ลำนำบุปผาพิษ 1446-1451
บทที่ 1446
คนอื่นๆ ก็ถูกสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูล้อมไว้หมดแล้วเช่นกัน ฝ่าออกมาช่วยเหลือไม่ได้ชั่วขณะ
สีหน้าเยี่ยนเฉินซีดเซียวขึ้นเรื่อยๆ ตัวคนเดียวไม่อาจปัดป้องได้ ถูกเขี้ยวของสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูตัวหนึ่งงับเข้าที่ขาอีกครั้ง เขาซวนเซทันที แทบจะล้มคว่ำไป ส่วนสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูตัวอื่นๆ ก็ฉวยโอกาสรุมเข้ามา คมเขี้ยวเสมือนตะปูนับไม่ถ้วนส่องประกายอยู่รอบกายเยี่ยนเฉิน…
“เยี่ยนเฉิน!” หลานไว่หู่ร้องตะโกนออกมาทันที พุ่งเข้ามาอย่างไม่สนใจความเป็นความตาย ทะยานไปที่ร่างของเยี่ยนเฉิน ไม่น่าเชื่อว่าพละกำลังของนางจะมากมายนัก อีกทั้งเยี่ยนเฉินก็ไม่ทันได้ระวัง ถูกนางโผใส่จนล้มลงบนพื้น หลานไว่หูเกาะแน่นดุจปลาหมึก พยายามใช้ร่างกายปกป้องเขาอย่างสุดชีวิต
เยี่ยนเฉินตกใจจนหน้าถอดสี เขาไม่อาจลุกขึ้นได้ทันชั่วขณะ ทำได้เพียงเบิกตามองคมเขี้ยวนับไม่ถ้วนที่ส่องประกายเย็นเยียบของสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูพุ่งเข้าใส่ด้านหลังหลังนาง จะทิ่มแทงเข้าสู่แผ่นหลังนาง!
‘ปัง!’ ในอากาศมีเสียงเหมือนลูกโป่งแตกแว่วขึ้น เงาร่างสองสายพุ่งทะยานเข้ามา ตามมาด้วยลำแสงที่คล้ายเมฆาเพลิงกลุ่มหนึ่ง โอบล้อมสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูทั้งหมดที่โจมตีใส่ด้านหลังของหลานไว่หูไว้ในเมฆาเพลิงนั้น…
เห็นได้ชัดว่า ‘เมฆาเพลิง’ นี้เป็นดาวพิฆาตของสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปู ทุกตัวที่ถูกล้อมไว้ด้านในถูกเผาจนมอดไหม้เป็นจุณกระจัดกระจายหายไป…
เยี่ยนเฉินอาศัยจังหวะนี้กอดหลานไว่หู่ไว้แล้วกลิ้งอย่างรวดเร็ว พลางกระโจนลุกขึ้นมา วางหลานหู่ลง ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สายตาร่อนลงบนร่างสตรีที่พุ่งข้ามา เอ่ยโพล่งออกไป “ซีจิ่ว!”
เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป สมองของหลานไว่หู่ยังคงมึนงงอยู่ เมื่อได้ยินวาจานี้ของเยี่ยนเฉิน ร่างกายนางก็แข็งทื่อไปเช่นกัน เหลียวมองทันที สายตาร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว ทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง ตะโกนด้วยความยินดี “ซีจิ่ว!” แทบจะโผเข้าไปแล้ว!
ซีจิ่ว!”
ซีจิ่ว!”
หลายเสียงดังขึ้นเป็นทอดๆ เชียนหลิงอวี่ จางฉูฉู่ ล้วนตะโกนออกมาด้วยความยินดีเช่นกัน หากมิใช่ว่าทุกคนกำลังถูกสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูล้อมไว้ คงห้อมล้อมเข้ามาแทบทุกคนแล้ว
กู้ซีจิ่วกวาดตามองอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง หลานไว่หู เยี่ยนเฉิน จางฉูฉู่พวกเขาล้วนออยู่กันครบ ยังมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาองอาจที่ไม่รู้จักอยู่ด้วยคนหนึ่ง เป็นคนที่ชื่อว่าหลานเยวี่ยแน่นอน
เยี่ยนเฉินได้รับบาดเจ็บ สีหน้าขาวซีดจนค่อนข้างน่ากลัวแล้ว คนอื่นๆ ถึงแม้จะเลอะเทอะมอมแมม แต่โชคดีที่ร่างกายไม่มีบาดแผล…
เดิมทีขวัญกำลังใจของทุกคนตกต่ำ ความสิ้นหวังท่วมท้นดวงใจ บัดนี้พอได้เห็นกู้ซีจิ่วนัยน์ตาของทุกคนกลับโชนแสงขึ้นมา ขวัญกำลังใจทวีขึ้นอย่างล้นหลาม!
