เทพปีศาจหวนคืน 1449-1451
บทที่ 1449 ยืมหินวิญญาณอมตะ
พื้นที่ราบเรียบและไร้ขอบเขตอยู่ในสายตาของนาง
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเหลียนหยุนแผ่ขยายออกไปก่อนที่จะปกคลุมมิติช่องว่างทั้งหมด
นางประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะเมื่อไม่นานมานี้และกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ
แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เวลาของที่นี่เดินเร็วกว่าโลกภายนอกสามสิบสามเท่า นี่หมายความว่ามันสามารถสร้างองุ่นเขียวอมตะให้นางได้มากกว่าสามสิบผลทุกปี
‘ทุ่งหญ้าครึ่งหนึ่งและที่ราบครึ่งหนึ่ง?’ จ้าวเหลียนหยุนพึมพำ
ภูมิประเทศในมิติช่องว่างของผู้อมตะแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขา
ทุ่งหญ้าอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อจ้าวเหลียนหยุนกับภาคเหนือ แต่หลังจากย้ายถิ่น นางจึงได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง
แม้จะไม่มีแหล่งทรัพยากรใดๆ ทุ่งหญ้าก็ยังเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ขณะเดียวกันพื้นที่ราบอีกครึ่งหนึ่งก็มีความอุดมสมบูรณ์
นอกจากมิติช่องว่างยังมีวิญญาณอมตะ
วิญญาณแห่งความรักจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด แต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะด้วยมิติช่องว่างระดับสูงทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับวิญญาณอมตะอีกดวงหนึ่ง มันคือวิญญาณความทรงจำ
นี่เป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา
‘หงหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ข้ากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว!’
จ้าวเหลียนหยุนถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาและค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น
นางมองไปข้างนอกและถอนหายใจ
หลังจากกลายเป็นผู้อมตะ นางรู้สึกยินดี แต่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว
ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน หม่าหงหยุนอาจถูกฆ่าโดยฟางหยวน แต่ดวงวิญญาณของเขายังอยู่
นี่ไม่ใช่การคาดเดาแบบสุ่มโดยจ้าวเหลียนหยุน แต่มันได้รับการยืนยันแล้วจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮา
จ้าวเหลียนหยุนเลือกที่จะเชื่อเขาและด้วยเหตุผลนี้มันจึงกลายเป็นแรงผลักดันและความหวังของนาง
เมื่อนึกถึงร่องรอยของความหวังที่จะฟื้นคืนชีพให้กับหม่าหงหยุน จ้าวเหลียนหยุนหยุดความรู้สึกของนางและเดินออกจากห้องลับแห่งนี้
วันนี้เป็นวันสำคัญ
จ้าวเหลียนหยุนเดินไปพบหลี่จุนอิงที่รออยู่ที่ปลายทาง
“คารวะท่านพี่จุนอิง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ
หลี่จุนอิงยิ้ม “น้องเหลียนหยุน ไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนั้น ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังยอดเขามรดกลับ”
ยอดเขามรดกลับเป็นสถานที่ที่ผู้อมตะของนิกายคฤหาสน์วิญญาณมักจะไปเยี่ยมเยียนเสมอ
จ้าวเหลียนหยุนกำลังจะไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาที่ไม่ธรรมดา มันลอยอยู่กลางอากาศ มันดูเหมือนอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วมันอยู่ห่างไกล มีค่ายกลวิญญาณอมตะระดับสูงถูกจัดตั้งไว้ที่นั่น
ผู้รับผิดชอบยอดเขาลูกนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดฝ่ายที่เป็นกลาง ชื่อของนางคือเทพธิดาหลิวฟาง
ในการเดินทางครั้งนี้จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้พบตัวจริงของเทพธิดาหลิวฟางแต่นางได้รับการต้อนรับจากเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง
จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้คิดสิ่งใดแต่หลี่จุนอิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตามมติในที่ประชุม จ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบันจะได้รับการดูแลอย่างดีจากนิกายและในการมาเยือนยอดเขามรดกลับครั้งแรกของนางควรจะได้รับการต้อนรับเป็นการส่วนตัวจากผู้ดูแลยอดเขา
แต่เทพธิดาหลิวฟางกลับไม่อยู่
“ผู้น้อยเหลียนหยุนคารวะผู้อาวุโสหลิวฟาง” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับเจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟาง
“เจ้าเป็นผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก โปรดตรวจสอบวิญญาณดวงนี้” เจตจำนงของเทพธิดาหลิวฟางยิ้มและส่งวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับจ้าวเหลียนหยุน
จ้าวเหลียนหยุนอ่านเนื้อหาที่อยู่ภายในและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน ท่านพี่จุนอิงช่วยตรวจสอบให้ข้าได้หรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนเป็นคนฉลาด นางรีบส่งวิญญาณดวงนี้ให้หลี่จุนอิง
หลี่จุนอิงมองผ่านและพยักหน้าเล็กน้อย
ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด
นางถ่ายทอดเสียงไปยังจ้าวเหลียนหยุน “เหลียนหยุน ตอนนี้เจ้ากลายเป็นผู้อมตะ เจ้ามีวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณความทรงจำ รวมถึงมิติช่องว่างระดับสูง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงมาก”
“หลังจากนี้เจ้าต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าและเพิ่มรากฐานให้กับตนเอง ภารกิจแรกคือการให้อาหารวิญญาณอมตะ โชคดีที่วิญญาณแห่งความรักไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร”
“สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาในตอนนี้คือวิญญาณความทรงจำ อาหารของมันคือดอกเนตรกระจ่าง ในรายการสมบัติเหล่านี้มีวิธีการเพาะเลี้ยงดอกเนตรกระจ่างอยู่ด้วย เจ้าควรเลือกมัน”
จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ แล้วอีกสองรายการ ข้าควรเลือกสิ่งใด?”
ตามกฎของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เมื่อผู้นำนิกายก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นางสามารถเลือกทรัพยากรสามรายการจากยอดเขามรดกลับ
หลี่จุนอิงยิ้ม “นอกจากนี้ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกหญ้าบังเอิญ เนื่องจากเจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เจ้าก็ต้องจัดการมิติช่องว่างของเจ้าให้สอดคล้องกับเส้นทางแห่งปัญญา หญ้าบังเอิญเป็นทรัพยากรบนเส้นทางแห่งปัญญาและเลี้ยงดูค่อนข้างง่าย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังขายได้ราคาสูงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าจะไม่เสียใจหากเจ้าเลือกสิ่งนี้”
“เช่นนั้นข้าจะเลือกมัน” จ้าวเหลียนหยุนตอบ
หลี่จุนอิงพอใจกับทัศนคติของจ้าวเหลียนหยุนมาก
“แล้วข้าควรเลือกสิ่งใดเป็นสิ่งสุดท้าย” จ้าวเหลียนหยุนถามต่อ
“แน่นอนว่าเป็นรายการแรก”
“หินวิญญาณอมตะงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง” หลี่จุนอิงหัวเราะเมื่อเห็นความสับสนบนใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุน “ไม่ว่าจะเป็นดอกเนตรกระจ่างหรือหญ้าบังเอิญ ปริมาณที่นิกายมอบให้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าสร้างแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ หากไม่สามารถเพาะปลูกในปริมาณมาก ทรัพยากรเหล่านี้จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ ดังนั้นเจ้าต้องมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมากเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพิ่ม”
“หินวิญญาณอมตะเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ผู้อมตะต้องมีมันสำรองเอาไว้เสมอ ไม่เพียงมันจะเป็นสกุลเงินที่ใช้ทำธุรกรรม มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอมตะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะเลือกหินวิญญาณอมตะ” จ้าวเหลียนหยุนแลกเปลี่ยนทั้งสามสิ่งอย่างไม่ลังเล
หลังจากนั้นทั้งสองก็ออกมาจากยอดเขามรดกลับ
ก่อนที่พวกนางจะแยกย้าย หลี่จุนอิงมอบหินวิญญาณอมตะให้จ้าวเหลียนหยุน “น้องเหลียนหยุน ท่านพี่ซูเฮาและข้าจะให้เจ้ายืมหินวิญญาณอมตะสามพันก้อน อย่าลังเล ใช้มันมากเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่มีกำหนดเวลาคืนเงินก้อนนี้”
“อา…” จ้าวเหลียนหยุนอุทานเบาๆ “นิกายให้หินวิญญาณอมตะแก่ข้าหนึ่งพันก้อนแต่พี่สาวยังให้ข้าอีกสามพันก้อน ข้าจะใช้มันอย่างไร?”
