คัมภีร์วิถีเซียน 1436-1437

ตอนที่ 1436 หยั่งเชิง

 

หลังจากที่เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินหนาๆ ก็จมหายเข้าไปในลูกบอลเพลิงยักษ์ในตอนที่คนกว่าครึ่งล้วนคิดว่าประจุไฟฟ้าสีเงินจะต้องทะลวงผ่านลูกบอลเพลิงนั้น อัสนีลูกนี้กลับเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในผิวของลูกบอลเพลิงอย่างไร้ร่องรอย คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่าถูกกลืนกินอย่างไรอย่างนั้น


 


 


เหลยหลันพลันตกตะลึง ลูกบอลเพลิงมาอยู่ตรงหน้าในชั่วครู่ ท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง


 


 


หลังจากที่สตรีผู้นี้มีสีหน้าลังเลเล็กน้อย ร่างกายก็พุ่งไปทางด้านหลัง ปีกคู่นั้นห่อหุ้มร่างกายของตนเองเอาไว้


 


 


ชั่วขณะนั้นลำแสงอัสนีเป็นชั้นๆ พลันปรากฎขึ้น ท่ามกลางอัสนีวิหคสีเงินขาวตัวหนึ่งพลันปรากฎขึ้น เรือนกายมีประจุไฟฟ้าสีเงินแล่นผ่าน บนลำคอกลับมีโซ่ประหลาดๆ คล้องอยู่ ด้านบนมีน้ำเต้าสูงสองสามชุ่นเปล่งแสงสีทองเรืองรองปรากฎอยู่


 


 


ตั้งแต่ต้นจนจบสตรีผู้นี้จึงตัดสินใจเอาเคล็ดวิชาแปลงกายที่ชำนาญที่สุดออกมาโจมตีอีกฝ่าย


 


 


เมื่อลูกบอลเพลิงขนาดยักษ์เห็นวิหคตัวนี้ปรากฎตัว ชั่วขณะนั้นก็หยุดการหมุนตัว เสียงอึกทึกดังขึ้น ลูกบอลเพลิงเปลี่ยนรูปไปอย่างฉับพลัน และกลายเป็นวิหคเพลิงสีแดงสดตัวหนึ่ง


 


 


วิหคตัวนี้มีขนาดใหญ่มากกว่าวิหคตรงข้ามหลายเท่า แต่วิหคตยักษ์กลับไม่หวาดกลัวเลยสักนิด หลังจากเสียงไพเราะดังขึ้น ร่างกายพลันขยายใหญ่ขึ้น ชั่วครู่ก็มีขนาดเล็กกว่าวิหคเพลิงเท่าหนึ่ง จากนั้นก็พาลำแสงอัสนีจำนวนนับไม่ถ้วนกระโจนไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรุนแรง


 


 


หงซาที่กลายเป็นวิหคเพลิงยิ่งไม่หวาดกลัว เปลวเพลิงบนร่างลุกโชน กรงเล็บที่แหลมคมคู่หนึ่งชูขึ้นมาจากกลางอากาศ กรงเล็บลำแสงสีแดงสดพุ่งออกมา


 


 


วิหคยักษ์ทั้งสองชูปีกทั้งสองขึ้น แทบจะกลบม่านลำแสงกลางอากาศไปกว่าครึ่ง และเป็นเพราะการต่อสู้ของทั้งสองยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ


 


 


โลหิตสดๆ ขนนกจึงร่วงลงมาเป็นครั้งคราว


 


 


แต่ชั่วพริบตาที่หล่นมาถึงพื้น ของเหล่านั้นก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ เหลยหลันที่มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นต้นเมื่อแปลงกลายเป็นวิหคยักษ์แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เป็นรอง กลับยิ่งมีท่าทีต่อสู้ที่ดุดันมากขึ้น


 


 


ไม่ว่าประจุไฟฟ้าบนกรงเล็บหรือบนร่าง คาดไม่ถึงว่าจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเงินขาวเป้นสีม่วงออก ดูท่าทางอานุภาพของมันจะมากกว่าอัสนีสีเงิน


 


 


แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบจ้องเขม็งไปยังวิหคยักษ์กลางาอากาศ มุมปากกลับเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา


 


 


คนอื่นไม่ได้สังเกตจึงคิดว่าวิหคยักษ์ที่อยู่กลางอากาศสำแดงเคล็ดวิชาอะไรออกมาโดยอัตโนมัติ ถึงได้ทำให้อานุภาพของประจุไฟฟ้าสีเงินเพิ่มขึ้น


 


 


แต่ภายใต้เนตรวิญญาณของเขา กลับมองเห็นอย่างชัดเจน สิ่งที่เรียกว่าประจุไฟฟ้าสีม่วงไม่ได้เกิดจากตัวของวิหคยักษ์ แต่เกิดจากน้ำเต้าสีทองขนาดสองสามชุ่นตรงคอ บางครั้งก็พ่นพลังเส้นไหมไฟฟ้าสีม่วงเป็นสายๆ ออกมา เมื่อเส้นไหมไฟฟ้าเหล่านี้สัมผัสกับประจุไฟฟ้าสีเงินบนตัวของวิหคยักษ์ ก็ผสมกันแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


