คัมภีร์วิถีเซียน 1445-1447
ตอนที่ 1445 เงาสีเขียว
อสูรวิญญาณครวญเบิกเนตรแล้ว หานลี่เชื่อมโยงจิตใจกับมันเพียงเล็กน้องถึงได้รู้ว่าอสูรตัวนี้สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณทมิฬที่น่ากลัวกลุ่มหนึ่งได้ในส่วนลึกของเทือกเขานั้น ดูเหมือนว่าจะมีอะไรที่แข็งแกร่งสักอย่างอยู่จนแม้กระทั่งมันเองก็รู้สึกกระวนกระวาย
เดิมทีอสูรวิญญาณครวญก็เป็นรองจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์โดยกำเนิดแล้ว พลังวิญญาณทมิฬที่ทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นภูตที่น่ากลัวแล้ว
แม้จะกล่าวว่าอสูรวิญญาณครวญดูเหมือนจะไม่ได้ไม่มีพลังต้านทาน แต่หานลี่กลับไม่อยากเสี่ยงอันตรายครั้งนี้
ดังนั้นเขาจึงยกเลิกการเข้าไปในเทือกเขานี้ในทันที แล้วยอมเสียเวลานานอ้อมไปทางอื่นที่ไกลออกไปแทน
เรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความลับของอสูรวิญญาณครวญ แน่นอนว่าหานลี่จึงไม่อยากเอ่ยอะไรกับเหลยหลันและพวกทั้งสองอย่างละเอียด ถึงได้ใช้เหตุผลที่ดูเหมือนไม่ใช่เหตุผลแก้ต่างไป
เช่นนั้นจึงทำให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ทั้งสองรู้สึกไม่พอใจเล็กๆ หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่นในใจสองสามครั้ง แต่กลับไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด
เขาไม่ได้อยากอยู่ที่เผ่าวิหคสวรรค์นานนัก เหตุใดต้องคิดหาวิธีดูแลสองคนนี้ ขอแค่พวกเขาไม่เป็นตัวถ่วงในการทดสอบครั้งนี้ก็พอแล้ว
เมื่อขบคิดเช่นนี้จากนั้นหานลี่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้ไป๋ปี้และเหลยหลันฟังออีก บุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองก็ไม่อยากเอ่ยอะไรอีกเช่นกัน
ครานั้นบนรถวิญญาณจึงเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดเป็นพิเศษ
ระหว่างทั้งสามคนหานลี่ยืนอยู่บนรถพลางทอดสายตามองไกลออกไป ไป๋ปี้ก้มหน้าลงพลางครุ่นคิด เหลยหลันก็นั่งสมาธิหลับตาไปเสียซะอย่างนั้น
รถวิญญาณที่ถูกหานลี่กระตุ้นด้วยพลังทั้งหมดออกห่างจากเทือกเขาได้ในเพียงชั่วครู่ ยิ่งบินออกไปไกลเท่าไหร่ ก็จมเข้าสู่ป่ารกร้างที่บัดเดี๋ยวมืดมนบัดเดี๋ยวสว่างพร่างอีกครั้ง
หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉับพลันนั้นหานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสี ดึงสายตากลับมาจากจุดที่ไกลออกไป หันหน้าไปทางที่ว่างด้านหลังรถ สองตาหรี่ลงเล็กน้อย
การเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาดของหานลี่แน่นอนว่าทำให้เหลยหลันและไป๋ปี้รู้สึกสนใจ
ทั้งสองคนหนึ่งเงยหน้าขึ้น คนหนึ่งลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
มองตามสายตาของหานลี่ไป แต่รอบด้านของรถวิญญาณล้วนเป็นสีเทาขมุกขมัว ไหนเลยจะมีความผิดปกติ และเป็นเพราะจิตสัมผัสถูกกดเอาไว้เมื่ออยู่ในหุบเหว ทั้งสองจึงไม่อาจแผ่จิตสัมผัสออกตรวจสอบได้ หลังจากมองอีกชั่วครู่ ก็แค่มองไปทางหานลี่ด้วยความประหลาดใจ
หานลี่ยืนอยู่ในรถด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ลำแสงสีฟ้าในรูม่านตาพลันไหลเวียนไปมาไม่หยุด ไม่ปริปากใดๆ แม้แต่คำเดียว
“พี่หาน…” ในที่สุดไป๋ปี้ก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พริบตาที่เขาเอ่ยปาก ฉับพลันนั้นหานลี่ก็ยื่นนิ้วสองนิ้วออกไปตวัดวาดไปกลางอากาศ
เสียง “ฟู่” ดังขึ้น ลำแสงสีทองสายหนึ่งสับผ่านไปที่ด้านหลังรถวิญญาณราวกับสายฟ้า
ทำให้ไป๋ปี้และพวกทั้งสองสะดุ้งโหยงกับฉากที่ปรากฎขึ้น
จุดที่ลำแสงสีทองแฉลบปผ่านไป พลันมีไอสีเขียวสว่างพร่าง หมอกสีเขียวกลุ่มหนึ่งปรากฎขึ้นกลางอากาศ และถูกลำแสงสีทองสับออกเป็นสองส่วน
กลางม่านหมอกกลับมีเสียงคำรามต่ำๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมอกสีเขียวเขียวสองกลุ่มพุ่งไปทางด้านหลัง ผนึกรวมตัวกันกลางอากาศ คาดไม่ถึงว่าจะผสานกลายเป็นกลุ่มเดียวกันอีกครั้ง
หมอกสีเขียวพลันหมุนวน กลายเป็นปีศาจวานรประหลาดที่มีขนสีเหลืองปกคลุมร่างตัวหนึ่ง
นั่นก็คืออสูรวานรอาฆาตที่สังหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินไปคนหนึ่งตัวนั้น
ในที่สุดมันก็ไล่ตามรถวิญญาณทันเมื่อไม่นานมานี้ ภายใต้ความตื่นเต้นดีใจจึงคิดจะเข้าใกล้สักหน่อย จากนั้ันค่อยใช้หมอกพิษห่อหุ้มรถเหาะคันนี้ไว้ แล้วสังหารพวกของหานลี่
แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหานลี่ไม่เพียงจะมีจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งกว่าระดับเทพแปลง เนตรวิญญาณวารีกระจ่างยังสามารถมองทะลุผ่านร่างมายาของเขาได้อย่างง่ายดาย ถูกฟันทำลายความสามารถในการอำพรางตัวไป จึงจำใจต้องปรากฎกาย
