พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1439-1444

 บทที่ 1439 กักบริเวณ

Ink Stone_Fantasy

สวนโบราณ สวนแห่งหนึ่งที่รวบรวมส่วนที่ดีที่สุดของฟ้าดินเอาไว้ด้วยกัน ในโถงหลัก อ๋องสวรรค์อิ๋งเหมือนจะอารมณ์ดีใช้ได้เลย กำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับลูกๆ เป็นภาพที่หาดูได้ยาก


“ท่านพ่อ!” หลังจากจ้านผิงกับอิ๋งลั่วหวนเข้ามาทำความเคารพแล้ว ก็ทักทายพวกพี่ๆ น้องๆ ทันที


“มาแล้วเหรอ!” อิ๋งจิ่วกวงทักทายอย่างร่าเริง แล้วโบกมือให้ลูกๆ คนอื่นถอยออกไปก่อน แล้วจ้องลูกเขยกับลูกสาวพลางหรี่ตายิ้ม


จ้านผิงกับอิ๋งลั่วหวนสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าบิดารีบเรียทั้งสองมาด้วยเรื่องอะไร แต่ก็ดูออกว่าวันนี้เขาอารมณ์ดีจริงๆ


อิ๋งลั่วหวนก้าวขึ้นมาคล้องแขนบิดา แล้วถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ใบหน้าท่านพ่อเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มีเรื่องมงคลอะไรใช่มั้ยคะ?”


“เฮ่อๆ!” อิ๋งจิ่วกวงเอามือลูบเคราพลางพยักหน้า “เจ้าเดาถูกแล้ว มีเรื่องมงคงจริงๆ น่ะสิ ทั้งยังเป็นเรื่องมหามงคลด้วย”


“อ๋อ!” อิ๋งลั่วหวนแปลกใจ “ท่านพ่อ รีบบอกมาเถอะค่ะ เป็นเรื่องมหามงคลแบบไหนกัน?”


“เรื่องชีวิตแต่งงานของหรูอี้มีที่ให้อยู่แล้ว แบบนี้จะไม่ใช่เรื่องมหามงคลเชียวเหรอ?” อิ๋งจิ่วกวงบอกอย่างร่าเริง แล้วสายตาก็ชำเลืองมองจ้านผิงที่ยืนอยู่เงียบๆ


อิ๋งลั่วหวนทำสีหน้าดีใจทันที “ได้ผลลัพธ์เรื่องแต่งงานของหรูอี้กับหนิวโหย่วเต๋อแล้วเหรอ?”


“…” อิ๋งจิ่วกวงยิ้มค้าง สีหน้าบึ้งตึงลงแล้ว “หนิวโหย่วเต๋ออะไรกัน หนิวโหย่วเต๋อที่ต่ำต้อยคนหนึ่งจะเรียกว่า ‘เรื่องมหามงคล’ ได้เหรอ?” ใบหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอีกครั้ง แล้วเอามือลูบเคราพร้อมบอกว่า “เป้นฝ่าบาท! ฝ่าบาทถูกใจหรูอี้แล้ว ต้องการรับหรูอี้เป็นสนม ดูสิว่านี่คืออะไร นี่คือพู่หยกที่พกติดตัวฝ่าบาท มอบให้หรูอี้เป็นของขวัญแทนใจ ถือสิ่งนี้แล้วสามารถเข้าออกวังสวรรค์ได้อย่างอิสระ เกียรติยศพิเศษนี้ ท่ามกลางสนมสวยๆ ในวังหลัง หรูอี้ได้เป็นคนแรก เดี๋ยวเจ้าส่งให้หรูอี้ด้วยแล้วกัน!” เขาหยิบแผ่นหยกสีรุ้งที่ประมุขชิงมอบให้ออกมา แล้วยื่นให้ลูกสาว


อิ๋งลั่วหวนไม่ได้พูดอะไรต่อ กลับตกใจจนเดินถอยหลังสามก้าว แล้วอุทานถามว่า “ท่านพ่อ ท่านว่าอะไรนะ? ฝ่าบาทต้องการจะรับหรูอี้เป็นสนมเหรอ?”


จ้านผิงที่นั่งเงียบอยู่ข้างกันสีหน้าเปลี่ยนอย่างฉับพลัน จ้องอิ๋งจิ่วกวงไปละสายตา


แววตาอิ๋งจิ่วกวงเปลี่ยนเป็นล้ำลึก แล้วถามเสียงเรียบว่า “ทำไม? หรือว่าเรื่องที่ดีงามขนาดนี้เจ้ายังไม่เต็มใจอีก?”


“ไม่เต็มใจค่ะ!” อิ๋งลั่วหวนปฏิเสธเสียงดัง “แต่งกับใครก็ไม่แต่ง ทำไมต้องแต่งกับเขา? ท่านพ่อ สถานการณ์ที่วังหลังเป็นอย่างไรท่านไม่รู้เหรอคะ สาวงามมีเยอะเหมือนเมฆ เยอะมากจนนับไม่ถ้วน ภายนอกดูมีหน้ามีตา แต่ภายในสกปรกต่ำช้า มีผู้หญิงตั้งมากเท่าไรที่ต้องอยู่เดียวดายเหมือนเป็นหม้ายทั้งชีวิต จะให้ลูกสาวข้าไปต่อสู้แย่งชิงความรักกับผู้หญิงนับพันนับหมื่นเพื่อผู้ชายแก่คนเดียวเหรอ ต่อให้ตีให้ตายข้าก็ไม่เต็มใจ ต่อให้จะมีตำแหน่งสูงหรือมีอำนาจมากก็ไม่ได้อยู่ดี!”


อิ๋งจิ่วกวงจึงบอกว่า “เจ้าจะตื่นเต้นอะไร? ข้าจะมองดูหลานสาวตัวเองเสียเปรียบโดยไม่สนใจได้ยังไง? เจ้าไม่คิดดูเสียบ้างว่าบิดาเจ้าอยู่ในฐานะอะไร จะให้หรูอี้เข้าวังง่ายๆ ได้ยังไง? ข้าเจรจาเงื่อนไขกับฝ่าบาทเรียบร้อยแล้ว หลังจากเข้าวังไป ฝ่าบาทจะแต่งตั้งให้นางเป็น ‘สนมสวรรค์หรูอี้’ ประทานพาหนะหงส์เดี่ยวให้ เบี้ยเลี้ยงก็ได้เยอะที่สุดในบรรดาสนมทั้งหมด เป็นรองเพียงราชินีสวรรค์เท่านั้น นอกจากฝ่าบาทกับราชินีสวรรค์ เวลาหรู้อี้เห็นใครก็ไม่ต้องทำความเคารพ เจ้ารู้มั้ยว่าสิ่งนี้หมายความว่าอะไร? หมายความว่าลูกสาวเจ้ากำลังจะได้เป็นสตรีอันดับสองในใต้หล้าไง มีพ่อสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่ในอนาคตจะได้เป็นใหญ่ที่สุดท่ามกลางผู้หญิงในใต้หล้า! นี่เป็นเรื่องที่ผู้หญิงมากมายใฝ่ฝันแต่คว้ามาไม่ได้นะ เจ้าควรจะดีใจสิถึงจะถูก!”


“ข้าไม่ดีใจหรอก ข้าไม่เต็มใจ ใครอยากแต่งก็แต่งไปสิ แต่เป็นลูกสาวข้าไม่ได้” อิ๋งลั่วหวนอารมณ์รุนแรงมาก


“หึหึ!” อิ๋งจิ่วกวงพลันแสยะยิ้ม “ตอนนี้รู้จักไม่พอใจแล้วเหรอ ตอนนี้รู้จักไม่เต็มใจแล้วเหรอ ตอนแรกมัวไปทำอะไรอยู่? ถ่อไปอยู่หน่วยองครักษ์ซ้ายลับหลังข้า ไปตลาดผีลับหลังข้า ลูกสาวเจ้านับวันจะยิ่งใจกล้าขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เป็นใครกันที่ตามใจจนเหลิง? ตอนนี้ถูกตรวจสอบออกมาแล้ว ว่าตอนที่วางกับดักที่ตลาดผี มีคนปล่อยข่าวเรื่องที่ฝ่าบาทวางกับดักล่วงหน้า ทำให้ผู้เหลือรอดของหกลัทธิรอดตัวไปหมด เจ้ารู้มั้ยว่าเรื่องนี้มีลักษณะเป็นยังไง? สมคบคิดกับโจรกบฏไงล่ะ วางแผนก่อกบฏ!”


จ้านผิงตกใจอีกครั้ง อิ๋งลั่วหวนกล่าวเสียงดังว่า “ท่านพ่อ ข้อหาใหญ่ขนาดนี้หรูอี้รับไม่ไหวหรอก อย่ามายัดข้อหาซี้ซั้ว!”


“ยัดข้อหาซี้ซั้วเหรอ? ไม่ใช่การยัดข้อหาซี้ซั้วเลยจริงๆ!” อิ๋งจิ่วกวงหรี่ตา “เจ้าคิดว่าทำไมหน่วยองครักษ์ซ้ายถึงให้หรูอี้ไปที่ตลาดผีล่ะ ทำไมถึงดันหรูอี้ไปหน้าเวทีล่ะ? ฝ่าบาทวางแผนทีละก้าว พลิกฝ่ามือควบคุมเมฆ หมุนฝ่ามือบังคับฝน การต่อสู้ของพลังระดับนี้ เป็นสิ่งที่ใครก็เข้าร่วมได้งั้นเหรอ แต่ดูลูกสาวเจ้าทำสิ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เอาตัวเองไปติดกับดัก คิดว่าน้ำขุ่นแบบนั้นเหยียบง่ายนักเหรอ? ฝ่าบาทเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าหรูอี้จะเปิดเผยความลับต่อตระกูลอิ๋ง ถึงได้ผลักให้คนที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกอย่างหรูอี้อยู่หน้าเวที ตอนนี้เรื่องเปิดเผยความลับจึงพัวพันไปถึงเรื่องการสมคบกับโจรกบฏแล้ว ฝ่าบาทเตรียมจะส่งตัวหรูอี้ให้เกาก้วนแล้ว เจ้าคิดว่าหรูอี้จะทนวิธีการสอบสวนของเกาก้วนได้เหรอ? ถ้าหรูอี้คายความลับออกมาว่าปล่อยข่าวให้ตระกูลอิ๋งจริงๆ เจ้ารู้รึเปล่าว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง? ตระกูลอิ๋งจะโดนสงสัยว่าสมคบกับโจรกบฏ วางแผนก่อกบฎ! ต่อไปฝ่าบาทก็จะมีเหตุผลและหลักฐานในการอ้างสอบสวนและควบคุมทุกคนของตระกูลอิ๋งไว้ ถ้าไปถึงขั้นนั้นจริงๆ ทุกคนของตระกูลอิ๋งก็จะตกอยู่ในมือฝ่าบาท ต่อให้ตระกูลอิ๋งจะบริสุทธิ์ แต่ในเมื่อมีโอกาสในการทำลายให้ตระกูลอิ๋งพังพินาศแล้ว เจ้าคิดว่าฝ่าบาทยังจะปล่อยให้ตระกูลอิ๋งเดินออกจากคุกอย่างปลอดภัยเหรอ?”


จ้านผิงหน้าซีดแล้ว อิ๋งลั่วหวนก็สั่นไปทั้งตัวเช่นกัน ตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว ก่อนหน้านี้สองสามีภรรยานึกไม่ถึงว่าเรื่องที่ตลาดผีจะเป็นแผนซ้อนแผน กับดักซ้อนกับดัก ประมุขชิงมีความคิดล้ำลึกจนทำให้ทั้งสองขนพองสยองเกล้า


“ถ้าตระกูลอิ๋งล้มลง เจ้าคิดว่าพวกเจ้าสองสามีภรรยาจะเอาตัวเองรอดได้เหรอ?” อิ๋งจิ่วกวงโบกมือชี้ไปทางประตู “ข้าตั้งใจให้เทียนหยวนไปต้อนรับพวกเจ้าที่ประตู พวกเจ้าเห็นจุดจบของเทียนหยวนหรือยัง! ข้าบอกเจ้าได้อย่างมั่นใจมากเลย ว่าต่อให้ตระกูลจ้านจะตัดขาดสัมพันธ์กับตระกูลอิ๋ง แต่ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างอยู่ดีมีสุข จุดจบจะอนาถกว่าเทียนหยวนสิบเท่าแน่นอน! พวกเจ้าคิดว่าเมื่อถึงตอนนั้น พวกเจ้าจะมีกำลังปกป้องลูกสาวตัวเองได้เหรอ? ถึงตอนนั้นต่อให้หรูอี้จะไม่ตาย แต่ก็ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่อยากจะลิ้มลองรสชาติของหลานสาวอ๋องสวรรค์ เจ้าคิดว่าถึงตอนนั้นหรูอี้จะมีจุดจบดีกว่าการกลายเป็นสนมของฝ่าบาทเหรอ?”


อิ๋งลั่วหวนหวาดกลัวไร้ที่สิ้นสุด กล่าวขอร้องว่า “ท่านพ่อ ท่านได้โปรดช่วยหรูอี้ด้วยเถอะค่ะ!”


อิ๋งจิ่วกวงบอกว่า “ทำไมข้าจะไม่ช่วยล่ะ? ฝ่าบาทต้องการจะส่งตัวหรูอี้ให้เกาก้วน แต่เป็นข้าที่ขัดขวางไว้ เป็นข้าที่พยายามคิดหาทางประนีประนอมกับฝ่าบาท แล้วก็พยายามหาทางให้ฝ่าบาทแต่งตั้งหรูอี้เป็น ‘สนมสวรรค์หรูอี้’ ทั้งยังแย่งชิงตำแหน่งอันดับสองในวังหลังให้หรูอี้ด้วย เจ้าคิดว่าข้ายังไม่พยายามเต็มที่อีกเหรอ? ตอนนี้ข้าแค่ต้องการให้พวกเจ้าสองสามีภรรยาบอกมาคำเดียว ว่าจะส่งตัวหรูอี้ให้เกาก้วนหรือจะส่งตัวหรูอี้เข้าวัง!”


สองสามีภรรยายังต้องเลือกอีกเหรอ?


หลังจากได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจแล้ว อิ๋งจิ่วกวงก็มองส่งสองสามีภรรยาเดินออกไป แล้วหรี่ตาจ้องมองจ้านผิงที่ก้มหน้าเงียบตลอดทาง


หลังจากออกจากสวนโบราณไปแล้ว อิ๋งลั่วหวนก็น้ำตาคลอเบ้า ส่วนจ้านผิงก็เซื่องซึมไปทั้งตัวแล้ว


ที่จริงหลังจากได้เจออิ๋งจิ่วกวง นอกจากการกล่าวทักทายแล้ว ลูกเขยอย่างเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย แต่เรื่องบางเรื่องเขารู้ชัดยิ่งกว่าฮูหยินของตัวเอง ถึงอย่างไรตัวเขาก็อยู่ในราชสำนักเช่นกัน


อย่างน้อยก็มีอยู่จุดหนึ่งที่เข้าเข้าใจ นั่นก็คือยังไม่ถึงเวลาที่ประมุขชิงจะฉีกหน้าตระกูลอิ๋ง อิ๋งจิ่วกวงสามารถคิดหาทางปกป้องจ้านหรูอี้ได้เสมอ ไม่ได้มีแค่การส่งจ้านหรูอี้เข้าวังเท่านั้น แต่เขาก็เข้าใจยิ่งกว่านั้น ว่าการให้จ้านหรูอี้เข้าวังเป็นสนมนั้นสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประมุขชิงและตระกูลอิ๋ง นี่ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ ดังนั้นเขาจะพูดอะไรไปก็ไม่สำคัญแล้ว พูดมากก็กลับจะไม่เป็นผลดีด้วยซ้ำ เนื่องจากอิ๋งจิ่วกวงตัดสินใจแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรจากอิ๋งจิ่วกวงได้เลย ทำได้เพียงเจาะหาทางออกอื่น


“พี่จ้าน พวกท่านเป็นอะไรไปแล้ว?”


เทียนหยวนที่เดินผ่านมาด้านข้างบังเอิญเห็นสองสามีภรรยา ทว่าครั้งนี้สองสามีภรรยาไม่สนใจเขา เห็นได้ชัดว่าอิ๋งลั่วหวนเพิ่งร้องไห้มา ส่วนจ้านผิงก็ห่อเหี่ยวจนเหมือนกลายเป็นคนชราในชั่วพริบตาเดียว


“เกิดเรื่องขึ้นแล้ว…” เทียนหยวนหยุดพึมพำ ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย จากนั้นก็หัวเราะโง่ๆ ทันที พบว่าตัวเองเป็นห่วงไปเรื่อย อีกฝ่ายมีคนหนุนหลังใหญ่โต จะเกิดปัญหาอะไรได้ล่ะ อย่างมากก็แค่โดนอ๋องสวรรค์อิ๋งสั่งสอนไปยกหนึ่งเท่านั้น ต่อให้จะเป็นอย่างไรแต่ก็ยังดีกว่าเขา เขาจึงส่ายหน้าและหันตัวเดินจากไป…


“พวกเจ้าทำอะไร? คิดจะรังแกเจ้านายเหรอ?”


