เทพปีศาจหวนคืน 1434-1442

บทที่ 1434 ความตายของหงซื่อ

 

“ครืน…”


 


คลื่นยักษ์เคลื่อนผ่านอสูรปีวอกแรกกำเนิดก่อนจะพุ่งโจมตีหงซื่อ


 


หัวใจของหงซื่อจมดิ่งลง


 


เขาเป็นผู้อมตะระดับแปดชั้นยอดของวังสวรรค์ ตอนนี้เขาตระหนักได้ในที่สุด


 


‘ฟางหยวนและคนเหล่านี้สามารถควบคุมสายธารแห่งกาลเวลา!’


 


เขาตกใจมาก


 


นี่หมายความว่าเขาตกลงสู่หลุมพรางโดยไม่รู้ตัวจนถึงตอนนี้


 


มันเป็นเรื่องที่น่าอับอาย


 


‘นี่เป็นไปได้อย่างไร? ฟางหยวนได้รับมรดกที่แท้จริงของไห่ฟาน แต่คนผู้นี้ไม่สามารถควบคุมสายธารแห่งกาลเวลา! มันคือสิ่งที่เทพธิดาจื่อเว่ยอนุมานไว้’


 


ความตกใจค่อยๆหายไปจากหัวใจของหงซื่อแต่เปลี่ยนเป็นความสงสัย


 


ความคิดมากมายผุดขึ้นในใจของเขา


 


‘นี่อาจเป็นพลังอำนาจจากมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง’


 


‘มีเพียงเทพปีศาจบัวแดงเท่านั้นที่สามารถควบคุมบางส่วนของสายธารแห่งกาลเวลา’


 


เมื่อเห็นคลื่นยักษ์พุ่งเข้ามา การแสดงออกของหงซื่อกลายเป็นแน่วแน่


 


‘ลืมมันไปซะ!’


 


‘ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นพลังอำนาจที่แท้จริงของข้า!’


 


“อ๊าก!” หงซื่อคำรามและปลดปล่อยกลิ่นอายของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


ศีรษะล้านของเขาส่องประกายระยิบระยับ


 


ภายใต้การจ้องมองของเขา คลื่นน้ำค่อยๆกลับสู่สภาพเดิม


 


ในเวลาเดียวกันระลอกคลื่นแห่งกาลเวลาก็พุ่งออกมาจากร่างของเขาและเคลื่อนที่ไปยังไป่หนิงปิงและคนอื่นๆ มันดูเหมือนช้าแต่แท้จริงแล้วมันเร็วมาก


 


ความโกรธทำให้หงซื่อปลดปล่อยพลังอำนาจออกมาอย่างเต็มที่


 


‘โอ้ ช่างอัศจรรย์นัก เขากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะอย่างน้อยสี่ท่าพร้อมกัน’ หัวใจของฟางหยวนสั่นสะท้านขึ้นเมื่อเห็นฉากนี้


 


เทพธิดาจื่อเว่ยมอบภารกิจกำจัดฟางหยวนในสายธารแห่งกาลเวลาให้กับหงซื่อเพียงผู้เดียว นี่แสดงให้เห็นว่าเขามีความแข็งแกร่งเพียงพอสำหรับภารกิจนี้


 


ตอนนี้เขาปลดปล่อยพลังอำนาจที่แท้จริงออกมา มันสามารถหยุดคลื่นยักษ์และรับรองความปลอดภัยของเขา ขณะเดียวกันเขายังสามารถโจมตีไป่หนิงปิงและคนอื่นๆอย่างรุนแรง


 


ใบหน้าของไป่หนิงปิงและคนอื่นๆกลายเป็นซีดเผือด พวกนางติดอยู่ในฝุ่นทรายสีเหลืองและไม่สามารถปลดปล่อยตนเอง


 


พลังของคลื่นแห่งกาลเวลายากที่จะคาดเดา แต่ความน่ากลัวของมันกระทั่งฟงจิวเก้อยังไม่กล้าสัมผัสโดยไม่ต้องกล่าวถึงไป่หนิงปิงและคนอื่นๆ


 


“เขากำลังบังคับให้ข้าปรากฏตัว” ฟางหยวนพึมพำและมองไปยังเจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณที่อยู่ด้านข้าง


 


เขาใช้ไป่หนิงปิงและคนอื่นๆเป็นเหยื่อล่อ แต่มันจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หากพวกนางตายอยู่ที่นี่


 


นอกจากนั้นยังมีอิงอู๋เซี่ยซึ่งเป็นร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณที่เขาต้องเก็บไว้


 


เจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณหัวเราะ “อย่ากังวล ฟางหยวน เกาะบัวหินแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเทพปีศาจบัวแดง แม้หงซื่อจะสามารถรับมือคลื่นน้ำแต่อย่าลืมปราณดาบ”


 


“ฟังให้ดี นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะที่ทรงพลังที่สุดของเต๋าจิ่วหลาง ชื่อของมันคือดาบเก้าเก้า เมื่อกระตุ้นใช้งาน มันจะปลดปล่อยปราณดาบเก้าชั้นออกไป ปราณดาบแต่ละชั้นมีพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว หากปราณดาบแต่ละชั้นถูกทำลาย พวกมันสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อีกเก้าครั้ง นั่นหมายความว่ามันสามารถโจมตีได้แปดสิบเอ็ดครั้ง นี่เป็นท่าไม้ตายที่กระทั่งเต๋าจิ่วหลางยังเคยใช้งานเพียงสามครั้งตลอดช่วงชีวิตของเขา ทุกครั้งที่เขาใช้มัน มันจะกลืนกินชีวิตของเขาไปหนึ่งร้อยปี และท่าไม้ตายอมตะที่ข้าจะใช้หลังจากนั้นคือผลงานชิ้นเอกของซื่อหยวน!”


 


ไม่นานหลังจากนั้นฟางหยวนก็เห็นปราณดาบเก้าสชั้นพุ่งออกจากสายธารแห่งกาลเวลา


 


แสงจากปราณดาบสว่างมาก กระทั่งฟางหยวนที่กำลังมองมันผ่านภาพยังรู้สึกเจ็บปวดในดวงตา


 


เมื่อเห็นปราณดาบเหล่านี้ ใบหน้าของหงซื่อแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวและสิ้นหวัง


 


เขาตระหนักถึงภัยคุมคามร้ายแรงต่อชีวิตของเขาจากปราณดาบเหล่านี้ นี่ไม่ใช่เรื่องตลก หากเต๋าจิ่วหลางเกิดที่ภาคกลาง เขาจะได้เข้าสู่วังสวรรค์อย่างแน่นอน


 


เขาเป็นบุคคลในตำนานบนเส้นทางแห่งดาบของทะลทรายตะวันตก


 


การโจมตีครั้งนี้เป็นการแสดงพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเขา มันเป็นท่าไม้ตายที่เขาใช้ในการต่อสู้กับซื่อหยวน


 


หงซื่อรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เขาไม่สนใจคลื่นน้ำ ไป่หนิงปิง หรือผู้ใดอีกต่อไป


 


เขาตะโกนสุดเสียงขณะกระตุ้นใช้ไพ่ตายที่ซ่อนเอาไว้เพื่อปกป้องตนเอง


 


“บึม บึม บึม…”


 


การระเบิดครั้งใหญ่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปราณดาบโจมตีเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก


 


หงซื่อซ่อนตัวอยู่ในบอลแสง เมื่อการโจมตีจบลง มีบาดแผลขนาดใหญ่อยู่บนร่างกายของเขา


 


ไม่มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลแต่สิ่งนี้กลับบ่งบอกถึงสถานการณ์ที่น่าสมเพชของเขาเพราะบาดแผลเหล่านั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบที่ยังบุกรุกเข้าไปยังอวัยวะภายในของเขาอย่างต่อเนื่อง


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ดู เขาจบแล้ว” เจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณหัวเราะเสียงดัง


 


“เอาล่ะ ต่อไป!” เจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณขยับมือ “นี่เป็นไพ่ตายของซื่อหยวน ฮ่าฮ่า ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะรอดจากสิ่งนี้!”


 


หลังกล่าวจบคำ ปราณดาบที่ทรงพลังค่อยๆปรากฏขึ้นจากคลื่นยักษ์


 


รูม่านตาของหงซื่อหดเล็กลง มีเพียงความคิดเดียวที่อยู่ในใจของเขาเวลานี้ ‘หนี!’


 


แต่เขาพบว่าตนเองไม่สามารถขยับเขยื้อน


 


‘นี่คือท่าไม้ตายของซื่อหยวน นรกดาบ! อา…’


 


หัวใจของหงซื่อเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก


 


เขาใช้วิธีการทั้งหมดเพื่อต่อต้านท่าไม้ตายอมตะดาบเก้าเก้า ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมาก พลังป้องกันของเขาแทบเป็นศูนย์


 


‘ข้าจะตายอยู่ที่นี่งั้นหรือ?’ หงซื่อรู้สึกถึงความตายที่ใกล้เข้ามา


 


อย่างไรก็ตามในเวลานี้เจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณกลับอุทาน “ไม่ดีแล้ว เกาะบัวหินไม่สามารถแบกรับภาระนี้ หากเรายืนกรานที่จะสังหารหงซื่อ รากฐานของเกาะบัวหินจะถูกใช้ไปจนหมด แต่หากเราปล่อยหงซื่อไป มันจะสามารถอยู่ได้อีกหลายปี”


 


“ฆ่าเขา!” ฟางหยวนตัดสินใจโดยไม่ลังเล


 


“เอาล่ะ เข้าใจแล้ว” เจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณตอบรับและหยุดพูด


 


หงซื่อดิ้นรนอย่างหนักแต่ยังไม่สามารถกำจัดโซ่ตรวนที่ผนึกการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้


 


การแสดงออกของเขาเปลี่ยนเป็นน่ากลัวขณะที่เขากรีดร้องอย่างไม่หยุดยั้ง


 


“ผู้ใดจะคิดว่าข้าผู้ยิ่งใหญ่หงซื่อจะตายอยู่ที่นี่จริงๆ!”


 


“การเสียสละของข้าไม่สำคัญ แต่ข้าทำให้แผนการของวังสวรรค์ล้มเหลวและปล่อยปีศาจต่างโลกฟางหยวนเดินทางต่อไปได้อย่างอิสระ!”


 


“ข้าไม่ยอมรับ! อ๊าก…ข้าต้องไม่แพ้…”


 


หงซื่อคำรามซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่เสียงของเขาก็หยุดลงในที่สุด


 


พลังชีวิตของเขาสูญสลายไปอย่างสมบูรณ์ ปราณดาบเหมือนสัตว์อสูรในตำนานที่กลืนกินพลังชีวิตของเขาเข้าไปท่ามกลางความมืดมิด


 


ผู้อมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของวังสวรรค์ หงซื่อ ตายแล้ว!

 

 

 


บทที่ 1435 มรดกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ

 

ครู่ต่อมาไป่หนิงปิงและคนอื่นๆก็นำศพของหงซื่อไปให้ฟางหยวน


 


เจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณมองศพและถอนหายใจ “คนผู้นี้เป็นตัวละครที่น่าทึ่ง เขาเป็นอัจฉริยะตั้งแต่เด็กและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงเมื่อเติบโตขึ้น ชื่อของเขาแพร่กระจายไปทั่วทั้งห้าภูมิภาค แต่เขากลับมาเสียชีวิตอยู่ที่นี่”


 


ฟางหยวนและคนอื่นๆเงียบ


 


เทพปีศาจจิตวิญญาณควบคุมเกาะบัวหินอยู่ที่นี่และเฝ้ามองอดีตจนถึงปัจจุบัน เขารู้ความลับมากมาย มรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงทำให้เข้าได้รับข้อมูลผ่านสายธารแห่งกาลเวลา


 


เมื่อเทพปีศาจจิตวิญญาณได้รับมรดกนี้ เขาต้องยอมรับว่าทักษะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของเทพปีศาจบัวแดงน่าอัศจรรย์มากและเหนือกว่าเขา


 


วิธีการบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของเทพปีศาจจิตวิญญาณเทียบเคียงกับผู้อมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งกาลเวลา แต่เขายังห่างไกลจากเทพปีศาจบัวแดงในแง่มุมนี้


 


หลังจากทั้งหมดผู้อมตะระดับเก้าล้วนมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พวกเขาต่างมีจุดแข็งเป็นของตนเอง


 


หากเทพปีศาจบัวแดงเปรียบเทียบความสำเร็จบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณกับเทพปีศาจจิตวิญญาณ เขาจะตกตะลึงกับความสามารถของเทพปีศาจจิตวิญญาณเช่นกัน


 


“ครืน…ครืน…”


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่เกาะบัวหินเริ่มพังทลาย


 


เจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณถอนหายใจ “อีกไม่นานเกาะบัวหินจะถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว”


 


เทพปีศาจบัวแดงทิ้งมรดกที่แท้จริงของเขาไว้บนเกาะบัวหินเจ็ดเกาะซึ่งอยู่ในพื้นที่ต่างๆของสายธารแห่งกาลเวลา


 


หลังจากเทพปีศาจจิตวิญญาณได้รับเกาะบัวหินเกาะนี้ เขาเปลี่ยนมันเป็นฐานที่มั่นของนิกายเงาและใช้ประโยชน์จากมันมาหลายครั้ง ก่อนหน้านี้พวกเขายังใช้มันช่วยเหลือวิญญาณกาลเวลารวมถึงอิงอู๋เซี่ยและราชันภูเขาม่วง


 


รากฐานของเกาะบัวหินแห่งนี้ใกล้หมดสิ้นแล้ว หลังจากใช้มันสังหารหงซื่อ สุดท้ายมันจะพังทลายลงในที่สุด


 


“มีได้ย่อมมีเสีย” ฟางหยวนถอนหายใจ


 


“แม้เราจะสูญเสียเกาะบัวหินแห่งนี้ แต่สามารถสังหารหงซื่อถือเป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ คนผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป เขาเหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในสายธารแห่งกาลเวลา หากปล่อยไว้ พวกเราจะถูกซุ่มโจมตีอย่างต่อเนื่องและเราจะไม่มีโอกาสสังหารเขาได้อีก”


 


สมาชิกนิกายเงาพยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของฟางหยวน


 


แท้จริงแล้วเจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


 


เขามองฟางหยวนและพยักหน้า “ในการต่อสู้ที่อาณาจักรแห่งความฝัน ตัวเลือกในนาทีสุดท้ายของสีม่วงถูกต้อง ฟางหยวน ข้าต้องยอมรับว่าเจ้ากลายเป็นโอกาสสุดท้ายของนิกายเงาไปแล้ว ภาระที่ยิ่งใหญ่ในการช่วยร่างหลักของเราขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว แน่นอนว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า แม้เจ้าจะกำจัดร่างหลักของเรา เราก็จะไม่โทษเจ้า”


 


ผู้อมตะทั้งหมดรู้สึกประทับใจกับคำกล่าวเหล่านี้


 


การแสดงออกของอิงอู๋เซี่ยเปลี่ยนไป เขาอ้าปากหลายครั้งแต่ไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมา


 


ผู้ใดจะคิดว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้


 


ตอนนี้นิกายเงาและฟางหยวนได้หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาเป็นความหวังสุดท้ายของนิกายเงา ไม่ว่าเขาจะบุกวังสวรรค์ในอนาคตหรือเขาจะช่วยร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณหรือไม่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาทั้งหมด


 


คำกล่าวเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความหมดสิ้นหนทางของนิกายเงา


 


นี่เป็นเพราะเจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณมีข้อมูลมากที่สุดและเข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจน


 


เมื่อฟางหยวนเดินทางมายังเกาะบัวหินเพื่อรับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง เจตจำนงของเทพปีศาจิตวิญญาณไม่ได้ขัดขวางหรือสร้างปัญหาใดๆให้ฟางหยวน นอกจากนั้นเขายังให้ความร่วมมือกับฟางหยวนในการสังหารหงซื่ออีกด้วย


 


ฟางหยวนมองเจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณและตอบ “วางใจได้ วังสวรรค์เป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ ท่านและข้าเป็นพันธมิตรโดยธรรมชาติ ข้าจะช่วยหากข้าสามารถ”


 


เจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณพยักหน้า “ข้าเชื่อเจ้า”


 


แต่หลังจากนั้นเขากลับเผยรอยยิ้มและกล่าว “เราไม่ได้เป็นพันธมิตรแต่เป็นกองกำลังเดียวกัน ตอนนี้เจ้าเป็นผู้นำนิกายเงาที่ได้รับการแต่งตั้งโดยสีม่วงและได้รับการอนุมัติจากร่างแยกหลายร่าง กระทั่งเจ้าจะพบกับร่างหลักของข้าในอนาคต เขาก็จะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะพวกเราก็คือเขา การตัดสินใจของพวกเราก็คือการตัดสินใจของเขา”


 


“เอาล่ะ ข้าจะส่งต่อมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งจิตวิญาณของร่างหลักรวมถึงทุกสิ่งให้กับเจ้า”


 


ฟางหยวนพยักหน้าและใช้วิธีบนเส้นทางแห่งปัญญาเพื่อส่งเจตจำนงของตนเองออกมา


 


เจตจำนงของฟางหยวนพุ่งเข้าไปหาเจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณและหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง


 


การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเจตจำนงรวดเร็วมาก หลังจากไม่นาน เจตจำนงของฟางหยวนก็กลับมาหาเขา


 


ข้อมูลปริมาณมหาศาลพุ่งเข้าสู่จิตใจของฟางหยวน


 


ฟางหยวนปิดเปลือกตาลงและจัดระเบียบข้อมูลเหล่านั้น เขาเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญา เขาสามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา


 


ท่ามกลางข้อมูลทั้งหมด สิ่งที่มีค่าที่สุดคือมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณ


 


มันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการบ่มเพาะที่สมบูรณ์ที่สุดของเทพปีศาจจิตวิญญาณ


 


ฟางหยวนต้องสรรเสริญเทพปีศาจจิตวิญญาณอยู่ในใจแม้จะมองดูเนื้อหาเพียงเล็กน้อยก็ตาม


 


นี่ถือเป็นหนึ่งในมรดกที่ล้ำค่าที่สุดของโลกใบนี้และตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของมวลมนุษย์


 


หลังจากทั้งหมดมีผู้อมตะระดับเก้าปรากฏขึ้นบนโลกใบนี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น


 


วิญญาณกาลเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญในการรับสืบทอดมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงอยู่ในมือของฟางหยวน แต่จนถึงตอนนี้ฟางหยวนพึ่งได้รับหนึ่งในเจ็ดมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง นอกจากนั้นความหมายที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงก็ถูกดูดซับไปหมดแล้วโดยเทพปีศาจจิตวิญญาณ


 


เทพอมตะตะวันเดือดมีสามมรดกที่แท้จริง ฟางหยวนได้รับแก่นแท้ของมรดกโชคของตนเองจากนิกายหลางหยาและได้รับข้อมูลเกี่ยวกับมรดกโชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจากหม่าหงหยุน แต่มันยังไม่ล้ำค่าเหมือนข่าวลือ


 


สำหรับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ ฟางหยวนได้รับเพียงผนึกภูตผีขณะที่จ้าวเหลียนหยุนได้รับผนึกศักดิ์สิทธิ์


 


‘ผู้ใดจะคิดว่ามรดกที่แท้จริงที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ข้าได้รับจะเป็นมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณ ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ข้าย้อนกลับมาในอดีต’


 


‘น่าเสียดายที่ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของข้าไม่เพียงพอและการบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณก็ต้องใช้เวลา พลังงาน และทรัพยากรจำนวนมาก’


 


‘ท่ามกลางเส้นทางการบ่มเพาะ เส้นทางแห่งจิตวิญญาณต้องการทรัพยากรมากที่สุด เทพปีศาจจิตวิญญาณเคยกลืนกินชีวิตของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อการบ่มเพาะของเขา หากข้าต้องการเจริญรอยตาม ข้าต้องสังหารรูปแบบชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นกัน มิฉะนั้นข้าจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ’


 


มรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณล้ำค่าที่สุด รองลงมาคือมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง


 


แม้ความหมายที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงบนเกาะบัวหินแห่งนี้จะถูกดูดซับไปแล้วแต่เนื้อหาเกี่ยวกับมรดกที่แท้จริงยังถูกส่งต่อ


 


เนื้อหาสำคัญที่สุดในมรดกนี้คือเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณกาลเวลา


 


สิ่งสำคัญคือมันไม่ใช่เพียงเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณกาลเวลาระดักหกแต่ยังมีเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณกาลเวลาระดับเจ็ด ระดับแปด และกระทั่งระดับเก้า!


 


เคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณกาลเวลาระดับหกมีสิบแปดเคล็ดลับ เคล็ดลับที่ฟางหยวนใช้หลอมรวมวิญญาณกาลเวลาในชีวิตแรกของเขาเป็นหนึ่งในนั้น


 


เคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณกาลเวลาระดับเจ็ดกระทั่งมีมากกว่า มันมีถึงแปดสิบหกเคล็ดลับ


 


เคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณกาลเวลาระดับแปดมีสี่สิบสามเคล็ดลับ


 


และมีเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณกาลเวลาระดับเก้าอยู่สามเคล็ดลับ


 


สิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยชั้นยอดสำหรับฟางหยวนอย่างแน่นอน ไม่เพียงเขาจะมีทางเลือกมากมาย แต่มันยังยืดหยุ่นอีกด้วย


 


‘เทพปีศาจบัวแดงค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณกาลเวลาได้ลึกซึ้งนัก’


 


‘ไม่แปลกใจเลยที่วิญญาณกาลเวลาเป็นวิญญาณหลักของเขา’


 


เป็นธรรมดาที่ฟางหยวนจะต้องการยกระดับวิญญาณกาลเวลา นี่เป็นเพราะเขาตระหนักดีถึงพลังอำนาจของมัน เขาไม่สามารถทิ้งไพ่ตายที่สามารถพลิกสถานการณ์ใบนี้


 


นอกจากมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณและมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง ยังมีมรดกที่แท้จริงอื่นๆอีกมากมาย


 


มรดกเหล่านี้บางส่วนสมบูรณ์แบบขณะที่บางส่วนไม่สมบูรณ์


 


นี่คือสมบัติที่เทพปีศาจจิตวิญญาณสะสมเอาไว้ตั้งแต่เขายังมีชีวิตและยังรวบรวมมาต่อเนื่องผ่านนิกายเงาตลอดช่วงเวลาหนึ่งแสนปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามตอนนี้ทั้งหมดตกเป็นของฟางหยวนแล้ว!


 


แม้มรดกของราชันภูเขาม่วงจะมีมากมาย แต่มันยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยหนึ่งในร่างแยกของเขาเท่านั้น มันยังไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนของทั้งหมด


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งกฎของเทพปีศาจไร้ขอบเขตและมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งค่ายกลของเทพอมตะสวรรค์พิภพซึ่งไม่ได้อยู่ในมรดกที่ฟางหยวนได้รับมาจากราชันภูเขาม่วง


 


คุณค่าของมรดกเหล่านี้สูงมากจนไม่สามารถประเมินค่าได้


 


ตราบเท่าที่ฟางหยวนมีเวลาและทรัพยากรเพียงพอ เขามั่นใจว่าเขาสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อสร้างองค์กรที่ไม่ด้อยกว่าวังสวรรค์


 


กำไรของฟางหยวนในครั้งนี้ถึงระดับที่ไม่สามารถจินตนาการได้ กระทั่งตัวเขาเองยังรู้สึกสั่นไหว


 


เจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณกล่าวอีกครั้ง “ผู้นำนิกายฟางหยวน ตอนนี้เจ้าได้รับมรดกของนิกายเงาที่สมบูรณ์แล้ว แต่เจ้ายังต้องใช้เวลา พลังงาน และทรัพยากรที่เหนือจินตนาการในการบ่มเพาะ สิ่งสำคัญที่สุดคือเราไม่มีเวลาและยังขาดทรัพยากรอีกมาก!”


 


“ร่างหลักของเราเคยประสบความสำเร็จในการท้าทายสวรรค์ ซ่อนตัวจากวังสวรรค์ และเลื่อนยุคที่ยิ่งใหญ่ออกไปเกือบห้าร้อยปี แต่ตอนนี้ร่างหลักของเราล้มเหลว ทุกอย่างกลับสู่เส้นทางเดิมของมัน อีกประมาณสิบปียุคที่ยิ่งใหญ่จะมาถึง ห้าภูมิภาคจะรวมเป็นหนึ่ง นั่นจะส่งผลให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์”


 


“ท่ามกลางภูมิภาคทั้งห้า รากฐานของภาคกลางลึกที่สุดและมีผู้อมตะมากที่สุด นอกจากนี้พวกเขายังมีผู้นำเพียงหนึ่งเดียวคือวังสวรรค์ นี่คือสิ่งที่ภูมิภาคอื่นไม่สามารถเปรียบเทียบ พวกเขาจะแยกตัวเป็นกองกำลังย่อย มีเพียงสถานการณ์ของภาคเหนือที่มีถ้ำสวรรค์นิรันดรเท่านั้นที่ดีกว่าเล็กน้อย แต่เปรียบเทียบกับวังสวรรค์ของภาคกลาง อิทธิพลของพวกเขายังด้อยกว่ามาก”


 


“สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเกี่ยวกับวังสวรรค์ก็คือวิญญาณชะตากรรมระดับเก้า มันมีพลังที่ยิ่งใหญ่ เหตุผลที่เทพอมตะกลุ่มดาวสามารถวางแผนต่อต้านสามเทพปีศาจหลังจากนางเสียชีวิตไปแล้วส่วนใหญ่เป็นเพราะพลังอำนาจของวิญญาณอมตะดวงนี้”


 


“เทพปีศาจทั้งสามล้วนอยู่ภายใต้ขอบเขตของโชคชะตา สิ่งนี้ถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่กำเนิดและไม่สามารถเปลี่ยนแปลง มีเพียงปีศาจต่างโลกที่สมบูรณ์เท่านั้นที่ไม่ถูกผูกมัดด้วยโซ่ตรวนแห่งโชคชะตา ฟางหยวน เจ้าเป็นปีศาจต่างโลกที่สมบูรณ์และเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการทำลายวิญญาณชะตากรรม แท้จริงแล้วเจ้ายังเป็นทายาทผู้สืบทอดที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”


 


“สิบปี เจ้ามีเวลาเพียงสิบปี ฟางหยวน อย่าปล่อยให้วังสวรรค์ประสบความสำเร็จในการกู้คืนวิญญาณชะตากรรม มิฉะนั้นวังสวรรค์จะไร้พ่าย แม้สี่ภูมิภาคจะร่วมมือกัน พวกเขาก็ยังไม่สามารถโค่นล้มมันได้ เมื่อเวลานั้นมาถึงเราจะไม่เหลือโอกาสในการบุกวังสวรรค์และช่วยร่างหลักของเรา”


 


“เจ้ามีเวลาไม่มาก ฟางหยวน”

 

 

 


บทที่ 1436 ออกจากสายธารแห่งกาลเวลา

 

เกาะบัวหิน


 


ร่างกายและเสียงของเจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณเริ่มเลือนหาย


 


ฟางหยวนต้องการช่วยเติมเต็มและเขาถูกหยุดเอาไว้


 


“ปล่อยให้ข้าหายไป ข้าคือเจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณ ร่างหลักของข้าถูกจับกุมโดยวังสวรรค์ พวกเขาจะค้นพบข้าในไม่ช้า”


 


“สำหรับร่างแยก ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขา”


 


“เกาะบัวหินไม่อยู่แล้ว ภารกิจของข้าเสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน”


 


“ขณะที่ข้ายังเหลือพลังอยู่บ้าง ให้ข้าเร่งเวลาให้พวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”


 


ฟางหยวนพยักหน้าอย่างช้าๆ “ตกลง”


 


หลังจากนั้นเขาก็นำค่ายกลวิญญาณอมตะชำระล้างตัวเองออกมา


 


ไป่หนิงปิงและคนอื่นๆเข้าไปในค่ายกลวิญญาณอมตะและเริ่มใช้งานมัน


 


เจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณเผยรอยยิ้มบางขณะที่เกาะบัวหินส่องประกายระยิบระยับเป็นครั้งสุดท้าย


 


…..


 


“ท่านหงซื่อตายแล้ว!”


 


ฟงจิวเก้อและผู้อมตะระดับแปดจากวังสวรรค์ทั้งสองรู้สึกตกใจมากเมื่อได้รับข่าวนี้


 


หลังจากนั้นเทพธิดาจื่อเว่ยก็ส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้กับพวกเขา


 


“ฟางหยวนสูญเสียอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดแต่เขากลับได้รับอสูรปีวอกแรกกำเนิดมาแทนงั้นหรือ?”


 


“มรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงน่าเหลือเชื่อนัก มันสามารถควบคุมส่วนหนึ่งของสายธารแห่งกาลเวลา!”


 


“หากไม่ใช่เพราะเกาะบัวหิน แม้ฟางหยวนจะมีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับผู้อมตะระดับแปดพร้อมกับการคุ้มครองจากอสูรปีวอกแรกกำเนิด เขาก็ยังไม่สามารถสังหารท่านหงซื่อ! เห้อ…”


 


ตอนนี้สามผู้อมตะสามารถผ่านแนวป้องกันของอาณาจักรแห่งความฝันมาแล้ว พวกเขากำลังยืนอยู่ด้านหน้าสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา


 


อาณาจักรแห่งความฝันเคลื่อนที่ตลอดเวลา สุดท้ายมันจึงเปิดช่องว่างและปล่อยให้ผู้อมตะทั้งสามเดินทางผ่านมาได้อย่างง่ายดายโดยไม่สิ้นเปลืองพลังงาน


 


อาณาจักรแห่งความฝันสามารถกีดขวางศัตรูแต่มันพึ่งพาได้ไม่นาน


 


โดยเฉพาะอาณาจักรแห่งความฝันที่ถูกแทรกซึมโดยเจตจำนงสวรรค์ การเคลื่อนที่ของมันสนับสนุนผู้อมตะจากวังสวรรค์อย่างชัดเจน


 


นี่เป็นเหตุผลที่ฟางหยวนไม่ได้ใช้อาณาจักรแห่งความฝันเพื่อหลบหนีในการต่อสู้ครั้งก่อนหน้า


 


การแสดงออกของสามผู้อมตะดูไม่น่ามองเมื่อพวกเขาได้ยินข่าวการเสียชีวิตของหงซื่อ


 


ตามแผนเดิมของพวกเขา หงซื่อที่อยู่ในสายธารแห่งกาลเวลาจะทำลายมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงและบังคับให้กลุ่มของฟางหยวนออกมาเผชิญหน้ากับสามผู้อมตะด้านนอก


 


แต่ตอนนี้หงซื่อที่แข็งแกร่งที่สุดกลับถูกล้มล้างเป็นคนแรก สถานการณ์นี้ทำให้ฟงจิวเก้อและอีกสองคนรู้สึกอึดอัดใจ


 


พวกเขาควรรอต่อไปหรือไม่?


 


หากพวกเขารอต่อไป ฟางหยวนและคนอื่นๆจะปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาหรือไม่?


 


ผู้อมตะทั้งสามรู้สึกลังเล พวกเขาเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแต่ผู้ใดจะคิดว่าขวัญกำลังใจของพวกเขาจะถูกทำลายตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ต่อสู้


 


“รอต่อไป” เทพธิดาจื่อเว่ยแนะนำ


 


“ข้าอนุมานแล้วว่าฟางหยวนเหลือสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาเพียงแห่งเดียว”


 


“หงซื่อเสียสละตนเองแต่มันก็ทำให้เราได้ข้อมูลที่มีค่ามากมายเกี่ยวกับฟางหยวนและสมาชิกนิกายเงาโดยเฉพาะมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง ตอนนี้วังสวรรค์ได้รับเบาะแสบางอย่างของมันแล้ว”


 


“ฟางหยวนและคนอื่นๆไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ที่นั่น พวกเขาต้องออกมาในที่สุด”


 


น้ำเสียงของเทพธิดาจื่อเว่ยเต็มไปด้วยความแน่วแน่ นั่นทำให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของฟงจิวเก้อและอีกสองคนพุ่งทะยานขึ้น


 


เทพธิดาจื่อเว่ยเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งปัญญาเพียงไม่กี่คนในห้าภูมิภาค การอนุมานของนางจะไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน


 


“เช่นนั้นเราจะรอต่อไป”


 


“ปีศาจต่างโลกเป็นภัยต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ข้าจะปลิดชีพเจ้าในครั้งนี้อย่างแน่นอน!”