พวกเขาต่อสู้จนมือเท้าอ่อนแรงแล้ว ยามนี้กลับคล้ายว่าอาศัยพละกำลังที่เกิดขึ้นมาจากอากาศ เร่งเข่นฆ่าอย่างสุดกำลัง พยายามอย่างเต็มที่ด้วยอยากออกมาสบทบกับกู้ซีจิ่ว
รอบกายยังมีสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูนับร้อยล้อมโจมตีอยู่ ยามนี้กู้ซีจิ่วย่อมไม่สนใจจะพูดอะไรมากนัก เรือนกายไหววูบ พุ่งไปที่ข้างกายเยี่ยนเฉินก่อน ล้วงโอสถขวดหนึ่งออกมาแล้วโยนให้เขา “ใช้ยาห้ามเลือดก่อน”
เยี่ยนเฉินรับขวดยามา ด้านในเป็นน้ำยาเนื้อข้น เขาทาลงบนบาดแผลเล็กน้อย โอสถของกู้ซีจิ่วแตกต่างจากโอสถทั่วไปจริงๆ ทาลงไปแทบไม่ถึงครึ่งนาทีโลหิตก็หยุดไหลแล้ว…
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลันเงยหน้าขึ้น สบเข้ากับดวงตาโตคู่นั้นของหลานไว่หูเข้าพอดี
ทั้งสองคนสบตากัน เยี่ยนเฉินรีบละสายตาทันที ไม่มองนางต่อ ไปเป็นกำลังหนุนให้จางฉูฉู่
หลานไว่หูหลุบตาลง นิ้วมือกำแน่นเล็กน้อย
หลานเยวี่ยลากนางมาข้างกายทันที สีหน้าไม่น่ามองยิ่งนัก “เจ้าบ้าไปแล้ว!”
ใบหน้าพริ้มเพราของจิ้งจอกน้อยซีดขาวไม่พูดอะไรออกมา สายตาของนางหันเหไปยังร่างตี้ฝูอีที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับกู้ซีจิ่วอยู่ พลันแข็งทื่อไป “เขา…เขาคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…”
ยามนี้ถึงแม้ตี้ฝูอีจะสวมอาภรณ์สีม่วงอยู่ ทว่าไม่ได้อยู่ในชุดอันเป็นเอกลักษณ์ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย และไม่ได้สวมหน้ากากไว้ ดังนั้นเริ่มแรกทุกคนจึงจำเขาไม่ได้
——————————————————————
บทที่ 1447 หลายปีนี้เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา?
ความสามารถของหลานไว่หู่ถึงแม้จะไม่นับว่าแข็งแกร่งนัก ทว่ากลับมีความสามารถในการจดจำคนได้อย่างน่าประหลาด ยามนี้หลังจากนางสงบใจได้แล้ว เมื่อมองตี้ฝูอีเพียงแวบเดียวก็จดจำเขาได้ทันที
เสียงนี้ของหลานไว่หู่ทำให้คนที่เหลือตัวแข็งทื่อไปด้วย พากันถอยหลังไปหลายก้าวโดยมิได้นัดหมายทุกคนต่างระแวดระวัง
ยังคงเป็นจางฉูฉู่ที่อดไม่อยู่ตะโกนออกมา “ซีจิ่ว ระวังนะ!”
เสียงนี้ย่อมเป็นการเตือนให้กู้ซีจิ่วระวังทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่อยู่ข้างกายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย…
ตี้ฝูอีฉลาดระดับไหนแล้ว ย่อมทราบว่าวาจานี้ของนางสื่อถึงตน มุมปากยกขึ้นอย่างอดไม่อยู่แวบหนึ่ง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาถูกผู้อื่นระแวดระวังดั่งหัวขโมยเช่นวันนี้
เขาเชื่อว่าหากมิใช่รอบกายยังมีสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูห้อมล้อมอยู่ คนเหล่านี้จะต้องกระโจนเข้ามาลากกู้ซีจิ่วไปอยู่ในกระบวนค่ายของพวกเขาทันที ให้อยู่ห่างจากตัวเขาตี้ฝูอี
ต่อให้เป็นเช่นนี้ สายตาระแวงของคนเหล่านี้ก็ยังจับจ้องอยู่บนร่างของกู้ซีจิ่ว หวาดหวั่นว่าเขาจะปองร้ายกู้ซีจิ่วขึ้นมากะทันหัน
เพียงแต่ สายตาของพวกเขาถูกลำแสงยามที่คนทั้งสองสังหารสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูเคียงข้างกันดึงดูดความสนใจไปอย่างรวดเร็ว
บางครั้งทั้งสองก็เหินทะยานเคียงข้างกัน บางครั้งก็หันหลังชนกัน ประกายเพลิงไม่ขาดไปจากมือ กระแสเพลิงทุกสายล้วนก่อตัวเป็นเมฆาเพลิง เมฆาทุกก้อนโอบล้อมสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูไว้เจ็ดแปดตัว…
ท่าร่างของทั้งสองปราดเปรียวว่องไว แทรกซึมไปทั่ว ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ท่ามลางสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปู รอบกายรายล้อมด้วยเมฆาเพลิงแดงฉาน เสมือนตัวคนล่องลอยอยู่กลางเมฆา น่ามองยิ่งนัก
เมื่อครู่ทุกคนถูกสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูเหล่านี้ล่าสังหารอย่างจนตรอกยิ่งนัก บัดนี้เมื่อได้เห็นพวกมันค่อยๆ มอดไหม้เป็นเถ้าธุลี ย่อมรู้สึกสาแก่ใจ หลานไว่หู่ จางฉูฉู่ยิ่งอดใจไม่อยู่ปรบมือพลางโห่ร้องยินดี “เยี่ยมเลย!”
“เผาเลย! เผาไอ้ตัวบัดซบพวกนี้ให้ตายเลย!”
