ลำนำบุปผาพิษ 1440-1443
บทที่ 1440 เธอกลับมาแล้ว
ในความเป็นจริงคือ กู้ซีจิ่วไม่พบคนเหล่านี้เลยสักคน ถึงขั้นที่ไม่พบเห็นผู้คนที่มีชีวิตเลยสักคน
นกกา ต้นหญ้าเหี่ยวเฉา อาคารเปลี่ยวร้าง
สำนักศึกษาที่เคยคึกคักมีผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสายกลายเป็นคฤหาสน์ผีสิงหลังใหญ่ เงาร่างมนุษย์สักคนก็ไม่พบเห็นเลย ถึงขั้นที่จิ้งหรีดเรไรสักตัวก็ไม่กระโดดออกมาเลย ทั่วทั้งสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไม่พบเห็นสิ่งมีชีวิตเลย
ภายในห้องทุกห้องไม่พบร่องรอยการต่อสู้เลย โต๊ะตั่งม้านั่งล้วนยังอยู่ดีทั้งหมด ไม่คล้ายว่าถูกรื้อค้นอันใดเลย ราวกับคนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อพยพออกไปอย่างเร่งด่วน แถมยังอพยพออกไปอย่างเป็นระบบระเบียบด้วย มิใช่การอพยพไปอย่างฉุกละหุกวุ่นวายประเภทนั้น…
ต้องทราบก่อนว่าการสร้างสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แห่งนี้มิได้ง่ายดายเลย หลายอย่างไม่อาจสร้างขึ้นมาได้ในชั่วข้ามคืน ถึงขั้นที่บางสถานที่ต้องสร้างกันอยู่หลายสิบปีถึงจะเสร็จสมบูรณ์ อิฐทุกก้อนกระเบื้องทุกแผ่นของที่นี่ล้วนรวบรวมมาด้วยหยาดเหงื่อแรงใจของเหล่าศิษย์อาจารย์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ตามที่กู่ฉานโม่เคยว่าไว้คือ หัวอาจขาดได้ โลหิตอาจไหลนองได้ แต่ที่ตั้งของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไม่อาจล่มสลายได้!
แต่ยามนี้เขากลับหายไปแล้ว!
กำลังรบของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แข็งแกร่งเหนือธรรมดา แม้กระทั่งตี้ฝูอีก็บอกว่าที่นี่คือรั้วเหล็กกำแพงสัมฤทธิ์ ต่อให้คนจากทุกสำนักในแผ่นดินนี้รวมตัวกันมาโจมตีที่นี่ก็ยังไม่แน่ว่าจะตีให้แตกได้ อะไรกันที่เป็นสาเหตุให้พวกเขาต้องจำใจละทิ้งถิ่นฐานที่ก่อตั้งกันมาหลายร้อยปีไป? ประสบเรื่องประหลาดอันใดเข้างั้นหรือ? แล้วพวกเขาย้ายไปอยู่ที่ไหนกัน?
คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในสมองของคนทั้งสอง กู้ซีจิ่วมองสำรวจรอบข้างอีกครั้ง ก็มาพบเบาะแสร่องรอยอันใดเลย
กู้ซีจิ่วมองตี้ฝูอี ตี้ฝูอีก็ดูเหมือนจะใจลอยอยู่ สีหน้าเคร่งขรึม
ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่เขาอยู่ข้างกายเธอล้วนยิ้มแย้มอยู่เสมอ ท่าทางอารมณ์ดียิ่งนัก
น้อยนักที่จะแผ่อำนาจอันไร้ลักษณ์ของเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมาเช่นยามนี้
“พวกเขาคงไม่ได้ประสบเหตุไปหมดแล้วหรอกนะ?” กู้ซีจิ่วเอ่ยงึมงำ
นิ้วมือที่เย็นเฉียบเล็กน้อยของเธอแน่นกระชับ ถูกตี้ฝูอีกุมไว้ “อย่ากลัวไปเลย พวกเขาแค่อพยพไปแล้วเท่านั้น น่าจะไม่มีผู้คนล้มตาย และมิใช้การถูกโจมตีจนสูญเสียอาณาเขต หาวิธีตามหาพวกเขาก็พอแล้ว”
น้ำเสียงสงบราบเรียบของเขาทำให้กู้ซีจิ่วสงบใจลงไม่น้อย
เธอก็คิดเช่นกันว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนเหล่านี้จะประสบเหตุ แต่สีหน้าเมื่อครู่ของตี้ฝูอีทำให้เธอตกใจ เธอจึงอดไม่ได้คิดจะคิดไปในแง่ร้าย ยามนี้เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ก็เบาใจไปกึ่งหนึ่งแล้ว
ตี้ฝูอีไม่ได้โกหกเธอ กับบางเรื่องอย่างมากเขาก็แค่ไม่ตอบหรือว่าตอบเลี่ยงไปเสีย แต่ไม่ได้หาข้ออ้างมาโป้ปดเธอไปเรื่อย
ขอเพียงคนไม่เกิดเรื่องข้นก็พอแล้ว อย่างอื่นค่อยๆ สืบหาไปก็ได้
กู้ซีจิ่วใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อหลีเมิ่งซย่า ถามว่าหอเงาราตรีของนางมีข่าวคราวของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ทางด้านนี้หรือไม่
หลีเมิ่งซย่าตอบว่าไม่มีด้วยความละอายใจอย่างสุดซึ้ง นางถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไล่ล่าปานสุนัขกวดกระต่ายอยู่หลายเดือน แทบไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกเลย ข่าวกรองภายในของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์นางก็ไม่กระจ่างเช่นกัน
เนื่องจากไม่อาจเปิดเผยเป้าหมายได้ ดังนั้นหอเงาราตรีจึงยังอยู่ในความรับผิดชอบของประมุขซย่าผู้นั้น ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ไม่เคลื่อนไหวเลยเช่นกัน
เนื่องจากความวุ่นวายครานั้น ภายในหอเงาราตรีจึงค่อนข้างอลหม่าน ข่าวสารที่ได้รับย่อมไม่แม่นยำทันท่วงทีเช่นเมื่อก่อนแล้ว
หลีเมิ่งซย่ารีบติดต่อหาผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในหอเงาราตรี ให้เขาไปสืบค้นที่ห้องข่าวสาร ผลคือผู้อาวุโสท่านนั้นตอบกลับมาในภายในครึ่งชั่วยาม บอกว่ามีบันทึกไว้เพียงว่าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ถูกโจมตีและขับไล่ให้ล่าถอยไปได้อยู่หลายครั้ง แต่ทั้งหอเงาราตรีไม่มีบันทึกการอพยพของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ และไม่มีข่าวคราวของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ในช่วงสามเดือนนี้เลย
กู้ซีจิ่วสืบหาร่องรอยอยู่ครู่หนึ่ง
—————————————————————-
บทที่ 1441 โสโครกเกินไป! อย่าแตะ
กู้ซีจิ่วสืบหาร่องรอยอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งแต่ระดับสูงยันระดับล่างของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อพยพออกจากที่นี่ยังไม่พ้นสองเดือน แม้กระทั่งเขตแดนที่โอบล้อมอยู่ด้านนอกสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็ยังอยู่…
กู้ซีจิ่วยืนวิเคราะห์กับตี้ฝูอีอยู่ตรงนั้น “ของล้ำค่าทั้งหมดในคลังสมบัติล้วนยังอยู่ เครื่องนอนและของใช้ประจำวันของผู้คนก็ไม่มีร่องรอยการเคลื่อนย้าย ราวกับผู้คนของที่นี่จู่ๆ ก็หายตัวไปทันที ไม่เหมือนอพยพไปด้วยตัวเอง แต่ข้าไปตรวจสอบที่คลังโอสถดูแล้ว โอสถวิญญาณตั้งแต่ขั้นห้าขึ้นไปล้วนหายไปหมด โอสถที่เหลืออยู่คือของทั่วไปที่ผู้คนต่างใช้กัน เมื่อดูจากจุดนี้แล้วคล้ายว่าผู้คนของที่นี่จะพกไปเพียงโอสถล้ำค่ารวมถึงศาสตราวุธคู่กาย ไม่พกสิ่งอื่นไปเลย มีสาเหตุอะไรที่ทำให้พวกเราต้องเลือกทำเช่นนี้?”