เมื่อเห็นปีศาจวานรตัวนี้ เหลยหลันและไป๋ปี้พลันตกตะลึง ซู้ดปากแล้วบินออกจากรถ แยกกันออกเป็นสองฝั่ง
แม้ว่าทั้งสองจะแผ่จิตสัมผัสออกไป แต่ปีศาจวานรอยู่ใกล้กับพวกเขาถึงเพียงนี้กลับไม่อาจสัมผัสได้นั้น เห็นได้ชัดว่าเคล็ดวิชาลวงตานั้นร้ายกาจขนาดไหน แต่หานลี่ที่อยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณเช่นกันนั้นสัมผัสได้ได้อย่างไร
ทั้งสองคนมองไปทางปีศาจวานรด้วยท่าทางระแวดระวัง ในใจรู้สึกไม่เข้าใจเลยสักนิด
ครานี้รถเหาะที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหานลี่พลันหยุดลงอย่างแช่มช้า หานลี่มองไปยังปีศาจที่ด้านหลังรถโดยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“คนบนดินอย่างพวกเจ้าสามคนทำลายการบวงสรวงของนายท่านข้าสินะ?” อสูรวานรอาฆาตเบิกตากลมโต จ้องเขม็งไปยังทั้งสามพลางเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“บวงสรวง? บวงสรวงอะไร เราสามคนทำเรื่องนั้นตอนไหนกัน?” ไป๋ปี้พลันใจหายวาบ แต่กลับถามกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ ไม่ได้สนใจภาษามนุษย์ที่ปีศาจวานรพ่นออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ที่ทะเลทรายก่อนหน้านี้พวกเจ้าทำลายดอกไม้วิญญาณยักษ์ต้นหนึ่งใช่หรือไม่ นั่นคือของบวงสรวงของนายข้า!” รูม่านตาของปีศาจวานรเปล่งแสงเย็นเยียบ เอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม
“เปล่า!” เมื่อได้ยินปีศาจวานรเอ่ยถึงดอกไม้วิญญาณยักษ์ หานลี่พลันใจเต้น แต่กลับเอ่ยด้วยดวงตาที่ไม่กระพริบ
น้ำเสียงราบเรียบและเด็ดขาด ทำให้ปีศาจวานรอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ แต่ทันใดนั้นสายตาก็กวาดไปยังเหลยหลันและพวกทั้งสอง พบว่าพวกเขามีสีหน้าแปลกประหลาด ความคิดก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะนั้นโทสะพลันปะทุขึ้น
“บนร่างของพวกเจ้ามีกลิ่นอายสูบโลหิตของดอกไม้วิญญาณยักษ์ที่ใช้บวงสรวง แล้วยังกล้าหลอกข้า ข้าจะสูบพวกเจ้าเข้าไปในท้อง แล้วกลับไปรายงานนายท่าน” วานรตนนี้เอ่ยอย่างโหดเ**้ยม ร่างกายหมุนคว้าง กลายเป็นหมอกสีเขียวสิบจั้งเศษห่อหุ้มทั้งสามเอาไว้
“รนหาที่ตายนัก!” ไป๋ปี้หุบยิ้มบนใบหน้า ปีกทั้งสองสะบัดไปทางม่านหมอกอย่างแรง
เสียงแหวกผ่านอากาศดังขึ้น เส้นไหมสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา ชั่วพริบตาก็ทะลุผ่านม่านหมอก เกิดเป็นรูนับพันรู
แต่ม่านหมอกกลับผนึกผสานกันเป็นดังเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางลำแสงสีเขียว
เสียง “ตู้มๆ” ดังสนั่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เหลยหลันที่อยู่อีกด้านเห็นท่าไม่ดี สองมือพลันร่ายอาคม ประจุไฟฟ้าสีเงินหนาๆ สองสายพลันพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ โจมจีไปยังหมอกสีเขียว และระเบิดออกจากตรงกลาง
หลังจากที่ลำแสงอัสนีสองกลุ่มเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไปแล้ว หมอกสีเขียวก็หยุดชะงัก เผยรูขนาดใหญ่ถึงสองจั้งออกมา
มุมปากของเหลยหลันไม่ทันได้เผยรอยยิ้มออกมา ในม่านหมอกกลับมีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของปีศาจวานรดังขึ้น
หมอกสีเขียวหมุนติ้วๆ แล้วฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมอีกครั้ง จากนั้นร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้น ยังคงร่อนลงมาอย่างโหดเ**้ยม
ไป๋ปี้และเหลยหลันล้วนหน้าเปลี่ยนสี คิดไม่ถึงเลยว่าอสูรวานรอาฆาตตัวหนึ่งจะจัดการได้ยากเช่นนี้ คนหนึ่งใช้มือหนึ่งหมุนวนอย่างรวดเร็ว ในมือมีหวีไม้สีเขียวปรากฎขึ้น อีกคนหนึ่งกลับใช้สองมือร่ายอาคม บนร่างมีประจุไฟฟ้าอัสนีล้อมรอบอยู่ ดูเหมือนว่าจะอยากสำแดงอะไรสักอย่างออกมา
หานลี่กลับแค่นเสียงด้วยความเย็นชาออกมา ครานี้จึงได้ลงมือ
แผ่นหลังของเขามีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างจ้า ภาพมายาวิหคสีเขียวขนาดใหญ่พลันปรากฎขึ้น อ้าปากออกกลางอากาศ
เสียง “ฟู่” ดังขึ้น เสาลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพ่นออกมาจากปากของวิหคตัวนั้น หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็ทะลุผ่านใจกลางของหมอกสีเขียวไป
ทันใดนั้นเสาลำแสงพลันสลายไป กลายเป็นเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วระเบิดออก
วายุบ้าคลั่งพลันก่อตัวขึ้น!
