คัมภีร์วิถีเซียน 1438-1440
ตอนที่ 1438 เคล็ดวิชาสี่ทมิฬแปลงเกราะ
หานลี่กวาดสายตาไปบนเรือนร่างของผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียว ใจพลันหายวาบ
ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวนี้มีพลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา ไม่ด้อยไปกว่าสามมหาอาวุโสที่เผยตัวในการประชุมแน่ มิน่าล่ะสามคนนี้ถึงได้มีมารยาทกับคนผู้นี้ขนาดนี้
และยิ่งไปกว่านั้นหานลี่รู้สึกสนใจเกราะสีเขียวบนร่างของคนผู้นี้จริงๆ รูปร่างดูเหมือนเรียบๆ ผิวเป็นสีเทาตุ่นๆ ธรรมดาๆ และไม่มีอักขระเขตอาคมใดๆ แต่หลังจากที่หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปบนเกราะแล้ว กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด หลังจากที่เหลือบมองไปสองแวบ ฉับพลันนั้นพลันเบิกตากว้าง ราวกับว่านึกถึงเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออะไรสักอย่างได้
หากเขารู้สึกไม่ผิดล่ะก็ สิ่งที่เรียกว่า ‘เกราะสีเขียว’ นั้นคาดไม่ถึงว่าจะสร้างขึ้นจากไอทมิฬที่หนาแน่น มิน่าล่ะถึงได้คุ้นเคยกับกลิ่นอายของเกราะเกราะนี้ถึงเพียงนี้
แต่ไอทมิฬจำนวนมากอยู่บนร่าง ไม่เพียงร่างกายจะไม่เป็นไร กลับสามารถบีบออกมานอกร่างกายสร้างเป็นรูปร่างได้
ความสามารถชนิดนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง
บนร่างของทุกคนล้วนสวมเกราะสงครามรูปทรงต่างๆ หลากสีสันเอาไว้
รูม่านตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ขณะที่พิจารณาอย่างละเอียดรูม่านตาพลันอดที่จะหดเล็กลงไม่ได้
เกราะสงครามบนล่างของคนเหล่านี้คาดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับบนร่างของผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียว ถูกสร้างขึ้นจากไอทมิฬเช่นกัน แต่แค่เป็นเพราะพลังยุทธ์ตื้นเขินและจำนวนของไอทมิฬแตกต่างกัน บ้างกลับลางเลือน บางกลับกระพริบวาบๆ
มองไอทมิฬต่างๆ ที่ไม่เหมือนกันของนักรบเกราะแล้ว หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก ความคิดพลันเคลื่อนคล้อยอย่างรวดเร็วไม่หยุดในเวลาเดียวกัน
และในตอนนั้นเองหลังจากที่ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวพลันกวาดสายตาไปยังมหาอาวุโสทั้งสามเสร็จแล้ว ก็เผยรอยยิ้มออกมา
“สามร้อยปีเผ่าของข้าถึงจะมีการทดสอบครั้งหนึ่ง ผู้แซ่จินจะประมาทได้อย่างไร ทว่าช่วงนี้ปีศาจในหุบเหวค่อนข้างกระสับกระส่ายไม่เป็นสุข หากช้าไปสักปีสองปี ไม่ว่าอย่างไรผู้แซ่จินก็ไม่มีทางเห็นด้วยกับการทดสอบนี้”
“ฮ่าๆ ดังนั้นหลังจากที่พวกเราได้รับข่าวจากนองเถี่ยแล้ว ก็เลื่อนเวลาในการทดสอบให้เร็วขึ้นหน่อย ตอนนี้คลื่นทมิฬของหุบเหวน่าจะยังไม่ก่อตัวกระมัง” ชายชราเอ่ยถามพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ
“ยัง จากปฏิกิริยาของสมบัติที่ใช้ตรวจสอบแล้ว แม้ว่าตอนนี้ไอทมิฬจะอันตรายกว่าปกติ แต่ยังห่างจากการระเบิดอีกอย่งาน้อยหนึ่งปี แต่ปีศาจทมิฬใต้ดินอาจจะออกจากรังชั้นแล้ว ดังนั้นข้าไม่อาจรับประกันได้ว่าในการทดสอบสามชั้นแรก จะมีแค่ปีศาจทมิฬระดับแม่ทัพวิญญาณ อัตราในการบังเอิญประสบกับปีศาจหุบเหวระดับสูงก็มีมากขึ้นด้วย แต่ระดับราชันย์ปีศาจนั้น ยังไม่ถึงกับมาปรากฎตัว อันตรายในนั้น อาวุโสการประชุมอย่างพวกเจ้าคงพิจารณาเองได้ หากความเสียหายใหญ่เกินไป ก็อย่ามาโทษว่าผู้แซ่จินไม่ตักเตือน” ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ขอแค่ไม่มีระดับราชันย์ปีศาจปรากฎตัว ก็ไม่เป็นไร เริ่มการทดสอบได้” บุรุษผมขาวเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“ข้าเองก็ไม่มีข้อคัดค้าน หากพลาดโอกาสนี้ไป การทดสอบคงจัดขึ้นภายในร้อยปีนี้ไม่ได้แน่ สาขาจำนวนนับไม่น้อยไม่มีทางรอนานขนาดนั้นไหว” หลังจากที่หญิงชราขมวดคิ้วแล้ว ก็เอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า
ชายชราที่ใบหน้ามีรอยสักกลับขบคิดอยู่นาน แล้วถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งพลางพยักหน้า
เมื่อเห็นทั้งสามตกลง ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวก็เปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาในทันที มือหนึ่งชูขึ้นไปกลางอากาศ
ลูกบอลลำแสงสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศในระยะสองสามร้อยจั้ง
เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น ลูกบอลลำแสงระเบิดออก ม่านลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งขยายใหญ่ขึ้น
กลางอากาศมีดวงอาทิตย์สีเขียวเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้งปรากฎขึ้น พลันเปล่งแสงเจิดจ้า
คนเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่สวมชุดเกราะสงครามที่อยู่ด้านหลังเห็นฉากนี้ ก็แบ่งออกเป็นสองแถว เปิดเป็นทางเดินสายหนึ่งที่ตรงกลาง
คนที่มีพลังยุทธ์แตกต่างกันจำนวนมากเช่นนี้ แต่กลับทำอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้ปริปากใดๆ แน่นอนว่าพลังแรงกดที่ไร้รูปร่างพลันประทุขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมื่อเห็นฉากนี้อาวุโสของสาขาต่างๆ นั้นยังพอว่าหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ส่วนบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งเข้าร่วมการทดสอบเป็นครั้งแรกอย่างหานลี่กลับเกิดเสียงวุ่นวายขึ้น คนส่วนใหญ่ต่างเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
