


พอฝึกตนไปได้สักพัก จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถูกรบกวนด้วยกลิ่นประหลาดหลุ่มหนึ่ง เขาหยุดฝึกวิชาและยืนขึ้น เดินออกมานอกถ้ำตามกลิ่นหอมนั้น พอเดินมาถึงปากถ้ำถึงได้พบว่า กลิ่นหอมอัศจรรย์กลุ่มนั้นมาจากตัวเฮยทั่นที่กำลังนอนหลับอยู่


นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้นั่งยองๆ แล้วสูดดม พบว่ากลิ่นหอมอัศจรรย์ถูกปล่อยออกมาจากเกล็ดที่กางออกเล็กน้อยแล้วปิดลงบนตัวเฮยทั่นจริงๆ เป็นกลิ่นหอมที่น่าดมมาก หอมมากราวกับไขมันชะมดเช็ด ทำให้สดชื่นผ่อนคลาย พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูอย่างละเอียด ก็พบว่าในเกราะเกล็ดที่ปิดสนิทของเฮยทั่นเปล่งแสงอ่อนๆ ราวกับดวงดาว เหมียวอี้ลองเข้าไปดม พบว่าแสงนั้นก็คือกลิ่นหอม และกลิ่นหอมนั้นก็ค่อยๆ กระจายหายไปในอากาศ ไม่รู้ว่าไปที่ไหนแล้ว ไม่มีร่องรอยให้ตามเลย จู่ๆ ก็หนีหายเข้าไปในความลี้ลับ เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก


เหมียวอี้ตกตะลึงปละประหลาดใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นเฮยทั่นนอน แต่ไม่เคยเจอกลิ่นหอมแบบนี้ปล่อยออกมาจากตัวเฮยทั่นเลย เขาอดไม่ได้ที่จะฉงนใจ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะเฮยทั่นกินวิญญาณที่โกรธแค้นพวกนั้น ก็เลยเกิดผลมหัศจรรย์แบบนี้?


ตอนนี้เขาทำได้เพียงเข้าใจแบบนี้ เป็นเพราะบนตัวเฮยทั่นไม่เคยเกิดสภาพแบบนี้มาก่อน พอเข้ามาในแดนดึกดำบรรพ์ถึงได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดแบบนี้ขึ้น


…………………………


[1] ฉื่อ 尺  1ฉื่อ ยาวประมาณ 33.33เซนติเมตร


บทที่ 1454 ล้มเหลวตอนท้าย

Ink Stone_Fantasy

เรื่องที่ยังไม่เข้าใจชัดเจนก็ยังไม่ต้องไปคิดถึงมัน กลับไปฝึกตนต่อดีกว่า


ส่วนเฮยทั่นที่กินปลาจนอิ่มเต็มท้อง ก็ทำให้มันหลับไปได้หลายวันเช่นกัน หลังจากตื่นแล้วก็วิ่งไปจับปลามากินอีก พอกินอิ่มแล้วก็กลับมานอนต่อ


รอจนกระทั่งฟ้าสว่างอีกครั้ง เหมียวอี้ก็เดินออกมาจากถ้ำ เขานับนิ้วคำนวณวัฎจักรโคจรของร่างกาย พบว่าใช้เวลาไปสิบวันเต็มๆ กว่าฟ้าจะสว่าง เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เฮยทั่นที่วิ่งกลับมาอีกครั้งมีท่าทางผิดหวังมาก พอฟ้าสว่าง ปลาในทะเลสาบก็หายไปแล้ว


หลังจากนั้นอีกสิบวัน เฮยทั่นก็วิ่งไปใช้ชีวิตสำราญในทะเลสาบอีก ปลาสีขาวที่เกิดจากวิญญาณที่โกรธแค้นมาอีกแล้ว ทำให้เหมียวอี้แน่ใจปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของที่นี่แล้วเช่นกัน แดนดึกดำบรรพ์กลางวันและกลางคืนของที่นี่ล้วนใช้เวลาประมาณสิบวัน ด้วยเหตุนี้เวลาฟ้ามืดกับฟ้าสว่างจึงดูค่อนข้างยาวนาน


สิ่งนี้ได้พิสูจน์เรื่องเรื่องหนึ่งไว้อย่างชัดเจนแล้วเช่นกัน เป็นเพราะเวลากลางวันยาวนาน พอวิญญาณโกรธแค้นในท้องเฮยทั่นถูกย่อยจนหมด ต่อให้จะนอนหลับต่อ แต่บนร่างกายก็จะไม่มีกลิ่นหอมนั้นอีก หลังจากได้งนอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน เหมียวอี้ก็สามารถแน่ใจได้แล้ว ว่ากลิ่นหอมอัศจรรย์ที่ปล่อยออกมาจากตัวเฮยทั่นก็คือผลที่ได้หลังจากการย่อยปราณชั่วร้ายและวิญญาณชั่วร้าย


การค้นพบที่ทำให้คนอัศจรรย์ใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนที่ตัวเฮยทั่นปล่อยกลิ่นหอมอัศจรรย์ วิญญาณชั่วร้ายที่ลอยผ่านปากถ้ำก็อ้อมหนีไปด้วยความหวาดกลัว ส่วนปราณชั่วร้ายที่ยังไม่มีวิญญาณ พอเข้าใกล้ก็ทนการกรองอากาศตอนที่เฮยทั่นหายใจเข้าออกไม่ไหว ไม่มีทางเข้ามาในถ้ำได้เลย


นี่คือสิ่งที่ก่อนหน้านี้เหมียวอี้คิดไม่ถึง มีเฮยทั่นเฝ้าปากถ้ำให้มันได้ผลอัศจรรย์อย่างนี้นี่เอง สามารถทำให้ฝึกตนในถ้ำได้อย่างสงบใจ สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้ดีใจไม่หาย รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าการพาเฮยทั่นมาด้วยคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว


ทว่าเหมือนเขาจะรีบดีใจเร็วเกินไปหน่อย เขาประเมินความสามารถในการก่อหายนะของเฮยทั่นต่ำไปแล้ว…


ที่ทะเลดาวสับสน บุรุษจัญไรหกเนตรที่ยังอยู่ที่นี่เหนื่อยมาก เดิมทีหลบอยู่เงียบๆ ในมุมก็อิสระเสรีมาก แต่จนใจที่โดนตำหนักสวรรค์เพ่งเล็งแล้วเข้าแล้ว จำเป็นต้องมารับใช้เหมือนวัวเหมือนม้า พอใช้พลังอิทธิฤทธิ์หมดแล้วก็พัก พอฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์แล้วก็ต้องใช้ดวงตาพันลี้ลาดตระเวนไปทั่วทะเลดาวสับสนอีก ข้างกายมีคนของตำหนักสวรรค์ตามเป็นกอง เขาแอบอู้ไม่ได้


เขารู้สึกว่าไป๋เฟิงหวงน่าจะไม่มาที่ทะเลดาวสับสนอีกแล้ว เขารู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ แต่ตำหนักสวรรค์ต้องการจะพลิกแผ่นดินแผ่นฟ้าหาที่ทะเลดาวสับสนอย่างถึงที่สุด


วันนี้ค้นพบอาณาเขตที่แปลกประหลาดผืนกนึ่ง ในหมอกสีขาวปรากฏหมอกสีดำกลุ่มหนึ่ง โดดเด่นสะดุดตามาก


เมื่อสถานการณ์ไม่ปกติ กลุ่มคนของตำหนักสวรรค์ก็ย่อมต้องการจะไปดูว่ามีอะไร หลังจากมาถึงอาณาเขตหมอกสีดำผืนนี้แล้ว ก็ไม่พบว่ามีจุดไหนที่ผิดปกติ บุรุษจัญไรหกเนตรใช้ดวงตาพันลี้กวาดมองรอบๆ เห็นตรงจุดที่ไม่ไกลมีทหารสวรรค์พันคนกำลังมาทางนี้ ตอนแรกก็ยังไม่สนใจอะไร คิดว่าเป็นกำลังพลที่ลาดตระเวนเฉยๆ


หลังจากกำลังพลหนึ่งพันของฝั่งนี้กับกำลังพลหนึ่งพันของฝั่งนั้นเจอกัน ฝั่งนี้เห็นว่าอีกฝ่ายค่อนข้างคุ้นหน้า จึงตะโกนถามว่า “มาจากหน่วยไหน?”


ชายรูปร่างบึกบึนคนหนึ่งที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามร่ายอิทธิฤทธิ์ตอบเสียงดัง “ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการองครักษ์ขวา ว่าให้เชิญบุรุษจัญไรหกเนตรกลับไปถามอะไรสักหน่อย”


บุรุษจัญไรหกเนตรกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าต้องการจะถามอะไรตนกันแน่


ขุนพลที่อยู่ข้างเขากลับขมวดคิ้ว ถ้าต้องการจะเรียกบุรุษจัญไรหกเนตรกลับไปถามอะไรจริงๆ ทำไมไม่แจ้งให้ตนรู้สักคำเลยล่ะ ทางนี้พาตัวไปโดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้ว ต้องทราบไว้ว่าทางนี้หาคนไม่สะดวก เขาสงสัยนิดหน่อยว่าคนพวกนี้หาพวกเขาเจอได้อย่างไร จึงตะโกนบอกว่า “รายงานมาก่อนว่าสังกัดไหน รอให้ข้ายืนยันตรวจสอบก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


ชายรูปร่างบึกบึนที่อยู่ตรงข้ามหัวเราะเบาๆ แล้วโบกมือบอกว่า “ได้ พวกเราทำให้พวกเขารู้สักหน่อยว่าพวกเราสังกัดไหน”


ชั่วพริบตานั้น คนนับพันที่อยู่ข้างหลังเขาก็พลิกมือ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งพันคันพลันปรากฏ ลูกธนูสามดอกมีครบ ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ง้างสายแล้วยิงทันที ลำแสงพันสายถูกยิงออกไปอย่างบ้าคลั่ง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหกร้อยคันที่อยู่ในจำนวนนั้นเล็งมาที่บุรุษจัญไรหกเนตร ทำเอาบุรุษจัญไรหกเนตรตกใจจนขวัญแทบกระเจิง


ทว่าฝ่ายที่โดนโจมตีก็สมกับเป็นกองทัพองครักษ์ที่อยู่ในสนามรบมานาน รีบคว้าโล่ออกมาป้องกันตัว


ลำแสงระเบิดยิง เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นก้องดาราจักร กองทัพองครักษ์ที่ต้านทานการโจมตีอันรุนแรงระลอกนี้ไม่ไหวโดนยิงตายไปเกือบครึ่ง


กองทัพองครักษ์ที่ใช้โล่ต้านทานจนสะเทือนถอยหลังหันกลับไปมองบุรุษจัญไรหกแวบหนึ่ง พบว่าโดนยิงจนพรุนแล้ว ดับอนาถคาที่ ไม่น่าเชื่อว่ายอดฝีมือบงกชรุ้งขั้นเจ็ดจะโดนกำจัดทิ้งไปแบบนี้


หัวหน้าที่นำกองทัพองครักษ์กลุ่มนี้มาเดือดดาลแล้ว ฉวยโอกาสหาช่องโหว่ตอนอีกฝ่ายลงมือตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “จัดกระบวนทัพโจมตีกลับ!”


กำลังพลหลายร้อยที่เหลืออยู่รีบจัดกระบวนทัพ หนึ่งร้อยคนในนั้นใช้โล่เป็นกำแพง คอยป้องกันการโจมตีระลอกสองที่อาจจะเกิดขึ้นของฝ่ายศัตรู คนหลายร้อยคนที่อยู่ข้างหลังรีบง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตีกลับ ยังไม่ใช่การยิงออกไปทั้งหมดในรวดเดียว แต่เป็นการผลัดกันยิงแบบขั้นบันได


ถึงแม้จะมีอานุภาพการโจมตีไม่มาก แต่กลับทำให้จังหวะการโจมตีของฝ่ายศัตรูวุ่นวายในชั่วพริบตาเดียว กดดันให้อีกฝ่ายต้องเอาโล่ขึ้นมาบัง


หัวหน้าฝ่ายกองทัพองครักษ์ตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ศัตรูประชิดโจมตีกะทันหัน!” ขณะเดียวกันก็รีบหยิบระฆังดาราออกมารายงานเบื้องบน ไม่ตื่นตระหนกยามเผชิญวิกฤต


พอออกคำสั่ง กลุ่มที่จัดกระบวนทัพป้องกันก็พุ่งโจมตีเข้าไปโดยใช้วิธีการทั้งรุกทั้งรับ เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์และประสิทธิภาพการใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าฝ่ายศัตรูที่ลอบโจมตี


พอเห็นกำลังพลที่ตัวเองรวบรวมขึ้นชั่วคราวเสียจังหวะแล้ว ชายรูปร่างบึกบึนที่นำกลุ่มมาโจมตีก็รู้ว่าถ้าโดนฝ่ายตรงข้ามบุกสังหารเข้ามา ต่อให้ฝ่ายตัวเองจะชนะ แต่ก็จะต้องบาดเจ็บล้มตายอย่างหนักแน่นอน ถึงอย่างไรจุดประสงค์ของพวกเขาก็ไม่ใช่การสู้ศึกเลือดกับกองทัพองครักษ์ เป้าหมายสำคัญก็คือบุรุษจัญไรหกเนตร เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องสู้ตายให้ถึงที่สุดอีก


“ไป!” ชายรูปร่างบึกบึนตะคอกสั่ง


กลุ่มคนใช้โล่บังทันที แล้วเลี้ยวเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว


พอหัวหน้ากองทัพองครักษ์เห็นดังนั้น มีหรือที่จะปล่อยพวกเขาไป ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฆ่า!” แล้วคว้าโล่นำไปก่อน พุ่งไล่ตามไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