 


สองผู้อมตะจากวังสวรรค์โกรธมากขณะที่การแสดงออกของฟงจิวเก้อสงบลง


 


อย่างไรก็ตามหนึ่งวันผ่านไป สองวันผ่านไป และหกวันผ่านไป สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาก็ยังไม่เกิดความโกลาหลใดๆ


 


สิบวันผ่านไป หนึ่งเดือนผ่านไป แต่ผู้อมตะที่รออยู่ยังไม่พบร่องรอยใดๆเกี่ยวกับฟางหยวน


 


แต่พวกเขาไม่หวั่นไหว


 


พวกเขาเป็นผู้อมตะของวังสวรรค์ ตัวตนเหล่านี้จะขาดความอดทนได้อย่างไร?


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟงจิวเก้อที่ต่อสู้กับฟางหยวนมาแล้วรู้ดีเกี่ยวกับความเร็วในการเติบโตของฟางหยวน เขาตัดสินว่าฟางหยวนเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อโลกใบนี้และต้องถูกกำจัดโดยเร็วที่สุด


 


“ฟางหยวนอยู่ที่ใด?”


 


“พวกเขายังอยู่บนเกาะบัวหินงั้นหรือ?”


 


“เหตุใดข้าถึงรู้สึกไม่สบายใจ?”


 


ในวังสวรรค์ เทพธิดาจื่อเว่ยเริ่มรู้สึกสับสน


 


ไม่นานหลังจากความตายของหงซื่อ นางสูญเสียการเชื่อมต่อกับฟางหยวนและคนอื่นๆไปอย่างสมบูรณ์ สมาชิกนิกายเงาใช้ค่ายกลวิญญาณอมตะชำระล้างตัวเองกำจัดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่ไม่พึงประสงค์ออกจากร่างกาย


 


แม้จะไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าฟางหยวนและคนอื่นๆหลบหนีออกจากสายธารแห่งกาลเวลาไปแล้วแต่เทพธิดาจื่อเว่ยยังรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ


 


เส้นทางแห่งปัญญาแบ่งเป็นสามสิ่ง ความคิด เจตจำนง และอารมณ์ความรู้สึก


 


ท่ามกลางพวกมัน อารมณ์และความรู้สึกยังเป็นวิธีการที่ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญามักพึ่งพา


 


ดังนั้นความไม่สบายใจของเทพธิดาจื่อเว่ยจึงถือเป็นสังหรณ์ร้าย


 


“ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดฟางหยวนได้หลบหนีออกจากสายธารแห่งกาลเวลาไปแล้ว”


 


“แต่กลุ่มของฟงจิวเก้อรออยู่ที่ทางออก แล้วพวกเขาจะหลบหนีไปได้อย่างไร?”


 


“พวกเขาได้รับวิธีซ่อนตัวที่ทรงพลังจากมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงงั้นหรือ? หรือบางที…พวกเขาสามารถใช้สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาสายอื่น?”


 


เทพธิดาจื่อเว่ยเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน


 


สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาสองแห่งที่ฟางหยวนสามารถเข้าถึงถูกเปิดเผยแล้ว


 


ข้อมูลนี้เชื่อถือได้เพราะแหล่งที่มาของมันคือร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณ


 


ร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณถูกกำหราบโดยราชันมังกร วังสวรรค์ย่อมไม่ปล่อยเขาไปและพยายามค้นวิญญาณของเขา อย่างไรก็ตามเทพปีศาจจิตวิญญาณเป็นตัวตนอันดับหนึ่งบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ แม้เขาจะเหลือเพียงเศษเสี้ยวของดวงวิญญาณ แต่มันยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะถูกค้นวิญญาณ


 


วังสวรรค์ใช้วิธีการทั้งหมดของพวกเขาในการดึงข้อมูลแต่ร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณยังดิ้นรนขัดขืน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้รับข้อมูลมากนัก


 


“หากฟางหยวนไม่ได้ใช้สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาแล้วเขาจะออกมาอย่างไร?”


 


สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาที่เป็นทางออกของฟางหยวนถูกปิดกั้นโดยกลุ่มของฟงจิวเก้อ แม้ฟางหยวนจะไม่ตรวจสอบเรื่องนี้แต่เขาก็สามารถคาดเดา ดังนั้นเขาอาจมีวิธีที่ดีกว่าการต่อสู้และหลบหนีออกไปโดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ตัว


 


“ในทะเลทรายตะวันตกมีสามกองกำลังที่ครอบครองสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาเอาไว้”


 


“กองกำลังแรกคือตระกูลเทียน ตระกูลนี้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งไม้และเส้นทางแห่งปฐพีเป็นหลัก พวกเขามีชื่อเสียงในการจัดการมิติช่องว่างและเป็นหนึ่งในกองกำลังใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของทะเลทรายตะวันตก”


 


“กองกำลังที่สองคือตระกูลกง ตระกูลกงเชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะไกล โดยเฉพาะท่าไม้ตายที่เกี่ยวข้องกับคำสาปที่สามารถคร่าชีวิตศัตรูได้อย่างเงียบเชียบ ท่าไม้ตายอมตะที่มีชื่อเสียงของพวกเขาคือ เงาแปรผัน พวกเขาต้องการเพียงเงาของเป้าหมาย เมื่อมันถูกกระตุ้นใช้งาน เป้าหมายจะถูกสังหารไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลเพียงใดก็ตาม”


 


“กองกำลังที่สามคือตระกูลถัง ตอนนี้ตระกูลถังตกต่ำลงมาก ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่ในระดับกลางถึงล่าง แต่พวกเขายังมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะและครอบครองสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาเอาไว้ที่ฐานทัพใหญ่ของพวกเขา ด้วยการป้องกันที่แข็งแกร่ง กองกำลังอื่นจึงไม่สามารถคว้ามันไปได้โดยง่าย”


 


“หากฟางหยวนต้องการใช้สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาเหล่านั้น เขาจะเลือกตระกูลใด?”


 


“แต่ทั้งสามตระกูลยังไม่มีการเคลื่อนไหว บางทีฟางหยวนอาจยังอยู่ในสายธารแห่งกาลเวลา”


 


เทพธิดาจื่อเว่ยครุ่นคิดอย่างหนัก


 


นางตระหนักถึงสถานการณ์ในโลกผู้อมตะของทะเลทรายตะวันตกเป็นอย่างดี วังสวรรค์สามารถรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย


 


ตระกูลถัง


 


แสงสว่างส่องประกายขึ้นบนร่างของฟางหยวนและคนอื่นๆ


 


“การเคลื่อนไหวครั้งนี้ต้องใช้เวลาเตรียมตัวนับเดือน นอกจากเราจะสามารถป้องกันการอนุมานของผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เรายังสามารถหลีกเลี่ยงเจตจำนงสวรรค์” ฟางหยวนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นและกล่าวด้วยความยินดี


 


นอกจากฟางหยวนยังมีไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลัน อิงอู๋เซี่ย นางเสือดำ และเทพธิดาเมี่ยวหยิน ไม่มีผู้ใดขาดหายไป


 


การคาดเดาของเทพธิดาจื่อเว่ยถูกเพียงครึ่งเดียว


 


ฟางหยวนไม่มีแผนที่จะเข้าสู่การต่อสู้ที่สิ้นหวังกับกองกำลังจากวังสวรรค์ พวกเขาออกมาตั้งแต่สิบวันก่อนหน้า


 


“ไปกันเถอะ ถึงเวลาออกจากทะเลทรายตะวันตกแล้ว” ฟางหยวนก้าวไปข้างหน้าขณะที่คนอื่นๆตามมาอย่างใกล้ชิด


 


พวกเขาอยู่ลึกลงไปใต้พื้นพิภพและกำลังเคลื่อนที่ขึ้นสู่พื้นผิว


 


ผู้อมตะของทะเลทรายตะวันตกสองคนกำลังรอพวกเขาอยู่ที่ทางออก


 


“ถังฟางหมิง (ถังหลานเค่อ) คารวะผู้นำนิกายเงา” ผู้อมตะทั้งสองยังดูเยาว์วัย หลังจากเห็นฟางหยวน พวกเขาเร่งโค้งคำนับ


 


ฟางหยวนหัวเราะ “ข้าทำให้พวกท่านลำบากแล้ว นี่คือวิญญาณอมตะที่ข้ายืมมาจากตระกูลของพวกท่าน”


 


ฟางหยวนส่งวิญญาณอมตะหลายดวงให้กับถังฟางหมิง


 


ถังฟางหมิงตรวจสอบอย่างรอบคอบ หลังจากไม่พบปัญหา เขาก็เก็บพวกมันเอาไว้ในมิติช่องว่างอย่างระมัดระวัง


 


เขากล่าวด้วยความละอายใจ “โปรดยกโทษให้กับการกระทำของข้าด้วย ข้ายืมวิญญาณเหล่านี้มาจากตระกูลเป็นการส่วนตัว นี่เป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ของข้า ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระมัดระวัง”


 


ฟางหยวนยิ้ม คำกล่าวของถังฟางหมิงมีความหมายลึกซึ้ง ท้ายที่สุดแล้วตระกูลถังก็เป็นกองกำลังฝ่ายธรรมะ หากข่าวเรื่องการร่วมมือกับกองกำลังฝ่ายปีศาจเช่นนิกายเงาถูกเผยแพร่ออกไป พวกเขาจะพบปัญหาใหญ่


 


แต่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด ผลประโยชน์เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทุกคนไล่ล่า


 


ตระกูลถังอ่อนแอลง พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากภายนอก สภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้ผู้อมตะตระกูลถังต้องอดทนอดกลั้นและยินดีรับความเสี่ยงเพื่อพัฒนาตนเอง


 


กลยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลถังคืออาณาจักรแห่งความฝัน


 


ในชีวิตแรกของฟางหยวน ตระกูลถังก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยการใช้ประโยชน์จากอาณาจักรแห่งความฝัน ในสงครามห้าภูมิภาค พวกเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของทะเลทรายตะวันตกอย่างก้าวกระโดด


 


ดังนั้นฟางหยวนจึงตัดสินใจติดต่อตระกูลถังและใช้งานวิจัยเกี่ยวกับอาณาจักรแห่งความฝันของนิกายเงาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการใช้สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาในการครอบครองของพวกเขา นอกจากนี้ฟางหยวนยังยินดีร่วมมือกับตระกูลถังเพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับอาณาจักรแห่งความฝันในอนาคตรวมถึงความร่วมมืออื่นๆ


 


ผลประโยชน์มหาศาลทำให้ตระกูลถังถูกล่อลวง


 


ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณความเด็ดเดี่ยว ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันของฟางหยวน หรือท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝันของอิงอู๋เซี่ย พวกมันต่างดึงดูดความสนใจของผู้อมตะตระกูลถัง


 


แน่นอนว่าท่าไม้ตายอมตะทั้งสองไม่ใช่เรื่องง่ายที่ตระกูลถังจะได้รับ

 

 

 


บทที่ 1437 ชายผู้นี้กำลังท้าทายกับสวรรค์

 

ทะเลทรายตะวันตก


 


แสงแดดแผดเผาทุกรูปแบบชีวิต


 


ท้องฟ้าสีฟ้าไร้เมฆ มวลอากาศร้อนลอยขึ้นจากทะเลทรายสีทองและสร้างเป็นฉากที่บิดเบี้ยว


 


“ลาก่อน” กลุ่มของฟางหยวนกล่าวลาสองผู้อมตะตระกูลถัง


 


“สหาย ดูแลตัวเองด้วย” ถังหลานเค่อยิ้ม


 


นางเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่ดูแลสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาแห่งนี้ นางเป็นคนสำคัญในการช่วยฟางหยวนออกจากสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา


 


ฟางหยวนยิ้ม “พวกท่านมาส่งพวกเราไกลนับหมื่นลี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องส่งต่อไป”


 


ถังหลานเค่อเผยรอยยิ้มสดใสแต่นางกลับหัวเราะขมขื่นอยู่ภายใน ความร่วมมือกับฟางหยวนไม่ใช่เรื่องของการค้าเท่านั้นแต่มันยังเกี่ยวกับงานวิจัยบนเส้นทางแห่งความฝันของนิกายเงาอีกด้วย


 


อย่างไรก็ตามตั้งแต่ฟางหยวนออกมาจากสายธารแห่งกาลเวลา เขากลับไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้และทำตัวราวกับลืมมันไปแล้ว


 


แม้ทั้งสองฝ่ายจะสร้างข้อตกลงพันธมิตร แต่ตระกูลถังยังกังวลอยู่บ้าง


 


ถังฟางหมิงที่เงียบมาตลอดเปิดปากถามโดยตรง “ท่านผู้นำนิกายเงาและสหาย ข้าสงสัยว่าเราจะร่วมมือกันหลังจากนี้อย่างไร?”


 


ฟางหยวนชำเลืองมองถังฟางหมิงและแสดงออกด้วยความชื่นชมผ่านดวงตา “ข้าสนใจอาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ เราสามารถร่วมมือกันในเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เรากำลังถูกไล่ล่าโดยผู้อมตะระดับแปดจากวังสวรรค์ มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เราจะร่วมมือกันในอนาคต วางใจได้ เราสร้างข้อตกลงพันธมิตรกันแล้วมิใช่หรือ? แน่นอนว่าหากตระกูลถังต้องการ เราสามารถอยู่ที่นี่ต่อ มันเป็นเพียงว่าสถานะของเราแตกต่างกันและการไล่ล่าของวังสวรรค์ก็กดดันพวกเราเป็นอย่างมาก”


 


ถังฟางหมิงและถังหลานเค่อมองหน้ากัน ทั้งสองสามารถมองเห็นความขมขื่นในดวงตาของกันและกัน


 


คำกล่าวของฟางหยวนหมายความว่าหากพวกเขาต้องการงานวิจัยบนเส้นทางแห่งความฝัน พวกเขาต้องช่วยนิกายเงาต่อต้านวังสวรรค์ ในกรณีนั้นการสมรู้ร่วมคิดระหว่างตระกูลถังและฝ่ายปีศาจจะถูกเปิดเผย พวกเขาต้องรับผลที่จะตามมาจากชื่อเสียงที่ตกต่ำลง


 


ตระกูลถังไม่สามารถรับผลลัพธ์ดังกล่าว


 


ขณะเดียวกันฟางหยวนก็มีความแข็งแกร่งเพียงพอ เขาไม่กลัวตระกูลถังแม้ฝ่ายหลังจะมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะในการครอบครองก็ตาม


 


“หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ขอให้พวกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ” ถังฟางหมิงโค้งคำนับเล็กน้อย


 


“อืม ลาก่อน” ฟางหยวนพยักหน้าและออกเดินทางด้วยท่าทางเฉยเมย


 


ถังฟางหมิงและถังหลานเค่อยืนอยู่บนเนินทรายและมองกลุ่มของฟางหยวนกลายเป็นจุดสีดำหายไปที่เส้นขอบฟ้า


 


“เสี่ยวหมิง เจ้าจะปล่อยให้พวกเขาจากไปเช่นนี้งั้นหรือ?” ถังหลานเค่อขมวดคิ้ว


 


ถังฟางหมิงกล่าวอย่างสงบ “แม้ข้าจะไม่ยินดีปล่อยพวกเขาไปแต่ตระกูลถังของเราก็ไม่สามารถบังคับให้พวกเขาอยู่”


 


ถังหลานเค่อเงียบก่อนจะถอนหายใจ “เห้อ…ข้ารู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องนี้ ข้าไม่รู้ว่าพันธมิตรนี้จะเป็นประโยชน์หรือโทษต่อตระกูลของเรา”


 


ถังฟางหมิงตอบ “ข้ารู้เพียงว่ามีข้อดีย่อมต้องมีข้อเสีย บ่อยครั้งยิ่งเสี่ยงมาก็ยิ่งได้กำไรมาก นอกจากนั้นการตัดสินใจร่วมมือกับนิกายเงาก็ได้รับการเห็นชอบจากผู้อาวุโสสูงสุดหลายคน”


 


ถังหลานเค่อแสดงออกอย่างจริงจัง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตระกูล มีเพียงเจ้ากับข้าเท่านั้นที่ติดต่อกับนิกายเงา! หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้น มีเพียงพวกเราที่ต้องรับผิดชอบ!”