ตี้ฝูอีพยักหน้าน้อยๆ “บางทีที่นี่อาจปรากฏสิ่งน่าพรั่นพรึงอันใดขึ้น บีบให้พวกเขาต้องทำการอพยพอย่างไม่มีทางเลือก และสิ่งนี้ก็ไม่เป็นที่รู้จักอีกด้วย ผู้คนถึงขั้นที่ไม่ทราบว่าสรุปแล้วสาเหตุของเรื่องคือสิ่งใด ดังนั้นจึงทิ้งของแทบทุกอย่างไว้…”
กู้ซีจิ่วมองไปรอบๆ “แต่พวกเราอยู่ที่นี่นานถึงเพียงนี้แล้ว ก็ไม่พบเห็นสิ่งน่าพรั่นพรึงอันใดปรากฏขึ้นเลยนี่…”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “ไปสอบถามจากละแวกนี้ก่อนเถอะ หาทางตามหาพวกเขาแล้วค่อยว่ากัน”
….
ทั้งสองคนเหาะทะยานลงจากเขา ตรงไปยังเมืองเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แห่งนั้น
ปกติแล้วคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จะมาจับจ่ายซื้อของที่เมืองเล็กแห่งนี้อยู่เสมอ เมื่อปีนั้นกู้ซีจิ่วก็เคยสะสางความเข้าใจผิดในชาติก่อนกับหลงซือเย่ที่เมืองนี้ และได้พบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมเข้า…
ยามกู้ซีจิ่วอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เคยมาซื้อของเที่ยวเล่นกับเหล่าสหายร่วมสำนักที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง และเมืองเล็กแห่งนี้ก็สงบสุขยิ่งนักเสมอมา ได้รับผลกระทบจากสงครามน้อยยิ่ง
แต่ยามนี้เมืองเล็กแห่งนี้กลับล่มสลายไปด้วยฤทธิ์สงคราม
ร้านรวงบ้านเรือนในอดีตล้วนกลายเป็นซากปรักหักพัก บนทางเดินศิลาเขียวมีคราบเลือดเกรอะกรังที่เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว
เช่นเดียวกับที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ที่นี่ก็ไม่มีเงาร่างมนุษย์ให้เห็นเลยเช่นกัน เพียงสายลมหนาวยะเยือกและหนูที่วิ่งผ่านริมถนนบ้างเป็นครั้งคราว…
หลังจากกู้ซีจิ่วออกมาจากตาค่ายนั้น ได้ยินมาเพียงว่าสงครามครั้งนี้สู้กันอย่างทารุณ เมืองมากมายกลายเป็นเมืองร้าง แต่เมืองเล็กแห่งนี้ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่อยู่ใกล้พรมแดนแคว้นใดเลย ไม่สมควรถูกทำลายจากศึกสงคราม…
เธอตรวจสอบคราบเลือดเหล่านั้นและร่องรอยอื่นๆ ทราบว่าที่นี่ถูกทำลายเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
เพียงแต่ที่น่าอนาถกว่าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มากนัก ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ถึงแม้จะไม่มีคนแต่ก็ไม่พบซากศพเลย ที่นี่กลับพบเห็นซากศพอยู่เป็นระยะๆ
กู้ซีจิ่วไม่แยแสความสกปรก ตรวจบาดแผลของศพเหล่านั้นดู หัวใจจมดิ่งเล็กน้อย บนศพเหล่านี้ไม่มีบาดแผลจากคมอาวุธอย่างพบเห็นกันทั่วไป และไม่คล้ายว่าถูกพิษด้วย แต่ค่อนข้างคล้ายว่าถูกบางสิ่งกัดจนตาย
เนื่องจากศพเหล่านั้นเน่าเปื่อยยิ่งนัก จึงมองบาดแผลอันใดไม่ออกแล้ว
ตี้ฝูอีมองนางเดินวนรอบซากศพซากหนึ่ง ซ้ำยังคิดจะยื่นมือไปไปพลิกซากศพร่างนั้นที่เน่าเปื่อยแล้วอีกด้วย เขาจึงขัดขวางเธอไว้ “โสโครกเกินไป! อย่าแตะ!”
