คัมภีร์วิถีเซียน 1448-1451

ตอนที่ 1448 สายฟ้าฟาดศัตรู

 

เห็นเพียงลำแสงสีมรกตที่อยู่ไกลๆ คือสมบัติทรงกระสวย แค่เปล่งแสงสว่างวาบก็พุ่งออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง หนีมาทางนี้ กลางลำแสงสีเหลืองสามกลุ่มที่อยู่ด้านหลังกลับมีคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่มีอักขระสีทองเปล่งประกายอยู่ด้านใน ใช้ความเร็วที่น่าตกตะลึงไล่ตามกระสวยสีเขียวมรกตมา


 


 


“แย่แล้ว! คนของเผ่าวายุเหลือง พวกเขาต่างแอบจับจ้องเผ่าวิหคสวรรค์เหมือนกับเผ่าแดงสดมาเนิ่นนานแล้ว” ไป๋ปี้มองเห็นคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินในลำแสงสีเหลืองอย่างชัดเจน กลับร้องอุทานด้วยน้ำเสียงแหบแห้งออกมา


 


 


เหลยหลันพลันเผยสีหน้าตกตะลึงเป็นอย่างมากออกมา


 


 


“เผ่าวายุเหลือง?” หานลี่กลับพิจารณาคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินสามคนด้วยท่าทีมีแผนการ


 


 


ปีกที่แผ่นหลังของคนเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั้งสามนี้มีสีออกเหลือง ใบหน้ามีขน ด้านหลังมีหางยาวๆ ปกคลุมไปด้วยเส้นขนงอกออกมา ดูแล้วเหมือนกับปีศาจ!


 


 


คนที่ขับเคลื่อนกระสวยสีเขียวมรกตเห็นได้ชัดว่ามองเห็นหานลี่และพวกทั้งสาม หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าหานลี่และพวกทั้งสาม


 


 


ลำแสงหม่นแสงลง สตรีผู้งดงามมีปีกสีขาวที่แผ่นหลัง บนศีรษะมีเขาเล็กๆ สีเขียวมรกตปรากฎตัวขึ้นกลางสมบัติรูปกระสวย


 


 


“ทั้งสามคือคนของเผ่าวิหคสวรรค์สินะ ข้าน้อยฉินเสี่ยวของเผ่าราตรีเขียว พวกเราต่างเป็นพันธมิตรกัน หวังว่าทั้งสามจะลงมือช่วยเหลือสักหน่อย” เมื่อสตรีผู้นี้ปรากฎตัว ก็เอ่ยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก


 


 


แต่ไม่รอให้หานลี่และพวกตอบอะไร คนของเผ่าวายุเหลืองสามคนก็ไล่ตามมาทัน แต่เมื่อเห็นหานลี่และพวกทั้งสาม ทันใดนั้นก็หยุดลำแสงหลีกหนีลงพร้อมกับหน้าที่เปลี่ยนสีไปยกใหญ่


 


 


“นี่มันเรื่องของเผ่าข้าและเผ่าราตรีเขียว เผ่าวิหคสวรรค์อย่าสอดจะดีกว่า มิเช่นนั้นจะหาเรื่องใส่ตัว” หนึ่งในนั้นเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ เผยเจตนาคุกคามออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


เมื่อสตรีของเผ่าราตรีเขียวได้ยินแล้วก็หน้าซีดขาว ดวงตาคู่งามที่มองไปยังทั้งสามคนล้วนเต็มไปด้วยแววอ้อนวอน


 


 


“เผ่าเรามีสนธิสัญญาว่าจะช่วยเหลือเผ่าราตรีเขียวจริงๆ จึงไม่อาจเพิกเฉยได้ แต่กำลังของเผ่าวายุเหลืองนั้นยิ่งใหญ่ไม่ด้อยไปกว่าเผ่าแดงสด พวกเราเองก็ไม่กล้าหาเรื่อง สามคนที่ยืนตรงหน้านี้เป็นแค่บุตรศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งที่เข้ามาทำการทดสอบของเผ่าวายุเหลืองเท่านั้น” เหลยหลันรู้ว่าหานลี่ไม่รู้เรื่องสนธิสัญญา จึงอธิบายอย่างแผ่วเบาอยู่ด้านข้าง น้ำเสียงเผยความลังเลออกมา


 


 


“งั้นหรือ?” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ พิจารณาสตรีชาวววังแวบหนึ่ง สายตากวาดไปยังเรือนร่างของคนเผ่าวายุเหลืองทั้งสามคน


 


 


ในบรรดาสามคนนั้นคาดไม่ถึงว่าจะเป็นแม่ทัพวิญญาณระดับกลางถึงสองคน คนหนึ่งคือแม่ทัพวิญญาณระดับสูง กำลังใช้สายตาเย่อหยิ่งมองมายังพวกของหานลี่


 


 


หานลี่แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ มุมปากขยับหมายจะเอ่ยอะไรนั้น ฉับพลันนั้นกลางท้องฟ้าไกลออกไปก็มีลำแสงวิญญาณสว่างวาบ วิหคไม้ขนาดยักษ์ยาวสิบจั้งเศษเปล่งแสงสว่างวาบปรากฎขึ้นที่ขอบฟ้า สีทองเรืองรอง พุ่งตรงมาทางนี้


 


 


หานลี่และพวกพลันตกตะลึง ไม่ทันได้รู้ว่าจุดสีดำๆ สองสามจุดที่นั่งอยู่บนวิหคไม้สีขาวนั้นเป็นใคร


 


 


คนของเผ่าวายุเหลืองสามคนเบื้องหน้าเห็นเช่นนั้น กลับเผยสีหน้ายินดีออกมา!


 


 


หลังจากที่พวกเขามองสบตากันแวบหนึ่งอย่างรวดเร็วแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะขยับร่างกายพร้อมกัน ชั่วครู่ก็แยกออกมาล้อมหานลี่และพวกทั้งสามรวมทั้งสตรีเผ่าราตรีเขียวนามว่าฉินเสี่ยวเอาไว้ตรงกลาง การเคลื่อนไหวรวดเร็วดังภูตผี


 


 


“หมายความว่าอย่างไร?” ไป๋ปี้พลันตะลึงงัน ตะโกนด่าด้วยหน้าที่เหยเกไปเล็กน้อย


 


 


“หึๆ หมายความว่าอย่างไร? ยังไม่เข้าใจอีกหรือ เดิมทีก็ว่าจะปล่อยพวกเจ้าไป ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว” ชายร่างใหญ่เผ่าวายุเหลืองหัวเราะอย่างาบ้าคลั่งออกมา


 


 


หานลี่พลันใจเต้น แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ถึงได้มองเห็นคนของเผ่าวายุเหลืองที่เป็นจุดดำๆ อยู่บนหลังวิหคไม้อย่างชัดเจน


 


 


บุรุษสองสตรีหนึ่ง ระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นกลางสองคนขั้นสูงหนึ่งคนเช่นกัน


 


 


เห็นได้ชัดว่าเดิมทีสามคนนี้คิดจะสังหารคนของเผ่าราตรีเขียว แต่เมื่อเห็นว่าทัพเสริมมา ก็มีความคิดอยากจะสังหารหานลี่และพวกทั้งสามคนด้วยอย่างไม่ต้องกังวลใจใดๆ


 


 


หลังจากที่เหลยหลัน ไป๋ปี้รวมทั้งสตรีของเผ่าราตรีเขียวมองเห็นผู้ที่มาเยือนบนหลังของวิหคไม้ชัดเจนแล้ว ก็หน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่


 


 


ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นพวกเจ้าก็ตายไปก่อนเถิด!”


 


 


เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ร่างของหานลี่หายวับไปท่ามกลางลำแสงสีเขียวขาว


 


 


“ระวัง!”


 


 


แน่นอนว่าคนของเผ่าวายุเหลืองที่อยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นสูงย่อมต้องระวังหานลี่ผู้ซึ่งเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดอยู่แล้ว เมื่อเห็นสถานการณ์นี้จึงร้องตะโกนออกมา


 


 


ครู่ต่อมาเหนือหัวของคนผู้นี้ก็มีระลอกคลื่นปรากฎขึ้น ร่างของหานลี่ปรากฎขึ้นนท่ามกลางลำแสงสีเขียว แขนขยับฝ่ามือสีดำราวกับน้ำหมึกข้างหนึ่ง ตบลงไปกลางอากาศ


 


 


ภูเขาขนาดย่อมสีดำสนิทลูกหนึ่งที่มีลำแสงสีเทาห่อหุ้มเอาไว้ปรากฎขึ้น ชั่วพริบตาก็ขยายขนาดขึ้นหลายเท่า กลายเป็นภูเขายักษ์ขนาดสิบจั้งเศษกดลงมา


 


 


เมื่อเห็นหานลี่มาหาตนเอง คนของวายุเหลืองพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างโหดเ**้ยมออกมา อ้าปากไปทางภูเขาขนาดเล็กที่อยู่กลางอากาศโดยไม่ปริปากใดๆ


 


 


เสียง “ฟู่” ดังขึ้น พ่นลำสแงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งออกมา ม้วนไปทางภูเขาขนาดย่อมลูกนั้น ในเวลาเดียวกันลำแสงสีขาวในมือก็สว่างวาบ สมบัติเป็นรูปจานกลมๆ สีเงินขาวพลันปรากฎขึ้น ดูเหมือนว่าหมายจะสำแดงออกมา


 


 


แต่ในตอนนั้นเองหานลี่พลันมีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่าน แค่นเสียงอย่างเย็นชาในจมูก


 


 


เสียงหึนั้นไม่ดังนัก แต่ก็เข้าไปในโสตประสาทหูของคนเผ่าวายุเหลือง กลับมีเสียงราวกับฟ้าผ่าดังขึ้น ทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ร่างกายซวนเซจนเกือบจะโยนสมบัติในมือทิ้ง


 


 