หลี่จุนอิงตบไหล่จ้าวเหลียนหยุน “เด็กโง่ เจ้าควรรู้ถึงความสำคัญของหินวิญญาณอมตะ มันเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะต่างต่อสู้เพื่อให้ได้มา”
“โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณที่พึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะมักอยู่ในสภาวะขัดสน ผู้ที่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อนถือเป็นชนชั้นกลาง การมีหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันก้อนหาได้ยากในกลุ่มผู้อมตะระดับหก”
“แต่สถานการณ์ของเจ้าแตกต่างออกไป เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสมาชิกของหนึ่งในสิบนิกายโบราณแต่เจ้ายังเป็นผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ เจ้าเป็นคนสำคัญของนิกาย ดังนั้นเจ้าจึงเป็นข้อยกเว้น”
“ผู้อมตะระดับหกส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักร้อยก้อน มีเพียงชนชั้นสูงที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน ผู้อมตะระดับเจ็ดส่วนใหญ่มีหินวิญญาณอมตะหลักพันก้อน มีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองหินวิญญาณอมตะหลักหมื่นก้อน”
“นี่เป็นความรู้ทั่วไป เจ้าจงจำมันเอาไว้”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” จ้าวเหลียนหยุนโค้งคำนับ
คำกล่าวของหลี่จุนอิงกำลังบอกจ้าวเหลียนหยุนว่านิกายไม่ได้โหดร้ายต่อนาง นอกจากนั้นหลี่จุนอิงกับสามียังสนับสนุนนางอย่างแข็งขัน
“ข้าจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอน” จ้าวเหลียนหยุนกล่าวอย่างจริงจัง
หลี่จุนอิงพยักหน้า “ไปเถอะ หากเจ้ามีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะถามข้าหรือท่านพี่ซูเฮา”
“ทราบแล้ว” จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมีความสุขเมื่อมีบางคนคอยให้คำชี้แนะ
หลังจากจ้าวเหลียนหยุนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จุนอิงก็ค่อยๆเลือนหาย
ตั้งแต่ฟงจินฮวงได้รับความสนใจจากราชันมังกร ชีวิตของหลี่จุนอิงก็ยากขึ้นเรื่อยๆ
นางและสามีของนางเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้อแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกว่าฟงจินฮวงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่มีอนาคตที่ไม่สามารถหยั่งถึง
ทัศนคติของเทพธิดาหลิวฟางในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางทางการเมืองภายในนิกายคฤหาสน์วิญญาณ
หลี่จุนอิงตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงติดตามจ้าวเหลียนหยุนมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนาง
แน่นอนว่าสามีภรรยาคู่นี้ต้องเผชิญหน้ากับสงครามเย็นทางการเมืองต่อไปอีกนาน ดังนั้นพวกนางจึงต้องโอบกอดจ้าวเหลียนหยุนเอาไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น
…..
ภาคเหนือ เผ่าชู
ชูตู๋มองวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ
“ฟางหยวน มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นสหายกับเจ้า” ชูตู๋เผยรอยยิ้มขมขื่น
วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้ถูกส่งมาจากฟางหยวน เขากำลังขอยืมหินวิญญาณอมตะจากชูตู๋
ฟางหยวนเคยร่วมมือกับชูตู๋ในนามของหลิวกวนซื่อและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ตื้นเขิน ไม่นานมานี้เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บ่มเพาะสันโดษหยุนเหลียงได้ทำลายแผนการของถ้ำสวรรค์นิรันดรและยังเปิดเผยความลับที่ฟางหยวนกับหลิวกวนซื่อเป็นบุคคลเดียวกันออกไปขณะที่ฟางหยวนกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้าย
แน่นอนว่าชูตู๋ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน
ชูตู๋ไม่แปลกใจมากนัก ในความเป็นจริงเขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว
แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิวกวนซื่อหรือฟางหยวน ชูตู๋ก็ต้องการร่วมงานกับทั้งคู่
อย่างไรก็ตามสถานะในปัจจุบันของชูตู๋แตกต่างจากก่อนหน้า
ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าชู เขามีผู้อมตะมากมายอยู่ภายใต้การปกครองและเผ่าชูก็เป็นสมาชิกของฝ่ายธรรมะ
หากเขายังร่วมมือกับฟางหยวนต่อไป ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขาจะกลายเป็นความว่างเปล่า
การร่วมมือกับฟางหยวนมีความเสี่ยงสูงมาก
ชูตู๋วางแผนที่จะเปิดเผยและรักษาทัศนคติที่คลุมเครือเอาไว้ แต่ฟางหยวนไม่ให้โอกาสเขาและส่งจดหมายมาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากเขาโดยตรง
แต่ในจดหมายไม่ได้ระบุจำนวนและกรอบเวลาที่แน่ชัด ความหมายก็คือเขาให้ชูตู๋เป็นผู้ตัดสินใจ
สิ่งนี้ทำให้ชูตู๋รู้สึกลำบากใจมากขึ้น
“สมเป็นฟางหยวนจริงๆ” ชูตู๋ถอนหายใจ
บทที่ 1450 หนึ่งล้านเจ็ดแสนสามหมื่น
“โอ้ ชูตู๋ให้ข้ายืมหินวิญญาณอมตะหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อน?”