เขาใช้ทวนยาวสังหารฝ่าวงเข้าไป ปาดทวนอย่างเกรี้ยวกราดตลอดทาง โจมตีจนล้มคว่ำต่อเนื่องไปสิบกว่าคน เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พุ่งสังหารตรงไปทางชายรูปร่างบึกบึนที่เป็นหัวหน้า เห็นได้ชัดว่าต้องการจับหัวหน้าก่อน


ชายรูปร่างบึกบึนหันกลับมามอง ตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไปมาก นึกไม่ถึงว่าข้างกายบุรุษจัญไรหกเนตรจะมียอดฝีมือแบบนี้ปกป้อง ถ้าโดนกัดไม่ปล่อยขึ้นมา เขาก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะหนีพ้น แต่โชคดีที่คนหลายสิบคนที่ทำหน้าที่คุ้มกันอยู่ข้างกายมีพลังค่อนข้างแข็งแกร่ง รีบร่วมมือกันสกัดขวางแม่ทัพใหญ่คนนั้นของกองทัพองครักษ์เอาไว้ ช่วยช่วงชิงเวลาในการหลบหนีให้เขา แต่ก็ทำได้เพียงโจมตีไปด้วยถ่วงเวลาไปด้วยนิดหน่อย แต่กลับไม่สามารถสกัดขวางแม่ทัพใหญ่คนนั้นได้อย่างเต็มที่


และเป็นเพราะแม่ทัพใหญ่ของกองทัพองครักษ์โจมตีเข้ามา ทำให้ถ่วงความเร็วในการถอนทัพของฝั่งนี้ กองทัพองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังก็พุ่งเข้ามาแล้ว อาศัยคนน้อยสู้กับคนเยอะ แต่กลับไม่หวาดกลัวเลยสักนิด ทำศึกเลือดกับกำลังพลที่ลอบโจมตี ชั่วพริบตาเดียวก็สู้กันจนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน


ชายรูปร่างบึกบึนเห็นว่าหลุดพ้นจากแม่ทัพใหญ่ข้างหลังไม่ได้เสียที เมื่อเห็นว่าคนที่สกัดขวางแม่ทัพใหญ่โดนไล่ฆ่าทีละคน ก็ด่าว่า “ทำไมไม่ส่งยอดฝีมือมาให้แม่สักหน่อยโว้ย”


เห็นเพียงเขาโบกแขนสองข้าง วาดรูปครึ่งวงกลมประหลาดออกมา


ผ่านไปไม่นาน สถานการณ์รอบข้างก็พลันเปลี่ยนไป หมอกสีดำผืนใหญ่หมุนวนขึ้นมาอย่างช้าๆ ทั้งยังเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ตามติดด้วยเสียงฟ้าร้อง สกัดกั้นถ่วงความเร็วกำลังพลที่ไล่สังหาร ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปกะทันหัน ได้สร้างอุปสรรคที่ค่อนข้างใหญ่ให้กับกองทัพองครักษ์แล้ว ในที่สุดกำลังพลที่ลอบโจมตีก็ทยอยกันรอดตัวไป


สุดท้ายก็เหลือแค่แม่ทัพใหญ่คนนั้นที่ไล่ตามไม่หยุด เมื่อเหลือเขาอยู่คนเดียว การโจมตีหมู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เพียงระลอกเดียวของข้าศึกที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้งก็กดดันให้เขาทนไม่ไหวแล้ว พอเงยหน้าอีกครั้ง ก็มีเพียงฝุ่นละอองที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่งและสายฟ้าที่เริงระบำอยู่ทั่ว จะเห็นเงาคนได้อย่างไร


พอหันกลับไปอีก พวกลูกน้องก็ทยอยกันพุ่งเข้ามารวมตัวอยู่ข้างกายเขา เขาโบกทวนแล้วเงยหน้าถอนหายใจยาว “จะให้ข้ารายงานกับนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ยังไง!”


คนข้างๆ ตอบว่า “นายท่าน ตอนนี้พวกเราจะกลับไปยังไงต่างหากที่เป็นปัญหาสำคัญ”


ทะเลดาวสับสนเกิดเปลี่ยนเป็นมีฟ้าแลบฟ้าร้องกะทันหัน ทำให้คนไม่น้อยรู้สึกตกใจ


ที่ชายขอบทะเลดาวสับสน กลุ่มคนที่ลอบโจมตีพุ่งออกมา พอนับจำนวนลูกน้องได้แล้ว ก็พบว่ามีกำลังพลหายไปเกือบครึ่ง


ชายรูปร่างบึกบึนที่เป็นหัวหน้ามองดูกลุ่มคน รู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะคนพวกนี้ปกป้องอย่างสุดชีวิต ครั้งนี้ตนก็เลิกคิดได้เลยว่าจะหนีพ้น จะต้องตกอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์แน่นอน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็บอกว่า “ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อยู่ในมือพวกเจ้า ข้ามอบให้พวกเจ้าแล้วกัน พวกเจ้าอ้อมออกไปทางขวา หลังจากเห็นดวงดาวสีแดงดวงหนึ่ง ก็ค่อยออกไปทางข้างล่างของดาวดวงนั้น พวกเจ้าจะอ้อมออกจากเขตที่ทหารตำหนักสวรรค์เฝ้าได้”


ในคนกลุ่มนั้นมีคนแอบส่งสายตาให้กัน หนึ่งในนั้นก้าวออกมาแล้วถามว่า “สหาย เจ้ารู้รึเปล่าว่าไป๋เฟิงหวงเจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหน?”


“พวกเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ของที่รับปากว่าจะให้พวกเจ้าแล้วก็ย่อมให้พวกเจ้า” ชายรูปร่างบึกบึนตอบ


ใครจะคิดว่าคนคนนั้นจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ไปจัดการซื้อขายกันแบบต่อหน้าให้ชัดเจนจะดีกว่า รบกวนสหายพาพวกเราไปเจอสักหน่อยสิ”


ชายรูปร่างบึกบึนกลอกตา ขี้เกียจสนใจพวกเขา จึงหันตัวแล้วออกไปเลย “ในการซื้อขายไม่มีเงื่อนไขนี้ พวกเจ้าจะไปหรือไม่ไปก็ตามใจ”


“เกรงว่าเจ้าจะทำตามใจตัวเองไม่ได้น่ะสิ ข้าแนะนำให้เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้นดีกว่า ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” คนคนนั้นแสยะยิ้ม


ชายรูปร่างบึกบึนหันกลับมา พบว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายร้อยคันง้างสายเล็งมาที่เขาแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแห้งๆ กลับเร่งความเร็วพุ่งเข้าไปในพายุสีขาวด้วยซ้ำ


“จับเป็น ยิง!” คนคนนั้นออกคำสั่ง


ทำให้เห็นลำแสงระนาวราวกับสายฝนทันที ธนูระเบิดยิงไปที่ชายรูปร่างบึกบึน มองออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้ยิงไปที่จุดสำคัญบนร่างกาย


ทว่าเกราะรบบนตัวชายรูปร่างบึกบึนแวบหายไป หลังจากฝนธนูที่ยิงรวมกันเข้ามาโดนร่างกายเขา แต่กลับทะลุผ่านไปราวกับยิงโดนระลอกคลื่นม่านน้ำ ไม่สามารถสร้างการบาดเจ็บใดๆ ได้เลย ชายรูปร่างบึกบึนกลายร่างเป็นเงาสีขาวสายหนึ่งมุดเข้าไปในพายุสีขาวที่มีสายฟ้าร้องครืนครานอย่างรวดเร็ว


“ท่าไม่ดีแล้ว! เขาคือไป๋เฟิงหวง!” คนที่ออกคำสั่งพลันบอกอย่างตกใจว่า “รีบไล่ตาม!”


คนกลุ่มหนึ่งรีบเข้าไปในพายุสีขาว ทว่าจะยังเห็นเงาของชายรูปร่างบึกบึนได้อย่างไร พอบุกเข้าไปข้างใน พวกเขาก็หลงหายเข้าไปแล้วเช่นกัน โดยเฉพาะตอนที่ทะเลดาวสับสนหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้หลายคนที่นำหน้ามาทุบอกอย่างร้อนใจทันที นึกไม่ถึงว่าชายรูปร่างบึกบึนที่ปะปนอยู่ด้วยกันจะเป็นตัวจริงของไป๋เฟิงหวง  จนกระทั่งพลาดโอกาสที่จะได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันในรวดเดียวไป


พวกเขาไม่กล้าเข้าไปลึก ล้มเหลวตอนท้าย ภายใต้ความจนใจ พวกเขาก็ทำได้เพียงถอยออกมาอย่างหงุดหงิดแค้นเคือง


ส่วนชายรูปร่างบึกบึนที่หลบหนีไปก่อนหน้านี้ก็เป็นไป๋เฟิงหวงจริงๆ ตอนนี้ปรากฏร่างเดิม ชุดกระโปรงปลิวสะบัด บินร่อนอยู่ท่ามกลางพายุ บนใบหน้าแสยะยิ้มเป็นพักๆ นางเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าคนกลุ่มนี้จะคิดไม่ซื่อกับนาง โชคดีที่ตอนแรกนางไม่ได้เผยโฉมหน้าที่แท้จริง ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องตายน้ำตื้นก็ได้ เดี๋ยวกลับไปจะต้องถามหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อยว่าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร


หารู้ไม่ว่านี่เป็นความเข้าใจผิดล้วนๆ คนกลุ่มนี้คือผู้เหลือรอดของหกลัทธิ ได้รับคำสั่งมาให้ร่วมมือกับนางกำจัดบุรุษจัญไรหกเนตร นางตอบตกลงเหมียวอี้แล้วว่าหลังจากทำเรื่องนี้สำเร็จจะมอบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันให้เหมียวอี้ ทว่าจำนวนที่เหมียวอี้ให้สัญญาไว้กับหกลัทธิกลับเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคัน ส่วนที่ฝั่งหกลัทธิเกิดความคิดเป็นอื่น เพราะเตรียมจะคิดหาวิธีนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันทั้งหมดมาไว้ในมือ ถึงได้เกิดความเข้าใจผิดนี้ขึ้น


บทที่ 1455 มีงานใหญ่ จะรับหรือไม่รับ

Ink Stone_Fantasy

ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิดหรือไม่ ไป๋เฟิ่งหวงก็ต้องติดต่อเหมียวอี้เพื่อขอคำอธิบายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


หลังจากเล่าสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็ถามว่า : หนิวโหย่วเต๋อ ข้ารักษาคำพูดทำตามสัญญาแล้ว แต่คนที่เจ้าส่งมากลับต้องการจะจับตัวข้า เจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกันแน่?


พอเหมียวอี้ได้ฟังก็เข้าใจเจตนาของหกลัทธิทันที เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันนั่น อยากจะฉวยโอกาสเอามาไว้ในมือทั้งหมดอย่างง่ายดาย


หลังจากคิดจนรู้สาเหตุแล้ว ในใจเหมียวอี้ก็เดือดดาลทันที ไม่น่าเชื่อว่าหกลัทธิจะทำเรื่องแบบนี้ลับหลังโดยไม่ปรึกษาตนก่อนเลยสักนิด น่ารังเกียจจริงๆ ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรลับหลังเขาอีกบ้าง เห็นได้ชัดว่านึกว่ากำลังบีบจุดอ่อนของเขาอยู่และคิดว่าเขาไม่กล้าใช้กำลังพลของตำหนักสวรรค์ทำอะไรพวกเขาได้ ถึงได้กล้าทำเรื่องแบบนี้โดยไม่ผ่านการอนุญาตจากเขาก่อน ชัดเจนว่าไม่กลัวเพราะมีที่พึ่งพิง


ถ้าไม่ให้บทเรียนคนพวกนี้สักหน่อยคงไม่ได้แล้ว! เหมียวอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเดือดดาล


ถึงแม้ในใจจะเดือดดาลมาก แต่เหมียวอี้ก็ยังต้องปลอบใจไป๋เฟิ่งหวงต่อไป ไม่อย่างนั้นถ้าปีศาจตนนี้เปิดเผยเรื่องระหว่างนางกับเขาออกไปก็จะแย่ : ไป๋เฟิ่งหวง เรื่องนี้จะต้องมีการเข้าใจผิดอะไรกันแน่นอน รอข้าตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ไป๋เฟิ่งหวง : เข้าใจผิดเหรอ? ถ้าเมื่อครู่ข้าไม่ได้อยู่ที่ทะเลดาวสับสนจนข้าโชคดีหนีพ้นมาได้ เกรงว่าตอนนี้ข้าคงไม่มีสิทธิ์รู้ความจริงด้วยซ้ำ


เหมียวอี้ : แล้วเจ้าคิดจะทำยังไง?


ดูพูดเข้าสิ ไป๋เฟิ่งหวงก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอย่างไรกับเขา พอนึกนึกโหยวอีที่สามารถมารออยู่ตรงหน้านางได้ทุกเมื่อ นางก็หวาดระแวงกลัวแล้ว สุดท้ายนางก็ตอบกลับไปว่า : เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน


เหมียวอี้ : ถึงยังไงก็ช่วยเจ้ากำจัดบุรุษจัญไรหกเนตรทิ้งแล้ว แล้วธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่เหลืออยู่ เจ้าเตรียมจะจบการซื้อขายยังไง?


ไป๋เฟิ่งหวง : ยังคิดจะเอาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่เหลืออีกเหรอ เจ้าก็ช่างกล้าพูดเนอะ?