ที่ อุทยานหลวง ตรงประตูจวนผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางที่อยู่ใต้จวนแม่ทัพภาค คนกลุ่มหนึ่งขัดขวางไม่ให้จ้านหรูอี้ออกไป ทำเอาจ้านหรูอี้เดือดดาลมาก สิ่งที่ทำให้นางโมโหยิ่งกว่านั้นก็คือ มีเพียงจวนผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางเท่านั้นที่โดนล้อมเอาไว้


นางได้รับข่าวมาจากบิดาแล้ว บอกข่าวแล้วว่านางจะต้องเข้าไปเป็นสนมในวังหลัง สิ่งนี้ทำให้นางทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะได้กลายเป็นหนึ่งในคนที่จะได้ไปทำนาในอุทยานหลวง เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้นางยังหัวเราะเยาะผู้หญิงพวกนั้นต่อหน้าเหมียวอี้อยู่เลย นึกไม่ถึงว่ากรรมจะตามสนองเร็วขนาดนี้


ความคิดของจ้านผิงก็เรียบง่ายมาก ถ้าไม่อยากเข้าวังก็ต้องออกจากอุทยานหลวงทันที ข้าเตรียมคนมารับเจ้าแล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ในสถานที่ที่เป็นความลับ เพียงแต่ต่อไปนี้เจ้าจะโผล่หน้าออกมาไม่ได้อีก


จ้านผิงห็โอกาสลูกสาวได้เลือกอย่างอิสระอีกครั้ง


ที่จริงจ้านผิงและภรรยาได้เสียอิสรภาพไปแล้ว โดนอิ๋งจิ่วกวงสั่งกักบริเวณไว้ในจวนอ๋องสวรรค์ จ้านผิงมาไม่ได้ ส่วนคนที่เขาส่งมาก็เข้ามาในบริเวณอุทยานหลวงไม่ได้ ทำได้เพียงให้ลูกสาวคิดหาทางออกจากอุทยานหลวงเพื่อไปเจอกับคนที่ตัวเองส่งไปรับ


จ้านหรูอี้ย่อมต้องการหนีอยู่แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าจะหนีไม่ได้ จวนขุนนางถูกกำลังทหารล้อมอย่างแน่นหนาแล้ว


หยางเจาชิ่งที่นำกลุมทหารมากุมหมัดคารวะ “ผู้บัญชาการใหญ่โหรดระงับโทสะ นี่คือประสงค์ของท่านแม่ทัพภาค ให้พวกเราคุ้มกันความปลอดภัยของผู้บัญชาการใหญ่ ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดพักอยู่ในจวนก่อนสักสองสามวัน”


จ้านหรูอี้ตวาดอย่างโมโหว่า “ตลกแล้ว อยู่ที่นี่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคุ้มกันความปลอดภัยให้ข้าหรอก! ท่านแม่ทัพภาคคิดจะทำอะไร นี่คิดจะกักบริเวณข้าเหรอ? จะอาศัยอำนาจล้างแค้นส่วนตัวรึไง?”


หยางเจาชิ่งกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ดึงดันจะพูดแบบนี้ให้ได้ ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน” พูดจบก็โบกมือ ด้านข้างมีกลุ่มเทพธิดาสิบกว่าคนมาปรากฏตัวยืนเรียงแถวทันที ก่อนจะเตือนว่า “ดูแลผู้บัญชาการใหญ่ให้ดี ถ้าปล่อยให้เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรกับผู้บัญชาการใหญ่ ข้าจะตัดหัวพวกเจ้า!”


“รับทราบ!” กลุ่มเทพธิดารีบเอ่ยรับ จากนั้นก็ทยอยกันเข้าไปด้านใน เข้าไปในจวนของผู้บัญชาการใหญ่


“หึหึ! คุ้มกันข้าเหรอ…” จ้านหรูอี้โมโหจนหัวเราะออกมา นี่เป็นการคุ้มกันเสียที่ไหน นี่เป็นการส่งคนมาเฝ้าจับตาดูนางชัดๆ ต้องการจะกักบริเวณนางไว้ที่นี่ จึงก้าวออกไปทันที “ข้าอยากจะเห็นว่าใครจะกล้าขัดขวางข้า!”


พอหยางเจาชิ่งโบกมือ ลูกธนูดาวตกหลายสิบดอกก็เล็งไปที่จ้านหรูอี้แล้ว คนนับร้อยหยิบเชือกมัดเซียนออกมาพร้อมจ้องมองอย่างดุร้าย


“ท่านแม่ทัพภาคมีคำสั่ง ถ้าผู้บัญชาการใหญ่กล้าบุกออกมาแม้แต่ก้าวเดียว ก็ให้ลงโทษข้อหาขัดคำสั่งได้ ให้จับมัดได้เลย!” หยางเจาชิ่งพูดขู่ จากนั้นน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นอ่อนลงอีกครั้ง “ผู้บัญชาการใหญ่ พวกเราก็ได้รับคำสั่งให้มาทำงานเหมือนกัน อย่ากดดันพวกเราเลย ถ้ากลับไปเองอย่างน้อยก็ยังมีอิสระ ดีกว่าถูกจับมัดแล้วโยนกลับไป!”


จ้านหรูอี้โมโหจนกัดฟันกรอด แต่จนใจที่รู้ว่าตัวเองฝ่าวงล้อมทหารจำนวนมากแบบนี้ออกไปไม่ไหว ถ้าโดนจับมัดขึ้นมาจริงๆ ก็จะไม่เหลือหนทางแม้แต่น้อยแล้ว นางจึงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วบอกว่า “ก็ได้! ข้าไม่ออกไปแล้ว เชิญท่านแม่ทัพภาคมาพบข้าสักครั้งเถอะ ข้ามีเรื่องจะรายงาน!”


บทที่ 1440 จ้านหรูอี้ที่สิ้นหวัง

Ink Stone_Fantasy

หยางเจาชิงลังเล กำลังครุ่นคิดว่าจะไปบอกนายท่านดีหรือไม่


เมื่อเห็นเขาลังเล จ้านหรูอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาทันที เตรียมจะติดต่อเหมียวอี้โดยตรง


ใครจะคิดว่าเงาคนคนหนึ่งจะเหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงนอกกลุ่มคน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหมียวอี้นั่นเอง


“นายท่าน!” หยางเจาชิงรีบเข้ามาทำความเคารพ


พอเหมียวอี้เห็นสภาพสถานที่ที่โดนล้อมไว้ ในใจมีข้อมูลคร่าวๆ แล้ว คาดว่าจ้านหรูอี้คงต้องการจะออกไปแต่โดนขัดขวางไว้


“นายท่าน ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?” จ้านหรูอี้ชี้ไปยังกำลังพลที่กำลังถืออาวุธยืนเรียงรายล้อมตัวเองอยู่ตอนนี้นางมีสีหน้าคับแค้น


“ไม่ได้หมายความว่าอะไรหรอก ข้าเองก็ได้รับคำสั่งมาเหมือนกัน” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ


จ้านหรูอี้กัดฟันทันที นางพอจะเดาออกแล้วว่าเป็นเพราะอะไร ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่กองมังกรดำจะทำกับนางแบบนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ถึงอย่างไรภูมิหลังของนางก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม ต่อให้เป็นโพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ไม่กล้าแตะต้องตนซี้ซั้ว


“ข้าน้อยมีเรื่องจะคุยกับนายท่านพอดี” จ้านหรูอี้หันตัวแล้วยื่นมือเชิญ ให้เหมียวอี้เข้าไปคุยกันในจวน นางไม่ถือตัวแล้ว ถึงขั้นลดศักดิ์ศรีนิดหน่อยด้วย


ไม่ลดศักดิ์ศรีไม่ได้หรอก เพราะถ้าอยากจะหนีออกจากที่นี่ก็ต้องอาศัยเหมียวอี้ ถ้าทำให้เหมียวอี้ไม่พอใจนางก็ไม่มีทางหนีออกไปได้เลย เดิมทีนางก็อยากจะออกไปหาเหมียวอี้อยู่แล้ว เพราะถ้าไม่ได้หนังสือคำสั่งของเหมียวอี้ ต่อให้นางออกไปจากอุทยานหลวงได้ ต่อให้กองมังกรดำสามารถปล่อยนางออกไปได้ แต่คนที่ควบคุมอาณาเขตดาวผืนนี้ก็ไม่ปล่อยให้คนเข้าออกโดยพลการอยู่ดี ถึงอย่างไรบริเวณนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ทั่วไป เป็นสถานที่สำคัญของตำหนักสวรรค์ ไม่ให้ใครเดินเล่นได้ตามอำเภอใจ


ถ้าเป็นยามปกติ การที่นางจะไปขอหนังสือคำสั่งสักฉบับจากเหมียวอี้ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่เปลี่ยนเป็นตอนนี้ก็เกรงว่าจะไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ไม่ขอร้องคงไม่ได้แล้ว


เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า โบกมือส่งสัญญาณให้ลูกน้องวางอาวุธลง เดินผ่ากลางกำลังพลที่หลีกทางให้ แล้วเดินขึ้นบันไดตามจ้านหรูอี้เข้าไป


ที่จริงเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมจู่ๆ เบื้องบนจึงต้องการกักบริเวณจ้านหรูอี้ ที่เขามาครั้งนี้ก็เพราะอยากจะรู้ว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ จะเกี่ยวข้องกับกองมังกรดำหรือเปล่า จะเกี่ยวข้องกับตัวเองหรือเปล่า ถึงอย่างไรจ้านหรูอี้ก็เป็นคนของกองมังกรดำ และเป็นอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาด้วย ถ้ามีเรื่องขึ้นมาก็เป็นไปได้สูงที่เขาจะเข้าไปพัวพัน


กอปรกับเกิดเรื่องที่ตลาดผี ช่วงนี้มีขุนนางคนสำคัญของตำหนักสวรรค์จำนวนไม่น้อยที่โดนกวาดล้าง รับประกันได้ยากว่าตระกูลอิ๋งกับตระกูลจ้านจะไม่เกี่ยวข้อง


พอเข้ามาในลานบ้านด้านใน เห็นเทพธิดาหลายคนเฝ้าสวนอยู่ จ้านหรูอี้จึงหยุดเดินแล้วหันมาบอกว่า “ให้พวกนางถอยออกไปก่อนได้มั้ย”


“อันนี้จำเป็นด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ขมวดคิ้วถาม


“จำเป็น!” จ้านหรูอี้พยักหน้าอย่างมั่นใจมาก


เหมียวอี้จึงยกมือขึ้น “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”


“รับทราบ!” พวกเทพธิดาที่ถูกจัดแบ่งมาอยู่สังกัดกองมังกรดำชั่วคราวต่างก็รู้ว่าเหมียวอี้เป็นใคร พวกนางจึงเอ่ยรับและถอยออกไปแต่โดยดี


จ้านหรูอี้ยื่นมือเชิญอีกครั้ง หลังจากให้เหมียวอี้เข้าไปในโถงหลังแล้ว นางกลับหันตัวมาใส่กลอนประตู


แสงสว่างในห้องมืดลงไม่น้อย เหมียวอี้พลันหมุนตัวด้วยสีหน้าระแวดระวัง แล้วจ้องนางด้วยสายตาเย็นเยียบพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าทำอะไรซี้ซั้ว เรื่องกักบริเวณไม่ใช่ความคิดของข้า แต่เป็นประสงค์ของเบื้องบน ถ้าทำอะไรซี้ซั้ว คนที่เสียเปรียบก็จะเป็นเจ้าเอง”


จ้านหรูอี้แสยะยิ้ม “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น ถ้าสู้กันขึ้นมาข้าก็เอาชนะเจ้าไม่ได้ ถ้าสะเทือนไปถึงคนข้างนอกก็จะไม่เป็นผลดีอะไรกับข้า”


คำเตือนของเหมียวอี้ก็หมายความอย่างนี้เหมือนกัน จากนั้นถามถึงประเด็นหลัก “มีเรื่องอะไรทำไมต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้?”


จ้านหรูอี้ตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ความขัดแย้งก่อนหน้านี้เป็นความผิดของข้าเอง เจ้าเป็นผู้ใหญ่ไม่ควรถือสาผู้น้อย ได้โปรดใจกว้างให้อภัยสักครั้ง”


เหมียวอี้ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าจะพูดอีกครั้งนะ นี่เป็นประสงค์ของเบื้องบน ข้าเองก็ปฏิบัติตามคำสั่งเหมือนกัน ไม่เกี่ยวอะไรกับบุญคุณความแค้นส่วนตัวของเจ้ากับข้า”


จ้านหรูอี้จึงบอกว่า “ข้าไม่สนว่าจะเป็นประสงค์ของใคร ครั้งนี้ถือว่าข้าขอร้องเจ้าเถอะ ขอหนังสือคำสั่งให้ข้าเถอะนะ ให้ข้าออกไปจากที่นี่”


เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าทำอะไรล้อเล่นใช่มั้ย เบื้องบนมีคำสั่งให้กักบริเวณเจ้า มันใช่เรื่องเหรอที่จะปล่อยเจ้าออกไปโดยพลการ? แบบนั้นแปลว่าข้าเบื่อหน่ายที่มีชีวิตอยู่ต่อแล้วล่ะ” เขาชะงักไปชั่วขณะ เห็นในดวงตานางฉายแวววิงวอนรางๆ จึงถามอย่างสงสัยอีกว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


จ้านหรูอี้ยิ้มอย่างน่าเวทนาทันที “เรื่องอะไรน่ะเหรอ? เรื่องมงคลไงล่ะ ฝ่าบาทต้องการรับข้าเป็นสนม คาดว่าอีกไปกี่วันก็จะต้องเข้าวังแล้ว”


“…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ทำสายตางุนงงนิดหน่อย ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ประมุขชิงต้องการจะรับผู้หญิงคนนี้เป็นสนมงั้นเหรอ นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน? จะเป็นไปได้อย่างไร? แต่ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายก็ไม่เหมือนกำลังโกหก พอนึกถึงท่าทางอวดดีของผู้หญิงคนนี้ในตอนแรก แต่ตอนนี้กลับจะต้องเข้าวังไปแย่งชิงความรักกํบผู้หญิงนับหมื่น คิดไปคิดมาก็รู้สึกสะใจที่กรรมตามสนอง เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วกุมหมัดคารวะ “เป็นเรื่องมงคลจริงๆ ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าตรงนี้ก่อนเลยแล้วกัน”


“เจ้าเองก็อยู่ที่นี่มาสักระยะแล้ว ไม่มีทางที่เจ้าจะไม่รู้ว่าสถานการณ์ของวังหลังเป็นยังไง ข้าไม่อยากไป ตอนนี้ที่นี่มีแค่เจ้าที่ช่วยให้ข้าออกไปได้ นายท่าน ข้าขอร้องเจ้าเถอะ” จ้านหรูอี้พูดจบแล้วคุกเข่าทันที คุกเข่าตรงหน้าเหมียวอี้ ทำสีหน้าเหมือนใกล้จะสิ้นหวัง ขอร้องวิงวอนซ้ำๆ “ช่วยข้าด้วย ขอร้องล่ะ ช่วยข้าเถอะ เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ให้เจ้าช่วยเฉยๆ หรอก ต้องการค่าจ้างเท่าไรเจ้าเสนอมาได้เลย”


เหมียวอี้ตกใจนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะคุกเข่าให้ตน เขาก้าวเท้าหลบเบาๆ แล้วส่ายหน้าบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จ้านหรูอี้ ต่อให้ข้าอยากจะช่วยเจ้าแต่ข้าก็ไม่มีความสามารถนั้น ถ้าข้าช่วยเจ้า แล้วตัวข้าจะทำยังไงล่ะ? อีกประเดี๋ยวถ้าข้าไม่ปกป้องชีวิตตัวเอง แล้วใครจะมาช่วยข้าได้ล่ะ? เรื่องแบบนี้เจ้าหาทางขอร้องท่านตาของเจ้าเถอะ อ๋องสวรรค์อิ๋งสามารถคุยต่อหน้าฝ่าบาทได้ ถ้าอยากจะช่วยเจ้าก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ไม่จำเป็นต้องมาทำให้ข้าลำบากใจ”


“ที่ให้ข้าเข้าวังเดิมทีก็เป็นประสงค์ของท่านตาอยู่แล้ว…” จ้านหรูอี้กัดริมฝีปาก แล้วลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ “พวกเราไปด้วยกันเถอะ ออกไปจากที่นี่ด้วยกัน ข้าสามารถแต่งงานกับเจ้าได้ สามารถเป็นผู้หญิงของเจ้าได้”


เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แล้วถามด้วยอารมณ์ที่ทั้งโมโหทั้งอยากขำ “เจ้ากำลังล้อเล่นอะไรกัน?”