กู้ซีจิ่วไม่รู้สึกว่ามีอะไรเลย ชาติก่อนเคยพลิกศพที่เน่าเละเทะกว่านี้มาแล้วด้วยซ้ำ
“ข้าอยากดูว่าสรุปแล้วพวกเขาตายได้อย่างไร? มีแต่ต้องค้นหาสาเหตุการตายของพวกเขา ถึงจะตรวจสอบได้ว่าเมืองเล็กแห่งนี้เคยประสบอันใดมา”
กู้ซีจิ่วทราบว่าเขารักสะอาด จึงโบกมือให้เขา “เรื่องนี้ข้าทำคนเดียวก็พอ ท่านไปตรวจสอบอย่างอื่นก่อนเถอะ”
“ไม่ต้องพลิกแล้ว ข้ารู้สาเหตุการตายของพวกเขา” ตี้ฝูอีตัดบทเธอ
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองเขา ตี้ฝูอีโบกมือคราหนึ่ง ซากศพนั้นพลิกตัวด้วยตัวเอง เขาสะบัดแขนเสื้ออีกคราหนึ่ง ซากศพเผยแผ่นหลังออกมา…
บทที่ 1442 ไม่อาจต่อกรเช่นนี้ได้
ซากศพนี้เปื่อยยุ่ยเหลือคณาแล้ว แต่บนแผ่นหลังมีเนื้อชิ้นเล็กๆ ที่ยังอยู่ดี บนเนื้อชิ้นเล็กๆ นั้นมีรูกลมๆ สองรู รูไม่ใหญ่ ราวกับใช้ตะปูตอกเข้าไป
เขาพลิกซากศพต่อเนื่องกันหลายศพ ตำแหน่งด้านหลังหัวใจของทุกศพล้วนมีรูกลมๆ เช่นนี้อยู่
กู้ซีจิ่วตรวจสอบบาดแผลนั้นดู และเกิดความสงสัย “นี่เป็นรอยกัดของสัตว์มีเขี้ยวชนิดใดกัน? เหตุใดจึงกัดเพียงตำแหน่งนี้?”
ดวงตาตี้ฝูอีโชนแสงแวบหนึ่ง “สัตว์ร้ายเขี้ยวตะปู นี่เป็นรอยกัดของสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปู พวกมันคือตัวการที่ทำลายสถานที่แห่งนี้”
กู้ซีจิ่วคิดว่าตนรู้จักสัตว์ร้ายในทวีปนี้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ชื่อของสัตว์ร้ายชนิดนี้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก “ไม่น่าเชื่อว่ามันจะสามารถทำลายเมืองแห่งหนึ่งได้…หรือว่ามันเป็นสัตว์ร้ายขั้นแปดที่หนีมาจากยอดเขาที่แปด?”
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “ระดับขั้นของสัตว์ร้ายชนิดนี้ไม่นับว่าสูง เป็นสัตว์ขั้นเจ็ด แต่ดุร้ายโหดเหี้ยมยิ่งนัก ชอบดูดกลืนหัวใจมนุษย์ คนที่ถูกมันกัดวิญญาณจะแตกสลายไปด้วย แม้แต่จะกลับชาติมาเกิดก็ทำไม่ได้แล้ว แถมยังปล่อยไอพิฆาตออกมาด้วย เคยก่อหายนะในทวีปนี้เมื่อสี่พันปีก่อน ถูกข้านำกำลังคนกวาดล้างไปจนสิ้นแล้ว นึกไม่ถึงว่ายามนี้จะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่…”
เขามองบาดแผลบนร่างศพเหล่านั้นอย่างละเอียด “และหนนี้ก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นเพียงตัวเดียวด้วย อย่างน้อยน่าจะมีแปดตัวขึ้นไป”
กู้ซีจิ่วมองซากปรักหักพังรอบข้าง “แต่หากว่าเป็นรอยกัดของสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูอะไรนี่ แล้วเหตุใดพวกมันจึงทำลายบ้านเรือนด้วยเล่า?”