พายุหมุนที่บ้าคลั่งสายหนึ่งปรากฎขึ้นท่ามกลางม่านหมอก ม้วนเอาหมอกสีเขียวทั้งหมดเข้าไปในพายุ หลังจากหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วหายลับไป
หมอกสีเขียวกลุ่มนี้ราวกับถูกพายุพัดหายไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างไรอย่างนั้น
เหลยหลันและไป๋ปี้เห็นฉากนี้ก็อดที่จะะตกตะลึงไม่ได้
หรือว่าปีศาจที่รับมือได้ยากขนาดนี้จะถูกสังหารไปเช่นนี้
แต่หานลี่มองเห็นฉากนี้กลับมีสีหน้าแปลกประหลาดฉายแวบผ่าน ฉับพลันนั้นหัวไหล่พลันสั่นเทาที่แผ่นหลังพ่นไอกระบี่สีทองหนาๆ แปดสายออกมา
เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงไปทางด้านหลังทั้งแปดจุด
เสียงร้องประหลาดๆ แปดเสียงดังขึ้นพร้อมกันกลางอากาศ จากนั้นเงาสีเขียวแปดกลุ่มก็เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ และหลบหลีกไอกระบี่เหล่านั้น
“เจ้ามองเห็นพวกเรา!” เงาลำแสงสีเขียวเตี้ยยิ่งกว่าปีศาจวานรตัวเดิมแปดสายปรากฎขึ้นลางๆ หนึ่งในนั้นยังเอ่ยปากถามด้วยความตกตะลึง
“วิชาอำพรางแค่นี้ถูกมองออกแล้วแปลกตรงไหน เจ้าคือปีศาจอะไร ไม่ใช่อสูรวานรอาฆาตสินะ อสูรวานรอาฆาตไม่อาจมีวิชาแยกร่างได้” ร่างของหานลี่เลือนรางไปเล็กน้อย เผชิญหน้ากับเงาสีเขียวตรงข้ามแล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ
ส่วนเหลยหลันและไป๋ปี้ทั้งสองถึงได้หันกายไปด้วยความตกใจ
เห็นได้ชัดว่าแม้ทั้งสองจะมีพลังยุทธ์ไม่อ่อนแอ แต่ก็ขาดประสบการณ์จากการต่อสู้ที่แท้จริงมาก มิน่าล่ะเหล่าอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ ถึงได้ไม่คิดว่าทั้งสองจะเอาชนะในการทดสอบได้เพียงลำพัง
“หึๆ คนบนพื้น เจ้าหมายจะถามประวัติความเป็นมาของข้า ฝันไปเถอะ! ดูแล้วเจ้าไม่เหมือนกับคนเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั่วๆ ไป บนพื้นข้าอาจจะทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ในหุบเหวแม้ว่าเจ้าจะมีพลังยุทธ์สูงกว่าข้าสองสามเท่า ก็ไม่อาจเป็นคู่มือของข้าได้” ครั้งนี้คาดไม่ถึงว่าผู้ที่เอ่ยปากจะเป็นเงาสีเขียวอีกเงาหนึ่ง ทันใดนั้นเงาสีเขียวแปดสายก็แหงนหน้าหัวเราะร่อกับท้องฟ้าพร้อมกัน จากนั้นลำแสงสีเขียวพลันสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะผนึกรวมกันกลายเป็นปีศาจวานรที่เหมือนกันแปดตัว
มือของปีศาจวานรเหลานี้มีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีมีดสีเขียวเล่มหนึ่งปรากฎขึ้นพร้อมกัน ตัวมีดเป็นสีเขียวมรกตกระโจนเข้าหามาพวกของหานลี่ทั้งสาม
หานลี่พลันขมวดคิ้วฉับพลันนั้นพลันยกมือหนึ่งขึ้น ฝ่ามือที่มีนิ้วเรียวขาวราวกับหยกพลันกางนิ้วออก
ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงห้าสีผืนหนึ่งก็ถูกพ่นออกมาจากนิ้วทั้งห้า ว่องไวอย่างหาที่เปรียบ แค่ม้วนวนก็กวาดปีศาจวานรทั้งแปดตัวเข้าไปด้านใน
จากนั้นลำแสงห้าสีในเปลวเพลิงลำแสงก็เปล่งประกาย ร่างของปีศาจวานรแปดตัวเคลื่อนไหวช้าลงเป็นสิบเท่า
หานลี่ถือโอกาสนี้อ้าปากออก พ่นเปลวเพลิงสีเงินระยิบระยับออกมา
ภายใต้ความคิดที่เคลื่อนไหว เสียง “ปัง” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีเงินระเบิดออก ทันใดนั้นก็กลายเป็นลูกธนูเพลิงสีเงินแปดลูก เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป
หลังจากเสียง “ฟู่ๆ” ดังขึ้น ลูกธนูเพลิงสีเงินแปดสายพลันเปล่งแสงสว่างวาบทะลุผ่านไปถูกปีศาจวานรที่ถูกเปลวเพลิงลำแสงห้าสีพันธนาการเอาไว้ แม้ว่าปีศาจวานรเหล่านี้จะมีพลังยุทธ์ไม่อ่อนแอ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าในใต้หล้านี้จะมีคนที่มีความสามารถประลหาดๆ อย่างการลดความเร็วผู้อื่น
โดยไม่ทันตั้งตัวปีศาจวานรทั้งแปดเห็นว่าลูกธนูจะเข้ามาโจมตีตัวเอง แต่ร่างกายที่ถูกพันธนการอยู่ ก็ไม่อาจหลบหลีกได้ ทำได้เพียงร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ตรงทรวงอกทยอยกันมีรูขนาดเท่ากำปั้นปรากฎขึ้น ตรงขอบของเปลวเพลิงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง แล้วเริ่มแผดเผา
ปีศาจวานรที่อยู่ในลำแสงสีเงินกลายเป็นควันสีเขียว ชั่วพริบตาก็หายวับ
ปีศาจตนนี้ไม่ทันได้แม้แต่จะสำแดงความสามารถหนึ่งในสิบส่วนของตนเองออกมา ก็ตายไปโดยไม่รู้ตัว แม้แต่จิตวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่อาจหนีพ้น!
เมื่อเปลวเพลิงสีเงินรวมตัวกันอีกครั้ง ก็กลายเป็นวิหคเพลิงตัวหนึ่งจมหายเข้าไปในร่างของหานลี่ เหลยหลันที่อยู่ด้านข้างและไป๋ปี้พลันมองด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง
แม้ว่าทั้งสองจะแค่ประมือกับปีศาจวานรครั้งหนึ่ง แต่ก็มองออกถึงความร้ายกาจและโหดเ**้ยมที่ไม่ธรรมดาของมัน น่าจะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดถึงจะถูก
แต่ผลคือปีศาจตนนี้คาดไม่ถึงว่าจะถูกสังหารได้อย่างง่ายดายเพียงยกมือขึ้น เช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก จะไม่ให้พวกเขาตะลึงงันได้อย่างไร
ครานี้ทั้งสองถึงได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่า ระยะห่างระหว่างตนเองและหานลี่ห่างไกลกันแค่ไหน สายตาที่เหลือบมองหานลี่จึงแปลกประหลาดไปอย่างไม่รู้ตัว
“ไปกันเถิด! ปีศาจตนนี้เอ่ยถึงนายท่านอะไรนั้น เกรงว่าคงต่อกรได้ยาก” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ เท้าข้างหนึ่งแตะไปที่รถวิญญาณ ชั่วขณะนั้นรถคันนี้ก็ปรากฎขึ้นท่ามกลางลำแสงสีขาวนวล
ตอนที่ 1446 วิกฤตการณ์
เหลยหลันและไป๋ปี้ได้ยิน พลันหน้าเปลี่ยนสี รีบร้อนบินกลับเข้าไปในรถ