สามมหาอาวุโสที่อยู่หน้าสุดกวักมือไปทางด้านหลัง แล้วบินออกไปด้านหน้าพร้อมกัน
ชั่วขณะนั้นกองทัพทั้งหมดพลันเคลื่อนตัวไปด้านหน้าอีกครั้ง ฝูงชนค่อยๆ บินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
หานลี่นั่งอยู่บนวิหคยักษ์ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงพลันพิจารณานักรบเกราะทั้งสองฝั่ง
ผลคือพบว่านักรบเกราะเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าราบเรียบไม่ปริปากไม่แย้มยิ้ม บางครั้งก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา หนึ่งในนั้นที่มีพลังยุทธ์ต่ำหน่อยก็อายุยังน้อย
ทว่าผู้ที่เรียกว่ามีพลังยุทธ์ต่ำหน่อยอย่างน้อยที่สุดก็อยู่ในระดับหลอมรวมขึ้นไป
ในนั้นมีนักรบเกราะที่ระดับเทียบเท่ากับระดับก่อกำเนิดและเทพแปลงอยู่เต็มไปหมด แม้กระทั่งผู้ที่อยู่ในระดับหลอมสูญอย่างระดับผู้บัญชาการวิญญาณก็ยังมีอยู่ไม้น้อย
หานลี่รู้สึกกังขาในใจ
ผู้พิทักษ์หุบเหวที่มาประจำการที่นี่คาดไม่ถึงว่าจะใกล้เคียงกับผู้บำเพ็ญเพียรเมืองเทวะสวรรค์ของเผ่ามนุษย์อย่างพวกเขา
แต่แค่จำนวนผู้พิทักษ์ของที่นี่น้อยกว่าเมืองเทวะสวรรค์ แต่ระดับที่ร้ายกาจกับเป็นสิ่งที่เมืองเทวะสวรรค์ไม่อาจเทียบเทียมได้ ประกอบกับผู้ที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่มักจะต่อสู้กับปีศาจที่โผล่ออกมาจากหุบเหว จึงมีประสบการณ์เฟื่องฟูมากกว่าคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั่วไป
และยิ่งไปกว่านั้นดูจากรูปร่างของสิ่งปลูกสร้างที่นี่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ผู้พิทักษ์ทุกคนที่จะบินออกมาจากที่นั่น
ในตอนที่หานลี่ขบคิดในใจไม่หยุดนั้นกลุ่มคนก็ข้ามผ่านฝูงชนไปถึงเบื้องหน้าหอคอยขนาดใหญ่ด้านล่าง
อาวุโสแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ คาดไม่ถึงว่าจะให้ลูกศิษย์ทุกคนพักอยู่ชั่วคราวเพื่อฟื้นฟูพลังลมปราณ จากนั้นเมื่อพลังอยู่ในระดับสุดยอดในเช้าตรู่วันถัดไปก็จะเริ่มการทดสอบ
คนของเผ่าวิหคสวรรค์ต่างเข้าไปพักในหอคอยเดียวกัน
จินเย่ว์และอาวุโสสือพักอยู่ที่ชั้นหนึ่ง หานลี่และพวกทั้งสามคนพักกันคนละชั้น จะได้ไม่รบกวนการพักผ่อนของกันและกัน
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็พลันขมวดคิ้วในใจ
ได้พักอยู่ที่นี่หนึ่งคืนเดิมทีเขานั้นรู้สึกยินดีมาก แต่ครานี้ถูกจินเย่ว์และพวกทั้งสองสั่งว่าไม่ให้ออกไปไหนและยิ่งไปกว่านั้นยังเฝ้าอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เช่นนั้นแผนการที่เขาเพิ่งคิดออกก็คงยุ่งยากแล้ว
หานลี่นั่งสมาธิอยู่บนเตียง แต่ไม่ได้เข้าสู่ห้วงสมาธิ สายตาเปล่งประกายไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่เขาดูเหมือนว่าจะคิดอะไรขึ้นได้ ใบหน้าเผยรอยยิ้มแห้งเ**่ยวออกมา ทันใดนั้นพลันหยัดกายลุกขึ้นพลางตรงไปยังชั้นหนึ่ง
เมื่อร่างของเขามาปรากฏที่หัวบันไดชั้นหนึ่งจินเย่ว์และอาวุโสสือที่นั่งสมาธิหลับตาอยู่บนเก้าอี้ ก็เบิกตาทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกันมองมาด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
หานลี่ใจหายวาบ
“สหายหานเจ้าไม่ยอมพักผ่อนดีๆ มาที่นี่ทำไม หรือว่ามีเรื่องสำคัญอันใดงั้นหรือ?” หญิงสาวไม่ได้เอ่ยอะไร คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอาวุโสสือที่เอ่ยปากขึ้นมา
“ชนรุ่นหลังมีเรื่องหนึ่งที่ต้องทำอยากออกไปข้างนอกสักหน่อย” หานลี่เอ่ยอย่างซื่อสัตย์
“เรื่องอันใด? ต้องออกไปตอนนี้” จินเย่ว์มีท่าทีไม่พอใจอยู่เล็กๆ
การทดสอบใกล้เข้ามาแล้วแน่นอนว่า สตรีผู้นี้จึงอยากให้หานลี่นั่งสมาธิอยู่ในหออคอยอย่างว่าง่าย ไม่อยากให้เขาคิดเรื่องอื่นอีก
“ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรหรอก! แค่ชนรุ่นหลังเห็นไอทมิฬที่รวมตัวกันเป็นเกราะของผู้พิทักษ์หุบเหวแล้วรู้สึกสนใจมากจึงอยากจะหาคนมาช่วยสอนสักหน่อย” หานลี่หัวเราะคาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาตรงๆ
“เกราะรวมไอทมิฬเจ้าหมายถึงเคล็ดวิชาสี่ทมิฬแปลงเกราะหรือ? เคล็ดวิชานี้ต้องมีไอทมิฬในร่างจำนวนมหาศาลถึงจะมีประโยชน์ มิเช่นนั้นหากไอทมิฬน้อยเกินไปก็ไม่มีอานุภาพอันใด เจ้าถามถึงเคล็ดวิชานี้ทำไมหรือ?” จินเย่ว์ตะลึงงันพลันเอ่ยชื่อของเคล็ดวิชาลับนี้ออกมา ในเวลาเดียวกันก็เผยสีหน้าประหลาดใจเล็กๆ ออกมา
อาวุโสสือที่อยู่ด้านข้างเองก็มีสีหน้าแปลกประหลาดเช่นกัน
หานลี่ได้ยินก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา มือหนึ่งพลันร่ายอาคมบนร่างเปล่งลำแสงสีทองสว่างจ้าฉับพลันนั้นกลิ่นอายอันลึกซึ้งกลุ่มหนึ่งพลันทะลักออกมา ไอทมิฬที่หนาแน่นกลุ่มหนึ่งผุดออกมาจากส่วนลึกของร่างกาย
คาดไม่ถึงว่าเขาจะบีบไอทมิฬที่ใช้หลอมคาถาวัชระในตอนแรกออกมาจากส่วนต่างๆ ของร่างกายอีกครั้ง
เมื่อเห็นไอทมิฬนี้หญิงสาวและอาวุโสสือพลันตกตะลึงไปพร้อมกัน
