คัมภีร์วิถีเซียน 1434-1435
ตอนที่ 1434 จู้อินจื่อ
“ต้องรบกวนสหายแล้ว” แม้นว่าอีกฝ่ายจะมีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก บุตรศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งของเผ่าแดงสดก็ยังคงเอ่ยอย่างไม่กล้าดูแคลน
เผ่าแดงสดมีจำนวนคนมากที่สุดในบรรดาทั้งสามเผ่า คาดไม่ถึงว่าจะส่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ออกมาทีเดียวเจ็ดคน อันดับสองคือเผ่าเบญจลำแสงมีห้าคน ที่น้อยที่สุดคือเผ่าวิหคสวรรค์ แม้ว่าจะเพิ่มหานลี่เข้าไปก็มีเพียงสามคนเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่เผ่าวิหคสวรรค์ไม่ได้เก็บรักษาอะไรไว้ เผ่าอื่นๆ จะต้องซ่อนบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่ได้ส่งตัวออกมาอีกเป็นแน่
และยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่แล้วบุตรศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองเผ่าก็มีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลงขั้นกลางขึ้นไป เทียบกับไป๋ปี้และผู้มีนามว่าเหลยหลันแล้ว ก็แข็งแกร่งมากกว่าเท่าหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเผ่าวิหคสวรรค์นั้นตกต่ำแล้วในบรรดาเผ่าวิญญาณเหาะเหิน มิน่าล่ะเบื้องบนของเผ่าวิหคสวรรค์จึงพยายามดึงเขาเข้าเป็นพวกอย่างสุดความสามารถ สาขาที่แข็งแกร่งอื่นๆ คิดจะฮุบพวกเขา ก็เป็นเรื่องปกติ
แนวความคิดปลาใหญ่กินปลาเล็กยังคงใช้ได้ในบรรดาเผ่าต่างๆ ของแดนวิญญาณ
หานลี่ขบคิดเช่นนั้นก็พาไป๋ปี้ เหลยหลันและคนของเผ่าเบญจลำแสง เดินเรียงกันอยู่ด้านหลังคนของเผ่าแดงสด
ทั้งสองฝั่งต่างดึงระยะห่างออกจากกันโดยอัตโนมัติตามความรู้สึก
ในบรรดาบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ทั้งหมด หานลี่รู้สึกสนใจบุรุษคนหนึ่งที่มีหน้าตาโหดเ**้ยมเผยกลิ่นอายสังหารออกมามากที่สุด
บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแดงสดคนอื่นๆ ก็มีผู้ที่พลังยุทธ์ไม่ต่างอะไรกับเขา แต่มีเพียงตอนที่พบหน้ากับคนผู้นี้ ที่ทำให้เขารู้สึกอันตราย
เมื่อครุ่นคิดมาถึงครานี้ หานลี่ที่มองไปยังเงาแผ่นหลังของบุรุษผู้นั้นก็อดที่จะหรี่ตาทั้งสองข้างลงไม่ได้
“อันใด พี่หานสนใจจู้อินจื่อผู้นั้นหรือ?” สตรีหน้าตางดงามอายุยี่สิบปีเศษจากเผ่าเบญจลำแสง เอ่ยกับหานลี่ด้วยท่าทียิ้มๆ
ในบรรดาคนของเผ่าวิหคสวรรค์ แม้ว่าหานลี่จะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เก๊ แต่พลังยุทธ์ระดับแม่ทัพวิญญาณเหาะเหินขั้นสูงนั้นกลับไม่ใช่ของปลอม ดังนั้นไม่ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเบญจลำแสงหรือว่าเผ่าแดงสด ก็มองว่าหานลี่เป็นผู้นำของเผ่าวิหคสวรรค์
ประกอบกับหน้าตาที่ไม่คุ้นเคย และยังอยู่ในฐานะไพ่ลับของเผ่าวิหคสวรรค์ เผ่าที่เหลือทั้งสองจึงรู้สึกสนใจหานลี่เป็นอย่างมาก
ระหว่างทางเป็นเพราะเหล่าอาวุโสอย่างจินเย่ว์อยู่ข้างๆ คนอื่นๆ จึงไม่มีโอกาสได้สนทนาอะไรกัน ครานี้เมื่อแยกกับเหล่าอาวุโสของเผ่าแล้ว สตรีของเผ่าเบญจลำแสงผู้นี้จึงเป็นฝ่ายชิงเอ่ยปากก่อน
แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะเผ่าวิหคสวรรค์และเผ่าเบญจลำแสงมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน
บุตรศักดิ์สิทธิ์ของของเผ่าแดงสดเหล่านั้น ไม่มีทางเป็นฝ่ายเอ่ยถามอะไรขึ้นมาก่อนแน่
“ไม่มีอะไรหรอก กลิ่นอายสังหารบนร่างของพี่จู้ผู้นี้ไม่ธรรมดา เกรงว่าคงมีประสบการณ์ในการต่อสู้ไม่น้อยสินะ” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ
“ดูแล้วพี่หานคงฝึกฝนอยู่แต่นอกมหาสมุทรจริงๆ จู้อินจื่อเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากในรุ่นของพวกเรา เขาเคยเข้าไปในหุบเหวลึกตามลำพังถึงเจ็ดครั้ง แม้ว่าจะเข้าไปไม่ลึกมาก แต่กลับสังหารปีศาจที่มีชื่อเสียงไปไม่น้อย มีชื่อเสียงทัดเทียมกับเอ๋าชิงของเผ่าชีเย่ว์ และเฟ่ยเยี่ยของเผ่าหนานหล่ง ว่ากันว่าความสามารถไม่ด้อยไปกว่าระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นกลาง” สตรีของเผ่าเบญจลำแสงฉีกยิ้มขณะตอบกลับ ท่าทางไม่กลัวว่าจะถูกคนของเผ่าแดงสดที่อยู่ด้านหน้าได้ยินเลยสักนิด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ และไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เมื่อเห็นท่าทีเรียบเฉยของหานลี่ สตรีของเผ่าเบญจลำแสงผู้นั้นก็ยิ่งรู้สึกสนอกสนใจมากกว่าเดิม แต่ไม่รอให้นางได้เอ่ยอะไรอีก คนกลุ่มนั้นก็ถูกหญิงสาวชุดขาวพาไปหยุดอยู่ตรงหน้าหอคอยสองสามหลังที่มีความสูงหกถึงเจ็ดชั้น
นางหันกลับมาเอ่ยว่า
“พวกท่านทั้งสามเผ่าเลือกที่พักดูสักหลังเถิด อีกเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องเตือนพวกท่าน ในยอดฮ่องเต้หยกนอกจากสนามแข่งขันทางทิศตะวันออกแล้ว สถานที่ที่เหลือก็ไม่อาจลงมือต่อสู้กันได้ มิเช่นนั้นโทษสถานเบาคือเจ็บปวดภายนอก โทษหนักคือกำจัดวรยุทธ์
“พวกเราทราบแล้ว ต้องรบกวนแม่นางแล้ว” คนส่วนใหญ่ในกลุ่มได้ยินประโยคนี้พลันใจหายวาบ บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งของเผ่าแดงสดเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอบคุณ
“ข้ามีนามว่าเสี่ยวจู๋ มีหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ของพวกท่านทั้งสามเผ่า ทุกท่านมีอะไรให้รับใช้ก็เรียกข้าได้เลยเจ้าค่ะ” หญิงสาวชุดขาวฉีกยิ้มเบิกบาน คารวะไปทางหานลี่และพวกแล้วขอตัวกล่าวลา
จากนั้นหานลี่และพวกทุกคนก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ต่างเลือกหอคอยที่พักของตนเอง
หานลี่เลือกชั้นสูงสุดในหอคอย ไป๋ปี้และเหลยหลันแยกกันพักที่สองชั้นถัดลงมา
สองสามเดือนที่ผ่านมาพวกเขาเดินทางอย่างแทบไม่ได้หยุดพัก แม้แต่หานลี่เองก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้า
นั่งสมาธิลงบนฟูกโดยไม่ได้กล่าวอะไร แล้วพลันนั่งสมาธิ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อเขาเบิกตาขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้านอกหน้าตาก็เปลี่ยนเป็นสีมืดครึ้ม
เดินลงจากเตียงอย่างแผ่วเบาแล้วพลันบิดขี้เกียจ
เขาเดินลงมายังชั้นล่างอย่างเงียบๆ
ผลคือในหอคอยชั้นล่างไป๋ปี้ยังคงทำสมาธิอยู่ภายในห้องของตน ส่วนสตรีที่มีนามว่าเหลยหลันนั้นกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
จำได้ว่าก่อนออกเดินทาง จินเย่ว์ได้กำชับอยู่หลายครั้งว่า ห้ามไม่ให้พวกเขาออกไปข้างนอกตามลำพัง เพื่อจะได้ไม่เปิดโอกาสให้ศัตรู
หลังจากที่หานลี่ขบคิดแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยวางใจนัก จึงเดินเอามือไพล่หลังออกจากหอคอย
ทั้งสองคนนี้เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการทดสอบหุบเหว เขาไม่อาจไม่ซักถามได้
“เอ๋ นี่มิใช่พี่หานหรือ? ช่างบังเอิญเสียจริง!” เมื่อเดินออกมาจากประตูหอคอยได้สองสามก้าว ฉับพลันนั้นก็มีเสียงเกียจคร้านดังขึ้นที่ข้างหู
หานลี่แววตาเป็นประกาย ทอดสายตาไปตามที่มาของเสียง