จ้านหรูอี้ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ล้อเล่น ถ้าไปด้วยกันเจ้ากับข้าจะไม่เป็นอะไร ขอเพียงเจ้าเต็มใจ ข้าก็มอบร่างกายให้เจ้าได้ตอนนี้เลย ข้าสามารถเป็นผู้หญิงของเจ้าได้ตอนนี้เลย ต่อไปพวกเราก็ไปอยู่ด้วยกันในเขตของอำนาจท้องถิ่น ถ้ามีคนในครอบครัวข้าดูแล สวัสดิการก็ไม่ได้แย่กว่าตำแหน่งแม่ทัพภาคของเจ้าเลย” พูดจบก็ถอดเกราะรบของตัวเองเลย แล้วทำท่าเหมือนจะถอดผ้าคาดเอวจริงๆ


จากสีหน้าท่าทางร้อนใจของผู้หญิงคนนี้ เหมียวอี้ก็มองออกว่านางไม่ได้โกหก นางคิดจะทำจริงด้วย แต่เขากลับหันตัวหนี แล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างช้าๆ ขี้เกียจจะอยู่เป็นเพื่อน ขณะที่เดินไปก็พูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชาว่า “คุณหนูใหญ่จ้าน หนิวคนนี้เป็นเพียงบุคคลต่ำต้อย อยู่เป็นเพื่อนไม่ไหว”


จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียง “แคว่ก” เขาหันกลับไปมอง ทำให้งงงวยทันที ร่างกายท่อนบนที่ขาวเหมือนหยกหิมะเปลือยล่อนจ้อนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว บนยอดเขาที่ขาวอวบอิ่มดุจหยกอ่อนมีผลไม้สีแดง ยั่วใจคนเป็นพิเศษ หัวไหล่สวยประณีตเนียนเกลี้ยงเกลา ร่างอรชรอ่อนช้อยขาวเนียนเหมือนก้อนเนย…


จ้านหรูอี้ฉีกเสื้อผ้าบนร่างกายตัวเองภายใต้ความร้อนใจ เสื้อที่ขาดรุ่ยห้อยอยู่ระหว่างเอว อย่าว่าแต่เหมียวอี้ที่งงงวย นางก็เหมือนจะตกใจกับการกระทำของตัวเองเช่นกัน ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย เหมือนอยากจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าอก แต่สุดท้ายก็ยังวางมือลงอย่างช้าๆ นางกัดริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเตือนว่า “เจ้าลองเดินออกไปสิ ข้าจะตะโกนทันทีว่าเจ้าล่วงเกินข้า ล่วงเกินสนมของฝ่าบาทจะมีผลที่ตามมาเป็นยังไง ก็ไม่ต้องให้ข้าพูดเยอะนะ”


ตอนนางยังไม่ขู่ก็ยังดีหน่อย แต่พอโดนขู่ก็ทำเสียเรื่องทันที เหมียวอี้รู้สึกอับอายจนโมโหเพราะติดกับดักกลอุบาย แต่ความสามารถในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินของเขาก็ไม่ใช่เล่นๆ เขาหันหน้าแล้วเดินออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว พร้อมแสยะยิ้มบอกว่า “ข้าก็จะบอกว่าข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถึงยังไงทุกคนก็รู้ว่าเจ้ากับข้าเป็นศัตรูกัน เจ้าคอยดูว่าเบื้องบนจะเชื่อข้าหรือเจ้า ถ้าหน้าหนามากพอ ก็วิ่งออกไปแบบนี้เลยก็ได้ ให้ผู้ชายข้างนอกได้ชื่นชมร่างงามของจ้านคนสวยสักหน่อยก็ดี จะได้เพิ่มเกียรติยศให้วงศ์ตระกูล! ข้ากลับหวังให้เจ้าทำแบบนี้ด้วยซ้ำ ใครก็มองออกทั้งนั้นว่าเจ้าจงใจ!”


เหมียวอี้โบกมือเปิดประตูออก แล้วเดินก้าวยาวออกไป


การเปิดประตูครั้งนี้กลับทำให้จ้านหรูอี้ตกใจแทบแย่ กลัวว่าคนนอกจะมองเห็น นางรีบหลุดไปด้านข้าง สุดท้ายก็ถอยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเงียบๆ ในมุม น้ำตาไหลโดยไร้เสียง…


ข้างหลังไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้น เหมียวอี้ที่เดินออกมาจากจวนผู้บัญชาการใหญ่โล่งอกแล้ว ที่จริงเมื่อครู่นี้เขากำลังเดิมพัน เดิมพันว่าจ้านหรูอี้กำลังสับสนอลหม่าน จึงฉวยโอกาสตอนที่นางกำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของตนเพื่อหนีออกมา เขากลัวจริงๆ ว่านางจะทำซี้ซั้วด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แบบนั้นต่อให้เขามีเหตุผลแต่ก็แก้ตัวได้ไม่ชัดเจนแล้ว


ต่อให้ทุกคนรู้ว่าเขาโดนใส่ร้าย แต่อาศัยแค่ข้อหาเห็นสนมของราชันสวรรค์ตอนไม่ใส่เสื้อผ้า เขาก็จะต้องรับผิดชอบถึงผลที่ตามมาแล้ว


หลังจากออกประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการใหญ่ เขาก็รู้ว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว รู้ว่าตัวเองผ่านเคราะห์ครั้งนี้ไปได้แล้ว


แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบกำหมัดแน่น นึกเสียใจทีหลังที่มาที่นี่ ควรจะหลบหลีกไม่เจอกันสิถึงจะถูก แกว่งเท้าหาเสี้ยนจริงๆ ครั้งนี้ล่วงเกินจ้านหรูอี้อย่างโหดร้ายแล้ว ถึงแม้จะผ่านด่านตรงหน้าไปได้ ในภายหลังเมื่อจ้านหรูอี้กลายเป็นสนมของราชันสวรรค์แล้ว ก็ยังไม่รู้เลยว่านางจะใช้อำนาจกลั่นแกล้งตนอย่างไร


พอเดินลงบันไดมา ก็โบกมือสั่งว่า “ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้า ก็ห้ามไม่ให้ใครเข้าออก ให้คนข้างในดูผู้บัญชาการใหญ่จ้านไว้ให้ดี ไม่ว่านางจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ก็ห้ามละสายตา จับตาดูไว้ให้ข้า อย่าให้คลาดสายตาแม้แต่ก้าวเดียว!”


“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปจัดการ


ตอนที่ออกมาอีกครั้ง เห็นเหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ริมหน้าผา จึงเดินเข้าไปแล้วรายงานว่า “นายท่าน จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”


เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ แล้วเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เกรงว่าข้าจะเจอปัญหาแล้ว เจ้ารู้มั้ยว่าทำไมเบื้องบนสั่งกักบริเวณนาง? เพราะนางกำลังจะเข้าวังไปเป็นสนมของฝ่าบาทแล้ว แถมตอนแรกข้าก็ล่วงเกินนางไว้โหดมาก เดี๋ยวต่อไปก็ยังไม่รู้เลยว่านางจะมาหาเรื่องข้ายังไง”


ส่วนเรื่องที่จ้านหรูอี้โป๊เปลือยเมื่อครู่นี้ ตราบใดที่จ้านหรูอี้ไม่พูดออกมา เขาก็ย่อมไม่พูดออกมาเช่นกัน


“เอ่อ…” หยางเจาชิงก็พูดไม่ออกเช่นกัน การเปลี่ยนฐานะของจ้านหรูอี้กะทันหันเกินไปแล้ว ไม่มีเค้าลางเลยสักนิด


พอได้สติกลับมาแล้ว ก็ยิ้มพลางพูดปลอบใจว่า “นายท่านคิดมากไปแล้ว หลังจากนายท่านโดนทำโทษครั้งก่อน หยางชิ่งก็ตั้งใจให้ข้าน้อยไปสืบดูสถานการณ์ทางนั้น จากที่ข้าน้อยรู้มา ถ้าสนมของวังหลังไม่ได้รับอนุญาตจากราชินีสวรรค์ ขนาดจะออกจากวังก็ยังลำบากเลย นางเป็นคนของตระกูลอิ๋ง นางไปที่วังหลังแล้วจะสู้กับราชินีสวรรค์ได้ก็แปลกแล้ว คาดว่าถ้าอยากจะออกจากวังก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง ก็ยังไม่เคยได้ยินว่าสนมในวังหลังคนไหนสามารถแทรกแซงเรื่องการปกครองได้ มิหนำซ้ำนายท่านยังเป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย ถ้าคนจากอำนาจท้องถิ่นคิดจะลงมือกับนายท่านก็ต้องชั่งน้ำหนักเหมือนกัน ข้าน้อยเคยได้ยินมา ว่าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายของพวกเราชอบเสนอเรื่องถอดตำแหน่งราชินีสวรรค์บ่อยๆ แม้แต่ท่านปู่ของราชินีสวรรค์ก็เคยซ้อมมาแล้ว ขนาดราชินีสวรรค์ผู้บัญชาการองครักษ์ยังไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย มีหรือที่จะปล่อยให้นางสนมคนหนึ่งทำซี้ซั้วได้ จะว่าไปการที่จ้านหรูอี้เข้าวังก็อาจจะเป็นเรื่องดี นางจะทำอะไรนายท่านไม่ได้ ต่อไปนายท่านก็ไม่ต้องระแวงอีกว่าข้างกายมีอันตรายที่แฝงเร้น”


พอได้ยินคำพูดนี้ เหมียวอี้ก็คิดได้ทันที กวาดความกังวลใจออกไปแล้ว เขาตบบ่าหยางเจาชิงพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตรงนี้ต้องฝากเจ้าดูแลด้วย เฝ้าไว้ให้ข้าดีๆ นะ อย่าให้นางหนีไป ไม่อย่างนั้นพวกเราจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา!”


“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” หยางเจาชิงพยักหน้ารับปากให้เขาวางใจได้


บทที่ 1441 ตรวจร่างกาย

Ink Stone_Fantasy

เพียงแต่ขณะที่มองดูเงาหลังของเหมียวอี้จากไป หยางเจาชิงที่ติดตามเหมียวอี้มาหลายปีก็สังเกตได้นิดหน่อยว่าเหมือนนายท่านจะมีเรื่องอะไรในใจ


ส่วนเหมียวอี้ที่กำลังก้าวช้าๆ อยู่บนทางเล็กระหว่างภูเขาก็มีเรื่องในใจจริงๆ ในหัวยังคงมีภาพจ้านหรูอี้ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง ไม่ใช่การคิดถึงเพราะความเสน่หา แต่เป็นเพราะฉากนั้นทำให้เขาสะเทือนใจ เขายอมรับว่าตัวเองห่างขั้นกับราชันสวรรค์ไม่ใช่น้อยๆ ต่อให้เป็นสนมหนึ่งในหมื่นส่วนของราชันสวรรค์ แต่ก็ดีกว่าอยู่กับเหมียวอี้แน่นอน มิหนำซ้ำอาศัยอำนาจอิทธิพลของตระกูลอิ๋ง การอยู่ในวังหลังก็ไม่ได้แย่เกินไปนัก แต่จ้านหรูอี้ไม่ยอมมอบร่างกายให้ราชันสวรรค์ แต่กลับบอกว่าเต็มใจจะแต่งงานกับเขา ทั้งยังทำแบบนั้นต่อหน้าเขาด้วย!


ที่จริงตอนอยู่ตลาดผีเขาก็พอจะรู้สึกได้ถึงหัวใจของจ้านหรูอี้แล้วนิดหน่อย เหมือนนางจะสนใจเขาอยู่นิดหน่อย แต่เขาผ่านความยากลำบากมาตลอดทางที่เดิน ถูกลับคมออกไปเยอะมาก ไม่ใช่เด็กหนุ่มเลือดร้อนเหมือนตอนอยู่ที่พิภพเล็กอีกแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นตั้งตัวเป็นศัตรูกับหกปราชญ์อย่างไม่เสียดายเลือดเพื่ออวิ๋นจือชิวคนเดียว มิหนำซ้ำที่นั่นก็เทียบกับที่นี่ไม่ได้ ตระกูลของจ้านหรูอี้บวกกับสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ทำให้เขารับความเมตตาจากสาวงามไม่ไหวจริงๆ ดังนั้นจึงตั้งใจหลบเลี่ยง


ก่อนหน้านี้เขาแค่สงสัยอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าฟันธง แต่การกระทำของจ้านหรูอี้ในวันนี้เหมือนจะเพิ่มหลักฐานพิสูจน์แล้ว อย่าบอกนะว่านางไม่เต็มใจมอบร่างกายให้ราชันสวรรค์ แต่กลับเต็มใจที่จะอยู่กับเขา นางชอบเขาจริงเหรอ…


ความคิดของเขาหยุดลงเพียงตรงนี้ คนเราไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้าที่จะไร้ความรู้สึก เขาไม่กล้าคิดอะไรต่อไปอีก กลัวว่าคิดมากแล้วจะควบคุมตัวเองไม่ไหว กลัวว่าจะทำเรื่องอะไรที่บุ่มบ่าม ทำได้เพียงปลอบใจตัวเองว่า บางทีอาจจะเป็นเพราะนิสัยหยิ่งยโสของจ้านหรูอี้ ทำให้ไม่อยากกลายเป็นหนึ่งในคนที่ต้องแย่งชิงความรักท่ามกลางสนมในวังหลังก็เท่านั้นเอง


ไม่ได้รอนานเท่าไรนัก เป็นวันถัดมานั่นเอง วันที่ลมเริ่มพัด เสียงลมพัดวูบๆ คนของตระกูลอิ๋งถูกหอบมากับลมแล้ว


ทางกองมังกรดำก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนเช่นกัน ว่าให้ส่งต่อจ้านหรูอี้ให้คนของตระกูลอิ๋ง


จ้านผิงกับอิ๋งลั่วหวนก็มาด้วยเช่นกัน เดินเข้าไปในจวนผู้บัญชาการใหญ่แล้ว นำตัวจ้านหรูอี้ที่ก้มหน้าเงียบๆ ออกมา สามพ่อแม่ลูกเงียบงันอย่างเห็นได้ชัด แต่ข้างหน้าและข้างหลังกลับรายล้อมไปด้วยกลุ่มคนของตระกูลอิ๋งที่กำลังปลาบปลื้มยินดี


เหมียวอี้ไม่ได้โผล่หน้ามา ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้ๆ ยอดเขา มองดูเงียบๆ อยู่อย่างนั้น


เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ จ้านผิงก็กวาดสายตามองรอบด้าน พอเห็นเหมียวอี้ที่อยู่ใต้ต้นไม้ ก็สบสายตากับเหมียวอี้ เขาจ้องมองครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรทางสีหน้ามากมาย จากนั้นก็หันกลับไป เหาะตามคนกลุ่มหนึ่งออกไป เหาะไปทางเรือนพักขุนนางของตำหนักสวรรค์


เหมียวอี้ส่งสายตามองตามกลุ่มคน ตอนนี้เขาเป็นคนเฝ้าอุทยานหลวง เขาได้รับรายงานจากลูกน้องมาแล้ว ว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งนำคนเข้ามาอยู่ที่เรือนพักด้วยตัวเอง ทั้งคนชราทั้งเด็กของตระกูลอิ๋งมากันไม่น้อยเลย


กำลังทหารที่ล้อมจวนของผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางไว้ถอนออกไปแล้ว หยางเจาชิงกลับมารายงานผลการปฏิบัติงาน


เหมียวอี้เพียงแค่พยักหน้า แล้วหันตัวเดินออกไป เขายังมีงานต้องทำอีก เพราะได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบน ว่าตอนนี้จ้านหรูอี้ย้ายออกจากกองมังกรดำแล้ว จากนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกองมังกรดำอีก แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเบื้องบนไม่อยากให้ลูกน้องคนสนิทของจ้านหรูอี้อยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายต่อไป ย้ายคนที่จ้านหรูอี้พามาด้วยตอนแรกออกจากหน่วยองครักษ์ซ้ายหมดแล้ว