“เจ้ามีไอทมิฬที่เข้มข้นขนาดนี้ มิน่าล่ะจึงสนใจเคล็ดวิชาสี่ทมิฬแปลงเกราะ ฮ่าๆ ทว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องไปถามคนนอกหรอกเคล็ดวิชานี้ไม่ใช่เคล็ดวิชาลับอะไร ตาเฒ่าเชี่ยวชาญเคล็ดวิชานี้สามารถถ่ายทอดให้เจ้าได้ทั้งชุด จากไอทมิฬจำนวนมากในร่างของเจ้าก็อาจจะนำมาใช้ในการทดสอบของวันพรุ่งนี้ได้” อาวุโสสือหัวเราะออกมายกใหญ่ เอ่ยสิ่งที่หานลี่คาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกออกมา
วันนั้นเขาเห็นผู้พิทักษ์หุบเหวธรรมดาจำนวนมากเชี่ยวชาญเคล็ดวิชานี้ ในฐานะอาวุโสของเผ่าอย่างจินเย่ว์และพวกทั้งสองก็น่าจะรู้จักเคล็ดวิชานี้
ครานี้ดูแล้วคงไม่ได้เดาผิด
“อาวุโสสือจะยอมถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับนี้ให้จริงๆ หรือ ชนรุ่นหลัง ซาบซึ้งใจจริงๆ แต่ไม่ทราบว่าเคล็ดวิชานี้ยากหรือไม่จะใช้ได้ในข้ามคืนหรือ?” หานลี่ฝืนระงับความตื่นเต้นดีใจเอาไว้และตอบกลับอย่างนอบน้อม
“หึๆ ขอแค่สหายหานยอมช่วยให้เหลยหลันและพวกผ่านการทดสอบนี่ก็เป็นสิ่งขอบคุณที่ยิ่งใหญ่สำหรับตาเฒ่าแล้ว วางใจเคล็ดวิชานี้ไม่ได้ซับซ้อนจากพลังยุทธ์ของสหายหานลี่ก็เรียนรู้ได้สักสองสามขั้นแล้ว ส่วนความสามารถขั้นท้ายๆ จำต้องใช้ไอทมิฬมหาศาลเดิมทีเจ้าก็ไม่อาจสำแดงได้อยู่แล้ว” อาวุโส
สือโบกมือเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
แน่นอนว่าหานลี่จึงพยักหน้าไม่หยุด
จินเย่ว์ฟังมาถึงตรงนี้ก็ไม่ได้มีเจตนาคัดค้านกลับหลับตาลงอีกครั้งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ดังนั้นก็เห็นว่าอาวุโสสือควักกระบอกไม้ไผ่ขนาดเท่านิ้วมือนิ้วหนึ่งออกมาจากอกเสื้อถือบนมืออย่างเงียบๆ ชั่วครู่ชูมือขึ้นโยนออกไปและเอ่ยว่า
“ข้าใส่คาถานี้ลงไปในนี้แล้ว เจ้าเอากลับไปศึกษาดูเถิด”
“ขอบพระคุณท่านอาวุโส!” หานลี่เอ่ยขอบคุณ รับกระบอกไม้ไผ่ไว้แล้วถอยกลับขึ้นไปยังบันไดด้วยความนอบน้อม จากนั้นก็กลับไปยังที่พักของตัวเองอย่างไม่ชักช้าอีก
นั่งสมาธิอยู่บนเตียง หานลี่ใช้มือหนึ่งถือกระบอกไม่ไผ่แตะไปบนหน้าผากของตัวเอง ดวงตาทั้งสองปิดสนิทพลันแทรกจิตสัมผัสเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่
ชั่วขณะนั้นตัวอักษรโบราณสีเขียวพลันสะท้อนเข้าไปในหัวของหานลี่อย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่ต้นจนจบหานลี่มีสีหน้าสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉับพลันนั้นหานลี่พลันดึงกระบอกไม้ไผ่ออกจากหน้าผาก เปล่งประกายสว่างวาบพลันเก็บเข้าไปในกำไลเก็บของ จากนั้นสีหน้าพลันผ่อนคลายลง
เคล็ดวิชาชุดนี้เหมือนที่ท่านอาวุโสกล่าวเอาไว้ ดูแล้วไม่ได้ซับซ้อนนักคืนเดียวก็รวบรวมเกราะทมิฬชั้นที่หนึ่งออกมาได้
หานลี่ขบคิดในใจสองมือวางไปบนตัก เริ่มเรียนรู้คาถานี้
ขั้นตอนนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้ลืมตาขึ้นเลยแต่ไอทมิฬสีดำอ่อนชั้นหนึ่งพลันเริ่มปรากฏขึ้น
ไอทมิฬบัดเดี๋ยวหมุนวนไม่แน่นอนบัดเดี๋ยวก็สงบนิ่ง หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มหมุนวนรอบตัวเขาอย่างรุนแรงกลายเป็นพายุสีดำชั้นหนึ่งทำให้ร่างกายของหานลี่เลือนรางแล้วค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ
ตอนที่ 1439 ร้อยเผ่าแดนวิญญาณ
เช้าตรู่วันที่สองเมื่อจินเย่ว์และอาวุโสทั้งสองรวมทั้งบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอย่างไป๋ปี้และเหลยหลันอยู่ที่ชั้นหนึ่งของหอคอยแล้ว ก็ยืนรออะไรสักอย่างอย่างเงียบๆ อยู่ตรงนั้น
อาวุโสสือมีสีหน้ารอคอยด้วยความหวังอยู่เล็กๆ ส่วนบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองกลับมีสีหน้างุนงง มองไปทางหัวบันไดด้วยแววตาที่ฉายแววตกตะลึงระคนสงสัยออกมา
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านบน จากนั้นเงาร่างคนก็พลิ้วไหว หานลี่มาปรากฎตัวที่หัวบันไดด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“เป็นอย่างไร สำเร็จแล้วหรือ” อาวุโสสือดวงตาเปล่งประกายขณะเอ่ยถาม
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ ข้าเรียนรู้ไปได้พอสมควรแล้ว น่าจะนำออกมาต่อกรกับศัตรูได้” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“เยี่ยมมาก อันตรายจากการทดสอบครั้งนี้อาจจะมากกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก แม้นว่าสหายหานจะมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นสูง แต่ระหว่างทางเกรงว่าคงต้องพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งจนไม่อาจต้านทานได้อะไรสักอย่างหนึ่ง ดังนั้นเมื่อคืนข้าและอาวุโสสือจึงปรึกษากันเล็กน้อย แล้วเตรียมสมบัติประจำเผ่าชิ้นหนึ่งให้ท่านยืมใช้ เช่นนั้นหากพบอะไรที่คาดไม่ถึงเข้า ก็จะได้ปกป้องตนเองได้” หญิงสาวพิจารณาสีหน้าของหานลี่อย่างละเอียดชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยออกมา
“สมบัติประจำเผ่า” หานลี่ตะลึงงัน รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“ใช่แล้ว กรรไกรมังกรวารีอัสนีเล่มนี้ เจ้าพกไว้เถิด” จินเย่ว์เอ่ยก็สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งบินออกมา พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นกรรไกรสีเขียวเล่มหนึ่ง
หานลี่ยื่นมือออกไปรับตามความรู้สึก คว้าสมบัติชิ้นนี้เอาไว้ในมือ แล้วพิจารณาอย่างละเอียด