เนื่องจากทุกคนไม่รู้จักคาถาเมฆาล่องแดนสรวงนี้ จึงช่วยเหลืออะไรไม่ได้เป็นธรรมดา
เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูเหล่านั้นโจมตีอีก เยี่ยนเฉินจึงให้ทุกคนมารวมตัวกัน สตรีกับผู้ที่มีพลังวิญญาณต่ำให้อยู่วงใน เขากับเชียนหลิงอวี่อยู่วงนอกสุด คอยใช้ไฟโจมตีสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูที่เหินบินเข้ามาเป็นครั้งคราว…
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม สัตว์เขี้ยวตะปูทั้งหมดล้วนหายไปแล้ว ไอหมอกก็สลายไปแล้วเช่นกัน
ทุกคนรอดพ้นจากความตาย ในที่สุดก็ถอนหายใจเหยียดยาวด้วยความโล่งอก
สายตาของทุกคนล้วนร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอี เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างสับสนงงงันกันไปหมด อยากล้อมวงเข้ามาพูดคุยแต่อีกใจก็ยังระแวดระแวงอยู่
เชียนหลิงอวี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ตัดสินใจไม่มองตี้ฝูอี เอ่ยถามกู้ซีจิ่วตรงๆ “ซีจิ่ว หลายปีนี้เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา? ทุกคนแทบจะพลิกแผ่นดินตามหาแล้วนะ”
“ใช่แล้ว พวกเราทุกคนล้วนถูกส่งออกไปตามหาเจ้า อาจารย์ใหญ่กู่ก็ส่งสายสืบทั้งหมดของสำนักออกไปเหมือนกัน…”
“ซีจิ่ว วรยุทธ์ของเจ้าก้าวหน้าเร็วเหลือเกิน!”
“ซีจิ่ว…” ทุกคนพากันเปิดปากพูด ถามคำถามนับไม่ถ้วนที่อยู่ในใจ ทว่าจงใจเมินเฉยต่อตี้ฝูอีไปเสีย
หลานไว่หูเป็นห่วงสหายสนิท ทำใจกล้าก้าวเข้าไป คล้องแขนกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว เจ้ามานี่สิ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า…”
นางพยายามลากกู้ซีจิ่วออกห่างจากข้างกายตี้ฝูอี
กู้ซีจิ่วย่อมทราบว่าพวกเขาพะวงสิ่งใด จึงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ย้ายที่ ตบมือน้อยของหลานไว่หูเบาๆ ส่งสัญญาณให้นางสงบไว้ กวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง สายตาหยุดอยู่ที่ร่างหลานเยวี่ย “ท่านนี้คือ?”
ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง หน้าค่อนข้างซับซ้อน เป็นจางฉูฉู่ที่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เขาเป็นสหายร่วมสำนักที่เข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มาเมื่อห้าปีก่อน และเป็นคู่หมั้นของไว่หู่ด้วย”
กู้ซีจิ่วใจหายวาบ ก่อนหน้านี้ตอนเธออยู่ข้างนอกได้ยินบทสนทนาด้านในอย่างขาดๆ หายๆ ทราบเพียงว่าระหว่างหลานไว่หู่กับเยี่ยนเฉินไม่ปกติ กลับนึกไม่ถึงว่าหลานไว่หู่จะมีคู่หมั้นแล้ว เช่นนั้นเยี่ยนเฉินเล่า?
บทที่ 1448 ความจริง 1
เยี่ยนเฉินเคยชมชอบนางถึงเพียงนั้น กู้ซีจิ่วเห็นว่าพวกเขาทั้งสองเป็นคู่กันมาตลอด ยามที่พบทั้งสองอีกครั้งยังนึกว่าสองคนนี้จะแต่งงานกันไปแล้วเสียอีก กลับคาดไม่ถึงเลยว่า…
เธอหันไปมองหลานไว่หู่ หลานไว่หู่หลุบตาลงเล็กน้อยไม่พูดอะไร
ส่วนเยี่ยนเฉินก็ทำราวกับไม่ได้ยิน หันไปพูดคุยกับเชียนหลิงอวี่ ยามนี้กู้ซีจิ่วย่อมไม่สะดวกจะสอบถามความรู้สึกเหล่านี้ เธอส่งกระแสเสียงหาเยี่ยนเฉิน ‘หลานเยวี่ยผู้นี้ไว้ใจได้หรือไม่?’
เยี่ยนเฉินพยักหน้านิดๆ ตอบกลับด้วยกระแสเสียงเช่นกัน ‘ไว้ใจได้’ อดไม่ได้ที่จะส่งเพิ่มมาอีกประโยค ‘ซีจิ่ว ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่อยู่ข้างกายเจ้าไว้ใจไม่ได้!’
กู้ซีจิ่วก็ทราบอยู่แก่ใจ เธอยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง กวาดตามองทุกคน “หลายปีมานี้ข้าพลัดหลงเข้ายังแดนต้องห้ามแห่งหนึ่ง ถูกขังอยู่ที่นั่นมาโดยตลอด เพิ่งออกมาได้เมื่อไม่กี่วันก่อน และท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ถูกขังอยู่กับข้าเช่นกัน แปดปีนี้พวกเราอยู่ด้วยกันมาตลอด”
อธิบายอย่างเรียบง่ายยิ่งนัก ทว่าทำให้ทุกคนงงงัน
ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลา สายตารวมอยู่ที่ร่างของตี้ฝูอี ดวงตาเต็มไปด้วยความแปลกใจและไม่เชื่อถือ
กู้ซีจิ่วกล่าวต่อไป “พูดอีกอย่างก็คือ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่อยู่ข้างกายข้าผู้นี้เป็นตัวจริง ส่วนที่ก่อกรรมทำชั่วอยู่ด้านนอกนั้นเป็นตัวปลอม!”