ด้วยเหตุนี้เหมียวอี้จึงต้องปรับตำแหน่งว่างของกองมังกรดำใหม่อีกครั้ง


ขณะเดียวกันเบื้องบนก็ส่งคนเข้ามาเติมแล้วไม่น้อย ตำแหน่งที่ว่างในตอนแรกเนื่องจากเนี่ยอู๋เซี่ยวขอคนไป ตอนนี้เติมไว้เต็มหมดแล้ว คนที่นำมาเติมส่วนใหญ่ล้วนเป็นทหารเล็กๆ มือใหม่ ส่วนใหญ่เป็นนักพรตวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง สอง สาม แต่อวี่จ้งเจินส่งรองแม่ทัพภาคสองคนลงมาโดยตรง คนหนึ่งชื่อตงจิ่วเจิน อีกคนชื่อฉื้อเยียน


สำหรับรองแม่ทัพภาคที่เบื้องบนส่งลงมาโดยตรง เหมียวอี้ไม่พอใจ เพราะกองมังกรดำก็ใช่ว่าจะไม่มีคน เมื่อมีตำแหน่งว่างก็ย่อมต้องพิจารณาพี่น้องที่อยู่เบื้องล่างก่อน แต่อวี่จ้งเจินดึงดันจะทำแบบนี้เพื่อเพิ่มการควบคุมของเบื้องบน เขาเองก็ไม่มีทางเลือก แต่เขาก็ฉวยโอกาสเสนอคำขอ หวังว่าอวี่จ้งเจินจะสามารถอาศัยนามของทัพเป่ยโต้วเพื่อเลื่อนตำแหน่งให้เหยียนซิวเป็นผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางของกองมังกรดำ


สาเหตุที่เขาไม่เลื่อนตำแหน่งเอง ก็เป็นเพราะเขามีความลำบากของตัวเองเช่นกัน ถ้าไม่มีผลงานก็จะไม่ได้รางวัล ถ้าเขาเลื่อนตำแหน่งให้เองอีก เหยียนซิวก็อาจจะไต่เต้าเร็วเกินไปหน่อย กำลังพลเบื้องล่างจะไม่พอใจ แต่ถ้าอ้างชื่อของทัพเป่ยโต้วเพื่อนเลื่อนตำแหน่ง นั่นก็จะเป็นเรื่องของเบื้องบนแล้ว ถ้าทุกคนไม่พอใจก็ให้ไปหาท่านหัวหน้าภาค สำหรับสิ่งนี้ อวี่จ้งเจินก็ไม่ได้ปฏิเสธ ออกคำสั่งแต่งตั้งลงมาจากทัพเป่ยโต้วโดยตรงเลย ต่อให้เป็นกับเหมียวอี้ก็ต้องต่างคนต่างถอยคนละก้าว


และเหมียวอี้ก็ย้ายสวีถังหรานกลับไปเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางทันที เรียกได้ว่าให้เป็นมือซ้ายและมือขวาคุมทัพกลางด้วยกันกับหยางเจาชิง ส่วนผู้บัญชาการใหญ่อย่างเหยียนซิวก็แทบจะอยู่ข้างกายเหมียวอี้ในยะยาว เท่ากับควบตำแหน่งในนามแล้วอีกหนึ่งตำแหน่ง ต้องอยู่ที่อุทยานหลวงเช่นกัน ไม่ต้องไปเสี่ยงรบราฆ่าฟันอะไร เหยียนซิวไม่จำเป็นต้องตามติดเหมียวอี้ทุกฝีก้าวอีก มีโอกาสฝึกตนอย่างสงบใจแล้ว


เมื่อปรับตำแหน่งของกองมังกรดำใหม่ได้ไม่นาน ลูกน้องก็ส่งข่าวมา ว่าผู้การใหญ่ซ่างก่วนชิงของวังสวรรค์นำคนมาแล้ว ตอนนี้ไปที่เรือนพักของอ๋องสวรรค์อิ๋งแล้ว


เดิมทีเหมียวอี้ก็ไม่อยากไปทางนั้นอยู่แล้ว แต่เมื่อซ่างก่วนชิงมาถึง แม่ทัพภาคอย่างเขาจะไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะอุทยานหลวงแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของวังสวรรค์ อยู่ในเขตการควบคุมของซ่างก่วนชิง ถ้าซ่างก่วนชิงมีเรื่องอะไรก็ไปหาเขาได้ เขาต้องอยู่ที่นั่นตลอดเวลา


เมื่อมาถึงด้านนอกเรือนพักของอ๋องสวรรค์อิ๋ง เหมียวอี้ก็ไม่ได้เข้าไป เพียงรอรับคำสั่งอยู่ใต้ต้นไม้โบราณต้นหนึ่งด้านนอก


วันนี้ลมพัดแรง พัดหมอกควันที่ปกคลุมอยู่ระหว่างแนวภูเขาหายแล้ว ทำให้ทิวทัศน์ภูเขาสวยงามที่ไม่โดนบดบังปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคน


ซ่างก่วนชิงนำนางในหลายคนและผู้หญิงในตระกูลอิ๋งเข้าไปในห้องของจ้านหรูอี้ เตรียมตัวตรวจร่างกายให้จ้านหรูอี้ก่อนเข้าวัง!


“เรื่องเล็กแค่นี้ ผู้การใหญ่ไม่จำเป็นต้องมาเฝ้าอยู่ที่นี่หรอก ไม่สู้ออกไปเดินเล่นสักหน่อย ชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามในสวนของข้าสักหน่อยดีมั้ย?”


อิ๋งจิ่วกวงเดินเข้ามาจากด้านข้างอย่างช้าๆ แล้วเชิญชวนอย่างร่าเริง


ซ่างก่วนชิงหันกลับไปมองประตูห้องที่ปิดสนิทแวบหนึ่ง แล้วหันไปมองอิ๋งจิ่วกวงที่ในดวงตาแฝงความหมายลึกซึ้งอีกครั้ง ทำให้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ


เรื่องบางเรื่องทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ ถ้าเป็นสนมทั่วไปเข้าวัง ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผู้การใหญ่วังสวรรค์อย่างเขาต้องมาด้วยตัวเองเลย แต่จ้านหรูอี้นั้นแตกต่างออกไป นี่เป็นประสงค์ของราชันสวรรค์ ถ้าจะพูดให้แย่หน่อยก็คือ การตรวจร่างกายจ้านหรูอี้ครั้งนี้ทำไปพอเป็นพิธีเท่านั้น จ้านหรูอี้จะมีร่างกายที่ด่างพร้อยหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญคือจ้านหรูอี้จะต้องกลายเป็น ‘สนมสวรรค์หรูอี้’


ราชันสวรรค์ไม่ขาดแคลนผู้หญิง จะเพิ่มขึ้นสักคนหรือน้อยลงสักคนก็ไม่มีผลอะไร คนไหนที่มีร่างกายไม่บริสุทธิ์ ราชันสวรรค์จะแตะต้องหรือไม่ก็ล้วนขึ้นอยู่กับความสนใจของราชันสวรรค์เลย ต่อให้จะไม่แตะต้อง แต่มีเพิ่มไว้ประดับอีกสักคนก็ไม่เป็นอะไรเช่นกัน มิหนำซ้ำผู้หญิงที่ราชันสวรรค์สนใจและถูกใจอยากพาเข้าวังก็มีเคยมีคนที่ร่างกายไม่บริสุทธิ์มาแล้วเช่นกัน ประเด็นสำคัญคือชื่อเสียงเกียรติยศของราชันสวรรค์จะได้รับผลกระทบไม่ได้ ราชันสวรรค์สูงส่งดังเทพ ไม่อาจให้ใครมาล่วงละเมิดได้ จะโดนสวมเขาหรือใช้ของมือสองต่อจากคนอื่นได้อย่างไร นี่ต่างหากสาเหตุสำคัญที่ซ่างก่วนชิงต้องออกโรงด้วยตัวเอง ถ้าพบว่าร่างกายของจ้านหรูอี้มีตรงไหนไม่เหมาะสมจริงๆ เขาก็จะเก็บกวาดปัจจัยทุกอย่างที่อาจจะไม่เหมาะสมทันที ถ้าฆ่าปิดปากได้ก็ฆ่าปิดปากให้หมด ต้องรับประกันว่าจ้านหรูอี้จะสามารถเข้าวังได้อย่างราบรื่น


ซ่างก่วนชิงเข้าใจแล้ว อ๋องสวรรค์อิ๋งออกหน้าด้วยตัวเองก็เพราะเหตุผลนี้ไม่ใช่เหรอ อีกฝ่ายอยากจะแยกตนออกไป เพราะถ้าตอนตรวจร่างกายพบอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นมา อ๋องสวรรค์ท่านนี้จะได้เล่นตุกติกได้สะดวก จะต้องรับรองได้ว่าจ้านหรูอี้บริสุทธิ์


เข้าใจแต่ไม่พูดออกมา ซ่างก่วนชิงหัวเราะแห้งๆ เล่นไปตามน้ำ “เช่นนั้นก็ดีน่ะสิ ยังไม่เคยดูสวนของอ๋องสวรรค์ให้เต็มตาเลย”


ทั้งสองจึงเดินไปด้วยกัน แนะนำทิวทัศน์สวนโดยรอบตลอดทาง ทั้งคู่ต่างมีท่าทางสนใจมาก


เดินวนในสวนไปได้ครึ่งรอบ พ่อบ้านของตระกูลอิ๋งหรือบ่าวชราข้างกายอ๋องสวรรค์อิ๋ง เป็นหญิงชราคนหนึ่งที่ชื่อว่าจั่วเอ๋อร์ นางเข้ามารายงานว่า “อ๋องสวรรค์ ผู้การใหญ่ คนที่มาจากวังตรวจสอบเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”


อิ๋งจิ่วกวงกระปรี้กระเปร่าทันที ตรวจเสร็จเร็วขนาดนี้เชียวหรือ เช่นนั้นก็แสดงว่าไม่มีเหตุไม่คาดคิดอะไร ไม่อย่างนั้นจะต้องใช้เวลาจัดการปัญหาแน่นอน ก็อย่างว่านั่นแหละ ประเพณีของตระกูลอิ๋งจะเกิดปัญหาได้อย่างไร เขาหันกลับมาพูดกลั้วหัวเราะว่า “ผู้การใหญ่ จะเดินเล่นกันต่อ หรือว่า…”


ซ่างก่วนชิงยิ้มบางๆ “ในเมื่อจัดการธุระเสร็จแล้ว เช่นนั้นครั้งหน้าถ้ามีโอกาสค่อยมาเดินเล่นใหม่แล้วกัน บ่าวชราจะต้องกลับไปรายงานผลงานปฏิบัติงานแล้ว”


“ดี!” อิ๋งจิ่วกวงพยักหน้า ทั้งสองใช้ทางที่ใกล้ที่สุดกลับไปทันที


พอกลับมาที่เดิม นางในสามคนจากในวังก็เดินออกมาจากห้องของจ้านหรูอี้ทันที อิ๋งจิ่วกวงชิงถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”


นางในชราที่นำกลุ่มมาตอบทันทีว่า “ตอบอ๋องสวรรค์ แม่นางจ้านใสดุจน้ำแข็ง บริสุทธิ์ดุจหยก!”


สิ่งที่อิ๋งจิ่วกวงต้องการก็คือประโยคนี้ เขายกมือขึ้นลูบหนวด แล้วกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ตบรางวัล!”


จั่วเอ๋อร์บ่าวชรารีบก้าวขึ้นมา แล้วแบ่งกำไลเก็บสมบัติสามวงให้ทั้งสามคน นางในทั้งสามแอบดีใจ ถ้าอ๋องสวรรค์เอ่ยปากตบรางวัลเองก็แสดงว่ามีรางวัลไม่น้อยแน่ จึงย่อตัวขอบคุณทันที “ขอบคุณอ๋องสวรรค์ที่ตบรางวัล!”


ซ่างก่วนชิงกลับส่งสายตาให้นางในที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม นางในคนนั้นส่งสายตากลับ แล้วพยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าไม่มีปัญหาจริงๆ


ซ่างก่วนชิงโล่งอกเช่นกัน ใสดุจน้ำแข็ง บริสุทธิ์ดุจหยกจริงๆ ก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว จะได้ไม่สร้างปัญหาให้เขาด้วย


“ผู้การใหญ่ ท่านดู…” อิ๋งจิ่วกวงหันกลับไปบอกใบซ่างก่วนชิงอีกครั้ง


ซ่างก่วนชิงเข้าใจเจตนาของเขา จึงให้นางในทั้งสามเขียนหนังสือลงนามตรวจร่างกาย หลังจากเขารับมาอ่านในมือแล้ว ก็ลงตราประทับผู้การใหญ่วังสวรรค์ลงไป จากนั้นก็ส่งหนังสือให้อิ๋งจิ่วกวงอย่างเป็นทางการ


อิ๋งจิ่วกวงรับมาอ่านในมืออย่างละเอียด หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีข้อผิดพลาด เขาก็หัวเราะทันที เมื่อได้ของมาแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะก่อกวนกลั่นแกล้งแล้ว สิ่งนี้สามารถทำลายข่าวลือไม่ดีทุกอย่างได้


ทำไมตอนแรกจึงไม่ประกาศเรื่องที่จ้านหรูอี้จะเข้าวังล่ะ ก็เพราะกลัวจะมีคนมาก่อกวนน่ะสิ ไม่ใช่ใครที่ไหน ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องเป็นคนแรกที่มาก่อกวนแน่


“รบกวนผู้การใหญ่ให้ต้องมาด้วยตัวเองแล้ว นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าจะไม่รังเกียจ” อิ๋งจิ่วกวงหยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมายัดใส่มือซ่างก่วนชิง


ซ่างก่วนชิงยิ้มรับ ไม่ปฏิเสธเช่นกัน “ในวังจะเตรียมการทันที หวังว่าทางอ๋องสวรรค์จะรีบเตรียมคำสั่งโดยเร็วไวนะ”


“แน่นอน ผู้การใหญ่วางใจได้!” อิ๋งจิ่วกวงเอ่ยรับ แล้วไปส่งซ่างก่วนชิงที่ประตูใหญ่ด้วยตัวเอง


ไม่นาน ตามคำสั่งของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ทั้งเรือนพักก็เริ่มประดับประดาโคมไฟและผ้าหลากสี รอประกาศเรื่องที่จ้านหรูอี้จะเข้าวังไปเป็นสนมอย่างเป็นทางการ


ผ้าไหมสีแดงถูกพับเป็นดอกแขวนไว้ เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งนอกเรือนพักเห็นฉากการทำงานนี้ด้วยตัวเอง รู้แล้วว่าเรื่องนี้ถูกกำหนดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่กระพือข่าวแบบนี้


ยิ่งเวลาแบบนี้ก็ยิ่งปล่อยให้เกิดเรื่องไม่ได้ เหมียวอี้ออกคำสั่ง เรียกรวมกำลังพลนับหมื่นให้มาที่นี่อย่างรวดเร็วอีกครั้ง แล้วให้หยางเจาชิงคุมรักษาการณ์ด้วยตัวเอง ป้องกันอย่างเข้มงวดไม่ให้มีปัญหาที่อาจจะเกิดจากคุ้มกันที่ไม่เหมาะสม


ความเคลื่อนไหวด้านนอกสะเทือนถึงคนด้านในแล้วเช่นกัน ท่านโหวจ้านผิงปรากฏตัวนอกเรือนพัก เดินเข้ามาทางนี้อย่างช้าๆ ก้าวเข้ามาหาเหมียวอี้ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่


บทที่ 1442 ท่านโหวกำลังล้อเล่นหรือเปล่า

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเห็นเขาประชิดเข้ามาที่ตัวท่านแม่ทัพภาค หยางเจาชิงก็กังวลว่าเขาจะมีเจตนาอะไรไม่ดี จึงนำคนไปขวางไว้ทันที แล้วกุมหมัดคารวะถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านโหวมีอะไรจะกำชับหรือขอรับ?”


เขาไม่ได้เจอจ้านผิงเป็นครั้งแรก ตอนที่อยู่ดาวหกนิ้วก็เคยเห็นจ้านผิงมาแก้สถานการณ์ให้จ้านหรูอี้แล้ว รู้ถึงฐานะของจ้านผิงแล้ว


จ้านผิงเหลือบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แต่ไม่พูดอะไร มองข้ามการขัดขวางของพวกหยางเจาชิง แล้วเข้าใกล้เหมียวอี้ต่อไป


สิ่งนี้ทำให้พวกหยางเจาชิงลำบากใจนิดหน่อย กลับเป็นเหมียวอี้ที่ยกมือห้าม บอกใบ้ให้พวกเขาหลีกไป อาศัยกำลังของจ้านผิง ถ้าคิดจะทำอะไรเขาจริงๆ พวกหยางเจาชิงก็ต้านทานไม่ไหวอยู่ดี


จ้านผิงเดินมาใต้ต้นไม้ แล้วสบตากับเหมียวอี้ด้วยสีหน้าเย็นชา ในดวงตาฉายความรู้สึกที่หลากหลายซับซ้อน


เหมียวอี้ค่อยๆ เผยรอยยิ้ม แล้วกุมหมัดคารวะ “ยินดีกับท่านโหวด้วยขอรับ!”