ที่จริงถ้าเหมียวอี้ดึงดันจะเอาของจากนางให้ได้ นางก็ให้ได้ด้วยสาเหตุบางอย่าง ทว่าเหมียวอี้รู้สึกว่าฝั่งหกลัทธิทำเกินไปหน่อย ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา เขาก็ไม่ตอบตกลงเช่นกัน จึงตอบไปว่า : ให้ข้าทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


หลังจากทั้งสองหยุดติดต่อกันไม่ได้นาน อวิ๋นจือชิวก็ส่งข่าวมาแล้ว คุยเรื่องที่ไป๋เฟิ่งหวงบอก เหมียวอี้ค่อนข้างโมโห ถามอวิ๋นจือชิวว่าทำแบบนี้หมายความว่าอะไร ตอนนี้ไป๋เฟิ่งหวงไม่ยอมให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันที่เหลือแล้ว


อวิ๋นจือชิวอธิบายว่า นางเองก็เพิ่งได้รับข่าวจากลัทธิมาร ถึงได้รู้ว่าระหว่างทางเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ทางลัทธิมารให้นางมาอธิบาย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ คนที่ลงมือพวกนั้นแค่เชื่อฟังคำสั่งที่มาจากแดนอเวจี ที่ลงมือไปเป็นเพราะคำสั่งของแดนอเวจี แดนอเวจีวางแผนไว้ตั้งนานแล้ว ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับอวิ๋นจือชิวเลย นางถามพวกจีเหม่ยลี่แล้ว พบว่ามีสถานการณ์เหมือนกัน


เหมียวอี้เดือดดาลมาก : แล้วยังจำเป็นต้องอธิบายกับข้าด้วยเหรอ? อธิบายทำบ้าอะไรล่ะ! เห็นว่าข้าทำอะไรพวกเขาไม่ได้น่ะสิ เห็นว่าข้าเป็นลูกพลับอ่อนที่บีบง่าย ครั้งหน้าก็ยังไม่รู้เลยว่าพวกจะทรยศอะไรข้าบ้างยามช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ!


จะไม่ให้เขาโกรธคงไม่ได้ เขาเคยโดนพวกมู่ฝานจวินทรยศมาแล้วหนึ่งครั้ง แทบจะสิ้นชีวิตด้วยน้ำมือพวกเขา เรื่องในอดีตยังไม่ทันลืม เรื่องใหม่ก็เกิดขึ้นอีกแล้ว เจ้าพวกนี้เล่นตุกติกลับหลังเขา เล่นไม่รู้จักจบจักสิ้น


อวิ๋นจือชิว : เรื่องนี้ก็ทำให้ข้ากับท่านปู่ทะเลาะกันไปยกหนึ่งเหมือนกัน ข้าโมโห เจ้าโมโหไปก็ไม่มีระโยชน์ ได้แต่ค่อยๆ วางแผน จะใจร้อนไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่สูญเสียอะไร ข้าบอกพวกเขาไว้แล้ว บอกว่าตอนนี้แม้แต่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันนั่นไป๋เฟิ่งหวงก็ไม่ยอมให้ ข้าจะได้ถือโอกาสยึดธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันไว้ในมือได้พอดี ถือไว้ให้บทเรียนกับพวกเขายาวๆ


เหมียวอี้ : บทเรียนยาวๆ บ้าบออะไรล่ะ! พวกเขาก็ได้แต่โทษว่าตัวเองเตรียมตัวไม่ดี ถ้าให้โอกาสพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาก็จะทำเรื่องพวกนี้อีกแน่นอน เจ้าคิดว่าพวกเขาจะใจอ่อนเหรอ?


อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ตอนนี้เรื่องก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว เจ้ามาโมโหใส่ข้าก็เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ดี เออใช่ อีกประเดี๋ยวพวกจีเหม่ยลี่จะต้องไปอธิบายกับเจ้าแน่ เจ้าเถียงกับข้าก็ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่เก็บมาใส่ใจ แต่เจ้าอย่าไปโมโหใส่พวกนางเกินไปเชียว ระหว่างเจ้ากับอาจารย์พวกนาง อย่างน้อยก่อนหน้านี้พวกนางก็ไม่ได้มีท่าทีเอนเอียงไปฝั่งอาจารย์เสียทีเดียว เจ้าอย่าผลักพวกนางออกไปเชียวนะ ถ้าความสัมพันธ์เป็นอัมพาต พอถึงเวลาจะฟื้นฟูอีกครั้งก็ยากแล้ว และถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง อาจารย์ของพวกนางก็ทำแบบนี้เพราะไม่สนใจสถานการณ์ของพวกนาง จะให้พวกนางทนความรู้สึกได้ยังไงล่ะ เจ้าก็ใจกว้างให้อภัยหน่อย พวกนางจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่จริงใจกับพวกนาง เข้าใจมั้ย?


เหมียวอี้ : ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันหายไปแบบนี้แล้ว ไอ้พวกเวรนี่ รอพ่อก่อนเถอะ คอยดูว่าเดี๋ยวกลับไปพ่อจะจัดการพวกเจ้ายังไง!


อวิ๋นจือชิวก็ทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมให้เขาระงับโทสะ แล้วกำชับว่าอย่าทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพวกจีเหม่ยลี่แข็งทื่อ นางไม่คิดจริงจังกับคำพูดเหมียวอี้เช่นกัน ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็โดนขังอยู่ในแดนมรณะอเวจี ถ้ามีเรื่องอะไรก็ต้องรอให้เขากลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน


พอทั้งสองติดต่อกันเสร็จ จีเหม่ยลี่และอนุภรรยาที่เหลือก็ส่งข่าวมาอย่างที่คาดไว้ พวกนางทั้งอธิบายทั้งขอโทษ


เหมียวอี้อยากจะโมโหใส่พวกนางมาก แต่ก็เข้าใจว่าบางเรื่องบางเรื่องไม่อาจไปโทษพวกนางได้ กอปรกับก่อนหน้านี้อวิ๋นจือชิวชี้แนะนทางไว้ทัน คิดคิดมาก็ทำตามที่อวิ๋นจือชิวบอก คือใช้คำพูดดีๆ ปลอบโยน บอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนาง เป็นอาจารย์ของพวกนางที่ต่ำช้าเกินไป ถ้าจะผิดก็ผิดที่ฮูหยินเอกอย่างอวิ๋นจือชิว ที่ไม่ยอมสื่อสารให้ดีก่อนล่วงหน้า เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่รู้เรื่องล่วงหน้าเลยสักนิด


ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้กำลังผลักความรับผิดชอบไปที่อวิ๋นจือชิว แต่อวิ๋นจือชิวเองขอให้เหมียวอี้พูดแบบนี้ ให้เหมียวอี้เป็นฝ่ายผลักความรับผิดชอบมาให้นางต่อหน้าพวกอนุภรรยา


หลังจากติดต่อกับพวกอนุภรรยาเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจินม่านทันที พอติดต่อได้ ก็ถามทันทีว่า : เรื่องไป๋เฟิ่งหวงน่ะ ทำไมไม่บอกข้าก่อน พวกเจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง ล้อเล่นกับคำว่า ‘ประมุขปราชญ์’ ของข้าใช่มั้ย?


จินม่านกำลังเรียกกงซุนลี่เต้าและคนอื่นๆ มาปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่พอดี ขณะกำลังลังเลว่าจะติดต่อเหมียวอี้เพื่ออธิบายเรื่องนี้หรือไม่ ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเป็นฝ่ายมาเอาเรื่องก่อนแล้ว


จินม่านอธิบายว่า : ประมุขปราชญ์ เรื่องนี้พวกเราไม่รู้สถานการณ์ล่วงหน้าจริงๆ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าอีกห้าลัทธิจะทำอะไรหักมุม แต่พวกเราก็รับรองกับท่านได้ ว่าตอนนั้นที่ลงมือก็ไม่มีคนของพวกเราลงมือกับไป๋เฟิ่งหวงเลย เพียงแต่ไม่ได้ห้ามพวกเขาเท่านั้นเอง


เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งถือระฆังดาราติดต่อนาง พร้อมใช้มืออีกข้างถือระฆังดาราติดต่ออวิ๋นจือชิว ให้อวิ๋นจือชิวสืบมาสักหน่อยว่าตอนนั้นคนของลัทธิอู๋เลี่ยงไม่ได้ลงมือจริงหรือไม่


อวิ๋นจือชิวติดต่อคนของลัทธิมารที่เข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ทันที ยืนยันแล้วว่าผู้ที่รอดชีวิตของลัทธิอู๋เลี่ยงไม่ได้ลงมือกับไป๋เฟิ่งหวงจริงๆ


เพื่อป้องกันไม่ให้ฝั่งหกลัทธินัดกันทำเรื่องไม่ดี เหมียวอี้จึงติดต่อไป๋เฟิ่งหวงเพื่อยืนยันสถานการณ์ในตอนนั้นอีกครั้ง


ไป๋เฟิ่งหวงเห็นว่าเจ้าหมอนี่ติดตามเรื่องนี้ไม่หยุด ก็เริ่มเชื่อแล้วว่าเหมียวอี้ไม่รู้สถานการณ์ล่วงหน้าจริงๆ เดิมทีตอนแรกนางก็สงสัยเหมือนกัน รู้สึกว่าเหมียวอี้ไม่มีเหตุผลทที่จะต้องจับตัวนาง เพราะนางตอบตกลงที่จะให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดกับเขาแล้ว นอกเสียจากจะไม่วางใจกลัวนางเล่นตุกติก


ไป๋เฟิ่งหวงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่โจมตีนางในตอนนั้นเป็นคนของใคร นางถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่มาเจอกับนางคือใคร แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่นางแน่ใจได้ นั่นก็คือตอนที่นางโดนโจมตี ในเหตุการณ์นั้นมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมโจมตีด้วยจริงๆ


เมื่อมีคำให้การจากคนในที่เกิดเหตุอย่างไป๋เฟิ่งหวง ไฟโกรธในใจเหมียวอี้ก็นับว่าเบาลงแล้วนิดหน่อย อย่างน้อยลัทธิอู๋เลี่ยงก็ไม่ทำให้คำว่า ‘ประมุขปราชญ์’ ของเขาแย่จนเกินไป ยังรู้จักไว้หน้าเขาอยู่


แต่เหมียวอี้ที่กำลังหัวร้อนก็พูดจาอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน เตือนโดยเรียกชื่อตรงๆ เลย : จินม่าน ไม่ว่าเจ้าจะเข้าร่วมเรื่องนี้หรือไม่ แต่ถ้าครั้งหน้าเกิดเรื่องแบบนี้อีก ข้าหวังว่าเจ้าจะบอกให้ข้ารู้ข่าวทันที ไม่ใช่รอให้ข้ามาถามพวกเจ้า!


จินม่าน : ประมุขปราชญ์โปรดระงับโทสะ ข้าน้อยจะจดจำไว้!


หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว จินม่านก็มองพวกกงซุนลี่เต้าอย่างจนใจ


ว่ากันตามตรง ถึงแม้ก่อนหน้านี้อีกห้าลัทธิจะปิดบังฝั่งนี้ แต่ฝั่งนี้ก็เดาออกแล้วว่าอีกห้าลัทธิจะทำแบบนี้ ถึงอย่างไรก็คบค้ากันมาหลายปี พอจะเข้าใจนิสัยใจคอกันอยู่บ้าง เมื่อเห็นโอกาสแบบนี้แล้ว มีหรือที่อีกห้าลัทธิจะปล่อยให้พลาดไป จะต้องดูจากสถานการณ์ว่าจะสามารถนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดมาไว้ในมือได้หรือไม่ และที่ฝ่ายนี้ไม่ได้บอกเหมียวอี้ก็เป็นเพราะแกล้งโง่ล้วนๆ ใช่ว่าจะไม่อยากเห็นเรื่องนี้สำเร็จ


พอเหมียวอี้ติดต่อบ้านนี้เสร็จแล้ว ก็ติดต่อไปอีกบ้านหนึ่ง หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจงหลีค่วยแล้ว


จงหลีค่วย : ทำไมถึงคิดได้แล้วล่ะว่าจะติดต่อมาหาข้า? ได้ยินว่าเจ้าไปที่แดนมรณะอเวจีแล้ว เจ้าคงไม่ได้ติดต่อข้าที่แดนมรณะอเวจีหรอกใช่มั้ย?


เหมียวอี้ : มีงานใหญ่จะเสนอปราสาทดำเนินนภา จะรับหรือไม่รับ?


ครั้งนี้เขาเดือดดาลเพราะพวกมู่ฝานจวินแล้วจริงๆ พวกมู่ฝานจวินอาศัยว่าเขาไม่กล้าใช้คนของตำหนักสวรรค์ไปสู้กับพวกเขา เป็นการมองข้ามฐานะของเขาจริงๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่แน่ ครั้งนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะยอมทุ่มสุดตัวเพื่อให้บทเรียนกับพวกมู่ฝานจวินสักหน่อย


จงหลีค่วยปวดประสาทแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าเวรนี่มีเรื่องอะไรถึงมาหาเขาอีก จึงถามว่า : งานใหญ่ขนาดไหน?


เหมียวอี้ : มีร้านค้าห้าร้านที่ตลาดสวรรค์ ข้าเห็นแล้วขัดตา ล้างเลือดให้ข้าหน่อย คนในร้านอย่าให้เหลือรอดสักคน ไม่ว่าพวกท่านจะใช้วิธีการไหน ข้าจะออกเงินให้เอง!


ไสหัวไปเลย! จงหลีค่วยอยากจะตะโกนคำนี้ออกมามาก เห็นปราสาทดำเนินนภาของข้าเป็นอะไรไปแล้ว ทว่าเขาไม่มีสิทธิ์ตอบไปแบบนั้น ทำได้เพียงตอบว่า : เจ้ารอก่อน ข้าต้องขอคำแนะนำจากสำนักก่อน ดูว่าจะรับงานนี้ได้รึเปล่า!