มีการเคลื่อนไหวนี้ ประจุไฟฟ้าสีเงินที่ปกป้องร่างของวิหคยักษ์ถึงได้ค่อยๆ กลายเป็นสีม่วงอ่อน


 


 


เส้นไหมไฟฟ้าสีม่วงนี้ดูเหมือนว่าจะมีประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่


 


 


หงซาที่ตกตะลึงมาตั้งแต่ต้นกลับเป็นฝ่ายถูกกดจนตกเป็นรอง ในใจจึงรู้สึกตกตะลึงระคนโกรธขึงอย่างสุดๆ


 


 


แม้ว่วานางจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำได้อย่างไร แต่เห็นได้ชัดว่าใช้วิธีการที่พิเศษอะไรบางอย่าง มิเช่นนั้นอาศัยแค่พลังยุทธ์แล้ว อีกฝ่ายจะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้อย่างไร


 


 


ในตอนนั้นเองข้างหูของนางพลันมีเสียงบุรุษดังขึ้น เสียงไม่ดังนัก แต่เมื่อสตรีผู้นี้ได้ยินกลับรู้สึกใจสั่นสะท้าน ทันใดนั้นก็โยนความลังเลสุดท้ายทิ้งไป กระพือปีกทั้งสองข้าง ใช้การสังหารที่ตนเองเตรียมมาเพื่อการทดสอบครั้งนี้เช่นกัน


 


 


เหนือหัวของวิหคเพลิงมีขนนกยาวๆ เส้นหนึ่งพุ่งออกมา


 


 


หลังจากเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ขนนกก็กลายเป็นวิหคเพลิงอีกตัวหนึ่งที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว


 


 


อ้าปากออกอีกครั้ง พ่นลูกบอลไฟรวมทั้งไข่มุกออกมาเป็นลูกๆ เรือนกายมีเปลวเพลิงโหมกระหน่ำขณะกระโจนเข้าไปในวงการต่อสู้


 


 


วิหคยักษ์ที่เพิ่งจะได้เปรียบไป ถูกการโจมตีจากวิหคเพลิงทั้งสองขนาบข้าง ก็ทำให้วิหคยักษ์หน้าเปลี่ยนสีไปในทันที เปล่งเสียงกู่ร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวไม่หยุด


 


 


เปลวเพลิงและประจุไฟฟ้านี้ตัดสลับโจมตีกันไปมา ทำให้อากาศที่อยู่ในเปลวเพลิงถูกสั่นคลอนจนเกิดเสียงหึ่งๆ ขึ้น อากาศร้อบๆ เริ่มบิดเบี้ยวกวัดแกว่งไปมา


 


 


แต่ก็ทำให้สถานการณ์การต่อสู้ของวิหคยักษ์สีเงินและวิหคเพลิงสองตัวลางเลือนไม่ชัดเจน


 


 


แต่ไม่ว่าผู้ใดก็มองออกว่า วิหคยักษ์สีเงินกำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่อาจยืนหยัดได้นานหนัก ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับบาดเจ็บแล้วร่วงลงสู่พื้นในทันทีก็เป็นได้


 


 


ครั้งนี้หานลี่แค่มองดูอย่างเงียบๆ ชั่วครู่ ฉับพลันนั้นปีกที่แผ่นหลังก็สยายออก หลังจากเสียงฟ้าร้องที่น่าตกตะลึงดังขึ้น ก็กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งหายวับไปจากที่เดิม


 


 


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ท่ามกลางฝูงชนก็มีเงาสีดำอีกสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วหายวับไปจากที่เดิม


 


 


“ปัง” เสียงดังขึ้น กระบี่ลำแสงสีทองความยาวสิบจั้งเศษสายหนึ่งปรากฎขึ้นกลางอากาศ สับลงไปทางเปลวเพลิงและประจุไฟฟ้าที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน


 


 


กระบี่ลำแสงยังไม่ทันได้เข้าใกล้การต่อสู้ รอยแยกสีขาวบางๆ สายหนึ่งก็ปรากฎขึ้นเบื้องหน้า และระเบิดเสียงกรีดร้องแหลมๆ ออกมา


 


 


เมื่อเปลวเพลิงและประจุไฟฟ้าสัมผัสกับรอยแยกสีขาว ก็ทยอยกันสลายหายไปราวกับราวกับดินโคลน


 


 


วิหคเพลิงสองตัวที่อยู่ในการต่อสู้และวิหคยักษ์สีเงินตัวนั้น รู้สึกเพียงว่าลำแสงสีทองสว่างพร่าง ของที่แหลมคมสายหนึ่งมาอยู่เหนือหัวของทั้งสาม และสับลงมาอย่างไม่ปรานีเลยสักนิด


 


 


พวกมันไม่อาจต้านทานได้


 


 


ภายใต้ความตะลึงงันของวิหคทั้งสาม จึงไม่สนใจการต่อสู้อะไรอีก ต่างเก็บความสามารถของตนเองพร้อมกับ แล้วพุ่งกลับไปทางด้านหลัง