เห็นเพียงกรรไกรเล่มนี้มีความยาวครึ่งฉื่อ รูปทรงโบราณ ผิวของมันเป็นสีเขียวเข้มแต่มีอักขระโบราณสีเงินอ่อนกระจายตัวอยู่ แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา
“อาวุโสทั้งสองจะให้ชนรุ่นหลังยืมของสิ่งนี้จริงๆ หรือ” หานลี่ใช้นิ้วมือลูบไปบนกรรไกร สัมผัสได้ถึงความเย็นยยะเยือกกลุ่มหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามด้วยความดีใจ
“ความจริงแล้วสมบัติประจำเผ่าเรายังมีสมบัติอีกสองสามชิ้นที่เหมาะสมกับการใช้ในหุบเหวยิ่งกว่าสิ่งนี้ แต่น่าเสียดายที่สมบัติเหล่านั้นจำต้องใช้เวลาหลอมมันไม่น้อย ไม่อาจนำมาใช้ยอ่างฉุกละหุกได้ ส่วนกรรไกรอัสนีสวรรค์ชิ้นนี้ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ขอแค่ใส่พลังวิญญาณเข้าไป ก็สามารถอัญเชิญออกมาโจมตีศัตรูได้แล้ว ช่างน่าอัศจรรย์นัก! แต่ด้วยเหตุนี้กรรไกรเล่มนี้จึงอาจจะถูกศัตรูชิงไปได้ง่ายๆ สหายหานต้องใช้อย่างระมัดระวังหน่อย” จินเย่ว์กล่าวเตือนอย่างเคร่งขรึม
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่มอบสมบัติให้ ชนรุ่นหลังจะใช้มันอย่างระมัดระวัง” รู้ว่าที่ทั้งสองยอมนำสมบัติล้ำค่าออกมาก็เพราะความปลอดภัยของบุตรศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง หานลี่เองก็ไม่ได้เกรงใจรับสมบัติชิ้นนั้นมาด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
จินเย่ว์พยักหน้าแล้วออกคำสั่งกับไป๋ปี้และเหลยหลันที่อยู่ด้านข้าง แต่กลับไม่ได้หยิบสิ่งใดออกมา
หานลี่เห็นเช่นนั้น ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
สมบัติที่ควรมอบให้ทั้งสอง เดาว่าคงมอบให้ก่อนที่จะออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว ครั้งที่แล้วในการต่อสู้ของเลหยหลันและเผ่าแดงสดที่สนามแข่งขันนั้น น้ำเต้าสีทองที่ใช้ก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งห้าคนก็ออกจากหอคอย บินขึ้นไปบนท้องฟ้า
บนท้องฟ้ามีคนของสาขาอื่นๆ จำนวนไม่น้อยมารอคอยอยู่ตรงนานแล้ว
พวกเขาในครานี้ไม่มีใครนั่งอยู่บนวิหคยักษ์หรือแมลงบินอีก ล้วนมีปีกคู่หนึ่งปรากฎขึ้นที่แผ่นหลังและลอยตัวอยู่กลางอากาศ
และยิ่งไปกว่านั้นเหล่าบุตรศักดิ์สิทธิ์จากสาขาต่างๆ ในเผ่าวิญญาณเหาะเหินก็มารวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน แยกตัวออกจากเหล่าอาวุโส
ท่าทางของบุตรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไม่เหมือนกับเมื่อวานเลยสักนิด ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่หยอกล้อต่อกระซิกกันเหมือนเมื่อวาน
หานลี่แววตาเปล่งประกาย ไม่ได้เอ่ยสนทนากับใครเช่นกัน พาอีกสองคนที่เหลือบินไปอยู่ตรงมุมหนึ่งของกลุ่มด้วยความเงียบขรึม
แต่ไม่นานนักหานลี่ก็สัมผัสได้ว่ามีคนกำลังมองตัวเองอยู่ จึงหันหน้าไปมองแวบหนึ่งด้วยใจที่เต้นระรัว
ห่างออกไปร้อยจั้งเศษ สตรีที่ร่างกายผอมเตี้ยเหมือนเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังมองพิจารณาเขาขึ้นๆ ลงๆ อยู่
สตรีผู้นี้มีผิวสีดำสนิท แต่ลำคอกลับมีรอยสักประหลาดๆ สีดำ
เมื่อนางเห็นหานลี่มองมาก็ฉีกยิ้มน้อยๆ เผยไรฟันขาวใสเป็นพิเศษออกมา
หานลี่กลับใจหายวาบ!
เพราะว่าเมื่อเขาแผ่จิตสัมผัสไป คาดไม่ถึงว่าเด็กหญิงผิวดำจะมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นสูงคนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายบนตัวยังแปลกประหลาด ทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามเล็กน้อย เหมือนว่าฝึกฝนความสามารถพิเศษอะไรสักอย่างมา
หานลี่ไม่มีสีหน้าแปลกประหลาดเลยสักนิด แต่มุมปากกลับขยับขึ้นลงสองสามครั้ง
ไป๋ปี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างซึ่งเดิมทีกำลังหลับตาทั้งสองข้างอยู่ ข้างหูได้ยินเสียงถ่ายทอดเสียงของหานลี่ดังขึ้น
เขาลืมตาขึ้นด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็มองตามสายตาของหานลี่ไปยังเด็กหญิงร่างกายผ่ายผอมคนหนึ่ง แต่สีหน้ากลับซีดขาว หน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่ แล้วรีบก้มหน้างุดด้วยความร้อนรน
“พี่หาน นั่นคือเอ๋าชิงของเผ่าชีเย่ว์ มีชื่อเสียงมากกว่าจู้อินจื่อ คืออันดับหนึ่งในรุ่นของพวกเรา แต่นางเป็นผู้ที่มีใจคอโหดเ**้ยม นิสัยแปลกประหลาด เอะอะก็จะเอาแต่ชีวิตคน พี่หานอย่าไปล่วงเกินจะดีกว่า” ข้างหูนของหานลี่มีเสียงหวาดผวาของไป๋ปี้ดังขึ้น
หานลี่ขมวดคิ้วมุ่น อดที่จะพิจารณาว่าเหตุใดเด็กผู้หญิงคนนี้ถึงมองมาที่ตัวเองไม่ได้ แล้วพลันรู้สึกว่ามีสายตาเ**้ยมเกรียมอีกคู่หนึ่งกวาดมาที่ตนเอง ครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาดีแน่ๆ
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมพลางหรี่ตาเหลือบมองไป
ผลคือมองเห็นว่าที่อีกมุมหนึ่งของฝูงชน จู้อินจื่อกำลังยืนอยู่ตรงนั้นท่ามกลางเผ่าแดงสดคนอื่นๆ และกำลังใช้สายตาไม่เป็นมิตรมองมา
หานลี่มองกลับไปแวบหนึ่งด้วยความเยือกเย็น แล้วชักสายตากลับมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
เผ่าแดงสดจะต้องยึดเผ่าวิหคสวรรค์ให้ได้ แน่นอนว่าต้องเล่นแผนสกปรกอะไรกับพวกเขาในการทดสอบแน่ หานลี่กลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งนี้