ในไม่ช้าฟางหยวนก็ได้รับคำตอบจากชูตู๋ นอกจากนี้จำนวนหินวิญญาณอมตะที่ชูตู๋ให้ยืมยังเกินกว่าความคาดหวังของฟางหยวนเล็กน้อย
ในจดหมายตอบกลับจากชูตู๋ เขาใช้ถ้อยคำที่ไพเราะ เขากล่าวถึงความร่วมมือที่น่าพอใจของพวกเขาในอดีต จากนั้นก็พูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ เขากล่าวว่าการให้ยืมหินวิญญาณอมตะหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อนเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว สำหรับเวลาส่งคืน มันจะถูกกำหนดโดยฟางหยวน
“ดูเหมือนชูตู๋ยังต้องการร่วมมือกับข้า หลังจากทั้งหมดความหมายที่แท้จริงของเทพปีศาจคลั่งดึงดูดใจมากเกินไป” คำตอบนี้ทำให้ฟางหยวนทราบถึงทัศนคติและความตั้งใจของชูตู๋ได้ทันที
เดิมทีชูตู๋เป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ ต่อมาเขาต่อสู้กับเผ่าหลิวและถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายปีศาจ ตอนนี้เขาก่อตั้งเผ่าชูและอยู่บนเส้นทางของฝ่ายธรรมะ
แต่โดยธรรมชาติเขายังคงให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตนเอง
ดังนั้นแม้จะมีความเสี่ยงในการร่วมมือกับฟางหยวน แต่ด้วยผลประโยชน์มหาศาล ชูตู๋จึงไม่ลังเลที่จะรับความเสี่ยง เขาไม่เพียงให้ฟางหยวนยืมหินวิญญาณอมตะหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อน แต่เขายังส่งจดหมายตอบกลับมาเป็นการส่วนตัวอีกด้วย
แม้มันจะเป็นเพียงวิญญาณระดับมนุษย์ แต่ความสำคัญของมันไม่ธรรมดา หากฟางหยวนเปิดเผยสิ่งนี้ออกไป มันจะเป็นสิ่งยืนยันว่าชูตู๋กำลังร่วมมือกับปีศาจ
อย่างไรก็ตามนี่คือการแสดงความจริงใจในการทำงานร่วมกัน
และฟางหยวนก็รู้สึกถึงความจริงใจนี้ได้อย่างเต็มที่
‘ข้าสามารถร่วมงานกับชูตู๋ต่อไป’
‘แน่นอนว่าวิญญาณอมตะเรียกภัยพิบัติที่ข้าให้เขายืมเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของความร่วมมือระหว่างเรา’
ฟางหยวนค่อนข้างพอใจ
หินวิญญาณอมตะหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อนมากพอแล้ว
โดยปกติผู้อมตะระดับหกจะมีหินวิญญาณอมตะไม่เกินหนึ่งพันก้อน
ผู้อมตะระดับเจ็ดมีประมาณหนึ่งหมื่นก้อน ส่วนใหญ่ยังมีเพียงหลักพันก้อนเท่านั้น
ผู้อมตะระดับแปดอาจมีหลายหมื่นก้อนจนถึงหลักแสนก้อน อาจมีบางส่วนที่มีถึงหนึ่งล้านก้อน
สำหรับผู้อมตะระดับเก้า พวกเขาอาจมีถึงสิบล้านหรือหนึ่งร้อยล้านก้อน
แน่นอนว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ส่วนตัวของผู้อมตะ
สำหรับกองกำลังใหญ่ พวกเขามักมีหินวิญญาณอมตะสำรองไว้ประมาณหนึ่งล้านก้อน
ตระกูลวูมีเงินสำรองก้อนนี้ มันเป็นเหตุผลที่วูหยงไม่ลังเลที่จะให้ฟางหยวนยืมหินวิญญาณอมตะหนึ่งแสนก้อน แน่นอนว่าตระกูลวูสามารถให้ยืมมากกว่านั้น แต่วูหยงคิดว่าหนึ่งแสนก้อนเพียงพอแล้วสำหรับฟางหยวนที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับค่ายกลวิญญาณ
เผ่าชูเป็นกองกำลังที่พึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ แม้พวกเขาจะมีผู้อมตะจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่พวกเขาบ่มเพาะบนเส้นทางความแข็งแกร่งและมีทรัพย์สินเพียงเล็กน้อย ตามการคาดเดาของฟางหยวน อย่างมากเผ่าชูก็มีหินวิญญาณอมตะสำรองไว้เพียงหกแสนก้อนเท่านั้น
ชูตู๋ให้ฟางหยวนยืมหินวิญญาณอมตะหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อนและไม่กำหนดเวลาส่งคืน นี่ถือเป็นการแสดงความจริงใจของเขา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหินวิญญาณอมตะเป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จของผู้อมตะและความแข็งแกร่งของกองกำลังต่างๆ
ด้วยการสนับสนุนจากชูตู๋ ในที่สุดคลังเก็บหินวิญญาณอมตะของฟางหยวนก็ไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป
แต่ฟางหยวนยังไม่พอใจ
เขายังอดทนรอคำตอบ
ไม่เพียงชูตู๋แต่ฟางหยวนยังส่งจดหมายถึงสามผู้อมตะนอกรีตของถ้ำปีศาจคลั่ง เช่นเดียวกับเมี่ยวหมิงเฉินแห่งทะเลตะวันออก
การขอยืมหินวิญญาณอมตะเป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง ฟางหยวนยังมีเป้าหมายอื่น นั่นคือการตรวจสอบทัศนคติของพวกเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่อ่อนไหวเมื่อตัวตนของหลิวกวนซื่อถูกเปิดเผย