จึงถือโอกาสนี้กวาดไปยังลำแสงสีเทาผืนใหญ่บนภูเขาสีดำ คาดไม่ถึงว่าจะกวาดไปถึงด้านข้างของลำแสงสีเหลืองได้อย่างง่ายดาย ทันใดนั้นก็ร่อนลงมาอย่างดุดัน กดทับร่างของคนเผ่าวายุเหลืองอย่างพอดิบพอดี


 


 


บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวายุเหลืองที่น่าสงสารผู้นี้ยังไม่ทันได้สำแดงความสามารถใดๆ ลำแสงวิญญาณที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่ก็ถูกลำแสงเทวะดูดปราณกวาดไปจนหมด จากนั้นพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งก็มากระทบร่าง ถูกภูเขายักษ์กดแล้วร่วงลงมา


 


 


หานลี่ใช้สองมือร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว


 


 


ภูเขาเทวะดูดปราณขยายใหญ่ขึ้น ชั่วพริบตาก็กลายเป็นยอดเขายักษ์สีดำขนาดสิบจั้งเศษท่ามกลางลำแสงสีเทา


 


 


แม้ว่าคนเผ่าวายุเหลืองผู้นั้นจะอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นปลายเหมือนกับหานลี่ แต่กายเนื้อก็แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้น ท่ามกลางเสียงดังสนั่น พลันตกลงสู่พื้นดินถูกกดจนกลายเป็นซอสเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิมถูกลำแสงเทวะดูดปราณกวาดผ่านไป แล้วแตกสลายออก


 


 


ตั้งแต่ที่หานลี่ใช้เคล็ดวิชาอัสนีหลีกหนีไปจนถึงตอนที่ใช้เข็มสูญจิตและภูเขาเทวะดูดปราณสังหารคนของเผ่าวายุเหลืองระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นสูงนี้ เกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจเท่านั้นฃ


 


 


ไม่ว่าจะเป็นคนของเผ่าวายุเหลืองอีกสองคน หรือว่าไป๋ปี้ เหลยหลันและสตรีเผ่าราตรีเขียวต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง แต่ทันใดนั้นคนของวายุเหลืองอีกสองคนก็ร้องอุทานว่า “แย่แล้ว” ในใจ ทันใดนั้นร่างกยพลันเปล่งอักขระสีทองออก กลายเป็นวิหคประหลาดสีเหลืองสองตัว กลับหลังพุ่งหนีไปทันที


 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันเลิกคิ้ว สะบัดแขนเสื้อ สายฟ้าสีเขียวสายหนึ่งดีดตัวออกมาจากแขนเสื้อ แค่สว่างวาบก็เริ่มบิดเบี้ยว ชั่วพริบตาวิหคประหลาดสีเหลืองตัวหนึ่งก็ปรากฎขึ้น


 


 


ไม่รอให้วิหคตัวนี้คิดจะหนีด้วยความตกตะลึง สายฟ้ากลับมีกรรไกรสีเขียวยาวสองสามฉื่อปรากฎขึ้น


 


 


หลังจากเสียงฟ้าผ่าดัง “เปรี้ยงๆ” ดังขึ้น กรรไกรก็กลายเป็นมังกรวารีอัสนีสีเขียวความยาวสิบจั้งเศษสองตัว ทั้งสองกระโจนไปข้างหน้า หลังจากที่พัวพันเข้าด้วยกันแล้ว ชั่วขณะนั้นวิหคประหลาดสีเหลืองก็กลายเป็นซากศพสองส่วน ร่วงลงมาจากท้องฟ้า


 


 


วิหคประหลาดอีกตัวหนึ่งเห็นเช่นนั้น ก็ตกใจจนขวัญกระเจิง เริ่มเปลี่ยนทิศทาง คิดจะกระโจนไปหาวิหคไม้ขนาดยักษ์ที่่บินเข้ามา


 


 


แต่ปีกของมันเพิ่งจะสะบัด ด้านหลังก็มีเสียงของบุรุษดังขึ้น


 


 


“นายท่านจะไปไหน เพิ่งจะหนีตอนนี้ ไม่คิดว่าสายไปหรือ!”


 


 


ยังไม่ทันเอ่ยจบก็ใช้ปีกวายุอัสนีไล่ตามมาอยู่ด้านข้างวิหคตัวนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และลงมือคว้าจุดสำคัญบนตัวของวิหคประหลาดซึ่งก็คือคนของเผ่าวายุเหลืองแปลงกายเอาไว้


 


 


วิหคตัวนี้มีปฏิภาณไหวพริบว่องไวมาก แต่ปฏิกิริยากลับไม่เชื่องช้านัก สะบัดปีกออก ขนนกขนาดใหญ่กลายเป็นมีดวายุจำนวนนับไม่ถ้วนดาหน้ากันพุ่งเข้ามา ในเวลาเดียวกันขนเล็กๆ ตรงลำคอก็ลุกชัน มันวาวราวกับทองคำอย่างไรอย่างนั้น ชั่วครู่ก็แทงเข้าที่ฝ่ามือของหานลี่ราวกับใบมีดที่แหลมคม


 


 


ไอสีดำสว่างวาบร่างของหานลี่มีเกราะสงครามที่หน้าตาดูเป็นเอกลักษณ์ปรากฎขึ้นชั้นหนึ่ง ใบมีดวายุทั้งหมดที่โจมตีออกมาเปล่งเสียงแหลมๆ ราวกับทองคำกระทบกัน ทยอยกันดีดตัวกลับไป


 


 


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ฝ่ามือที่แข็งแกร่งราวกับเหล็กทมิฬตรงลำคอของวิหคประหลาด ซึ่งถูกขนนกแหลมคมปักเอาไว้ กลับไม่ทิ้งร่องรอยการบาดเจ็บใดๆ ไม่มีผลเลยสักนิด


 


 


หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ไม่รอให้คนของเผ่าวายุเหลืองสำแดงความสามารถอะไรอีก พลันสะบัดแขนนิ้วทั้งห้ามีพลังมหาศาลทะลักออกมา


 


 


เสียง “ก๊อก” ดังขึ้น คอของวิหคประหลาดถูกหักออกเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย ในเวลาเดียวกันเปลวเพลิงลำแสงห้าสีก็ทะลักออกมาจากนิ้วทั้งห้า ห่อหุ้มร่างของวิหคประหลาดตัวนี้เอาไว้ เปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้งแล้วกลายเป็นผุยผง


 


 


จากนั้นร่างของหานลี่ก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เงยหน้าขึ้นมองวิหคไม้ขนาดยักษ์ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก แววตาฉายแววเย็นชา


 


 


แน่นอนว่าคนของวายุเหลืองสามคนที่อยู่บนวิหคไม้ย่อมมองเห็นฉากที่หานลี่สังหารคนของเผ่าเขาสามคนได้อย่างชัดเจน ทุกคนล้วนมีสีหน้าซีดขาวไร้สีโลหิต


 


 


ครั้นเมื่อหานลี่สังหารคนของเผ่าวายุเหลืองคนแรกนั้น ทั้งสามคงก็ยังมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว และพยายามกระตุ้นวิหคไม้ คิดจะสับหานลี่ให้เป็นชิ้นๆ แต่รอจนหานลี่สังหารอีกสองคนอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าภายในอึดใจเดียวกัน บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวายุเหลืองทั้งสามกลับร่างกายแข็งค้าง เมื่อหานลี่กวาดสายตาไปนั้น ทั้งสามก็แทบจะรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นพร้อมกัน!


 


 


“ไป คนผู้นี้มีความสามาถลึกล้ำยากจะคาดเดา พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” สตรีที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดร้องตะโกนออกมาด้วยเสียงต่ำๆ แล้วออกคำสั่งอย่างรีบร้อน


 


 


อีกสองคนพลันพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นทั้งสามคนก็ร่วมมือกันกระตุ้นวิหคไม้ใต้ร่าง ชั่วขณะนั้นก็หันหัวกลายเป็นลำแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งหนีเตลิดไป


 


 


หานลี่มองเห็นฉากนี้พลันขมวดคิ้ว กลับไม่ได้คิดจะไล่ตามไป แต่ปีกที่แผ่นหลังพลันกระพือ คนมาปรากฎตัวที่กลางอากาศอีกด้าน


 


 


สมบัติทรงกลมสีเงินในมือของชาวเผ่าวายุเหลืองที่ตายด้วยน้ำมือของเขาคนแรกกำลังลอยอยู่กลางอากาศ หานลี่พลันสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพลันพุ่งออกไป ม้วนเอาสมบัติชิ้นนั้นเข้ามาอยู่ในแขนเสื้อ


 


 


ครั้นเมื่อเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้ง ร่าของหานลี่ก็มาปรากฎข้างเหลยหลันและพวกอีกครั้ง


 


 


เหลยหลัน ไป๋ปี้รวมทั้งฉินเสี่ยวของเผ่าราตรีเขียวผู้นั้นกลับพากันตาถลน มองไปยังหานลี่ด้วยความตกตะลึงโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ


 


 


ทั้งสามเห็นคนของเผ่าวายุเหลืองจำนวนมากขนาดนี้ หนึ่งในนั้นยังมีแม่ทัพวิญญาณระดับสูงสองคน เดิมทีก็คิดว่าคงหนีหายนะครั้งนี้ได้ยากแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าหานลี่แค่ลงมือก็สังหารศัตรูที่แข็งแกร่งสามคนไปได้ในชั่วพริบตา และทำให้ศัตรูอีกกลุ่มหนึ่งล่าถอยไป


 


 


ส่วนหานลี่นั้นก็อยู่แค่ระดับแม่ทัพวิญญาณเท่านั้น มันน่าจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อยกระมัง!


 


 


“ไปกันเถิด เราไม่ควรอยู่ที่นี่นาน รีบไปกันเถิด!” หานลี่กวาดตามองทั้งสามคนแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ


 


 


“ขอรับ ทุกอย่างว่าตามที่พี่หานกล่าว!” ไป๋ปี้พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง และเป็นฝ่ายได้สติขึ้นมาเป็นคนแรก 

 

 


ตอนที่ 1449 แดนน้ำแข็งทมิฬและเส้นทางห...