นัยน์ตาตี้ฝูอีมีแววใคร่ครวญลึกซึ้งพาดผ่าน “การทำลายบ้านเรือนน่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์ ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ เมืองเล็กแห่งนี้น่าจะถูกทำลายเพราะสงครามาก่อน แต่มีประชาชนบางส่วนที่ไม่ยอมย้ายจากถิ่นฐานบ้านเกิดกลับมายังเมืองหลังจากสงครามผ่านพ้นไป ทว่าถูกสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูเหล่านี้เข่นฆ่า…”
บัดนี้ในเมืองมีไอหมอกค่อยๆ แผ่ขึ้นมา เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าใกล้ถึงฤดูร้อนแล้ว แต่ยามที่ไอหมอกเหล่านี้แผ่ขึ้นมากลับเหน็บหนาวอย่างน่าประหลาด
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองดวงตะวันเหนือศีรษะ ตะวันจ้าขนาดนี้ทำไมจู่ๆ ถึงมีหมอกล่ะ?
ทันใดนั้นตี้ฝูอีพลันลากเธอไปอยู่ข้างกาย “ระวัง! มันมาแล้ว!”
‘ฟุ่บ!’ เงาสีขาวจางๆ สายหนึ่งพุ่งออกาจากไอหมอก เร็วปานสายฟ้าแลบ โผใส่กู้ซีจิ่ว!
กู้ซีจิ่วไม่มีเวลาพอชักกระบี่ออกมา จึงดีดปลายนิ้วคราหนึ่ง กระแสดัชนีจากปลายนิ้วยิงใส่เงาสีขาวจางๆ นั้น
กระแสดัชนีของเธอในยามนี้ไม่ต่างไปจากคมกระบี่เลย เมื่อยิงเข้าใส่เงานั้น เงานั้นก็สลายตัวไปทันทีดั่งไอหมอกก็มิปาน…
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน นี่คือตายแล้วหรือ?
เธอยังไม่เห็นแม้กระทั่งรูปลักษณ์ของเงานั้นเลยด้วยซ้ำ
เธอคิดยังไม่ทันจบดี ในไอหมอกก็มีเงาอีกสี่ห้าสายพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง เข้าโจมตีพวกเขาทั้งสองจากสี่ทิศทาง
คราวนี้ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้หน้าตาของพวกมันชัดๆ แล้ว
ตัวยาวเหมือนงู ร่างกายอยู่ในสภาวะกึ่งโปร่งแสง บนร่างมีปีกอยู่คู่หนึ่ง ค่อนข้างคล้ายมังกรเจียว แต่วงหน้ากลับเป็นโฉมงามทรงเสน่ห์ที่ทาตาสีเข้ม ดวงตายาวรี จมูกโด่งสูง ริมฝีปากดำสนิท ยามที่พุ่งออกมาราวกับแฝงรอยยิ้มไว้ มองแล้วทำให้หัวใจคนเหน็บหนาว
นี่คือสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูหรือ? แล้วเขี้ยวตะปูของมันอยู่ไหนล่ะ?
ความสงสัยพาดผ่านดวงตาของกู้ซีจิ่ว เพียงแต่ยามนี้มิใช่เวลาที่เหมาะให้เธอครุ่นคิด จึงชักกระบี่ออกมาทันที กระแสกระบี่ดั่งคลื่น พวยพุ่งออกไป เงาสี่ห้าสายนั้นให้กระเด็นออกไป จากนั้นก็สลายหายไปเหมือนไปหมอกอีก
กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วนิดๆ สิ่งเหล่านี้ถึงแม้จะร้ายกาจ ความเร็วก็ว่องไวพอ แต่ถ้าคนที่พลังวิญญาณบรรลุขั้นแล้วต้องการสังหารมันก็ไม่น่าจะยากเย็นกระมัง?
