คัมภีร์วิถีเซียน 1443-1444

ตอนที่ 1443 วิกฤตการณ์

 

 


 


 


เหลยหลันและไป๋ปี้ได้ยิน พลันหน้าเปลี่ยนสี รีบร้อนบินกลับเข้าไปในรถ 


 


 


ชั่วขณะนั้นรถวิญญาณพลันกลายเป็นลำแสงสีขาวนวลกลุ่มหนึ่ง ชั่วพริบตาก็พุ่งแหวกอากาศจากไป 


 


 


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นท่ามกลางความมืดมิดไร้แสงสว่างในชั้นสาม พลันมีเสียงอุทานด้วยความตกตะลึงดังออกมา 


 


 


แขนขาวนวลยื่นออกมาจากความมืดมิด ในนิ้วมือมีแผ่นป้ายไม้หัวภูตผีสีเหลืองปรากฏขึ้น 


 


 


“เกิดอะไรขึ้น? เพลิงวิญญาณของอสูรแปดหน้ามอดไปแล้ว หึ เจ้าตัวไร้ประโยชน์ เรื่องแค่นี้ยังทำไม่สำเร็จ! ดูแล้วผู้ที่ทำลายเรื่องดีๆ ของข้าคงจะมีความสามารถอยู่บ้าง ช่างเถิด เรื่องเล็กแค่นี้ค่อยจัดการวันหลังก็แล้วกัน ขอแค่เจ้าพวกนั้นไม่ออกจากหุบเหว ข้าก็หาพวกเขาพบแน่” หญิงสาวแค่นเสียงด้วยความเย็นชา เอ่ยพึมพำด้วยความมั่นใจ เสียงนั้นจึงหายไปท่ามกลางความมืดมิด 


 


 


สองวันต่อมาที่ชั้นหนึ่งของหุบเหว 


 


 


เงาสีขาวจางๆ กลุ่มหนึ่งพุ่งผ่านผืนหญ้าสีดำไป ฉับพลันนั้นเงาร่างคนสีดำสิบกว่าสายก็พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ กระโจนไปกลางอากาศ 


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตั๊กแตนยักษ์สีเขียวมรกตสองตาที่หน้าตาโหดเ**้ยมสิบกว่าตัว 


 


 


ความสูงสามฉื่อ เป็นสีดำราวกับเหล็ก 


 


 


เสียง “ตูมๆ” ดังออกมาจากในรถ เงาสีขาวพุ่งออกมาจากประจุไฟฟ้าสีเงินสิบกว่าสาย โจมตีไปยังร่างของอสูรแมลงเหล่านั้นอย่างไม่มีผิดพลาด 


 


 


ตั๊กแตนยักษ์ไม่ทันได้ร้องครวญ ก็กลายเป็นผุยผง เป็นกลุ่มควันแล้วสลายหายไป 


 


 


สี่วันต่อมา ณ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยป่าหิน รถวิญญาณคันหนึ่งกำลังบินด้วยความรวดเร็วอยู่กลางอากาศอย่างทระนงองอาจ และข้างล่างกลับมีปีศาจหินที่ดูเหมือนสร้างขึ้นจากก้อนกรวดสองสามตัวกำลังวิ่งไล่ตามอยู่บนยอดเสาหินในป่าหินอย่างไม่ลดละ 


 


 


เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างวาบแล้วพุ่งออกมาจากรถ ชั่วพริบตาก็ปักอยู่ทั่วตัวของปีศาจหินสองสามตัวนั้น จากนั้นก็ออกแรงดึงแน่น 


 


 


หลังจากลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ปีศาจหินทั้งหมดก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไร้ซึ่งพลังชีวิต  


 


 


เจ็ดวันต่อมาหมอกสีเทาขาวพลันหมุนววนอยู่กลางอากาศเหนือหุบเขายักษ์ หานลี่และพวกสยายปีกลอยตัวอยู่ตรงทางเข้า พลางพิจารณาหุบเขาลูกนั้นอย่างละเอียด 


 


 


เหลยหลันและไป็ปี้ต่างเผยสีหน้าดีอกดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด 


 


 


รถเหาะใต้ฝ่าเท้าของทั้งสามกลับหายวับไป ไม่รู้ว่าพังด้วยน้ำมือของปีศาจที่พบระหว่างทาง หรือว่าหานลี่เก็บกลับไปแล้ว 


 


 


“ดูแล้วที่นี่คงไม่มีปัญหาอะไร เจ้าไปเถิด! เดินตามที่นี่ลงไปหนึ่งวัน พวกเราก็จะถึงชั้นสองแล้ว ที่นี่ค่อนข้างรกร้าง คิดดูแล้วทางเข้าคงค่อนข้างปลอดภัย น่าจะไม่มีใครมาดักซุ่มโจมตีอะไร” หานลี่เอ่ยทันใดนั้นก็สยายปีกที่แผ่นหลังออก ชิงบินเข้าไปในม่านหมอกก่อนเป็นคนแรก 