เพราะว่าหานลี่และพวกออกมาค่อนข้างสาย ดังนั้นจึงไม่ได้รออยู่กลางอากาศนานนัก
หลังจากที่ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมื่อสามมหาอาวุโสของอาวุโสในการประชุมและผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวผู้นั้นมาปรากฎตัวตรงหน้าุทกคนแล้ว ทั้งกองทัพก็เริ่มเคลื่อนไปข้างหน้าทันที ตรงไปยังกำแพงยักษ์ที่เหมือนกับภูเขาขนาดย่อมซึ่งอยู่ไกลออกไป
ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งๆที่เหนือกำแพงนั้นว่างเปล่า ทั้งกองทัพกลับไม่ได้บินผ่านกำแพงยักษ์ไป แต่หยุดอยู่ที่หนึ่งใต้กำแพงยักษ์
เมื่อเห็นผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวเดินมาอยู่ด้านหน้าสุดของกองทัพแล้วบริกรรมคาถาแล้ว จากนั้นมือหนึ่งก็ชี้ไปที่กำแพง
เสียงอึกทึกดังขึ้น กำแพงยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าของทุกคนสั่นเทา ค่อยๆ มีเขตอาคมสีเงินอ่อนปรากฎขึ้นท่ามกลางลำแสงห้าสี
ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวเห็นเช่นนี้ก็อ้าปากออกพ่นแผ่นไม้สีม่วงอ่อนออกมาในทันที
บนแผ่นไม้มีลำแสงเปล่งแสงเจิดจ้า เสาลำแสงสีม่วงสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป หลังจากกระพริบวาบ ก็จมหายเข้าไปในใจกลางของเขตอาคม
ชั่วขณะนั้นเขตอาคมสีเงินพลันเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา จากนั้นลำแสงประหลาดพลันหมุนโคจร เขตอาคมหายวับไปทันที แต่ด้านล่างกำแพงยักษ์พลันมีประตูยักษ์สีเงินปรากฎขึ้นบานหนึ่ง
ประตูบานนี้สูงยี่สิบสามสิบจั้ง แผ่ลำแสงเย็นยะเยือกออกมา เห็นได้ชัดว่าหนักอึ้งอย่างหาที่เปรียบ ราวกับว่าสร้างขึ้นจากเงินบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น
ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเขียวเก็บแผ่นไม้เข้าไปโดยไม่ได้กล่าวอะไร สะบัดแขนเสื้อไปทางประตูยักษ์ที่อยู่ไกลออกไป
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีม่วงผืนหนึ่งพลันม้วนวนพุ่งออกมา โจมตีไปยังประตูบานยักษ์
เสียงตูมดังสนั่นขึ้น ประตูสีเงินค่อยๆ ถูกผลักออกท่ามกลางม่านลำแสง
ด้านนอกประตูมีพายุทมิฬสีเทาคุ่นๆ พันเข้ามาทันที ทุกแห่งที่กวาดผ่านไปบุตรศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นล้วนพากันตัวสั่นสะท้าน ผิวดูเหมือนถูกคนใช้มีดอันแหลมคมเฉียดผ่านจนทำให้ขนลุกชัน
ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก!
แน่นอนว่าหานลี่เองก็สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของวายุหอบนี้ แววตาจึงเปล่งประกายสีฟ้าสว่างวาบ
ประตูใหญ่เปิดออก แน่นอนว่าทั้งกองทัพจึงเดินออกจากประตูหินไปอย่างไม่ลังเลอีก ชั่วขณะนั้นสถานการณ์ด้านหลังของประตูยักษ์พลันกระจ่างขึ้น
หานลี่อดที่จะสูดลมหายใจอย่างเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่งไม่ได้
ด้านหลังประตูไม่ไกลนักคือแผ่นดินสีดำสนิทผืนหนึ่ง
บนพื้นดินไม่เพียงจะไม่มีต้นไม้ใบหญ้างอกขึ้นมา ไม่ว่าดินหรือหินก็ล้วนเป็นสีดำสนิท มองปราดเดียวไม่อาจมองเห็นปลายทางได้
และกลางอากาสกลับมีทะเลหมอกสีเทาขาวชั้นหนึ่งปรากฎขึ้น มันหนาแน่นเป็นพิเศษ มองไม่เห็นขอบฟ้าเช่นกัน ท่าทางคงหนาแน่นมาก
และรอยแยกของม่านหมอกกับพื้นดินนั้นก็มีความสูงแค่สามสิบสี่สิบจั้งเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าแคบมาก แต่ด้านในกลับมีเสียงวายุหวีดหวิวประหลาดๆ ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าสามารถกลืนกินได้ทุกอย่างอย่างไรอย่างนั้น
ทำให้ทุกคนเห็นแล้วอดที่จะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้
“นี่คือประตูหุบเหวสินะ ท่าทางอันตรายมากดังคาด” หานลี่พึมพำในใจ
“เอาล่ะ มาถึงที่นี่แล้ว นอกจากบุตรศักดิ์สิทธิ์แล้ว คนที่เหลือก็ไม่จำเป็นต้องก้าวเข้าไป ประตูของหุบเหวอยู่ในม่านหมอกห่างออกไปหมื่นลี้” ฮูหยินชราที่มือหนึ่งค้ำไม้เท้าเอาไว้เอ่ยขึ้น
แม้นว่าน้ำเสียงจะไม่ดังนัก แต่กลับเข้ามาในโสตประสาทหูของทุกคนอย่างชัดเจน ฝูงชนที่แต่เดิมเกิดเสียงอื้ออึงโกลาหลขึ้นพลันเงียบสงบลงในทันที
“เอาล่ะ ในเมื่อมาถึงครานี้แล้ว งั้นก็เริ่มประกาศเนื้อหาของการทดสอบกันเถิด คิดดูแล้วทุกคนคงรอไม่ไหวแล้ว” บุรุษผมสีขาวที่อยู่ด้านข้างหัวเราะหึๆ ออกมา
ฮูหยินชรา มองไปยังบุรุษผมขาวแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อด้วยสีหน้าราบเรียบว่า
“อาวุโสร่วมประชุมอย่างพวกเราได้ปรึกษากับเหล่าอาวุโสแล้วว่า เนื้อหาในการทดสอบครั้งนี้จะไม่เหมือนกับที่ต้องสังหารปีศาจทมิฬเหมือนคราวก่อนๆ แต่จะให้พวกเจ้าไปนำสมุนไพรวิญญาณอย่างผลเปลวยมโลกกลับมาผลหนึ่ง ต่อให้พวกเจ้าทำสำเร็จ ผลวิญญาณชนิดนี้ไม่เหมือนกับสมุนไพรวิญญาณชนิดอื่น มันจะเกิดขึ้นแค่ในสถานที่ที่มีความมืดและเหม็นคาวมากที่สุด ผลนี้จะสุกงอกห้าร้อยปีครั้ง ทุกต้นจะมีผลแค่ผลเดียวเท่านั้น ผลเปลวยมโลกที่เจ้านำมาต้องเป็นผลที่สุกแล้วเท่านั้น ไอทมิฬที่ชั้นหนึ่งนั้นมีไม่พอ ไม่อาจมีผลชนิดนี้ปรากฎขึ้นได้ แน่นอนว่าหากมีคนไม่เชื่ออยากลองพึ่งดวงตามหาดู ก็แล้วแต่เจ้า ชั้นที่สองอายยุมีผลเปลวทมิฬอยู่เล็กน้อย แต่จะมีอยู่จริงๆ หรือไม่ พวกข้าก็ไม่อาจรับประกันได้ ส่วนชั้นที่สามนั้นมีผลชนิดนี้อยู่อย่างแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้นจำนวนยังไม่น้อย ส่วนจะทำอย่างไรนั้น แน่นอนว่าก็้แล้วแต่พวกเจ้า เวลาในการทดสอบคือสามเดือน หลังจากนี้สามเดือนไม่ว่าจะมีคนทำภารกิจสำเร็จกี่คน ข้าก็จะเปิดประตูบานนี้ออกอีกครั้ง เพิ่มมารอรับพวกเจ้า ได้ยินชัดแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงของฮูหยินชราไม่โกรธแต่มีพลังอำนาจ ทุกสิ่งที่พูดล้วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการทดสอบ หานลี่ผู้ซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมการทดสอบ แน่นอนว่าจึงตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก ไม่กล้าละเลยแม้แต่คำเดียว