เธอสำแดงออกไปเพียงกระบวนท่าเดียวก็กำจัดพวกมันได้หมดแล้ว…
“ไม่อาจต่อกรเช่นนี้ได้ มิเช่นนั้นพวกมันจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ!”
——————————————————————–
บทที่ 1443 ประเดี๋ยวเอาอย่างข้านะ…”
ตี้ฝูอีจรดนิ้วร่ายอาคม “ประเดี๋ยวเอาอย่างข้านะ…”
เพิ่งจะเอ่ยจบไป ในม่านหมอกก็ปั่นป่วนอีกครั้ง เงาสีขาวอ่อนจางสามสิบสี่สิบสายพุ่งทะยานออกมา…
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ทราบแล้วว่าสิ่งนี้ร้ายกาจตรงไหนกัน มันแบ่งร่างได้!
หากว่าเธอฟันพวกมันออกเป็นสองท่อน สองท่อนนั้นก็จะงอกร่างกายออกมาใหม่
เมื่อครู่เธอฟันสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูสี่ห้าตัวนั้นออกเป็นตัวละสี่ห้าท่อน ผลคือสี่ห้าท่อนนี้ต่างก็งอกร่างใหม่ออกมา…
เจ้าสิ่งนี้รูปร่างเหมือนงู ขนาดก็พอๆ กับงู ยามที่แห่กันพุ่งออกมาเช่นนี้ ดูราวกับลำแสงที่ส่องลงมาจากฟากฟ้าก็มิปาน
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้เห็นเขี้ยวของพวกมันแล้ว เขี้ยวของพวกมันสามารถยืดได้หดได้ ยามที่พุ่งมาถึงด้านหน้า เขี้ยวคมขนาดครึ่งฉื่อก็พุ่งออกมาจากปากที่อ้ากว้างของพวกมัน แหลมคมเสมือนตะปูที่ทอแสงเยียบเย็น!
ในที่สุดตี้ฝูอีก็ลงมือ กระแสเพลิงผุดจากปลายนิ้ว กระแสงเพลิงนั้นก่อตัวเป็นเมฆากลุ่มหนึ่งทันที โอบล้อมสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูกว่าสิบตัวไว้ตรงกลาง สัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูกรีดร้องเสียงแหลมเสียดหู จากนั้นก็มอดไหม้ในกระแสเพลิงไปทีละตัวๆ
กู้ซีจิ่วรู้จักอาคมที่ตี้ฝูอีร่ายออกมา เรียกว่าเมฆาล่องแดนสรวง ใช้เพลิงที่ก่อกำเนิดจากพลังวิญญาณ มีเพียงผู้ที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไปถึงจะใช้อาคมนี้ออกมาได้
ตี้ฝูอีเคยสอนอาคมนี้ให้เธอแล้ว เพียงแต่ยังไม่เคยได้ใช้เลยสักครั้ง ได้ยินว่าใช้ชำระล้างไอพิฆาตโดยเฉพาะ
ตอนนี้เธอไม่มีเวลาคิดแล้ว รีบเอาเยี่ยงอย่างเรียกกระแสเพลิงออกมาทันที…
ถึงอย่างไรพลังยุทธ์เธอก็สู้ตี้ฝูอีไม่ได้ เมฆาเพลิงที่ร่ายออกมาจึงใหญ่ไม่เท่าอันนั้นของตี้ฝูอี และไม่เจิดจ้าแยงตาเท่าของเขา ทว่ามีประสิทธิภาพยิ่งนัก เมฆาล่องแดนสรวงของเธอก็กักสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูได้สี่ห้าตัว ทำการเผาผลาญพวกมัน…
กระแสเพลิงเมฆาล่องแดนสรวงชนิดนี้สามารถร่ายออกมาพร้อมกันหลายอันได้ ทั้งสองคนหันหลังชนกัน ต่างคนต่างร่ายออกมาสามอัน โอบล้อมสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูที่กรูเข้ามาโจมตีจากทั่วสารทิศไว้…
ผ่านไปหนึ่งเค่อ สัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูทั้งหมดล้วนถูกเผาผลาญไปจนสิ้นแล้ว แม้แต่ไอหมอกที่ผุดออกมานั้นก็ค่อยๆ สลายไปด้วย
พวกกู้ซีจิ่วทั้งสองย่อมไร้ซึ่งบาดแผล เธอถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ที่นี่เจ้าสิ่งนี้ก็สามารถงอกร่างได้ ความสามารถในการงอกร่างของพวกมันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ย่อมมีมากกว่าแปดตัวกระมัง?”