 


 


ครั้นเมื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์มาถึงที่นี่ แน่นอนว่าไม่อาจมีเจตนาอยากล่าถอยอะไรได้ จึงตามหลังมาติดๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม  


 


 


ม่านหมอกสีเทาไม่นับว่าหนาแน่นนัก แม้ว่าจะเข้ามาลึกแล้วก็ยังมองเห็นสถานการณ์รอบๆ ได้ในระยะสิบจั้งเศษ 


 


 


ท่ามกลางม่านหมอกบางครั้งก็มีอสรพิษบินติดปีกยาวสองสามฉื่อสองสามตัวบินออกมา คิดจะโจมตีพวกเขาสามคน 


 


 


แต่แน่นอนว่าล้วนถูกทั้งสามคนสังหารได้อย่างง่ายดาย 


 


 


หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็เดินออกมาจากม่านหมอก ปรากฎอยู่บนจุดปลายสุดของเนินเขา 


 


 


ครานี้บนกำแพงภูเขายักษ์ที่อยู่ตรงปลายของหุบเขา พลันมีรอยแยกขนาดยักษ์สายหนึ่งปรากฎขึ้นกลางอากาศ  


 


 


คดเคี้ยวไปมาทอดตัวลึกลงไปสู่ใต้ดิน  


 


 


เมื่อเห็นรอยแยกนี้ หานลี่ก็หัวเราะออกมา พาคนที่อยู่ด้านหลังสองคนเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด 


 


 


ลำแสงวิญญาณสามกลุ่มที่อยู่ในรอยแยกยิ่งบินเข้าไปก็ยิ่งอยู่ห่างไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบหลังจากหักเลี้ยวไปสองสามครั้ง ถึงได้สลายหายไป  


 


 


หลังจากนั้นหนึ่งวันหนึ่งคืนรอบๆ รอยแยกขนาดยักษ์ที่ทอดไปสู่ด้านหลัง พลันมีเสียงร้องประหลาดๆ ดังขึ้น  


 


 


พายุประหลาดสีดำกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากรอยแยก ทำให้กำแพงหินรอบๆ กลายเป็นกำแพงน้ำแข็งสีดำอ่อน เผยความหนาวเหน็บออกมา 


 


 


แต่ถือโอกาสนี้กลับมีลูกบอลลำแสงหลากสีสันสามลูกทะลักออกมาจากวายุ หลังจากกระพริบวาบก็ปรากฎห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง และเผยเงาร่างคนสามสายออกมาอย่างชัดเจน 


 


 


นั่นก็คือหานลี่และพวกทั้งสาม 


 


 


“วายุในหุบเหวขอขงทางสายนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว ข้าเกือบจะหลบไม่ได้ เหตุใดในข้อมูลถึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย” ไป๋ปี้มองกลับไปยังจุดที่ออกมาด้วยสีหน้าซีดขาว 


 


 


“ในเมื่อในข้อมูลไม่ได้กล่าวไว้ คิดดูแล้ววายุนี้คงเพิ่งจะมีเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มิเช่นนั้นอาวุโสของเผ่าเราไม่มีทางไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แน่” หน้าสดสวยของเหลยหลันเองก็มีท่าทางสูญเสียพลังยุทธ์ไปไม่น้อย ทันใดนั้นก็อดไม่ไหวมองไปทางหานลี่่แวบหนึ่ง 


 


 


หานลี่กำลังเอาสองมือกอดอกพิจารณามองอะไรสักอย่างอยู่รอบๆ ใบหน้าไม่มีความรู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด ไหนเลยจะมีสีหน้าสูญเสียพลังยุทธ์ไป  


 


 


“หรือว่าพลังยุทธ์ของแม่ทัพวิญญาณระดับต้นและระดับสูงต่างกันถึงเพียงนี้!” เมื่อนึกถึงว่าตนเองเกือบจะไม่อาจบินออกจากรอยแยกได้ โชคดีที่อีกฝ่ายลงมือ ถึงได้ข้ามผ่านความยากลำบากมาได้ เหลยหลันก็รู้สึกจนปัญญา 


 


 


“พวกเราเสียเวลาในชั้นหนึ่งไปหลายวัน ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตามหาผลเปลวยมโลกในชั้นสองอีก ตรงไปยังชั้นสามก็พอแล้ว” หานลี่ชักสายตากลับ ใช้น้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เอ่ยออกมา 


 


 


กลางอากาศมีความเปียกชื้นเล็กน้อย รอบๆ เต็มไปด้วยกลิ่นวัชพืชเน่าๆ คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะอยู่กลางอากาศเหนือจุดที่เหมือนกับบึงน้ำ  


 


 


เมื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองของเผ่าวิหคสวรรค์รู้ว่าความสามารถของหานลี่อยู่เหนือตนเองแล้ว แน่นอนนว่าก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรอีก แต่เหลยหลันกลับลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอย่างกังวลใจว่า 


 


 