 


 


กระบี่ลำแสงยักษ์สับทั้งสองออกจากตรงกลาง ทิ้งรอยแยกสีขาวสายหนึ่งเอาไว้ที่เดิม ทันใดนั้นพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากรอยแยกสีขาว


 


 


รอบๆ มีพายุลูกใหญ่ก่อตัวขึ้น พลังปราณฟ้าดินจำนวนมากรวมตัวกันในรอยแยกสีขาว ราวกับจะสับห้วงเวลาออกไปจริงๆ


 


 


ผู้ชมที่อยู่ด้านนอกต่างเกิดความโกลาหลขึ้น วิหคยักษ์เก็บประจุุอัสนีในร่างไป กลายเป็นสตรีวัยดุรณีอีกครั้ง แต่แค่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนสงสัย


 


 


“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสตรีผู้นี้ ไม่จำเป็นต้องสู้ต่ออีก” เสียงราบเรียบดังขึ้นที่ด้านหลังของเหลยหลัน ราวกับว่าอยู่ใกล้แค่คืบ


 


 


สตรีอาภรณ์สีเงินหน้าเปลี่ยนสีรีบร้อนหันกลับไป เห็นเพียงชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวมายืนอยู่ด้านหลังของนางอย่างเงียบเชียบ


 


 


นั่นก็คือหานลี่!


 


 


“เมื่อครู่นี้พี่หานเป็นผู้ลงมือหรือ!” เหลยหลัยรู้สึกตื่นตะลึงไปเล็กน้อย


 


 


อานุภาพของกระบี่ลำแสงสายนั้น ทำให้สตรีผู้นี้คิดว่าผู้ที่ลงมือคือสิ่งมีชีวิตระดับผู้บัญชาการวิญญาณท่านหนึ่ง


 


 


ครานี้กระบี่ลำแสงที่น่ากลัวสายนั้นสลายหายไปพร้อมกับรอยแยกสีขาวที่ปรากฎขึ้น ไอวิญญาณฟ้าดินที่รวมตัวกันอยู่ก็แยกตัวออกจากกันอีกครั้ง ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม


 


 


ทว่าหานลี่ในครานี้กลับไม่ได้ตอบคำถามสตรีผู้นี้ แค่ใช้สองตาจ้องเขม็งไปยังฝั่งตรงข้าม


 


 


เหลยหลันพลันตกตะลึงแล้วมองตามไป


 


 


นางถึงได้พบว่าหงซาที่อยู่ตรงข้ามก็กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์แล้วเช่นกัน และยังเก็บร่างแยกของตนเองไปแล้ว กำลังมองมาทางนี้ด้วยท่าทีอมยิ้ม


 


 


ด้านหลังของคู่ต่อสู้มีชายหนุ่มอาภรณ์สีแดงคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หน้าตาโหดเ**้ยม สีหน้าไร้ความรู้สึก


 


 


ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือจู้อินจื่อ และเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ในบรรดาบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแดงสดที่ทำให้นางรู้สึกตื่นตัวมากที่สุด


 


 


เหลยหลันอดที่จะใจเย็นเยียบไม่ได้


 


 


“พี่หาน ได้ยินว่าท่านเอาแต่ฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่นอกมหาสมุทร เพิ่งจะกลับมายังเผ่าวิหคสวรรค์ก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าน้อยรู้สึกสนใจจริงๆ ขอแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับพี่หานได้หรือไม่” จู้อินจื่อมุมปากกระตุก แล้วเอ่ยถาม


 


 


กระบี่ที่หานลี่หยิบออกมาเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกจิตใจหนักอึ้ง รู้ว่าการคาดเดาของตัวเองนั้นไม่ผิดแน่ อีกฝ่ายมีความสามารถไม่ธรรมดาจริงๆ แต่เพื่อให้รู้ความสามารถของอีกฝ่ายอย่างละเอียด เขาก็ยังคงดำเนินตามแผนขอม้าประลองหานลี่ด้วยสีหน้าราบเรียบ


 


 


ชื่อเสียงของจู้อินจื่อไม่ใช่สิ่งที่หงซาและเหลยหลันจะเทียบเทียมได้


 


 


เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ก็ถูกผู้ชมจำนวนไม่น้อยจำได้ในทันที ทีนใดนั้นเมื่อคนเหล่านี้ได้ยินจู้อินจื่อขอท้าประลองกับอีกคนหนึ่งก็พลันรู้สึกตกตะลึง ชั่วขณะนั้นทุกคนก็เผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา!