“เอาล่ะ ในเมื่อบอกเนื้อหาในการทดสอบให้พวกเจ้าฟังแล้ว ตอนนี้ก็ออกเดินทางได้ หลังจากนี้สามเดือน ตาเฒ่าหวังว่าจะได้พบเหล่าสหายส่วนใหญ่อีกครั้ง คนที่เหลือก็กลับกันเถิด ประตูผนึกมารจะปิดลงอีกครั้งแล้ว” ชายชราที่มีรอยสักออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อด้วยความดีใจ คาดไม่ถึงว่าทันใดนั้นจะเดินไปยังประตูเมืองด้านหลัง โดยไม่หันกลับมาเลยสักนิด
บุรุษผมขาวและฮูหยินชรามองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเดินตามไปติดๆ อย่างไม่ลังเล จากนั้นาอาวุโในการประชุมที่เหลือก็เดินตามไปอย่างเงียบๆ อาวุโสของสาขาต่างๆ เห็นเช่นนั้น กว่าครึ่งก็มองไปยังบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าตนเองสองสามแวบ แล้วเดินกลับไปเช่นกันด้วยความกังวลใจ
มีเพียงส่วนน้อยที่ถือโอกาสนี้ถ่ายทอดเสียงมาอีกสองสามประโยค แล้วหันหน้าจากไป
ชั่วพริบตากลางอากาศด้านนอกประตูยักษ์ ก็เหลือเพียงบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินสองสามร้อยคนที่กำลังยืนมองสบตากันปริบๆ อยู่ตรงนั้น
ตอนที่ 1440 หุบเหวชั้นที่หนึ่ง
“หึๆ ทุกท่านยังคิดอะไรอีก หรือว่าอยากรออยู่ที่นี่จนถึงสามเดือน” ในฝูงชนมีเสียงหัวเราะดังขึ้น จากนั้นเงาร่างคนพลันพลิ้วไหว คนก็กลายเป็นเงาสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกไปยังจุดที่ไกลออกไป
ด้านหลังของเขายังมีคนสองสามคนไล่ตามไปติดๆ โดยไม่เปล่งเสียงพูดใดๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นคนของเผ่าเดียวกัน
เมื่อเห็นคนนำไป ทันใดนั้นคนจำนวนไม่น้อยในฝูงชนก็แบ่งออกเป็นกลุ่มๆ แล้วบินไปทางรอยแยกของม่านหมอก
ชั่วครู่ที่เดิมก็เหลือเพียงครึ่งหนึ่ง
คนเหล่านี้กำลังซุบซิบอะไรกันอยู่ และถูกคนอื่นๆ ชิงล่วงหน้าไปก่อนอย่างไม่ใส่ใจ
หนึ่งในนั้นรวมทั้งหานลี่และพวกของเผ่าแดงสดด้วย
เเสียง “ตูมๆ” ดังขึ้น ประตูยักษ์สีเงินด้านหลังค่อยๆ ปิดลง ผิวของมันมีลำแสงประหลาดห้าสีไหลโคจรอยู่ ประตูบานนี้หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
คนที่เหลือจึงเกิดความโกลาหลขึ้น!
“ไปกันเถิด” หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปยังประตูสีเงินที่หายไปจากกำแพงยักษ์แล้วพลันโบกมือ ปีกที่แผ่นหลังกระพือ กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งบินออกไป
ไป๋ปี้และเหลยหลันก็กลายเป็นลำแสงสีเงินและลำแสงสีทองไล่ตามไปติดๆ โดยไม่ได้ปริปากใดๆ
เมื่อหานลี่และพวกจากไป สายตาประหลาดๆ สองสามสายก็ตกมาอยู่บนร่างของพวกเจา
หนึ่งในนั้นนอกจากคนของเผ่าแดงสดแล้ว ยังมีบุตรศักดิ์สิทธิ์ของสาขาที่ไม่คุ้นเคยอื่นอีกสองสามสาขา ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องเขม็งไปยังมาพวกของหานลี่ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวห่างออกไป
คนของเผ่าแดงสดที่รอให้ลำแสงหลีกหนีของหานลี่หายไปจากม่านหมอกได้สักพักแล้ว ถึงได้ออกเดินทางตามคำสั่งที่แผ่วเบาของจู้อินจื่อ
ครานี้ยังมีคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่อยู่ตรงกำแพงยักษ์แค่สิบกว่าสาขาเท่านั้น
หนึ่งในนั้นกว่าครึ่งล้วนเป็นสาขาๆ ต่างที่แข็งแกร่ง แต่คนเหล่านี้กลับแววตาเปล่งประกายระยิบระยับ บางครั้งก็เหลือบมองไปยังบุตรศักดิ์สิทธิ์ของสาขาที่เหลืออีกสองคน
คนหนึ่งคือเด็กผู้หญิงผิวดำร่างกายผ่ายผอม นั่นก็คือเอ๋าชิงของเผ่าชีเย่ว์ อีกคนหนึ่งกลับเป็นชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะไม้สีดำร่างกายสูงใหญ่มาก
ชายร่างใหญ่อายุประมาณสามสิบปีเศษ ดวงตาทั้งสองมีสี่รูม่านตา เปล่งแสงแปลกประหลาด แผ่นหลังสะพายดาบใหญ่โตเหมือนกับเขาเอาไว้ เปล่งแสงเย็นเยียบสีทองอ่อน ของชิ้นใหญ่ขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่เก็บเอาไว้ในย่ามเก็บของ
และไม่รู้เพราะเหตุใด บุตรศักดิ์สิทธิ์ของสาขาที่แข็งแกร่งที่เหลือถึงมองไปยังสองคนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผู้ใดคิดจะจากไปง่ายๆ อีก
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดมีท่าทีจะขยับนั้น เอ๋าชิงพลันขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็หัวเราะหึๆ ออกมา แล้วพาคนของเผ่าสิบกว่าคนบินจากไป
ชายร่างใหญ่สี่รูม่านตาเห็นเช่นนั้น แววตาพลันฉายแววเย็นเยียบ สาวเท้ายาวๆ ก้าวออกไป คาดไม่ถึงว่าจะห่างออกไปสองสามจั้ง ท่าทางไล่ตามเอ๋าชิงไป บุรุษสามคนที่ร่างกายสูงใหญ่เหมือนกับอยู่เผ่าเดียวกันกับเขาพลันไล่ตามไปเงียบๆ