 


ถังฟางหมิงหัวเราะเย้ยหยัน


 


ตระกูลถังจะใช้เขาและถังหลานเค่อเป็นแพะรับบาปหากเกิดเรื่องผิดพลาด


 


นี่เป็นกลอุบายที่ฝ่ายธรรมะมักใช้งานและถังฟางหมิงก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี


 


‘ฟางหยวนเป็นคนเช่นไร? เขาย่อมตระหนักถึงกลอุบายของตระกูลถัง สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาอยู่ใกล้กับฐานทัพใหญ่ของตระกูล พวกเขาอยู่ที่นี่มานับสิบวันแต่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งไม่เคยปรากฏตัว ต้องการสร้างความร่วมมือแต่กลับไม่แสดงความจริงใจ? เมื่อตัดสินใจสร้างความร่วมมือกัน เราก็ต้องเตรียมใจให้พร้อม เราจะประสบความสำเร็จขณะที่ยังลังเลใจเช่นนี้ได้อย่างไร?’


 


ถังฟางหมิงคิดกับตนเองขณะที่ถังหลานเค่อเปิดปากถาม “เจ้าคิดอย่างไรกับฟางหยวน? เขาบอกว่าเขาถูกไล่ล่าโดยผู้อมตะระดับแปดหลายคนจากวังสวรรค์ เจ้าคิดว่าเขากล่าวเกินจริงหรือไม่?”


 


ถังฟางหมิงเข้าใจความหมายของถังหลานเค่อ ทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาก็คือเงียบ


 


หากเขากล่าวถึงฟางหยวนในแง่ร้าย ถังหลานเค่อจะรายงานกับตระกูลว่าถังฟางหมิงรู้สึกไม่ดีต่อนิกายเงาและทำให้พวกเขาไม่มีความสุข นางสามารถใช้เรื่องนี้เพื่อผลักดันความรับผิดชอบให้เขาเพียงผู้เดียว


 


หากเขากล่าวถึงฟางหยวนในแง่ดี ถังหลานเค่อจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้ ในกรณีที่ความร่วมมือกับฝ่ายปีศาจถูกเปิดเผย ตระกูลถังจะสังเวยทั้งสอง แต่ถังหลานเค่อจะใช้เรื่องนี้เพื่อโน้มน้าวให้ผู้อาวุโสสูงสุดลดโทษให้นางและโยนความผิดไปที่ถังฟางหมิงทั้งหมด


 


ถังฟางหมิงอาจไม่คุ้นเคยกับการเมืองของตระกูลเนื่องจากเขาพึ่งกลับเข้าตระกูล แต่เขาไม่ใช่คนโง่


 


เขาถอนหายใจและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “แม้ข้าจะไม่เคยเห็นพลังการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาด้วยตาของตนเอง แต่หลังจากติดต่อกันมาหลายวัน ข้ามั่นใจว่าชื่อเสียงของเขาไม่ใช่เรื่องหลอกลวง ฟางหยวนเป็นตำนานของคนรุ่นนี้ ท่าทางที่สง่างามและความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกชื่นชมเขา ชายผู้นี้กำลังท้าทายสวรรค์ เมื่อพิจารณาถึงจุดนี้ เรายังไม่สามารถเปรียบเทียบกับเขา”


 


ร่องรอยของความสุขปรากฏขึ้นในดวงตาของถังหลานเค่อ นางนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำกล่าวของถังฟางหมิง


 


อีกด้านหนึ่งฟางหยวนกำลังคิดเกี่ยวกับถังฟางหมิงเช่นกัน


 


ในความทรงจำของเขา ถังฟางหมิงผู้นี้เป็นบุคคลในตำนานของทะเลทรายตะวันตก


 


สถานะของเขาเกือบเท่ากับหม่าหงหยุนของภาคเหนือ


 


ถังฟางหมิงถูกตระกูลละทิ้งอย่างไร้ปรานีเมื่อเขายังเด็ก


 


เขาและน้องสาวของเขา ถังเมี่ยว ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่กลางทะเลทราย แต่เนื่องจากการเผชิญหน้าโดยบังเอิญ เขาจึงสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะขณะที่ถังเมี่ยวกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้าขั้นสุดยอด


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหลายคนของตระกูลถังเสียสละผู้ใช้วิญญาณระดับสูงหลายคนของตระกูลเพื่อแลกกับการนำถังฟางหมิงกลับเข้าตระกูล


 


ต่อมาเขาสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าการตัดสินใจของผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลถังเป็นเรื่องที่ชาญฉลาด


 


หลังจากถังฟางหมิงกลับเข้าสู่ตระกูล เขาช่วยถังเมี่ยวก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ นอกจากนั้นเขายังสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์อย่างขยับขันแข็ง


 


เขามีความสามารถพิเศษและมีความเฉลียวฉลาด


 


เขาเริ่มสร้างวิญญาณบนเส้นทางแห่งความฝัน เขาเป็นคนสำคัญที่ทำให้ตระกูลถังเติบโตขึ้น


 


ในสงครามห้าภูมิภาค อาณาจักรแห่งความฝันปรากฏขึ้นทุกหนทุกแห่ง เส้นทางแห่งความฝันเจริญรุ่งเรืองขณะที่ตระกูลถังสามารถก้าวขึ้นสู่ความเป็นมหาอำนาจของทะเลทรายตะวันตก


 


พวกเขาแข็งแกร่งมาก แม้จะรวมทั้งห้าภูมิภาค พวกเขาก็ยังถือเป็นกองกำลังระดับสูงสุด ชื่อเสียงของพวกเขาแพร่กระจายไปทั่วโลก ผู้คนมากมายกล่าวว่ามันเป็นยุคทองของตระกูลถัง


 


และตัวตนที่โดดเด่นที่สุดก็คือผู้อมตะที่หันไปบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งความฝัน ถังฟางหมิง!


 


‘ปัจจุบันหม่าหงหยุนเสียชีวิตไปแล้ว ด้วยความร่วมมือกับข้า ถังฟางหมิงจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว หากเปรียบเทียบ ชีวิตของคนทั้งสองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง’


 


‘แต่เส้นทางที่แท้จริงที่ถูกกำหนดโดยโชคชะตา หม่าหงหยุนต้องตาย’


 


ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้


 


บนเกาะบัวหิน นอกจากมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณ เขายังได้รับข้อมูลที่มีค่าบางอย่าง เทพปีศาจจิตวิญญาณสามารถอนุมานหลายสิ่งด้วยความช่วยเหลือจากมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง


 


ในชีวิตแรกของฟางหยวน นิกายเงาประสบความสำเร็จในการท้าทายสวรรค์ เทพปีศาจจิตวิญญาณฟื้นคืนสู่ชีวิตและประสบความสำเร็จในการแทรกซึมเข้าสู่วังสวรรค์


 


ต่อมาเมื่อยุคที่ยิ่งใหญ่เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับสงครามห้าภูมิภาค อิทธิพลของนิกายเงาแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้าภูมิภาคและสองสวรรค์ พวกเขาควบคุมทุกสิ่งอยู่ในความมืด


 


นิกายเงาช่วยชีวิตหม่าหงหยุนเอาไว้หลายครั้งก่อนที่เขาจะกลายเป็นวีรบุรุษของภาคเหนือในการต่อต้านวังสวรรค์


 


ตระกูลถังได้รับการสนับสนุนอย่างลับๆจากนิกายเงาเช่นกัน


 


ถูกต้อง


 


ในชีวิตแรกของฟางหยวน ตระกูลถังได้สร้างความร่วมมือกับนิกายเงาเช่นเดียวกับชีวิตนี้ เหตุผลที่ตระกูลถังสามารถสร้างยุคทองและต่อต้านวังสวรรค์ได้เป็นเพราะการสนับสนุนจากนิกายเงา


 


ฟางหยวนเลือกที่จะร่วมมือกับตระกูลถังส่วนใหญ่เป็นเพราะเหตุผลนี้


 


ในทะเลทรายตะวันตก ตระกูลถังไม่ใช่กองกำลังเดียวที่ครอบครองสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา แต่เปรียบเทียบกับอีกสองกองกำลัง ตระกูลถังมีมีพื้นฐานในการร่วมมืออย่างจริงใจมากที่สุด


 


เหตุการณ์ที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าการเลือกของฟางหยวนไม่ผิด


 


ด้วยการหยิบยืมสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาจากตระกูลถัง ฟางหยวนสามารถหลบหนีออกมาโดยปล่อยให้กลุ่มของฟงจิวเก้อรอคอยอย่างไร้จุดหมาย


 


‘แต่…’


 


‘ในชีวิตแรกของข้า แม้แผนการของนิกายเงาจะประสบความสำเร็จ เทพปีศาจจิตวิญญาณสามารถฟื้นคืนสู่ชีวิต แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่สามารถกู้คืนสถานะเทพปีศาจ ในเวลานั้นนิกายเงายังแข็งแกร่ง แต่เทพปีศาจจิตวิญญาณกลับเลือกที่จะต่อสู้กับวังสวรรค์อยู่ในที่มืด นี่เป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของวังสวรรค์กระทั่งเทพปีศาจจิตวิญญาณในเวลานั้นก็ยังยากที่จะเผชิญหน้า!’


 


‘ในชีวิตนี้แผนการของเทพปีศาจจิตวิญญาณล้มเหลวเพราะข้า ร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณถูกจับ นิกายเงาอยู่ในสภาพที่น่าเวทนา สถานการณ์นี้เลวร้ายกว่าชีวิตแรกของข้าหลายเท่า’


 


‘ตอนนี้ข้าอาจต้องดำเนินรอยตามกลยุทธ์ของเทพปีศาจจิตวิญญาณ ข้าต้องซ่อนตัวและสนับสนุนกองกำลังต่างๆเช่นตระกูลถังเพื่อให้พวกเขาต่อสู้กับวังสวรรค์’


 


‘แต่ข้าจะทำอย่างไรกับวิญญาณชะตากรรม?’


 


ฟางหยวนขมวดคิ้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้


 


ในชีวิตแรกของเขา วังสวรรค์ไม่สามารถกู้คืนวิญญาณชะตากรรมเนื่องจากกองกำลังพันธมิตรผีดิบยังอยู่ขณะที่เทพปีศาจจิตวิญญาณที่ตายไปนานแล้วสามารถฟื้นคืนสู่ชีวิต นอกจากนั้นเขายังวางอุบายมากมายเพื่อขัดขวางวังสวรรค์ในการฟื้นฟูวิญญาณชะตากรรม


 


แต่ตอนนี้แตกต่างออกไป


 


สถานการณ์ที่ฟางหยวนกำลังเผชิญหน้าเลวร้ายกว่ามาก


 


ร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณถูกจับ กองกำลังพันธมิตรผีดิบหายไป สิ่งมีชีวิตที่ท้าทายโชคชะตาจำนวนมากถูกกำจัดไปแล้ว นี่ทำให้การฟื้นฟูวิญญาณชะตากรรมง่ายขึ้น


 


วิญญาณชะตากรรมเหมือนดาบของเพชฌฆาตที่วางอยู่บนลำคอของฟางหยวน


 


เจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณเตือนฟางหยวนให้ระวังวิญญาณชะตากรรม หากมันฟื้นฟูขึ้นอย่างสมบูรณ์ มันจะกลายเป็นหายนะ


 


ฟางหยวนจดจำคำเตือนนี้เอาไว้ในใจ แต่เขายังไม่มีวิธีที่จะทำลายวิญญาณอมตะดวงนี้


 


สำหรับนิกายเงา ตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพึ่งพาฟางหยวน


 


‘ในชีวิตแรกของข้า ข้าเดินทางตลอดเวลา เร่ร่อน อดทนต่อความยากลำบาก ถูกวางแผนต่อต้าน ทนทุกข์ทรมาน และถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยเจตจำนงสวรรค์ ข้าไม่มีทางหลบหนีจากชะตากรรม’


 


‘เจตจำนงสวรรค์เลือกข้าเป็นเครื่องมือแต่เมื่อข้าไม่ได้ทำลายวิญญาณทารกอมตะและยังใช้มันกับตนเอง ข้าได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางสายใหม่และต้องต่อสู้กับสวรรค์โดยไม่มีทางเลือก’


 


เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฟางหวนก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


เจตจำนงสวรรค์ยิ่งใหญ่และไร้ขอบเขต


 


หากเปรียบเทียบ ตัวตนของเขาไม่ถือเป็นสิ่งใด


 


ท้าทายสวรรค์?


 


‘น่าสนใจ’ ฟางหยวนเผยรอยยิ้มอย่างเงียบๆ

 

 

 


บทที่ 1438 วังสวรรค์สร้างความโกลาหล

 

ภาคกลาง วังสวรรค์


 


สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยวิหารที่สร้างจากหยกขาว


 


ท่ามกลางวิหารเหล่านี้ที่วิหารสีดำสนิทที่สังเกตเห็นได้ชัดอยู่หลังหนึ่ง


 


มีบางคำสลักอยู่หน้าประตูทางเข้า วิหารปราบวิญญาณ!


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปด


 


ที่ใจกลางวิหารมีเสาขนาดใหญ่ห้าต้น


 


โซ่สีม่วงทองเชื่อมต่อกัน มันดูราวกับใยแมงมุมขนาดใหญ่


 


มีดวงวิญญาณถูกพันธนาการเอาไว้ที่นี่


 


มันก็คือร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณ!


 


เทพธิดาจื่อเว่ยยืนนิ่งอยู่ด้านหน้า “เทพปีศาจจิตวิญญาณ เจ้าเป็นผู้อมตะระดับเก้าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ แต่เจ้าไม่ยอมรับความตายและท้าทายสวรรค์ ผลลัพธ์ของเจ้าคือความล้มเหลว เจ้าจะยอมรับผิดหรือไม่?”


 


เสียงของนางดังสะท้อนไปทั่ว


 


ตรงกันข้ามกับดวงวิญญาณที่นิ่งเงียบและไม่เปล่งเสียงใดๆออกมาทั้งสิ้น


 


เทพธิดาจื่อเว่ยกล่าวต่อ “ในอดีตเจ้าอาละวาดไปทั่วโลกและสังหารสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง ตอนนี้เจ้ากลายเป็นนักโทษไปแล้ว เจ้ายังไม่กลับใจและยังพยายามดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์”


 


ดวงวิญญาญยังนิ่งเงียบ


 


เทพธิดาจื่อเว่ยถอนหายใจและกระตุ้นใช้พลังอำนาจของวิหารปราบวิญญาณ


 


กลิ่นอายของวิญญาณปะทุขึ้น เสาทั้งห้าเริ่มปลดปล่อยแสงและความร้อนออกมา


 


โซ่สีม่วงทองส่องประกายสว่างไสว


 


ร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณเริ่มสั่น


 


เมื่อเวลาผ่านไปข้อมูลบางส่วนก็ถูกดึงออกมา


 


ภาพเริ่มปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของเสายักษ์ มันแสดงฉากชีวิตในอดีตของเทพปีศาจจิตวิญญาณ


 


มีฉากการบ่มเพาะของเขา ความกล้าหาญในการต่อสู้ การสนทนากับบางคน และอื่นๆ


 


การค้นวิญญาณดำเนินไปเป็นเวลาสิบห้านาทีก่อนจะหยุดลงอย่างช้าๆ


 


อย่างไรก็ตามเทพธิดาจื่อเว่ยกลับไม่พอใจ ข้อมูลที่ถูกดึงออกมาไม่ใช่ข้อมูลที่มีค่าใดๆ


 


นางเย้ยหยัน “โอ้ เทพปีศาจจิตวิญญาณ เจ้าเอาชนะทุกสิ่งมาเพื่อสิ่งนี้งั้นหรือ? เจ้าไม่มีความหวังเหลืออยู่อีกแล้ว เจ้ายังหวังว่าบางคนจะโจมตีวังสวรรค์และช่วยเจ้างั้นหรือ? ฮ่าฮ่า เจ้าจะทำสิ่งใดได้อีก? ผลลัพธ์ถูกกำหนดแล้วและไม่สามารถเปลี่ยนแปลง”


 


เทพปีศาจจิตวิญญาณยังเงียบราวกับก้อนหิน


 


เทพธิดาจื่อเว่ยก่นเสียงเย็นก่อนจะหันหลังกลับและจากไป


 


“ปัง!”