ชั่วขณะนั้นรถวิญญาณพลันกลายเป็นลำแสงสีขาวนวลกลุ่มหนึ่ง ชั่วพริบตาก็พุ่งแหวกอากาศจากไป
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นท่ามกลางความมืดมิดไร้แสงสว่างในชั้นสาม พลันมีเสียงอุทานด้วยความตกตะลึงดังออกมา
แขนขาวนวลยื่นออกมาจากความมืดมิด ในนิ้วมือมีแผ่นป้ายไม้หัวภูตผีสีเหลืองปรากฏขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น? เพลิงวิญญาณของอสูรแปดหน้ามอดไปแล้ว หึ เจ้าตัวไร้ประโยชน์ เรื่องแค่นี้ยังทำไม่สำเร็จ! ดูแล้วผู้ที่ทำลายเรื่องดีๆ ของข้าคงจะมีความสามารถอยู่บ้าง ช่างเถิด เรื่องเล็กแค่นี้ค่อยจัดการวันหลังก็แล้วกัน ขอแค่เจ้าพวกนั้นไม่ออกจากหุบเหว ข้าก็หาพวกเขาพบแน่” หญิงสาวแค่นเสียงด้วยความเย็นชา เอ่ยพึมพำด้วยความมั่นใจ เสียงนั้นจึงหายไปท่ามกลางความมืดมิด
สองวันต่อมาที่ชั้นหนึ่งของหุบเหว
เงาสีขาวจางๆ กลุ่มหนึ่งพุ่งผ่านผืนหญ้าสีดำไป ฉับพลันนั้นเงาร่างคนสีดำสิบกว่าสายก็พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ กระโจนไปกลางอากาศ
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตั๊กแตนยักษ์สีเขียวมรกตสองตาที่หน้าตาโหดเ**้ยมสิบกว่าตัว
ความสูงสามฉื่อ เป็นสีดำราวกับเหล็ก
เสียง “ตูมๆ” ดังออกมาจากในรถ เงาสีขาวพุ่งออกมาจากประจุไฟฟ้าสีเงินสิบกว่าสาย โจมตีไปยังร่างของอสูรแมลงเหล่านั้นอย่างไม่มีผิดพลาด
ตั๊กแตนยักษ์ไม่ทันได้ร้องครวญ ก็กลายเป็นผุยผง เป็นกลุ่มควันแล้วสลายหายไป
สี่วันต่อมา ณ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยป่าหิน รถวิญญาณคันหนึ่งกำลังบินด้วยความรวดเร็วอยู่กลางอากาศอย่างทระนงองอาจ และข้างล่างกลับมีปีศาจหินที่ดูเหมือนสร้างขึ้นจากก้อนกรวดสองสามตัวกำลังวิ่งไล่ตามอยู่บนยอดเสาหินในป่าหินอย่างไม่ลดละ
เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างวาบแล้วพุ่งออกมาจากรถ ชั่วพริบตาก็ปักอยู่ทั่วตัวของปีศาจหินสองสามตัวนั้น จากนั้นก็ออกแรงดึงแน่น
หลังจากลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ปีศาจหินทั้งหมดก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไร้ซึ่งพลังชีวิต
เจ็ดวันต่อมาหมอกสีเทาขาวพลันหมุนววนอยู่กลางอากาศเหนือหุบเขายักษ์ หานลี่และพวกสยายปีกลอยตัวอยู่ตรงทางเข้า พลางพิจารณาหุบเขาลูกนั้นอย่างละเอียด
เหลยหลันและไป็ปี้ต่างเผยสีหน้าดีอกดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
รถเหาะใต้ฝ่าเท้าของทั้งสามกลับหายวับไป ไม่รู้ว่าพังด้วยน้ำมือของปีศาจที่พบระหว่างทาง หรือว่าหานลี่เก็บกลับไปแล้ว
“ดูแล้วที่นี่คงไม่มีปัญหาอะไร เจ้าไปเถิด! เดินตามที่นี่ลงไปหนึ่งวัน พวกเราก็จะถึงชั้นสองแล้ว ที่นี่ค่อนข้างรกร้าง คิดดูแล้วทางเข้าคงค่อนข้างปลอดภัย น่าจะไม่มีใครมาดักซุ่มโจมตีอะไร” หานลี่เอ่ยทันใดนั้นก็สยายปีกที่แผ่นหลังออก ชิงบินเข้าไปในม่านหมอกก่อนเป็นคนแรก
ครั้นเมื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์มาถึงที่นี่ แน่นอนว่าไม่อาจมีเจตนาอยากล่าถอยอะไรได้ จึงตามหลังมาติดๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ม่านหมอกสีเทาไม่นับว่าหนาแน่นนัก แม้ว่าจะเข้ามาลึกแล้วก็ยังมองเห็นสถานการณ์รอบๆ ได้ในระยะสิบจั้งเศษ
ท่ามกลางม่านหมอกบางครั้งก็มีอสรพิษบินติดปีกยาวสองสามฉื่อสองสามตัวบินออกมา คิดจะโจมตีพวกเขาสามคน
แต่แน่นอนว่าล้วนถูกทั้งสามคนสังหารได้อย่างง่ายดาย
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็เดินออกมาจากม่านหมอก ปรากฎอยู่บนจุดปลายสุดของเนินเขา
ครานี้บนกำแพงภูเขายักษ์ที่อยู่ตรงปลายของหุบเขา พลันมีรอยแยกขนาดยักษ์สายหนึ่งปรากฎขึ้นกลางอากาศ
คดเคี้ยวไปมาทอดตัวลึกลงไปสู่ใต้ดิน
เมื่อเห็นรอยแยกนี้ หานลี่ก็หัวเราะออกมา พาคนที่อยู่ด้านหลังสองคนเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ลำแสงวิญญาณสามกลุ่มที่อยู่ในรอยแยกยิ่งบินเข้าไปก็ยิ่งอยู่ห่างไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบหลังจากหักเลี้ยวไปสองสามครั้ง ถึงได้สลายหายไป
หลังจากนั้นหนึ่งวันหนึ่งคืนรอบๆ รอยแยกขนาดยักษ์ที่ทอดไปสู่ด้านหลัง พลันมีเสียงร้องประหลาดๆ ดังขึ้น
พายุประหลาดสีดำกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากรอยแยก ทำให้กำแพงหินรอบๆ กลายเป็นกำแพงน้ำแข็งสีดำอ่อน เผยความหนาวเหน็บออกมา
แต่ถือโอกาสนี้กลับมีลูกบอลลำแสงหลากสีสันสามลูกทะลักออกมาจากวายุ หลังจากกระพริบวาบก็ปรากฎห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง และเผยเงาร่างคนสามสายออกมาอย่างชัดเจน
นั่นก็คือหานลี่และพวกทั้งสาม
“วายุในหุบเหวขอขงทางสายนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว ข้าเกือบจะหลบไม่ได้ เหตุใดในข้อมูลถึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย” ไป๋ปี้มองกลับไปยังจุดที่ออกมาด้วยสีหน้าซีดขาว
“ในเมื่อในข้อมูลไม่ได้กล่าวไว้ คิดดูแล้ววายุนี้คงเพิ่งจะมีเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มิเช่นนั้นอาวุโสของเผ่าเราไม่มีทางไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แน่” หน้าสดสวยของเหลยหลันเองก็มีท่าทางสูญเสียพลังยุทธ์ไปไม่น้อย ทันใดนั้นก็อดไม่ไหวมองไปทางหานลี่่แวบหนึ่ง
หานลี่กำลังเอาสองมือกอดอกพิจารณามองอะไรสักอย่างอยู่รอบๆ ใบหน้าไม่มีความรู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด ไหนเลยจะมีสีหน้าสูญเสียพลังยุทธ์ไป
“หรือว่าพลังยุทธ์ของแม่ทัพวิญญาณระดับต้นและระดับสูงต่างกันถึงเพียงนี้!” เมื่อนึกถึงว่าตนเองเกือบจะไม่อาจบินออกจากรอยแยกได้ โชคดีที่อีกฝ่ายลงมือ ถึงได้ข้ามผ่านความยากลำบากมาได้ เหลยหลันก็รู้สึกจนปัญญา