 

ไป๋ปี้ไม่มีเจตนาจะขัดขืนคำสั่งของหานลี่อีกแม้แต่น้อย เหลยหลันและหญิงสาวเผ่าราตรีเขียวที่อยู่ด้านข้างก็ตกตะลึงแล้วเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา


 


 


หานลี่กลับมีสีหน้าราบเรียบ หลังจากที่กวักมือเรียกทั้งสามแล้วก็บินไปข้างหน้าโดยไม่ปริปากใดๆ


 


 


คนที่เหลืออีกสมคนก็กลายเป็นลำแสงวิญญาณสามกลุ่มไล่ตามไป


 


 


“สหายฉิน ข้าจำได้ว่าเผ่าราตรีเขียวดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่คนเดียว สหายคนอื่นล่ะ?” ระหว่างทางเหลยหลันพลันเอ่ยถามฉินเสี่ยวด้วยความประหลาดใจ


 


 


“เผ่าของเราส่งบุตรศักดิ์สิทธิ์มาทั้งหมดสามคน แต่หลังจากเข้ามาที่ชั้นสองแล้ว ก็พบกับศัตรูสาขาอื่นๆ สองสามคน คนที่เหลือล้วนเพลี้ยงพล้ำไปแล้ว เดิมทีข้าก็อยากแอบอยู่ที่ทางเข้าชั้นสาม ดูว่าจะโชคดีได้ผลเพลิงยมโลกสักผลหรือไม่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะพบคนของเผ่าวายุเหลืองกลางทาง แล้วถูกไล่สังหารมาที่นี่” หญิงสาวที่มีเขาสีเขียวมรกตบนหัว ตอบกลับด้วยสีหน้าเจ็บปวด


 


 


“อ๋อ คนของเผ่าวายุเหลืองจำนวนมากขนาดนี้ มาไล่ตามสหายเพียงคนเดียว?” เหลยหลันแววตาเปล่งประกายเผยสีหน้ามีเลศนัยออกมา


 


 


“น่าจะเป็นเพราะว่าข้าพกสมบัติของเผ่าสองสามชิ้นมาด้วยกระมัง” หลังจากที่ฉินเสี่ยวลังเลเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยออกมาอย่างระมัดระวัง


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมรับ เหลยหลันก็เลิกคิ้วเรียว แต่ไม่ได้เอ่ยซักถามต่อ


 


 


“สิ่งที่ทำให้คนของเผ่าวายุเหลืองไล่ตามมาอย่างไม่ลดละเช่นนี้ หรือว่าสหายฉินมีหนึ่งในสามสมบัติวิเศษของเผ่า” ไป๋ปี้กลับเอ่ยปากแทรกขึ้น


 


 


“ในตัวน้องหญิงมีกาน้ำชาผสมปราณอยู่จริงๆ” ฉินเสี่ยวหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยออกมาอย่างจนปัญญา


 


 


“กาน้ำชาผสมปราณ ที่ใช้พลังผสมปราณควบคุมสมบัติของศัตรูได้น่ะหรือ” ไป๋ปี้และเหลยหลันพลันหน้าเปลี่ยนสี


 


 


“ใช่แล้วสมบัติชิ้นนี้แหล่ะ หากไม่ใช่เพราะยืมของสิ่งนี้มา แม่ทัพวิญญาณระดับกลางที่ต่ำต้อยคนหนึ่งอย่างช้าจะหนีการไล่ล่าของคนเผ่าวายุเหลืองมาหลายวันได้อย่างไร น่าเสียดายที่ทุกครั้งที่ใช้กาน้ำชานี้จะต้องเสียผลึกศิลาผสมปราณที่หายากหลายก้อน แม้ว่าข้าจะนำผลึกศิลาในเผ่ามาหลายก้อน แต่ก็ใช้ไปจนหมดแล้ว” หญิงสาวถอนหายใจขณะเอ่ย


 


 


เมื่อได้ยินหญิงสาวเอ่ยเช่นนี้ เหลยหลันและไป๋ปี้ก็อดจะมองไปทางหานลี่ที่อยู่ด้านหน้าแวบหนึ่งไม่ได้


 


 


แต่หานลี่ยังคงนำทางอยู่โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา ราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้เลยอย่างไรอย่างนั้น


 


 


เมื่อเห็นว่าหานลี่ไม่มีท่าทางดีใจเลยสักนิด หลังจากที่เหลยหลันและพวกทั้งสองมองสบตากันแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก กลับพูดคุยถึงเรื่องชั้นสามของหุบเหวกลับฉินเสี่ยวอย่างมีมารยาทแทน


 


 


ฉินเสี่ยวเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายลง


 


 


แม้จะกล่าวว่าเผ่าราตรีเขียวและเผ่าวิหคสวรรค์มีสนธิสัญญาต่อกัน แต่นั่นก็เป็นแค่สัญญาปากเปล่าเท่านั้น ไม่มีผลผูกพันอะไรที่จะรับประกับได้ หากอีกฝ่ายทั้งสามคนคิดจะชิงสมบัติ จากความสามารถของหานลี่ที่เพิ่งสำแดงออกมา นางก็ไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด


 


 


ทว่ากลับกันแล้ว จากความมุทะลุและดุร้ายของหานลี่เมื่อครู่ หากจะขอเป็นที่พึ่งและเป็นทัพเสริม ติดตามเขาไปก็เป็นเรื่องที่ปลอดภัยมาก


 


 


โอบกอดความคิดนี้ไว้ ฉินเสี่ยวไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่จะจากไป พลางพูดคุยกับเหลยหลันด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม และพยายามผูกมิตรกับสตรีผู้นี้พร้อมกับสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายทันที ไม่นานทั้งสองก็เรียกกันว่าพี่หญิงและน้องหญิง 


 


 


ไป๋ปี้เห็นเช่นนั้น พลันขมวดคิ้วน้อยๆ


 


 


สองวันต่อมาคนกลุ่มนี้ที่สังหารปีศาจระดับต่ำไปสองสามกลุ่ม ในที่สุดก็บินออกจากเทือกเขา เบื้องหน้ากลับมีแดนน้ำแข็งประหลาดๆ ปรากฎขึ้น


 


 


ลำแสงหลีกหนีของคนกลุ่มอดที่จะลดระดับลงไม่ได้ ทยอยกันพิจารณาทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า


 


 


ธารน้ำแข็งสีดำแวววาวกว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตา วายุเย็นเยียบเป็นระลอกๆ ปกคลุมเอาไว้ เกล็ดหิมะสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมา เสียงกรีดร้องแหลมๆ ดังขึ้นเป็นระยะๆ ราวกับว่าคือเสียงภูตผีกรีดร้องจนส่วนลึกของธารน้ำแข็งที่สะท้อนก้องไปมาอย่างไรอย่างนั้น


 


 


มองออกไปไกลๆ ส่วนลึกของธารน้ำแข็งยิ่งเป็นสีดำสนิท ดูเหมือนว่าจะไม่มีลำแสงเลยสักนิด ราวกับประตูไปสู่ยมโลกก็ไม่ปาน


 


 


“ที่นี่คือแดนน้ำแข็งทมิฬที่มีชื่อเสียงของชั้นสองสินะ ได้ยินว่าที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของปีศาจน้ำแข็งทมิฬระดับต่ำและกลางจำนวนมาก แม้กระทั่งเคยมีคนบังเอิญพบกับราชันย์ปีศาจน้ำแข็งทมิฬที่นี่” หานลี่เอ่ยปากราวกับรำพึงรำพันกับตัวเอง


 


 


“พี่หานพูดถูก ที่นี่คือแดนน้ำแข็งทมิฬ ทว่าปีศาจส่วนใหญ่ในแดนน้ำแข็งทมิฬจะเป็นปีศาจระดับต่ำและกลาง ยังไม่เบิกเนตร ส่วนราชันย์ปีศาจน้ำแข็งทมิฬนั้น มันเป็นแค่ข่าวลือ เหมือนว่าจะมีแค่ไม่กี่คนที่ได้เห็นกับตา” ฉินเสี่ยวเอ่ยต่ออย่างชาญฉลาด


 


 


“ทว่าที่นี่ดูแล้วอันตรายมาก แต่ความจริงแล้วคนโง่เขลาก็ยังรู้ว่าจากความสามารถของพวกเรานั้น ก็สามารถผ่านที่นี่ไปได้อย่างไม่มีปัญหา” ไป็ปี้กลับฉีกยิ้มออกมาฃ


 


 


“ตามหลักการแล้วที่นี่ก็ดูไม่มีอันตรายอะไรจริงๆ แต่การระเบิดของปีศาจในหุบเหวครั้งนี้ใกล้เข้ามาแล้ว ควรระวังสักหน่อยจะดีกว่า เอาล่ะ พวกเราเข้าไปกันเถิด!” หานลี่พยักหน้าออกคำสั่งสองสามประโยค แล้วถึงสยายปีกที่แผ่นหลังออก เพิ่มความเร็วขึ้นสองสามเท่า หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง ก็ทะลวงผ่านหิมะน้ำแข็งสีดำที่อยู่ใกล้ๆ ไป


 


 


เหลยหลันและพวกทั้งสามคนมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วทยอยกันจมหายเข้าไปข้างใน


 


 


มองออกไปไกลๆ ในตอนแรกนั้น ไกลออกไปต่างมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ และมีลำแสงหลีกหนีลางๆ สองสามจุดปรากฎอยู่


 


 


แต่เมื่อวายุทมิฬที่รุนแรงพัดหิมะสีดำจำนวนวมากเข้ามาแล้ว คนกลุ่มนั้นก็หายวับไปท่ามกลางความมืดมิด


 


 


……


 


 


เสียง “ปัง” ดังขึ้น ปีศาจที่เหมือนกับแรดสูงสิบจั้งเศษตัวหนึ่งก็ล้มตึงลงกับพื้น


 


 


ร่างกายอันใหญ่โตของมันทำให้พื้นดินรอบๆ สั่นคลอน


 


 