 


ประตูบานใหญ่ถูกผลักปิดตัวลงอย่างรุนแรง


 


เมื่อมองไปที่ลานกว้างและวิหารอันเงียบงัน คิ้วของเทพธิดาจื่อเว่ยขมวดเล็กน้อย


 


ความรู้สึกไม่สบายใจเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของนาง


 


ตอนนี้กลุ่มของฟงจิวเก้อยังไม่พบร่องรอยของฟางหยวน


 


นอกจากนั้นสายข่าวของวังสวรรค์ในทะเลทรายตะวันตกก็ไม่ได้รับข่าวว่ามีบางคนออกมาจากสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา


 


ทุกอย่างเงียบสงบ


 


อย่างไรก็ตามเทพธิดาจื่อเว่ยรู้สึกถึงความผิดปกติในความสงบสุขนี้


 


“น่าเสียดาย เทพปีศาจจิตวิญญาณยังต่อต้านแม้จะตกอยู่ในสภาพนี้ ข้อมูลที่ดึงออกมาไม่มีประโยชน์”


 


‘เขาเคยเป็นผู้อมตะระดับเก้าบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณในตำนาน แม้นี่จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของดวงวิญญาณ แต่เขายังสามารถต่อต้านการค้นวิญญาณจากวิหารปราบวิญญาณ ช่างน่าทึ่งนัก หากเป็นดวงวิญญาณของเข้า ยังไม่ต้องกล่าวถึงคฤหาสน์วิญญาณอมตะ กระทั่งผู้อมตะระดับหก ข้าก็ไม่สามารถต่อต้าน”


 


“ลืมมันไปซะ แม้เทพปีศาจจิตวิญญาณจะไม่ให้ความร่วมมือ แต่วิหารปราบมารยังสามารถค้นวิญญาณของเขาต่อไป แม้มันจะช้า แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้อมูลทั้งหมดจะถูกดึงออกมาในที่สุด”


 


“สำหรับตอนนี้…”


 


เทพธิดาจื่อเว่ยมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเผยรอยยิ้มสดใส


 


“ถึงเวลาแล้วที่โลกจะได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของวังสวรรค์!”


 


วังสวรรค์นิ่งเงียบมาหลายเดือนหลังการต่อสู้ที่อาณาจักรแห่งความฝัน แต่ตอนนี้พวกเขากำลังจะเปิดเผยข่าวที่น่าสะพรึงกลัวออกไป


 


ดวงวิญญาณของเทพปีศาจจิตวิญญาณถูกจับโดยวังสวรรค์ขณะที่แผนการท้าทายสวรรค์ของเขาถูกทำลายโดยผู้อมตะของวังสวรรค์


 


เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ความโกลาหลปะทุขึ้นในโลกของผู้อมตะทั้งห้าภูมิภาคทันที


 


ผู้อมตะระดับเก้าคือผู้ปกครองแห่งยุคสมัย


 


ไม่มีผู้ใดสามารถจินตนาการว่าวังสวรรค์จะสามารถจับผู้อมตะระดับเก้า ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นเทพปีศาจจิตวิญญาณที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์


 


แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของดวงวิญญาณ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือน


 


แน่นอนว่ามีบางคนตั้งคำถามถึงความถูกต้องของข่าวนี้แต่ไม่นานพวกเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย


 


วังสวรรค์เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี พวกเขาแสดงหลักฐานทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นกองกำลังพันธมิตรผีดิบ นิกายเงา รวมถึงการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนและการต่อสู้ที่อาณาจักรแห่งความฝัน


 


หลังฐานเหล่านี้ทำให้ผู้คนเชื่อมันอย่างสมบูรณ์


 


วังสวรรค์ได้รับความสนใจอีกครั้ง ความรุ่งโรจน์ในอดีตของวังสวรรค์ถูกขุดขึ้นมากล่าวถึง


 


พวกเขาเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของโลกผู้อมตะตั้งแต่เริ่มต้น


 


วังสวรรค์ถูกก่อตั้งขึ้นโดยเทพอมตะแรกกำเนิด หลังจากนั้นเทพอมตะกลุ่มดาวก็รับช่วงต่อและยังสามารถยืนหยัดมาจนถึงปัจจุบัน


 


แม้เทพปีศาจสามคนจะบุกวังสวรรค์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใด


 


กล่าวได้ว่ามันทั้งลึกลับ ทรงพลัง และเหนือจินตนาการ


 


นี่คือวังสวรรค์


 


…..


 


ภารเหนือ ถ้ำสวรรค์นิรันดร


 


ราชันใต้นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าที่แก่ชราของเขาแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต


 


“เห้อ…ผู้ใดจะคิดว่าชื่อเสียงของเทพปีศาจจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่จะถูกทำลายหลังจากความตายภายใต้เงื้อมมือของวังสวรรค์” ราชันใต้ถอนหายใจ


 


เหยากวงที่ยืนอยู่ข้างเตียงปลอบโยน “ท่านราชันใต้ ท่านควรให้ความสำคัญกับการพักฟื้นและพักผ่อน”


 


ราชันใต้หัวเราะเบาๆ “ข้าเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน จำสิ่งที่ข้าเคยบอกเจ้าเอาไว้ เจ้าจะรับตำแหน่งราชันใต้หลังจากข้าตาย”


 


“รับทราบ!”


 


ราชันใต้แสดงความกังวล “สิ่งต่างๆกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป ภูมิภาคทั้งห้าจะเข้าสู่สถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ข้าสัมผัสได้ถึงคลื่นแห่งกาลเวลาที่พุ่งพล่านและไม่ธรรมดา กระทั่งถ้ำสวรรค์นิรันดรของเราก็ยังจะถูกคลื่นยักษ์กลืนกินหากเราก้าวพลาด วังสวรรค์จะเป็นศัตรูตัวฉกาจของเรา ระวังตัวด้วย”


 


“ผู้น้อยจะจดจำถ้อยคำของท่านเอาไว้อย่างดี”


 


…..


 


ภาคใต้ ภูเขาศพ


 


นี่เป็นยอดเขาที่แปลกมาก ในอดีตผู้อมตะระดับแปดของภาคใต้กลายเป็นผีดิบอมตะและต่อสู้กับกองกำลังใหญ่บนยอดเขาลูกนี้ ในที่สุดเขาตายที่นี่ เมื่อเวลาผ่านไป ซากศพของผีดิบอมตะระดับแปดก็กลายเป็นสารอาหารหล่อเลี้ยงสถานที่แห่งนี้และทำให้มันกลายเป็นภูเขาศพ


 


ภูเขาศพมีความสูงหลายร้อยเมตร มันอยู่ใกล้กับจุดตัดของแม่น้ำมังกรแดงและแม่น้ำมังกรเหลืองซึ่งเต็มไปด้วยแก่นแท้ของธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้มันจึงเต็มไปด้วยทรัพยากรและกลายเป็นสถานที่สำคัญ


 


ตอนนี้วูหยงยืนอยู่บนยอดเขาศพและกำลังจ้องมองจุดตัดของแม่น้ำทั้งสอง


 


ด้านข้างเขาคือผู้อมตะตระกูลวู วูเจิ้น


 


วูเจิ้นมองแผ่นหลังของวูหยงด้วยความรู้สึกชื่นชมในหัวใจ


 


เดิมทีภูเขาศพอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลวู แต่ไม่นานมานี้มันถูกยึดครองโดยตระกูลเหยา หลังการต่อสู้ที่อาณาจักรแห่งความฝัน วูหยงเปิดเผยการคงอยู่ของบ้านไม้ใผ่สายลมรวมถึงความแข็งแกร่งของเขา นั่นสร้างความหวาดกลัวให้กับกองกำลังอื่นๆเป็นอย่างมาก หลังจากประสบความสำเร็จในการเจรจากับวังสวรรค์และได้รับวิญญาณอมตะกลับคืน เขาส่งมอบพวกเขาให้กับเจ้าของเดิม


 


ผลที่ตามมาคือชื่อเสียงของวูหยงที่พุ่งสูงขึ้น แม้ตระกูลวูจะประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่เรื่องนี้ทำให้สถานการณ์ของตระกูลวูเกิดเสถียรภาพและกลายเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของภาคใต้อีกครั้ง


 


ความสำเร็จของเขาทำให้กองกำลังอื่นๆล่าถอยและละทิ้งแหล่งทรัพยากรที่เคยฉกชิงมาจากตระกูลวู


 


ตอนนี้คนในตระกูลวูเริ่มเปรียบเทียบวูหยงกับวูตู๋ซิ่ว พวกเขาคิดว่าวูหยงจะสามารถนำตระกูลวูสู่ความรุ่งโรจน์ได้อย่างแน่นอน


 


“วูเจิ้น ภูเขาศพเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ข้าจะมอบสิ่งนี้ให้เจ้าดูแล” วูหยงกล่าวโดยไม่หันหลังกลับ


 


“ทราบแล้ว ข้าจะไม่ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งผิดหวัง” น้ำเสียงของวูเจิ้นสั่นเล็กน้อย


 


“นายท่าน…” เขาหยุดก่อนกล่าวต่อ “ภูเขาศพเป็นแหล่งทรัพยากรสุดท้ายที่พวกเราสูญเสียไป ตอนนี้เราจะตอบโต้พวกเขาเลยหรือไม่?”


 


วูหยงขมวดคิ้ว


 


เขาวางแผนตอบโต้มาตลอด


 


แต่หลังจากได้ยินข่าวการจับตัวเทพปีศาจจิตวิญญาณของวังสวรรค์ วูหยงตัดสินใจยกเลิกแผนการนี้


 


“ครั้งนี้ตระกูลวูสูญเสียผู้อมตะมากเกินไป เนื่องจากเราสามารถกู้คืนดินแดนทั้งหมดแล้ว ด้วยกำลังคนของเราในเวลานี้ เราแทบไม่สามารถดูแลพวกมัน นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่กว่า ตอนนี้ถึงเวลาพักฟื้นและบ่มเพาะผู้อมตะรุ่นต่อไปแล้ว”


 


“ทราบแล้ว ข้าจะทำตามการตัดสินใจของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง” วูเจิ้นกล่าวด้วยความเคารพ


 


ชื่อเสียงของวูหยงในปัจจุบันทำให้เขาได้รับการสนับสนุนจากผู้อมตะทั้งหมดของตระกูล


 


“อย่างไรก็ตามเราจะไม่ปล่อยคนที่กล้าท้าทายตระกูลวูของเราไปอย่างง่ายดาย แม้เราจะไม่ขยายอาณาเขต แต่เราจะต้องได้รับทรัพยากรเป็นค่าชดเชย” วูหยงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้


 


จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของวูเจิ้นพุ่งพล่านขึ้นทันที “ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งฉลาดมาก!”


 


…..


 


ทะเลทรายตะวันตก ฐานทัพใหญ่ของตระกูลถัง


 


“วังสวรรค์ช่างน่ากลัวนัก” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของตระกูลถังกล่าวด้วยความกังวล


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลถังชำเลืองมองเขาอย่างเฉยเมย เขาเข้าใจความหมายของคนผู้นี้


 


ก่อนหน้านี้เมื่อพวกเขากล่าวถึงความร่วมมือกับนิกายเงา ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เมื่อข่าวเรื่องวังสวรรค์สามารถจับกุมเทพปีศาจจิตวิญญาณถูกเผยแพร่ออกมา ผู้อมตะตระกูลถังจึงรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก


 


“วังสวรรค์จะกล่าวโทษพวกเราเพราะความร่วมมือกับนิกายเงาหรือไม่?’ ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองถอนหายใจ


 


“หากพวกเขาทำแล้วอย่างไร? หากพวกเขาไม่ทำแล้วอย่างไร?” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งยิ้ม


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองขมวดคิ้ว “หากพวกเขาไม่โทษพวกเรา มันย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดี เราสามารถร่วมมือกับนิกายเงาต่อไป แต่หากพวกเขาต้องการเอาความกับพวกเรา เราต้องร่วมมือกับกองกำลังอื่นเพื่อต่อต้านวังสวรรค์ แน่นอนว่าเราต้องรักษาความลับเอาไว้และไม่เปิดเผยหลักฐานใดๆ มิฉะนั้นวังสวรรค์จะมีข้ออ้างขณะที่พวกเราจะไม่สามารถขอกำลังเสริม”


 


“นอกจากนั้นหากไม่ได้ผลเราจะเสียสละถังฟางหมิงและถังหลานเค่อเพื่อตระกูล”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า ดู เจ้ารู้วิธีจัดการกับสถานการณ์อยู่แล้ว เช่นนั้นเจ้าจะตื่นตระหนกเพื่อสิ่งใด?”


 


“ฮืม!”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งหัวเราะก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากตระกูลถังต้องการลุกขึ้น เราต้องเสี่ยงเท่านั้น หากเราไม่สามารถทำความเข้าใจอาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ เราจะได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไร? สำหรับถังฟางหมิงและถังหลานเค่อ พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้อยู่แล้ว การเสียสละเพื่อตระกูลถือเป็นเกียรติของพวกเขา”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองถอนหายใจ “ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งช่างฉลาดหลักแหลมนัก”

 

 

 


บทที่ 1439 จ้าวเหลียนหยุนก้าวเข้าสู่ข...

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้อาวุโสฟางหยวน เจ้ากลับมาแล้ว!” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาหัวเราะเสียงดังขณะเดินเข้าไปหาฟางหยวน


 


ฟางหยวนหัวเราะเช่นกัน “ข้ารู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน หัวใจของข้ารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมากจริงๆ”


 


ทั้งสองกอดกันแน่นด้วยการแสดงออกที่อบอุ่น


 


“ผู้อาวุโสฟางหยวน ชื่อของเจ้าทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือน ยินดีด้วย ยินดีด้วย” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามองฟางหยวนแตกต่างไปจากเดิมอย่างสมบูรณ์


 


ตอนนี้ฟางหยวนมีพลังการต่อสู้ระดับแปด นี่เป็นพลังการต่อสู้ของเขาเองและมันเพียงพอให้จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาให้ความสำคัญกับเขามากขึ้น


 


นอกจากนี้ฟางหยวนยังสามารถหลบหนีจากการไล่ล่าของวังสวรรค์และกลับมายังแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาได้อย่างปลอดภัย


 


ความสำเร็จในครั้งนี้จะทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือนหากมันถูกเปิดเผยออกไป


 


จากมุมมองของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา เขาเต็มใจที่จะเห็นฟางหยวนเกลียดชังกองกำลังอันดับหนึ่งของมนุษย์เช่นวังสวรรค์


 


ยิ่งฟางหยวนถูกไล่ล่ามากเท่าใด จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาก็ยิ่งมีความสุขเท่านั้น


 


เพราะเขาเป็นมนุษย์ขนและเป้าหมายของเขาก็คือการนำเผ่ามนุษย์ขนปกครองโลก


 


แน่นอนว่าความปลอดภัยของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาสำคัญที่สุด หากเขาไม่มั่นใจว่าฟางหยวนสะอาดหมดจดและไม่เปิดเผยร่องรอยให้วังสวรรค์สามารภติดตาม จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาจะไม่ต้อนรับเขาเช่นนี้


 


“ผู้อาวุโสฟางหยวน แผนการต่อไปของเจ้าเป็นอย่างไร?” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาถาม


 


ฟางหยวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ลังเล “สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างอันตราย ข้าตั้งใจพักผ่อนและจัดระเบียบใหม่อยู่ที่นี่สักระยะ ตอนนี้ข้าได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณและกลายเป็นผู้นำนิกายเงา ตราบเท่าที่ข้ามีเวลาเพียงพอ ข้าจะสามารถยกระดับรากฐานและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง วังสวรรค์ไม่สามารถติดตามข้าได้อีกต่อไป คิดย้อนกลับไป มันอันตรายมากจริงๆ โชคดีที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งให้การสนับสนุนข้าอย่างเต็มที่!””