จ้านผิงย่อมรู้ว่าเขากำลังยินดีเรื่องอะไร จึงหันตัวมองไปที่ตีนเขา เอามือไขว้หลังแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็น “ชาตินี้ข้าใช้ชีวิตอย่างอิสระไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงมีความฝันอย่างหนึ่ง ข้าหวังให้ลูกสาวได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ข้าเองก็คิดมาตลอดว่าอาศัยปัจจัยของนางก็สามารถทำความฝันนี้ให้เป็นจริงได้ อย่างน้อยก็สามารถใช้ชีวิตอิสระกว่าข้าได้ ต่อให้นอนฝันข้าก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งนางจะเสียอิสระโดยสิ้นเชิง แย่ยิ่งกว่าข้าเสียอีก ในจุดนี้ข้ายอมรับได้ยาก และไม่อยากยอมรับด้วย!”


“คำกล่าวนี้ทำให้ข้าน้อยตกใจจริงๆ ต้องทราบไว้ว่าในใต้หล้ามีคนมากมายเท่าไรที่อิจฉาท่านโหว” เหมียวอี้แกล้งโง่


จู่ๆ จ้านผิงก็กล่าวสิ่งที่น่าตกใจออกมา “เจ้าสร้างความขัดแย้งไว้เยอะเกินไป ถ้ายังปะปนอยู่ในการที่วุ่นวายเหมือนน้ำขุ่นแบบนี้ต่อไป สักวันก็ต้องเกิดเรื่องขึ้น หรูอี้ชอบเจ้า ข้าเองก็หวังมาตลอดว่านางจะหาคนที่ตัวเองถูกใจเจอสักคน แบบนั้นต่อให้จะได้รับความทุกข์ทรมาน แต่ก็เป็นราคาที่นางต้องแบกรับเอง อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่นางเลือกเอง ดังนั้นข้าไม่อยากเห็นเจ้าเป็นอะไรไป ไปเถอะ! พาหรูอี้ไปด้วยกัน ออกจากที่นี่ไป โบยบินไปให้ไกล!”


เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะขมวดคิ้วถามว่า “ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าท่านโหวกำลังพูดอะไร?”


จ้านผิงที่เดิมทอดสายตาไปข้างหน้า ตอนนี้เอียงหน้ามามองเขา “ข้าบอกว่าหรูอี้ชอบเจ้า เจ้าไม่เข้าใจจริงๆ หรือกำลังแกล้งโง่?”


เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ท่านโหวเล่นมุขแล้ว ที่จริงนางเกลียดจนอยากฆ่าข้าให้ตายต่างหากล่ะ”


จ้านผิงจึงบอกว่า “ลูกสาวของข้า ข้าเห็นนางมาตั้งแต่เด็กจนโต มีหรือที่จะไม่เข้าใจนาง? ในตอนแรก นางอาจจะอยากฆ่าเจ้าจริงๆ การตายของอิ๋งเหย้าเกี่ยวข้องกับเจ้า บางทีปัญหานี้อาจจะเกิดขึ้นตอนการทดสอบที่แดนอเวจี เจ้าลงมือทีเดียวแล้วสามารถทำให้นางแพ้ได้ สำหรับนางแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะเจ้าไม่เหมือนคนอื่น ตอนแรกข้าก็ไม่ได้ตระหนักถึงจุดนี้เหมือนกัน นึกว่านางหนูนั่นแค่รักศักดิ์ศรีแล้วอยากจะกู้หน้าคืนมา นึกว่านางแค่อยากจะแก้แค้นเจ้า จนกระทั่งตอนที่นางตกอยู่ในมือเจ้าอีกครั้ง ตอนที่โดนเจ้าจับแขวนประจานบนเสาธง เรื่องที่เกิดขึ้นตอนหลังทำให้ข้าตระหนักได้ ว่าสาเหตุที่นางหนูนั้นไล่ตามเจ้าไม่ปล่อย บางทีอาจะเป็นเพราะเจ้าแตกต่างกับคนอื่นก็ได้”


“ท่านโหวไม่ต้องลำบากคิดมากขนาดนี้ก็ได้ ท่านก็แค่อยากจะให้ข้าให้ความร่วมมือเท่านั้น จะให้ส่งลูกสาวท่านออกไป” เหมียวอี้กล่าว


จ้านผิงไม่สนใจเขา พูดต่อไปว่า “หลังจากนางโดนเจ้าจับแขวนให้อับอายอยู่บนเสาธง ก็มีผลกระทบเยอะมากจริงๆ กอปรกับอ๋องสวรรค์อิ๋งถูกใจที่เจ้าแสดงความสามารถในการทดสอบที่แดนอเวจี มองว่าเจ้าเป็นคลื่นลูกใหม่ฝีมือดี อยากจะฝึกเลี้ยงเจ้า และเพื่อกำจัดผลกระทบ เปลี่ยนให้เรื่องร้ายกลายเป็นเรื่องดี อ๋องสวรรค์อิ๋งจึงตัดสินใจจะให้เจ้ากับหรูอี้แต่งงานกัน เพราะแบบนี้ ฮูหยินของข้าหรือมารดาของหรูอี้จึงตั้งใจหาข้ออ้างเพื่อมาเจอเจ้าที่ธงพยัคฆ์ดำ ภายนอกอ้างว่ามาทวงของของหรูอี้คืน แต่ที่จริงมาดูตัวให้ลูกสาวต่างหาก อยากจะเห็นว่าเจ้าเป็นคนยังไง ผลก็คือฮูหยินของข้าพอใจมาก”


เหมียวอี้งงจนตาค้าง ตอนนั้นก็รู้สึกว่าอิ๋งลั่วหวนทำตัวแปลกๆ นิดหน่อย ของเล็กน้อยนั่นมีค่ามากพอที่จะให้ลูกสาวของอ๋องสวรรค์มาที่นี่ด้วยตัวเองเลยเหรอ? ที่แท้…ที่แท้ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้นี่เอง!


“หลังจากหรูอี้รู้เรื่องนี้แล้ว ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของนาง นางควรจะต่อต้านอย่างรุนแรงสิถึงจะถูก แต่นางไม่ได้เป้นแบบนั้น ตอนนั้นข้าเองก็รู้สึกแปลกนิดหน่อย ข้าก็เลยถามนาง ว่าถ้านางไม่เต็มใจ ข้าก็จะคิดหาทางเป็นก้างขวางคอให้ จะทำให้เรื่องนี้ไม่สำเร็จ” แล้วจ้านผิงก็มองเขาพร้อมถามว่า “เจ้ารู้มั้ยว่าตอนนั้นหรูอี้ตอบข้าว่ายังไง?”


ที่จริงเหมียวอี้ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจ้านหรูอี้พูดว่าอย่างไร เพียงแต่ถามไม่ออก


โชคดีที่จ้านผิงเปิดเผยที่เขาไม่ต้องเอ่ยถาม สาเหตุที่มาที่นี่ก็เพื่อจะเปิดเผยอยู่แล้ว “หรูอี้บอกว่า ในบ้านไม่มีใครปฏิเสธการตัดสินใจของท่านตาได้ บอกว่าไม่อยากเห็นท่านตาโกรธบิดาอย่างข้า ก็เลยทำได้แค่ยอมรับชะตากรรม! ยอมรับชะตากรรมงั้นเหรอ? พอได้ฟังประโยคนี้ ข้าก็เดาความคิดนางออกทันที ตัดสินได้ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่นางไปหาเรื่องเจ้าแล้ว ไม่ใช่เพราะความแค้นหรอก แต่เป็นเพราะนางอยากจะไปหาเรื่องเจ้าเฉยๆ เพียงแต่ตอนแรกนางเองก็ไม่รู้ตัวเช่นกัน ก็อย่างที่ข้าบอก ข้าเห็นนางมาตั้งแต่เด็กจนโต ข้ารู้จักนิสัยนางดีเกินไป เรื่องบางเรื่องถ้าเปิดเผยให้นางรู้แล้ว นางก็จะไม่ไปหาเรื่องเจ้าอีก เจ้าลองคิดดูสิ ตั้งแต่นั้นมาท่าทีของนางก็เปลี่ยนไปไม่ใช่เหรอ นางไม่เคยไปหาเรื่องเจ้าอีกเลยใช่มั้ย?”


เหมียวอี้เงียบไป แต่ก็กำลังคิดตามแล้วจริงๆ มีเรื่องบางเรื่องสอดคล้องกับที่จ้านผิงบอกแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนอยู่ที่ตลาดผีจึงรู้สึกได้รางๆ ว่าจ้านหรูอี้เหมือนจะสนใจเขา


เรื่องบางเรื่องตอนยังไม่เข้าใจก็ยังดีหน่อย แต่พอเปิดเผยออกมาแล้ว รสชาติของมันก็ยากจะรับไหว สิ่งที่ทำให้ท่านขุนนางเหมียวรับไม่ได้มากที่สุดก็คือฉากที่จ้านหรูอี้ฉีกเสื้อผ้าเผยหน้าอกในห้อง ทำให้หัวใจเขากระตุกเบาๆ แล้ว


จ้านผิงบอกอีกว่า “ก่อนจะมาที่นี่ ข้าเตรียมคนมารอรับนางด้านนอกแล้ว แต่ข้ารู้ว่าขนาดพวกเราสองสามีภรรยายังโดนกักบริเวณเลย ทางฝั่งนางก็อาจจะโดนควบคุมไว้เหมือนกัน ข้าก็เลยออกความคิดบางอย่างให้นาง ในเมื่อนางชอบเจ้า ก็ไม่ต้องลังเลแล้ว เผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองเลือกอย่างกล้าหาญ ถ้าเจ้ากังวลว่านางจะหลอกใช้เจ้า ก็ให้นางกับเจ้าหุงข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกเสียเลย เพื่อแสดงความจริงใจ แล้วพาเจ้าหนีไปด้วยกัน หนีไปให้ไกลจากที่นี่ แต่นางก็หนีออกมาไม่ได้ ตอนที่ข้าไปรับตัวนางที่จวนผู้บัญชาการใหญ่ ข้าก็ถ่ายทอดเสียงถามว่านางได้ทำตามที่ข้าบอกหรือเปล่า แต่นางบอกว่าเจ้าไม่ชอบนาง ส่วนเรื่องอื่นนางก็ไม่ยอมพูดอีก ข้าก็เลยกำลังคิดว่า เป็นเพราะนางหนูนั่นมีจิตใจหยิ่งในศักดิ์ศรีหรือเปล่า ปากก็เลยไม่ยอมรับ ไม่ยอมพูดให้ชัดเจน เพราะว่านางมีปัญหานี้จริงๆ บางครั้งก็เป็นเรื่องที่หัวใจยอมรับแล้วแท้ๆ แต่ปากกลับไม่ยอมรับ”


เหมียวอี้ยืนอยู่อย่างนั้นราวกับเทียนไข มีเพียงเขาที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าจ้านหรูอี้ทำตามที่บิดาของนางบอกแล้วจริงๆ แต่เขาปฏิเสธไปแล้ว เพียงแต่จ้านหรูอี้อับอายจนเอ่ยปากพูดไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงปกติทั่วไป หลังจากจบเรื่องก็ไม่มีใครกล้าพูดทั้งนั้น


“หลังจากออกจากจวนผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ตอนนั้นข้ากำลังคิดว่า ถ้านางหนูนั่นพูดเปิดเผยออกมาจริงๆ ต่อให้ในใจเจ้าจะสนใจนางบ้างนิดหน่อย ก็คงจะไม่นิ่งเฉยเย็นชา ข้าก็เลยรีบตรวจดูรอบๆ ก็เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้ ถ้าเจ้าคอยแอบดูอยู่เงียบๆ ก็แสดงว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ไร้หัวใจ ดังนั้นข้าเลยรู้สึกว่าพวกเจ้ายังพอมีหวัง ข้าเลยคิดจะสู้เพื่อนางหนูสักหน่อย” พอพูดถึงตรงนี้ จ้านผิงก็หันมาจ้องเขาอีกครั้ง แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ไปเถอะ! พานางไป! ตอนนี้ที่นี่มีเพียงอำนาจในมือเจ้าเท่านั้น ที่จะสามารถพานางหนีออกไปได้!”


“ท่านโหวกำลังล้อเล่นหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถามอย่างใจเย็น


จ้านผิงตอบว่า “ไม่ได้ล้อเล่น ถึงแม้อำนาจของเจ้าตอนอยู่ที่นี่จะมีไม่เยอะ แต่ทัพของกองมังกรดำที่ประจำอยู่ที่นี่ก็มีสิทธิ์ไปเยี่ยมครอบครัวที่ดาวเคราะห์ดวงที่จัดไว้ให้ครอบครัวพักอาศัย แต่ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าก็ไปไม่ได้ มีเพียงหนังสือคำสั่งของเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำให้ผ่านการสอบสวนได้ เจ้าไปด้วยตัวเองสักรอบก็ยิ่งไม่มีปัญหา นี่คือช่องโหว่เดียวที่สามารถเจาะได้ในตอนนี้ และเป็นโอกาสเดียวในตอนนี้เช่นกัน ข้าสามารถใส่หรูอี้ไว้ในกระเป๋าสัตว์ จากนั้นเจ้าค่อยพานางไปยังดาวเคราะห์ที่จัดไว้ให้ครอบครัวพัก ข้าจะอยู่ทางนั้นและส่งลูกน้องคนสนิทมารับ จะมีคนพาพวกเจ้าไปส่งยังที่ปลอดภัย”


“ท่านโหวไม่กังวลหรือว่าหลังจากลูกสาวท่านไปแล้วจะไม่มีทางอธิบายกับตำหนักสวรรค์ได้?” เหมียวอี้ถาม


จ้านผิงตอบว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล หลังจากพวกเจ้าไปแล้ว ความรับผิดชอบทุกอย่างจะผลักไปที่เจ้า บอกว่าเจ้าลักพาตัวหรูอี้ไป ตำหนักสวรรค์จะต้องยอมรับความจริงข้อนี้เช่นกัน เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย เป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาที่ฝ่าบาทกับตระกูลอิ๋งจะแปรพักตร์ใส่กัน มีแต่จะต้องเข็นเรือไปตามน้ำ ผลักความรับผิดชอบไปให้เจ้า”


“ท่านโหวกำลังล้อเล่นแน่ๆ!” เหมียวอี้ยืนยันอีกครั้ง


“เจ้ากำลังกังวลอะไร? กังวลว่าในภายหลังจะไม่มีทรัพยากรฝึกตนเหรอ? ตราบใดที่มีข้าอยู่ ข้าสามารถรับประกันได้เลยว่าทรัพยากรฝึกตนของพวกเจ้าในภายหลังจะมีเพียงพอ หรือว่ากังวลอนาคตของเจ้า? ขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ นะ เจ้าไม่ใช่คนทะเยอะทะยานอะไรขนาดนั้นเลย ตราบใดที่มีอีกเส้นทางให้เดิน เจ้าคงไม่เอาแต่คิดถึงอำนาจหรอก และก็เพราะแบบนี้ ข้าถึงได้วางใจที่จะส่งต่อหรูอี้ให้เจ้า” จ้านผิงกล่าว


เหมียวอี้แปลกใจแล้ว จึงเอียงหน้ามองเขาแล้วถามว่า “ทำไมท่านโหวตัดสินว่าข้าไม่มีความทะเยอะทะยานที่จะไต่เต้าขึ้นข้างบนล่ะ?”


จ้านผิงตอบอย่างเฉียบขาดว่า “เหตุผลไม่ซับซ้อนหรอก ขอเพียงเป็นคนทะเยอะทะยานอยากจะไต่เต้าขึ้นข้างบน ก็จะทนล้ำกลืนความอัปยศอดสู ไม่มีทางก่อเรื่องล่วงเกินคนมากมายที่ตลาดสวรรค์หรอก! เจ้าอยู่กับหรูอี้มาตลอด ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะดูไม่ออกเลยว่าหรูอี้รู้สึกกับเจ้ายังไง ถ้าเจ้าอยากจะปีนป่ายขึ้นข้างบนจริงๆ เจ้าคงฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากทางลัดที่วางอยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างหรูอี้ไปนานแล้ว เจ้าคงทำให้นางกลายเป็นผู้หญิงของเจ้าไปนานแล้ว มีหรือที่จะเกิดเรื่องเหมือนอย่างวันนี้!”