เหมียวอี้ย่อมเต็มใจที่จะรอคำตอบอยู่แล้ว


ปราสาทดำเนินนภา ในตำหนักนภาครามที่กว้างโล่ง ประมุขปราสาทดำเนินนภาเวินหวนเจินสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเขียว ใบหน้าซูบผอม ตรงหว่างคิ้วราวกับมีไฝสีแดงชาดอยู่จุดหนึ่ง กำลังนั่งสมาธิฝึกตนอย่างสงบใจอบยู่บนเตียงหยก


จงหลีค่วยเดินตามเจ้าสำนักฝูเสี่ยนเข้ามาในตำหนักนภาครามแล้วทำความเคารพ เรื่องบางเรื่องแม้แต่ฝูเสี่ยนที่อยู่ในฐานะเจ้าสำนักก็ไม่อาจตัดสินใจเองได้


หลังจากจงหลีค่วยบอกเรื่องที่เหมียวอี้ขอแล้ว เวินหวนเจินก็ขมวดคิ้วนานมาก สุดท้ายก็กล่าวเสียงต่ำว่า  “ตอบตกลงเขาได้ แต่เรื่องเงินไม่ต้องเอาหรอก ให้เขาจ่ายเป็นอย่างอื่น เจ้าบอกไปแบบนี้…”


หลังจากจงหลีค่วยเข้าใจความหมายแล้ว ก็ติดต่อเหมียวอี้ไปบอกว่า : งานนี้พวกเราจะรับไว้ แต่พวกเราไม่เอาเงิน ปราสาทดำเดินนภาของพวกเราไม่ได้เข้าไปที่แดนมรณะอเวจีนานแล้ว ต่อไปหลังจากทำสำเร็จแล้ว เจ้าก็บอกสถานการณ์ปัจจุบันของแดนมรณะอเวจีให้พวกเรารู้อย่างละเอียดด้วย


เหมียวอี้ตอบตกลงทันที : ได้!


เรื่องนี้ก็นับว่าตกลงกันแบบนี้แล้ว เดี๋ยวรายละเอียดค่อยปรึกษากันอีกที


ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรต ลูกน้องที่เฝ้าอยู่หน้าประตูน้ำรีบเดินทำความเคารพพ่อบ้านใหญ่ที่เดินออกมาจากตึกศาลาสัตยพรต


ชายชราชุดเขียวพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะออกจากประตูอุโมงค์และเดินลงบันได คนขับเรือชราที่จอดเรือเทียบท่าอยู่ด้านข้างหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวอย่างเคารพทันที : “นายท่านชี เชิญด้านในขอรับ!”


ชายชราชุดเขียวขึ้นเรือ พอเข้าไปในห้องโดยสารเรือ ก็นั่งลงอย่างเอื่อยเฉื่อย


เรือออกมาจากอุโมงค์น้ำ ออกจากตึกศาลาสัตยพรต หลังจากลอยบนผิวน้ำออกไปไกลแล้ว คนขับเรือที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ให้เรือแล่นก็เข้ามารินน้ำชาให้ชายชราชุดเขียวในห้องโดยสารเรือ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ถ่ายทอดเสียงถามว่า “นำของมาหรือยังขอรับ?”


ชายชราชุดเขียวรับถ้วยน้ำชาที่เขายื่นให้ สองนิ้วอยู่ในถ้วยน้ำชาถือโอกาสยื่นแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่ฝ่ามือคนขับเรือ ขณะเปิดฝาถ้วยน้ำชา ก็แอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “หกลัทธินอกจากลัทธิอู๋เลี่ยงแล้ว ฐานปฎิบัติการสำคัญของอีกห้าลัทธิที่อยู่ข้างก็มีฝั่งละสองแห่ง ฐานปฎิบัติการสิบแห่งนี้ซ่อนยอดฝีมือไว้จำนวนหนึ่ง มีกำลังเกือบสองส่วนจากกำลังทั้งหมดของห้าลัทธิที่อยู่ข้างนอก ในนี้เป็นรายชื่อและสถานการณ์โดยละเอียด”


บทที่ 1456 หน้าใหญ่ใจโต

Ink Stone_Fantasy

คนขับเรือไม่ได้พูดอะไรอีก วางกาน้ำชาแล้วถอยออกไปอย่างสุภาพ พอออกจากห้องโดยสารเรือเรือแล้วก็ยืนขับเรือที่หัวเรือต่อไป


หลังจากเรือเข้าใกล้ฝั่ง ก็มาเฝ้าอยู่ที่แคมเรือเพื่อส่งให้ชายชราชุดเขียวลงเรือ


ส่วน ‘งาน’ ของเหมียวอี้ก็ทำให้ประมุขเวินหวนเจินแห่งปราสาทดำเนินนภาต้องปวดหัวไปพักใหญ่ ถ้าจะล้างเลือดตลาดสวรรค์ห้าร้านก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าทำสำเร็จได้ง่ายอย่างนั้นจริงๆ ตลาดสวรรค์ก็คงจะวุ่นวายไปนานแลว ตำหนักสวรรค์จะต้องวางกำลังพลที่แข็งแกร่งเอาไว้ที่ตลาดสวรรค์ทุกแห่งแน่นอน ถ้ากำลังพลที่แข็งแกร่งประจำอยู่ในตลาดสวรรค์เกือบหมื่นแห่ง แบบนั้นต้องควบคุมกำลังพลตำหนักสวรรค์เท่าไรกัน? คงจะไม่มีตลาดสวรรค์อยู่เยอะขนาดนี้หรอก


และแน่นอน กับร้านค้าเล็กๆ แค่ไม่กี่ร้าน ถ้าอาศัยกำลังของปราสาทดำเนินนภาไปล้างเลือดสักครั้งก็ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ประเด็นสำคัญคือจะต้องถอยกลับมาให้หมด ถ้าสะเทือนไปถึงกำลังพลท้องถิ่นจนต้องรีบปิดล้อมอาณาเขตดาว นั่นก็จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว และต่อให้ถอยกลับมาได้ทั้งหมด ก็ต้องรับประกันได้ด้วยว่าจะไม่ทำให้ปราสาทดำเนินนภาโดนเปิดโปง ไม่อย่างนั้นถ้าเผยพิรุธเพียงนิดเดียวก็จะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ได้


ถ้ารับมือกับแห่งเดียวก็ว่าไปอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องรับมือกับห้าแห่งพร้อมกัน แบบนี้ก็หมายความว่ามีอัตราการโดนเปิดโปงเพิ่มสูงขึ้นแล้ว


ดังนั้นปัญหาแท้จริงที่ทำให้เวินหวนเจินกังวลก็คือ เวินหวนเจินจำเป็นต้องเรียกผู้อาวุโสหลายคนของปราสาทดำเนินนภาที่เก็บตัวฝึกตนเป็นเวลานานออกมา พวกเขาเป็นลูกศิษย์ของเขาเช่นกัน จำเป็นต้องเรียกออกมาเพื่อปรึกษากันเรื่องนี้


ตอนนี้ยังมีเวลาปรึกษากันอย่างช้าๆ เพราะทางฝั่งเหมียวอี้บอกว่าเขายังต้องเตรียมตัวอีกหน่อย เวินหวนเจินก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาต้องการเตรียมตัวอะไร


ในตำหนักนภาคราม บรรดาอาจารย์และลูกศิษย์นั่งขัดสมาธิ กำลังครุ่นคิดและปรึกษากัน เวินหวนเจินที่นั่งสมาธิกำลังตั้งใจฟังแผนที่ผ่านการคิดทบทวนของพวกลูกศิษย์


ในขณะนี้เอง ในดวงตาเวินหวนเจินพลันฉายแววตกตะลึง แล้วก็กลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว อย่างนั้นลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วมองลูกศิษย์ทุกคนพร้อมบอกว่า “พวกเจ้าปรึกษากันไปก่อน” พูดจบก็หันตัวเดินไปหลังตำหนัก


กลุ่มลูกศิษย์ที่กำลังนั่งขัดสมาธิกุมหมัดคารวะส่งพร้อมกัน


เวินหวนเจินที่มาถึงห้องสมาธิด้านหลังพลิกฝ่ามือ ระฆังดาราอันหนึ่งลอยช้าๆ ขึ้นมาจากฝ่ามือเขา ราวกับมีต้นอ่อนงอกออกมาจากมือเขา จากนั้นก็สั่นอยู่กลางอากาศเหนือฝ่ามือ


ในดวงตาเวินหวนเจินฉายแววเหลือเชื่อ หลังจากระฆังดาราอันนี้มาอยู่ที่มือเขาในปีนั้น เขาก็ไม่เคยใช้มันเลย เก็บแยกไว้ที่มุมเดียวตลอด และไม่เคยมีเสียงดังเลยเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะมีปฏิกิริยาแล้ว ทั้งยังบังเอิญที่หนิวโหย่วเต๋อนำ ‘งาน’ มาให้ถึงที่พอดี เขาแทบจะทำนายได้โดยไม่ต้องคิดมากว่าเกี่ยวข้องกับ ‘งาน’ ของหนิวโหย่วเต๋อ ไม่อย่างนั้นทำไมของที่อยู่แน่นิ่งมาหลายปีถึงได้มีปฏิกิริยาขึ้นอย่างกะทันหัน


เวินหวนเจินถึงขั้นรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจนิดหน่อย อารมณ์ที่สงบนิ่งมาหลายปีเริ่มกังวลนิดหน่อย เขาไม่รู้ว่าคนที่มอบระฆังดาราอันนี้ให้เขานีนั้นเพื่อเตรียมไว้ให้ติดต่อใครกันแน่ รู้เพียงว่าคนที่ติดต่อด้วยชื่อ ‘ดาวโดดเดี่ยว’ เขาเดาได้ว่าไม่น่าจะใช่ชื่อที่แท้จริง บุคคลที่สำคัญขนาดนี้คงไม่ทิ้งชื่อจริงไว้ทั่ว แบบนั้นเป็นการรนหาที่ตาย นี่น่าจะเป็นรหัสประจำตัว


เวินหวนเจินทั้งอยากรู้อยากเห็นทั้งเฝ้าคอยบุคคลลึกลับคนนี้ เขาควบคุมระฆังดาราพร้อมถามว่า : เจ้าคือดาวโดดเดี่ยวเหรอ?


อีกฝ่ายไม่ได้เปลืองคำพูด และไม่ได้บ่นอะไรมากเช่นกัน เข้าประเด็นหลักเลยว่า : ข้าเอง! เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อจะล้างเลือดห้าร้านค้าที่ตลาดสวรรค์อันตรายเกินไป จะทำให้พวกเจ้าโดนเปิดโปงได้ง่าย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่คุ้มค่าที่พวกเจ้าจะไปเสี่ยงอันตรายมากขนาดนั้น หยุดปฏิบัติการแผนการนี้เดี๋ยวนี้!


เวินหวนเจินตกใจไม่เบา เขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้บอกเรื่องนี้กับใครไว้มากเท่าไรกันแน่ ตามหลักการแล้วไม่น่าจะประกาศเรื่องแบบนี้สิ แต่ ‘ดาวโดดเดี่ยว’ คนนี้รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เหมือนจะรู้แบบละเอียดมากด้วย อย่าบอกนะว่าเป็นคนที่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ? ไม่ถูกสิ หนิวโหย่วเต๋อถูกปล่อยเข้าไปในแดนมรณะอเวจีคนเดียว รู้ผ่านคนที่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ หรือว่าที่จริงแล้วเป้นหนึ่งในคนลงมือในแผนการของหนิวโหย่วเต๋อ?


ในหัวมีความคิดแวบผ่านเข้ามา เวินหวนเจินถามว่า : หยุดแผนนี้เหรอ แล้วจะบอกกับหนิวโหย่วเต๋อยังไง? พวกเราตอบตกลงเขาไปแล้ว


ดาวโดดเดี่ยว : เปลี่ยนเป็นอีกแผนการหนึ่ง ไปทำตามที่ข้าบอก เขาจะตอบตกลง และรับประกันได้ด้วยว่าพวกเจ้าจะไม่โดนเปิดโปง


เวินหวนเจิน : ยินดีฟังรายละเอียด!


ดาวโดดเดี่ยว : เปลี่ยนแปลงนิดหน่อยตามสถานการณ์…


กลุ่มลูกศิษย์ที่นั่งปรึกษากันอยู่ในตำหนักนภาครามพากันหันกลับไปมองท่านอาจารย์ที่เดินออกมาจากหลังตำหนัก


เวินหวนเจินนั่งขัดสมาธิอย่างช้าๆ กวาดสายตามองทุกคน แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เรื่องร้านค้าที่ตลาดสวรรค์พวกเราไม่ต้องยุ่งแล้ว ตอนนี้พวกเราแค่ต้องรวบรวมกำลังรับมือกับจุดเดียว การรักษาความลับนั้นสำคัญที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้รวดเร็วด้วย ต้องแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วฉับไว แสดงพลังอันน่าหวาดกลัว…”


เมื่อมีเป้าหมายออกมาแล้ว กลุ่มลูกศิษย์ก็โล่งใจมาก แผนการที่เปลี่ยนแปลงหลักๆ ก็แค่ต้องแสดงกำลังอันป่าเถื่อน ขอเพียงฝั่งนี้รักษาความลับได้ดี ไม่มีอะไรน่ากังวลใจ แล้วก็ไม่ต้องสู้กับอำนาจอันยิ่งใหญ่ของตำหนักสวรรค์ด้วย แบบนี้จัดการง่ายขึ้นเยอะเลย


ส่วนฝั่งเหมียวอี้ก็บอกเพียงว่าพวกเขาต้องล้างเลือดห้าร้านค้า ตอนนี้ยังไม่ได้บอกพวกเขาว่าจะต้องโจมตีร้านค้าไหน ทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นใจมาก แต่ครั้งนี้กำหนดเป้าหมายที่จะลงมือแล้ว ทั้งยังบอกสถานการณ์อย่างละเอียดอีกด้วย สามารถเตรียมตัวได้อย่างเต็มที่


ปรึกษากันเสร็จอย่างรวดเร็วว่าควรจะทำอย่างไร ติดแค่ปัญหาว่าจะส่งใครไปปฏิบัติการนี้


เมื่อกำหนดเรื่องนี้เสร็จแล้ว เหยียนเกอลูกศิษย์ใหญ่ที่นั่งอยู่ตำแหน่งแรกด้านล่างก็กุมหมัดคารวะ “ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าจะลงมือเมื่อไร?”