หินหนึ่งก้อนสะท้อนพันระลอกคลื่น ประโยคนี้ของกู้ซีจิ่วให้ผลลัพธ์คล้ายระเบิดยิ่งนัก ทุกคนต่างเบิกตากว้าง…
กู้ซีจิ่วทราบว่าข่าวนี้ทำให้ผู้อื่นตกตะลึงยิ่งนัก เธอเองก็ไม่รีบร้อน รอพวกเขาค่อยๆ ย่อยข่าวสารอย่างสงบ
ข่าวนี้หากว่าเป็นผู้อื่นกล่าวออกมา ทุกคนอาจจะไม่เชื่อ อาจจะคิดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้มีลูกไม้ใหม่อันใดอีก แต่ในเมื่อเป็นกู้ซีจิ่วที่กล่าวออกมาเช่นนี้…
ในที่สุดทุกคนจึงเชื่อ
จางฉูฉู่ระเบิดออกมาเป็นคนแรก “มารดามันเถอะ ที่แท้ไอ้คนผู้นั้นก็เป็นตัวปลอม! ข้าว่าแล้วเชียว สองปีมานี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายราวกับกินยาผิดก็มิปาน ก่อเรื่องที่ทำให้คนชี้นิ้วร้องด่านับไม่ถ้วน ทุกคนล้วนนึกว่าเขาเป็นหมาป่าหางโตที่ในที่สุดก็เผยธาตุแท้ออกมา ที่แท้เขาก็เป็นตัวปลอม!”
เชียนหลิงอวี่ก็กำหมัดเช่นกัน “คนผู้นั้นชั่วช้ายิ่งนัก สวมรอยเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้แนบเนียนถึงเพียงนี้ แม้แต่ผู้คุ้มกันทั้งสี่ก็อยู่ข้างกายเขา…”
“ซีจิ่ว เจ้ายังไม่รู้สินะ เขาส่งมาหาให้อาจารย์ใหญ่กู่ส่งลูกศิษย์ไปเป็นกองหนุนช่วยเขาต่อสู้ อาจารย์ใหญ่กู่ไม่ยอม เขาจึงส่งสำนักต่างๆ ที่สวามิภักดิ์ต่อเขามาก่อกวน โชคดีที่ถูกอาจารย์ใหญ่นำกำลังขับไล่ให้ล่าถอยไปได้ทุกครั้ง ทุกคนล้วนถูกเจ้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมทำให้ชิงชังไปแล้ว แต่ก็อับจนวิธี” หลานไว่หูก็พูดเป็นต่อยหอยเช่นกัน
“แล้วทำไมพวกเจ้าถึงละทิ้งสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์? คนอื่นๆ ล่ะ? ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนกัน?” ตี้ฝูอีสอบถามช้าๆ
สายตาที่ทุกคนมองเขาระแวงคลางแคลงขึ้นมาอีกครั้ง ถึงอย่างไรทุกคนก็รังเกียจเขามาเกือบสองปีแล้ว ต่อให้ยามนี้ทราบแล้วว่านั่นเป็นตัวปลอม แต่ในสัญชาตญาณก็ยังคงระแวงใบหน้านี้อยู่ดี
ตี้ฝูอีย่อมทราบปมในใจของพวกเขาเช่นกัน เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ “ยังไม่ไว้ใจข้าอีกหรือ?”
ในที่สุดเยี่ยนเฉินก็ได้สติ ชะงักไปเล็กน้อย แล้วบอกเล่าเรื่องราวของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้
หลังจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ขับไล่กองกำลังทั้งหลายออกไป กู่ฉานโม่ก็ห้ามไม่ให้เหล่าศิษย์ออกไปด้านนอก และทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นก็น่าจะทราบแล้วว่านี่เป็นกระดูกแข็งที่ยากจะเคี้ยวได้ จึงไม่มีความเคลื่อนไหวไปพักหนึ่ง ในช่วงที่ทุกคนโล่งใจอยู่ จู่ๆ ภายในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็เกิดเรื่องประหลาดยิ่งนักขึ้น
เริ่มขึ้นในวันหนึ่ง ทุกคนต่างฝันร้าย!
อันที่จริงการฝันร้ายมิได้น่าหวาดกลัว แต่ที่น่ากลัวคือฝันร้ายอยู่ทุกวัน และสถานการณ์ในความฝันก็น่าหวาดผวา ต่อให้เป็นชายชาตรีก็ยังอกสั่นขวัญแขวน นับประสาอะไรกับเหล่าเด็กสาวเล่า?