เหมียวอี้เม้มริมฝีปากแน่น เหมือนกำลังพยายามควบคุมบางอย่างในใจ สุดท้ายก็กล่าวอย่างใจแข็งดุจหินผาว่า “ท่านโหว ข้าไม่ได้สนใจลูกสาวท่านเลย!”


ประโยคนี้ได้โค่นล้มสิ่งที่ใครบางคนพูดจนปากเปียกปากแฉะไปหมดแล้ว


จ้านผิงพลันจ้องไปที่เขา จู่ๆ ลมภูเขาก็พัดวูบอย่างรุนแรง ชายเสื้อของเขาปลิวสะบัดพลิกไปพลิกมา แต่เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบกลับจ้องไปข้างหน้าอย่างเยือกเย็น ราวกับเป็นรูปสลักหิน


จ้านผิงหันตัวช้าๆ แล้วเดินจากไป


ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ บนราวจับสลักลายของสะพานโค้งหยกขาวแห่งหนึ่ง บนนั้นวางโถหยกใบหนึ่งเอาไว้ ด้านในเต็มไปด้วยยาเสริมพลังชีวิต


โค่วหลิงซวีที่ยืนอยู่บนสะพานคว้ายาเสริมพลังชีวิตกำหนึ่งโปรยลงในน้ำที่อยู่ใต้สะพาน


ในน้ำม้วนกลิ้งทันที ละอองน้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว ปลาหลี่ทองยาวประมาณครึ่งจั้งที่ตาเปล่งแสงสีแดงฝูงหนึ่งโผล่มา แย่งกันกินอาหารอยู่อย่างนั้น โค่วหลิงซวีจ้องมองความเคลื่อนไหวที่ผิวน้ำ แล้วถอนหายใจเบาๆ “วุ่นงายแล้ว เริ่มวุ่นวายแล้ว!”


ผู้เฒ่าถังที่อยู่ข้างๆ ถามหยั่งเชิงว่า “นายท่านหมายถึงเรื่องที่หลานสาวของอิ๋งจิ่วกวงจะเข้าวังไปเป็นสนมหรือขอรับ?”


วันนี้เรื่องนี้ถูกประกาศแล้ว ข่าวแพร่ออกไปแล้วเช่นกัน


โค่วหลิงซวีพึมพำว่า “นี่ประมุขชิงกำลังจะเริ่มตักเตือนตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ข้าควรจะรู้สึกดีใจสิถึงจะถูก แต่ในใจข้ากลับรู้สึกไม่สงบอย่างบอกไม่ถูก ผู้เฒ่าถัง เจ้าไม่สังเกตบ้างเหรอว่าในหลายพันปีมานี้เกิดเรื่องราวขึ้นเยอะเกินไป? แดนอเวจีปรากฏทางเข้าออกใหม่ ตอนปรับปรุงตลาดสวรรค์ฝ่าบาทกับพวกเราก็ขัดแย้งกัน ในหน่วยองครักษ์เงาอาจจะมีเกลือเป็นหนอน ข่าวของพระปีศาจหนานโป การปรากฏตัวของไป๋เฟิ่งหวง เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตอนนี้ประมุขชิงก็ต้องการจะตักเตือนตระกูลเซี่ยโห้วอีก เรื่องใหญ่ๆ ที่ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นได้ยาก แต่ตอนนี้กลับเหมือนกำลังปะทุขึ้นมาทีละเรื่อง ทำให้เวลาจะรับมือขึ้นมาก็มีอุปสรรคมาก ขนาดคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวายังไม่พอใช้เลย ตำหนักสวรรค์เหมือนจะมีเค้าลางของความวุ่นวายในสังคมแล้ว!”


ผู้เฒ่าถังก็ถอนหายใจเช่นกัน “ใช่แล้ว! อย่าว่าแต่ตำหนักสวรรค์เลย ขนาดสมาธิส่วนใหญ่ของพวกเรายังถูกดึงดูดด้วยเรื่องพวกนี้เ กำลังคนเบื้องล่างก็แทบจะเข้าไปสืบเรื่องพวกนี้กันหมด เกรงว่าอำนาจฝ่ายอื่นๆ ก็คงจะไม่ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ไม่มีสมาธิไปสนใจเรื่องอื่นแล้ว ตาข่ายใหญ่ที่ครอบใต้หล้าเอาไว้ถูกฉีกจนมีรูโหว่มั่วไปหมด สมควรจะเป็นกังวล!”


บทที่ 1443 ให้เกียรติเพียงราชินีสวรรค์ ระดับต่ำกว่านั้นไม่ต้อง

Ink Stone_Fantasy

พอโปรยยาเสริมพลังชีวิตลงในน้ำอีกกำ ก็ทำให้ผิวน้ำกระฉอกอีกพักหนึ่ง ปลาหลี่ทองกินอาหารเสียงดัง  โค่วหลิงซวีคลึงยาเสริมพลังชีวิตระหว่างนิ้ว พลางกล่าวว่า “เรื่องพวกนี้ดันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เสียด้วย จะไม่สนใจก็ไม่ได้ ใช้กำลังสมาธิมากมายเพื่อให้ความสนใจ แต่ก็สืบไม่เจอผลลัพธ์อะไร จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีสักเรื่องที่ทำให้คนเห็นหัวเห็นหาง หาผลลัพธ์ไม่เจอเลย แต่กลับตรึงพลังความคิดของพวกเราเอาไว้ ผู้เฒ่าถัง เจ้าว่าเรื่องพวกนี้มีเงื่อนงำอะไรอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า?”


ผู้เฒ่าถังตกใจ “นายท่าน ท่านหมายความว่ามีคนดำเนินการอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้หรือขอรับ มีคนจงใจวางหมาก?”


โค่วหลิงซวีส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ ข้าแค่สงสัย ถ้ามีคนสามารถดำเนินการเรื่องพวกนี้ได้จริง สามารถนำเรื่องพวกนี้มาวางเป็นหมากได้ ก็แสดงว่าคนคนนั้นไม่ธรรมดาแน่ จะเป็นใครได้อีกล่ะ?”


ผู้เฒ่าถังครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ถ้ามีคนดำเนินเรื่องนี้จริงๆ คนที่สามารถปลุกปั่นเรื่องพวกนี้ได้ก็ไม่มีทางที่จะเป็นคนธรรมดา แต่ผู้ที่มีความสามารถก็ไม่มีใครแล้วนอกจากคนพวกนั้น ประมุขชิง ประมุขพุทธะ ประมุขไป๋ เซี่ยโห้วท่า แล้วก็ยังมีผู้เหลือรอดของหกลัทธิ”


โค่วหลิงซวีพยักหน้าช้าๆ “มีเพียงคนพวกนี้จริงๆ เรื่องพวกนั้นที่โผล่ออกมาก็มีเพียงพวกเขาที่อาจจะยื่นมือเข้าไป ยกตัวอย่างเช่นพระปีศาจหนานโป เรื่องแบบนี้พวกเราสี่อ๋องสวรรค์ไม่เคยไปสัมผัสเลย มิหนำซ้ำการก่อเรื่องแบบนี้ก็ไม่เป็นผลดีกับพวกเราสี่คนด้วย และเช่นเดียวกัน มันไม่มีประโยชน์อะไรกับประมุขชิงเลย ประมุขชิงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ประมุขไป๋ก็อาจจะเป็นไปได้อยู่ แต่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะใช้เจดีย์สยบปีศาจเป็นแกนค่ายกล วางค่ายกลตอบสนองไว้แล้ว ขอเพียงร่างแยกของประมุขไป๋มาปรากฏตัวที่ดาราจักรผืนนี้ เจดีย์สยบปีศาจก็จะต้องตอบสนองทันที และแนวโนมสถานการณ์ในใต้หล้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ถ้าประมุขไป๋อาศัยเพียงร่างแยกแล้วคิดจะปลุกระดมเรื่องราวมากมายขนาดนี้ ก็เกรงว่าจะค่อนข้างลำบาก”


“แต่อาศัยฝีมือของประมุขไป๋ ขอเพียงร่างแยกของเขายังไม่ดับสูญ ก็เกรงว่าจะยังเป็นความกังวงแฝงเร้นที่ใหญ่ที่สุดในใจประมุขชิงกับประมุขพุทธะ ประมุขชิงกับประมุขพุทธะไม่เคยกล้าลงมือสังหารประมุขปีศาจกับประมุขไป๋ที่โดนขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจเลย ไม่ใช่เพราะอยากล่อให้ร่างแยกของประมุขไป๋ออกมาแล้วถอนรากถอนโคนหรอกเหรอ?” ผู้เฒ่าถังถาม


โค่วหลิงซวีถอนหายใจอย่างไม่ทุกข์ร้อน “เป็นความกังวลที่ใหญ่ที่สุดของประมุขชิงกับประมุขพุทธะจริงๆ ตอนแรกก็ยังไม่รู้ แต่เมื่อได้ประมือกันครั้งนั้น ขนาดประมุขชิงกับประมุขพุทธะร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขไป๋เลย ขนาดโดนกลุ่มคนใกล้ชิดของประมุขไป๋ที่ทรยศล้อมโจมตีมากมายขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้ร่างแยกของประมุขไป๋หนีไปได้ จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าทำไมสองคนนั้นถึงพยายามคิดหาทางทุกวิธีเพื่อลงมือสังหารน้องชายร่วมสาบานของตัวเอง สถานการณ์ในตอนนี้ ถึงแม้จะเป็นไปได้ว่าอาจมีประมุขไป๋เข้าร่วมด้วย แต่ถ้าประมุขไป๋ต้องการจะทำเรื่องนี้ให้ได้ผล ก็ต้องระดมกำลังพลด้วยสิ อาศัยแค่กำลังตัวเองคนเดียว ต่อให้จะเก่งกาจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ประมุขชิงวางกับดักรอแล้ว ถ้าประมุขไป๋มีความเคลื่อนไหวอะไรจริงๆ มีหรือที่ประมุขชิงจะไม่แสดงท่าทีโต้ตอบ ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะเป็นประมุขไป๋ก็มีไม่มาก เซี่ยโห้วท่าล้ำลึกและรอบคอบ ระมักระวังตัวมาตลอด ไม่ทำเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจ นอกเสียจากจะมีความมั่นใจว่าจะกำจัดประมุขชิงกับประมุขพุทธะได้ หรือไม่ในตระกูลก็มีคนที่มีพลังสยบใต้หล้าได้ ไม่อย่างนั้นการพึ่งพาคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหล้าต่างหากถึงจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาผลประโยชน์ ไม่อย่างนั้นแล้ว เนื้อก้อนใหญ่ที่ไม่มีฝาหม้อปิดก็จะโดนคนอื่นกรูกันเข้ามาขอส่วนแบ่งทันที ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องโค่นล้มแน่นอน ตราบใดที่ประมุขชิงไม่ทำเกินไป ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะไม่ทำอะไรซี้ซั้ว ผู้เหลือรอดของหกลัทธิก็ค่อนข้างมีความเป็นไปได้ ส่วนประมุขพุทธะ…” จังหวะการพูดฟังดูลังเล ขบคิดอย่างลังเล


ผู้เฒ่าถังจึงพูดแทนเขา “ถ้าเรื่องพวกนี้มีคนดำเนินการอยู่เบื้องหลังจริงๆ เช่นนั้นประมุขพุทธะก็เป็นไปได้มากที่สุด ประการแรกเป็นเพราะเขาคือคนที่มีความสามารถที่จะปั่นเรื่องพวกนี้มากที่สุดในตอนนี้ ประการต่อมาเป็นเพราะหลังจากตำหนักสวรรค์และประมุขชิงล้มลงแล้ว เขาก็จะเป็นคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุด”


โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างค่อนข้างระแวงสงสัยว่า “ประมุขพุทธะจะทำแบบนี้ได้เหรอ? จะทำลายสถานการณ์ที่มั่นคงแบบนี้ได้เหรอ? อย่างไรเสียภัยแฝงแบบประมุขไป๋ก็ยังไม่ถูกกำจัด แบบนี้จะไม่เป็นการเปิดโอกาสให้คนเจาะช่องโหว่หรอกเหรอ?”


ผู้เฒ่าถังเตือนว่า “นายท่าน ในปีนั้นทำไมพวกเขาสองคนถึงต้องการกำจัดประมุขไป๋กับประมุขปีศาจล่ะ? จุดประสงค์เดี๋ยวกัน ถ้าประมุขชิงล้มลง ประมุขพุทธะก็จะเป็นจ้าวในใต้หล้าแล้ว!”


กรอบ! จู่ๆ ยาเสริมพลังชีวิตที่อยู่ระหว่างนิ้วก็โดนบีบแหละ โค่วหลิงซวีหรี่ตากล่าวว่า “พวกเราคิดได้ เกรงว่าประมุขชิงก็คงเกิดความสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากเช่นกัน ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าระหว่างทั้งสองเกิดช่องโหว่ในใจขึ้นมา เกรงว่าในใต้หล้าก็คงจะวุ่นวายใหญ่โตเข้าสักวัน!”


ผู้เฒ่าถังรู้ว่าเขากังวลอะไร จึงกล่าวปลอบใจว่า “นายท่าน ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการคาดเดาของพวกเรา มีความเป็นไปได้มากกว่าว่าผู้เหลือรอดของหกลัทธิอยากจะก่อก่วนใต้หล้าเพื่อล้างแค้น”


โค่วหลิงซวีคว้ายาแก่นเซียนโปรยไปไกล “ถ้าเป็นประมุขพุทธะ ดีไม่ดีก็อาจจะต้องดึงข้าไปเป็นพวกด้วย ถ้าเป็นผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่พลิกกระดาน ก็จะยิ่งไม่เป็นผลดีสำหรับข้า! ผู้เฒ่าถัง เรื่องบางเรื่องเจ้าก็รู้อยู่ ในปีนั้นเพื่อที่จะข้าจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง ก็เรียกได้ว่าฆ่าล้างบางหกลัทธิ ถ้าจะบอกว่าใครมีความแค้นกับผู้เหลือรอดของหกลัทธิลึกล้ำที่สุด ทั้งตำหนักสวรรค์เป็นใครไปไม่ได้นอกจากข้า ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ทุกคนของตระกูลของไห่ยวนเค่อตายด้วยน้ำมือของข้าหมด ความแค้นนี้ลึกจนอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันไม่ได้ แต่ดันปล่อยให้ไห่ยวนเค่อโชคดีรอดชีวิตหนีไปได้ แถมตอนนี้ไห่ยวนเค่อก็ยังอยู่ในตำแหน่งสำคัญท่ามกลางผู้เหลือรอดของหกลัทธิ ถามหน่อยว่าถ้าผู้เหลือรอดของหกลัทธิโต้กลับสำเร็จขึ้นมา มีหรือที่จะปล่อยข้าไป! หลังจากพวกเขาโดนขังอยู่ในแดนอเวจีแล้ว เดิมทีข้านึกว่าพวกเขาจะจุดชนวนความวุ่นวายไม่ได้แล้ว แต่จู่ๆ ‘เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน’ ก็โผล่ออกมาอีก มันทำให้ข้ากังวลใจ!”