“ไม่รีบ รออีกหน่อย!” เวินหวนเจินส่ายหน้าเบาๆ


กลุ่มลูกศิษย์มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร ทว่าเวินหวนเจินรักษาความลับเข้มงวดมาก ไม่ยอมคายความจริงออกมา ที่จริงแม้แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้ เขาก็พยายามรักษาความลับไว้ด้วย บอกลูกศิษย์เพียงว่าต้องทำอะไรบ้าง ไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับใคร


วังสวรรค์ การประชุมในตำหนักฟ้าดิน ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงกวาดสายตามองกลุ่มคนด้านล่าง แสยะยิ้มพักหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไป๋เฟิ่งหวงช่างไม่กลัวตายจริงๆ ขนาดข้าเห็นแก่ไมตรีเก่าปล่อยนางไปครั้งหนึ่ง แต่นางกลับไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว ตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า! ทุกคนลองว่ามาซิ ว่าควรทำอย่างไร?”


บุรุษจัญไรหกเนตรตายไป กำลังพลหลายร้อยของกองทัพองครักษ์ตายไป ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าไป๋เฟิ่งหวงเป็นคนทำ เช่นนั้นการที่พายุสีขาวเกิดขึ้นที่ทะเลดาวสับสนอีกครั้งก็ไม่ต่างอะไรกับการชี้ชัดแล้วว่าตัวการใหญ่คือใคร


อิ๋งจิ่วกวงเป็นคนแรกที่ก้าวออกมา เขากุมหมัดคารวะพร้อมกล่าวว่า “ฝ่าบาท ควรจะรวบรวมนักพรตทุกคนในใต้หล้าที่มีวิชาตาทิพย์ ให้ร่วมมือกับทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์เข้าไปล้อมปราบที่ทะเลดาวสับสน ขอเพียงฝ่าบาทอนุญาต เดี๋ยวกลับไปข้าน้อยจะออกคำสั่งค้นหานักพรตประเภทนี้ในอาณาเขตทันทีขอรับ”


หลานสาวกลายเป็นสนมสวรรค์แล้ว เขาก็ต้องแสดงผลงานกันบ้าง เรียกได้ว่าเป็นคนแรกที่แสดงท่าที แสดงออกว่าเขาต้องการจะออกแรงช่วย


“พวกข้าน้อยเห็นด้วย!” บรรดาขุนนางใหญ่ที่อยู่ในเครือจ่ายของอิ๋งจิ่วกวงสนับสนุนทั้งหมด


พออำนาจกลุ่มนี้แสดงท่าที ก็เท่ากับแสดงออกแล้วว่าเบื้องหลังของสนมสวรรค์ท่านนั้นมีอำนาจมหาศาล เป็นความมั่นใจว่าจะสามารถช่วยจ้านหรูอี้สู้กับราชินีสวรรค์ที่วังหลังได้


ส่วนอิ๋งจิ่วกวงก็เอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อส่งสายตาให้พวกโค่วหลิงซวี


โค่ว ฮ่าว ก่วง อ๋องสวรรค์ทั้งสามรู้อยู่แก่ใจ ว่าถ้าอยากยื่นมือเข้าไปแทรกแซงอำนาจใต้ดิน ก็ต้องข่มตระกูลเซี่ยโห้วเอาไว้ พวกเขาแอบปรึกษากันไว้แล้ว ว่าอำนาจในวังหลังจะต้องร่วมกันสนับสนุนให้จ้านหรูอี้คานกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ดูว่าจะสามารถหาทางแย่งอำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์มาจากมือเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้หรือไม่ ถ้าอยากจะงัดข้อกับตระกูลเซี่ยโห้ว แล้วจะปล่อยให้แหล่งเงินทองอยู่ในมือตระกูลเซี่ยโห้วได้อย่างไร


อ๋องสวรรค์อีกสามคนเงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็ทยอยกันออกมาแสดงท่าทีสนับสนุนอิ๋งจิ่วกวง


พอสามท่านนี้ออกมา ขุนนางใหญ่ส่วนใหญ่ในตำหนักก็พากันยืนแสดงท่าทีสนับสนุน


บนใบหน้าประมุขชิงเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ราชสำนักที่ไม่มีการถ่วงความเจริญก้าวหน้าแบบนี้ทำให้สบายกายสบายใจ ถ้าอำนาจทั้งตำหนักสวรรค์บิดกลายเป็นเชือก เวลาใต้หล้ามีเรื่องอะไรก็จัดการไม่สะดวก เขาชำเลืองมองเซี่ยโห้วท่าที่ยืนอยู่ตำแหน่งแรกเบื้องล่างอย่างแนบเนียน


ส่วนเซี่ยโห้วท่าก็หันกลับไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลในตำหนักใหญ่ที่มีต่อเขา และรู้สึกได้ถึงเจตนาตักเตือนที่ประมุขชิงมีต่อตระกูลเซี่ยโห้ว สุดท้ายเขาก็พยักหน้าบอกว่า “ข้าน้อยเห็นด้วยขอรับ!”


ถ้าเขาไม่ตอบตกลงก็เท่ากับต่อต้านทั้งตำหนักสวรรค์แล้ว


“ข้าน้อยเห็นด้วย!” บรรดาขุนนางใหญ่ในเครือข่ายของตระกูลเซี่ยโห้วก็แสดงท่าทีเช่นกัน


เพียงแต่เซี่ยโห้วท่าพูดเสริมอีกว่า “เพียงแต่ข้าน้อยกังวลว่าการปราบแบบนี้อาจจะไม่ใช่วิธีการที่ดี ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์โจมตีเข้าไปแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็อาศัยสภาพพื้นที่ของทะเลดาวสับสนหลบหนีได้ รอให้ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ถอนทัพออกไป นางก็จะกลับมาอีก การทำซ้ำอีกรอบก็ไม่ใช่วิธีการที่ดี! ไป๋เฟิ่งหวงได้ประโยชน์จากพื้นที่ทะเลดาวสับสน เกรงว่าจะจัดการได้ค่อนข้างยาก”


ประมุขชิงพยักหน้า “สิ่งที่ท่านปู่สวรรค์กังวล ข้าเองก็กังวลเช่นกัน ดังนั้นต้องให้ทุกคนปรึกษากัน ดูว่าจะสามารถหาวิธีการที่เหมาะสมได้หรือไม่” สายตาชำเลืองไปหาอิ๋งจิ่วกวง


อิ๋งจิ่วกวงกล่าวด้วยท่าทางดุดันทันทีว่า “เช่นนั้นก็ตัดขาดต้นตอหายนะ! ข้าน้อยแนะนำให้รวบรวมกำลังพลกลุ่มใหญ่ไปสูบหมอกหนาที่ทะเลดาวสับสนให้หมดสิ้น กำจัดทะเลดาวสับสนออกจากดาราจักรให้หมด ดูซิว่าไป๋เฟิ่งหวงยังจะสร้างปัญหาอะไรได้อีก! จากนั้นค่อยออกหมายจับโดยตั้งรางวัล ดูซิว่านางยังจะหนีไปไหนได้! ถ้าฝ่าบาทรู้สึกว่ากำลังพลกองทัพองครักษ์ทางทะเลดาวสับสนมีไม่พอ ข้าน้อยก็ยินดีจะคิดหาทางดึงทัพใหญ่สิบล้านออกมาให้ความร่วมมืออีกขอรับ!”


ในตำหนักใหญ่มีเสียงกระซิบกระซาบกันทันที ต่างก็ตกตะลึงในความหน้าใหญ่ใจโตของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ไม่น่าเชื่อว่าต้องการจะลบทะเลดาวสับสนออกจากดาราจักร ช่างมีความกล้าหาญที่จะหนุนหลังสนมสวรรค์ที่วังหลังจริงๆ!


โค่วหลิงซวีและคนอื่นๆ พูดไม่ออก ทั้งหมดเข้าใจแล้วว่าที่อิ๋งจิ่วกวงอยากจะจับไป๋เฟิ่งหวงนั้นกลายเป็นเรื่องรอง นี่เป็นครั้งแรกที่ยื่นมือเข้ามาในราชสำนักเพื่อช่วยจ้านหรูอี้ เรียกได้ว่าต้องสร้างบทบาทที่โด่งดังขึ้นมา ที่ต้องใจกว้างขนาดนี้ก็เพื่อจะให้จ้านหรูอี้มีหน้ามีตาที่วังหลัง ต้องการให้จ้านหรูอี้สยบทั้งวังหลังได้ ต้องสร้างจุดยืนที่มั่นคงที่วังหลังให้จ้านหรูอี้ ในภายหลังถ้าใครคิดจะแตะต้องจ้านหรูอี้ที่วังหลังก็จะต้องชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย


ส่วนพวกโค่วหลิงซวีก็เรียกได้ว่าไว้หน้าอิ๋งจิ่วกวงเต็มที่ อ๋องสวรรค์อีกสามคนแสดงท่าทีเช่นกันว่าจะแต่ละคนจะดึงกำลังพลสิบล้านมาช่วยกองทัพองครักษ์กำจัดทะเลดาวสับสนออกจากดาราจักร และแน่นอน  จะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ ทุกคนต้องร่วมแรงกันช่วยจ้านหรูอี้กดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอาไว้ ช่วยให้จ้านหรูอี้แย่งอำนาจคุมตลาดสวรรค์มาไว้ในมือตัวเอง แล้วลับหลังค่อยไปแบ่งผลประโยชน์กันเป็นการส่วนตัว


แบบนี้เท่ากับใช้งานกำลังพลห้าสิบล้านกว่าในรวดเดียว!


พอเห็นความเคลื่อนไหวนี้ เซี่ยโห้วท่าก็สีหน้าเครียดนิดหน่อย เขารู้ว่าจุดสำคัญของเป้าหมายเปลี่ยนจากไป๋เฟิ่งหวงเป็นเขาแล้ว


แต่ประมุขชิงกลับได้ยินแล้วดีใจมาก นี่เป็นการให้เกียรติเขา ต้องการจะทำให้ใต้หล้าได้เห็นถึงกำลังอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรของตำหนักสวรรค์ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือต้องการให้คนในใต้หล้าได้เห็นความสามารถของราชันสวรรค์ในการออกคำสั่งกับใต้หล้า เป็นเพราะเงียบสงบมานานเกินไปแล้ว จ้องการจะสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่ให้ใต้หล้าหวาดกลัวสักหน่อย แต่เบื้องล่างกลับมีเหตุผลต่างๆ มาขัดขวางไว้เสมอ ตอนนี้…อนุมัติในทันทีแล้ว!


เบื้องล่างยินดีเป็นฝ่ายกระตือรือร้นจัดการเรื่องนี้ ทั้งยังไม่ชักช้าอืดอาด ปฏิบัติการอย่างรวดเร็วที่สุด พอการประชุมจบลง คำสั่งจากเบื้องบนก็ถ่ายทอดลงไปแล้ว กำลังพลแต่ละแห่งรีบระดมพลอย่างรวดเร็ว…


บทที่ 1457 ดาวโดดเดี่ยว

Ink Stone_Fantasy

เหมียวอี้ที่ได้ทราบว่าปราสาทดำเนินนภายินดีรับ ‘งาน’ ต้องการจะเตรียมตัวจริงๆ เขาต้องการล้างเลือดลัทธิปีศาจ มาร ผี เซียน พุทธะที่ร้านค้าในตลาดสวรรค์ แต่ก็ไม่อาจฆ่าอนุภรรยาของตัวเองไปพร้อมกันจนหมดได้ จะต้องเตรียมการแยกอีกอย่างหนึ่ง ที่ต้องติดต่อปราสาทดำเนินนภาก่อนก็เป็นเพราะไม่รู้ว่าปราสาทดำเนินนภาจะรับงานนี้หรือไม่ หลังจากแน่ใจแล้วว่ารับ เขาถึงจะได้เตรียมแผนส่วนหลังได้สะดวก นี่คือเงื่อนไขข้อแรก


แต่ครั้งนี้เขาก็ไม่คิดที่จะบอกให้อวิ๋นจือชิวรู้ ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจอวิ๋นจือชิว ในทางกลับกัน อวิ๋นจือชิวคือคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุด เขาแค่ไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวรู้แล้วลำบากใจก็เท่านั้นเอง อย่างไรเสียการลงมือครั้งนี้ก็อาจจะเกิดสถานการณ์ทำให้บุคคลอื่นได้รับบาดเจ็บโดยประมาทได้ เขารู้ว่าอวิ๋นอ้าวเทียนไม่ได้พาลูกๆ ทั้งหมดเข้าแดนอเวจี เหลือบางส่วนไว้ข้างนอกด้วย คนพวกนั้นล้วนเป็นญาติผู้ใหญ่ของอวิ๋นจือชิว


ถ้าอวิ๋นจือชิวรู้เรื่อง ถ้าอวิ๋นจือชิวไม่ห้าม แบบนั้นอวิ๋นจือชิวจะกลายเป็นอะไรไปล่ะ? ก่อนอื่นเลยก็คือหนีข้อหาอกตัญญูไม่พ้นแล้ว


ถึงแม้จะรู้ว่าฆ่าคนในครอบครัวของอวิ๋นจือชิวแล้วจะทำให้อวิ๋นจือชิวเสียใจ แต่ครั้งนี้เหมียวอี้ก็ยังตัดสินใจที่จะทำแบบนี้ เขารู้ว่าครั้งนี้ไม่สั่งสอนหกลัทธิสักหน่อยคงไม่ได้ จะต้องลั่นระฆังเตือนพวกเขา


ถึงแม้จะทำให้อวิ๋นจือชิวเสียใจ แต่เขากับอวิ๋นจือชิวก็เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ต่างก็เข้าใจกันและกันดี  อวิ๋นจือชิวเป็นคนที่ปากร้ายใจอ่อนกับเขา ดูเหมือนเข้มงวดแต่ที่จริงแล้วผ่อนรนให้เขามาก ความรักส่วนนั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้แต่บรรยายออกมาไม่ได้ เขาเชื่อว่าสุดท้ายอวิ๋นจือชิวจะให้อภัยเขา


และก็เพราะเหตุนี้เอง ตอนที่เขาหยิบระฆังดาราออกมาจะติดต่อกับอวิ๋นจือชิว เขาจึงรู้สึกลังเลอีกแล้ว


เขาก้าวช้าๆ เดินออกจากถ้ำที่ซ่อนตัว มองดูเฮยทั่นเล่นน้ำในทะเลสาบอย่างสนุกสนาน หลังจากเงียบไปนาน สุดท้ายก็หลับตาลงช้าๆ ถอนหายใจออกมาเบาๆ


เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะลงมือฆ่าญาติตัวเอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาไม่ทำแบบนี้แน่นอน อย่าบอกนะว่าสักวันหนึ่งข้าจะกลายเป็นแบบพวกมู่ฝานจวิน ตัดขาดไมตรีเพื่อผลประโยชน์? ถึงขั้นต้องใช้ประโยชน์จากความรักที่อวิ๋นจือชิวมีต่อเขามาลงมือฆ่าคนของตระกูลอวิ๋นเลยเหรอ?