“ไปชั้นสามน้องหญิงย่อมไม่มีข้อคิดเห็นอะไร แต่พี่หาน ทางเข้าไปยังชั้นสามมีอยู่แค่สามทางเท่านั้น ไม่ว่าพวกเราจะไปทางไหน ล้วนต้องพบกับคนของสาขาอื่น หากพบคนที่มีเจตนาไม่ดีต่อสาขาเราเข้า…” 


 


 


แม้ว่าสตรีผู้นี้จะยังเอ่ยไม่จบ แต่ความหมายของมันนั้นไม่ว่าใครฟังก็เข้าใจได้ 


 


 


“ไม่ใช่หากคนของสาขาต่างๆ จะต้องจัดเตรียมกำลังคนไว้ที่ทางเข้าชั้นสามแน่ เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่แค่พวกเรา สาขาอื่นๆ ที่อ่อนแอ เกรงว่าก็เป็นเป้าหมายของพวกเขาเช่นกัน” ไป๋ปี้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง 


 


 


“หึๆ เจอก็แค่ลงมือ จุดนี้ต้องผ่านไปให้ได้ ทว่าจากที่ข้าคาดเดา แม้ว่าพวกเผ่าใหญ่ๆ อย่างเผ่าแดงสดจะอยากฮุบเผ่าเรา แต่ก็ไม่อาจวางกำลังทั้งหมดเอาไว้ที่ทางเข้าชั้นสามได้ การทดสอบที่สามร้อยปีจะมีครั้วหนึ่ง ต่างสำคัญกับพวกเขาเช่นกัน ทำได้เพียงเหลือไว้ครึ่งหนึ่ง แม้กระทั่งอาจจะเหลือไว้จำนวนน้อยมากเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นการโจมตีอีกฝ่ายให้พ่ายแพ้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากฝ่าคนพวกนั้นไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชา พลางวิเคราะห์ให้ฟังเล็กๆ  


 


 


“หากเป็นดังที่พี่หานกล่าว พวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส” ฟังหานลี่เอ่ยเช่นนี้ ไป๋ปี้และพวกทั้งสองก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น  


 


 


“สถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ ผู้ใดก็ไม่อาจรับประกันได้ มีเพียงต้องเดินหน้าต่อแล้วค่อยว่ากันแล้ว” หานลี่ตอบกลับอย่างเคร่งขรึม 


 


 


“แต่ทางเข้าทั้งสามพวกเราจะไปทางไหน มีอยู่สองทางที่ปลอดภัย และอันตรายอยู่ทางหนึ่ง” เหลยหลันขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามอีกครั้ง 


 


 


“ในเมื่อครั้งนี้ไปทางไหนก็อาจจะพบคนขัดขวาง แน่นอนว่าต้องเลือกทางที่ใกล้พวกเราที่สุด” หานลี่เอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด 


 


 


“เช่นนั้นพวกเราก็ต้องไปทางหมื่นเถาวัลย์” หลังจากที่ไป๋ปี้ขบคิดเล็กน้อยก็ตอบกลับ 


 


 


“ทางหมื่นเถาวัลย์ที่มีเถาวัลย์โบราณจำนวนมากเชื่อมติดชั้นสองชั้นสามหรือ” หานลี่ดูเหมือนว่าจะมีอยู่ในความทรงจำ แววตาจึงเปล่งประกายสว่างวาบขณะเอ่ยถาม 


 


 


“ใช่แล้วทางนั้นแหล่ะ ทางสายนี้นอกจากปีศาจแมลงที่ปรากฎตัวแล้ว โดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีอันตรายใดๆ และหากทุกอย่างราบรื่นล่ะก็ หลังจากนี้ครึ่งเดือนพวกเราก็น่าจะไปถึง” ไป๋ปี้ตอบกลับอย่างมั่นใจ 


 


 


“ฟังดูไม่เลว พวกเราไปที่ทางเข้ากันเถิด!” หลังจากที่หานลี่หน้าเปลี่ยนสีแล้วก็เอ่ยปากยืนยัน 


 


 


เมื่อเห็นว่าหานลี่ยืนยันจุดหมาย เหลยหลันและพวกทั้งสองก็ไม่ได้มีเจตนาใดๆ ล้วนพยักหน้าเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเห็นด้วย 


 


 


หานลี่พลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ในมือมีจานอาคมสีฟ้าปรากฎขึ้น พลิ้วไหวอยู่เบื้องหน้า แล้วพลันแยกแยะทิศทางพาทั้งสองบินไปเบื้องหน้าทันที 


 


 


หลังจากที่พวกเขาทั้งสามจากมาไม่นาน 


 


 


บนพื้นดินก็มีฟองน้ำโสโครกผุดขึ้นมาจากดินโคลน ฉับพลันนั้นเงาร่างสีดำสนิทก็ปรากฎขึ้นอย่างเงียบเชียบ จ้องเขม็งไปยังลำแสงหลีกหนีของหาลี่และพวกที่อยู่ไกลออกไป ดวงตาเปล่งแสงสีแดงระเรื่อออกมา 