เห็นเพียงชายหนุ่มหน้ากลมคนหนึ่ง กำลังเดินออกมาจากหอคอยอีกหลังหนึ่ง นั่นก็คือหนึ่งในบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแดงสด แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในใจกลับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
หากอีกฝ่ายบังเอิญมาพบกับตนเองจริง ก็เป็นเรื่องที่ซวยมาก กว่าครึ่งคงรอเขามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว
แม้นจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาใด แต่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่
หานลี่มองอีกฝ่ายเงียบๆ
“หึๆ เหตุใดพี่หานต้องปิดกั้นตัวเองด้วย ตอนนี้แม้ว่าทั้งสองเผ่าของพวกเราจะขัดแย้งกัน แต่ก่อนที่จะเข้าไปในหุบเหวก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นปฏิปักษ์กันขนาดนี้ วันข้างหน้าเผ่าของท่านอาจจะต้องเข้าร่วมเผ่าแดงสด พวกเราก็จะกลายเป็นพี่น้องเผ่าเดียวกัน” ชายหนุ่มของเผ่าแดงสดผู้นี้เห็นท่าทีเย็นชาของหานลี่ ก็ไม่ได้ใส่ใจ
“หากทั้งสองเผ่ารวมกันจริงๆ ก็อาจจะเป็นได้” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ฉับพลันนั้นก็แย้มยิ้มเบิกบาน
เมื่อเห็นหานลี่เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็ทำให้ชายหนุ่มหน้ากลมตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็แย้มยิ้มออกมา
“น้องสือเทียน เพิ่งเคยมาที่ยอดฮ่องเต้หยกครั้งแรกเช่นกัน เจ้ากับข้าไปเดินเล่นกันหน่อยเป็นอย่างไร?” บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแดงสดผู้นี้เอ่ยราวกับเป็นสหายสนิทอย่างไรอย่างนั้น
“กับเจ้า?” หานลี่เลิกคิ้ว
“ที่นี่ไม่อนุญาตให้ต่อสู้กัน พี่หานยังกลัวว่าข้าจะมีแผนการณ์หรือ?” สือเทียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“แม้ว่าผู้แซ่หานจะไม่กลัวว่าเจ้าจะมีแผนการณ์อะไร แต่ก็ไม่อยากทำความรู้จักกับใคร” หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
สือเทียนรู้ว่าตัวเองถูกหานลี่หยอกล้อ แววตาโหดเ**้ยมก็ฉายแวววาบผ่าน ในที่สุดก็หุบรอยยิ้มลง
“พี่หานออกมาเพราะจะตามหาแม่หญิงเหลนของเผ่าท่านสินะ” ชายหนุ่มหน้ากลมเงียบขรึมไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา
“หมายความว่าอย่างไร?” น้ำเสียงของหานลี่เย็นเยียบ
“ไม่มีอะไรหรอก ก่อนหน้านี้ข้าน้อยแค่เห็นว่า แม่หญิงเหลยหลันเหมือนจะออกไปกับศิษย์พี่หญิงหงซาของเผ่าข้า และดูเหมือนว่าจะตรงไปยังสนามแข่งขัน ข้าบอกท่านสักหน่อย พี่หานจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหลายที่” สือเทียนฉีกยิ้มโดยที่แววตามิได้ยิ้มตาม
“เช่นนั้น ข้าน้อยก็ต้องขอบคุณพี่สือที่เตือนแล้ว” หานลี่แอบย่นคิ้ว แต่ใบหน้ากลับไร้ซึ่งความรู้สึก หลังจากคารวะเล็กน้อย คนก็เดินจากไปไกล
มองเงาแผ่นหลังของหานลี่ที่ห่างออกไป แววตาของสือเทียนพลันเปล่งประกาย ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
“ศิษย์น้องสือ เจ้าทำดีมาก” เมื่อร่างของหานลี่หายลับไปจากทางเดินเล็กๆ ฉับพลันนั้นด้านหลังของหอคอยก็มีเสียงราบเรียบดังขึ้น
จากนั้นเงาร่างคนก็พลิ้วไหวพุ่งออกมาจากด้านหลังของหอคอย คาดไม่ถึงว่าจะมีบุรุษร่างกายสูงผอมคนหนึ่งก้าวออกมา ผิวของเขาค่อนข้างเข้มกว่าคนเผ่าแดงสดทั่วไป แววตาเผยจิตสังหารออกมา
“ศิษย์พี่จู้! เรื่องเล็กๆ แค่นี้ ให้คนอื่นทำก็ยังได้ ทว่าแม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นแม่ทัพวิญญาณระดับสูง แต่ศิษย์พี่ต้องสนใจขนาดนี้ด้วยหรือ พวกเราน่าจะจัดการเขาได้อย่างง่ายดาย” สือเทียนหน้าเปลี่ยนสี หันกายกลับไปเอ่ยตอบด้วยความนอบน้อม