 


 


ผู้ที่มีความสามารถเกรียงไกรประมือกันไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้บ่อยๆ หนึ่งในนั้นเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมาเนิ่นนาน มีความน่าเกรงขามไม่น้อย อีกคนหนึ่งก็เป็นแม่ทัพวิญญาณระดับสูง ดูแล้วพวกเขาน่าจะได้เปิดหูเปิดตาแล้ว


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของจู้อินจื่อ เหลยหลันพลันขมวดคิ้วสีหน้าถึงบางอ้อไปเล็กน้อย ดูแล้วในที่สุดสตรีผู้นี้ก็มองออกแล้วว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายดูเหมือนว่าจะอยู่ที่ ‘ศิษย์พี่หาน!’ ตั้งแต่แรก คาดไม่ถึงว่านางจะเป็นแค่เหยื่อล่อเท่านั้น


 


 


“ประมือกับนายท่าน ข้านั้นไม่สนใจ” หานลี่ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยอย่างห้วนๆ


 


 


 “หึๆ ในเมื่อเข้ามาในเขตต้องห้ามแล้วก็ช่วยไม่ได้แล้ว พี่หานรับคำท้าเถิด” ชายหนุ่มชูมือหนึ่งขึ้น ดูเหมือนว่าฝ่ามือที่ปกติแล้วมีลำแสงสีแดงมีลำแสงระยิบระยับจะกลายเป็นกรงเล็บที่แหลมคมสีแดงสด เล็บทั้งสิบแหลมคม เปล่งแสงแพรวพราว ดูเหมือนว่าแกะสลักมาจากผลึกหินสีแดงสดอย่างไรอย่างนั้น


 


 


หานลี่พลันขมวดคิ้วไม่ทันได้เอ่ยอะไรอีก กรงเล็บสีแดงของชายหนุ่มก็ดูเหมือนว่าจะตะปบมาทางหานลี่สบายๆ


 


 


“ตู้มๆ” เสียงระเบิดดังขึ้น กรงเล็บลำแสงสีแดงสดห้าสายเปล่งแสงสว่างจ้าแล้วพุ่งออกมา ลำแสงสีแดงสว่างวาบแล้วหายวับไปทันที


 


 


หานลี่หน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นแขนข้างหนึ่งพลันผลักออกไปด้านหน้าเช่นกัน นิ้วสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกทั้งห้ากางออกต้านทานอยู่เบื้องหน้า


 


 


ทันใดนั้นเบื้องหน้าของหานลี่ห่างออกไปสิบจั้งเศษพลันมีพายุหมุนอย่างรุนแรง กรงเล็บลำแสงห้าสายปรากฏขึ้นอีกครั้ง


 


 


หานลี่เห็นกรงเล็บลำแสงสีแดงทั้งห้าก็หน้าเปลี่ยนสี เมื่อลำแสงสีแดงที่แต่เดิมมีความยาวแค่สองสามชุ่นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะขยายใหญ่จนมีขนาดสองสามจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังดูดซับพลังวิญญาณรอบๆ เข้าไปไม่หยุด พลางขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


 


กรงเล็บลำแสงไม่ทันได้เข้าใกล้ หานลี่สัมผัสได้ถึงพลังแรงกดที่หน้าตกตะลึง หากมีพลังยุทธ์ต่ำหน่อย เมื่อถูกกรงเล็บลำแสงเหล่านี้ปกคลุมเอาไว้เกรงว่าร่างกายที่ถูกยึดไปคงไม่อาจขยับตัวได้แม้แต่ปลายก้อย


 


 


รู้สึกตกตะลึง นิ้วสีดำทั้งห้าที่ต้านทานอยู่เบื้องหน้าของหานลี่เปล่งแสงสว่างวาบ ภูเขาขนาดย่อมสีดำสนิทลูกหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ แค่กระพริบวาบก็มีขนาดสิบจั้งเศษ


 


 


หลังจากที่ยอดเขาสีดำต้านทานอยู่เบื้องหน้าหานลี่แล้ว ก็ปกป้องเอาไว้ได้อย่างมิดชิด


 


 


“ตึงๆ” เสียงอึกทึกดังขึ้น ลำแสงสีแดงสว่างวาบ กรงเล็บสีแดงห้าสายอยู่บนภูเขาขนาดย่อม


 


 


กลิ่นอายร้อนฉ่าแผ่ออกมาประชิดตัวหานลี่ คาดไม่ถึงว่าจะทำให้หานลี่จะรู้สึกทุกข์ทนราวกับอยู่ในเตาหลอมอย่างไรอย่างนั้น


 


 


แต่ยอดเขาสีดำกลับนิ่งงันอยู่ที่เดิมดูเหมือนว่าจะไม่ได้สั่นเทาเลยสักนิด


 


 


“เอ๋” จู้อินจื่อที่อยู่ตรงข้ามเห็นฉากนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


 


 


หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปที่ภูเขาดูดปราณเบื้องหน้า สีหน้ากลับเคร่งขรึม


 


 


“ปัง” เขาตบไปที่ภูเขาขนาดย่อมลูกนั้น


 


 


ชั่วขณะนั้นภูเขาลูกนี้พลันหมุนคว้าง จุดที่ถูกโจมตีเมื่อครู่หันมาหาหานลี่


 


 


เห็นเพียงผิวของภูเขาขนาดย่อมสีดำ มีรอยกรงเล็บห้าสายฝังลึกลงไปสองสามชุ่น และมีท่าทีจะละลายเล็กน้อย


 


 