 


 


เสียง “ปัง” ดังขึ้น เงานั้นระเบิดออกราวกับฟองสูงอย่างไรอย่างนั้น หายวับไปจากบึงน้ำอย่างไร้ร่องรอย  


 


 


หานลี่ที่กำลังพาทั้งสองคนพุ่งไปข้างหน้า พลันรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่ผุดขึ้นมาที่แผ่นหลัง ร่างกายหยุดชะงักไปเล็กน้อย แล้วหันไปมองแวบหนึ่ง 


 


 


“พี่หานเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ไป๋ปี้ที่ศรัทธาในตัวของหานลี่เป็นอย่างมากไปแล้วเห็นการกระทำของหานลี่ ก็อดที่จะหยุดลงเช่นกันแล้วเอ่ยถามไม่ได้ 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก อาจจะรู้สึกไปเองกระมัง!” แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสองสามครั้ง กวาดสายตาไปมองพื้นดินด้านหลังอย่างละเเอียดชั่วครู่ แล้วถึงได้เอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า 


 


 


ความเย็นยะเยือกที่แผ่นหลังหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น  


 


 


การสัมผัสได้ว่ามีอะไรผิดปกติสำหรับหานลี่ที่มีปฏิภาณไหวพริบว่องไวนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่มาเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกว่ามีเงาดำในใจที่ไม่อาจปัดออกได้  


 


 


ทว่าขอแค่ไม่ใช่ปีศาจที่มีพลังยุทธืสูงกว่าตนเองมากนัก ก็ไม่อาจหลบพ้นความสามารถของเนตรวิญญาณของตนเองได้ บางทีอาจจะแค่รู้สึกไปเองกระมัง! 


 


 


หานลี่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ทำได้เพียงเลิกคิดไป กวักมือไปทางไป๋ปี้และพวกทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง แล้วสยายปีกออกเดินทางอีกครั้ง 


 


 


แต่แค่ใบหน้าของเขามีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก!  


 


 


แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่รู้ว่าในภูเขาของหุบเหวชั้นหนึ่งนี้ มีคนลึกลับถูกชุดคลุมยาวสีแดงสดห่อหุ้มอยู่ กำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้สีดำสนิทตัวหนึ่ง และบนโต๊ะหินด้านข้างเขากลับมีกระจกทองแดงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ในกระจกนั้นมีรูปภาพลางๆ ปรากฎอยู่ 


 


 


เนื้อหาในรูปภาพก็คือลำแสงหลีกหนีของหานลี่และพวกของเหลยหลันที่กำลังบินออกห่างจากบึงน้ำ 


 


 


“น่าสนใจจริงๆ! คาดไม่ถึงแม้แต่หุ่นเชิดโคลนของข้าก็ยังสัมผัสได้ ดูแล้วจิตสัมผัสคงแข็งแกร่งกว่าพลังยุทธ์มาก น่าเสียดายข้าไม่ใช่หกขาของชั้นหนึ่ง ไม่สนใจหลอมวิญญาณทมิฬอยู่แล้ว” ผู้ที่สวมชุดโลหิตเปล่งเสียงหัวเราะต่ำๆ ออกมา ทันใดนั้นก็โบกแขนเสื้อไปทางกระจก ดูเหมือนว่าหมายจะสำแดงเคล็ดว 


 


 


“เกือบลืมไป ดูเหมือนว่ายายเฒ่านั้นจะรวบรวมวิญญาณสัตว์ที่แข็งแกร่งครบแล้ว คนผู้นี้ดูเหมือนว่าจะเป็นของขวัญที่ไม่เลว น่าจะเอามาแลกกับมัจฉาโลหิตได้!” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตมีความคิดอะไรขึ้นมา พลางเอ่ยพึมพำกับตัวเอง 


 


 


ผู้ที่สวมชุดสีโลหิตหยัดกายลุกขึ้นนั่ง แววตาฉายแววตื่นเต้นดีใจ ดูเหมือนว่าจะรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกับแผนที่เพิ่งผุดขึ้นมาของตนเองเป็นอย่างมาก  


 


 


เขาพลันสะบัดแขนเสื้อ ไข่มุกกลมๆ แวววาวเม็ดหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็หยุดอยู่เบื้องหน้า 


 


 


มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ลำแสงสีแดงสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายเข้าไปในไข่มุกกลมๆ  


 


 


ไข่มุกเม็ดนี้หมุนติ้วๆ ลำแสงสีโลหิตเปล่งประกายเจิดจ้า  

 

 


ตอนที่ 1444 ชีพจรภูเขาลึกลับ

 

หุบเขาขนาดใหญ่นี้ยิ่งบินเข้าไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งทอดตัวลึกลงไปใต้ดินเรื่อยๆ เบื้องหน้าล้วนมืดมิด ไม่มีลำแสงใดๆ เลยแม้แต่น้อย ราวกับเชื่อมกับน้ำพุนพทมิฬอย่างไรอย่างนั้น