“ศิษย์น้องสือ เจ้าพูดผิดแล้ว หากคนผู้นี้คือคนที่ข้าตามหาจริงๆ พวกเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” จู้อินจื่อเอ่ยสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มหน้ากลมตกตะลึงออกมา
“ศิษย์พี่รู้จักคนผู้นี้ตั้งนานแล้ว” สือเทียนตะลึงงัน
“ศิษย์น้องน่าจะรู้เรื่องที่เทียนหมิงและพวกกลับมาโดยไม่ได้อะไรเมื่อสองสามเดือนก่อนสินะ” จู้อินจื่อถามย้อนกลับ
“ต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว ได้ยินว่าศิษย์พี่เทียนหมิงไม่เพียงทำภารกิจไม่สำเร็จ กลับเสียวิหคคำรามระดับสูงไปตัวหนึ่งด้วย รวมทั้งเสียไข่มุกมังกรเพลิงไปเม็ดหนึ่ง” สือเทียนลังเลเล็กน้อย แล้วตอบกลับอย่างซื่อๆ
“ตอนนั้นผู้ที่อาศัยกำลังเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้เทียนหมิงล่าถอยและสังหารวิหคคำรามได้ น่าจะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แซ่หานผู้นี้” จู้อินจื่อเลียริมฝีปาก ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดๆ ออกมา
“จะเป็นไปได้อย่างไร ศิษย์พี่เทียนหมิงคือแม่ทัพวิญญาณขั้นกลาง คนอื่นๆ ก็มีพลังยุทธ์ในระดับแม่ทัพวิญญาณ วิหคคำรามนั่นก็มีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าแม่ทัพวิญญาณขั้นกลาง” สือเทียนหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกยากจะเชื่อไปเล็กน้อย
“เทียนหมิงเคยบรรยายรูปร่างของคนผู้นี้เอาไว้ ประกอบกับที่บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้เพิ่งจะถูกเรียกกลับมาจากนอกมหาสมุทร ก็น่าจะเป็นคนผู้นี้ไม่ผิดแน่ เกรงว่าคนผู้นี้อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีพลังยุทธ์ระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นสูง มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางทำให้เทียนหมิงและพวกรู้ว่าสู้ไม่ได้จนล่าถอยแน่” จู้อินจื่ออธิบายอย่างเคร่งขรึม
“เช่นนี้เผ่าวิหคสวรรค์ก็มีไม้ตายจริงๆ คราวก่อนที่ประมุขของพวกเขาเพลี้ยงพล้ำไป ยังบอกว่าในเผ่าของพวกเขาไม่มีบุตรศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ครั้งนี้ต้องถูกเผ่าแดงสดของพวกเรากลืนกินอย่างไม่ต้องสงสัย ผลคือมีบุตรศักดิ์สิทธิ์ปรากฎตัวขึ้นถึงสามคน หนึ่งในนั้นยังเป็นแม่ทัพวิญญาณขั้นสูง ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเสียจริง” ชายหนุ่มหน้ากลมกระพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรเสียในอดีตเผ่าวิหคสวรรค์ก็เป็นหนึ่งในเผ่าที่แข็งแกร่งในเผ่าวิญญาณเหาะเหิน เก็บซ่อนไม้ตายอะไรที่ผู้อื่นไม่รู้เอาไว้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ครั้งนี้อาวุโสของเผ่ากำชับเอาไว้อย่างชัดเจนว่า จะต้องร่วมมือกับเผ่าอื่นกำจัดเผ่าแดงสด อย่าให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขากลายเป็นประมุขได้แม้แต่คนเดียว เจ้าผู้ที่เรียกว่าหานลี่นั้นกว่าครึ่งคงเป็นผู้ที่เป็นความหวังที่สุดของเผ่าวิหคสวรรค์ ดังนั้นก่อนเข้าไปในหุบเหวลึก ต้องรู้ความสามารถของเขาให้กระจ่างก่อนแล้วค่อยว่ากัน ข้าไม่อยากทำอะไรที่ไม่มั่นใจ” จู้อินจื่อเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ศิษย์พี่พูดมีเหตุผล ครานี้พวกเราไปที่สนามแข่งขันก่อนเถิด คนผู้นั้นจะต้องไปแน่” สือเทียนเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมา
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เดิมทีบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ก็น้อยอยู่แล้ว หากเขาไม่ไปดูสักหน่อย แล้วเกิดอะไรขึ้น เขาก็ต้องเกี่ยวข้องอยู่แล้ว” จู้อินจื่อเอ่ยพร้อมกับหัวเราะหึๆ ออกมา
จากนั้นทั้งสองคนก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า บินไปทางทิศตะวันออก
ตอนที่ 1435 สนามแข่งขัน
หานลี่เดินอยู่บนทางเดินหินสีเขียวเล็กๆ สายหนึ่ง ชื่นชมทัศนียภาพรอบๆ ท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย
เมื่อทอดสายตาออกไป รอบด้านกลับไร้เงาผู้คน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่ามีคนกำลังบินไปบินมาอยู่นิดหน่อย เดิมทีคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินนั้นก็คุ้นเคยกับความสูงอยู่แล้ว ถนนสายเล็กๆ บนพื้นดินนั้นความจริงแล้วก็เป็นแค่การตกแต่งซะส่วนใหญ่
ทว่าเมื่อหานลี่นึกถึงพลังความแข็งแกร่งของเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ก็ถอนหายใจออกมาเงียบๆ เฮือกหนึ่ง
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แต่อาวุโสที่เป็นผู้นำของทั้งเจ็ดสิบสองสาขาของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ประกอบกับสมาชิกอาวุโสที่เข้าร่วมการประชุมอีกยี่สิบสามสิบคน ความแข็งแกร่งของขุมกำลังนี้ก็มากกว่าเมืองเทวะสวรรค์แล้ว ถึงอย่างไรเสียปกติแล้วเมืองเทวะสวรรค์ก็มีอาวุโสระดับหลอมร่างสิบกว่าคนนั่งบัญชาการอยู่เท่านั้น แน่นอนว่าหากตกอยู่ในคราสงครามก็อาจจะรวบรวมเผ่ามนุษย์และปีศาจจนเกือบคนร้อยคน แต่นั่นก็เป็นพลังของทั้งสองเผ่า หากอาศัยแค่เผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจเทียบเคียงกับเผ่าวิญญาณเหาะเหินได้
ส่วนจำนวนของระดับเทพแปลงหรือว่าระดับหลอมสูญนั้น เดาว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่เผ่ามนุษย์และปีศาจจะเทียบได้เช่นกัน
ดูแล้วที่เผ่ามนุษย์ยืนหยัดอยู่ในแดนวิญญาณมาได้นานขนาดนี้ แล้วทำได้เพียงปกป้องตนเองเท่านั้น นับว่าอ่อนแอมากในแดนวิญญาณ คงจะเป็นเรื่องจริง
เทียบกันแล้ว แม้นว่ากำลังของเผ่าวิญญาณเหาะเหินจะไม่อาจเทียบกับเผ่าใหญ่ๆ ในตำนานของแดนวิญญาณได้ แต่ก็น่าจะพอจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของเผ่าระดับกลางได้
หานลี่ขบคิดอย่างเงียบๆ หักเลี้ยวอีกครั้งหนึ่ง เบื้องหน้ามีศาลาเล็กๆ ปรากฎขึ้น รอบด้านมีทางเดินเล็กๆ สองสามสายทอดตัวไปทางอื่น
บนเก้าอี้ไม้สองตัวในศาลา มีหญิงสาวชุดขาวสองคนกำลังสนทนาอะไรกันสักอย่างอยู่
ครั้นเมื่อพวกนางเห็นว่ามีคนนอกมาปรากฎตัว ก็อดที่จะหยุดหัวเราะ แล้วมองมาเป็นตาเดียวไม่ได้
สตรีหนึ่งในนั้นก็คือผู้ที่นำทางให้หานลี่และพวกก่อนหน้า หญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอนที่เรียกตนเองว่า ‘เสี่ยวจู๋’
“ที่แท้ก็แม่หญิงเสี่ยวจู๋นี่เอง ไม่ทราบว่าแม่นางเสี่ยวจู๋เห็นคนในเผ่าของข้าที่มาด้วยกันผ่านมาทางนี้หรือไม่” ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามสตรีผู้นี้อย่างมีมารยาท
“คุณชายหานหมายถึงพี่เหลยหลันสินะ ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าเห็นนางผ่านมาทางนี้ ดูเหมือนว่าจะตรงไปยังสนามแข่งขัน” เสี่ยวจุ๋หยัดกายลุกขึ้น แล้วหัวเราะคิกคักขณะตอบกลับ
“สนามแข่งขัน? ไปคนเดียวหรือ!” จิตใจของหานลี่หนักอึ้งขณะเอ่ยถามอีกครั้ง