ลำแสงสีแดงเปล่งแสงเจิดจ้า เส้นไหมสีแดงจำนวนยี่สิบสามสิบเส้นพุ่งออกมาจากร่างสีดำของแรด หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็ทยอยกันจมหายเข้าไปในเงาร่างที่มีลำแสงสีแดงปกคลุมอยู่


 


 


“ศิษย์พี่จู้ เส้นไหมผลึกเพลิงของเจ้าบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ผิวของแรดทมิฬระดับกล่างแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าปีศาจระดับสูง ศิษย์พี่ยังสามารถสังหารมันได้อย่างง่ายดาย ข้าว่าแม้ว่าจะเป็นเฟ่ยเยี่ยของเผ่าหนานหล่ง ก็ไม่วิธีเช่นนี้” เงาร่างคนติดปีกที่ถูกลำแสงสีแดงห่อหุ้มอยู่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยขึ้น ผู้ที่อยู่กับเขาคนอื่นๆ ก็ยังเอ่ยชื่นชมเช่นกัน


 


 


คนที่ลงมือคือจู้อินจื่อของเผ่าแดงสด! คนที่เหลือก็เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ของเผ่าเดียวกัน


 


 


จุดที่พวกเขาอยู่กลับเป็นที่ราบลุ่มรูปวงแหวนขนาดสองสามพันลี้ รอบด้านล้วนเป็นป่ารกทึบสีดำเขียว ตรงกลางเป็นที่โล่งกว้างร้อยกิโล บนพื้นมีไข่สีเทาๆ ขนาดเท่าศีรษะกองอยู่เต็มไปหมด


 


 


และตรงใจกลางของกองหินเหล่านั้น กลับมีถ้ำสีดำขนาดร้อยจั้งเศษอยู่แห่งหนึ่ง ทอดตัวลงไปใต้ดิน


 


 


คนของเผ่าแดงสดและพวกรักษาการณ์อยู่ที่ทางเข้าของถ้ำ เห็นได้ชัดว่าปีศาจแรดทมิฬตัวนั้นสิ่วอยู่ในป่าบริเวณใกล้ๆ แต่กลับถูกจู้อินจื่อไล่ตามไปสังหาร


 


 


“หึ พวกเจ้าฟังให้ดี พวกเรารักษาการณ์อยู่ที่ทางเข้ามาสามสี่วันแล้ว นอกจากสังหารเผ่าเล็กๆ ทั้งหมดแล้ว คนของเผ่าวิหคสวรรค์ก็ไม่ได้มาที่นี่ ดูแล้วพวกเขาคงไปตามเส้นทางที่เหลืออีกสองสาย หรือไม่ก็วนเวียนอยู่ในชั้นสอง ส่วนเผ่าอื่นๆ เดาว่าคนมีคนเข้าไปในชั้นสามแล้ว คนของเผ่าวิหคสวรรค์จะต้องสังหารทิ้งซะ แต่ผลเปลวยมโลกเองก็ไม่อาจปล่อยวางได้ เช่นนี้ดีกว่า สือเทียน หงซาพวกเจ้าสองคนตามข้าไปที่ชั้นสาม ส่วนคนที่เหลือก็เฝ้าอยู่ที่นี่ต่อไป ผลเพลิงยมโลกของพวกเจ้า ข้าจะช่วยพวกเจ้าตามหาเอง” จู้อินจื่อกลับขบคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา


 


 


“ศิษย์พี่จู้ เจ้าผู้แซ่หานของเผ่าวิหคสวรรค์ดูเหมือนว่าจะมีพลังยุทธ์ไม่อ่อนแอ หากเหลือศิษย์พี่แค่ไม่กี่คนล่ะก็ จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่” สือเทียนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนกลอกตาไปมาแล้วเผยสีหน้ากังวลใจออกมาขณะเอ่ย


 


 


“หึๆ จุดนี้วางใจได้ ศิษย์น้องโหยวพลังยุทธ์ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเท่าใดนัก และข้าจะทิ้งสมบัติระฆังตกวิญญาณของเผ่าเอาไว้ หากกระตุ้นระฆังนี้ทั้งไม่มีเสียงและไม่มีรูปร่าง ไม่อาจป้องกันได้ ต่อให้เป็นระดับผู้บัญชาการวิญญาณ หากไม่ระวังตัวก็มีแต่ต้องตายเพียงเท่านั้น หากศิษย์น้องโหยวหมอบซุ่มอยู่ล่ะก็ ต้องไม่เป็นไรแน่” จู้อินจื่อดูเหมือนว่าจะขบคิดเรื่องนี้มานานแล้ว จึงเอ่ยอย่างไม่ต้องคิด


 


 


จากนั้นพลันอ้าปากออก พ่นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมา มันห่อหุ้มระฆังเล็กๆ ความสูงสองสามชุ่นเอาไว้ ดูเก่าแก่และงดงาม


 


 


มือหนึ่งชี้ออกไป ระฆังน้อยเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป แต่ครู่ต่อมาระฆังก็เปล่งเสียงร้องต่ำๆ ปรากฎขึ้นเหนือศีรษะของชายร่างใหญ่แห่งเผ่าแดงสด แล้วร่อนลงอย่างช้าๆ


 


 


“ขอบพระคุณศิษย์พี่ที่ประทานสมบัติให้ ผู้แซ่โหยวจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่!” ชายร่างใหญ่แซ่โหยวชูมือขึ้นไปรับระฆังใบน้อบเอาไว้ พลางเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึมใบหน้าไร้ความรู้สึก น้ำเสียงแหลมปี๊ดราวกับทองคำเสียดสีกันอย่างไรอย่างนั้น


 


 


แม้ว่าชายร่างใหญ่แซ๋โหยวจะพูดไม่มากนัก แต่จู้อินจื่อกลับดูเหมือนว่าจะเชื่อมั่นในตัวเขาเป็นอย่างมาก หลังจากพยักหน้าก็กวักมือพาสือเทียนและหงซากลายเป็นลำแสงสีแดงสามสาย บินเข้าไปในถ้ำ


 


 


“ฟังให้ดี! ตั้งแต่นี้ไปทุกคนต้องอำพรางกาย อย่าเผยร่องรอยในบริเวรนี้ ข้าจะวางเขตอาคมอำพรางปราณไว้ในทางเข้า หากเป้าหมายมาถึงที่นี่จริงๆ ข้าจะใช้ระฆังตกวิญญาณลอบโจมตี พวกเจ้าค่อยปรากฎตัวก็ไม่สาย” ชายร่างใหญ่กลับออกคำสั่งทันทีอย่างไม่เกรงใจหลังจากที่จู้อินจื่อจากไป


 


 


ชายร่างใหญ่แซ่โหยวดูเหมือนว่าจะอำนาจไม่น้อยในบรรดาบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแดงสด คนที่เหลือต่างก็ไม่ได้มีข้อคิดเห็นอะไร ทันใดนั้นก็พากันร่ายอาคม อัญเชิญสมบัติต่างๆ ออกมา


 


 


ชั่วพริบตาคนที่เหลือก็ทยอยกันอำพรางกายหายไปจากกลางอากาศ


 


 


ส่วนชายร่างใหญ่แซ่โหยวพลันเคลื่อนไหว บินเข้าไปในความมืดมิดของถ้ำ


 


 


ครานี้รอบๆ ถ้ำยักษ์พลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด


 


 


……


 


 


ชั้นสองในป่าลึกอีกแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้ยักษ์สีดำเขียว มองออกไปร้อยลี้ เสายักษ์สีดำเหลืองต้นหนึ่งกำลังตระหง่านอยู่บนเนินเขาสูงเสียดฟ้า


 


 


มองไปใกล้กันนั้นจะพบสิ่งที่เรียกว่า “เสายักษ์” นั้นคิดพืชขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางสองสามลี้ ราวกับใช้เถาวัลย์หนาๆ จำนวนนับไม่ถ้วนมาขดรัดเอาไว้ จากนั้นก็พุ่งสูงขึ้นไปกลางอากาศ


 


 


ในรัศมียี่สิบสามสิบลี้ที่พืชตั้งตระหง่านอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีต้นไม้ใบหญ้าสักต้น ราวกับทะเลทรายอย่างไรอย่างนั้น


 


 


แต่ครานี้ตรงส่วนรากของพืชกลับมีเสียงระเบิดตูมๆ ดังขึ้น ในเวลาเดียวกันพลันมีลำแสงหลากสีสันเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะมีคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินถูกผีเสื้อสีเหลืองทองนับพันหมื่นตัวกักเอาไว้กลางอากาศต่ำๆ


 


 


คนสองกลุ่มนี้กลุ่มหนึ่งมีประมาณสิบกว่าคน มีทั้งบุรุษและสตรี แต่ทุกคนล้วนมีรอยสักสีดำบนใบหน้า อีกกลุ่มหนึ่งกลับมีแค่สี่คน แต่ทุกคนล้วนเป็นบุรุษร่างกายสูงใหญ่เป็นพิเศษ ที่แผ่นหลังสะพายดาบอันใหญ่ยักษ์อยู่


 


 


ผีเสื้อที่บินล้อมพวกเขาล้วนเปล่งแสงสีทองเรืองๆ ขนาดเท่ากำปั้น พวกมันเองก็ไม่ยอมเข้าใกล้คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านั้น แค่กระพือปีกทั้งสองอยู่ไกลๆ ผงผีเสื้อหลากสีสันร่วงลงมาเต็มท้องฟ้า ทำให้คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านี้ถูกห้อมล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา


 


 


ผงผีเสื้อเหลานี้ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อคนสองกลุ่มถูกล้อมเอาไว้ข้างในต่างก็ไม่กล้าให้ผงเหล่านั้นอาบย้อมร่างกายแม้เพียงนิด ทยอยกันสำแดงเคล็ดวิชาลับต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง สมบัติสองสามชิ้นกลายเป็นลำแสงต่างๆ ปกป้องพวกเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา 

 

 


ตอนที่ 1450 อสูรน้อยและน้ำแข็งทมิฬ

 

ในบรรดาคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านี้กลับมีสองคนที่ยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้มีเจตนาจะลงมือ