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยารู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาทำได้เพียงหัวเราะเสียงดังเท่านั้น


 


เขาไม่ได้สนับสนุนฟางหยวนอย่างเต็มที่และช่วยเขาหลอมรวมวิญญาณอมตะตามกฎของนิกายที่เขาตั้งขึ้นด้วยตนเองเท่านั้น


 


หากเขาต้องการสนับสนุนฟางหยวน เขาคงส่งผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนออกไปช่วยฟางหยวนนานแล้ว


 


ทั้งสองสนทนากันขณะเดินไปข้างหน้า


 


ระหว่างทางผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ขนหลายคนโค้งคำนับพวกเขาด้วยความเคารพ


 


พัฒนาการของนิกายหลางหยาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน


 


ตั้งแต่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเปลี่ยนกลยุทธ์ในการพัฒนาโดยส่งเสริมให้มนุษย์ขนจากสามทวีปทำสงคราม ผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ขนที่โดดเด่นปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


ชนชั้นสูงเหล่านี้ได้รับคัดเลือกให้ขึ้นมาบ่มเพาะอยู่บนทวีปเมฆา


 


ภาพจิตรกรรมฝาผนังของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายหยางหลาปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่งบนทวีปเมฆา


 


เมืองเมฆาที่สองของฟางหยวนยังมีรูปปั้นยักษ์ของเขาตั้งอยู่เช่นกัน


 


ด้วยเหตุนี้ผู้ใช้วิญญาณเหล่านี้จึงคุ้นเคยกับผู้อมตะทั้งหมดของนิกาย


 


ในการสนทนาไม่ต้องสงสัยเลยว่าจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาให้ความสนใจกับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันฟางหยวนก็ต้องการหยิบยืมพลังอำนาจของนิกายหลางหยาเพื่อหลอมรวมวิญญาณอมตะ


 


ฟางหยวนมีความสามารถบางอย่างบนเส้นทางการหลอมรวมแต่เมื่อเปรียบเทียบกับนิกายหลางหยา เขายังไม่ถือเป็นสิ่งใด


 


ทั้งสองตกลงทำการแลกเปลี่ยนกันหลายสิ่งหลายอย่างจนเป็นที่พึงพอใจ


 


ฟางหยวนเดินไปยังห้องหลอมรวมเพื่อพบกับผมที่หก


 


“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สอง ขออภัยด้วยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับ” ผมที่หกกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


เขาอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช เมื่อเห็นฟางหยวน ความรู้สึกซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา


 


มันมีทั้งความยินดี ความเหงา ความไม่แน่ใจ และการถอนหายใจ


 


เหตุการณ์ในชีวิตดำเนินไปในทางที่ลึกลับ ก่อนหน้านี้ผมที่หกต้องการกำจัดฟางหยวน


 


แต่ตอนนี้ฟางหยวนกลับกลายเป็นผู้นำของนิกายเงาและเป็นความหวังเดียวในการช่วยร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณ


 


เมื่อฟางหยวนช่วยชีวิตอิงอู๋เซี่ยและต่อต้านวังสวรรค์ ผมที่หกจึงเลือกที่จะยอมรับตำแหน่งของฟางหยวน


 


“ผมที่หกคารวะท่านผู้นำนิกาย โปรดยกโทษให้ข้าที่ไม่สามารถแสดงความเคารพได้มากกว่านี้” ผมที่หกลอบส่งเสียงไปหาฟางหยวน


 


นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาสามารถสังเกตเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน


 


“มันเป็นเรื่องผิวเผิน ข้าไม่สนใจสิ่งเหล่านี้” ฟางหยวนตอบ “ข้าต้องขอบคุณสำหรับความพยายามของเจ้าที่ช่วยข้าหลอมรวมวิญญาณอมตะ วังสวรรค์เป็นศัตรูกับข้า วันหนึ่งข้าจะบุกวังสวรรค์และใช้กำลังทั้งหมดเพื่อช่วยเทพปีศาจจิตวิญญาณ”


 


ผมที่หกพยักหน้า ดวงตาของเขาส่องประกายขึ้นก่อนที่เขาจะนำทางฟางหยวน “เชิญทางนี้”


 


ในความเป็นจริงผมที่หกรู้ว่าฟางหยวนไม่มีความมั่นใจในเรื่องนี้ กระทั่งฟางหยวนจะไม่ทำตามคำพูด เขาก็ไม่สามารถกล่าวโทษ


 


แต่สำหรับมนุษย์ที่มีชีวิต พวกเขาต้องการความหวัง แม้จะมีความหวังเพียงน้อยนิดก็ตาม


 


ยิ่งไปกว่านั้นผมที่หกรู้ดีว่าหากฟางหยวนไม่เข้าร่วม เพียงผู้อมตะที่เหลืออยู่ของนิกายเงา พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดและจะถูกกำจัดไปในไม่ช้า


 


วังสวรรค์ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเพราะฟางหยวนอาจเป็นคนแรกที่กำจัดสมาชิกนิกายเงาเพื่อรับผลประโยชน์


 


ราชันภูเขาม่วงทำนายอนาคตไว้แล้ว ดังนั้นเพื่อรักษากองกำลังที่เหลืออยู่ของนิกายเงา เขาจึงส่งต่อนิกายเงาให้กับฟางหยวน


 


ฟางหยวนเข้าใจเจตนาของราชันภูเขาม่วง แต่เขายอมรับมันและมีความสุขกับเรื่องนี้เช่นกัน


 


ฟางหยวนเดินตามผมที่หกไปถึงด้านหน้าค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม


 


ที่นั่นเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ขึ้นแต่มันปลดปล่อยมวลอากาศเย็นออกมา


 


ความเย็นสร้างชั้นน้ำแข็งบางๆปกคลุมคิ้วและปลายผมของฟางหยวนอย่างรวดเร็ว


 


“ท่านผู้นำ การหลอมรวมวิญญาณอมตะล้างใจมาถึงขั้นตอนสำคัญแล้ว แต่ข้าล้มเหลวหลายครั้งในขั้นตอนนี้ โชคของข้าด้อยกว่าท่าน ท่านผู้นำเหมาะสมกว่าที่จะเป็นผู้ดำเนินการในขั้นตอนนี้” ผมที่หกส่งเสียงไปหาฟางหยวน


 


จากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายขั้นตอนการหลอมรวมวิญญาณอย่างละเอียดรวมถึงประสบการณ์และความเข้าใจทั้งหมดของเขา


 


ฟางหยวนฟังทุกคำอย่างตั้งใจ


 


วิญญาณอมตะล้างใจเป็นกุญแจสำคัญในแผนการต่อไปของเขา


 


…..


 


เกือบจะในเวลาเดียวกัน ภาคกลาง นิกายคฤหาสน์วิญญาณ


 


ผู้ใช้วิญญาณหญิงระดับห้าขั้นสุดยอดกำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของนาง


 


ตอนนี้นางอยู่ในชุดต่อสู้ ผิวของนางขาวสะอาด ดวงตาของนางส่องประกายราวกับดวงดาว


 


“เริ่มได้” ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮากล่าว


 


ด้านข้างเป็นผู้อมตะหญิงและเป็นภรรยาของเขา หลี่จุนอิง


 


จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้าและสูดหายใจลึกก่อนจะเริ่มกระบวนการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ


 


ในทะเลวิญญาณของนาง คลื่นน้ำที่บ้าคลั่งพุ่งเข้าปะทะกำแพงคริสตัลที่อยู่รอบๆ


 


ในไม่ช้ามันก็เริ่มแตกร้าว


 


ร่างของจ้าวเหลียนหยุนลอยขึ้นสู่อากาศ


 


ดวงตาของนางปิดสนิท ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ในทะเลวิญญาณ


 


ปราณสวรรค์เริ่มปั่นป่วน เมฆสีดำลอยเข้ามาปกคลุมท้องฟ้าพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง


 


ปราณพิภพลอยขึ้นจากพื้นและทำให้แผ่นดินเกิดการสั่นสะเทือน


 


ปราณสวรรค์และปราณพิภพทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ


 


ทันใดนั้นทะเลวิญญาณของจ้าวเหลียนหยุนก็แตกออก


 


ปราณมนุษย์ไหลออกจากร่างกายของนาง


 


ปราณสวรรค์ ปราณพิภพ และปราณมนุษย์หลอมรวมกันอยู่รอบตัวจ้าวเหลียนหยุน


 


“อดทนไว้” หลี่จุนอิงพึมพำ


 


การช่วยจ้าวเหลียนหยุนให้นางก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะคืองานของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ อย่างไรก็ตามมันยังเกี่ยวข้องกับซูเฮาและหลี่จุนอิงซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้ออีกด้วย


 


จ้าวเหลียนหยุนเป็นบุคคลสำคัญในการต่อต้านฟงจิวเก้อ


 


ซูเฮาต้องช่วยนางอย่างเต็มที่


 


การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะของจ้าวเหลียนหยุนแตกต่างจากคนอื่นๆ เนื่องจากนางมีผนึกศักดิ์สิทธิ์ มันทำให้ภัยพิบัติต่างๆไม่สามารถเข้ามาหานาง


 


การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ หลังจากทั้งหมดเทพปีศาจปล้นสวรรค์สร้างผนึกศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาหลังจากเขากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว


 


ด้วยเหตุนี้ซูเฮาจึงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและพร้อมให้ความช่วยเหลือจ้าวเหลียนหยุนทันที


 


อย่างไรก็ตามแม้ซูเฮาจะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า เขาก็ยังไม่สามารถทำสิ่งใด


 


เมื่อปราณทั้งสามรวมกันตัว จ้าวเหลียนหยุนต้องควบคุมมันด้วยตนเอง คนนอกไม่สามารถยุ่งเกี่ยว


 


ก่อนหน้านี้จ้าวเหลียนหยุนได้ฝึกฝนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ด้วยการฝึกสอนจากผู้อมตะ นางจึงคุ้นเคยกับกระบวนการทั้งหมด


 


พลังปราณทรงกลมหดเล็กลงเรื่อยๆ


 


นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี


 


มันแสดงให้เห็นว่าจ้าวเหลียนหยุนประสบความสำเร็จในการควบแน่นปราณทั้งสาม


 


หลังจากชั่วครู่จ้าวเหลียนหยุนก็เปิดเปลือกตาขึ้นและส่งวิญญาณหลักของนางเข้าสู่ใจกลางปราณทั้งสาม


 


“เปรี้ยง!”


 


เสียงดังเหมือนฟ้าร้อง


 


จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมึนงงขณะที่ดวงตาของนางกลายเป็นว่างเปล่า


 


แต่นางสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง นางเพ่งจิตเข้าไปในทะเลวิญญาณ แต่ตอนนี้ไม่มีทะเลวิญญาณอีกต่อไป มันถูกแทนที่ด้วยมิติช่องว่างอมตะ


 


มิติช่องว่างอมตะระดับหก!


 


“ข้าทำสำเร็จแล้ว!” จ้าวเหลียนหยุนกรีดร้องเสียงดัง

 

 

 


บทที่ 1440 เทพอมตะแห่งความฝันฟงจินฮวง

 

ภาคเหนือ แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ห้องหลอมรวมวิญญาณ


 


เปลวไฟสีฟ้ากลายเป็นภูเขาน้ำแข็งไปแล้ว


 


ฟางหยวนยกมือขึ้นและกดฝ่ามือลงบนภูเขาน้ำแข็งด้วยดวงตาส่องประกาย


 


กลิ่นอายของวิญญาณจำนวนมากปะทุขึ้นจากร่างของเขา


 


เขากำลังใช้ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม


 


ภายใต้ความพยายามของฟางหยวน ไฟสีฟ้ายังลุกไหม้ขึ้นอย่างเงียบๆที่ใจกลางภูเขาน้ำแข็ง


 


ตัวอ่อนของวิญญาณอมตะเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย


 


ผมที่หกที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกมีความสุข


 


ความคืบหน้านี้เกินกว่าสิ่งที่เขาเคยทำ


 


นี่ไม่ได้หมายความว่าความสามารถของฟางหยวนเหนือกว่าผมที่หก แต่มันเป็นเพราะโชค


 


และเหตุผลสำคัญยิ่งกว่าก็คือวิธีการหลอมรวมวิญญาณ


 


‘ผู้ใดจะคิดว่านิกายของเราจะได้รับมรดกที่แท้จริงของผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่ในอดีตกาลเพ่ยเหลา’ ผมที่หกลอบถอนหายใจอยู่ภายใน


 


เพ่ยเหลาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ เขาเป็นผู้อมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมและมีความเชี่ยวชาญด้านการหลอมรวมด้วยน้ำแข็ง จนถึงปัจจุบันวิธีการหลอมรวมด้วยน้ำแข็งของเขายังคงอยู่บนจุดสูงสุด


 


ตอนนี้ฟางหยวนกำลังหลอมรวมวิญญาณด้วยวิธีการของเพ่ยเหลา ดังนั้นเขาจึงสามารถก้าวข้ามผมที่หกและเหลืออีกไม่กี่ก้าวก่อนจะประสบความสำเร็จ


 


แม้ผมที่หกจะเป็นร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณและเป็นสมาชิกของนิกายเงา


 


แต่เขาเป็นสายลับอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเก็บความทรงจำเอาไว้มากนัก มิฉะนั้นมันอาจเปิดเผยข้อบกพร่อง


 


ตอนนี้ฟางหยวนกลายเป็นผู้นำคนใหม่ของนิกายเงาและได้รับมรดกทั้งหมดของนิกายมาแล้ว รากฐานของเขาพุ่งสูงขึ้นอีกมาก


 


กระทั่งฟางหยวนเองยังรู้สึกมึนงงเล็กน้อย


 


หากเปรียบเทียบรากฐานของฟางหยวนก่อนหน้านี้เป็นทะเลสาบ หลังจากได้รับมรดกของนิกายเงา ตอนนี้มันเหมือนมหาสมุทร


 


กระทั่งรากฐานของนิกายหลางหยาก็ยังด้อยกว่ารากฐานของนิกายเงา หลังจากทั้งหมดบรรพชนผมยาวเป็นเพียงผู้อมตะระดับแปดขณะที่เทพปีศาจจิตวิญญาณเป็นผู้อมตะระดับเก้า


 


ดังนั้นฟางหยวนจึงสามารถเลือกวิธีที่ดีที่สุดเพื่อหลอมรวมวิญญาณอมตะล้างใจ


 


‘ดี ตัวอ่อนของวิญญาณอมตะก่อตัวขึ้นแล้ว มันกำลังจะสำเร็จ!’