 


 


แต่ดวงตาทั้งสองข้างของคนเผ่าแดงสดพลันเปล่งแสงสีแดงที่น่าตกตะลึงออกมา คาดไม่ถึงว่าจะยังมองเห็นทุกอย่างท่ามกลางความมืดมิด ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


หลังจากนั้นไม่นานเบื้องหน้าท่ามกลางความมืดมิดก็มีเสียงวิหคประหลาดๆ ดังขึ้น ของสีดำขนาดใหญ่บินกรูกันเข้ามา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นค้างคาวปีศาจดวงตาสีม่วงแดงขนาดเท่าวิหคยักษ์ฝูงหนึ่ง เปล่งเสียงร้องประหลาดๆ ออกมาขณะกระโจนเข้าหาคนของเผ่าแดงสด


 


 


จู้อินจื่อบินอยู่ด้านหน้าสุด เมื่อเห็นท่าทางดุดันของค้างคาวเหล่านี้ ใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่ปีกที่แผ่นหลังพลันกระพือ


 


 


ขนนกจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไป ทอตัวเรียงกันอยู่เบื้องหน้า


 


 


ลำแสงสีแดงสว่างวาบ ขนนกกลายเป็นลูกธนูเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วน เปล่งแสงสว่างวาบพุ่งทะลุฝูงค้างคาวไป


 


 


เสียงระเบิดดัง “ตู้มๆ” ดังขึ้น ค้างคาวทยอยกันกลายเป็นลูกบอลเพลิงร่วงหล่นจากบนท้องฟ้า คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีอะไรเล็ดรอดไปสักตัว


 


 


คนของเผ่างแดงสดไม่ได้หยุดชะงักเลยสักนิด ชั่วพริบตาลำแสงหลีกหนีก็จมหายเข้าไปในความมืดมิด


 


 


ขอแค่พวกเขาบินลัดเลาะไปตามหุบเขา หนึ่งวันหนึ่งคืนก็จะมาถึงชั้นสองของหุบเหวอย่างปลอดภัย


 


 


……


 


 


บนเนินดินสีแดงฉาน เงาสีดำยักษ์เปล่งแสงสว่างพร่างขณะบินแฉลบผ่านไป ท่าทางเหมือนกำลังบินหนีด้วยคววามร้อนใจ


 


 


และเมื่อเงาสีดำนั้นบินผ่านไปได้ไม่นาน ขอบฟ้าก็มีลำแสงเปล่งประกาย ลำแสงหลากสีอีกสิบกว่ากลุ่มพลันเปล่งแสงสว่างจ้าแล้วปรากฎขึ้น บินตรงไปทางนั้น


 


 


คนกลุ่มนี้มีปีกที่แผ่นหลังอันแปลกประหลาด แต่ทุกคนล้วนมีรอยสักสีดำอยู่บนใบหน้า คิดไม่ถึงว่าจะะเป็นคนของเผ่าชีเย่ว์ที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในเผ่าวิญญาณเหาะเหิน


 


 


เด็กผู้หญิงร่างกายผ่ายผอมที่บินอยู่หน้าสุดนั่นก็คือบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ทุกคนชำเลืองตามอง เอ๋าชิง


 


 


สตรีผู้นี้มองจุดเรืองๆ ในจุดที่ไกลออกไป เงาสีดำกำลังหนีเตลิด มุมปากเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ไล่ตามไปอย่างไม่รีบร้อน


 


 


“ศิษย์พี่หญิงเอ๋า อสูรเขี้ยวทองตัวนี้หนีไปคนละทางกับทางเข้าชั้นสองที่พวกเราต้องไป พวกเราไม่ต้องตามไปแล้วดีหรือไม่ สังหารมันเถิด” หลังจากไล่ตามมาได้ชั่วครู่ ในที่สุดชายร่างใหญ่ร่างกายกำยำคนหนึ่งในบรรดาบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าชีเย่ว์ด้านหลัง ก็อดไม่ไหวเอ่ยปากขึ้น


 


 


“รีบร้อนทำไม! หรือว่าพบกับปีศาจระดับกลางฝูงหนึ่งอย่างอสูรเขี้ยวทองในชั้นหนึ่ง แน่นอนว่าต้องล้มจับให้หมด หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าาหากข้าไปชั้นต่อไปช้าหน่อยจะไม่อาจทำแบบทดสอบสำเร็จได้” เด็กผู้หญิงเอ่ยก็เอ่ยอย่างไร้ความรู้สึกโดยไม่ได้หันกลับมา


 


 


“เปล่าขอรับ ศิษย์น้องไม่มีทางมีความคิดเช่นนั้นแน่ แค่กลัวว่าผลเปลวยมโลกจะถูกคนของสาขาอื่นแย่งไป” ชายร่างใหญ่ร่างกายกำยำพลันสะดุ้งโหยง แล้วเอ่ยอธิบายอย่างรีบร้อน