คำตอบของสามปีศาจคลั่งและเมี่ยวหมิงเฉินมาถึงแทบจะพร้อมกัน
ทั้งสองฝ่ายให้ฟางหยวนยืมหินวิญญาณอมตะจำนวนหนึ่ง ฝ่ายแรกให้ยืมสองแสนก้อน ฝ่ายหลังให้ยืมหนึ่งแสนก้อน
ทัศนคติของสามปีศาจคลั่งอบอุ่นยิ่งกว่าก่อนหน้า พวกเขาไม่มีปัญหาเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของฟางหยวน พวกเขาไม่สนใจการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะและฝ่ายปีศาจ จากมุมมองของพวกเขา มีเพียงมรดกของเทพปีศาจไร้ขอบเขตเท่านั้นที่สำคัญ พวกเขาจะยอมรับผู้ใดก็ตามที่สามารถช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมาย
ยิ่งฟางหยวนแข็งแกร่งเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความสุขเท่านั้น
สำหรับเมี่ยวหมิงเฉิน เขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อชูอิงซึ่งเป็นอีกตัวตนหนึ่งของฟางหยวน ในงานประชุมการค้า ฟางหยวนใช้วิญญาณอายุยืนแลกเปลี่ยนสินค้ากับเมี่ยวหมิงเฉิน เรื่องนี้ช่วยยกระดับสถานะของฟางหยวนขึ้นอีกมาก
ดังนั้นเมี่ยวหมิงเฉินจึงส่งจดหมายมาเป็นพิเศษ เขากล่าวว่าสถานะทางการเงินของเขามีปัญญาเล็กน้อยเมื่อเร็วๆนี้ ตอนนี้เขาสามารถให้ฟางหยวนยืมเพียงหนึ่งแสนก้อน แต่หากไม่พอ เขาสามารถยืมเงินจากสหายของเขาเพื่อช่วยนำมาช่วยเหลือฟางหยวน
ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงได้รับหินวิญญาณอมตะทั้งหมดสี่แสนห้าหมื่นก้อน
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนหน้าหรือชีวิตปัจจุบัน เขาไม่เคยครอบครองหินวิญญาณอมตะจำนวนมหาศาลเช่นนี้มาก่อน
อย่างไรก็ตามฟางหยวนยังไม่หยุดยืม เขาขอยืมหินวิญญาณอมตะจากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาและยังใช้แต้มผลงานของนิกายแลกเปลี่ยนหินวิญญาณอมตะอีกส่วนหนึ่ง
“ข้าไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้อีกต่อไป แม้เจ้าจะมีแต้มผลงานมากมาย แต่นิกายจำเป็นต้องสำรองหินวิญญาณอมตะเอาไว้บ้างเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาปฏิเสธอย่างหนักแน่น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากแผนการพัฒนานิกายหลางหยา ความมั่งคั่งของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาจึงถูกใช้ไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อรวมกับการแลกเปลี่ยนทรัพยากรอมตะของฟางหยวน รากฐานของนิกายหลางหยาจึงถูกนำออกมาใช้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้หินวิญญาณอมตะของนิกายหลางหยาเหลืออยู่ไม่เกินสามแสนก้อน
ฟางหยวนถามไป่หนิงปิงที่ได้รับมรดกจากถ้ำสวรรค์ไป่เซียง ที่นั่นมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมาก
ท่ามกลางสมาชิกนิกายเงา ไป่หนิงปิงเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุด
ไห่ลั่วหลันยากจนที่สุด อิงอู๋เซี่ยอยู่ในสภาพใกล้เคียงกัน แม้เขาจะครอบครองร่างของเทพธิดาซุ้ยป๋อ แต่ทรัพยากรของนางก็ถูกชิงไปแล้วโดยไป่หนิงปิง
เทพธิดากระต่ายขาวและเทพธิดาเมี่ยวหยินให้ฟางหยวนยืมหินวิญญาณอมตะเล็กน้อย
ในบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหมด เงื่อนไขของเทพธิดากระต่ายขาวหละหลวมที่สุด นางกล่าวกับฟางหยวนด้วยใบหน้าสีแดงว่าฟางหยวนไม่จำเป็นต้องคืนหินวิญญาณอมตะ สำหรับเทพธิดาเมี่ยวหยิน นางไม่ได้กำหนดเวลาส่งคืน
สามปีศาจคลั่งต้องการใช้ประโยชน์จากฟางหยวน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อนข้างตื่นเขิน ดังนั้นพวกเขาจึงให้ยืมด้วยสัญญากู้ยืมทั่วไป จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาทำเช่นเดียวกัน
ระยะเวลากู้ยืมของไป่หนิงปิงเข้มงวดที่สุด นางมีเงื่อนไขที่ค่อนข้างน่าสนใจ นางสามารถให้ฟางหยวนยืมหินวิญญาณอมตะจำนวนมาก แต่ยิ่งฟางหยวนยืมมากเท่าใด ดอกเบี้ยก็ยิ่งสูงขึ้นและระยะเวลคืนเงินก็ยิ่งสั้นลงเท่านั้น
ฟางหยวนยืมหินวิญญาณอมตะจำนวนมากจากนาง
หลังจากทั้งหมดฟางหยวนสามารถยืมหินวิญญาณอมตะได้มากกว่าหนึ่งล้านเจ็ดแสนสามหมื่นก้อน!