“ไม่ใช่ พี่หญิงหงซาของเผ่าแดงสดพาไป” เสี่ยวจู๋กระพริบดวงตาคู่งามปริบๆ ฉีกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ขอบคุณที่บอก!” มองไม่เห็นสีหน้าใดๆ บนใบหน้าของหานลี่ หลังจากที่ยิ้มจางๆ แล้ว ก็เปลี่ยนทิศทางเดินตามทางเดินเล็กๆ ที่ทอดตัวไปสู่สนามแข่งขัน
หญิงสาวสวมชุดสีขาวทั้งสองเห็นเช่นนั้นก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็มองเห็นความประหลาดใจในแววตาของอีกฝ่าย
บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้ ได้ยินว่าสหายถูกศัตรูพาไปยังสถานที่แห่งนั้น ยังระงับโทสะได้ขนาดนี้ ช่างไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ
แน่นอนว่าหญิงสาวทั้งสองคนไม่รู้ว่า หานลี่ที่ดูเหมือนสงบนิ่งในครานี้ ในใจกลับรู้สึกโกรธเกรี้ยวอยู่หลายส่วน
หญิงสาวเผ่าวิหคสวรรค์ที่มีนามว่าเหลยหลันผู้นี้ช่างไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรเอาซะเลย
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าคนของเผ่าแดงสดใช้วิธีใดล่อให้นางไปที่สนามแข่งขัน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเจตนาดี จะไม่ให้มองออกได้อย่างไร หากอีกฝ่ายจงใจทำร้ายนางในสนามแข่งขัน ความหวังในการผ่านการทดสอบของเผ่าวิหคสวรรค์จะไม่ลางเลือนหรือ
เขาจึงไม่อาจนิ่งดูดายได้
ถึงอย่างไรเสียหลังจากที่เขาสลักชื่อลงไปในม้วนคำสาบานของวิหคสวรรค์แล้ว และยังทำสัญญากับจินเย่ว์ไปอีก หากไม่อาจะทำให้เผ่าวิหคสวรรค์มีประมุขเพิ่มขึ้นได้ เขาจะยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่
เชื่อว่าอาวุโสสองสามท่านของเผ่าวิหคสวรรค์คงไม่สนใจว่าเผ่าของตนจะถูกกลืนกิน จัดการเขาผู้ซึ่งเป็นคนนอกเผ่าก่อนแน่
เมื่อขบคิดถึงเงื่อนไขต่างๆ ของการทดสอบหุบเหวลึก หานลี่ก็ลอบถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ครั้งนี้เขาได้ประโยชน์จากในเผ่าวิหคสวรรค์จริงๆ แต่ก็ถูกดึงเข้าไปในคความยุ่งยากที่ไม่น้อยเช่นกัน
แม้ว่าวันข้างหน้าจะช่วยให้เผ่าวิหคสวรรค์หลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้ แต่เขาจะรอดจากสถานการณ์นี้อย่างไร ก็ยังคงต้องขบคิดแผนให้ดี
เมื่อขบคิดเช่นนี้ฝีเท้าของหานลี่ก็ยังคงไม่รีบร้อน แต่คนกลับเคลื่อนไหวราวกับวารีไหล เดินจากฟากหนึ่งของถนนสายเล็กๆ ไปอีกฟากหนึ่ง หลังจากที่พลิ้วไหวสองสามครั้ง ร่างกายก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
สิ่งที่เรียกว่าสนามแข่งขันนั้นหาเจอได้ง่ายมาก ห่างจากที่พักของพวกหานลี่ไปไม่ไกลดังที่คิด
หลังจากที่สำแดงความสามารถพันลี้แค่คืบ แค่ชั่วเวลาหนึ่งมื้ออาหารรหานลี่ก็มองเห็นลำแสงยักษ์ที่สูงขึ้นไปถึงพันจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงระเบิดอื้ออึงดังแว่วมา
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี ความสามารถใต้ฝ่าเท้าหยุดลง เดินไปด้วยความเร็วของฝีเท้าธรรมดาๆ
คนของเผ่าแดงสดที่มีนามว่าสือเทียนผู้นั้น ในเมื่อเป็นฝ่ายยอมรับว่าเหลยหลันไปไหน ก็น่าจะอยากดึงความสนใจของเขา
ขอแค่เขาไม่ปรากฎตัว คิดดูแล้วคนของเผ่าแดงสดก็น่าจะไม่ทำอะไรให้ยุ่งยากในทันที
และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้อีกฝ่ายทนไม่ไหวลงมือไปแล้ว ตอนนี้รีบไปก็สายไปแล้ว เขาจึงไม่ได้รีบร้อนอะไร
เมื่อขบคิดเช่นนั้น แววตาของหานลี่ก็เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ มองไปยังสถานการณ์ในม่านลำแสงอย่างละเอียด
ที่นั่นดูเหมือนว่าจะมีคนกำลังสำแดงความสามารถอยู่กลางอากาศ ท่าทางกำลังต่อสู้กัน