 


 


“หากสายไปจริง ก็แย่งมาจากสาขาอื่นก็ได้แล้ว หากไม่ไหวจริงๆ ชั้นสี่ของหุบเหวจะต้องมีผลนี้อยู่จำนวนมากแน่ๆ มากสุดก็แค่เสียเวลามากหน่อยเท่านั้น ลงไปอีกชั้นก็ได้แล้ว” เอ๋าชิงหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างาราบเรียบ


 


 


เมื่อได้ฟังคำนี้ ชายร่างใหญ่พลันแบะปปากก แล้วไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก


 


 


ดังนั้นคนกลุ่มนั้นจึงจ้องเขม็งไปยังเงาสีดำที่วิ่งหนีออกไกล แล้วตามไปอย่างไม่รีบร้อน ท่าทางเหมือนแมวกำลังไล่จับหนูอย่างไรอย่างนั้น


 


 


……


 


 


ท่ามกลางกองหินระเกะระกะ คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินใบหน้ามีเกล็ด มีปีกสีฟ้าที่แผ่นหลังสามคน กำลังบินวนปีศาจทมิฬที่มีหัวเป็นกวางตัวเป็นมนุษย์สูงสองจั้งพลางโจมตีอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด


 


 


ปีศาจตนนี้มีไอสีดำหมุนวนอยู่บนร่าง ในมือถือสามง่ามยักษ์สีดำเอาไว้ คนหนึ่งต้านทานบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินสองสามคน คาดไม่ถึงว่าจะไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย กลับยิ่งต่อสู้อย่างดุดันมากขึ้น


 


 


บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินสามคนที่ล้อมโจมตี ต่างร้องอุทานว่าแย่แล้วในใจไม่หยุด


 


 


ที่นี่เป็นแค่ชั้นหนึ่งของหุบเหวเท่านั้น แต่ปีศาจหน้ากวางอย่างปีศาจระดับสูงที่จะปรากฎตัวแค่ในชั้นสามเท่านั้น มาปรากฎตัวที่นี่ได้อย่างไร


 


 


ทว่าในเมื่อถูกปีศาจร้ายที่ชอบกินเนื้อจับจ้อง พวกเขาทั้งสามก็จำใจต้องต่อสู้อย่างสุดกำลังแล้ว


 


 


จุดที่เหลือเหล่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินในชั้นหนึ่ง กว่าครึ่งก็ประสบกับความยุ่งยากที่คิดไม่ถึงเช่นกัน แต่บางพวกกลับราบรื่นมาก จนเข้าใกล้ทางเข้าชั้นสองแล้ว แม้กระทั่งคนของเผ่าแดงสดก็เริ่มเข้าไปในทางเข้าชั้นสองแล้ว


 


 


และหานลี่ในครานี้เพราะจำต้องหลบหลีกคนของสาขาอื่นๆ ที่มีเจตนาไม่ดี จึงจำใจต้องตามหาทางเข้าที่ค่อนข้างงห่างไกล พาเหลยหลันและพวกทั้งสองควบคุมรถเหาะหนีไปได้กว่าครึ่งวัน


 


 


ไม่รู้ว่าอาคมบนรถคันนี้ได้ผลจริงๆ หรือว่าเดิมทีถนนสายนี้ก็มีปีศาจอยู่ไม่มากอยู่แล้ว หนทางต่อมาของพวกเขาจึงไม่ได้พบความยุ่งยากอะไร เมื่อบินมาได้สองวันสองคืน หลังจากบินผ่านป่ารกทึบสองผินและเนินเขาแล้ว ก็เข้าสู่จุดที่ค่อนข้างลึกของชั้นหนึ่ง


 


 


หากว่าตามความเร็วของรถและความราบรื่นนี้ น่าจะใช้เวลาอีกวันเดียวก็ถึงทางเข้าชั้นสองแล้ว


 


 


เหลยหลันและไป๋ปี้รู้สึกดีอกดีใจกับสิ่งนี้มาก


 


 


ทว่าหลังจากบินไปได้สองสามหมื่นลี้ เบื้องหน้ากลับมีภูเขาชีพจรวิญญาณใต้ดินสีดำปรากฎขึ้น


 


 


ภายใต้ความตกตะลึงของทั้งสาม จึงจำใจต้องหยุดรถเหาะ


 


 


“ตามเครื่องหมายในแผนที่ ที่นี่ควรจะเป็นที่ราบ เหตุใดถึงมีเทือกเขา” ไป๋ปี้ยืนอยู่ในรถจ้องเขม็งไปยังภูเขายักษ์ที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้า พลางเอ่ยพึมพำกับตนเอง


 


 


เหลยหลันเองก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย


 


 


มองจากที่ไกลๆ ยอดเขาของเทือกเขาล้วนสูงใหญ่ บางยอดก็สูงเสียดส่วนที่สูงที่สุดในยุทธภพใต้ดิน แต่แค่สองฝั่งของภูเขาเหล่านั้นมีรอยแยกที่สามารถผ่านไปได้ กลายเป็นถ้ำเล็กๆ ทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกขนลุกซู่


 


 


ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าเทือกเขานี้ทอดยาวไปถึงเพียงไหน ด้านหลังจะมีอะไรประหลาดๆ อีกหรือไม่!