เงินจำนวนนี้ยังเหนือกว่าเงินในคลังของเผ่าชู นิกายหลางหยา และกองกำลังใหญ่ต่างๆ ไม่มีผู้อมตะระดับหกและระดับเจ็ดคนใดมีเงินสะสมมากเท่านี้ กระทั่งผู้อมตะระดับแปดยังมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถรวบรวมหินวิญญาณอมตะได้มากกว่าหนึ่งล้านก้อน
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบด้านจำนวนตัวเลขเท่านั้น
ความมั่งคั่งที่แท้จริงของผู้อมตะคือการรักษาสมดุลระหว่างรายรับและรายจ่าย ฟางหยวนอาจถือเงินจำนวนมหาศาลเอาไว้ในมือแต่มันไม่ใช่ของเขา มันเป็นเพียงเงินกู้ยืม
ในพริบตาฟางหยวนมีหนี้สินท่วมตัว
อย่างไรก็ตามเขาไม่ประหม่า เขามั่นใจอย่างเต็มที่ว่าเขาสามารถใช้หินวิญญาณอมตะเหล่านี้เพื่อสร้างรายได้มากกว่านี้!
บทที่ 1451 ขายวิญญาณปี
ไม่กี่วันต่อมา
ภาคกลาง นิกายคฤหาสน์วิญญาณ
จ้าวเหลียนหยุนเพ่งจิตเข้าไปตรวจสอบมิติช่องว่างของนาง
แดนศักดิ์สิทธิ์เหลียนหยุนแตกต่างจากก่อนหน้า
ตอนนี้มีทุ่งดอกไม้ที่สว่างไสวเติบโตอยู่มากมาย มันคือดอกเนตรกระจ่างซึ่งเป็นอาหารของวิญญาณความทรงจำ
นอกจากนี้ยังมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่และมีนกนางแอ่นบินอยู่เหนือทุ่งหญ้าแห่งนี้
จ้าวเหลียนหยุนซื้อนกนางแอ่นเหล่านี้มาเพื่อกำจัดศัตรูพืช
นี่คือทุ่งหญ้าบังเอิญ
‘ข้าใช้หินวิญญาณอมตะไปเกือบหมดแล้ว’ จ้าวเหลียนหยุนถอนหายใจขณะมองดูฉากที่อยู่ตรงหน้า
แรกเริ่มนางรู้สึกว่านางมีหินวิญญาณอมตะจำนวนมหาศาล แต่เมื่อนางเริ่มใช้มัน นางก็พบว่ามันไม่มากเลย เพราะนางไม่เพียงต้องเพาะปลูกพืชทั้งสองชนิดแต่นางยังต้องสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ให้กับพวกมันอีกด้วย
นางต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าดิน ค่าเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และอื่นๆอีกมากมาย
‘ดอกเนตรกระจ่างจะสามารถเป็นแหล่งอาหารให้กับวิญญาณความทรงจำหลังจากหนึ่งปีในมิติช่องว่างของข้า หลังจากสองปีข้าจะสามารถขายหญ้าบังเอิญและดอกเนตรกระจ่างเพื่อให้ได้รับหินวิญญาณอมตะหลายร้อยก้อน หลังจากสามปีข้าจะสามารถคืนเงินที่ยืมมาจากหลี่จุนอิง’
‘แต่นี่ยังเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดเท่านั้น ข้ายังไม่ได้คำนวณค่าใช้จ่ายในการบ่มเพาะอื่นๆของข้า’
จ้าวเหลียนหยุนเข้าใจแล้วว่าการบ่มเพาะของผู้อมตะไม่ใช่เรื่องง่าย
นางมีแหล่งทรัพยากรเพียงสองอย่างเท่านั้นและทั้งคู่ก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกัน แต่ความยากในการเพาะปลูกพืชยังน้อยกว่าการเลี้ยงสัตว์อสูรหรือมนุษย์กลายพันธุ์