 


ผมที่หกตื่นเต้นมาก


 


สายตาของเขาหันไปทางฟางหยวนอีกครั้ง


 


‘ชายผู้นี้…’ ดวงตาของผมที่หกเปลี่ยนเป็นซับซ้อน


 


‘เขามีรากฐานที่แข็งแกร่งบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม นอกจากพรสวรรค์ วิธีการหลอมรวมของเพ่ยเหลาก็เหมาะสมกับเขามาก!’ ผมที่หกคิดกับตนเอง


 


วิธีการหลอมรวมวิญญาณมีหลากหลายวิธีเช่นการหลอมรวมด้วยไฟ การหลอมรวมด้วยน้ำแข็ง การหลอมรวมด้วยเวลา และอื่นๆ บางคนเหมาะสมกับวิธีการหลอมรวมด้วยไฟขณะที่บางคนเหมาะสมกับวิธีการหลอมรวมด้วยน้ำ


 


ฟางหยวนพบว่าวิธีการหลอมรวมด้วยน้ำแข็งเหมาะสมกับเขามาก


 


‘ดูเหมือนว่าข้าควรฝึกฝนวิธีการหลอมรวมด้วยน้ำแข็งในเวลาว่าง มันเหมาะสมกับบุคลิกของข้ามากกว่าการหลอมรวมด้วยเลือด’


 


ในมิติช่องว่างของฟางหยวน ร่างแยกจำนวนมากของเขากำลังจัดเตรียมความพร้อมสำหรับท่าไม้ตายอมตะ


 


ระหว่างการหลอมรวมวิญญาณ ร่างแยกเหล่านี้เป็นตัวช่วยชั้นยอดของเขา


 


เมื่อท่าไม้ตายอมตะถูกกระตุ้นใช้งาน ฟางหยวนรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่กระจายไปทั่วร่างและต่อต้านความเย็นที่มาจากภายนอก


 


ภูเขาน้ำแข็งปลดปล่อยมวลอากาศเย็นออกมาตลอดเวลา ผู้หลอมรวมต้องอดทนต่อความหนาวเย็นชนิดนี้ นี่เป็นข้อเสียของวิธีการหลอมรวมด้วยน้ำแข็ง


 


หากท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนไม่ถูกยกระดับขึ้น มันจะกลายเป็นเรื่องยากสำหรับฟางหยวน


 


แต่ด้วยท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนฉบับปรับปรุงใหม่ เขาสามารถผ่านความยากลำบากนี้ไปได้อย่างง่ายดาย


 


ขณะที่ฟางหยวนกำลังหลอมรวมวิญญาณ ที่ภาคกลางฟงจินฮวงเดินขึ้นไปบนยอดเขา


 


มันเป็นยามเช้าที่ท้องฟ้ายังมืดมิด


 


ฟงจินฮวงมองไปในระยะไกลด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล


 


นางถูกเลี้ยงดูมาภายใต้การคุ้มครองจากบิดามารดาที่เป็นผู้อมตะ ก่อนหน้านี้นางไม่เคยรู้จักความโศกเศร้า อย่างไรก็ตามตอนนี้นางกลับได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้และความยากลำบากของชีวิต


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจ้าวเหลียนหยุนประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ


 


สิ่งนี้ช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้กับฝ่ายต่อต้านฟงจิวเก้อในนิกายคฤหาสน์วิญญาณและเนื่องจากฟงจิวเก้อยังอยู่ที่ทะเลทรายตะวันตก เทพธิดาไป่ชิงเพียงผู้เดียวจึงไม่สามารถจัดการปัญหานี้


 


เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ฟงจินฮวงประสบปัญหาและความขมขื่นที่นางไม่เคยเผชิญหน้ามาก่อน ในสายตาของนาง นิกายเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


 


“เห้อ…” นางนั่งลงบนก้อนหินและถอนหายใจ


 


นางเริ่มคิดถึงจ้าวเหลียนหยุน


 


หญิงผู้นี้มาทีหลังแต่กลับฉกชิงเป้าหมายของฟงจินฮวงไป แรกเริ่มคือตำแหน่งผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณ ต่อมานางยังประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ ตอนนี้นางไม่ใช่ผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์อีกต่อป


 


ภาพของจ้าวเหลียนหยุนที่คุกเข่าอ้อนวอนอยู่ต่อหน้ายังชัดเจนอยู่ในใจของฟงจินฮวง


 


‘จ้าวเหลียนหยุนเป็นปีศาจต่างโลก ฟางหยวนก็เป็นปีศาจต่างโลก เหตุใดข้าถึงแพ้ปีศาจต่างโลกเสมอ’ ความคิดของฟงจินฮวงล่องลอยออกไป ฉากที่ไม่สามารถลืมเลือนปรากฏขึ้นในใจของนางอีกครั้ง


 


มันคือยอดเขาตงฮันและเป็นครั้งแรกที่นางเห็นฟางหยวน…


 


ใบหน้าของฟงจินฮวงเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที นางส่ายศีรษะและพยายามปัดเป่าความคิดนี้ออกไป


 


‘มีประโยชน์ใดให้คิดถึงเรื่องนี้’


 


‘ฟงจินฮวง ฟงจินฮวง เจ้าต้องทำงานหนักต่อไป! เจ้าต้องพยายามให้มากขึ้น กลายเป็นผู้อมตะและช่วยท่านพ่อท่านแม่!’


 


ฟงจินฮวงรวบรวมความคิดและเริ่มสรุปประสบการณ์การสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันครั้งล่าสุดของนาง


 


มันคืออาณาจักรแห่งความฝันของผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมเพ่ยเหลา


 


‘หลังจากผ่านอาณาจักรแห่งความฝันนี้ ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมของข้าได้ก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์เอกแล้ว ผู้อาวุโสเพ่ยเหลาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมรวมด้วยน้ำแข็ง มาลองดูกัน’


 


ฟงจินฮวงยกมือของนางขึ้นและขยับนิ้วเป็นจังหวะ


 


ลมเย็นพัดอยู่รอบๆมือของนางและทำให้มันทรงพลังมากขึ้น


 


ฟงจินฮวงเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม ด้วยความสำเร็จดังกล่าว วิญญาณบางดวงจึงปรากฏขึ้นในไม่ช้า


 


มันคือวิญญาณระดับสามบนเส้นทางแห่งน้ำแข็ง มันบินไปเกาะบนไหล่ของฟงจินฮวงและไม่ขยับเขยื้อน


 


จากนั้นวิญญาณดวงที่สองและสามก็บินตามมา


 


ยิ่งไปกว่านั้นระดับของพวกมันก็ค่อยๆสูงขึ้นจากระดับสามเป็นระดับสี่และระดับห้า


 


ฟงจินฮวงรู้สึกมีความสุข ดวงตาของนางส่องประกายขณะที่นิ้วของนางขยับเร็วขึ้น


 


แต่ในวินาทีต่อมา มวลอากาศเย็นกลับระเบิดขึ้นอย่างกะทันหัน นางล้มเหลวและประสบกับผลกระทบย้อนกลับ


 


‘บัดซบ!’ หัวใจของฟงจินฮวงจมดิ่งลง ใบหน้าของนางกลายเป็นซีดขาว นางปิดเปลือกตาลงและกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด


 


แต่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


 


‘เกิดสิ่งใดขึ้น?’ ฟงจินฮวงค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง


 


นางเห็นชายร่างสูงยืนอยู่ด้านหน้าและยื่นมือข้างหนึ่งมาที่นาง มวลอากาศเย็นที่ระเบิดไปแล้วกลับควบรวมเป็นก้อนน้ำแข็งอยู่ในมือของเขา


 


เขาดูยิ่งใหญ่และทรงพลังมาก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยสติปัญญาและประสบการณ์ชีวิต แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของฟงจินฮวงมากที่สุดก็คือเขามังกรบที่ดูเหมือนปะการังบนหน้าผากของชายผู้นี้


 


“ผู้อาวุโสคือผู้ใด? ขอบคุณที่ช่วยข้าไว้” ฟงจินฮวงเร่งโค้งคำนับ


 


ชายร่างสูงยิ้ม “มีวิธีหลอมรวมวิญญาณมากมาย แต่การหลอมรวมวิญญาณด้วยน้ำแข็งไม่เหมาะสมกับเจ้า ฟงจินฮวง ธรรมชาติของเจ้าเป็นคนกระฉับกระเฉงและสดใส เจ้าเหมาะสมกับวิธีการหลอมรวมด้วยโลหะหรือไฟ สำหรับวิธีการหลอมรวมด้วยน้ำแข็ง มันเหมาะสมกับคนที่มีความอดทนสูง”


 


ชายร่างสูงกำหมัดเบาๆและทำลายก้อนน้ำแข็งในฝ่ามือ


 


ฟงจินฮวงรู้สึกประหลาดใจ นางตระหนักถึงพลังอำนาจของมวลอากาศเย็นนี้เป็นอย่างดี มันเพียงพอที่จะทำร้ายผู้ใช้วิญญาณระดับห้าได้อย่างรุนแรง


 


ดวงตาของนางสว่างขึ้น “ผู้อาวุโสเป็นผู้อมตะเช่นนั้นหรือ? ท่านเป็นสหายของท่านพ่อท่านแม่ของข้าใช่หรือไม่?”


 


ฟงจินฮวงรู้จักผู้อมตะมากมาย ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกอึดอัด โดยทั่วไปแล้วผู้อมตะเหล่านั้นค่อนข้างดีต่อนางเพราะชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของฟงจิวเก้อ


 


ชายร่างสูงพยักหน้า “ข้ารู้จักพ่อแม่ของเจ้า แต่ครั้งนี้ข้ามาหาเจ้าโดยเฉพาะ”


 


“มาหาข้า?” ฟงจินฮวงรู้สึกประหลาดใจ


 


“ถูกต้อง” ชายร่างสูงกล่าวต่อ “ฟงจินฮวง ในอนาคตเจ้าจะกลายเป็นเทพอมตะแห่งความฝันที่ยิ่งใหญ่ เจ้าถูกกำหนดให้เข้าสู่วังสวรรค์และเป็นผู้นำในยุคนี้ จงทำให้โลกตื่นตะลึงและยืนอยู่บนจุดสูงสุดของผู้อมตะทั้งหมด ข้าคือราชันมังกรจากวังสวรรค์ ข้ามาที่นี่เพื่อรับเจ้าเป็นศิษย์และนำเจ้าไปสู่บังลังก์อันยิ่งใหญ่ของผู้อมตะระดับเก้า!”


 


“อันใด!?” ปากของฟงจินฮวงอ้ากว้างขณะที่นางมองชายร่างสูงด้วยความงุนงง


 


ราชันมังกรยิ้มและแสดงออกอย่างเป็นมิตร


 


อย่างไรก็ตามฟงจินฮวงกำลังคิดว่าชายผู้นี้เป็นนักต้มตุ๋นหรือไม่


 


นางไม่รู้จักราชันมังกร


 


ฟงจินฮวงยังเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ นางไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนี้


 


หลังจากทั้งหมดผู้อมตะกับมนุษย์อยู่ในโลกสองใบที่แตกต่างกัน


 


“ท่านลุง มีคำทำนายเกี่ยวกับเทพอมตะแห่งความฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่ข้าจะเป็นผู้อมตะที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้อย่างไร?” ฟงจินฮวงถาม


 


“อย่าสงสัยในตัวเอง” ราชันมังกรยิ้ม “เจ้าคือเทพอมตะในอนาคต เมื่อเจ้ายังเด็ก วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งความฝันเลือกเจ้า นี่คือสัญญาณ! ชีวิตของเจ้าควรจะราบรื่นและพบกับความสำเร็จอันน่าทึ่ง น่าเสียดายที่มีสิ่งกีดขวางบางอย่างปรากฏขึ้น”


 


“เหล่าปีศาจต่างโลกไม่ถูกผูกมัดด้วยโชคชะตา พวกเขาขโมยผลประโยชน์ที่เจ้าควรได้รับไป”


 


“ตัวอย่างเช่นแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูและตำแหน่งผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณรุ่นปัจจุบัน”


 


“แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ”


 


“วิญญาณชะตากรรมกำลังจะฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ภายในสิบปี เจ้าต้องกลายเป็นเทพอมตะแห่งความฝันเพราะทั้งหมดถูกกำหนดไว้แล้วโดยโชคชะตา!”


 


ราชันมังกรกล่าวอย่างจริงจังราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่สามารถสั่นคลอนหรือเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้


 


ฟงจินฮวงได้รับผลกระทบจากคำกล่าวของเขา นางนิ่งเงียบไปชั่วครู่และไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมา

 

 

 


บทที่ 1441 แก่นแท้บัวหิมะ

 

เศษน้ำแข็งร่วงหล่นลงบนพื้น


 


“แค่ก แค่ก” ฟางหยวนไอออกมาเป็นก้อนเลือดจากหัวใจและปอดของเขา


 


ลิ่มเลือดเหล่านี้แข็งตัวจนกลายเป็นก้อนเล็กๆเพราะความเย็น


 


ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วง เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


การหลอมรวมวิญญาณล้มเหลว ภูเขาน้ำแข็งระเบิดขณะที่ฟางหยวนได้รับผลกระทบย้อนกลับ


 


วิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้า!


 


ฟางหยวนกระตุ้นใช้งานวิญญาณอมตะดวงนี้เพื่อกู้คืนสถานะเดิมของเขาทันที


 


สีม่วงบนใบหน้าและอาการบาดเจ็บทั้งหมดของเขาหายไป แต่ยังมีพลังงานความเย็นอยู่ในร่างกายของเขาและทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว


 


พลังงานความเย็นเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความล้มเหลวในการหลอมรวมแต่มันสะสมอยู่ในร่างของเขาตลอดกระบวนการหลอมรวมวิญญาณ


 


เนื่องจากมันผ่านมานานแล้ว ดังนั้นวิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้าจึงไม่สามารถรักษามัน


 


‘กล่าวถึงเรื่องนี้ วิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพของข้ามีเพียงวิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้า อย่างไรก็ตามด้วยการใช้มันเป็นแกนกลาง ข้าจะสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะจากมรดกของนิกายเงา’


 


‘หากข้าเชี่ยวชาญท่าไม้ตายเหล่านั้น ความสามารถในการรักษาของข้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก’


 


ฟางหยวนไตร่ตรองและเกิดแรงบันดาลใจ


 


‘เดี๋ยว! เมื่อมีบุรุษคนก่อนหน้า เหตุใดไม่มีวิญญาณก่อนหน้า?’


 


วิญญาณที่ใช้รักษาวิญญาณ!


 


นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้


 


‘หากมีวิญญาณอมตะวิญญาณก่อนหน้า ข้าจะใช้มันเป็นแกนกลางของสร้างท่าไม้ตายอมตะเพื่อช่วยในการหลอมรวมได้หรือไม่?’


 


‘หากมีท่าไม้ตายเช่นนี้ ข้าจะสามารถใช้มันกู้คืนความล้มเหลวและกลับสู่ขั้นตอนก่อนหน้าของการหลอมรวมได้ทันที’


 


ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้นขณะที่เขาเริ่มตรวจสอบมรดกของนิกายเงา


 


มรดกของนิกายเงามีมากมาย มันไม่ต่างจากมหาสมุทรข้อมูล หลังจากฟางหยวนกวาดตามองพวกมัน เขาพบว่าคนรุ่นก่อนเคยคิดเรื่องนี้มาแล้ว


 


ส่วนใหญ่เป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม มีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเช่นกัน


 


มีมรดกที่บันทึกเกี่ยวกับความคิดและผลลัพธ์เกี่ยวกับวิญญาณอมตะวิญญาณก่อนหน้าเอาไว้มากมาย


 


อย่างไรก็ตามพวกมันล้วนเป็นเคล็ดลับที่ไม่สมบูรณ์


 


มันยากมากที่จะเติมเต็มแนวคิดนี้


 


ความกังวลส่วนใหญ่ของผู้อมตะเกี่ยวกับวิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้าคือขอบเขตการใช้งานที่จำกัดของมัน วิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้าระดับหกมีผลน้อยมากกับผู้อมตะระดับเจ็ด กระทั่งวิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้าระดับเจ็ดยังให้ผลลัพธ์ไม่ดีนักเมื่อใช้กับผู้อมตะระดับเจ็ด


 


เว้นเพียงเป้าหมายจะเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาที่มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกาลเวลาจำนวนมาก นอกจากพวกมันจะไม่ขัดแย้งกัน มันยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้าอีกด้วย


 


กระทั่งวิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้ายังเป็นเช่นนี้ วิญญาณอมตะวิญญาณก่อนหน้าย่อมมีปัญหามากกว่า


 


สำหรับผู้อมตะ การใช้วิญญาณอมตะวิญญาณก่อนหน้าเพื่อรักษาวิญญาณระดับมนุษย์ไร้ประโยชน์เพราะผู้อมตะไม่ขาดแคลนวิญญาณระดับมนุษย์ วิญญาณระดับมนุษย์ไม่ใช่ปัญหาของพวกเขา


 


แน่นอนว่าวิญญาณอายุยืนเป็นข้อยกเว้น


 


แต่การใช้วิญญาณอมตะวิญญาณก่อนหน้ารักษาวิญญาณอมตะเป็นเรื่องยากเพราะวิญญาณอมตะแต่ละดวงมีพลังงานแห่งเต๋าที่แตกต่างกันบรรจุอยู่ภายใน


 


ดังนั้นมันย่อมเกิดความขัดแย้ง


 


วิญญาณอมตะสามารถใช้งานร่วมกัน แต่ใช้พวกมันกับวิญญาณอมตะอีกดวงเป็นแนวคิดที่แตกต่างออกไปอย่างสมบูรณ์


 


เว้นเพียงมันจะมีระดับที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นใช้วิญญาณอมตะวิญญาณก่อนหน้าระดับเจ็ดรักษาวิญญาณอมตะระดับหก วิธีนี้อาจมีโอกาสประสบความสำเร็จอยู่บ้าง แต่การใช้มันกับวิญญาณอมตะระดับเจ็ดจะล้มเหลวอย่างแน่นอน