“พวกเราเสียเวลาในชั้นหนึ่งไปหลายวัน ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตามหาผลเปลวยมโลกในชั้นสองอีก ตรงไปยังชั้นสามก็พอแล้ว” หานลี่ชักสายตากลับ ใช้น้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เอ่ยออกมา
กลางอากาศมีความเปียกชื้นเล็กน้อย รอบๆ เต็มไปด้วยกลิ่นวัชพืชเน่าๆ คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะอยู่กลางอากาศเหนือจุดที่เหมือนกับบึงน้ำ
เมื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองของเผ่าวิหคสวรรค์รู้ว่าความสามารถของหานลี่อยู่เหนือตนเองแล้ว แน่นอนนว่าก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรอีก แต่เหลยหลันกลับลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอย่างกังวลใจว่า
“ไปชั้นสามน้องหญิงย่อมไม่มีข้อคิดเห็นอะไร แต่พี่หาน ทางเข้าไปยังชั้นสามมีอยู่แค่สามทางเท่านั้น ไม่ว่าพวกเราจะไปทางไหน ล้วนต้องพบกับคนของสาขาอื่น หากพบคนที่มีเจตนาไม่ดีต่อสาขาเราเข้า…”
แม้ว่าสตรีผู้นี้จะยังเอ่ยไม่จบ แต่ความหมายของมันนั้นไม่ว่าใครฟังก็เข้าใจได้
“ไม่ใช่หากคนของสาขาต่างๆ จะต้องจัดเตรียมกำลังคนไว้ที่ทางเข้าชั้นสามแน่ เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่แค่พวกเรา สาขาอื่นๆ ที่อ่อนแอ เกรงว่าก็เป็นเป้าหมายของพวกเขาเช่นกัน” ไป๋ปี้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“หึๆ เจอก็แค่ลงมือ จุดนี้ต้องผ่านไปให้ได้ ทว่าจากที่ข้าคาดเดา แม้ว่าพวกเผ่าใหญ่ๆ อย่างเผ่าแดงสดจะอยากฮุบเผ่าเรา แต่ก็ไม่อาจวางกำลังทั้งหมดเอาไว้ที่ทางเข้าชั้นสามได้ การทดสอบที่สามร้อยปีจะมีครั้วหนึ่ง ต่างสำคัญกับพวกเขาเช่นกัน ทำได้เพียงเหลือไว้ครึ่งหนึ่ง แม้กระทั่งอาจจะเหลือไว้จำนวนน้อยมากเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นการโจมตีอีกฝ่ายให้พ่ายแพ้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากฝ่าคนพวกนั้นไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชา พลางวิเคราะห์ให้ฟังเล็กๆ
“หากเป็นดังที่พี่หานกล่าว พวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส” ฟังหานลี่เอ่ยเช่นนี้ ไป๋ปี้และพวกทั้งสองก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น
“สถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ ผู้ใดก็ไม่อาจรับประกันได้ มีเพียงต้องเดินหน้าต่อแล้วค่อยว่ากันแล้ว” หานลี่ตอบกลับอย่างเคร่งขรึม
“แต่ทางเข้าทั้งสามพวกเราจะไปทางไหน มีอยู่สองทางที่ปลอดภัย และอันตรายอยู่ทางหนึ่ง” เหลยหลันขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามอีกครั้ง
“ในเมื่อครั้งนี้ไปทางไหนก็อาจจะพบคนขัดขวาง แน่นอนว่าต้องเลือกทางที่ใกล้พวกเราที่สุด” หานลี่เอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด
“เช่นนั้นพวกเราก็ต้องไปทางหมื่นเถาวัลย์” หลังจากที่ไป๋ปี้ขบคิดเล็กน้อยก็ตอบกลับ
“ทางหมื่นเถาวัลย์ที่มีเถาวัลย์โบราณจำนวนมากเชื่อมติดชั้นสองชั้นสามหรือ” หานลี่ดูเหมือนว่าจะมีอยู่ในความทรงจำ แววตาจึงเปล่งประกายสว่างวาบขณะเอ่ยถาม
“ใช่แล้วทางนั้นแหล่ะ ทางสายนี้นอกจากปีศาจแมลงที่ปรากฎตัวแล้ว โดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีอันตรายใดๆ และหากทุกอย่างราบรื่นล่ะก็ หลังจากนี้ครึ่งเดือนพวกเราก็น่าจะไปถึง” ไป๋ปี้ตอบกลับอย่างมั่นใจ
“ฟังดูไม่เลว พวกเราไปที่ทางเข้ากันเถิด!” หลังจากที่หานลี่หน้าเปลี่ยนสีแล้วก็เอ่ยปากยืนยัน
เมื่อเห็นว่าหานลี่ยืนยันจุดหมาย เหลยหลันและพวกทั้งสองก็ไม่ได้มีเจตนาใดๆ ล้วนพยักหน้าเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเห็นด้วย
หานลี่พลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ในมือมีจานอาคมสีฟ้าปรากฎขึ้น พลิ้วไหวอยู่เบื้องหน้า แล้วพลันแยกแยะทิศทางพาทั้งสองบินไปเบื้องหน้าทันที
หลังจากที่พวกเขาทั้งสามจากมาไม่นาน
บนพื้นดินก็มีฟองน้ำโสโครกผุดขึ้นมาจากดินโคลน ฉับพลันนั้นเงาร่างสีดำสนิทก็ปรากฎขึ้นอย่างเงียบเชียบ จ้องเขม็งไปยังลำแสงหลีกหนีของหาลี่และพวกที่อยู่ไกลออกไป ดวงตาเปล่งแสงสีแดงระเรื่อออกมา
เสียง “ปัง” ดังขึ้น เงานั้นระเบิดออกราวกับฟองสูงอย่างไรอย่างนั้น หายวับไปจากบึงน้ำอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่ที่กำลังพาทั้งสองคนพุ่งไปข้างหน้า พลันรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่ผุดขึ้นมาที่แผ่นหลัง ร่างกายหยุดชะงักไปเล็กน้อย แล้วหันไปมองแวบหนึ่ง
“พี่หานเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ไป๋ปี้ที่ศรัทธาในตัวของหานลี่เป็นอย่างมากไปแล้วเห็นการกระทำของหานลี่ ก็อดที่จะหยุดลงเช่นกันแล้วเอ่ยถามไม่ได้
“ไม่มีอะไรหรอก อาจจะรู้สึกไปเองกระมัง!” แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสองสามครั้ง กวาดสายตาไปมองพื้นดินด้านหลังอย่างละเเอียดชั่วครู่ แล้วถึงได้เอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า
ความเย็นยะเยือกที่แผ่นหลังหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
การสัมผัสได้ว่ามีอะไรผิดปกติสำหรับหานลี่ที่มีปฏิภาณไหวพริบว่องไวนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่มาเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกว่ามีเงาดำในใจที่ไม่อาจปัดออกได้
ทว่าขอแค่ไม่ใช่ปีศาจที่มีพลังยุทธืสูงกว่าตนเองมากนัก ก็ไม่อาจหลบพ้นความสามารถของเนตรวิญญาณของตนเองได้ บางทีอาจจะแค่รู้สึกไปเองกระมัง!