พอนึกถึงท่าทางเศร้าสลดของอวิ๋นจือชิวหลังจากเรื่องนี้จบ แล้วนึกถึงท่าทางดีอกดีใจเหมือนสาวน้อยเพราะถูกปะเหลาะด้วยคำสัญญาอันงดงามจากตนที่ทะเลทรายท่านเมฆาในปีนั้น เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขื่นขมแล้วส่ายหน้า สุดท้ายก็ทำใจลงดาบที่หัวใจของอวิ๋นจือชิวไม่ได้ จึงเปลี่ยนการตัดสินใจอีกครั้ง


เขาหยิบระฆังดาราที่ถือไว้ข้างหลังออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าติดต่อกับอวิ๋นจือชิวแล้ว


พออวิ๋นจือชิวส่งข่าวมาก็พูดหยอกล้อทันที : หนิวเอ้อร์ ยังโกรธอยู่อีกเหรอ?


เหมียวอี้ : น้องชิว มอบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันนั่นให้พวกเขาไปเถอะ แบ่งให้ลัทธิละหนึ่งแสนห้าหมื่นคัน เหลือไว้ให้ข้าสำรองใช้สักหนึ่งหมื่นคันด้วย


อวิ๋นจือชิวตกตะลึงมากอย่างเห็นได้ชัด : ทำไมล่ะ? ถ้าครั้งนี้ไม่ให้บทเรียนพวกเขาสักหน่อย พวกเขาจะไม่คิดว่าเราเป็นลูกพลับอ่อนบีบง่ายหรอกเหรอ?


เหมียวอี้ : ทำแบบนี้ก็ให้บทเรียนอะไรพวกเขาไม่ได้อยู่ดี พวกเขาควรจะทำยังไงก็ยังจะทำอยู่อย่างนั้น เจ้าไม่รู้จักปู่ตัวเองเหรอ? ถ้าหากจำเป็น การฆ่าหลานเขยอย่างข้าก็คงเป็นเรื่องที่ง่ายแบบไม่ต้องกะพริบตาด้วยซ้ำ มีคนไหนใจดีมีเมตตาบ้างล่ะ? เรื่องสั่งสอนเอาไว้ทีหลังเถอะ ครั้งนี้ทำตามที่ข้าบอกก่อนก็แล้วกัน


นอนเคียงหมอนกันมาหลายปี อวิ๋นจือชิวสังเกตได้ถึงความผิดปกติทันที สามีของตัวเองกลายเป็นคนมีเมตตาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ต่อให้จะพูดง่ายแต่ก็ไม่น่าจะพูดง่ายขนาดนี้ ขนาดเวลานางรับมือด้วยยังต้องใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งควบคู่กันเลย ไม่อย่างนั้นก็สยบไม่ได้ นางจึงถามว่า : มีเรื่องอะไรใช่มั้ย?


เหมียวอี้ : มีเรื่องนิดหน่อยจริงๆ ถึงแม้จะให้ของกับพวกเขาได้ แต่ก็ไม่ได้เอาไปง่ายๆ ขนาดนั้นอยู่ดี ข้ามีอะไรจะบอก


อวิ๋นจือชิว : เจ้าว่ามา ข้าจะตั้งใจฟังแต่โดยดี แต่ข้าจะขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ถ้าเจ้าอยากจะเล่นลูกไม้อะไรก็ไม่ต้องมาหาข้า ไปหาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์โน่น


เหมียวอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง ตอนแรกก็ยังไม่เข้าใจความหมาย พอฟังถึงตอนหลังแล้วมีชื่อเชียนเอ๋อร์โผล่มา ก็เข้าใจทันทีว่าอวิ๋นจือชิวกำลังแอบสื่อถึงเรื่องอะไร


ผู้หญิงตัวแสบ! เหมียวอี้กลอกตามองบน ชัดเจนว่ากำลังยั่วยวนเขา เกือบจะโดนทำให้คิดเพ้อเจ้อแล้ว เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ แต่เขาก็รู้ว่าอวิ๋นจือชิวกลัวเขาจะยังโมโห จึงเปลี่ยนวิธีการปลอบใจเขา


เหมียวอี้ : รอข้ากลับไปแล้วค่อยจัดการเจ้าทีหลังแล้วกัน! อย่าเบี่ยงประเด็น เจ้าฟังข้าให้ดีนะ เดี๋ยวเจ้าพาลูกน้องเก่าข้างกาย เรียกญาติผู้ใหญ่ของตระกูลอวิ๋น พวกจีเหม่ยลี่ แล้วก็เยว่เหยาด้วย พาทุกคนไปที่ดาวไร้ลักษณ์


อวิ๋นจือชิว : มีเรื่องอะไรให้พวกเราต้องไปที่ดาวไร้ลักษณ์? แล้วอีกอย่างนะ น้องสาวคนนั้นของเจ้าอาจจะไม่เชื่อฟังข้า


เหมียวอี้ : งั้นเจ้าก็ติดต่อมู่ฝานจวิน ให้มู่ฝานจวินกดดัน บอกนางว่า ถ้าอยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นก็ทำตามที่ข้าบอก แล้วข้าจะให้ของพวกเขา แต่มีบางอย่างที่ข้าต้องพูดให้ชัดเจน


อวิ๋นจือชิว : มีเรื่องอะไรต้องไปคุยที่ดาวไร้ลักษณ์?


เหมียวอี้ : ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด รอให้ไปถึงดาวไร้ลักษณ์แล้วข้าจะบอกเจ้าเอง ถึงตอนนั้นเดี๋ยวเจ้าก็เข้าใจเองว่าเป็นเรื่องอะไร


อวิ๋นจือชิว : ทำลับๆ ล่อๆ คงไม่คิดจะวางกับดักจับพวกเราทีเดียวหรอกใช่มั้ย?


เหมียวอี้ : ข้าไม่ได้ล้อเล่นกับเจ้านะ


อวิ๋นจือชิว : ได้ๆ ข้าเข้าใจแล้ว


เหมียวอี้ : เออใช่ แบ่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ส่วนหนึ่งในมือส่งไปที่พิภพเล็กด้วย ให้เยารั่วเซียนศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดสักหน่อย ดูว่าเขาจะหลอมสร้างออกมาได้หรือเปล่า


อวิ๋นจือชิว : สามารถเตรียมคนให้ส่งของไปได้ แต่เจ้าก็อย่าหวังอะไรนักเลย ต่อให้เยารั่วเซียนสามารถหลอมสร้างออกมาได้ก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่ดี อาวุธแบบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ถ้าหากใช้ได้ไม่ได้ตามปริมาณก็แสดงประโยชน์ได้ไม่เยอะเท่าไร และถ้าจะหลอมสร้างชุดใหญ่ เจ้าเคยคิดถึงทรัพยากรที่ต้องใช้หรือเปล่าล่ะ? นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินแล้ว ลำพังแค่ยาเจี๋ยตันที่ต้องใช้ เกรงว่านอกจากสองท่านนั้นที่ควบคุมใต้หล้า ก็ไม่มีใครแบกรับไหวแล้ว แม้แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็คงเหลือกำลัง!


เหมียวอี้เงียบไป คิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นแบบนี้จริงๆ อย่างน้อยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็ต้องใช้ยาเจี๋ยตันขั้นห้าถึงจะมีอานุภาพเพียงพอ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คันหนึ่งต้องใช้หลายเม็ด ถ้าคนทั่วไปอยากจะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในจำนวนมาก ก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อทั้งนั้น มีแค่การเปลี่ยนยุคสมัยเปลี่ยนประมุขแล้วเกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ถึงจะรวบรวมทรัพยากรแบบนั้นได้ และต่อให้ตำหนักสวรรค์ควบคุมใต้หล้า แต่ก็ไม่อาจทำให้ทุกคนติดอาวุธนี้ได้ทั้งหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย เกรงว่านี่คงจะเป็นสาเหตุที่คนมากมายคิดอยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของตำหนักสวรรค์


เขาพบว่าตัวเองคิดมากไปหน่อย ทำได้เพียงให้อวิ๋นจือชิวไปจัดการเองตามเห็นสมควร


หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จได้ไม่นาน จินม่านก็ส่งข่าวมาอีกแล้ว บอกข่าวว่าตำหนักสวรรค์ระดมกำลังพลกลุ่มใหญ่ไปกำจัดทะเลดาวสับสนออกจากดาราจักรเพื่อที่จะจับตัวไป๋เฟิ่งหวง


เหมียวอี้ได้ยินข่าวแล้วตกใจอยู่บ้าง เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้เชียวเหรอ?


ถ้าไป๋เฟิ่งหวงตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ก็จะไม่เป็นผลดีต่อเขา แล้วอีกอย่าง ในมือไป๋เฟิ่งหวงก็มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นที่เขายังไม่ได้มา จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไป๋เฟิ่งหวงทันที ให้ไป๋เฟิ่งหวงได้เตรียมตัวแต่เนิ่มๆ


หลังจากรู้ข่าวแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็ยืนอยู่บนดาวเคราะห์หินหยกดวงหนึ่ง ในมือกำระฆังดารา เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ที่ประมุขชิงทำแบบนี้เพราะต้องการจะตัดทางหนีทีไล่ของนาง มีแค่การหลบอยู่ในทะเลดาวสับสนเท่านั้น นางถึงจะอยู่อย่างอิสระได้ พอออกจากทะเลดาวสับสนแล้วจะอยู่อย่างอิสระได้อย่างไร ถึงแม้ใต้หล้าจะกว้างใหญ่ แต่ก็เกรงว่าจะต้องหลบหนีตลอดไป ที่ยุ่งยากกว่านั้นก็คือในใต้หล้ามีอำนาจตั้งไม่รู้กี่ฝ่ายที่อยากตามหานาง ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็อันตรายทั้งนั้น ต่อให้นางส่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกไปหมดแล้ว แต่ก็เกรงว่าคงจะไม่มีใครเชื่อนางอยู่ดี อย่างน้อยก็ต้องจับตัวนางให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


นางรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่มีเรื่องกับประมุขชิงไม่ไหว นางไม่อยากจะยั่วโมโหเกินไปเช่นกัน แต่ตอนนั้นคิดสั้นเก็บยึดแหวนของกำลังพลตำหนักสวรรค์ไป ผลก็คือได้สร้างปัญหาใหญ่แล้ว ตอนนี้นางนึกเสียใจทีหลังแทบแย่


แต่นางจะไม่รีบหนีก็ไม่ได้ ถ้าตกอยู่ในมือประมุขชิงขึ้นมา ต่อให้ไม่ตายแต่ก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่ดีมีสุขเลย เวลาประมุขชิงเล่นบทโหดแล้วน่ากลัวขนาดไหน นางก็เคยได้บทเรียนมาแล้ว


นางเรียกรวมปีศาจหินหยกกลุ่มหนึ่ง แล้วทิ้งบ้านหนีไปอย่างหดหู่ใจ…


จงหลีค่วยที่กำลังรออยู่ ในที่สุดก็ได้ข่าวจากเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้บอกเป้าหมายโดยละเอียดแล้ว


จงหลีค่วยรีบไปที่ตำหนักนภาคราม แล้วบอกสถานการณ์โดยละเอียดให้เวินหวนเจินรู้


หลังจากจงหลีค่วยออกจากตำหนักนภาครามแล้ว เหยียนเกอที่อยู่ข้างๆ ก็กุมหมัดคารวะถามเวินหวนเจินที่ยืนเงียบอยู่ในตำหนัก “ท่านอาจารย์ ตอนนี้สามารถลงมือได้แล้วเหรอ?”