คนที่มีสีหน้ากังวลไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ในศาลาเย็นหลังหนึ่งบนยอดเขาที่มีทิวทัศน์ล้อมรอบงดงามดุจภาพวาด เซี่ยโห้วท่ากำลังยืนถือไม้เท้า ถอนหายใจเบาๆ…


อุทยานหลวง เรือนพักอ๋องสวรรค์อิ๋งที่ประดับผ้าหลากสีและผ้าสีแดงสดไปทั่วทุกที่ดูสะดุดตาเมื่อเทียบกับเรือนพักหลังอื่นๆ ที่อยู่บนแนวภูเขาโดยรอบ มีบ่าวรับใช้ของเรือนพักหลายหลังวิ่งออกมา แล้วจ้องประเมินทางนี้


เหมียวอี้ไม่อยากมาที่นี่ แต่จำเป็นต้องมา และครั้งนี้ก็จำเป็นต้องเข้ามาในเรือนพักอ๋องสวรรค์อิ๋ง


วังสวรรค์ส่งคนมาอีกแล้ว ผู้การใหญ่ซ่างก่วนชิงมาด้วยตัวเอง ทางซ้ายและขวามีผู้ติดตามสองคน ก่อนที่เขาจะเข้ามาในประตูใหญ่ เหมียวอี้ก็นำกำลังพลกลุ่มใหญ่มาประจำอยู่ที่นี่แล้ว แบ่งยืนอยู่สองข้างของทางหลัก ถืออาวุธตั้งเรียงรายอยู่นอกตำหนักหลักไปจนถึงข้างใน โอบล้อมพิทักษ์ซ้ายขวาของตำหนักใหญ่


กองมังกรดำทำหน้าที่เป็นองครักษ์ในพิธีชั่วคราว แต่ละคนแขวนผ้าหลากสีไว้บนอาวุธและยืนอย่างเคร่งขรึม เหมียวอี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการหลัก จึงแขวนกระบี่วิเศษสีแดงไว้ที่เอวเป็นพิเศษ ตอนนี้กำลังเอามือประคองดาบและยืนตรง


แสงแดดยามเช้าเป็นสีทอง ส่องสว่างเต็มท้องฟ้า


ซ่างก่วนชิงนำคนสองคนเดินเข้ามาตลอดทาง อิ๋งจิ่วกวงที่อยู่บนบันไดกุมหมัดคารวะตั้งแต่อยู่ไกลๆ พอต้อนรับแล้วก็หันตัวยื่นมือเชิญเข้าในตำหนัก


เหมียวอี้ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของตีนบันไดมองไม่เห็นภาพนี้ ได้ยินเพียงเสียงของซ่างก่วนชิงดังออกมาจากในนั้น ไม่อยากได้ยินก็คงยาก ซ่างก่วนชิงเหมือนอยากจะให้ทุกคนได้ยิน ร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้เสียงดัง เสียงก้องกังวานอยู่ระหว่างหมู่ขุนเขาโดยรอบ


“จ้านหรูอี้ฟังคำสั่ง นี่คือราชโองการของฝ่าบาท : จ้านหรูอี้บุตรสาวของท่านโหวจ้านผิงมาจากตระกูลที่โด่งดัง มีความประพฤติอยู่ในศีลธรรม รูปโฉมงดงามและมีความสามารถ เป็นยอดอัจฉริยะแห่งยุค อุปนิสัยตรงไปตรงมา เมื่อพบกันที่สวนท้อฝ่าบาทก็ถูกตาต้องใจ ต้องการจะรับเป็นสนมโปรด ตอนที่สนมจ้านยังไม่เข้าวัง ก็ได้สร้างผลงานไว้ก่อนแล้ว เสียสละนำชีวิตไปเสี่ยงอันตรายที่ตลาดผี สร้างผลงานใหญ่ให้ฝ่าบาท จึงแต่งตั้งให้เป็น ‘สนมสวรรค์หรูอี้’ เป็นกรณีพิเศษ อยู่ในอันดับหนึ่งของกลุ่มสนมในวังหลัง ประทานพาหนะหงส์เดี่ยว ให้เกียรติเพียงราชินีสวรรค์ ระดับต่ำกว่านั้นไม่ต้อง จบ!”


เมื่อประกาศคำสั่งนี้ออกมา ผู้คนที่อยู่ในจวนตามแนวภูเขารอบๆ ก็พากันตกตะลึง รู้ว่าจ้านหรูอี้จะต้องเข้าวังไปเป็นสนม แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกแต่งตั้งให้เป็น ‘สนมสวรรค์หรูอี้’ เป็นสนมอันดับหนึ่งของวังหลัง ตั้งแต่มีวังสวรรค์เกิดขึ้นมา นี่คือ ‘สนมสวรรค์’ คนแรก!


ราชันสวรรค์ยังประทานพาหนะหงส์เดี่ยวให้ด้วย ถึงแม้จะแย่กว่าหงส์คู่ของราชินีสวรรค์นิดหน่อย แต่ก็มีกฎว่ามีเพียงราชินีสวรรค์เท่านั้นที่จะใช้พาหนะหงส์ได้


ที่บอกว่า ‘ให้เกียรติเพียงราชินีสวรรค์ ระดับต่ำกว่านั้นไม่ต้อง’ เท่ากับว่าต้องความเคารพคนที่ระดับเหนือราชินีสวรรค์ขึ้นไปเท่านั้น ต่ำกว่าราชินีสวรรค์ลงมาก็ไม่มีใครอยู่เหนือนางแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า เมื่อเจอคนที่ระดับต่ำกว่าราชินีสวรรค์ก็ไม่ต้องทำความเคารพอีก


มีคนรีบนำระฆังดาราออกมารายงานข่าวบอกเจ้านายทีอยู่เบื้องหลัง


ทุกคนของกองมังกรดำที่อยู่ตรงนั้นก็ตกตะลึงเช่นกัน เหมียวอี้หันหน้ามองไปในตำหนักโดยจิตใต้สำนึก ความตกตะลึงในใจนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวฐานะของจ้านหรูอี้จะเปลี่ยนเป็นสูงส่งขนาดนี้ แทบจะทำให้ทุกคนในใต้หล้าต้องแหงนหน้ามอง หลายวันก่อนยังเป็นลูกน้องของตนอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นบุคคลที่เป็นรองแค่ราชินีสวรรค์แล้ว


เหมือนจะเพื่อขานรับคำพูดของซ่างก่วนชิง บนท้องฟ้ามีเสียงหงส์ร้องก้องกังวานราวกับเสียงทองกระทบหยก หงส์สีรุ้งที่งดงามและมีขนาดใหญ่ตัวหนึ่งบินฝ่าเมฆออกมา กางปีกบินร่อนอยู่ในท้องฟ้า สีของขนสวยแพรวพราว ขนหางยาวล่องลอยราวกับสายรุ้ง ด้านหลังหงส์สีรุ้งลากด้วยเกี้ยวหงส์หลังหนึ่งที่เฉิดฉายเจิดจรัส ทั้งสองฝั่งมีทหารสวรรค์นับพันคุ้มกัน


หลังจากบินวนบนท้องฟ้าได้พักหนึ่ง พาหนะหงส์ที่งดงามหรูหราก็เหาะลงมาข้างล่าง ลอยลงเหยียบเบาๆ บนพื้นที่ว่างนอกตำหนักที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว หงส์สีรุ้งที่ตัวใหญ่ถึงสิบจั้งมีพลังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม หยุดยืนอย่างหยิ่งผยอง


นางในหลายสิบคนออกมาจากสองฝั่งจองตึกเกี้ยว รีบก้าวขึ้นมาบนบันได แล้วเข้าไปในตำหนักใหญ่ ก่อนจะมีเสียงตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “คำนับสนมสวรรค์!”


ผ่านไปไม่นาน นางในสิบกว่าคนก็ทยอยกันออกมา แล้วแบ่งยืนข้างบันไดสองฝั่ง


จ้านหรูอี้ที่สวมมงกุฎหงส์และชุดกระโปรงยาวสีแดงทั้งตัวเดินออกมาอย่างช้าๆ แต่งตัวงดงามมีเสน่ห์กว่าที่เคยเป็น ม่านไข่มุกใต้มงกุฎหงส์สั่นไหวตามจังหวะการเดิน สาวใช้สองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาจูงแขนนางไว้คนละข้าง ประคองนางออกมาอย่างระมัดระวัง นางในที่ยืนอยู่สองฝั่งของบันไดทยอยกันเดินตามหลังนางโดยเริ่มจากตรงประตู


พอนางปรากฏตัว ลูกน้องที่อยู่ข้างกายซ่างก่วนชิงก็ส่งสัญญาณมือทันที ทุกคนของกองมังกรดำตะโกนเสียงดังว่า “คารวะสนมสวรรค์!”


จากข้างนอกจนถึงข้างใน แม้กระทั่งทหารยามที่อารักขานอกเรือนพักอ๋องสวรรค์อิ๋ง ยังไม่ทันเห็นตัวคน พวกเขาก็ทำตามที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว มีเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องกันอีก “คารวะสนมสวรรค์!” เสียงดังจนเมฆหมอกกระจาย


ทุกคนของตระกูลอิ๋งที่เดินตามออกมาจากในตำหนักมีสีหน้าปีติยินดี มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยมองไปทางพาหนะหงส์ที่อยู่ด้านนอก ในดวงตาแสดงอารมณ์อิจฉาอย่างปิดบังไว้ไม่อยู่ อิ๋งจิ่วกวงก็ยิ่งเอามือลูบเคราพลางหรี่ตายิ้ม มีเพียงจ้านผิงที่สีหน้าเรียบเฉย ส่วนอิ๋งลั่วหวนก็สีหน้าห่อเหี่ยว ไม่ได้เห็นความดีใจใดๆ


ขณที่มองจ้านหรูอี้เดินลงบันไดมา เหมียวก็เข้าใจแล้ว อาศัยฐานะของตระกูลอิ๋ง เกรงว่าการแต่งตั้ง ‘สนมสวรรค์หรูอี้’ นี้จะมีการเจรากับตระกูลอิ๋งเรียบร้อยแล้ว และก็เป็นเพราะเหตุนี้เอง เป็นเพราะเข้าใจสิ่งนี้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกเศร้าใจอย่างรุนแรง


เมื่อนึกถึงภาพที่จ้านหรูอี้คุกเข่าขอร้องต่อหน้าตนวันนั้น นึกถึงภาพที่จ้านหรูอี้ฉีกเสื้อผ้าเผยหน้าอกให้ตนดูด้วยความสิ้นหวัง นางมีเกียรติยศให้โอ้อวดใต้หล้าแต่กลับไม่ต้องการ นางแค่อยากหนีไปกับเขาเท่านั้น แต่เขากลับปฏิเสธไปแล้ว


เขาไม่คิดว่าตัวเองชอบจ้านหรูอี้ ที่จริงแล้วเกลียดนางมาตลอด แต่ตอนนี้ ในใจเขากลับรู้สึกหนักอึ้ง หนักจนขนาดจะหายใจยังลำบาก รู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก เป็นความเจ็บปวดที่คลุมเครือแต่กลับไม่มีที่สิ้นสุด เกรงว่าคงจะกำจัดความเจ็บปวดนี้ทิ้งไม่ได้ตลอดไป


บทที่ 1444 นี่มันคนบ้า

Ink Stone_Fantasy

ชีสิ้วหงที่อยู่ในกาหลอมปีศาจในปีนั้น เขาไม่มีความสามารถที่จะไปช่วย ได้แต่มองดูนางตายอยู่ตรงหน้าโดยที่ทำอะไรไม่ได้


ส่วนจ้านหรูอี้ในตอนนี้ เขามีความสามารถที่จะช่วย แต่เขากลับไม่ได้ไปช่วย ได้แต่มองดูนางกลายเป็นสนมของราชันสวรรค์ไปแบบนั้น ถ้าไม่เคยเกิดฉากที่จ้านหรูอี้ขอร้องเขาก็ว่าไปอย่าง ถ้าจ้านผิงไม่มาพูดอะไรแบบนั้นให้ฟังเขาก็ยังไม่สะทกสะท้าน ถ้าไม่รู้ว่านางเต็มใจไปกับเขาโดยต้องยอมทิ้งอะไรบ้าง เขาก็คงจะสงบใจกว่านี้


ในปีนั้นเรื่องของชีสิ้วหงได้สร้างความบอบช้ำอย่างรุนแรงให้เขา เขาเจ็บจนฝังลึกถึงกระดูก ทิ้งแผลเป็นใหญ่เอาไว้ในใจของเขาแล้ว


เรื่องของจ้านหรูอี้ในตอนนี้ ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้เขาเจ็บฝังลึกเหมือนชีสิ้วหง ทำให้เขาเจ็บแบบคลุมเครือเท่านั้น แต่ก็ทิ้งบาดแผลเล็กๆ เอาไว้รอยหนึ่งอยู่ดี ทว่าบาดแผลนี้คงต้องใช้เวลานานกว่าจะสมานตัว


เป็นเพราะคนคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ เป็นเพราะเจ้ารู้ว่าคนคนนี้อยู่ที่ไหน รู้ว่านางอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นแล้วจะประสบเรื่องไม่ดีอะไรบ้าง บางทีอาจเป็นเพราะยังต้องได้เจอกันอีก บางทีเจ้าอาจจะอยากถามนางว่าสบายดีไหม แต่เจ้าจะถามออกเหรอ?


แล้วจะให้บาดแผลนี้สมานตัวได้อย่างไรล่ะ?


ถ้าให้โอกาสเขาอีกหนึ่งครั้ง เขาจะไปกับนางหรือเปล่านะ?


เขาถามใจตัวเองดู คำตอบของเขาก็ยังเหมือนเดิม คือไม่ไปกับนาง! แต่ว่า…ถ้ามีโอกาสย้อนเวลาไปได้จริงๆ เขาก็จะคิดหาทางช่วยนางออกไป แต่โลกนี้ไม่มีเรื่องสมมติแบบนั้นหรอก!


มือของเหมียวอี้ที่กำลังประคองกระบี่จับด้ามกระบี่ไว้แน่น กำจนข้อนิ้วซีด แทบจะบีบจนด้ามกระบี่แหลก เขาเม้มริมฝีปากแน่น เหมือนวู่วามอยากจะชักกระบี่ออกมา แต่ก็ยังควบคุมตัวเองไว้ได้อย่างดี


จ้านหรูอี้ที่ก้าวลงบันไดมาอย่างสง่างามเห็นเขาแล้ว สายตาที่อยู่ข้างหลังม่านไข่มุกสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา ทั้งสองไม่ได้อยู่ด้วยกันแค่วันสองวัน นางมองออกว่าเขามีความผิดปกติหรือไม่ นางสังเกตเห็นว่าเหมียวอี้เหมือนวู่วามอยากจะชักกระบี่


ดวงตาของนางฉายประกายทันที นางเฝ้ารอให้เขาชักกระบี่ออกมา ถ้าเขายินดีจะชักกระบี่ออกมาเพื่อนางจริงๆ เช่นนั้นนางก็จะยอมให้อภัยเขา ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร นางก็ยินดีที่จะแบกรับไปพร้อมกับเขา ไม่สนใจความล่มจมหรือศักดิ์ศรีของครอบครัวอะไรทั้งนั้น นางไม่อยากแบบรับ ต่อให้เลือดสาดกระจายและตายไปพร้อมกับเขาตอนนี้ นางก็ยินดีทำด้วยความเต็มใจ


จ้านผิงยืนอยู่บนบันได้หน้าตำหนัก ที่จริงก็อยากจะเห็นนานแล้วว่าปฏิกิริยาของเหมียวอี้จะเป็นอย่างไร ตอนที่สายตาของทุกคนไปรวมสนใจอยู่บนตัวลูกสาว แต่สายตาของเขาไปอยู่ตรงมือที่คว้าด้ามกระบี่ของเหมียวอี้ มองดูมือบนด้ามกระบี่ที่สั่นเล็กน้อย อยากจะรู้ว่าเขาจะชักกระบี่ออกมาหรือไม่ อยากรู้ว่าจะคุ้มค่ากับน้ำตาที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจของลูกสาวหรือไม่


แต่เหมียวอี้ก็ทำให้สองพ่อลูกผิดหวัง เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ปากที่เม้มแน่นคลายออก ห้านิ้วที่กำด้ามกระบี่แน่นคลายออกอย่างช้าๆ


ดังนั้นสายตาของจ้านหรูอี้จึงเศร้าสลด หลังจากเดินลงบันไดผ่านเหมียวอี้ไปแล้ว แววตาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชาทีละเย็น เยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน


สนมสวรรค์ที่สวมมงกุฎหงส์ถูกคนประคองขึ้นเกี้ยวหงส์ ด้านซ้ายและขวามีคนเปิดม่านไข่มุกออก แล้วประคองให้นางนั่งบนเบื้องสูง


คนที่เหลือทยอยกันขึ้นเกี้ยวหงส์ แล้วยืนอยู่สองฝั่งด้านนอกตึกเกี้ยว


ซ่างก่วนชิงกุมหมัดคารวะอิ๋งจิ่วกวง นำผู้ติดตามสองขึ้นเกี้ยวหลังใหญ่ ยืนบนแท่นด้านหน้าเกี้ยวหลังใหญ่ แล้วโบกมือสั่งว่า “ต้อนรับสนมสวรรค์เข้าวัง!”


ราวกับได้ฟังคำสั่ง ทุกคนของกองมังกรดำรวมทั้งเหมียวอี้ ทุกคนของตระกูลอิ๋งรวมทั้งอิ๋งจิ่วกวง กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “น้อมส่งสนมสวรรค์!”


ตรงนั้นมีลมแรงพัดกระพือขึ้น หงส์สีรุ้งกางปีกทะยานฟ้าอย่างสง่างาม ลากเกี้ยวหลังใหญ่ให้ลอยขึ้นอย่างช้าๆ มีเสียงหงส์ร้องดังหนึ่งครั้ง ก่อนจะตะบึงไปยังเส้นขอบฟ้าอย่างสง่างาม หายไปในท้องฟ้าพร้อมกับกำลังพลที่ติดตามอารักขา


อิ๋งลั่วหวนพลันหันตัวโผเข้าไปร้องไห้สะอึกสะอื้นให้อ้อมกอดสามี แต่กลับถูกเสียงหัวเราะยินดีของทุกคนในตระกูลอิ๋งกลบหมดแล้ว


อิ๋งจิ่วกวงกวาดสายตามองไปเบื้องล่าง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “รบกวนพี่น้องกองทัพองครักษ์แล้ว ตบรางวัล!”