คนอื่นๆ ในเผ่าวิญญาณเหาะเหินเห็นเอ๋าชิงและชายร่างใหญ่จากไป ก็ทยอยกันมีสีหน้าผ่อนคลายลง
แม้กระทั่งมีคนจำนวนไม่น้อยเขยิบเข้ามาใกล้กัน แล้วปรึกษาอะไรกันสักอย่าง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่คนเหล่านี้ก็แบ่งออกเป็นสองสามกลุ่มแล้วจากไป ราวกับว่าต่างวางแผนเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เช่นนั้นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินสองสามร้อยคนจึงจมหายเข้าไปในแผ่นดินสีดำเบื้องหน้า ล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
รอบด้านกำแพงยักษ์ล้วนว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คน
……
ในเวลาเดียวกันหานลี่และบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์อย่างไป๋ปี้และเหลนหลันกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าสูงขึ้นไปสิบจั้งเศษ ด้านบนมีหมอกสีเทาลอยนิ่งอยู่ ห่างจากศีรษะของพวกเขาไปแค่ยี่สิบจั้งเศษ มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันทอดตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ประกอบกับสีเทาตุ่นๆ ที่ไม่มีสีอื่นผสม จึงทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกกดดันเป็นอย่าง
สิ่งที่แปลกยิ่งกว่าก็คือในห้วงเวลาที่คับแคบเช่นนี้ กลับมีพายุอ่อนๆ พัดมาเป็นระยะๆ สีเทาเข้มดูเย็นยะเยือกเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าพายุลูกนี้ไม่อาจทำอะไรหานลี่และพวกที่อยู่ในระดับเทพแปลงได้ บนร่างของทั้งสามมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงระยิบระยับต้านทานได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ออกเดินทางล่วงหน้าไปจะมีอยู่ไม่น้อย แต่คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้ไปทางเดียวกัน คนจำนวนไม่น้อยล้วนจงใจอ้อมผ่านไปจากอีกด้านหนึ่ง
เพื่อไม่ให้คนที่ยังไม่เข้ามาในหุบเหวพบกับบุตรศักดิ์สิทธิ์จากสาขาอื่นๆ ก่อนแล้วเกิดการปะทะกันขึ้น
หานลี่เองก็ทำเช่นนั้นเช่นกัน
หลังจากที่เขาบินออกมาได้ร้อยลี้เศษ ก็พาไป๋ปี้และพวกทั้งสองออกห่างจากทางเส้นทางเดิม ตรงไปยังเส้นทางอีกสาย
ระยะห่างหมื่นลี้เศษไม่นับว่าไกลอะไรนักสำหรับบุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเขา
แม้ว่าพวกเขาจะจงใจลดระดับความเร็วลง หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็ยังคงใกล้เป้าหมายแล้ว
สถานการณ์เบื้องหน้าเปลี่ยนไป ทะเลหมอกต่ำๆ กลางอากาศลอยสูงขึ้น พายุทมิฬหมุนวนมาจากฝั่งตรงข้าม เปลี่ยนสีเป็นสีดำเทาอย่างฉับพลัน เมื่อพัดมาปะทะร่างชั่วพริบตาก็รวมตัวกันกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งสีดำบางๆ ชั้นหนึ่ง
แน่นอนว่าพายุสีดำเหล่านี้ ยังคงไม่อาจทำอะไรพวกของหานลี่ได้ ทุกคนแค่เพิ่มลำแสงที่ห่อหุ้มร่างขึ้นสองสามส่วนเท่านั้น
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหารพวกเขาก็บินออกมาจากพายุประหลาดสีดำเหล่านั้น เบื้องหน้าสว่างจ้า ทั้งสามคนมาปรากฏตัวบนสถานที่ที่น่าตกตะลึง
นี่คือห้วงเวลาวงกลมที่ไม่รู้ว่ามีความกว้างเท่าไหร่ รอบด้านล้วนถูกพายุประหลาดสีดำห่อหุ้มเอาไว้ กลางอากาศยังคงมีหมอกสีเทาหนาๆ แต่อยู่สูงขึ้นไปพันจั้งเศษ และกำลังหมุนวน ไม่เหมือนกับทะเลหมอกก่อนหน้าเลยสักนิด
แต่ทุกอย่างนี้กลับไม่ไม่ใช่จุดที่ดึงดูดความสนใจของหานลี่และพวกทั้งสามที่สุด สายตาของพวกเขาล้วนมองไปที่จุดจุดหนึ่ง
แผ่นดินสีดำแต่เดิมล้วนหายไป คาดไม่ถึงว่าจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
สิ่งที่มาแทนที่คือหุบเหวยักษ์ลึกลงไปไม่รู้เท่าไหร่ ด้านในมีหมอกสีดำเทาลอยอยู่เต็มไปหมด และบางครั้งก็มีพายุสีดำอันเย็นยะเยือกพัดออกมา
หานลี่กวาดสายตาไปรอบๆ หลุมยักษ์หลุมนี้เหมือนกับห้วงเวลาที่ไม่รู้ว่ากว้างใหญ่เท่าไหร่อย่างไรอย่างนั้น
พวกเขาสามคนล้วนลอยอยู่ตรงขอบขอบหุบเหวลึก ความกว้างของห้วงเวลาและหุบเหวนั้นแคบเสียราวกับมดอย่างไรอย่างนั้น
“ดูแล้วนี่คงเป็นประตูของหุบเหว ลงไปเถิด ทว่าต้องระวังหน่อย แม้ว่าจะไม่คิดว่าจะบังเอิญพบปีศาจในหุบเหวในทันที แต่ระวังหน่อยก็ไม่ผิด” หานลี่ไม่ได้พิจารณานานนัก พลางเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบสองสามประโยค จากนั้นปีกที่แผ่นหลังก็สะบัด พุ่งเข้าไปในหุบเหว หลังจากที่หมอกสีดำเทาเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็หายวับไป
หลังจากที่ไป๋ปี้และเหลยหลันมีสีหน้าเคร่งขรึมแล้ว ก็ไม่กล้าดูแคลนพลางบินตามเข้าไปติดๆ
หานลี่ร่อนลงข้างล่างอย่างช้าๆ ลำแสงสีเขียวรอบกายเปล่งแสงเจิดจ้า รอบด้านมีศิลาลำแสงจันทราขนาดเท่าฝ่ามือเจ็ดก้อนปรากฏขึ้น แผ่ลำแสงสีขาวนวลออกมา ทำให้ทุกอย่างในระยะสามสิบจั้งเศษกระจ่างชัดขึ้น
มองหมอกที่ลอยหมุนวนรอบๆ หานลี่กลับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งในใจ
เพิ่งเข้ามาในหุบเหวลึกยังดีหน่อย ม่านหมอกไม่ถือว่าหนานัก แม้ว่าจะไม่ต้องใช้เนตรวิญญาณก็สามารถมองทัศนียภาพต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
แต่หลังจากที่เข้าลึกลงไปสองสามพันจั้ง ม่านหมอกก็หนาขึ้นหลายเท่า