 


 


หนึ่งในนั้นคือผู้ที่มีร่างกายผอมเตี้ย นั่นก็คือเอ๋าชิงแห่งเผ่าชีเย่ว์


 


 


อีกคนหนึ่งกลับเป็นบุรุษสูงใหญ่มีดวงตาสี่ดวง ทั้งสองคนหนึ่งมีสีหน้าราบเรียบ คนหนึ่งกำลังขมวดคิ้วมุ่น


 


 


“สหายเอ๋า ก่อนหน้านี้ทางหมื่นเถาวัลย์ไม่เคยมีปีศาจแมลงอย่างผีเสื้อยมโลกทองมาก่อน แมลงนี้น่าจะอยู่ในชั้นสี่ถึงจะถูก ดูแล้วคงเกิดอะไรขึ้นสักอย่างในหุบเหว มิเช่นนั้นปีศาจชั้นลึกๆ เหล่านี้คงไม่มาปรากฎตัวที่นี่” เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ ถูกผงผีเสื้อหลากสีสันล้อมเอาไว้ การโจมตีของพวกเขากลับไม่อาจทำอะไรผงผีเสื้อประหลาดเหล่านี้ได้ ชายร่างกายสูงใหญ่ก็เอ่ยปากขึ้นอย่างแช่มช้า


 


 


“เรื่องนี้เจ้าไม่พูดข้าก็รู้ ในเมื่อพบปีศาจระดับกลางที่ชั้นหนึ่งได้ พบผีเสื้อยมโลกทองที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของพวกเรา แน่นอนว่าต้องให้อาวุโสในเผ่าเป็นผู้รับผิดชอบ แต่หลังจากมาถึงชั้นสามแล้ว เจ้าก็เอาแต่อยู่หลังข้า แล้วอย่ามาโทษว่าข้าลงมือก่อนล่ะ” เอ๋าชิงตอบกลับอย่างเยือกเย็น


 


 


“แม่หญิงเอ๋าเหตุใดถึงต้องไร้น้ำใจถึงเพียงนี้! ผู้แซ่เฟ่ยมีใจต่อสหาย ข้าน้อยไปสู่ขอที่เผ่าเจ้ามาสามครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งล้วนถูกแม่หญิงปฏิเสธ ผู้แซ่เฟ่ยไม่เข้าใจเลย แต่ไหนแต่ไรมาเผ่าของเจ้าล้วนรักษาความแข็งแกร่งเอาไว้ สหายเอ๋าเองก็ปล่อยข่าวลือออกไปว่าจะแต่งกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุด หรือว่าผู้แซ่เฟ่ยไม่เหมาะกับเงื่อนไขนี้?” ดวงตาทั้งสี่ของบุรุษร่างกายสูงใหญ่มีลำแสงประหลาดไหลเวียนอยู่ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


 


 


คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับจู้อินจื่อ และเอ๋าชิงอย่างเฟ่ยเยี่ยแห่งเผ่าหนานหล่ง!


 


 


“ใช่ บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าชีเย่ว์ของพวกเรา ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนต้องแต่งกับคนรุ่นเดียวกันที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดของสาขาอื่น แต่ฝีมือของเจ้ามีแค่ไหน คนอื่นไม่รู้ แต่ข้าจะไม่รู้หรือ? กำลังแค่นี้ ข้ายังไม่สนใจ เจ้าก็ถือโอกาสนี้ล้มเลิกความคิดไปเสียเถิด!” เอ๋าชิงเผยสีหน้ายิ้มเยาะออกมา


 


 


“ข้ารู้ว่าสหายเอ๋ามีความสามารถเกรียงไกร ผู้แซ่เฟ่ยรู้ว่าเทียบเทียมมิได้ แต่ในบรรดาบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าต่างๆ นอกจากผู้แซ่เฟ่ยแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่เหมาะที่จะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของสหาย หากข้าน้อยยังไม่มีโอกาสล่ะก็ คนอื่นๆ ก็คงไม่อยู่ในสายตาของสหายเช่นกัน อีกอย่างหรือว่าสหายสนใจเจ้าจู้ของเผ่าแดงสด หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ข้าก็จะไปตามหาเขา แล้วสังหารเขาซะ” เฟ่ยเยี่ยถลึงตาใส่เอ๋าชิงขณะเอ่ย


 


 


“จู้อินจื่อ? หึ เขาน่ะหรือ! แม้แต่เจ้าข้ายังไม่พอใจเลย แล้วจะไปสนใจเขาได้อย่างไร ทว่าตอนที่รวมตัวกันนั้น ข้าพบคนที่น่าสนใจอยู่คนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ทันได้ตรวจสอบฝีมือด้วยตนเอง แต่ความรู้สึกของเขาที่ส่งมายังข้านั้น น่าจะมีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าเจ้า” เอ๋าชิงพลันหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา


 


 


“บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าใด บอกข้ามา! ข้าจะไปกำจัดคนผู้นั้น หากความสามารถแข็งแกร่งกว่าข้านั้นก็ช่างเถิด ข้าจะไม่มาวุ่นวายกับเจ้าอีก ถ้าหากสู้ข้าไม่ได้ หึๆ…” เฟ่ยเยี่ยได้ยินชั่วพริบตานั้นสีหน้าก็ดำคล้ำขึ้น


 


 


ภายใต้การติดตามของคนเผ่าตนเองทั้งบุรุษและสตรีแล้ว ทั้งสองก็สนทนากันราวกับรอบข้างไม่มีผู้คน ไม่สนใจการโจมตีจากผีเสื้อทองรอบๆ เลยสักนิด


 


 


และในครานี้ภายใต้การถูกกดดันจากผงผีเสื้อรอบๆ คนอื่นๆ ในเผ่าล้วนสำแดงความสามารถปกป้องออกมาเป็นวงๆ และกำลังแตกเป็นชุ่นๆ เข้ามาข้างในไม่หยุด ดูแล้วไม่อาจยืนหยัดได้นานนัก


 


 


“เจ้ายอมทดสอบความสามารถของคนผู้นี้ก็ดี คนผู้นี้คือบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ ดูเหมือนว่าจะแซ่หาน หน้าตาไม่คุ้นเคย ส่วนเรื่องอื่นข้ากลับไม่ได้ถามอย่างละเอียดนัก” เอ๋าชิงหน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าจะพยักหน้าเห็นด้วย


 


 


“บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ บุตรชองสาขาที่อ่อนแอเช่นนั้น จะมีผู้ที่แข็งแกร่งอะไรได้” เฟ่ยเยี่ยรู้สึกตะลึงงันไปเล็กน้อย


 


 


“เรื่องนี้มันพูดยาก! เผ่าวิหคสวรรค์นั้นอ่อนแอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นยอดอัจฉริยะ อย่าลืมล่ะข้าฝึกฝน ‘คาถาทะลวงเจ็ดทวาร’ ที่ลึกลับที่สุดของเผ่าข้า ในด้านประสาทสัมผัสนั้น ย่อมไม่มีเคล็ดวิชาไหนในทั้งเจ็ดสิบสองสาขาเทียบเทียมได้ แม้ว่าข้าจะมองคนผู้นั้นจากไกลๆ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าลึกลับยากจะคาดเดา หากเจ้าอยากไปประมือกับคนผู้นั้น ก็อย่าเอาชีวิตน้อยๆ ของตนเองไปทิ้งเข้าล่ะ” เอ๋าชิงเอ่ยอย่างเย็นชา


 


 


“เจ้าพูดเช่นนี้ย่อมได้! แต่หากเจ้ามองผิดไป หลังจากการทดสอบจบลง ข้าจะมาสู่ขอเจ้ากับเผ่าชีเย่ว์อีกครั้ง หากจำไม่ผิดล่ะก็ พิธีเปลี่ยนสภาพของเจ้าน่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีสินะ ครั้งนี้เจ้าน่าจะไม่มีโอกาสปฏิเสธข้าได้อีกแล้ว” เฟ่ยเยี่ยเอ่ยด้วยเจตนาบีบบังคับส่วนหนึ่ง


 


 


“หึ เจ้าช่างรู้ดีไม่น้อย ใช่แล้ว พิธีการบรรลุนิติภาวะของข้าจะเกิดขึ้นในอีกสามปีให้หลัง ไม่อาจยืดเวลาออกไปได้อีก หากคนผู้นั้นสู้เจ้าไม่ได้ ทั้งเผ่าวิญญาณเหาะเหินก็น่าจะไม่มีผู้ใดในรุ่นเดียวกันแข็งแกร่งกว่าเจ้าอีก หลังจากกลับไป ข้าจะยอมแต่งงานกับเจ้า” เอ๋าชิงยืดคอขึ้น พลางเอ่ยอย่างทระนงตน


 


 


“ฮ่าๆ ตกลงตามนี้ หากพบเจ้าผู้แซ่หานที่ชั้นสามได้ก็จะดีมาก หากไม่ได้ก็รอกลับไปค่อยท้าประลองกับเขา คนผู้นี้ทำให้เจ้าสนใจได้ คงไม่แม้แต่ผ่านการทดสอบไม่ได้กระมัง” เฟ่ยเยี่ยหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา สองตาเผยจิตสังหารออกมา


 


 


“แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน แมลงปีศาจเหล่านี้ช่างรกหูรกตานัก เจ้าจะลงมือ หรือให้ข้าลงมือ” เอ๋าชิงกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ


 


 


“หึๆ เรื่องกล้วยๆ แค่นี้มอบให้ผู้แซ่เฟ่ยเถิด” ชายร่างใหญ่ฉีกยิ้ม ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันตบไปที่ส่วนหลังของกระบี่ ชั่วขณะนั้นหลังจากกระบี่เปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ กลายเป็นลำแสงสีทองหนาๆ สายหนึ่ง หมุนวนอยู่กลางอากาศ


 


 