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทุกคนฝันแบบเดียวกันหมด
——————————————————————–
บทที่ 1449 ความจริง 2
ทะเลโลหิตเนืองนองไปทั่ว มีโครงกระดูกกระโดดโลดเต้น มีสัตว์ร้ายกินคน ต้องเบิกตามองญาติสนิทมิตรสหายที่ห่วงใยถูกทะเลโลหิตกลืนกินไปทีละคนๆ เสียงกรีดร้องที่พวกเขาเปล่งออกมายามจะสิ้นชีพทำให้ทุกคนที่ฝันหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบโซมกาย…
ความฝันเช่นนี้ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว แต่ถ้าฝันเช่นนี้อยู่เรื่อยๆ เล่า? ขอเพียงหลับตาลงก็จะไปโผล่ในทะเลโลหิต ทำได้เพียงมองญาติมิตรตายไปทีละคนเล่า?
แรกเริ่มถึงแม้ทุกคนจะถูกฝันร้ายเคี่ยวกรำ แต่ผู้ใดก็อับอายที่จะกล่าวออกมา ศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ที่สูงส่งถูกความฝันทำให้หวาดผวาเช่นนี้จะไม่เป็นที่ขบขันของผู้คนหรอกหรือ?
จิตใต้สำนักของทุกคนไม่อยากนอนหลับ กล่าวอีกนัยก็คือก่อนนอนพยายามทำสมาธิเสริมสร้างจิตใจอย่างเต็มที่ ท่องเคล็ดฝึกจิต
แต่ไม่มีประโยชน์เลย เมื่อถึงตีหนึ่งทุกคนหลับใหลไปพร้อมกัน จากนั้นก็จะถูกฝันร้ายนั้นก่อกวนอีกครั้ง ทำให้คนแทบแตกสลายแล้ว
ความฝันนี้ไม่เพียงแต่ทำให้คนหลับไม่สนิทเท่านั้น ถึงขั้นที่พลังยุทธ์ก็มีสัญญาณว่าจะถดถอยลงด้วย!
หลังจากที่เบ้าตาของทุกคนดำคล้ำอยู่หลายวัน เหล่าศิษย์ที่พลังยุทธ์ที่ถดถอยลงเล็กน้อยก็เริ่มหารือกันเป็นการส่วนตัว จากนั้นทุกคนก็พบว่ากำลังประสบปัญหาแบบเดียวกันอยู่ ด้วยเหตุนี้ในที่สุดทุกคนจึงพบแล้วว่าผิดปกติ เริ่มรวมตัวกันไปรายงานเบื้องบน…
และเมื่อถึงยามนั้นกู่ฉานโม่จึงได้ทราบว่าคนที่ถูกฝันร้ายนี้ขู่ขวัญมิได้มีแค่ตน…
สถานการณ์เช่นนี้ประหลาดยิ่งนัก เหล่าผู้อาวุโสของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ตรวจสอบค้นคว้ากันอยู่หลายวัน ก็ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าสรุปแล้วเกิดอะไรขึ้น
บางคนเดาว่าเป็นอาถรรพ์จากสิ่งชั่วร้าย แต่ทุกคนแทบจะพลิกทั้งสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แล้วก็ไม่พบสิ่งอาถรรพ์ตรงไหนเลย
ในช่วงหลายวันนั้นผู้คนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ต่างอกสั่นขวัญแขวน ไม่มีผู้ใครทราบว่าควรทำอย่างไรดี ประจวบกับลูกศิษย์ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ส่งออกไปจับจ่ายซื้อของที่ภายนอกมีเรื่องให้ล่าช้าจึงต้องค้างแรมอยู่ด้านนอก กลับนอนหลับฝันดี ไม่ฝันร้ายอีกต่อไป
เมื่อศิษย์เหล่านี้กลับมาบอก ทุกคนต่างปรารถนาจะหลุดพ้นจากฝันร้าย ทุกคนย่อมคิดหาหนทางออกไปข้างนอกเป็นธรรมดา…
จะว่าไปก็แปลก ไม่ว่าผู้ใดเมื่อนอนข้างนอก ขอเพียงบนร่างไม่ได้พกของใช้ประจำวันของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไว้ ก็จะนอนหลับสนิท แต่พอกลับมาที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ฝันร้ายย่อมมาเยือนอีก
พวกกู่ฉานโม่คิดจนหัวแทบแตกก็คิดหาสาเหตุไม่ได้ ยามนั้นทุกคนต่างถูกฝันร้ายรังควานจนเบ้าตาคล้ำโหลประหนึ่งผีน้อยแทบทุกคนแล้ว ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจริงๆ ด้วยเหตุนี้กู่ฉานโม่ที่อับจนหนทางอย่างแท้จริง จึงมีคำสั่งให้พาทุกคนอพยพออกไป…
เนื่องจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นคอยสร้างเรื่องเดือดร้อนให้สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อยู่ตลอด ดังนั้นเมื่อพวกกู่ฉานโม่พาเหล่าศิษย์ย้ายออกไปเงียบๆ จึงไม่มีผู้ใดตื่นตระหนก
และที่พักพิงก็คือหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา
ที่นั่นวิถีชีวิตเรียบง่าย เส้นทางสัญจรถูกปิดกั้น ชั่วชีวิตของชาวบ้านที่นั่นไม่เคยออกมาจากหุบเขาเลย ถึงขั้นที่ไม่รู้ด้วยว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคือใคร ไม่รู้จักโลกภายนอกเลยสักนิด ย่อมไม่วิ่งออกมาเปิดโปงความลับ…
แน่นอน ถึงอย่างไรสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็เป็นฐานหลักมาหลายร้อยปี พวกกู่ฉานโม่ยังคงอาลัยที่นั่นยิ่งนัก บางครั้งก็ส่งลูกศิษย์กลับมาตรวจสอบดูบ้าง ลูกศิษย์ที่กลับมาตรวจดูเมื่อไม่พำนักอยู่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้านอนหลับฝันร้ายก็จะมาเยือนถึงประตู
ไปๆ มาๆ เช่นนี้ เหล่าศิษย์ที่กู่ฉานโม่ส่งมาตรวจสอบจึงไม่ขยันขันแข็งนัก เพียงมาตรวจดูทุกสามวันห้าวันเท่านั้น
ศิษย์ที่ถูกส่งออกมาในครั้งนี้คือพวกเยียนเฉิน เดิมทีหลังจากทุกคนตรวจดูเรียบร้อยก็คิดจะมาพักเท้าที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ กลับนึกไม่ถึงว่าเมืองนี้จะล่มสลายแล้ว ซ้ำยังประสบกับสัตว์ประหลาดเขี้ยวตะปูเหล่านั้นด้วย แทบจะย่อยยับกันทั้งกองแล้ว…
เยี่ยนเฉินเหล่าสิ่งที่พบเจอมาคร่าวๆ กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงเลยว่าสาเหตุจะเป็นเช่นนี้ เธอมองไปที่ตี้ฝูอี ลองคาดคะเนดู “เป็นเล่ห์กลของตัวกินฝันหรือเปล่า?”