 


 


หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ฉับพลันนั้นร่างกายพลันพลิ้วไหว บินลงมาจากรถวิญญาณ ร่อนลงบนพื้นดินใกล้ๆ และก้มหน้ามองพิจารณาอะไรสักอย่างอย่างละเอียด


 


 


เมื่อเห็นท่าทางของหานลี่ เหลยหลันและไป่ปี้พลันรู้สึกประหลาดใจ แต่หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว ก็บินออกจากรถวิญญาณ แล้วร่อนลงด้านข้างหานลี่


 


 


“ดูจากรอยรอบๆ แล้ว เทือกเขาลูกนี้น่าจะเพิ่งมาปรากฎในรอบร้อยปีที่ผ่านมา กว่าครึ่งคงถูกคนใช้ลมปราณเคลื่อนย้ายมาที่นี่” หานลี่พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า


 


 


“ย้ายภูเขา!” เหลยหลันมีสีหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย ไป๋ปี้เองก็มีสีหน้าเหยเกเล็กๆ


 


 


“ใช่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่แค่ลูกเดียว ทั้งเทือกเขาล้วนถูกคนย้ายมาที่นี่ ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวนัก แม้ว่าความสามารถชนิดนี้ราชันย์ปีศาจที่อยู่ชั้นลึกสุดของใต้ดิน ก็ไม่อาจทำได้โดนลำพัง กว่าครึ่งคงอาศัยสมบัติอะไรสักอย่างหรือว่าเขตอาคมอะไรสักอย่าง มิเช่นนั้นชั้นลึกสุดของหุบเหวคงจะมีปีศาจระดับวิญญาณเที่ยงแท้อาศัยอยู่จริงๆ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา


 


 


“เช่นนี้นี่เอง” ไป๋ปี้ในฐานะที่เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์เองก็มีประสบการณ์ไม่ธรรมดา เมื่อขบคิดเล็กน้อยก็ถึงบางอ้อขึ้นมา


 


 


“ต่อให้เป็นเช่นนั้น สถานการณ์นี้ก็ไม่ค่อยปกตินัก ทะเลทรายที่จู่ๆ ก็ปรากฎขึ้นที่เราเพิ่งผ่านมา ปีศาจหุบเหวทำเช่นนี้ คงมีเจตนาอะไรแน่” เหลยหลันกลับเผยสีหน้ากังวลใจออกมา


 


 


“อาจจะเป็นผลกระทบของการที่คลื่นปีศาจจะระเบิดก็เป็นได้ ต่อให้ไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ก็คงมีเหตุผลอื่น การทดสอบหุบเหวไม่อาจยกเลิกได้ เรื่องนี้พวกเราไม่อาจควบคุมได้ มีเพียงต้องรีบไปที่ชั้นสามและนำผลเเปลวยมโลกกลับไป แล้วรายงานเรื่องนี้ต่อเผ่าเท่านั้น” หานลี่กลับไม่ได้ร้อนใจ ถึงอย่างไรเสียเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเช่นนี้ เขาก็เคยพบมาไม่น้อย


 


 


“พี่หานพูดถูก แต่เกรงว่าเทือกเขานี้จะแปลกประหลาดไปหน่อย หากบินผ่านยอดเขาไป ไม่รู้ว่าจะพบกับอันตรายใด หากอ้อมไปทางทั้งสองฝั่งล่ะก็…” ไป็ปี้เอ่ยไปพลางลังเลเล็กน้อย


 


 


“อ้อมไปทั้งสองทางไม่ได้” เหลยหลันเอ่ยปากปฏิเสธ จากนั้นก็วิเคราะห์ว่า


 


 


“ตามสัญลักษณ์ในแผนที่ ทั้งสองฝั่งของที่นี่ด้านหนึ่งคือวายุหุบเหว วายุหุบเหบที่นั่นไม่เหมือนกับที่เราเคยพบก่อนหน้า ความรุนแรงและไอยะเยือกที่ผสมอยู่เพียงพอจะทำให้พวกเรากลายเป็นเสาน้ำแข็ง ติดอยู่ในนั้นตลอดกาล เป็นเขตต้องห้ามที่มีชื่อเสียงของชั้นหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นก็ไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไร เป็นรังของมดบินหุบเหวที่จัดการอยากที่สุดในชั้นหนึ่ง มีมดบินอาศัยอยู่นับสองสามแสนตัว จากพลังยุทธ์ของพวกเราห้ามบุกเข้าไป ไม่ต้องพูดว่าจะมีโอกาสรอดเพียงส่วนเดียวแล้ว กว่าครึ่งคงไม่อาจเดินออกมาได้อีกตลอดกาล”