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเฟ่ยเยี่ยพลันกระโจนพุ่งไปข้างหน้ากลายเป็นวิหคประหลาดหัวเป็นมังกรวารีหางเป็นปลาวาฬ หลังจากนั้นพลันสยายปีกทั้งสองออกพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง เงาร่างวิหคยักษ์ก็จมหายเข้าไปในกระบี่ที่กลายเป็นลำแสงสีทอง แล้วผสานตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน


 


 


เมื่อเห็นว่ามีคนกระโจนออกมาจากเขตป้องกัน ผีเสื้อทองรอบด้านก็เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ขึ้น ชั่วขณะนั้นผีเสื้อฝูงใหญ่พลันกระโจนเข้ามา


 


 


พวกมันไม่ทันได้เข้าใกล้ก็มีผงจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักไปหาลำแสงสีทอง


 


 


เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ดังขึ้น ทันใดนั้นลำแสงสีทองก็ขยายตัวขึ้นหลายเท่า ลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาราวกับห่าฝน ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มฝูงผีเสื้อด้านล่างเอาไว้


 


 


ผงหนาๆ ที่เดิมทีเรียงกันเป็นชั้นๆ สัมผัสกับลำแสงสีทองเหล่านั้นก็มีกลิ่นไหม้ลอยออกมา ทยอยกันถูกทะลวงผ่าน


 


 


เช่นนั้นผีเสื้อทองฝูงใหญ่ที่หลบอยู่ใต้ผงผีเสื้อ ก็ร่วงลงสู่พื้นหลังจากที่ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ


 


 


ชั่วพริบตาก็ถูกสังหารไปกว่าครึ่ง


 


 


ผีเสื้อยักษ์ในบรรดาผีเสื้อยมโลกทองเห็นเช่นนั้น ก็ร้องอุทานด้วยเสียงประหลาดๆ ออกมา ทันใดนั้นผีเสื้อทองที่เหลือก็สลายตัวออกแล้วบินหนีไปรอบทิศทาง


 


 


เอ๋าชิงที่อยู่ท่ามกลางผู้คนเห็นเช่นนั้นพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม ปากพลันบริกรรมคาถา ที่แผ่นหลังมีเงาลวงตายักษ์สีดำปรากฎขึ้น


 


 


เงาลวงตานี้ดูลางเลือนมาก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นรูปศีรษะประหลาดๆ เจ็ดศีรษะ บ้างก็มีหัวคล้ายวานร บ้างก็คล้ายมิคาทน…


 


 


ทุกตัวล้วนมีหน้าตาโหดเ**้ยม!


 


 


ภายใต้การกระตุ้นด้วยคาถาอาคมของเอ๋าชิง ดวงตาทั้งหมดของหัวเหล่านั้นพลันเบิกขึ้น เผยดวงตาสีแดงสดออกมาพร้อมกัน จากนั้นพลันอ้าปากออก


 


 


ลำแสงสีเขียวเจ็ดกลุ่มทะลักออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วไปอยู่ในจุดที่ไกลออกไป ม้วนตัวไปรอบทิศทาง


 


 


ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น


 


 


ทุกแห่งที่ลำแสงสีเขียวเจ็ดกลุ่มกวาดไปนั้น ผีเสื้อทองทั้งหมดพลันหมุนวนถูกม้วนเข้าไปข้างใน ทันใดนั้นก็ระเบิดตัวเองออกท่ามกลางลำแสงสีเขียว กลายเป็นวารีสีโลหิต


 


 


ผีเสื้อที่หนีเตลิดไปทั่วทุกสารทิศ สุดท้ายแล้วก็หนีไปได้แค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น


 


 


ครานี้ลำแสงสีทองกลางอากาศพลันหม่นแสงลง เฟ่ยเยี่ยที่สะพายกระบี่ยักษ์ไว้ที่หลังพลันปรากฎกายขึ้น


 


 


เขามองไปยังเงาลวงตาเจ็ดหัวที่อยู่ที่แผ่นหลังของเอ๋าชิง ใบหน้าเผยสีหน้าหลงใหลได้ปลื้มออกมา


 


 


……


 


 


เงาสีดำเล็กๆ สายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ปีศาจสีดำแวววาวสองสามตัวถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ในพริบตาด้วยน้ำมือของกรงเล็บสีขาว ไอสีดำเป็นกลุ่มๆ พลันปรากฎขึ้น ตรงนั้น


 


 


เงาลวงตาเล็กๆ นั้นมีไอสีดำล้อมรอบอยู่ ดูดพวกมันเข้าไปจนเกลี้ยง ทันใดนั้นก็หมุนวนกลางอากาศ เงาลวงตาบินกลับมาที่หัวไหล่ของหานลี่ เผยร่างอสูรน้อยขนาดเท่าลูกแมวออกมา


 


 


นั่นก็คืออสูรเกล็ดมิคาทนที่ถูกหานลี่กำราบเอาไว้


 


 


“จุ๊ๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอสูรวิญญาณตัวนี้ของพี่หานจะมีประโยชน์ต่อน้ำแข็งทมิฬถึงเพียงนี้ พวกเราไม่ทันได้สัมผัสถึงการมีอยู่ของพวกมัน มันก็ปรากฎตัวขึ้นก่อนแล้ว ไม่ทราบว่าอสูรวิญญาณชนิดนี้มีนามว่าอันใดหรือ น้องหญิงเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ” หญิงงามคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยชื่นชม นั่นก็คือฉินเสี่ยวของเผ่าราตรีเขียว


 


 


เหลยหลันและไป๋ปี้มองไปยังอสูรเกล็ดมิคาทน แววตาเผยแววตกตะลึงออกมา


 


 


“ชื่ออะไรข้าก็ไม่แน่ใจนัก แค่บังเอิญปราบมันได้ข้างนอก ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่ามันจะชอบดูดซับไอน้ำแข็งทมิฬเหล่านี้” หานลี่ใช้มือหนึ่งลูบไปที่ศีรษะที่มีขนปกคลุมของอสูรน้อย แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ


 


 


พอเข้ามาในแดนน้ำแข็งทมิฬได้ไม่นาน อสูรน้อยที่แต่เดิมกำลังหลับอุตุอยู่กับอสูรวิญญาณครวญในกำไลเก็บของของหานลี่ก็ตื่นขึ้นมา และใช้จิตสัมผัสเชื่อมโยงกับหานลี่พร้อมบอกว่าอยากออกมาอย่างร้อนรน


 


 


แน่นอนว่าหานลี่พลันรู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าถึงแม้อสูรตนนี้จะยังเล็กนัก แต่ก็มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ จึงไม่กล้ามองข้ามมัน และในบริเวณนี้ก็ไม่มีศัตรูที่แข็งแกร่งอะไร จึงปล่อยอสูรตัวนี้ออกมาจากกำไลเก็บของ


 


 


ผลคือเมื่ออสูรเกล็ดมิคาทนปรากฎขึ้นได้ไม่นาน ก็ทำให้หานลี่และพวกตกตะลึง


 


 


เมื่ออสูรตัวนี้ปรากฎขึ้นที่แดนน้ำแข็งทมิฬ ไม่เพียงจะมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีประสาทสัมผัสไวต่ออสูรที่ถูกแช่แข็งอยู่ในน้ำแข็งทมิฬเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งตอนที่หานลี่ยังไม่ทันสัมผัสได้ว่ามีปีศาจถูกแช่แข็งอยู่ในสายธารจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน มันก็พุ่งออกไป กรงเล็บทั้งสองเริงระบำอย่างรวดเร็วฉีกน้ำแข็งทมิฬออกเป็นชิ้นๆ แล้วกลืนปีศาจน้ำแข็งทมิฬเหล่านั้นเข้าไปในท้องภายในคำเดียว แล้วเผยท่าทางมีความสุดเป็นอย่างยิ่งออกมา


 


 


แม้ว่าปีศาจน้ำแข็งทมิฬเหล่านี้จะไม่ได้ดูน่ากลัวสำหรับพวกของหานลี่ แต่พวกมันก็เชี่ยวชาญในการอำพรางตัว หากอยู่ๆ ก็กระโจนออกมาโจมตีจากใต้ดินโดยไม่ทันระวังล่ะก็ จะยุ่งยากใหญ่


 


 


เมื่ออสูรเกล็ดมิคาทนนี้พบพวกที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำแข็งทมิฬ ก็จะแค่บินผ่านไป ร้องคำรามประหลาดๆ ใส่น้ำแข็ง ปีศาจเหล่านั้นก็ดูเหมือนถูกทำให้ตกใจ แล้วหนีออกจากใต้น้ำแข็งอย่างทุลักทุเล


 


 


เช่นนั้นแน่นอนว่าจึงกลายเป็นอาหารในปากของอสูรน้อย


 


 


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่แค่หานลี่ที่รู้สึกตกตะลึง พวกของเหลยหลันก็ยิ่งรู้สึกสนใจอสูรน้อยตัวนี้ยิ่งกว่าเดิม


 


 


การเดินทางของพวกเขานั้นคาดไม่ถึงว่าอสูรเกล็ดมิคาทนจะกลืนปีศาจน้ำแข็งทมิฬไปเกือบพันตัว ขนสีเหลืองที่มีลวดลายแตะแต้มอยู่ของอสูรน้อยค่อยๆ มีลำแสงสีขาวปรากฎขึ้นชั้นหนึ่ง


 


 


ด้วยเหตุนี้ท่าทางอสูรน้อยจะมีพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นแล้ว!