บทที่ 1450 ความจริง 3
ตี้ฝูอีกำลังใคร่ครวญอยู่ เมื่อได้ยินเธอเอ่ยเช่นนี้ จึงเงยหน้าขึ้น เอ่ยทวน “ตัวกินฝัน?” เห็นได้ชัดว่าไม่เคยได้ยินคำนี้
กู้ซีจิ่วกระแอมเบาๆ “ข้าเคยเห็นสัตว์ชนิดนี้ในตำรา เป็นตำนานที่เล่าขานกัน อาศัยการกินฝันประทังชีพโดยเฉพาะ มีทั้งตัวที่ชอบกินฝันดี และมีตัวที่ชอบกินฝันร้าย พวกมันสามารถควบคุมความฝันของมนุษย์ที่อยู่ในอาณาเขตรอบๆ ให้ฝันถึงสิ่งที่พวกมันต้องการได้…”
ตี้ฝูอีขมวดคิ้วนิดๆ “รูปร่างมันเป็นอย่างไร?”
กู้ซีจิ่วส่ายศีรษะ “เรื่องนี้…ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด ข้าแค่เคยเห็นคำอธิบายถึงสิ่งในตำราเท่านั้น” เธอไม่ได้บอกไปว่าเธออ่านมาจากนิยายแฟนตาซีของยุคปัจจุบัน
เธอเอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่ง “อันที่จริงสิ่งที่บอกไว้ในตำราอาจไม่ถูกต้องก็ได้นะ บางทีคงไม่มีสัตว์ร้ายชนิดนี้อยู่จริงๆ หรอก…”
ตี้ฝูอีใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็กวักมือเรียกเชียนหลิงอวี่ “เข้ามา!”
แววตาเชียนหลิงอวี่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง “ทำไม?” ไม่เพียงแต่ไม่ก้าวเข้าไปนั้น ยังถอยหนีด้วย
ตี้ฝูอีคร้านจะพูดจาไร้สาระกับเขา เรือนกายไหววูบ ตรงไปอยู่เบื้องหน้าเขา วางมือลงบนไหล่เชียนหลิงอวี่
เส้นขนทั่วร่างเชียนหลิงอวี่ลุกชันขึ้นมา ทั้งร่างแข็งทื่อไปหมด คิดจะผลักออกไปตามสัญชาตญาณ “นี่ อย่าได้ขยับมือไม้…”
เขาไม่ได้เอ่ยประโยคหลังออกมา เนื่องจากนิ้วหนึ่งของตี้ฝูอีจี้ลงตรงหว่างคิ้วเขา…
ยามนี้พลังวิญญาณของเชียนหลิงอวี่เจียนจะบรรลุขั้นเก้าแล้ว ยามปกติชายฉกรรจ์หลายร้อยคนก็ไม่อาจเข้าใกล้ตัวเขาได้ แต่ยามนี้เห็นชัดว่าเขาตั้งท่าระวังตี้ฝูอีแล้ว ยามที่อีกฝ่ายลงมือไม่น่าเชื่อว่าเขายังคงหลบไม่พบ ตรงหว่างคิ้วเย็นวาบขึ้นมาในทันใด เขาอ้าปากเล็กน้อยสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง อยากจะดิ้นรนแต่ทั้งร่างอ่อนยวบ…
คนที่เหลือล้วนตกใจกันทั้งสิ้น
“นี่ ทำอะไรน่ะ?”
“ปล่อยมือซะ!”
ขณะที่ทุกคนกำลังจะโผเข้าไปช่วยเหลือเชียนหลิงอวี่ ตี้ฝูอีก็ละมือจากหว่างคิ้วของเขา เขาเป่ามือคราหนึ่ง ราวกับเป่าฝุ่นธุลีบนมือทิ้ง ส่วนเชียนหลิงอวี่ก็ได้สติกลับมาทันที รีบถอยกรูดไปด้านหลัง มองเขาอย่างประหลาดใจระคนคลางแคลง “เจ้า…เจ้าเล่นเล่ห์อันใด?”