ยังดี! คนที่ต่อสู้กันยังไม่ได้สำแดงความสามารถกลายพันธุ์อะไร คนหนึ่งควบคุมเปลวเพลิงร้อนแรง คนหนึ่งพ่นไอเย็นสีฟ้าออกมา หนึ่งในนั้นไม่ใช่เหลยหลัน นี่จึงทำให้หานลี่คลายความกังวลไปเปาะหนึ่ง
แต่หญิงสาวที่ควบคุมเปลวเพลิงผู้นั้น กลับเห็นได้ชัดว่าเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์นามว่าหงซาของเผ่าแดงสดผู้นั้น
ขณะที่หานลี่กำลังรู้สึกประหลาดใจนั้น ฉับพลันนั้นก็สัมผัสได้ว่ามีคนคนหนึ่งในฝูงชนมองมาทางตนเองแววหนึ่ง รู้สึกหนาวสะท้าน คล้ายว่าจะมีเจตนาไม่ดี
เขาเป็นผู้ที่มีจิตสัมผัสว่องไวขนาดไหน กวาดสายตาไปในทันที หมายจะตามหาคนผู้นั้นให้พบ
แต่สิ่งที่ทำให้เขาใจหายวาบก็คือ สายตาคู่นั้นเปล่งประกายแล้วหายวับไปในทันที เมื่อเขากวาดสายตาไปที่ฝูงชน กลับไม่พบอะไรเลย
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากที่นิ่งเงียบเล็กน้อย ก็ล้มเลิกการตามหา และเร่งฝีเท้า หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็เข้าใกล้สนามแข่งขัน
ไม่รอให้เขาเดินมาถึงที่ หลังจากที่เปลวเพลิงร้อนแรงและไอเย็นเยียบของทั้งสองคนปะทะกันกลางอากาศ ชั่วพริบตาก็ตัดสินผู้แพ้ชนะได้ทันที
ปีกขนนกสีฟ้าคู่หนึ่งที่แผ่นหลังของบุรุษถูกเปลวเพลิงที่ลุกลามขยายวงกว้างบีบให้ล่าถอยไปในชั่วพริบตา จึงจำใจต้องขอยอมแพ้ต่อสตรีนามว่าหงซา แล้วร่อนลงจากกลางอากาศ
“น้องหญิงเหลย ข้าจัดการคู่ต่อสู้แล้ว หากอยากได้ศิลาดาวอัสนี ขอแค่ชนะข้าได้ พี่หญิงก็จะมอบให้ในทันที ไม่มีทางเปลี่ยนใจแน่” เดิมทีสตรีผู้นี้ก็มีหน้าตาไม่เลว เมื่อฉีกยิ้มอ่อนโยน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจ
ทำให้บุรุษของเผ่าวิญญาณเหาะเหินจำนวนไม่น้อยที่เห็นรู้สึกใจเต้นตุ๋มๆ ต่อมๆ
หานลี่ได้ยินคำนี้ก็ร้องอุทานว่าแย่แล้วออกมา เมื่อคิดจะร้องห้ามจากที่ไกลๆ นั้น กลับสายไปเสียแล้ว
ลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เงาร่างอรชนอ้อนแอ้นด้านในมีปีกขนนกสีเงินคู่นหึ่ง
ไม่ใช่เหลยหลันผู้นั้นแล้วจะเป็นใครได้
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมลง
สตรีของเผ่าแดงสดผู้นี้จัดการอีกฝ่ายในพริบตาได้ในขณะที่เขามาถึงอย่างพอดิบพอดี และท้าประลองเหลยหลันทันที
เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผู้ที่แอบสังเกตการณ์เขาเมื่อครู่ จะต้องร้ายงานว่าตนเองมาถึงแล้วกับสตรีผู้นี้แน่ ถึงได้เริ่มแผนมุ่งเป้ามาที่ตนเอง
ทว่าหลังจากที่เขาพ่นลมหายใจออกมาสองสามครั้ง ชั่วพริบตาสีหน้าก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ หลังจากเร่งฝีเท้าติดๆ กันสองสามก้าวก็มาอยู่ด้านข้างสนามแข่งขัน และหาที่ที่อยู่ใกล้ๆ ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน
“เจ้าใช้ศิลาดาวอัสนีล่อข้ามาที่นี่ น่าจะอยากให้ข้าลงมือสินะ ไม่ว่าเจ้าจะมีแผนอะไร ในเมื่อบอกว่าขอแค่ข้าชนะเจ้าก็จะได้ศิลาดาวอัสนี ข้าก็จะไม่ปรานี” เหลยหลันเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ปีกสีเงินที่แผ่นหลังสยายอก ชั่วขณะนั้นประจุไฟฟ้าสีเงินเป็นสายๆ ก็แล่นเปรี้ยงปร้าง แผ่ไปทั่วเรือนร่างของสตรีผู้นี้อย่างรวดเร็ว ทำให้นางเป็นเหมือนอัสนีอย่างไรอย่างนั้น
“จุ๊ๆ ขอแค่น้องหญิงมีฝีมือ ข้าจะต้องมอบศิลาดาวอัสนีให้แน่” หงซากลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด แค่เหลือบตามามองหานลี่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ออกมาา