 


 


หานลี่ปล่อยให้อสูรตัวนี้เคลื่อนไหวอย่างอิสระไปพลาง อดที่จะลูบใต้คางขบคิดไปพลางไม่ได้ 

 

 


ตอนที่ 1451 ราชันย์ปีศาจน้ำแข็งทมิฬ

 

ความจริงแล้วเป็นเพราะอสูรเกล็ดมิคาทนตัวนี้มีพลังยุทธ์เทียบเท่าแค่กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ดังนั้นหลังจากถูกกำราบแล้ว ก็ไม่ค่อยได้ปล่อยออกมาจัดการกับศัตรู ทว่าหลังจากที่อสูรตัวนี้ติดตามหานลี่มาแล้วก็ได้กินยาลูกกลอนล้ำค่าอย่างต่อเนื่อง ช่วงที่ผ่านมาพลังยุทธ์จึงเพิ่มขึ้นไม่น้อย จนอยู่ในระดับยอดสุดของอสูรปีศาจระดับสิบแล้ว หากเพิ่มขึ้นอีกขั้นก็จะทะลุจุดคอขวดกลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพแปลงแล้ว


 


 


ตามหลักการแล้วส่วนใหญ่อสูรที่อยู่ในระดับอสูรปีศาจระดับแปดจะต้องผ่านเคราะห์อัสนี และกลายร่างเป็นมนุษย์พร้อมกับเบิกเนตร


 


 


แต่อสูรวิญญาณแปลงกายเหล่านี้และอสูรที่มีชีพจรโลหิตพิเศษกลับเป็นข้อยกเว้น พวกมันบ้างก็เอาการแปลงกายไปไว้ในความสามารถเกือบท้ายๆ บ้างก็ไม่อาจแปลงกายได้ตลอดชีวิต แต่ตรงกันข้ามนั้นเมื่ออสูรเหล่านี้พัฒนาระดับขั้น สติปัญญาและความสามารถจะเหนือกว่าอสูรในระดับเดียวกัน แม้รกะทั่งอาจจะสังหารศัตรูที่อยู่คนละระดับได้


 


 


อสูรเกล็ดมิคาทนนั้นแต่เดิมก็เป็นอสูรวิเศษที่ได้รับถ่ายทอดเชื้อสายชีพจรโลหิตมาจากกิเลน ภายใต้ความประจวบเหมาะนั้น หลังจากผ่านการกลายพันธุ์ครั้งหนึ่ง วันข้างหน้าจะมีโอกาสแปลงกายได้หรือไม่ ก็มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้


 


 


ทว่าตอนนี้ดูแล้วไอน้ำแข็งทมิฬจากร่างของปีศาจน้ำแข็งทมิฬเหล่านี้คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อสูรตัวนี้ทะลวงจุดคอขวดได้


 


 


หานลี่ไม่ต้องขบคิดอะไรมาก ก็เข้าใจว่าอสูรตัวนี้เผชิญหน้ากับอะไรอยู่อย่างรวดเร็ว จึงอดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ในใจไม่ได้


 


 


หากอสูรตัวนี้ทลายจุดคอขวดในเวลาอื่น แน่นอนว่าก็เป็นเรื่องที่หายาก แต่ตอนนี้กลับมาทลายจุดคอขวดในหุบเหว ก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนักจริงๆ


 


 


ผู้ใดจะรู้ว่าตอนที่อสูรตัวนี้พัฒนาระดับ จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือไม่


 


 


แม้นว่าเหลยหลันและพวกจะไม่รู้สถานการณ์ของอสูรเกล็ดมิคาทน แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำแสงสีขาวบนร่างของอสูรน้อยยิ่งเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าย่อมทำให้ทุกคนตกตะลึง


 


 


และในครานี้กลุ่มของหานลี่ก็เข้ามาในส่วนลึกของแดนน้ำแข็งทมิฬแล้ว ว่ากันตามระยะทางก็นับว่าเดินทางมาได้เกือบครึ่งทางแล้ว


 


 


หลังจากที่อสูรเกล็ดมิคาทนกลืนน้ำแข็งทมิฬระดับกลางไปอีกกลุ่มใหญ่ ก็หมอบนิ่งอยู่บนหัวไหล่ของหานลี่ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิทด้วยท่าทางเกียจคร้าน


 


 


แต่ลำแสงสีขาวบนร่างของอสูรตัวนี้กลับไม่หายไปเลยสักนิด ยิ่งไหลเวียนอยู่บนร่างของมันจนสะดุดตามากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ครานี้เมื่อทุกคนบินผ่านภูเขาน้ำแข็งไป เบื้องหน้าพลันมีหุบเขาที่ทอดตัวยาวเหยียดปรากฎขึ้น วายุสีดำพัดเข้ามาเป็นระลอกๆ แทบจะกลืนกินท้องฟ้าทั้งหมดเอาไว้ หุบเขาเพียงหนึ่งเดียวยังคงเงียบสงัดเป็นพิเศษ


 


 


เมื่อเผชิญหน้ากับภูมิทัศน์เช่นนี้ หานลี่และพวกต่างก็ไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจอะไรออกมา


 


 


สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาเคยพบระหว่างการเดินทางก่อนหน้านี้หลายครั้งแล้ว คนกลุ่มนี้จึงขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีบินเข้าไปในหุบเขาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


 


 


หุบเขานี้ไม่นับว่ากว้างนัก มีความกว้างแค่สามสี่ร้อยจั้ง แต่กลับลึกถึงพันจั้ง ประกอบกับที่มีเสียงวายุสีดำหวีดหวิวอยู่เหนือศีรษะไม่หยุด คนที่บินอยู่ท่ามกลางลำแสงหลีกหนีย่อมรู้สึกบีบคั้นหัวใจอย่างแปลกประหลาด


 


 


โชคดีที่หานลี่และพวกเป็นผู้ที่ไม่ธรรมดา แน่นอนว่าาจึงไม่ได้ถูกรบกวนจิตใจด้วยเหตุนี้ ล้วนนิ่งสงบอยู่ภายในลำแสงหลีกหนี


 


 


ฉับพลันนั้นเสียงคำรามต่ำๆ พลันดังขึ้น


 


 


หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี อดที่จะหันหน้าไปมองไม่ได้


 


 


เห็นเพียงอสูรเกล็ดมิคาทนที่เดิมทีหมอบอยู่บนไหล่ หยัดกายลุกขึ้นดัง “พรึ่บ” ดวงตาทั้งสองเบิกโพลง ขนลุกชัน ราวกับว่าพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างไรอย่างนั้น


 


 


หานลี่พลันตะลึงงัน!


 


 


ก่อนหน้านี้อสูรตัวนี้พบกับปีศาจน้ำแข็งทมิฬจำนวนมาก ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ ครานี้เหตุใดถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ หรือว่า…


 


 


ชั่วพริบตาเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ ลำแสงหลีกหนีอดที่จะหยุดชะงักลงไม่ได้


 


 


เมื่อหานลี่ผู้ซึ่งเป็นผู้นำหยุดลง เหลยหลัน ฉินเสี่ยวและพวกก็หยุดลงตาม แต่พลันใช้สายตาสงสัยกวาดมองไป


 


 


หานลี่เงียบขรึม แค่ดวงตามีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบพลางมองไปข้างหน้า


 


 


ไม่รอให้เขาได้เอ่ยถามอะไร มือหนึ่งก็โบกไปกลางอากาศเบื้องหน้า


 


 


ลำแสงสีทองสายหนึ่งพ่นออกมาจากฝ่ามือ สับลงไปยังส่วนลึกของหุบเขาที่ไม่รู้ว่าอยู่ห่างไปอีกไกลเท่าไหร่


 


 


หลังจากเสียงดังสนั่นขึ้น ลำแสงสีทองที่อยู่กลางความมืดมิดพลันเปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะสับไปที่ตีนของหุบเขา เผยรอยแยกน้ำแข็งขนาดยักษ์ยาวๆ แคบๆ สายหนึ่งออกมา


 


 


เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมจากใต้ดิน ทันใดนั้นไอสีดำกลุ่มใหญ่ก็ทะลักออกมาจากรอยแยก ชั่วพริบตาก็ผนึกรวมกันกลายเป็นหมอกลูกกลมๆ สีดำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสิบจั้ง


 


 


“ราชันย์น้ำแข็งทมิฬ ราชันย์ปีศาจน้ำแข็งทมิฬ! ที่นี่มีปีศาจตนนี้อยู่จริงๆ” ไป๋ปี้กลับร้องอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง


 


 


เหลยหลันและฉินเสี่ยวได้ฟังก็พลันตกตะลึงในทันที


 


 


และในตอนนั้นเอง ลูกบอลหมอกยักษ์พลันหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ เกล็ดน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน ห่อหุ้มลูกบอลหมอกแวววาวเอาไว้


 


 


ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างจ้า!


 


 


หงส์น้ำแข้งสีดำขนาดยี่สิบจั้งตัวหนึ่งปรากฎขึ้น เรือนกายสีดำมะเมื่อม ดวงตาทั้งสองมีลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ จ้องเขม็งไปยังหานลี่


 


 


ไม่สิ น่าจะจ้องเขม็งไปยังอสูรน้อยที่อยู่บนไหล่ของหานลี่ เผยท่าทางราวกับพบศัตรูคู่อาฆาตออกมา


 


 


อสูรเกล็ดมิคาทนเห็นเช่นนั้น ปากก็ร้องคำรามต่ำๆ ออกมา แต่สีเขียวมรกตในแววตาของอสูรกลับเผยแววอยากลิ้มลองออกมา


 


 


หานลี่กลับขมวดคิ้วขบคิดเล็กน้อย


 


 


ฉับพลันนั้นเขาพลันพลิกฝ่ามือตะปบออกไป คว้าอสูรน้อยบนไหล่เข้าไปอยู่ในมือ จากนั้นก็ออกแรงบีบท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน คาดไม่ถึงว่าจะโยนอสูรน้อยขึ้นไปเหนือศีรษะ


 


 


จากนั้นปีกที่แผ่นหลังพลันสยายอก เสียงฟ้าร้องดังขึ้น กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งสลายหายไป


 


 


ครู่ต่อมาเหนือหัวของหงส์น้ำแข็งก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น หานลี่ปรากฎตัวออกมาอย่างแปลกประหลาด แต่หัวไหล่กลับยักขึ้นเล็กๆ เงาลวงตาเป็นสายปรากำขึ้นด้านล่างหงส์น้ำแข็งยักษ์


 


 


หงส์น้ำแข็งพลันตะลึงงัน ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว กรงเล็กยักษ์ข้างหนึ่งยื่นออกไป คิดจะตะปบมดในสายตาของมันให้ตายคามือ


 


 


กรงเล็บยักษ์สีดำสนิทคู่หนึ่งมีขนาดสองสามจั้ง หลังจากตะปบลงมา ก็ห่อหุ้มร่างของหานลี่เอาไว้


 


 


แต่หานลี่กลับทำเป็นมองไม่เห็นกรงเล็บยักษ์นั้น แขนทั้งสองข้างลางเลือน เงากำปั้นสีดำขาวปรากฎขึ้นเต็มไปหมด พุ่งขึ้นไปกลางอากาศราวกับห่าฝน


 


 


เสียง “ปัง” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลำแสงสีดำขาวสองสีระเบิดออกท่ามกลางกรงเล็บยักษ์


 


 


ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฎขึ้น!