ตี้ฝูอีกลับไม่สนใจเขา สายตาหันเหไปที่ร่างของหลานเยวี่ย หลานเยวี่ยสั่นสะท้านเมื่อถูกเขามอง “เจ้า…”
เงาร่างของคนที่อยู่เบื้องสั่นไหว นิ้วของตี้ฝูอีจี้ลงที่หว่างคิ้วของเขาด้วย เหมือนที่ทำกับเชียนหลิงอวี่ เพียงแต่สักครู่หนึ่งก็ละมือออก
ทุกคนไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรอยู่กันแน่ แต่ละคนมองเขาด้วยความสงสัย
เยี่ยนเฉินขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เช่นนี้คือ?”
“ตรวจสอบกายจิตของพวกเขา” ตี้ฝูอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ร่างจิตบาดเจ็บ ฝันร้ายนั้นมิใช่ความฝันจริงๆ แต่มีบางสิ่งฉวยโอกาสที่พวกเจ้าหลับใหลเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกในกายจิตของพวกเจ้า ยัดเยียดฝันร้ายนั้นเข้ามาในสมองของพวกเจ้า พอมีปัจจัยอะไรไปเร่งเร้าเข้า จึงทำให้พวกเจ้าฝันร้ายแบบเดียวกัน”
ประโยคที่เขาเอ่ยนี้ค่อนข้างเฉพาะทาง พวกเยี่ยนเฉินฟังแล้วตะลึงกันหมด ล้วนมองเขาอย่างทึ่มทื่อ
ตี้ฝูอีหันไปสั่งการกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว เจ้ากลับไปกับพวกเขา ข้าจะไปดูที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อีกรอบ”
กู้ซีจิ่วตอบทันที “ข้าจะไปกับท่านด้วย!”
ตี้ฝูอีกล่าวยิ้มๆ “วางใจเถอะ ด้วยฝีมือของข้า ไม่มีอะไรเล่นงานข้าได้หรอก เจ้าเป็นเด็กดีกลับไปกับพวกเขาเถอะ ไปหารือกับกู่ฉานโม่เรื่องที่พวกเราวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ ข้าจะตามไปทีหลัง”
ไม่รอให้กู้ซีจิ่วได้พูดอะไรอีก เขาก็หมุนกายหายลับไปทันที
เมื่อตี้ฝูอีจากไป ทุกคนจึงผ่อนคลายลงไม่น้อย หลานไว่หู่ไชโยโห่ร้องพลางโผใส่ร่างกู้ซีจิ่ว แทบจะกอดเธอหมุนไปรอบๆ แล้ว “ซีจิ่ว หลายปีมานี้ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบตายแน่ะ!”
เชียนหลิงอวี่ก็เอ่ยสมทบด้วย “เรื่องนี้ข้าเป็นพยานได้ ขอเพียงสำนักศึกษาของพวกเรามีคนที่กลับมาจากการออกไปข้างนอก สิ่งแรกที่นางทำก็คือพุ่งไปถามพวกเขาว่ามีข่าวคราวของเจ้าหรือไม่ ทำให้ทุกครั้งที่สหายร่วมสำนักเหล่านั้นกลับมาไม่รอให้นางถามก็โบกไม้โบกมือบอกก่อนแล้วว่าไม่มีอย่าได้ถามเลย…ทุกครั้งนางล้วนผิดหวังยิ่งนัก ซ้ำยังแอบหนีไปร้องไห้ที่เรือนของเจ้าอยู่หลายครั้งด้วย…”
————————————————————-
บทที่ 1451 ความจริง 4
กู้ซีจิ่วลูบหัวจิ้งจอกน้อย ไม่ได้พบกันแปดปี สาวน้อยผู้นี้ไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ ยังเหมือนเด็กสาวอายุสิบห้าอยู่ นัยน์ตากลมโตใสพิสุทธิ์ดุจวารี ทำให้คนสงสารเอ็นดูอยากจะกอดแล้วโอ๋
“แม่นางกู้ ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ข้าคือหลานเยวี่ย” หลานเยวี่ยเข้ามาคารวะ ถือโอกาสดึงหลานไว่หู่กลับไปอย่างเงียบๆ ด้วย “เจ้าก็เป็นแม่นางใหญ่แล้ว อย่าได้โผใส่ร่างผู้อื่นไปเรื่อย คนอื่นจะพูดกันได้ว่าเจ้าสะเพร่าไม่สำรวมตน”
ดูเหมือนหลานไว่หู่จะค่อนข้างกลัวเขา เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่ไม่ได้โต้แย้งกลับ เม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มนิดๆ ถึงแม้จะอึดอัด ทว่าไม่ได้พูดจาเป็นอื่นเช่นกัน
ใบหน้าหล่อเหล่าของเยี่ยนเฉินยังคงซีดเซียวอยู่ สายตากวาดผ่านร่างของหลานเยวี่ยกับหลานไว่หูแวบหนึ่ง แล้วหันเหสายตาไปเสีย
เชียนหลิงอวี่ขมวดคิ้วคมเล็กน้อย ระยะเวลาแปดปี ทำให้เด็กหนุ่มที่เคยมุทะลุโผงผางผู้นี้สุขุมเยือกเย็นขึ้นไม่น้อย เขาเอ่ยเสียงเรียบ “หลานเยวี่ย ความสัมพันธ์ของจิ้งจอกน้อยกับซีจิ่วมิใช่เรื่องที่ผู้มาทีหลังอย่างเจ้าจะเข้าใจได้ ถ้าไม่มีซีจิ่ว ก็คงไม่มีจิ้งจอกน้อยในวันนี้! เจ้าจะขี้หึงเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
หลานเยวี่ยตอบอย่างเยียบเย็น “ข้าเพียงตักเตือนคู่หมั้นของข้าให้ระวังกิริยาวาจาของตน เลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นติฉินนินทาได้ หาได้หึงหวงไม่” แล้วลากหลานไว่หู่มาพลางเอ่ยถามนาง “เมื่อครู่ไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง?”