หานลี่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ทำได้เพียงเลิกคิดไป กวักมือไปทางไป๋ปี้และพวกทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง แล้วสยายปีกออกเดินทางอีกครั้ง
แต่แค่ใบหน้าของเขามีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก!
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่รู้ว่าในภูเขาของหุบเหวชั้นหนึ่งนี้ มีคนลึกลับถูกชุดคลุมยาวสีแดงสดห่อหุ้มอยู่ กำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้สีดำสนิทตัวหนึ่ง และบนโต๊ะหินด้านข้างเขากลับมีกระจกทองแดงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ในกระจกนั้นมีรูปภาพลางๆ ปรากฎอยู่
เนื้อหาในรูปภาพก็คือลำแสงหลีกหนีของหานลี่และพวกของเหลยหลันที่กำลังบินออกห่างจากบึงน้ำ
“น่าสนใจจริงๆ! คาดไม่ถึงแม้แต่หุ่นเชิดโคลนของข้าก็ยังสัมผัสได้ ดูแล้วจิตสัมผัสคงแข็งแกร่งกว่าพลังยุทธ์มาก น่าเสียดายข้าไม่ใช่หกขาของชั้นหนึ่ง ไม่สนใจหลอมวิญญาณทมิฬอยู่แล้ว” ผู้ที่สวมชุดโลหิตเปล่งเสียงหัวเราะต่ำๆ ออกมา ทันใดนั้นก็โบกแขนเสื้อไปทางกระจก ดูเหมือนว่าหมายจะสำแดงเคล็ดว
“เกือบลืมไป ดูเหมือนว่ายายเฒ่านั้นจะรวบรวมวิญญาณสัตว์ที่แข็งแกร่งครบแล้ว คนผู้นี้ดูเหมือนว่าจะเป็นของขวัญที่ไม่เลว น่าจะเอามาแลกกับมัจฉาโลหิตได้!” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตมีความคิดอะไรขึ้นมา พลางเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
ผู้ที่สวมชุดสีโลหิตหยัดกายลุกขึ้นนั่ง แววตาฉายแววตื่นเต้นดีใจ ดูเหมือนว่าจะรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกับแผนที่เพิ่งผุดขึ้นมาของตนเองเป็นอย่างมาก
เขาพลันสะบัดแขนเสื้อ ไข่มุกกลมๆ แวววาวเม็ดหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็หยุดอยู่เบื้องหน้า
มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ลำแสงสีแดงสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายเข้าไปในไข่มุกกลมๆ
ไข่มุกเม็ดนี้หมุนติ้วๆ ลำแสงสีโลหิตเปล่งประกายเจิดจ้า
ตอนที่ 1447 ส่วนลึกของหุบเหว
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา ลำแสงสีโลหิตบนไข่มุกกลมๆ พลันหดเล็กลง ฉับพลันนั้นก็สั่นเทาแล้วมีเสียงแหบแห้งของฮูหยินชราดังขึ้น
“ตี่เสี่ย มีธุระอันใดหรือ ไม่รู้ว่าข้ากำลังติดธุระเรื่องแผนการใหญ่ของพวกเราหรือ?”
เจ้าของน้ำเสียงดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยใจพอที่คนสวมชุดสีโลหิตมาหาเขา
“หึๆ หลังจากที่พวกเราวางแผนกันมันก็ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว ครานี้นานๆ ตาเฒ่าจะติดต่อสหายมาสักที จะคุยด้วยสักหน่อยมิได้เลยหรือ?” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตกลับหัวเราะต่ำๆ ออกมาขณะเอ่ย
“อย่าอ้อมค้อม เกิดอะไรขึ้นกันแน่ พูดมาตามตรงเถิด มิเช่นนั้นตัวประหลาดเฒ่าซิวจะตัดเคล็ดวิชาลับซะ” ฮูหยินชรามีน้ำเสียงเคร่งขรึม ท่าทางหมดความอดทน
“แผนการแยกกันจัดการที่พวกเราวางกันครั้งที่แล้ว มู่ชิงรวบรวมของสูบโลหิตบวงสรวง หกขารวบรวมพลังทมิฬ ตาเฒ่ารับหน้าที่หลอมหุ่นเชิด สหายจำต้องเลี้ยงดูภูตทมิฬเกราะจันทราแปดพันตนที่สำคัญที่สุด ไม่ทราบว่าสหายไปถึงขั้นไหนแล้ว” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตกลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
“หึๆ รู้อยู่แล้วยังจะมาถาม! พวกเจ้าวางกำลังไว้ในลูกน้องของข้าตั้งไม่รู้เท่าไหร่ พัฒนาไปถึงไหนแล้วจะไม่รู้หรือ?” ฮูหยินชราเงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วตอบกลับอย่างเย็นชา
“ฮ่าๆ ก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ สถานที่ที่ข้าหลอมหุ่นเชิดนั้นก็มีสหายใต้อาณัติเจ้าปรากฎตัวขึ้นเช่นกันมิใช่หรือ แต่ตอนนี้ข้าอยากได้ยินจากเจ้าด้วยตนเอง” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตหัวเราะร่อขณะเอ่ย
“นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร มีอะไรที่พูดไม่ได้ ภูตทมิฬเกราะจันทราแปดพันตนยังพอว่า ขอแค่หกขาหาไอวิญญาณทมิฬมาเลี้ยงดูพวกมันอย่างเพียงพอ ก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วแล้ว ปัญหาเดียวก็คือราชันย์ภูตเกราะจันทราแปดตนที่เป็นผู้บัญชาการผู้ทมิฬเหล่านั้น จำต้องใช้จิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีจิตสัมผัสแข็งแกร่งถึงจะหลอมขึ้นได้ จิตวิญญาณบริสุทธิ์ระดับนั้น ไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายๆ” ฮูหยินชราตอบกลับอย่างราบเรียบ
“อ๋อ ไม่ทราบว่าเจ้าหลอมราชันย์ภูตทั้งแปดไปได้กี่ตนแล้ว” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตซักถามอย่างรู้สึกสนอกสนใจ
“หลอมได้สามตน! อัตราการหลอมสำเร็จมันต่ำไปหน่อย” ฮูหยินมีน้ำเสียงเคร่งขรึม ท่าทางขัดเขินเล็กน้อย
“หึๆ ก็นี่แหล่ะ ตาเฒ่าถึงได้ติดต่อมาหาสหาย เพราะอยากจะเสนอจิตวิญญาณบริสุทธิ์ชั้นเยี่ยมให้” ฮูหยินชราพลันตะลึงงัน แล้วรู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย
“ข้าไม่ใช่หกขาและเจ้า จึงไม่เชี่ยวชาญด้านทางสายภูต แต่ข้าเพิ่งพบคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะสัมผัสจิตแยกของข้าที่สิงอยู่บนหุ่นเชิดโคลนได้ แม้ว่าจะเป็นแค่จิตสัมผัสส่วนเล็กๆ แต่จิตสัมผัสของคนผู้นี้จะแข็งแกร่งขนาดไหนไม่ต้องบอกก็รู้แล้ว น่าจะเพียงพอให้เจ้าเอาไปหลอมเป็นราชันย์ภูตสินะ” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยอย่างราบเรียบ
“คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน หรือว่าถึงวันทดสอบของเผ่านั้นแล้ว ในเมื่อพบจิตสัมผัสของเจ้าได้ หรือว่าจะเป็นตาเฒ่าของพวกนั้นที่ลงมือเข้ามาเอง” น้ำเสียงของฮูหยินชราแปร่งๆ แล้วพลันเคร่งขรึมขึ้น
“วางใจ แค่ระดับแม่ทัพวิญญาณคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ยุ่งยากอะไร” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“ระดับแม่ทัพวิญญาณ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่พบจิตสัมผัสของเจ้าได้ จิตสัมผัสต้องแข็งแกร่งมาก เยี่ยม ของขวัญนี้ข้าขอรับไว้ แต่เจ้าคงไม่บอกข้าเปล่าๆ สินะ อยากให้ข้าแลกกับอะไรล่ะ?” ฮูหยินชราขบคิดไปเล็กน้อย แล้วตอบกลับเช่นนี้ออกมา
“หึๆ ตาเฒ่าชอบคบค้ากับคนที่เข้าใจอะไรง่ายๆ อย่างสหายจริงๆ ง่ายมาก ขอแค่ตาเฒ่ายอมบอกข่าวของปลาโลหิตหมื่นปีตัวนั้นก็พอแล้ว หากให้ข้าลงมือช่วยเจ้าจับมันมาส่งให้เจ้า ก็ต้องเป็นปลาโลหิตสองตัว” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตกลอกตาไปมา แล้วเอ่ยอย่างละโมบ
“เหอะ เจ้าคิดว่าปลาโลหิตหมื่นปีคือสิ่งใดกัน วิญญาณทมิฬดวงหนึ่งจะแลกกับสองตัว ตอนนี้ข้าไม่มีเวลา คำเดียว เจ้าเอาวิญญาณบริสุทธิ์นั้นมาส่งให้ข้า ข้าจะมอบปลาโลหิตหมื่นปีให้เจ้าตัวหนึ่ง ก็นับว่าเสียเปรียบเจ้าแล้ว” ฮูหยินแค่นเสียงด้วยความเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ
“ตกลง ตัวนึงก็ตัวนึง อีกสิบวันข้าจะนำจิตวิญญาณของคนผู้นี้มามอบให้” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตตอบรับอย่างเต็มใจ เห็นได้ชัดว่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้เปรียบมาก
“ใช่แล้ว การทดสอบของบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าวิญญาณเหาะเหิน มู่ชิงและหกขาล้วนไม่มีความเห็นอะไร สังหารพวกมันให้หมด หรือว่าทำเหมือนแต่ก่อน ให้พวกมันสร้างความโกลาหลอยู่ที่สามชั้นแรก พวกมันไม่มีทางทำลายแผนของพวกเราได้หรอก” จู่ๆ ฮูหยินชราพลันเอ่ยถามขึ้น
“เรื่องใหญ่กำลังอยู่ในช่วงสำคัญ ไม่อาจดึงความสนใจจากเผ่าวิญญาณเหาะเหินไป ขอแค่พวกมันไม่รบกวนพวกเรา ไม่เข้ามาในชั้นสี่ ก็แล้วแต่พวกมันก็แล้วกัน เรื่องนี้คิดดูแล้วมู่ชิงและหกขาคงเข้าใจ” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตตอบกลับอย่างไม่ต้องคิด
“เอาตามที่เจ้าว่า!”
หลังจากเอ่ยอย่างราบเรียบ เสียงของฮูหยินชราที่ไขมุกกลมๆ ก็เงียบหายไป ส่วนไข่มุกนั้นกลับหยุดหมุนวน ชั่วพริบตาลำแสงสีแดงที่ผิวของมันก็หายวับไปเช่นกัน
มือหนึ่งตะปบออกไป ชั่วพริบตาไข่มุกกลมๆ ก็บินเข้ามาอยู่ในมือ จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับ
“แม่ทัพวิญญาณระดับสูงคนหนึ่งบวกกับแม่ทัพวิญญาณระดับต้นสองคน หุ่นเชิดไม้โลหิตระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นต้นสามตน น่าจะเหลือเฟือ” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยพึมพำ พลางสะบัดแขนเสื้อ
เสียง “ฟู่ๆๆ” ดังขึ้น เงาสีโลหิตสามสายบินออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ร่อนลงบนพื้นดิน
ท่ามกลางลำแสงสีโลหิตที่มืดมิด เผยเงาร่างรางเลือนประหลาดๆ สามร่างออกมา พลางหมอบฟุบอยู่บนพื้นไม่เคลื่อนไหว
ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตแววตาเปล่งแสงสีโลหิตสว่างวาบ หว่างคิ้วมีเส้นไหมสีโลหิตของตาเนื้อสามสายที่ยากจะสัมผัสได้ออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของเงาโลหิตทั้งสาม
ชั่วขณะนั้นเงาร่างพลันเงยหน้าขึ้น แววตามีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นในเวลาเดียวกัน
“ไป สังหารมันสามคนซะ เอาจิตวิญญาณของมันกลับมา!” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตชี้ไปทางรูปวาดบนกระจกทองแดง พลางเอ่ยออกมาอย่างไร้ความรู้สึก
ลำแสงสีโลหิตสว่างวาบ เงาสีโลหิตทั้งสามสายกลายเป็นสายรุ้งสีโลหิตสามสายหมุนวนโคจรอยู่ใกล้ๆ แล้วจมหายเข้าไปในกำแพงบริเวณนั้นอย่างไร้ร่องรอย
ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตถึงได้พิงเก้าอี้ไม้ หลับตาทั้งสองข้างลง ราวกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เป็นแค่เรื่องเล็กๆ สำหรับเขาเท่านั้น
……
ใจกลางของเทือกเขาลึกลับชั้นหนึ่ง บนแท่นบวงสรวงสูงร้อยจั้งเศษบนยอดเขายักษ์ที่มีไอทมิฬสีเทาปกคลุมอยู่ ด้านบนมีลูกตายักษ์สีเทาขาวถูกบวงสรวงอยู่บนแท่นหินสีดำ ขนาดเท่าศีรษะและเต็มไปด้วยเส้นไหมโลหิต