จ้าวเหลียนหยุนมีมิติช่องว่างระดับสูงที่เต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกาลเวลาและห้วงมิติ ที่สำคัญที่สุดคือนางได้รับการปกป้องจากผนึกศักดิ์สิทธิ์ นางไม่ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติใดๆทั้งสิ้น
‘จำนวนนกนางแอ่นมีน้อยเกินไป พวกมันไม่สามารถดูแลทุ่งหญ้าทั้งหมด ข้าควรซื้อเพิ่ม’ จ้าวเหลียนหยุนเชื่อมต่อสวรรค์สีเหลืองและส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนางเข้าไป
ตอนนี้นางตระหนักถึงความสะดวกสบายของสวรรค์สีเหลืองแล้ว
‘วิญญาณความเด็ดเดี่ยว!’ จ้าวเหลียนหยุนค้นพบคนขายวิญญาณความเด็ดเดี่ยวอย่างรวดเร็ว
นางรู้ว่าวิญญาณความเด็ดเดี่ยวมีต้นกำเนิดมาจากฟางหยวน แต่เนื่องจากสินค้ามีไม่มากเท่ากับความต้องการซื้อ ดังนั้นมันจึงถูกนำมาขายต่อเพื่อทำกำไรในสวรรค์สีเหลือง ด้วยเหตุนี้ผู้ขายวิญญาณความเด็ดเดี่ยวจึงไม่จำเป็นต้องเป็นฟางหยวน นอกจากนั้นเจตจำนงและอัตลักษณ์ของผู้อมตะก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สวรรค์สีเหลืองถือเป็นตลาดเสรีที่มีความปลอดภัยสูง กระทั่งวังสวรรค์ก็ทำได้เพียงมองดูฟางหยวนขายวิญญาณความเด็ดเดี่ยวเท่านั้น
‘แม้ข้าจะสามารถขายดอกเนตรกระจ่างและหญ้าบังเอิญหลังจากไม่กี่ปี แต่ข้ายังมีคู่แข่งรายอื่น สินค้าของข้าจะถูกกดราคา มันไม่สามารถเปรียบเทียบกับวิญญาณความเด็ดเดี่ยว’
ฟางหยวนเป็นศัตรูของจ้าวเหลียนหยุน ดังนั้นนางจึงให้ความสนใจกับธุรกรรมวิญญาณความเด็ดเดี่ยว
แต่ยิ่งนางให้ความสนใจมากเท่าใด นางก็ยิ่งตระหนักถึงความแข็งแกร่งของฟางหยวนมากเท่านั้นและมันก็ทำให้นางรู้สึกหดหู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
‘ข้าไม่สามารถไล่ตามฟางหยวน นอกจากนั้นข้ายังถูกทิ้งไว้ไกลมาก บัดซบ!’ จ้าวเหลียนหยุนกัดฟันแน่น
ในเวลานี้ด้วยเหตุผลบางประการ ความโกลาหลครั้งใหญ่เกิดขึ้นด้านหน้าของนาง เจตจำนงของผู้อมตะจำนวนมากที่กระจัดกระจายอยู่ในสวรรค์สีเหลืองเริ่มมารวมตัวกันที่นี่
หัวใจของจ้าวเหลียนหยุนสั่นไหว ‘มันเป็นธุรกรรมขนาดใหญ่งั้นหรือ? หลี่จุนอิงกล่าวว่าธุรกรรมขนาดใหญ่อาจทำให้เกิดความโกลาหล มันหาได้ยากในสวรรค์สีเหลือง ก่อนหน้านี้มันเกิดขึ้นตอนที่บางคนขายอสูรปีจำนวนมาก ข้าไม่คาดหวังว่าข้าจะโชคดีได้พบเหตุการณ์นี้หลังจากกลายเป็นผู้อมตะเพียงไม่นาน’
เป็นธรรมชาติที่จ้าวเหลียนหยุนย่อมไม่ยอมละทิ้งโอกาสที่จะได้เปิดหูเปิดตา นางเร่งเดินทางไปยังต้นกำเนิดของความโกลาหลทันที
ไม่นานนางก็ไปถึงที่เกิดเหตุ
เจตจำนงของผู้อมตะร่างอ้วนนั่งไขว้ขาอยู่กลางอากาศ รอบตัวเขาเต็มไปด้วยวิญญาณปี
วิญญาณปีจำนวนมาก!