 


 


กรงเล็บยักษ์ทั้งสองระเบิดออก เสียงราวกับเครื่องลายครามปริแตกดังขึ้น แหลกออกเป็นชิ้นๆ ชั่วพริบตาก็หายวับไป


 


 


หงส์น้ำแข็งสีดำกรีดร้องเสียงแหลมสะเทือนเลื่อนลั่น อ้าปากออก วายุเย็นเยียบสีดำกลุ่มหนึ่งทะลักออกมา ชั่วพริบตาก็มาอยู่เหนือศีรษะของหานลี่ ม้วนเอาเขาเข้าไปข้างใน


 


 


แต่หานลี่พลันแววตาเปล่งประกายสว่างวาบ ในเวลาเดียวกันที่หงส์สีดำมาประชิดตัว ชั่วครู่ก็หายวับไปตามวายุ


 


 


หงส์น้ำแข็งพลันตกตะลึง อดที่จะมองซ้ายมองขวาหมายจะหาอีกฝ่ายให้พบไม่ได้


 


 


แต่ในครานั้นเองด้านหลังของหงส์สีดำพลันมีวายุประหลาดพัดมา เงาร่างคนสายหนึ่งปรากฎขึ้นอย่างเงียบเชียบ


 


 


ร่างกายพลิ้วไหวคนเหยียบอยู่บนแผ่นหลังของหงส์น้ำแข็งราวกับภูตผี กำปั้นสีดำขาวทั้งสองเปล่งแสงสว่างวาบ โจมตีไปยังแผ่นหลังของหงส์น้ำแข็งพร้อมกับวายุที่โหดเ**้ยมกลุ่มหนึ่ง


 


 


เสียง “ปังๆๆๆ” ดังสนั่นขึ้น ลำแสงสีดำขาวสองสีอาบย้อมไปทั่วแผ่นหลังของหงส์น้ำแข็ง ห่อหุ้มร่างของหงส์น้ำแข้งตัวนั้นเอาไว้


 


 


ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด ร่างอันใหญ่โตของหงส์น้ำแข็งราวกับกรงเล็บยักษ์เมื่อครู่อย่างไรอย่างนั้น รอยแยกเป็นสายๆ ปรากฎขึ้น จากนั้นเสียง “แกร๊ก” ก็ดังขึ้น แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นน้ำแข็งแวววาวโปรยปรายลงสู่พสุธา


 


 


ไอหมอกสีดำขนาดใหญ่เผยออกมากลางอากาศอีกครั้ง แต่แค่ไม่มีรูปร่างอะไรอีก และเปล่งลำสแงสีดำประหลาดออกมา


 


 


เสียง “สวบ” ดังขึ้น เงาร่างเล็กๆ สายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็กระโจนเข้าไปในหมอกสีดำ กลืนลงไปในคำเดียวพร้อมกับแขนขาทั้งสี่ที่โอบกอดเอาไว้ เปล่งเสียงครางในจมูกด้วยความตื่นเต้นดีใจออกมา


 


 


นั่นก็คืออสูรน้อยที่ถูกหานลี่โยนขึ้นไปกลางอากาศ!


 


 


หลังจากนั้นอสูรตัวนี้ก็ร่อนลงมา เมื่อเห็นว่าหานลี่ทำให้หงส์น้ำแข็งกลายเป็นหมอกสีดำที่แหลกเป็นชิ้นๆ แน่นอนว่ายอมไม่มีทางปล่อยของขวัญชิ้นใหญ่ไป! ชั่วขณะนั้นพลันกระโจนเข้าไปด้วยความยินดี และพยายามฉีกทิ้งกัดกินม่านหมอกกลุ่มนั้น


 


 


ในเมื่อหมอกสีดำนั้นสร้างมาจากสิ่งที่เรียกว่าราชันย์ปีศาจน้ำแข็งทมิฬ แน่นอนว่าย่อมไม่ยอมถูกอสูรน้อยกลืนกินไปเช่นนี้ ไม่เพียงจะยื่นหนวดสีดำออกมาจากร่างพลางสะบัดไปมาไม่หยุด ในเวลาเดียวกันบนพื้นยังมีน้ำแข็งสีดำจำนวนนมากผุุดลอยขึ้นมา พุ่งไปหาเขาอีกครั้ง หมายจะผนึกร่างขึ้นอีกครั้ง


 


 


หนวดสีดำเหล่านี้ไม่ทันได้สัมผัสกับอสูรเกล็ดมิคาทน ก็ถูกกรงเล็บลำแสงของอสูรน้อยสับจนแหลกเป็นชิ้นๆ


 


 


ส่วนน้ำแข็งสีดำเหล่านั้น เมื่อหานลี่สะบัดแขนเสื้อก็ถูกลูกไฟสีเงินขนาดเท่าหัวแม่มือจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีออกไปกลายเป็นวารีบริสุทธิ์ร่อนลงบนพื้น


 


 


ตั้งแต่ที่หานลี่ลงมือโจมตีหงส์น้ำแข็งสีดำไปจนถึงแหลกละเอียด มันผ่านไปเพียงแค่สองสามชั่วลมหายใจเท่านั้น


 


 


แม้ว่าเหลยหลันและพวกจะไม่ได้เห็นหานลี่ลงมือเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังคงถูกวิธีการลงมือของเขาทำให้ตกใจจนขวัญกระเจิง ใบหน้าอดที่จะเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาไม่ได้!


 


 


ไอหมอกสีดำหมุนวนไปมาขณะที่อสูรน้อยกำลังกลืนกิน เดี๋ยวใหญ่บ้างเดี๋ยวเล็กบ้าง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ กรงเล็บทั้งสี่ของอสูรน้อยวางอยู่ด้านบน นิ่งงันราวกับรากงอกติดลงไปอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ชั่วพริบตาไอสีดำขนาดใหญ่ก็ถูกกลืนเข้าไปกว่าครึ่ง


 


 


จากนั้นอสูรน้อยก็เปล่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ออกมา ร่างกายเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นสองสามครั้ง ชั่วครู่ก็กระโจนจากหมอกสีดำลงมายยืนนิ่งบนพื้น


 


 


หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย มือหนึ่งพลิกฝ่ามือโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ขวดหยกสีขาวปรากฎขึ้น โยนไปทางหมอกสีดำที่เหลือ ปากพลันบริกรรมคาถา


 


 


ขวดหยกหมุนติ้วๆ ปากขวดเทลง พ่นลำแสงสีเขยวออกมาจากด้านในกลุ่มหนึ่ง


 


 


หมอกลำแสงนี้ม้วนวน ชั่วขณะนั้นหมอกที่เหลือก็กลายเป็นไอสีดำ ถูกดูดเข้าไปในขวดหยก


 


 


ไป๋ปี้และพวกของเหลยหลันที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น ก็อดที่จะเผยแววตาอิจฉาออกมาไม่ได้


 


 


แม้นว่าสิ่งที่เรียกว่าราชันย์ปีศาจน้ำแข็งทมิฬจะมีชื่อเรียกว่าราชันย์ปีศาจ แต่ความจริงแล้วกลับมีความสามารถธรรมดาๆ ระดับเทพแปลงทั่วๆ ไปก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่ปีศาจตนนี้กลับหายากมาก ไอน้ำแข็งทมิฬที่สร้างมันขึ้นนั้นบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก ไม่ว่านำไปหลอมยุทธภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งฝึกฝนความสามารถของเคล็ดวิชาลับต่างๆ ก็มีประโยชน์มาก เหนือกว่าที่ปีศาจน้ำแข็งทมิฬทั่วๆ ไปจะเปรียบเทียบได้


 


 


แต่ในเมื่อหานลี่เป็นผู้จัดการปีศาจตนนี้ด้วยตนเอง แม้ว่าพวกเขาจะมีความคิดอะไร ก็ไม่กล้าเอ่ยปากออกมา


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ไอน้ำแข็งทมิฬก็ถูกขวดหยกดูดเข้าไปจนเกลี้ยง


 


 


หานลี่พลันกวักมือ ขวดหยกกลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งจมหายเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไร้ร่องรอย


 


 


ครานี้พลันกลอกตาไปมา แล้วถึงได้ตกลงบนร่างของอสูรน้อยที่อยู่บนพื้นด้วยความกังวลใจ


 


 


อสูรเกล็ดมิคาทนในครานี้ร่างกายหดเล็กลง ลำแสงสีขาวบนผิวของมันกระพริบวาบๆ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท


 


 


จากการเชื่อมโยงกันนั้นหานลี่รู้ว่าอสูรน้อยตัวนี้ทั้งตื่นเต้นดีใจ หวาดกลัว ร้อนรนผสมปนเปกันไปหมด


 


 


ถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง คนร่อนลงบนพื้นดิน อยู่ข้างกายของอสูรน้อย และนั่งคุกเข่าลง


 


 


ยกมือขึ้นลูบไปบนศีรษะของอสูรน้อย แล้วใช้มือลูบไปบนขนอสูรที่นุ่มเป็นพิเศษบนร่างของมัน จากนั้นก็ปลอบโยนมันผ่านจิตสัมผัสที่เชื่อมโยงกัน


 


 


อสูรเกล็ดมิคาทนยื่นลิ้นน้อยๆ สีชมพูออกมา เลียไปที่หลังมือของหานลี่ ในที่สุดก็ค่อยๆ สงบนิ่งลงกลับมาเป็นปกติ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)