รูม่านตาของลูกตานั้นพ่นเส้นไหมสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา เริงระบำไปรอบทิศ พลางทยอยกันดูดไอสีเทารอบๆ ไป
ตรงด้านล่างแท่นบูชาคนลึกลับร่างกายสูงใหญ่ สวมผ้าคลุมสีดำยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
……
ในวิหารยักษ์ที่ถูกปกคลุมด้วยลำแสงสีเขียวที่ชั้นหกของหุบเหว หญิงงามเรือนผมสีขาวราวกับหิมะ ใบหน้าไร้สีโลหิต ยืนอยู่ริมบึงน้ำสีดำขนาดร้อยจั้งเศษแห่งหนึ่ง กำลังจับจ้องทุกอย่างในบึงน้ำอย่างเย็นชา
ข้างกายนางมีสตรีสวมชุดสีดำอายุยี่สิบปีเศษยืนอยู่สองคน
หญิงสาวทั้งสองล้วนมีสีหน้าซีดขาวเช่นกัน แต่คนหนึ่งกลับมีร่างกายบอบบาง ใบหน้ากลมมนอ่อนหวาน เผยความน่าหลงใหลออกมา ให้ความรู้สึกที่บุรุษอยากจะเข้ามาตะกองกอดเอาไว้ อีกคนกลับร่างอรชนอ้อนแอ้น ผิวสีขาวซีด แต่ท่าทีดูเย็นชามาก
รอบๆ บึงน้ำมีเขตอาคมน้อยใหญ่วางอยู่เต็มไปหมด อักขระสีดำสนิททะลักออกมาลอยอยู่เหนือบึงน้ำไม่หยุด
ใจกลางของบึงน้ำมีเงาร่างลางเลือนของคนสวมชุดเกราะสีดำอยู่สองสามคน กำลังลอยอยู่กลางบึงน้ำสีดำไม่ขยับเขยื้อน
อักขระสีดำเหล่านั้นแยกออกเป็นกลุ่มๆ เมื่อเข้าใกล้เงาร่างคนเหล่านั้น ก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเกราะสีดำของเงาร่างคน ชั่วพริบตาก็หายวับไป
แต่ตั้งแต่ต้นจนจบเงาร่างคนก็ไม่ได้เคลื่อนไหว ราวกับว่าสิ้นลมไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หญิงงามผมขาวเห็นเช่นนั้น ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม หัวคิ้วๆ ค่อยๆ ขมวดมุ่นเข้าหากัน
“ใช้เพลิงยมโลก!” หญิงงามผมขาวเอ่ยปากอย่างเย็นชา น้ำเสียงแหบแห้งเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าคือฮูหยินชราที่พูดคุยกับผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเมื่อครู่
“เจ้าค่ะ!” หญิงงามทั้งสองตอบรับพร้อมกัน จากนั้นก็พากันก้าวมาข้างหน้า ลำแสงวิญญาณเเปล่งแสงสว่างจ้า คนหนึ่งมีขวดเล็กๆ สีดำปรากฎขึ้น อีกคนหนึ่งกลับมีพัดใบลานสีดำปรากฎขึ้น
ภายใต้สีหน้าเคร่งขรึมนั้น ทั้งสองชูสมบัติในมือขึ้นพร้อมกัน
เสียงร้องประหลาดๆ ดังขึ้น มังกรวารีเพลิงที่มีเปลวเพลิงสีดำทะลักออกมาจากร่างบินออกมาจากปากของน้ำเต้า จากนั้นก็กระโจนไปยังบึงน้ำ
ชั่วขณะนั้นทั้งบึงน้ำก็มีเปลวเพลิงสีดำปะทุขึ้น อีกด้านหนึ่งหญิงสาวตัวเล็กก็โบกพัดใบลานที่มีอักขระเรียงรายอยู่เต็มไปหมดอย่างสุดแรง
เปลวเพลิงสีดำทะลักออกมาจากพัดในทันที แล้วกระโจนไปยังบึงน้ำ
เปลวเพลิงสองชนิดดูเหมือนจะมีที่มาจากแหล่งเดียวกัน เมื่อผสมเข้าด้วยกันเปลวเพลิงสีดำก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า ห่อหุ้มเงาร่างคนที่ลางเลือนทั้งหมดเอาไว้ข้างใน
หญิงสาวผมขาวเห็นเช่นนั้น สีหน้ากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ในดวงตาคู่งามกลับเผยแววรอคอยออกมา
……
แน่นอนว่าหานลี่ที่บินอยู่ในชั้นสองย่อมไม่รู้ว่าตนเองถูกสิ่งที่น่ากลัวบางอย่างจับจ้องอยู่
แต่หลังจากที่เขารู้สึกถึงไอเย็นเยียบแปลกประหลาดเมื่อครู่นั้น เขาก็ระมัดระวังตัวขึ้นเป็นอย่างมาก
พาเหลยหลันและไป๋ปี้บินไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วไปพลาง ใช้เนตรวิญญาณสำรวจสถานการณ์รอบๆ ไปพลางอย่างไม่เสียดายพลังปราณ
ผลของการกระทำเช่นนี้ทำให้หานลี่พบปีศาจระดับกลางก่อนแล้วจึงอ้อมผ่านไป หลบหลีกความยุ่งยากได้อย่างง่ายดาย
ส่วนอสูรธรรมดาๆ นั้นก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ในชั้นที่สองอยู่แล้ว แน่นอนว่าจึงไม่พบเจออีก
เพราะก่อนที่จะเข้ามาที่ชั้นสองเหลยหลันและพวกทั้งสองนั้นสูญเสียพลังปราณไปไม่น้อย ดังนั้นความเร็วที่ทั้งสามใช้บินจึงไม่นับว่ารวดเร็วนัก ทำให้ทั้งสองเดินทางไปพลางดูดซับไอวิญญาณจากศิลาวิญญาณในมือไปพลาง เพื่อชดเชยพลังยุทธ์ที่เสียไป
หลังจากบินมาได้ครึ่งวัน พวกเขาก็ยังไม่พบปัญหาใดๆ
จนถึงวันที่สองเหลยหลันและพวกทั้งสองฟื้นฟูพลังลมปราณกลับมาเต็มเปี่ยมแล้ว ก็ยังคงไม่พบอะไร หานลี่จึงตัดสินใจหยุดใช้เนตรวิญญาณ
ทั้งสามใช้ความเร็วธรรมดาๆ เข้าไปในเทือกเขาสีเขียวเข้ม
บ่ายของวันที่สองหลังจากที่พวกเขาบินบนอยู่รอบๆ ภูเขายักษ์แล้ว กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ
บนท้องฟ้าที่อยู่ตรงข้ามนั้น อยู่ๆ ก็มีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ จากนั้นเสียงร้องแหลมๆ พลันดังขึ้น ลำแสงมรกตสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฎขึ้น จากนั้นก็พุ่งมายังที่พวกเขาอยู่
ครู่ต่อมาด้านหลังลำแสงมรกตก็มีลำแสงประหลาดเปล่งประกายสว่างวาบ ลำสแงสีเหลืองสามกลุ่มปรากฎขึ้น ไล่ตามลำแสงสีมรกตไปด้วยความเร็วที่มิได้ด้อยไปกว่ากันนัก
ลำแสงหลีกหนีเหล่านี้ปรากฎตัวอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้ แม้ว่าหานลี่และพวกทั้งสามจะอยากหลบหลีก แต่ก็ไม่อาจทำได้
หานลี่พลันขมวดคิ้ว พาคนที่เหลือทั้งสองหยุดลำแสงหลีกหนีลง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น