และหลังจากที่ไป๋ปี้และเหลยหลันตามหลังเขามาติดๆ นั้นเขาก็ไม่มีทางใช้เนตรวิญญาณง่ายๆ แน่ ดังนั้นจึงอัญเชิญศิลาลำแสงจันทราเหล่านี้ออกมาเสียเลย
เช่นนั้นก็สามารถรับมือกับสถานการณ์เบื้องหน้าได้
ทว่าเหมือนกับที่หานลี่คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้า ประตูของหุบเหวกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ พวกเขาเข้ามาในหุบเหวลึกขนาดนี้กลับยังไม่พบปีศาจอะไรมาขัดขวางสักตน
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ต่อให้ร้องขอก็ยังไม่อาจได้มาสำหรับหานลี่
หลังจากลงไปลึกกว่าเดิมตั้งไม่รู้เท่าไหร่ หมอกด้านล่างก็จางลง ในเวลาเดียวกันบางครั้งก็มีเสียงของพายุทมิฬดังขึ้นเป็นครั้งครา
หานลี่และพวกทั้งสามรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ในที่สุดก็รู้ว่ามาถึงขั้นหนึ่งของหุบเหวแล้ว
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชาหานลี่ก็หรี่ตาทั้งสองข้างลง พลางมองลงไปด้านล่าง ทะลุผ่านม่านหมอกบางๆ ไป ในที่สุดก็มองเห็นทิวทัศน์ที่ไม่เหมือนกับที่แล้วมา
แผ่นดินสีดำเหลืองปรากฏสู่สายตาของหานลี่ พื้นดินมีสีเขียวชอุ่ม มีต้นไม้ขนาดยักษ์ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น แม้กระทั่งมีวิหคยักษ์สีเทารูปร่างแปลกประหลาดสองสามตัวบินวนอยู่กลางอากาศต่ำๆ
“นี่คือยุทธภพแห่งหุบเหว ดูแล้วไม่ได้พิเศษอะไรนัก” เมื่อหานลี่และพวกทั้งสามออกมาจากม่านหมอก ก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศพลางพิจารณาพื้นดินด้านล่าง ไป๋ปี้ที่อยู่ด้านข้างทนไม่ไหว เอ่ยปากพึมพำขึ้น
“แม้ว่าหุบเหวชั้นที่หนึ่งจะถูกไอทมิฬลุกลามตั้งนานแล้ว แต่ระดับของมันยังเบาบางที่สุดในเจ็ดชั้น ปกติแล้วนอกจากปีศาจระดับต่ำที่สุดแล้วก็มีอสูรธรรมดาๆ จำนวนมากอาศัยอยู่ แต่แค่อสูรเหล่านี้มีนิสัยบ้าระห่ำแปดเก้าส่วนล้วนเป็นอสูรกินเนื้อ บ้างก็ร้ายกาจไม่ด้อยไปกว่าปีศาจระดับต่ำ” เหลยหลันดูเหมือนว่าจะรู้จักที่นี่ไม่น้อยจึงเอ่ยปากอธิบายขึ้น
หานลี่กับมีสีหน้าราบเรียบดูเหมือนว่าจะทำเป็นมองไม่เห็นทุกอย่าง แต่ความจริงแล้วจิตสัมผัสของเขากลับกวาดไปในรัศมีพันลี้เศษในพริบตารอบหนึ่ง และไม่พบบุตรศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ หรือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่ง ดูแล้วที่นี่คงจะปลอดภัยแล้ว
“ลงไปกันเถิด หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ถ้าหยุดอยู่กลางอากาศเป็นเวลานานจะดึงดูดความยุ่งยากเข้ามา” หานลี่ออกคำสั่งแล้วบินลงไปด้านล่างตามอำเภอใจ เหลยหลันและพวกทั้งสองก็ตามหลังเขาไป
เสียงร้องประหลาดดังขึ้น วิหคประหลาดสีเทาสองสามตัวที่อยู่ด้านล่างดูเหมือนจะพบร่างของทั้งสามคน จึงพุ่งเข้ามาอย่างไม่ลังเลในทันที
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วถึงได้มองเห็นรูปร่างของวิหคประหลาดเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ปากยาวหนาเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคม บนเรือนร่างไม่มีขนเลยสักเส้น ผิวหนังประหลาดสีเทาตุ่นๆ บนหัวมีเขาหงิกงอเขาหนึ่ง
หานลี่แค่นเสียงต่ำๆ ดีดนิ้วร่ายอาคมเบาๆ
“ฟิ้วๆ” หลังจากเสียงดังขึ้น กระบี่ลำแสงสีทองสองสามสายก็เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็ทะลุผ่านร่างของวิหคประหลาดเหล่านั้นไป ฝนโลหิตสาดลงมา วิหคประหลาดทยอยกันร่วงสู่พื้นดิน
ผลคือเมื่อซากศพตกลงสู่ผืนป่าเสียงร้องคำรามดังๆ พลันดังขึ้น จากนั้นพื้นดินด้านล่างพลันสั่นสะเทือน ดูเหมือนว่าจะมีอสูรยักษ์จำนวนมากแย่งชิงอะไรกันอยู่
แววตาของหานลี่ฉายแววประหลาดใจ มองไปทางเสียงที่ดังมาแล้วบินวนอยู่ห่างจากพื้นดินไปร้อยจั้งเศษรอบหนึ่ง พาคนที่อยู่ด้านหลังของทั้งสองแยกแยะทิศทางแล้วบินออกไป
“จากคำพูดของบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่เข้าร่วมการทดสอบก่อนหน้ากล่าวว่า ทางเข้าชั้นหนึ่งถึงชั้นสองนั้นมีอยู่มากมาย แต่ทางเข้าที่ค่อนข้างปลอดภัยนั้นกลับมีอยู่แค่สิบกว่าแห่งเท่านั้น โอกาสที่จะตามหาผลเปลวยมโลกในชั้นหนึ่งพบนั้นแทบไม่มีเลย พวกเราตรงไปชั้นสองเถอะ ตอนนี้ทางเข้าที่ข้าเลือกอยู่ห่างจากพวกเรามากที่สุด แม้ว่าจะเสียเวลามากหน่อยแต่กลับสามารถหลบเลี่ยงคนที่มีเจตนาไม่ดีต่อเผ่าเราที่กำลังซุ่มโจมตีอยู่ได้” หานลี่บินไปพลางอธิบายอย่างราบเรียบไปพลาง
ไป๋ปี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ส่วนเหลยหลันกลับมีท่าทีอย่างไรก็ได้
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้นหานลี่พลันฉีกยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
เขาอธิบายให้ทั้งสองฟังไม่ได้หมายความว่าต้องการจะปรึกษา ในเมื่อเผ่าวิหคสวรรค์ต้องการให้เขาออกแรงปกป้องบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองให้ทำการทดสอบสำเร็จ แน่นอนว่าทุกอย่างจึงต้องให้เขาเป็นผู้นำ
และจากพลังยุทธ์ของเขาก็ไม่กลัวว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองที่พลังยุทธ์น้อยกว่าเขาจะไม่เชื่อฟังคำสั่ง
ดังนั้นช่วงเวลาต่อจากนี้ ทั้งสามคนจึงบินอยู่กลางอากาศต่ำๆ โดยไม่ได้ปริปากอะไร พลางตรงไปยังตำแหน่งที่ทางเข้าของชั้นสองตั้งอยู่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น