แค่นเสียงอย่างเย็นชา ฝ่ามือสีดำกดลงไปบนยอดเขาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า


 


 


ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น


 


 


ผิวของภูเขาขนาดย่อมมีลำแสงสีดำไหลโคจรอยู่ ทุกแห่งที่ไหลผ่านไปรอยกรงเล็บที่ละลายเหล่านั้นต่างฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม


 


 


“ในเมื่อพี่จู้อยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้ได้ ข้าน้อยก็มีเพียงแต่ต้องขอคำชี้แนะแล้ว” หานลี่เอ่ยจบร่างกายพลันพลิ้วไหว คนมาปรากฏตัวที่ด้านข้างภูเขา จากนั้นเขาพลันกระพือปีกทั้งสองข้าง เงาวิหคสีเขียวตัวหนึ่งปรากฏขึ้นที่แผ่นหลัง


 


 


ในเวลาเดียวกันหลังจากที่เสียงตูมตามดังขึ้น รอบด้านของหานลี่ก็มีเสาวายุสีเขียวสี่สายพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เกิดเสียงกรีดร้องดังระงม 

 

 


ตอนที่ 1437 ผู้พิทักษ์หุบเหว

 

เงาวิหคสีเขียวจ้องเขม็งไปยังจู้อินจื่อที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง ปีกทั้งสองโบกสะบัดเบาๆ


 


 


ชั่วขณะนั้นเสาวายุสี่สายพลันระเบิดออก วายุใบมีดสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นท่ามกลางวายุ จากนั้นพลันพุ่งออกไป


 


 


ครานั้นม่านลำแสงทั้งหมดพลันมีเสียงแหวกอากาศดัง “ฟิ้วๆ” ลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนทอตัวอยู่เต็มท้องฟ้า


 


 


จู้อินจื่อเห็นหานลี่แค่ลงมือก็มีอานุภาพน่าตกตะลึงถึงเพียงนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึม


 


 


แต่คนผู้นี้มีชื่อเสียงขนาดนี้ในบรรดาบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ปีกทั้งสองพลันขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า ในเวลาเดียวกันพลันกระพือปีกอย่างแรงสองสามครั้ง


 


 


ลำแสงสีแดงเปล่งแสงเจิดจ้า สะเก็ดไฟปรากฏขึ้นรอบๆ อย่างหนาแน่น


 


 


ทันใดนั้นขณะที่จู้อินจื่อใช้สองมือร่ายอาคม กลายเป็นลูกธนูสีแดงเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปเช่นกัน


 


 


อานุภาพนั้นไม่ด้อยไปกว่าการโจมตีด้วยวายุใบมีดที่อยู่ตรงข้าม


 


 


ชั่วพริบตาท้องฟ้าทั้งผืนก็ดูเหมือนว่าจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยลำแสงเส้นใหม่ มีดสีเขียวกระพริบวาบๆ อีกครึ่งหนึ่งเป็นเปลวเพลิงสีแดงเปล่งประกายดังกองไฟที่ลุกโชน


 


 


ตรงเส้นที่ทั้งสองสัมผัสกันนั้น เกิดเสียง “ปังๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีเขียวและลำแสงสีแดงตัดสลับพัวพันกันแล้วทยอยกันระเบิดตัวออก


 


 


ครานั้นคาดไม่ถึงว่าทั้งสองจะตกอยู่ในสถาณการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ไม่อาจตัดสินได้ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายได้เปรียบ


 


 


หานลี่มองเห็นฉากนี้ใบหน้าพลันไร้ความรู้สึก แต่สองมือที่ร่ายอาคมพลันเปลี่ยนไป ในแขนเสื้อมีเสียงฟ้าคำรามดังขึ้น หลังจากที่มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นสองครั้ง ประจุไฟฟ้าสีทองขนาดหน้าเท่าปากชามสองสายพลันพุ่งตัวดีดออกมาจากแขนเสื้อ ผนึกตัวกันกลางอากาศ กลายเป็นมังกรวารีไฟฟ้าสีทองที่หนายิ่งกว่าเดิมตัวหนึ่ง


 


 


มังกรวารีไฟฟ้าตัวนี้สะบัดหัวสะบัดหางเปล่งแสงสว่างวาบตามความคิดที่เคลื่อนไหวของหานลี่ แล้วสะบัดตัวพุ่งห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง ชั่วพริบตาก็มาปรากฏตัวด้านหน้าจู้อินจื่อ กระโจนเข้าไปพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังครืนๆ


 


 


ความเร็วของมังกรวารีไฟฟ้าราวกับเคลื่อนย้ายที่อย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าจะเป็นจู้อินจื่อเองก็ยังตกใจจนสะดุ้งโหยง


 


 


เขาอ้าปากออกอย่างไม่ต้องคิดพ่นลำแสงสีแดงสายหนึ่งออกมา


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นไข่มุกสีแดงสดเม็ดหนึ่ง


 


 