“ไม่รีบ รออีกหน่อย” เวินหวนเจินตอบอย่างใจเย็น


เหยียนเกอฉงนใจ ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ต้องรออะไร


หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มๆ จงหลีค่วยก็ถูกเรียกมาที่ตำหนักนภาครามอีกครั้ง เวินหวนเจินบอกว่า  “บอกเขาไปสิ บอกว่าจากการที่พวกเราแอบตรวจสอบร้านค้าห้าร้านนั่น พบว่าร้านค้าทั้งห้าร้านล้วนมีฐานปฏิบัติการลับแยกอีกต่างหาก คนที่ซ่อนเอาไว้มีเยอะกว่าร้านค้าห้าร้านนั่นแน่นอน ไปเตือนเขาสักหน่อย บอกว่าถ้าจะแตะต้องร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ ก็จะทำให้ปราสาทดำเนินนภาโดนเปิดโปงง่ายเกินไป ดีไม่ดีอาจจะทำให้เขาลำบากไปด้วย เปลี่ยนจากล้างเลือดห้าร้านค้านั่นเป็นล้างเลือดฐานปฎิบัติการที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าแทนได้มั้ย”


ถ้าเป็นคำพูดของอาจารย์ปู่ จงหลีค่วยก็ไม่กล้าลังเลสงสัย ย่อมติดต่อไปหาเหมียวอี้ทันที


เหมียวอี้ได้ข่าวแล้วพูดไม่ออก สาเหตุที่เขาลงมือกับร้านค้าห้าร้านนั่น ก็เป็นเพราะเขารู้จักแค่ฐานปฏิบัติติการของห้าลัทธิห้าแห่งนี้ ทั้งยังรู้เพราะเป็นที่อยู่ของอนุภรรยาตัวเองด้วย ส่วนเรื่องฐานปฏิบัติติการอื่นๆ ของห้าลัทธิ เขาก็ไม่รู้เลยแม้แต่น้อย


เขาต้องการแค่สั่งสอนห้าลัทธินั่น ไม่ได้คิดจะกัดห้าร้านค้านั่นไม่ปล่อย ถ้าทำให้สำเร็จได้โดยไม่ต้องเสี่ยงก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เขาย่อมตอบตกลงอยู่แล้ว


เพียงแต่พอเป็นแบบนี้ เขาก็รู้สึกเสียดายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าผลจะเป็นแบบนี้ เขายังจำเป็นจะต้องเสียธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นเพื่อล่อพวกอวิ๋นจือชิวออกไปด้วยเหรอ?


พวกอวิ๋นจือชิวยังอยู่ระหว่างทาง ยังไม่ถึงดาวไร้ลักษณ์ เขากำลังครุ่นคิดว่าจะให้อวิ๋นจือชิวกลับคำพูดดีไหม


หลังจากเหมียวอี้นั่งขัดสมาธิคิดไปคิดมาอยู่ในถ้ำแล้ว ก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อนอีกครั้ง บอกไปแล้วว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันอยู่ในมือของฝั่งนี้ ถ้าจะให้ห้าลัทธิยอมทิ้งอีก ก็เกรงว่าคงจะไม่ง่ายขนาดนั้น เกรงว่าแม้แต่อวิ๋นจือชิวก็จะต้านทานความอยากของพวกเขาไม่ไหว ตอนนี้ก็ทำได้เพียงคิดไปในทางที่ดี ถ้าทำเรื่องแบบนี้ เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้ไม่บอก ห้าลัทธิก็รู้อยู่ดีว่าตนกำลังสั่งสอน ให้ผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่อยู่นอกแดนอเวจีใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สร้างความวุ่นวายให้ตำหนักสวรรค์สักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เพาะฉะนั้นก็ให้ไปเถอะ


“อาจารย์ปู่ เขาตอบตกลงแล้ว” จงหลีค่วยเก็บระฆังดารา แล้วกุมหมัดคารวะตอบ


เวินหวนเจินลูบเคราพลางยิ้มบางๆ ดาวโดดเดี่ยวช่างคาดการณ์ไม่ผิดเลยสักนิด หนิวโหย่วเต๋อนั่นตอบตกลงแล้วจริงๆ


เขาหันกลบัมาพยักหน้าเบาๆ ให้เหยียนเกอลูกศิษย์ใหญ่ “จัดการเรื่องนี้ให้สะอาดเรียบร้อยหน่อย อย่าทิ้งปัญหาอะไรเอาไว้ทีหลัง!”


“รับทราบ!” เหยียนเกอกุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป


ปราสาทดำเนินเซียน ท่ามกลางทิวทัศน์มหัศจรรย์ราวกับแดนเซียน


ในตำหนักเมฆาเลื่อนลอยที่เงียบสงบ โหยวอี ประมุขปราสาทดำเนินเซียนกำลังนั่งขัดสมษธิอยู่กลางตำหนักค่อยๆ ลืมตาสองข้าง พลิกมือรองระฆังดาราอันหนึ่งที่กำลังสั่นขึ้นมา แล้วพึมพำว่า “ดาวโดดเดี่ยว…”


สำหรับตัวละครที่ลึกลับคนนี้ เขาไม่ได้ติดต่อด้วยเป็นครั้งแรกแล้ว ครั้งก่อนก็เป็นดาวโดดเดี่ยวที่บอกให้เขาออกหน้าไปขัดขวางไป๋เฟิ่งหวงด้วยตัวเอง


หลังจากเขย่าระฆังดาราคุยกันสักพักจนเข้าใจเจตนาที่อีกฝ่ายติดต่อมาหาตน เขาก็สะบัดแขนเสื้อให้ประตูตำหนักเปิดออกอย่างช้าๆ


ด้านนอกมีเด็กชายคนหนึ่งที่ผิวกายละเอียดขาวดุจหยกเข้ามาทำความเคารพอย่างระมัดระวัง “ปรมาจารย์!”


“ให้ผู้อาวุโสใหญ่มาพบข้า” โหยวอีกล่าวเสียงเรียบ


“ขอรับ!” เด็กชายตอบด้วยเสียงดังฟังชัด


ปราสาทดำเนินจันทร์ที่อยู่ในจุดลึกของดาราจักรอันไกลโพ้น ในตำหนักเก้าจันทราใต้ม่านราตรีที่มีดวงจันทร์เก้าดวงส่องสว่าง บนเตียงพระจันทร์เสี้ยวใต้เพดานโค้งผลึกใสที่มีแสงจันทร์ลอดผ่านจนเหมือนเป็นเสาแสงต้นหนึ่ง สตรีผู้งดงามเลิศล้ำเรือนร่างอ้อนช้อยในชุดผ้ามุ้งสีเงินกำลังนอนเท้าแขนหนุนศีรษะหลับลึกอยู่ภายใต้แสงจันทร์พลันลืมตาขึ้น นางกระดกนิ้วชี้เรียวยาวขึ้นมาอย่างสง่างาม ระฆังดาราอันหนึ่งที่ลอยวนอยู่ตรงปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้น เปลี่ยนเป็นระฆังดาราขณะปกติแล้วสั่นสะเทือน


ดวงตางามเย็นชาที่กำลังจ้องระฆังดาราเริ่มฉายแววตกตะลึงทีละนิด แล้วอุทานว่า “ดาวโดดเดี่ยว!อย่าบอกนะว่าเขากลับมาแล้ว…”


แทบจะเป็นวันเดียวกัน ประมุขของสิบปราสาทดำเนินที่เคยมีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าและอยู่อย่างเงียบสงบมาไม่รู้ตั้งกี่ปี ตอนนี้ทั้งหมดถูกทำให้ตกใจตื่นแล้ว…


บทที่ 1458 จู่โจมอย่างต่อเนื่อง

Ink Stone_Fantasy

ภูเขาสูง สายลมเหน็บหนาว แสงแดดงดงามสาดส่องอยู่ด้านบน หิมะขาวปกคลุมแนวภูเขา


หมวกทรงสูงสีดำ ผ้าคลุมบ่าสีดำปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางลมหนาวเหน็บ เกาก้วนที่สีหน้าเย็นชายืนลำพังเงียบๆ อยู่ริมหน้าผาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ


เงาคนคนหนึ่งเหาะอ้อมภูเขาเข้ามาอย่างเงียบๆ หลังจากเห็นเงาแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวบนหน้าผาแล้ว เขาก็ทำสีหน้าจริงจังแล้วรีบถลันตัวขึ้นไป ไปเหยียบลงข้างกายเกาก้วนแล้วทำความเคารพ “ข้าน้อยเซียวหลินหม่านคารวะท่านทูตขวา”


เกาก้วนไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา ทอดสายตามองไปไกลอย่างไม่สะทกสะท้าน พลางกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องมากพิธี”


เซียวหลินหม่านยังคงกุมหมัดคารวะค้างไว้ “ข้าน้อยมาสาย ทำให้นายท่านรอนานแล้ว”


“เป็นข้าเองที่มาเร็วไป ไม่เกี่ยวกับเจ้า” เกาก้วนกล่าว


“เดิมทีควรจะไปรายงานต่อหน้านายท่านด้วยตัวเอง นึกไม่ถึงว่าจะต้องรบกวนให้นายท่านมาที่นี่เอง” เซียวหลินหม่านกล่าวด้วยสีหน้าอับอาย


“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม ข้าบังเอิญผ่านมาทางนี้พอดี เลยถือโอกาสมาก็เท่านั้น ว่ามาเถอะ ข่าวนี้น่าเชื่อถือแค่ไหน?” เกาก้วนถาม


“ข่าวนี้บอกไม่ได้ว่าน่าเชื่อถือหรือไม่น่าเชื่อถือ เพียงแต่ข้าน้อยสังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างนิดหน่อย รู้สึกว่ามีเงื่อนงำ” เซียวหลินหม่านตอบ


“ว่ามา!”


เซียวหลินหม่านกล่าวอย่างลังเลว่า “ตามข่าวที่รายงานกลับมาจากสายลับที่อยู่ในสิบปราสาทดำเนิน พบว่าสิบปราสาทดำเนินแทบจะมีการเคลื่อนไหวผิดปกติเกิดขึ้นพร้อมกันในวันเดียว ถึงแม้ทางสิบปราสาทดำเนินจะทำอย่างลับๆ แต่ข้าน้อยก็ยังค้นพบความไม่ปกติบางอย่าง หลังจากรวบรวมสถานการณ์ของทางสิบปราสาทดำเนินแล้ว ลูกศิษย์บางส่วนที่คอยรับใช้บุคคลสำคัญของสิบปราสาทดำเนินต่างก็มีปฏิกิริยาที่แตกต่างจากยามปกติ บางคนก็ไม่มาเอาน้ำแร่ตามแนวภูเขาไปต้มน้ำชาอีก บางคนก็เก็บตัวฝึกตนอย่างกะทันหัน บางคนก็ไม่ออกมาทำตามกิจวัตรเหมือนทุกวันอีก ล้วนเป็นปฏิริยาที่ผิดปกติแบบเล็กน้อย ถ้าเป็นแบบนี้เพียงปราสาทเดียว ก็อาจจะไม่เป็นอะไร ข้าน้อยคงไม่กล้ารบกวนนายท่านด้วยเหตุผลนี้ แต่สิบปราสาทดำเนินดันแสดงความผิดปกติพร้อมกัน เกรงว่าจะไม่ใช่ความบังเอิญขอรับ ข้าน้อยรู้สึกว่าจะต้องรายงานให้นายท่านทราบ”


“ทำรายงานอย่างละเอียดแล้วหรือยัง?” เกาก้วนถาม


เซียวหลินหม่านหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาทันที แล้วใช้สองมือยื่นให้ด้วยความเคารพ “รายงานสถานการณ์โดยละเอียด ข้าน้อยใส่ไว้ในนี้หมดแล้วขอรับ”


เกาก้วนยื่นมือออกมาด้านข้าง เซียวหลินหม่านวางแผ่นหยกลงบนมืออีกฝ่ายเบาๆ พอหยิบแผ่นหยกมาแล้ว เกาก้วนก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูนานมาก เห็นได้ชัดว่าอ่านอย่างละเอียดพอสมควร


เซียวหลินหม่านแอบสังเกตสีหน้าท่าทางของเกาก้วน ในใจเรียกได้ว่าทั้งเฝ้าคอยทั้งตื่นเต้นกังวล คนตำแหน่งอย่างเขาไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอทูตตรวจการฝ่ายขวาเกาก้วนบ่อยนัก เป็นเพราะทางสิบปราสาทดำเนินเงียบสงบเกินไปจริงๆ แทบจะไม่ให้โอกาสเขาแสดงความสามารถอะไรเลย ถ้าไม่มีโอกาสแสดงความสามารถก็จะไม่มีโอกาสสร้างผลงาน นั่นก็หมายความว่าจะไม่มีรางวัลใหญ่อะไร อาศัยแค่ค่าจ้างประจำเล็กน้อยจะเอาไปทำอะไรได้? ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสได้แสดงความสามารถต่อหน้าท่านทูตขวาสักครั้ง เขาอยากจะไขว้คว้าโอกาสนี้ไว้ ไม่อยากพลาด


หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เกาก้วนก็พยักหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “เจ้าทำได้ไม่เลว ขนาดรายละเอียดเล็กน้อยในนั้นก็ยังสังเกตเห็น ให้เจ้าเฝ้าอยู่ที่สิบปราสาทดำเนินเฉยๆ หลายปีถือว่านำคนมีฝีมือไปใช้กับงานง่ายๆแล้ว”


เซียวหลินหม่านแอบปลื้มในใจ การได้รับคำชมจากลูกน้องคนสนิทของราชันสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ จึงกล่าวถ่อมตัวว่า “สิ่งนี้ล้วนเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ขอรับ”


“ไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว ทำได้ดีก็คือทำได้ดี ข้าไม่เคยพูดตามมารยาท” เกาก้วนกล่าวเสียงเย็น


“ขอรับ! ขอบคุณที่นายท่านชื่นชม” เซียวหลินหม่านกล่าว


เสื้อคลุมปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางลมหนาวไม่หยุด เกาก้วนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “จากเรื่องนี้ ข้าเองก็ได้เห็นความสามารถของเจ้าแล้ว การปล่อยเจ้าไว้ที่นั่นนับว่าเสียของจริงๆ ช่วงนี้ตรวจหน่วยตรวจการขวามีงานเยอะมาก มีบางเรื่องที่หาคนที่เหมาะสมไม่ได้พอดี ข้าอยากจะส่งงานที่ซับซ้อนบางอย่างให้เจ้าทำ เจ้ายินดีจะรับไว้หรือเปล่า?”