หลานไว่หู่ส่ายหน้า
เยี่ยนเฉินจึงเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ วิกฤตของที่นี่คลี่คลายแล้ว พวกเจ้าควรกลับไปรายงานภารกิจได้แล้ว”
สายตาของหลานไว่หู่อดไม่ได้ที่จะมองไปทางเขา ทว่าเขากลับไม่ได้มองนาง เพียงตบไหล่เชียนหลิงอวี่เบาๆ “เจ้ารับหน้าที่พาพวกเขากลับไปอย่างปลอดภัย ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดบุบสลายแม้เพียงผมสักเส้น!”
เชียนหลิงอวี่พยักหนา เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ “ศิษย์พี่เยี่ยน เจ้าจะไม่กลับไปกับพวกเราหรือ?”
มุมปากเยี่ยนเฉินยกเป็นรอยยิ้มบางๆ “ไม่จำเป็นแล้ว ข้าสำเร็จการศึกษาจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แล้ว ยังต้องกลับไปรายงานผลให้ทางบ้านทราบ”
เขามองกู้ซีจิ่วอีกครั้ง “ซีจิ่ว ภายหน้าถ้ามีโอกาสพวกเราคงได้พบกันอีก” เขาหันหลังหมายจะจากไป
“ช้าก่อน!” กู้ซีจิ่วเปิดปากเอ่ย “เยี่ยนเฉิน ข้าหวังว่าครั้งนี้เจ้าจะกลับไปกับพวกเราด้วย ข้ามีเรื่องที่ต้องขอความร่วมมือจากทุกคน”
เยี่ยนเฉินผงะไป มองดูเธอ
กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ “เรื่องครานี้สำคัญยิ่งนัก!”
เยี่ยนเฉินใคร่ครวญเล็ก จึงตอบตกลง “ได้!”
….
หมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขาที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ฟังดูคล้ายแดนสุขาวดียิ่งนัก แต่เมื่อไปถึงที่นั่นจริงๆ กลับพบว่าที่นี่อัตคัดและล้าหลังยิ่งนัก
ถนนลูกรังขรุขระ กระท่อมที่ก่อด้วยโคลนเหลืองและก้อนหิน ชาวบ้านหน้าตามอมแมมคลุกฝุ่น
เนื่องจากสายสืบบางส่วนเหาะเหินได้ อีกทั้งกู่ฉานโม่ก็ไม่ได้วางแผนจะอาศัยอยู่ที่นี่ในระยะยาว ดังนั้นเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็จำต้องหลิ่วตาตาม ให้เหล่าศิษย์ในสำนักสร้างกระท่อมแบบเดียวกับชาวบ้านที่นี่ ปะปนอยู่กับชาวบ้าน ไม่เปิดเผยฐานะตัวตน
เนื่องจากชั่วชีวิตของชาวบ้านที่นี่ไม่เคยออกจากหุบเขาเลย จึงไม่ทราบขนบธรรมเนียมของโลกภายนอก ดังนั้นสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเมื่ออยู่ที่นี่จึงไม่ได้รับสิทธิพิเศษอันใดเลย ยากจนข้นแค้นยิ่งกว่าชาวบ้านธรรมดาเสียอีก ด้วยความอัตคัดขัดสนนี้ ต่อให้อยากมอบสิทธิพิเศษอันใดให้แก่ผู้มาจากโลกภายนอกเหล่าก็ไม่มีทุนรอนพอ
เทพที่พวกเขานับถือก็มิใช่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเซียนใหญ่หวง…
เนื่องจากคณะของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีความสามารถพิเศษ อีกทั้งส่วนมากยังเหาะเหินเดินอากาศได้ ดังนั้นชาวบ้านเหล่านี้จึงมอบคำเรียกขานที่พิเศษยิ่งนักให้พวกเขา…ตระกูลของเซียนใหญ่หวง
‘ตระกูลเซียนใหญ่หวง’ ยังคงได้รับความเคารพจากชาวบ้านเหล่านี้ยิ่งนัก เนื่องจากยามที่พวกเขาออกไปยังโลกภายนอกมักจะนำของดีบางอย่างกลับมาข้างนอกด้วย อาทิ ข้าว แป้ง น้ำมัน เกลือ…มีแม้กระทั่งสิ่งของจำพวกของว่างที่ประณีตบรรจง ทำให้วิถีชีวิตของพวกเขาดีขึ้นไม่น้อยเลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น