เสียง “ปัง” ดังขึ้น ไข่มุกกลมๆ และมังกรวารีไฟฟ้าปะทะกัน ระเบิดลำแสงที่น่าตกตะลึงออกมา ทันใดนั้นไอวิญญาณพลันหมุนวน ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเสาเพลิงสูงเสียดฟ้า มีความกว้างประมาณสองสามจั้ง ใจกลางของเปลวเพลิงมีเส้นไหมสีทองเป็นสายๆ เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง วายุที่เร่าร้อนกลุ่มหนึ่งม้วนวนไปรอบด้าน


 


 


ภายใต้อานุภาพนี้จู้อินจื่อเองก็ถอยร่นไปสองสามก้าว สายตามองไปยังฝั่งตรงข้าม


 


 


ผลคือภายใต้ความตกตะลึงนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี


 


 


ตรงข้ามนั้นว่างเปล่า หานลี่ไม่อยู่ที่เดิมแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะพาเหลยหลันบินร่อนลงไปบนพื้นอย่างนุ่มนวล ทันใดนั้นก็หนีออกจากม่านลำแสง


 


 


ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของจู้อินจื่อพลันชูมือหนึ่งขึ้นชี้ไปทางหานลี่อย่างแม่นยำ


 


 


เสียง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีแดงสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพลันพุ่งออกไป


 


 


หานลี่กับจ้องการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่ตั้งนานแล้ว เขาที่เตรียมการป้องกันเอาไว้ตั้งนานแล้วพลันเลิกคิ้วขึ้น ยื่นนิ้วชี้ออกไปนิ้วหนึ่ง


 


 


ลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบมีเส้นสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกไปเช่นกัน นั่นก็คือเส้นไหมวิญญาณเพลิง!


 


 


“เปรี้ยงๆ” ดังขึ้น


 


 


เส้นไหมสีแดงสองสายเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศโจมตีเข้าด้วยกันอย่างไม่มีข้อผิดพลาด


 


 


ผลคือเส้นไหมสีแดงของหานลี่พลันดีดตัวกลับ ส่วนหน้าของเส้นไหมสลายหายไป เส้นไหมสีแดงของจู้อินจื่อกลับหายวับไปด้วยเหตุนี้


 


 


และชั่วเวลาที่ล่าช้าไปนั้นหานลี่และเหลยหลันพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นสองสามครั้ง ปรากฏตัวในฝูงชนด้านนอกม่านลำแสง


 


 


คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงพลันหลบหลีกไปสองสามก้าว ไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองก็มองมาด้วยความตกตะลึง


 


 


“พี่หาน เจ้าไม่สู้แต่กลับหนีไม่กลัวว่าจะทำลายชื่อเสียงของเผ่าเจ้าหรือ” จู้อินจื่อเห็นว่าไม่อาจะยับยั้งหานลี่เอาไว้ได้ก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธา


 


 


“เจ้าและข้าล้วนรู้ดีว่าหากจะตัดสินแพ้ชนะภายในเวลาอันสั้นนั้นเกรงว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ข้าน้อยมีภาระสำคัญอยู่กับตัวจึงขอหยุดการแลกเปลี่ยนกับพี่จู้แต่เพียงเท่านี้เถิด” หานลี่หันไปมองจู้อินจื่อแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ


 


 


ทันใดนั้นสองปีกพลันสยายออกพวยพุ่งขึ้นไปบนอากาศแล้วบินหนีไป


 


 


หลังจากที่เหลยหลันมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็ตบฝ่าเท้าบินตามไป


 


 


จู้อินจื่อที่อยู่ในม่านลำแสงเห็นหานลี่หนีไปซะอย่างนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


“ศิษย์พี่จู้ต้องตามพวกเขาไปหรือไม่” หงซาลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามจากด้านข้าง


 


 


“หึ จะตามไปอย่างไร? ออกจากสนามแข่งขันแล้วที่อื่นก็ไม่อาจลงมือได้ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่ประมือกันแล้วคนผู้นั้นบอกจะไปก็ไป ทว่าแม้ว่า จะประมือกันเพียงเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเขาเชี่ยวชาญด้านวายุและอัสนี นับว่าครั้งนี้ไม่เสียเปล่า สมบัติภูเขาของเขาชิ้นนั้นข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก คาดไม่ถึงว่าจะต้านทานกรงเล็บเปลวเพลิงของข้าได้ ยุ่งยากหน่อยละ กลับไปต้องหาวิธีทำลายมันให้ได้” จู้อินจื่อแค่นเสียงอย่างเย็นชาขณะเอ่ย


 


 


หงซาจึงเอ่ยอย่างเห็นด้วยด้วยความระมัดระวังตัว


 


 


ดังนั้นทั้งสองคนจึงร่อนลงจากบนฟ้ารวมตัวกับสือเทียนที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้านล่าง แล้วจากไปเช่นกัน


 


 


จึงเหลือเพียงคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินคนอื่นๆ ที่ยังคงซุบซิบนินทากันเรื่องการประมือเมื่อครู่และการที่หานลี่ถอยไปอย่างกะทันหัน


 


 


……


 