เซียวหลินหม่านรู้สึกตื่นเต้นดีใจ นี่กำลังจะใช้ให้เขาทำงานในตำแหน่งสำคัญเหรอ? เขากุมหมัดคารวะอย่างมีพลัง “ข้าน้อยยินดีบุกน้ำลุยไฟ”


เกาก้วนกล่าวว่า “ความดีความชอบที่เจ้าควรจะได้ ข้าก็จะให้เจ้าครบ ทางกองหกยังขาดผู้ช่วยอยู่คนหนึ่ง เดี๋ยวเจ้าไปรับตำแหน่งที่กองหก ส่วนรางวัลอย่างอื่น หลังจากจบเรื่องแล้วจะมอบให้อย่างเหมาะสม แต่มีบางเรื่องที่เจ้าต้องรู้เอาไว้ ภารกิจของเจ้าที่นี่เป็นความลับ จู่ๆ ให้รางวัลเจ้าอาจจะทำให้คนอื่นสงสัยได้ ถ้าไปที่กองหกแล้วจะยังไม่เลื่อนตำแหน่งให้เจ้าในทันที รอให้ผ่านไปสักระยะจะหาโอกาสให้เจ้าได้สร้างผลงาน จะได้ปิดบังหูตาคนอื่นได้สะดวก หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ เจ้าจะได้รับความอยุติธรรมก่อนชั่วคราว”


ในดวงตาเซียวหลินหม่านฉายแววปลาบปลื้มอย่างบ้าคลั่ง รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยกองหกก็เท่ากับได้เลื่อนตำแหน่งรวดเดียวสองตำแหน่ง รางวัลอย่างอื่นคงจะไม่น้อยแน่ จึงรีบตอบว่า “ข้าน้อยยินดีทำตามที่นายท่านเตรียมการไว้”


เกาก้วน “เดี๋ยวจะส่งคนไปรับตำแหน่งต่อจากเจ้า ส่วนใครจะไปรับตำแหน่งแทนเจ้าก็ไม่ต้องสนใจแล้ว และไม่จำเป็นต้องให้คนที่รับตำแหน่งต่อจากเจ้ารู้ด้วยว่าเจ้าเป็นใคร เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิบปราสาทดำเนิน เจ้าต้องกลืนไว้ในท้องห้ามเอ่ยกับใครอีก ไปรายงานที่กองหกโดยตรงเลย เข้าใจมั้ย?”


เซียวหลินหม่านย่อมเข้าใจอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นความลับสุดยอดก็จะประกาศไม่ได้ ทำแบบนั้นแปลว่าตัวเองเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว เขาตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”


“ไปเถอะ!” เกาก้วนเอียงหน้ามองเขา


“ขอรับ!” เซียวหลินหม่านกุมหมัดคารวะพร้อมถอยออกไปไกล เสร็จแล้วถึงได้เหาะขึ้นฟ้าไป ยังคงควบคุมความตื่นเต้นดีใจที่เปี่ยมล้นเต็มอกไม่ไหว


ขณะมองคล้อยหลังเขาหายไป เกาก้วนยังคงไม่แสดงสีหน้าที่ผิดปกติใดๆ แต่แผ่นหยกในมือกลับมีเสียงดังแกร๊ก กลายเป็นผุยผงปลิวไปแล้ว


หลังจากผ่านไปสักระยะหนึ่ง ในที่สุดเซียวหลินหม่านก็มารายงานตัวที่กองหกของหน่วยตรวจการขวาอย่างเฝ้ารอมานาน


และเบื้องบนก็ไม่ได้กลืนคำพูดตัวเอง พอมาได้ไม่นานก็มอบโอกาสให้เขาได้สร้างผลงานแล้ว เป็นภารกิจที่ต้องแยกไปปฏิบัติเดี่ยวๆจากกองหก เซียวหลินหม่านย่อมรู้ว่าแบบนี้มีความหมายแฝงว่าอะไร นี่คือการดูแลที่พิเศษ


พอเสียงต่อสู้ที่ไม่รุนแรงจบลง เป้าหมายหลายคนก็ติดกับดักให้จับ เซียวหลินหม่านได้รับคำชม ขณะที่กำลังจะกุมหมัดขอบคุณ ยังไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมา จู่ๆ ร่างกายที่ไม่ได้เตรียมป้องกันก็พลันแน่นตึง เชือกมัดเซียนเส้นหนึ่งก็มัดเขาเอาไว้แล้ว พร้อมรู้สึกเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง


เขามองกระบี่วิเศษที่แทงเข้ามาในหัวใจอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ แล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ เบิกตากว้างมองเผยโม่หัวหน้ากองหกที่เพิ่งกล่าวชมตัวเอง


เผยโม่มองเขาด้วยแววตาเย็นชา พร้อมกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “จากไปอย่างสงบเถอะ เจ้าตายในหน้าที่ ครอบครัวของเจ้าจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม”


“เพราะอไร…” ในดวงตาเซียวหลินหม่านเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ยอม ในลำคอมีเลือดทะลักออกมา อวัยวะภายในโดนพลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยออกจากกระบี่วิเศษกวนจนเละแล้ว


“เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าเพราะอะไร!” เผยโม่ชักกระบี่ออกมา ศีรษะใบหนึ่งกระเด็นออกไปแล้ว…


ขุนเขานภามิเปลี่ยนแปลง สายธารายังหลากไหล ลำธารไหลวนรอบภูเขา ที่ข้างสระน้ำสีเขียวมรกต บนหินก้อนใหญ่ที่มีดอกกล้วยไม้ มีชายชราใส่ชุดผ้าดิบคนหนึ่งกำลังนั่งตกปลา


ในมีเขามีเสียงผิดปกติ ชายแก่ตกปลาเอียงหน้ามองแวบหนึ่ง ที่แท้ก็เป็นชายแก่ตัดฟืนกำลังหาบไม้ฟืนเดินลงเขาอย่างช้าๆ นี่เอง ท่าทางลำบากมาก


เมื่อเห็นว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ ชายแก่ตกปลาก็ตกปลาต่อไปอย่างสงบใจ


ชายแก่ตัดฟืนหาบฟืนเดินลงเขาตามทางเล็กๆ ตอนที่ผ่านสระน้ำ ในกองฟืนที่หาบอยู่ด้านซ้ายก็พลันมีแสงเย็นสายหนึ่งแทงออกมา แทงไปโดนแผ่นหลังของชายแก่ตกปลาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ


ทว่าชายแก่ตกปลาก็ตอบสนองรวดเร็วไม่ธรรมดาเช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้ป้องกันอะไรเลย แต่ในขณะที่ตกใจก็พลันยื่นมือคว้าคมกระบี่ที่แทงทะลุออกมาจากหน้าอกเอาไว้ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไม่ให้อานุภาพการโจมตีของกระบี่ด้ามนี้ขยายใหญ่กว่านี้ จากนั้นก็ใช้หลังมือตบกลับไป


เชือกมัดฟืนระเบิดออก คนถือกระบี่ปรากฏตัว ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งรับไว้ได้อย่างเหี้ยมหาญ แล้วใช้ฝ่ามือสองข้างปะทะไว้ เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ชั่วพริบตาเดียวพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดก็ทำให้ภูเขาแม่น้ำผืนนี้ถล่มลง


คนถือกระบี่สะเทือนจนถอยหลัง ชายแก่ตกปลารอดพ้นจากอันตรายแล้ว จ้องมองจากบนฟ้าด้วยแววตาโกรธแค้น สีหน้าโกรธจัด พลางตะโกนถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”


สิ่งที่ตอบเขากลับเป็นกระบี่บินด้ามหนึ่งที่ระเบิดยิงออกมาจากอีกด้านของกองฟืนราวกับสายฟ้า กระบี่บินฟันออกไปอย่างบ้าระห่ำ มีคนอีกคนปรากฎตัวออกมาจากกองฟืน ร่วมมือกับคนที่สะเทือนจนถอยหลังไปก่อนหน้านี้สังหารออกไปพร้อมกัน ทำศึกเดือดกับชายแก่ตกปลาที่ได้รับบาดเจ็บ


ที่บ่าของชายแก่ตัดฟืนยังคงแบกไม้คาน กำลังจ้องมองฉากต่อสู้ตรงหน้าอย่างสงบเยือกเย็นท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบอบอวล


เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปสักพักแล้วสองคนนี้ยังจัดการชายแก่ตกปลาที่บาดเจ็บหนักไม่ได้ รอบกายชายแก่ตัดฟืนก็มีกระแสลมพรั่งพรูรวดเร็วรุนแรง ชั่วพริบตาเดียวก็ก่อตัวเป็นปราณกระบี่สุดอันตราย ปราณกระบี่เป็นสีขาวเงินสะดุดตา ทั้งร่างกายพลันกลายเป็นกระบี่ลมด้ามหนึ่งพุ่งออกไป มีลักษณะท่าทางดุดัน


สองคนที่พัวพันต่อสู้อยู่กับชายแก่ตกปลารีบถลันตัวแยกออกไป เงากระบี่ขนาดใหญ่แฉลบผ่านกลางระหว่างทั้งออกไป


เปรี้ยง! กลางอากาศมีเสียงดังราวกับฟ้าผ่า ชายแก่ตกปลาใช้วิชาดรรชนี มือซ้ายและขวาชูนิ้วออกมาสามนิ้ว นิ้วทั้งหกประสานกันตรงหน้าอก ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้คมกระบี่สีขาวเงินที่จมลงตรงหน้าอกเข้ามาลึกกว่านี้อีกไม่ได้ แต่ดวงตากลับชำเลืองมองคนที่โดนครอบอยู่ในปราณกระบี่อย่างตกตะลึง ราวกับอยากจะมองให้ชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามที่สวมหน้ากากปลอมตัวเป็นใครกันแน่


คนที่อยู่ในกระบี่สบตาอย่างเย็นเยียบ สองนิ้วที่ใช้โน้มนำปราณกระบี่ให้แทงออกมาออกรงดันอีกครั้ง ปราณกระบี่แยกออก พลันกลายเป็นปราณกระบี่สิบสองด้ามยิงออกมา


“ปราสาทดำเนินนภา…” ชายแก่ตกปลาเบิกตากว้างพลางอุทานออกมา ตามติดด้วยการกระอักเลือดสดอย่างบ้าคลั่ง บนร่างที่ล้มลงมีปราณกระบี่สิบสองด้ามที่ถูกเขาร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านสุดชีวิตเสียบอยู่ ปราณกระบี่สิบสองด้ามหายไปอย่างช้าๆ กลายเป็นความว่างเปล่าสลายหายไปในอากาศ


ชายแก่ตัดฟืนลอยขึ้นฟ้าแล้วมองอย่างเย็นเยียบ จากนั้นก็ถลันตัวเข้าไป ใช้กระบี่ฟันชายแก่ตกปลาที่ล้มลงให้ตายสนิท สองคนที่กลับมาแล้วรีบไปอีกทิศทางหนึ่งพร้อมกับชายแก่ตัดฟืน จุดที่ทั้งสามไปคือบ้านพักบนภูเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากตรงนี้สิบกว่าลี้ คนที่อยู่ในบ้านพักบนภูเขาตกใจกับการต่อสู้อันดุเดือดที่อยู่ไกลๆ คนที่โผล่ออกมายังไม่ทันรู้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ก็โดนคนนับร้อยล้อมสังหารเข้ามาจากทั่วสารทิศแล้ว ทั้งบ้านพักบนภูเขาพลิกจมลงในดินโคลนในชั่วพริบตาเดียว


ชาวนาที่ทำนาอยู่ในนาต่างก็ถูกฉากศึกใหญ่ของเหล่าเทพทำให้ตกตะลึงพรึงเพริด มีบางคนตัวสั่นเทิ้ม มีบางคนคุกเข่าหมอบกราบไม่หยุด…


ในราชวังที่ใหญ่โตโอ่อ่า องครักษ์กลุ่มใหญ่กับฝ่าบาทที่กำลังหวาดกลัวพากันวิ่งวุ่น แต่กลับหนีแผ่นดินที่ถล่มม้วนกลิ้งเข้ามาราวกับคลื่นไม่ทัน ตำหนักราชวังถล่มลงอย่างง่ายดาย ชั่วพริบตาเดียวก็โดนโคลนกลบไว้แล้ว


การต่อสู้เริ่มจากอารามเต๋าในวัง แล้วก็เริ่มลุกลามไปทั่วทั้งวัง ไม่รู้ว่ามีคนจากไหนโผล่ออกมาสู้กับนักพรตเต๋าในตำหนักราวกับศึกเทพ รอบข้างมีแต่เสียงร้องตกใจ ผ่านไปไม่นาน กลุ่มองครักษ์กับฝ่าบาทที่กำลังถูกคุ้มกันก็เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ ตำหนักหลังหนึ่งที่ปลิวลงมาจากฟ้าตบพวกเขาจมลงในดินทันที


ต่อสู้กันเร็วมาก ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ฝ่ายที่รุกโจมตีใช้ความได้เปรียบอันเบ็ดเสร็จทำให้การเข่นฆ่าสงบลงแล้ว คนชุดดำกลุ่มหนึ่งที่เรือนร่างอ่อนช้อยบอบบางพุ่งขึ้นฟ้าไป หายไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว…


บนท่าเรือริมแม่น้ำ…


ในหมู่บ้านชาวนาที่สงบเงียบ…


บนดาวเคราะห์หลายดวงในดาราจักรอันกว้างใหญ่ แต่ละแห่งที่มีมนุษย์ธรรมดาอยู่อาศัย ดูเหมือนไม่โดดเด่นสะดุดตาอะไร แต่กลับเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจนสะท้านฟ้าสะเทือนดินแทบจะพร้อมกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)