แน่นอนว่าคนของสาขาอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างต่างรู้เรื่องความแค้นของเผ่าแดงสดและเผ่าวิหคสวรรค์ ครานี้จึงเกิดเสียงซุบซิบนินทาขึ้น ล้วนโอบกอดความคิดว่าจะได้ดูของดีเอาไว้ แล้วเตรียมจะชื่นชมการต่อสู้ครั้งนี้
เมื่อเห็นหานลี่ยืนกอดอกอยู่ตรงนั้น ไม่มีท่าทีจะลงมือห้ามปราม
หงซาก็เผยรอยยิ้มออกมา ในใจพลันรู้สึกร้อนใจ
หากหานลี่ไม่ลงมือห้ามปรามล่ะก็ แผนที่พวกนางวางกันเอาไว้ก็ไม่อาจนำมาใช้ได้ ดูแล้วมีแผนต้องใช้อีกแผนแล้ว
สตรีผู้นี้ขบคิดอยู่ในใจ ดังันั้นจึงไม่ได้ลังเลอะไรอีก สองมือพลันร่ายอาคม ร่างกายเปล่งแสงสีแดงออกมา ลูกบอลเพลิงสีแดงสดขนาดเท่าปากชามเป็นลูกๆ ปรากฎขึ้นรอบๆ แทบจะสะท้อนจนทำให้ท้องฟ้ากว่าครึ่งเป็นสีแดง
อุณหภูมิของสนามแข่งขันทั้งสนามเพิ่มสูงขึ้น เปลี่ยนเป็นร้อนฉ่าและยากที่จะรับมือไหว
ผู้ชมที่มีพลังยุทธ์ต่ำต้อยหน่อย แม้กระทั่งจำใจต้องถอยร่นออกไปสิบกว่าก้าว ถึงจะทนกับอุณหภูมิที่ร้อนฉ่าได้
หานลี่เห็นฉากนี้พลันเลิกคิ้ว แต่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง
เมื่อเหลยหลันเห็นเช่นนั้น กลับกระพือปีกทั้งสองโดยไม่ได้ปริปาก แล้วพลันร่ายคาถาในใจ
หลังจากเสียงฟ้าร้อง “เปรี้ยงๆ” ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าที่พันอยู่รอบตัวนางก็ขยายขึ้นหลายเท่า มองไกลๆ ดูเหมือนอสรพิษยักษ์สีเงินสองสามตัวรัดร่างของนางอยู่ แต่ทันใดนั้นก็กลายเป็นเส้นไหมสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปฝั่งตรงข้าม
เส้นไหมสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ เส้นไหมอัสนีแทบจะทุกสายทะลวงผ่านลูกบอลเพลิงลูกหนึ่ง
ชั่วพริบตาเสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้นไม่หยุด ลูกบอลเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนทยอยกันระเบิดออก กลายเป็นประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วน โปรยปรายลงมาทั่วทั้งสารทิศ
ความสามารถในการควบคุมอัสนีให้กลายเป็นเส้นไหมนี้ ไม่ใช่แค่หานลี่ที่ตกตะลึง คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้น
หงซาที่อยู่ตรงข้ามเองก็มีสีหน้าตกตะลึงฉายแวบผ่าน แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา สะบัดแขนเสื้อ หมอกสีแดงพุ่งออกมา หมุนวนเริงระบำอยู่รอบๆ
ทุกแห่งที่หมอกสีแดงพุ่งผ่านไป ประกายไฟเหล่านั้นจะทยอยกันกลายเป็นหมอกสีแดง ทะลักไปรวมตัวกันข้างกายของหงซา
ชั่วพริบตาเมฆสีเพลิงผืนใหญ่ก็ปรากฎขึ้น กลืนกินร่างของหงซาเอาไว้ข้างใน
เมฆสีเพลิงหมุนวนอย่างไม่แน่นอน คลื่นเพลิงทะลักออกมาจากใจกลางเมฆเป็นระลอกๆ ทันใดนั้นเมฆเพลิงก็รวมตัวกันอยู่ที่ใจกลาง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นลูกบอลเพลิงขนาดยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางสิบจั้งเศษท่ามกลางลำแสงสีแดง
ลูกบอลเพลิงนี้หมุนติ้วๆ เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ อันน่าหวาดกลัวออกมา ตรงไปยังเหลยหลัน
เหลยหลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ชูแขนขึ้นโดยไม่ได้เอ่ยอะไร ลำแสงสีเงินระเบิดออกมา เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น
แขนทั้งท่อนถูกประจุไฟฟ้าสีเงินบางๆ จำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มเอาไว้ ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกับประจุไฟฟ้าสีเงิน
เสียงตูมดังสนั่นขึ้น ประจุไฟฟ้ายักษ์ขนาดเท่าถังน้ำสายหนึ่งพ่นออกมาจากแขน ตรงไปยังลูกบอลเพลิงยักษ์ที่อยู่ตรงข้าม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น