ดังนั้นจึงมีลูกน้องกลุ่มหนึ่งออกมา ขณะกำลังจะมอบแหวนเก็บสมบัติให้ทุกคน ใครจะคิดว่าจู่ๆ เหมียวอี้จะออกคำสั่งว่า “ถอนทัพ!”


เขายังจะรับรางวัลนี้ลงได้อย่างไร ไม่สนใจหรอกว่าจะใช่อ๋องสวรรค์หรือไม่ ถึงอย่างไรก็ควบคุมเขาไม่ได้อยู่แล้ว จึงใช้มือประคองกระบี่วิเศษที่เอวแล้วหันตัว ก่อนจะก้าวออกไปจากตรงนั้นเสียเลย


สถานการณ์อะไรกัน? กำลังพลทั้งหมดของกองมังกรดำมองหน้ากันเลิกลั่ก แอบเดาะลิ้นอย่างตกตะลึง ท่านแม่ทัพภาคช่างโหดนัก ขนาดเป็นอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยังไม่ไว้หน้า!


แต่ในเมื่อแม่ทัพภาคออกคำสั่งแล้ว ทุกคนจึงทำได้เพียงยอมทิ้งรางวัล ไม่อย่างนั้นคำสั่งทหารก็จะไม่ปรานี ได้ไม่คุ้มเสีย เสียงเกราะรบดังขึ้นเป็นแถบ ทั้งหมดเดินตามเหมียวอี้ออกไปแล้ว ตรงนั้นหายไปหมดเกลี้ยง


กลุ่มคนที่หยิบรางวัลออกมาและกำลังจะแจกพากันงุนงง นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? อ๋องสวรรค์อิ๋งที่เป็นหนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ก็ยังอยู่ในงาน แต่ไม่น่าเชื่อว่าแม่ทัพภาคจะไม่บอกลาเลยสักคำ รีบร้อนนำกำลังพลออกไปแบบนี้แล้วน่ะเหรอ? แถมยังปฏิเสธรางวัลด้วย นี่ไม่ใช่การตบหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งในวันมงคลหรอกเหรอ?


ทุกคนของตระกูลอิ๋งที่เมื่อครู่นี้ยังดีอกดีใจพากันนิ่งอึ้ง ทุกคนถลึงตาโตมองเหมียวอี้ที่นำคนเดินก้าวยาวออกไป แม้แต่อิ๋งลั่วหวนเองก็ยังเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกสามี ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตามองไปอย่างงงงัน


เป็นจั่วเอ๋อร์แม่บ้านของตระกูลอิ๋งที่ตอบสนองไว้ ช่วยคิดหาทางช่วยอ๋องสวรรค์กู้สถานการณ์นี้ ไม่อย่างนั้นถ้าข่าววันมงคลนี้แพร่ออกไปก็จะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ ต่อให้จะคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋อแต่ก็ไม่ใช่วันนี้


นางถลันตัวออกมาขวางตรงหน้าเหมียวอี้ไว้ ยามปกติเมื่อเจอกับตัวละครเล็กๆ อย่างเหมียวอี้ นางจำเป็ฯต้องมองตรงด้วยเหรอ? แต่ครั้งนี้นางจำเป็นต้องเลิกวางมาดก่อน กุมหมัดคารวะพร้อมกล่าวอย่างสุภาพว่า “แม่ทัพภาคหนิว ให้พี่น้องกองทัพองครักษ์ที่ถืออาวุธมาทำงานเล็กน้อยไม่เข้ากับความสามารถแล้ว แต่เห็นแก่ที่สนมสวรรค์กับทุกคนเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ได้โปรดรับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของสนมสวรรค์เอาไว้ด้วย” นางเปลี่ยนหยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งยื่นให้ตรงหน้าเหมียวอี้


นางเน้นคำว่า ‘สนมสวรรค์’ เป็นพิเศษ แอบบอกเป็นนัยว่านี่คือสนมที่ราชันสวรรค์รับไว้ การพังงานนี้ก็เท่ากับไม่ไว้หน้าราชันสวรรค์ หนิวโหย่วเต๋อจะต้องพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่ตามมา


ความคิดของเหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับราชันสวรรค์เลย อารมณ์ที่อัดอั้นตันใจอยู่ในเขตแดนที่ใกล้จะปะทุแล้ว รางวัลนี้เหมือนสิ่งที่มายั่วยุอารมณ์อยู่ตรงหน้าเขา กระตุ้นให้เขาควบคุมความรู้สึกไม่ได้ทันที กล่าวเสียงต่ำอย่างเย็นเยียบว่า “ขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ หนิวอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอับอาย!”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา พวกพี่น้องของกองมังกรดำก็ตกใจแล้ว ทุกคนของตระกูลอิ๋งก็ตกตะลึงเช่นกัน


สวีถังหรานที่อยู่ข้างกันก็ยิ่งตกใจจนตับสั่น ราชันสวรรค์รับสนมทำไมกลายเป็นขายผู้หญิงแลกเกียรติยศแล้วล่ะ? นี่ไม่ใช่การล่วงเกินแค่ตระกูลอิ๋ง นายท่านบรรพบุรุษของข้าเอ๊ย นี่มันเป็นการล่วงเกินผู้หญิงทุกคนของวังหลังเชียวนะ ล่วงเกินอำนาจที่อยู่เบื้องหลังผู้หญิงพวกนั้นด้วย แม้แต่ราชินีก็โดนเจ้าลากไปเช่นกัน เป็นประโยคเดียวที่โหดกว่าเจ้าล้างเลือดตลาดสวรรค์สิบครั้ง!


จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ตะลึงค้างแล้ว กำไลเก็บสมบัติที่ยื่นให้ค้างอยู่กลางอากาศ เหมือนทำใจเชื่อได้ยากนิดหน่อย ท่านนี้เป็นบ้าไปแล้วรึเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะพูดอะไรแบบนี้อออกมาได้!


เหมียวอี้ทำหน้าตึง ขี้คร้านจะสนใจนาง เดินก้าวยาวอ้อมนางออกไป กลุ่มพี่น้องกองมังกรดำที่เงียบกริบเหมือนจั๊กจั่นหน้าหนาวรีบก้มหน้าตามเขาไป


“หยุดนะ!”


เสียงตะคอกอันเดือดดาลดังขึ้นหลายครั้ง


คนในตระกูลอิ๋งรู้สึกไม่ปลื้มทันที เงาคนหลายคนถลันตัวเข้ามา ขวางตรงหน้าเหมียวอี้เอาไว้ มีคนชี้หน้าด่าเขาว่า “แม่ทัพภาคกระจอกๆ คนหนึ่งกล้ามาทำอวดดีตรงนี้ได้เหรอ ตบปากตัวเองให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าคิดว่าจะรอดชีวิตออกไปจากที่นี่!”


เหมียวอี้ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องเจ้าคนทรามตรงหน้า ไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหน ยกมือขึ้นอย่างช้าๆ แต่แทนที่จะตบปากตัวเอง เขากลับส่งสัญญาณมือ


ทุกคนของกองมังกรดำตกใจทันที หยางเจาชิงตะโกนเสียงต่ำแล้วว่า “เตรียมโจมตีศัตรู!”


คำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา ถึงแม้ทุกคนของกองมังกรดำจะลังเลในใจ แต่ทุกคนก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง เวลาเกิดเรื่องขึ้นก็จะโทษพวกเราไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทหาร ตอนหลังก็จะเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ


ทันใดนั้น เสียงเกราะรบขยับดังเป็นแถบ ชั่วพริบตาเดียวอาวุธที่ตั้งเรียงรายก็ชี้ไปยังลูกหลานตระกูลอิ๋งที่แทรกแถวออกมา และยิ่งมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อีกนับไม่ถ้วนที่ง้างสายเล็งไปที่พวกเขา ขณะเดียวกันก็ชี้ไปยังคนของตระกูลอิ๋งที่อยู่รอบๆ


เรื่องมงคลกลายเป็นเรื่องแบบนี้ไปแล้ว กลายเป็นใช้อาวุธเจอหน้ากัน ขนาดคนของตระกูลอิ๋งเองยังรู้สึกเลยว่ากำลังจะระเบิด ใบหน้าชราของอิ๋งจิ่วกวงดำเป็นก้นหม้อแล้ว


ตอนนี้แม้แต่จั่วเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร ไม่ใช่ว่าตระกูลอิ๋งกลัวทหารเล็กๆ พวกนี้ เพราะสามารถกำจัดทิ้งได้ทุกเมื่อ แต่ที่นี่คืออาณาเขตของกองทัพองครักษ์ และเป็นเขตการดูแลของวังสวรรค์ด้วย การลงมือกับทหารเล็กๆ พวกนี้ที่นี่ ก็เท่ากับแตะต้องกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์อยู่ใต้หนังตาราชันสวรรค์ ต่อให้มีเหตุผลเต็มที่แต่ก็เหมือนไม่มีเหตุผลอยู่ดี สถานการณ์ร้ายแรงมาก


ต่อให้ราชันสวรรค์จะไม่เอาเรื่อง แต่ก็ไปมีเรื่องกับโพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายไม่ไหว ถ้าโจมตีเข้ามาในอาณาเขตของโพ่จวิน แค่นิสัยเจ้าอารมณ์ของโพ่จวินที่กล้าเถียงกับราชันสวรรค์ มีหรือที่จะปล่อยพวกเขาทั้งหมดไป? และตระกูลอิ๋งก็ไม่ได้นำกำลังพลมาที่นี่ด้วย ที่นี่ไม่อนุญาตให้นำกำลังพลภายนอกเข้ามา ไม่สามารถนำเข้ามาได้เลย ถ้าสู้กับโพ่จวินที่รังเก่าของกองทัพองครักษ์ก็จะต้องเสีบเปรียบแน่ ถ้าถูกยอดฝีมือจำนวนมากล้อมโจมตี ถ้าทำให้วุ่นวายขึ้นมาจริงๆ ดีไม่ดีอาจจะเสียหน้าเองก็ได้


“พวกเจ้าอยากจะก่อกบฏใช่มั้ย?” ลูกหลานคนนั้นของตระกูลอิ๋งโมโหแล้ว ชี้หน้าเหมียวอี้พร้อมตะคอกด่า เคยโดนคนปฏิบัติด้วยแบบนี้เสียเมื่อไรกัน


“วันมงคลแบบนี้จะก่อเรื่องทำไม ไสหัวกลับมาให้หมด!”


อิ๋งจิ่วกวงที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักกล่าวเสียงเรียบ สีหน้ากลับมาเป็นปกติแล้ว ทำเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


ถ้าจะให้อ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างเขาประลองกำลังต่อหน้าแม่ทัพภาคเล็กๆ คนหนึ่ง แบบนั้นก็น่าอายไปหน่อย ที่สำคัญคือที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เขาจะแสดงบารมีได้ ไม่อย่างนั้นจากที่มีเหตุผลจะกลายเป็นไม่มีเหตุผล ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ วันนี้ต่อให้ฆ่าเหมียวอี้ตายที่นี่ แต่เขาก็กู้หน้าตากลับมาไม่ได้อยู่ดี ศักดิ์ศรีหน้าตาของเขาจะกลับคืนมาได้เพราะการตายของตัวละครเล็กๆ คนเดียวเหรอ? วันนี้เป็นวันมงคลของหลานสาวเขา ไม่สะดวกจะปล่อยให้เกิดเรื่องอัปมงคลขึ้น ส่วนคำพูดแบบนั้นที่เหมียวอี้กล่าวออกมา ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือหรอก เหมียวอี้จะมีชีวิตรอดผ่านวันนี้ไปได้เหรอ?


เขาเปลี่ยนจากท่าทีเดือดดาลสุดขีดกลับมาเป็นสุขุมเยือกเย็นแล้ว ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียได้อย่างรวดเร็ว ตัดสินใจได้แล้ว


พวกลูกหลายของตระกูลอิ๋งนึกว่าตัวเองฟังผิดไป พากันมองอ๋องสวรรค์อิ๋งด้วยสีหน้าหงุดหงิด ผลปรากฏว่าเห็นอ๋องสวรรค์อิ๋งทำสีหน้าเคร่งขรึม จึงตกใจจนรีบถอยกลับมา


เหมียวอี้เดินก้าวยาวไปข้างหน้าต่อโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา กำลังพลของกองมังกรดำมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง รีบถอนกำลังตามเขาไปแล้ว


กำเริบเสิบสาน! มีลูกหลานของตระกูลอิ๋งจำนวนไม่น้อยที่กล่าวคำนี้ในใจ กำเริบเสิบสานเกินไปจริงๆ!


วันนี้พวกเขานับว่าได้รับบทเรียน ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหนิวโหย่วเต๋อกล้าสังหารหมู่ที่ตลาดสวรรค์ ทำไมถึงกล้าล่วงเกินผู้มีอำนาจมากมายของตำหนักสวรรค์ เขามันก็คนบ้าคนหนึ่งนี่เอง! กล้าตบหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งแบบซึ่งๆ หน้าแล้ว ยังมีอะไรที่เจ้าบ้านี่ไม่กล้าทำอีกล่ะ? ล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่ปกติจริงๆ!


อิ๋งลั่วหวนที่ตะลึงค้างกลับไม่คิดอย่างนั้น นางเหลือบมองเงาร่างของเหมียวอี้ที่หายไปด้วยแววตาที่เป็นประกายเป็นพิเศษ นางรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชาย ตอนแรกนางมองคนไม่ผิดจริงๆ ด้วย!


แต่ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวความโศกเศร้าก็พรั่งพรูขึ้นมาอีกแล้ว ตอนนี้ผู้ชายคนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวของกับลูกสาวของนางแล้วใช่มั้ย


นางรู้สึกเสียดายไม่หายที่ลูกสาวตัวเองปล่อยให้ผู้ชายแบบนี้ผ่านไป พอนึกถึงลูกสาวที่มีชะตากรรมลำเค็ญของลูกสาวตัวเอง นางก็หมอบร้องไห้สะอึกสะอื้นในอ้อมกอดสามีอีก


แต่ช่วยไม่ได้ที่จ้านผิงไม่ได้บอกนางว่าเบื้องหลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเขากับเหมียวอี้ เพราะเขารู้วาฮูหยินของตัวเองทนการตักเตือนของอิ๋งจิ่วกวงไม่ไหว สักวันหนึ่งก็จะหลุดปากพูด ถ้าให้อิ๋งลั่วหวนรู้ความจริงขึ้นมา เกรงว่าคงจะอยากฉีกเนื้อเหมียวอี้ทั้งเป็นๆ จะยังรู้สึกว่าเหมียวอี้ทำตัวสมกับเป็นลูกผู้ชายได้เหรอ เป็นเรื่องที่ผู้ชายทำได้เสียที่ไหนกัน


จ้านผิงที่กำลังลูบหลังนาง ตอนนี้มีเพียงคำว่า ‘โง่เง่า’ ให้เหมียวอี้


“ท่านปู่ ควรจะรายงานฝ่าบาทให้ลงโทษเจ้าคนอวดดีคนนี้ให้หนักๆ เลยยะ!” หลานชายคนหนึ่งของตระกูลอิ๋งกุมหมัดคารวะอย่างกระฟัดกระเฟียด


“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะไปถือสาทำไม” อิ๋งจิ่วกวงกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วหันตัวกลับเข้าไปข้างใน


ความใจกว้างและความเด็ดขาดนี้มีเยอะจนทำให้หลานชายคนนั้นไม่เข้าใจ จั่วเอ๋อร์ที่เดินผ่านตัวเขาแอบส่ายหน้า เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว จำเป็นต้องให้ท่านปู่เจ้ารายงานด้วยเหรอ? วิธีการเอาชีวิตคนก็มีระดับสูงต่ำของมันเหมือนกัน


ส่วนทางด้านเหมียวอี้ ที่จริงพอนำกำลังพลเดินออกมาจากประตูใหญ่เรือนพักอ๋องสวรรค์อิ๋งที่ประดับประดาผ้าหลากสีแล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจทีหลัง เวลาที่ควรจะวู่วามก็ไม่วู่วาม แต่เวลาที่ไม่ควรจะวู่วามกลับวู่วาม รู้ว่าความวู่วามชั่วขณะนี้ได้ทำให้ตัวเองเจอหายนะที่หลีกเลี่ยงได้ยากแล้ว


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)