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “พวกนี้แบ่งร่างมาจากตัวเดียวเท่านั้น เนื่องจากใบหน้าของสัตว์ร้ายเหล่านี้เป็นเช่นเดียวกับใบหน้ามนุษย์ แต่ละตัวล้วนแตกต่างกัน แต่พวกที่ถูกเราสังหารไปเมื่อครู่นี้ล้วนมีใบหน้าแบบเดียวกันหมด…”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง ในที่สุดเธอก็กระจ่างแล้วว่าสิ่งนี้ตอแยยากเช่นใด!
เพียงตัวเดียวก็แบ่งร่างได้มากมายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นตัวต้นแบบทั้งแปดเล่า…
เจ้าสิ่งนี้สามารถทำลายเมืองทั้งเมืองได้จริงๆ!
มิน่าล่ะที่นี่จึงไม่มีมนุษย์เลยสักคน ต่อให้มีคนผ่านทางมาที่นี่บ้าง ก็เกรงว่าจะถูกสิ่งเหล่านี้กัดตายหมดกระมัง?!
ในบรรดาซากศพที่กู้ซีจิ่วพบก่อนหน้านี้มีคนที่สวมชุดของสำนักยุทธ์ด้วย คาดว่าน่าจะเป็นยอดฝีมือจากสำนักใดที่ได้ยินเรื่องราวของที่นี่เข้า จึงมาปราบมารปีศาจ ทว่าต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แทน
“ฝูอี พวกเรามากวาดล้างสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูในเมืองนี้ให้หมดสิ้นเถิด! ป้องกันไม่ให้พวกมันไปทำร้ายคนได้อีก”
ตี้ฝูอีพยักหน้า “ได้!” พลางดึงแขนเสื้อเธอ “ไปเถอะ ขาจะพาเจ้าไปหาอีกหลายตัวที่เหลือ!”
เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีคุ้นเคยกับนิสัยของเจ้าสิ่งนี้ยิ่งนัก เขาพากู้ซีจิ่วตระเวนไปสี่ทิศ พบสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูอีกสี่ตัวจริงๆ…
หน้าตาของสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูแต่ละตัวแตกต่างกันจริงๆ มีทั้งใบหน้าโฉมงาม ใบหน้าตาลุง ใบหน้าตัวตลก ไม่เหมือนกันสักตัว แต่ว่าลักษณะของพวกมันล้วนเป็นเช่นเดียวกัน หากใช้กระแสดัชนีหรือว่ากระบี่ฟันให้ขาด มันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ…
ทั้งสองใช้อาคมเดิมเผาผลาญสัตว์ร้ายเขี้ยวตะปูทั้งสี่ตัว กู้ซีจิ่วมองไปรอบๆ รู้สึกว่าอากาศในเมืองบริสุทธิ์ขึ้นไม่น้อยเลย
ขระที่เธอกำลังจะกล่าวบางอย่าง พลันได้ยินเสียงต่อสู้กู่ตะโกนแว่วมาจากที่ไกลๆ
ดวงตาเธอเปล่งประกายทันที “มีคนอยู่! ข้าได้ยินเสียงของจิ้งจอกน้อยด้วย!”
————————————————————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น