‘วิญญาณปี? ดูเหมือนมันจะมีมากกว่าหนึ่งแสนดวง!’ จ้าวเหลียนหยุนตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นวิญญาณปีมากมายถึงเพียงนี้
สิ่งนี้ทำให้เกิดเป็นฉากที่อลังการ
‘หลี่จุนอิงกล่าวถูก วิญญาณระดับมนุษย์จะมีคุณค่าด้วยปริมาณเท่านั้น’ จ้าวเหลียนหยุนถอนหายใจ
“วิญญาณปีเหล่านี้ขายอย่างไร?” ผู้อมตะบางคนสอบถามราคา
ผู้อมตะร่างอ้วนตอบด้วยรอยยิ้มโดยอ้างอิงราคาที่ยุติธรรม
“หากวิญญาณปีเหล่านี้ไม่มีปัญหา ข้าก็ต้องการซื้อพวกมันเช่นกัน”
“นี่คือวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งกาลเวลา พวกมันสามารถใช้งานได้หลากหลายเช่นใช้มันในการหลอมรวมวิญญาณหรืออื่นๆ ราคายุติธรรมดี ข้าควรซื้อมันเก็บไว้เล็กน้อย แม้จะไม่ได้ใช้งาน ข้าก็ยังสามารถนำไปขายต่อและไม่ต้องกังวลว่าจะขายไปออก”
“เขาคือผู้ใด? การขายวิญญาณปีในเวลานี้ถือเป็นการตัดสินใจที่ดีมาก ตามปกติมันยังไม่ถึงเวลาที่ผู้ขายวิญญาณปีรายใหญ่จะนำสินค้าออกมาขาย”
กลุ่มผู้อมตะพูดคุยกัน
เจตจำนงเหล่านี้กล่าวออกมาอย่างเปิดเผย มันทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย
นางตั้งใจฟังและในไม่ช้าก็พบว่าผู้ขายคนนี้อาจเป็นผู้ขายรายใหม่สำหรับสวรรค์สีเหลือง แม้เวลาขายของเขาจะเร็วกว่าฤดูกาล แต่มันยังยากที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะกับผู้ขายเดิม
มันไม่เป็นไรหากเขาจะขายวิญญาณปีเพียงครั้งเดียว แต่หากเขาต้องการทำธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง เขาจะถูกบังคับให้เข้าสู่สงครามราคาและนำไปสู่การนองเลือด
ดวงตาของจ้าวเหลียนหยุนส่องประกายขึ้น
หากเป็นกรณีหลัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือเหตุการณ์ที่นางต้องให้ความสนใจและเรียนรู้จากมัน
‘ข้าต้องขายทรัพยากรของตนเองผ่านสวรรค์สีเหลืองในอนาคต ทรัพยากรของข้าไม่ใช่สินค้าที่ไม่เหมือนผู้ใด ข้าต้องผ่านอุปสรรคนี้เช่นกัน มีธุรกิจผูกขาดอยู่ไม่มาก ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโชคเหมือนฟางหยวน! ข้าต้องเรียนรู้จากธุรกรรมนี้เอาไว้ให้มาก!’
จ้าวเหลียนหยุนเตือนตนเอง
ผู้อมตะจำนวนมากเริ่มซื้อวิญญาณปี
วิญญาณบนเส้นทางแห่งกาลเวลาสามารถใช้งานได้หลากหลาย มันสามารถขายได้เสมอ
ธุรกรรมนี้ทำให้ผู้อมตะหลายคนรู้สึกอิจฉา
‘ด้วยการประมาณแบบคร่าวๆ ผู้ขายรายนี้สามารถทำกำไรได้ออย่างน้อยห้าหมื่นหินวิญญาณอมตะในช่วงเวลาสั้นๆ’ จ้าวเหลียนหยุนลอบตกตะลึงอยู่ภายใน
แต่สิ่งที่น่าตกใจจริงๆกลับเป็นหลังจากนั้น
ผู้ขายรายนี้ยังเติมสินค้าอย่างต่อเนื่อง พวกมันกระทั่งมีมากกว่าก่อนหน้า
“โอ้ สวรรค์ เขามีวิญญาณปีมากเท่าใด?”
“นี่เป็นธุรกรรมครั้งใหญ่อย่างแท้จริง”
“คนผู้นี้มาเพื่อนองเลือด! ผู้ขายวิญญาณปีรายใหญ่คือเซี่ยเปาซู หรงซิน และหวังหมิงเยว่ หากไม่มีการจัดการที่ดี มันจะนำไปสู่สงครามราคา!”
จ้าวเหลียนหยุนขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ขายรายนี้เทขายสินค้าออกมาอย่างหนัก ผู้ขายรายใหญ่ทั้งสามย่อมไม่ยินดีที่จะเห็นสิ่งนี้
สงครามวิญญาณปีกำลังจะเริ่มขึ้น!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น