 


 


“เช่นนั้นพวกเราก็มีเพียงต้องเสียงข้ามมันไปแล้ว” มองไปยังภูเขาสีดำเบื้องหน้า หานลี่ลูบใต้คางไปมา แล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง


 


 


“นั่นก็ไม่แน่ หากยอมอ้อมไปล่ะก็ ก็สามารถอ้อมไปยังถนนอีกสายได้ แต่ต้องเสียเวลาไปอย่างน้อยก็เจ็ดแปดวัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการตามหาผลเปลวยมโลกของพวกเรา” เหลยหลันลังเลเล็กน้อย


 


 


หานลี่กลับดวงตาเปล่งประกาย มองไปยังเทือกเขาที่ไกลออกไป แล้วเงียบขรึมมิได้เอ่ยอะไร


 


 


ครานี้ไป๋ปี้และเหลนหลันเองก็ปิดปากเงียบ ดูแล้วคงมอบอำนาจการตัดสินใจให้หานลี่ทั้งหมด


 


 


“เทือกเขาแห่งนี้ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดมากต่อข้า หากข้ามไปจริงๆ แล้วพบกับอันตรายอะไรเข้า ถึงครานี้ต่อให้พวกเราออกจากเทือกเขาได้ ก็เกรงว่าต้องสูญเสียลมปราณไปไม่น้อย ไม่เป็นผลดีต่อการทดสอบจากนี้  ส่วนไปถึงชั้นสองช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร หากล่าช้าไปบ้าง ก็จะทำให้พวกที่คิดไม่ดีต่อพวกเราไม่รู้เส้นทางของพวกเรา อีกอย่าง คนเข้ารับการทดสอบมากมายขนาดนี้ ชั้นสองคงไม่มีผลเปลวยมโลกให้ตามหามากมายอะไรหรอก แต่เดิมข้าก็คิดจะพาพวกเจ้าไปที่ชั้นสามอยู่แล้ว ไปกันเถิด เสียเวลามากหน่อย ก็ดีกว่ากับเผชิญกับอันตรายที่ไม่รู้จัก” ในที่สุดหานลี่ก็เอ่ยปาก จากนั้นร่างกายพลันพลิ้วไหว คนกลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งบินกลับเข้าไปในรถวิญญาณ


 


 


เหลยหลันและไป๋ปี้เห็นเช่นนั้น ก็ถ่ายทอดเสียงไปสองสามประโยค สุดท้ายก็บินขึ้นไปบนรถวิญญาณกลางอากาศ


 


 


“พี่หานเราลองปรึกษาหารือกันอีกสักรอบดีหรือไม่ บางทีบนภูเขาอาจจะไม่ได้อันตรายอะไรอย่างที่คิดก็ได้” ไป๋ปี้ที่สองเท้ายืนอยู่บนรถวิญญาณ อดไม่ไหวเอ่ยขึ้น


 


 


แม้นว่าเขาจะรู้สึกว่าสิ่งที่หานลี่กล่าวมีเหตุผล แแต่หากเสียเวลามมากขนาดนี้ ก็ยังทำให้เขาอดที่จะรู้สึกเสียดายไม่ได้


 


 


“ไม่ต้องคิดแล้ว ข้าไม่มีทางเข้าไปในเทือกเขานี้แน่” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ ขัดคำพูดชักจูงของไป่ปี้ต่อจากนี้ ทันใดนั้นปลายเท้าก็แตะไปตรงสามเหลี่ยมของรถวิญญาณ


 


 


เสียง “สวบ” ดังขึ้น รถคันนี้กลายเป็นลำแสงวิญญาณกลุ่มหนึ่ง พุ่งไปอีกด้านราวกับดาวตก


 


 


เมื่อเห็นท่าทียืนหยัดของหานลี่ ไม่ใช่แค่ไป๋ปี้ที่ถอนหายใจออกมาโดยไม่ได้กล่าวอะไร เหลยหลันเองก็ปิดปากเงียบกริบ


 


 


ผู้ใดก็ไม่รู้ว่า สายตาของบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองที่มองมายังหานลี่นั้น มีความคุกรุ่นในใจ


 


 


จิตสัมผัสของเขากำลังเชื่อมโยงกับอสูรวิญญาณครวญในกำไลอสูรวิญญาณ กำลังปลอบโยนอสูรตนนี้ที่กำลังรู้สึกกระสับกระส่าย ในเวลาเดียวกันก็เอ่ยรำพึงในใจไม่หยุด


 


 


ตั้งแต่ที่เขาเข้าใกล้เมือกเขานี้ ไข่มุกวิญญาณครวญในร่างก็เริ่มร้อนฉ่า ภายใต้ความตกตะลึงของเขาก็นึกถึงอสูรวิญญาณครวญที่อยู่ในกำไลอสูรวิญญาณ ผลคือพบว่าอสูรตนนี้กำลังเปล่งเสียงร้องคำรามไม่หยุดอย่างผิดปกติ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)