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน ข้าไม่ได้กำชับเอาไว้หรือ ว่าหากจะออกจากที่พักของเผ่าห้ามออกไปคนเดียว? เจ้ายังไปต่อสู้กับคนของเผ่าแดงสดที่สนามแข่งขัน” จินเย่ว์จ้องเขม็งไปยังหญิงสามชุดสีเงินที่ยืนเอามือประสานกันอยู่เบื้องหน้า พลันเอ่ยถามด้วยความเย็นชา


 


 


ครานี้มหาอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่งของหอคอยของหานลี่ด้วยสีหน้าเย็นชา


 


 


อาวุโสสือนั่งอยู่ด้านข้าง แต่สายตากลับเปล่งประกายมีสีหน้าไม่พอใจเฉกเช่นเดียวกัน


 


 


คนที่ถูกตำหนิพลันมีสีหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก


 


 


ไป๋ปี้และหานลี่ล้วนยืนอยู่คนละฝั่ง ไป๋ปี้นั้นก้มหน้างุดไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ท่าทางไม่สบายใจเล็กน้อย หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ


 


 


ในตอนที่หานลี่พาเหลยหลันกลับมาได้ไม่นาน จินเย่ว์และพวกก็ทราบข่าวเรื่องนี้ในทันที จึงรีบรุดมา ตำหนิบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอย่างหนักรอบหนึ่ง


 


 


แม้ว่าเรื่องนี้ผู้ที่รับผิดชอบจะเป็นสตรีนามว่าเหลยหลัน แต่ไป๋ปี้กลับไม่ห้ามปราม จึงถูกตำหนิเช่นกัน


 


 


“ท่านมหาอาวุโส หงซาของเผ่าแดงสดผู้นั้นบอกว่ามีศิลาดาวอัสนี หากข้าเอามันมาได้วันข้างหน้าก็มั่นใจว่าจะมีโอกาสบรรลุระดับผู้บัญชาการวิญญาณได้สามส่วน ศิษย์ถึงได้เลอะเลือน…” ในที่สุดเหลยหลันก็เอ่ยงึมงำออกมา


 


 


“ศิลาดาวอัสนี! มิน่าล่ะเจ้าถึงได้สนใจถึงเพียงนี้ แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะนำมาอ้างได้ พลังยุทธ์ของเจ้าเทียบกับความเป็นความตายของเผ่าแล้วอะไรสำคัญกว่ากัน เจ้าก็น่าจะรู้ดี รู้หรือไม่ว่าเพื่อเลี้ยงดูบุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเจ้าสองคนในเผ่าต้องใช้ผลึกศิลาและยาสมุนไพรไปจำนวนนับไม่ถ้วนถึงจะทำให้พลังยุทธ์ของพวกเจ้าพัฒนามาถึงระดับนี้ได้ในเวลาอันสั้น มิเช่นนั้นแม้ว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติเหนือชั้นก็ไม่อาจพัฒนามาถึงระดับแม่ทัพวิญญาณได้” จินเย่ว์ยังคงเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว


 


 


เหลยหลันพลันหมดคำพูด เผยสีหน้าละอายใจออกมา


 


 


ครั้นเมื่อหญิงสามคิดจะเอ่ยอะไรออกมาอีกนั้น อาวุโสสือที่อยู่ด้านข้างก็ฉีกยิ้มบางๆ พลางเอ่ยปากว่า


 


 


“เอาล่ะ อาวุโสจินแม้ว่าเหลยหลันจะบุ่มบ่ามไปหน่อยแต่โชคดีที่สหายหานตามไปทัน และไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ใช่แล้วสหายหานมองเรื่องนี้อย่างไร?”


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก เผ่าแดงสดน่าจะสงสัยในตัวข้าจึงอยากทดสอบความสามารถดู” หานลี่หัวเราะน้อยขณะเอ่ยตอบกลับ


 


 


“หึๆ ได้ยินว่าสหายหานและจู้อินจื่อประมือกันโดยไม่ตกเป็นรองและไม่ได้พัวพันนานนัก ช่างเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดจริงๆ” อาวุโสสือใช้น้ำเสียงชื่นชมขณะเอ่ย


 


 


“อะไรควรไม่ควรชนรุ่นหลังย่อมรู้ดี” หานลี่ฉีกยิ้มขณะเอ่ย


 


 


“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าสามคนห้ามออกจากหอคอยแม้แต่ก้าวเดียว แค่ทำสมาธิรอการทดสอบก็พอแล้ว เรื่องอื่นมอบให้พวกเราสองคนจัดการก็พอ” จินเย่ว์ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้


 


 


“เจ้าค่ะ/ขอรับ!” ทั้งนี้ไป๋ปี้และเหลยหลัน พลันเอ่ยน้อมรับพร้อมกัน


 


 


หานลี่เองก็ประสานมือคารวะโดยไม่มีความเห็นอื่น


 


 


จะว่าไปแล้วฐานะของหานลี่ในเผ่าวิหคสวรรค์ในครานี้ค่อนข้างวิเศษจริงๆ ในนามเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่า แต่ความจริงแล้วกลับเหมือนตำแหน่งแขกผู้มีเกียรติคนหนึ่ง ประกอบกับที่เผ่าวิหคสวรรค์มีเรื่องขอร้องเขาจึงทำให้จินเย่ว์และเหล่าอาวุโสปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาทมาก


 


 


รอจนจินเย่ว์และอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์จากไปแล้ว หานลี่และพวกทั้งสามก็กักตนนั่งสมาธิตามคำสั่ง โดยไม่ออกไปข้างนอกอีก


 


 


สิบกว่าวันให้หลัง จินเย่ว์และเผ่าอาวุโสของเผ่ากลับไปประชุมที่ยอดฮ่องเต้หยกทุกวัน ไม่รู้ว่ากำลังปรึกษาเรื่องอะไรกันอยู่…


 


 


สองเดือนต่อมา กลางอากาศเหนือเนินดินที่รกร้างสีเหลืองมีวิหคยักษ์และแมลงบินจำนวนนับไม่ถ้วน บินแฉลบผ่านไป


 


 


บนร่างของวิหคยักษ์และแมลงบินเหล่านี้ต่างมีเงาร่างคนติดปีกยืนอยู่บ้างนั่งบ้างปะปนกันไป


 


 


นั่นก็คือกลุ่มคนเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่ออกเดินทางจากยอดฮ่องเต้หยกไปสู่ทางเข้าหุบเหว


 


 


หานลี่และคนของวิหคสวรรค์ชี่อยู่บนวิหคยักษ์สีขาวสองสามตัว โดยมีกองกำลังรายล้อมอยู่


 


 


แม้ว่ากองกำลังจะยิ่งใหญ่ แต่เมื่อบินมาเป็นระยะเวลานานคนที่พูดคุยกันระหว่างบินจึงมีอยู่น้อยมาก


 


 


หานลี่เองก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังของวิหคยักษ์ ใข้สายตากวาดมองรอบๆ ด้านอย่างเงียบๆ ทางเข้าของหุบเหวนี้อยู่ห่างจากยอดฮ่องเต้หยกกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก


 


 


ฉับพลันนั้นคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินด้านหน้าพลันเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น และเปล่งเสียงร้องอุทานด้วยความตกตะลึงออกมา ความเร็วของกองทัพผ่อนกำลังลง


 


 


หานลี่หน้าเปลี่ยนสี กวาดจิตสัมผัสไปเบื้องหน้าทันที


 


 


เห็นเพียงห่างจากเขาไปพันลี้ มีกำแพงยักษ์ปรากฏขึ้นเป็นสีเขียวเทาสูงสามร้อยสี่ร้อยจั้ง เมื่อมองไปทั้งสองฝั่งก็ไม่อาจมองเห็นปลายทางได้


 


 


บนกำแพงยักษ์ ทุกๆ ร้อยจั้งเศษ จะมีเสาหยกสีขาวบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านอยู่


 


 


เสาเหล่านี้มีความสูงแค่สิบจั้ง แต่ผิวของมันกลับเปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับ ล้วนมีอักขระยันต์ลึกลับสลับเอาไว้เป็นสายๆ โดยไม่รู้ว่ามีประโยชน์ในด้านใด


 


 


แต่ด้านข้างกำแพงยักษ์กลับมีหอคอยทรงกลมสูงประมาณสามสิบสี่สิบจั้งเรียงรายอยู่อย่างแน่นขนัด เมื่อกวาดสายตาไปทั้งหมดน่าจะมีสองสามพันหอ


 


 


และเหนือหอคอยเหล่านี้มีคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินจำนวนนับไม่ถ้วนลอยตัวอยู่กลางอากาศ ท่าทางกำลังรอคอยการมาถึงของพวกเขา


 


 


หานลี่และพวกของเผ่าวิญญาณเหาะเหินค่อยๆ บินเข้าไปใกล้คนเหล่านั้น และในที่สุดก็หยุดลง


 


 


“คารวะเหล่าอาวุโส!” บุรุษวัยกลางคนสวมชุดเกราะสงครามสีเขียวคนหนึ่งบินออกมาจากฝูงชนแล้วประสานมือคารวะคนฝั่งนี้


 


 


“ที่แท้ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในปีนี้ก็คือน้องจินเฟิงนี่เอง ช่างบังเอิญจริงๆ น้องจินน่าจะได้รับข่าวที่พวกเราส่งมาแล้วสินะ” ฝั่งของหานลี่ก็มีคนสองสามคนบินออกไปในทันที


 


 


หญิงชรามือหนึ่งถือไม้เท้าคนหนึ่ง บุรุษวัยกลางคนเรือนผมสีขาวราวกับหิมะคนหนึ่ง รวมทั้งชายชราที่ใบหน้ามีรอยสักคนหนึ่ง


 


 


นั่นก็คือสามอาวุโสที่มีอำนาจที่สุดในการประชุมเหล่าอาวุโส ส่วนคนที่พูดกลับเป็นบุรุษวัยกลางคน


 


 


ทั้งสามคนเผชิญหน้ากับคนสวมชุดเกราะสีเขียวที่บินมาด้วยท่าทีมีมารยาทเป็นพิเศษ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)