 


แนวคิดเกี่ยวกับวิญญาณอมตะวิญญาณก่อนหน้าน่าสนใจแต่มันยากที่จะเกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง


 


มีผู้อมตะมากมายเกิดแรงบันดาลใจดังกล่าว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดประสบความสำเร็จในเรื่องนี้


 


แม้วิธีนี้จะไม่สามารถเป็นไปได้แต่ฟางหยวนยังพบข้อมูลที่มีประโยชน์


 


ตัวอย่างเช่นค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม


 


ค่ายกลวิญญาณนี้จะส่งผลกระทบในช่วงเวลาสั้นๆ วิญญาณอมตะที่อยู่ภายในค่ายกลวิญญาณนี้สามารถฟื้นตัวขึ้นจากความผิดพลาดต่างๆ


 


ในมรดกของนิกายเงามีค่ายกลวิญญาณอมตะประเภทนี้มากกว่าสิบค่ายกล


 


อย่างไรก็ตามพวกมันมีข้อเสียบางอย่าง บางค่ายกลต้องการพลังงานอมตะปริมาณมหาศาล บางค่ายกลมีข้อจำกัดด้านจำนวนครั้งที่พวกมันสามารถกู้คืน บางค่ายกลใช้ได้กับวิญญาณระดับหกเท่านั้น


 


ท่ามกลางพวกมัน สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือคฤหาสน์วิญญาณอมตะสระแห่งความโศกเศร้า


 


หนึ่งในสามสระในตำนาน


 


‘น่าเสียดายไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะสระแห่งความโศกเศร้าหรือค่ายกลวิญญาณอมตะ ข้าก็มีเพียงข้อมูลของมันเท่านั้น ข้าไม่มีวิญญาณอมตะที่ใช้เป็นแกนกลาง’ ฟางหยวนถอนหายใจ เขามีความรู้แต่ไม่มีวัสดุที่จำเป็น


 


แท้จริงแล้วในสถานการณ์ปัจจุบัน เขามีตัวเลือกมากมาย


 


เมื่อคนธรรมดาได้รับมรดกจากความบังเอิญหรือจากบรรพบุรุษ พวกเขาจะมีความสุขมาก เส้นทางการบ่มเพาะของพวกเขาจะสดใส พวกเขาจะมีโอกาสในอนาคตมากขึ้น


 


มรดกของนิกายเงาถูกรวบรวมมาโดยเทพปีศาจจิตวิญญาณเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่และยังดำเนินต่อไปเป็นเวลาอีกหนึ่งแสนปีหลังจากความตายของเขา


 


มรดกที่ฟางหยวนได้รรับราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เขามีทางเลือกมากมายในการบ่มเพาะ


 


ด้วยสิ่งที่อยู่ในมือ โอกาสในอนาคตของฟางหยวนอาจไร้ขีดจำกัด


 


แต่สิ่งที่ช่วยฟางหยวนได้ดีที่สุดไม่ใช่ทางเลือกใหม่เหล่านั้น


 


แม้พวกมันจะน่าดึงดูดใจ แต่เขายังต้องใช้เวลา พลังงาน และทรัพยากรมหาศาล


 


สิ่งที่สามารถช่วยฟางหยวนได้ในปัจจุบันคือวิญญาณสติปัญญา


 


แสงแห่งปัญญาเป็นตัวช่วยที่ไร้คู่เปรียบ ฟางหยวนยังรู้สึกประทับใจกับสิ่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน


 


เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากมันอีกครั้ง เขาต้องใช้ร่างผีดิบอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งของเขา


 


ฟางหยวนมีวิธีกำจัดกับดับบนเส้นทางแห่งจิตวิญญญาณในร่างเดิมของเขาแล้ว แต่เขายังขาดวิญญาณอมตะล้างใจที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด


 


น่าเสียดายที่ความพยายามในการหลอมรวมวิญญาณอมตะล้างใจนับสิบครั้งล้มเหลวทั้งหมด


 


“แม้วิธีการหลอมรวมด้วยน้ำแข็งจะเหมาะสมกับข้า แต่ข้าไม่เคยใช้วิธีนี้มาก่อน นอกจากนั้นขั้นตอนสุดท้ายก็ยากมาก” ฟางหยวนถอนหายใจ


 


“นั่นเป็นเรื่องจริง” ผมที่หกถอนหายใจเช่นกัน


 


อัตราความสำเร็จของการหลอมรวมวิญญาณอมตะต่ำเกินไป มันเหมือนหลุมลึกที่ไร้จุดสิ้นสุด


 


ความกังวลที่ยิ่งใหญ่ประการหนึ่งของฟางหยวนคือมีบางคนหลอมรวมวิญญาณอมตะล้างใจไปแล้ว


 


วิญญาณอมตะทุกชนิดมีเพียงหนึ่งเดียว พวกเขาไม่สามารถหลอมรวมวิญญาณอมตะชนิดเดียวกันเป็นดวงที่สอง


 


อย่างไรก็ตามสิ่งนี้สามารถตรวจสอบได้ในระดับหนึ่ง


 


หากการหลอมรวมวิญญาณอมตะไม่มีข้อผิดพลาดตลอดกระบวนการแต่กลับล้มเหลวก่อนจะประสบความสำเร็จ นั่นอาจกล่าวได้ว่ามีบางคนหลอมรวมมันไปแล้ว


 


แต่เคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะจะถูกเก็บเป็นความลับเสมอ ดังนั้นฟางหยวนจึงยังมีโอกาสค่อนข้างมาก


 


“บางทีเราอาจปรับเปลี่ยนขั้นตอนสุดท้าย เราอาจใช้แก่นแท้บัวหิมะทดแทนทรัพยากรอมตะบนเส้นทางแห่งน้ำแข็ง” ผมที่หกกล่าว


 


“ดัดแปลงเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะงั้นหรือ?” ฟางหยวนพึมพำและพยักหน้าเล็กน้อย


 


ขั้นตอนสุดท้ายยากเกินไป หลังจากเปลี่ยนทรัพยากรอมตะ แม้ต้องใช้เวลานานขึ้นแต่ความยากของมันจะลดลงอย่างมาก


 


“เช่นนั้นเรามาลองดัดแปลงมัน” ฟางหยวนตัดสินใจ


 


การดัดแปลงเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะมีความเสี่ยงสูงและเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองมาก


 


“แต่แก่นแท้บัวหิมะเป็นทรัพยากรอมตะระดับเจ็ดที่หายากกระทั่งในสวรรค์สีเหลือง” ฟางหยวนกังวลเล็กน้อย


 


ผมที่หกยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องกังล เผ่ามนุษย์หิมะมีทรัพยากรอมตะจำนวนมาก อย่าลืมว่าเราเป็นพันธมิตรกับเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ของภาคเหนือ ข้าถามมาแล้ว เผ่ามนุษย์หิมะที่อยู่ใต้แดนน้ำแข็งมีแก่นแท้บัวหิมะอยู่มากมาย”


 


“เช่นนั้นเราก็ไปซื้อกัน” ฟางหยวนรู้สึกผ่อนคลายลง


 


แม้เขาจะมีหินวิญญาณอมตะอยู่ไม่มาก แต่เขามีมรดกของนิกายเงา เพียงนำบางสิ่งออกมาก็สามารถสร้างความโกลาหลได้แล้ว


 


ดังนั้นฟางหยวนจึงไม่กังวลว่าเผ่ามนุษย์หิมะจะไม่เคลื่อนไหว


 


“ข้าต้องได้รับแก่นแท้บัวหิมะ!” ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น


 


เขาต้องการหลอมรวมวิญญาณอมตะล้างใจให้สำเร็จโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงไม่ลังเลที่จะจ่ายด้วยราคาใดก็ตาม

 

 

 


บทที่ 1442 ศิษย์ของราชันมังกร

 

หนึ่งเดือนต่อมา


 


ภาคกลาง นิกายคฤหาสน์วิญญาณ


 


วิหารลอยอยู่บนก้อนเมฆ


 


มันคือคฤหาสน์วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ วิหารสุริยันจันทรา


 


วิหารแห่งนี้เป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมันคือช่วยสนับสนุนการบ่มเพาะของผู้อมตะ


 


ในช่วงเวลาปกติผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณจะผลักกันใช้งานมันเพื่อช่วยในการบ่มเพาะ


 


แต่ตอนนี้วิหารสุริยันจันทราถูกนำออกมาและใช้งานอย่างเต็มที่


 


ในห้องโถงใหญ่ของวิหารแห่งนี้ กลุ่มผู้อมตะมารวมตัวกัน


 


ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณทั้งหมดอยู่ที่นี่รวมถึงฟงจิวเก้อ เทพธิดาไป่ชิง ซูเฮา หลี่จุนอิง และผู้อมตะคนใหม่จ้าวเหลียนหยุน


 


แต่ตัวละครหลักในปัจจุบันคือฟงจินฮวง


 


ฟงจินฮวงแต่งกายด้วยชุดสีขาวที่ดูเรียบร้อย


 


นางคุกเขาอยู่บนพื้นและก้มกราบราชันมังกรที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหลัก


 


นี่คือพิธีรับศิษย์ของราชันมังกร


 


ในความเป็นจริงเมื่อฟงจินฮวงเป็นสมาชิกนิกายคฤหาสน์วิญญาณ นางก็ไม่สามารถกราบไหว้ผู้อื่นเป็นอาจารย์ได้อีก


 


แต่ราชันมังกรคือผู้ใด?


 


ทุกคนในนิกายคฤหาสน์วิญญาณรู้สึกยินดีมาก ผู้อาวุโสสูงสุดหลายคนของนิกายต้องหารือกันเพื่อจัดพิธีในครั้งนี้ให้ยิ่งใหญ่ที่สุด


 


อย่างไรก็ตามข้อเสนอเหล่านั้นถูกปฏิเสธโดยราชันมังกร


 


ราชันมังกรบอกพวกเขาว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย พวกเขาไม่ควรเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายคฤหาสน์วิญญาณจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง นางทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อพิธีในครั้งนี้


 


ราชันมังกรไม่ได้แสดงออกแต่ภายในเขาค่อนข้างพอใจกับงานนี้


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองไปที่ฟงจินฮวง ดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความสุข


 


หลังจากพิธีเสร็จสิ้น ฟงจินฮวงลุกขึ้นยืนและยกถ้วยชาให้ราชันมังกร


 


ในห้องโถงที่เงียบสงบ ฟงจินฮวงกล่าวด้วยเสียงที่ชัดเจน “ท่านราชันมังกร โปรดรับชาน้ำค้างหยกสีทองของข้าด้วย”


 


ราชันมังกรหยิบถ้วยชาขึ้นและเปิดฝาออก


 


ชาส่องแสงสีทองที่งดงามและอ่อนโยน


 


ราชันมังกรปิดเปลือกตาลงและยกถ้วยชาขึ้นสูดดมเบาๆ


 


มันมีกลิ่นที่ละเอียดอ่อนราวกับกลิ่นน้ำค้างบนยอดหญ้าในยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิ มันบริสุทธิ์และไร้ตำหนิ กลิ่นหอมของมันยังทำให้ผู้คนรู้สึกมีชีวิตชีวา


 


“ชาที่ดี” ราชันมังกรยิ้ม เขาค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นและจิบเบาๆ


 


นี่เป็นชาชั้นยอดที่กระทั่งราชันมังกรก็ยากที่จะได้ดื่ม


 


“ฟงจินฮวง เจ้าเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม ชาของเจ้าไม่ธรรมดา ดี ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นศิษย์คนที่สองของข้า”


 


เกิดเสียงพึมพำขึ้นในห้องโถงทันที


 


ทุกคนเผยรอยยิ้มอย่างมีความสุข กระทั่งซูเฮาและหลี่จุนอิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


 


“บรรเลงบทเพลงอมตะ” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายคฤหาสน์วิญญาณกล่าวเบาๆ ต่อมาเสียงดนตรีก็ดังขึ้น


 


“ศิษย์กราบคารวะท่านอาจารย์!” ฟงจินฮวงเรียกราชันมังกรว่าอาจารย์ขณะที่เรียกตัวนางเองว่าศิษย์เป็นครั้งแรก


 


พิธีรับศิษย์สิ้นสุดลงในที่สุดหลังจากสองชั่วโมง


 


นี่เป็นพิธีที่สำคัญมาก


 


ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณเต็มไปด้วยความตื่นเต้น


 


ราชันมังกรคือผู้นำวังสวรรค์ แต่เขายินดีรับฟงจินฮวงเป็นศิษย์


 


นี่ถือเป็นเกียรติของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ


 


ในฐานะมารดาของฟงจินฮวง น้ำตาของเทพธิดาไป่ชิงไหลออกมาด้วยความตื่นเต้น


 


ฟงจิวเก้อยืนอยู่ข้างกายนางและจับมือนางเบาด้วยความพึงพอใจเช่นกัน


 


“พรุ่งนี้ฟงจินฮวงจะเดินทางไปยังวังสวรรค์พร้อมกับข้าและฝึกฝนอยู่ที่นั่น”


 


“ฟงจิวเก้อและไป่ชิงอยู่ก่อน คนอื่นๆออกไปได้”


 


ราชันมังกรโบกมือให้คนอื่นๆออกไป เหลือเพียงฟงจินฮวงและบิดามารดาของนางเท่านั้นที่ยังอยู่


 


“ฟงจิวเก้อ/ไป่ชิง คาวระท่านราชันมังกร” ทั้งสองโค้งคำนับอย่างสุภาพ


 


ราชันมังกรพยักหน้าเล็กน้อย เขาชำเลืองมองเทพธิดาไป่ชิงก่อนจะมองไปที่ฟงจิวเก้อ


 


“ภารกิจกำจัดฟางหยวนล้มเหลวงั้นหรือ?” ราชันมังกรกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส


 


ฟงจิวเก้อตอบ “ข้ารู้สึกละอายใจนัก”


 


ฟงจิวเก้อรอคอยฟางหยวนอยู่ที่สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาในทะเลทรายตะวันตกเป็นเวลาหลายเดือน แต่พวกเขากลับไม่พบฟางหยวน


 


เมื่อเวลาผ่านไปเทพธิดาจื่อเว่ยรู้สึกผิดปกติและเนื่องจากพิธีรับศิษย์ของราชันมังกร ฟงจิวเก้อจึงถูกเรียกตัวกลับมา แต่สองผู้อมตะระดับแปดของวังสวรรค์ยังรั้งรออยู่


 


ราชันมังกรกล่าวต่อ “ฟางหยวนเป็นปีศาจต่างโลกที่สมบูรณ์ เขาเป็นศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของวังสวรรค์และเป็นเป้าหมายที่เจ้าฟงจิวเก้อต้องกำจัด”


 


“ข้ารับศิษย์เพียงสองคนตลอดชีวิต เจ้าคงเข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ฟงจินฮวงจะเป็นเทพอมตะแห่งความฝันในอนาคตและฟงจิวเก้อเจ้าต้องเป็นผู้พิทักษ์เต๋าของนาง”


 


“อันใด? ข้าคือผู้พิทักษ์เต๋าของฮวงเอ๋องั้นหรือ?” ฟงจิวเก้อรู้สึกประหลาดใจ


 


“นี่เป็นความลับสวรรค์ที่ไม่ควรเปิดเผย แต่นิกายเงารู้เรื่องนี้แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญ ยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง เทพอมตะแห่งความฝันจะถือกำเนิดขึ้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฟางหยวนเป็นอุปสรรคของวังสวรรค์และยังเป็นศัตรูที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของพวกเจ้าพ่อลูก เจ้าต้องแบกรับภารกิจที่ยิ่งใหญ่และนำสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ นี่คือโชคชะตาของพวกเจ้า”


 


ราชันมังกรหยุดชั่วคราวเพื่อให้ทุกคนมีเวลาคิดทบทวน


 


ครอบครัวของฟงจินฮวงสงบลงหลังจากไม่นาน


 


ราชันมังกรกล่าวต่อกับฟงจินฮวง “ฮวงเอ๋อ ศิษย์ของข้า เจ้าจะติดตามข้าและรับการสั่งสอนจากข้า เจ้าต้องแยกจากพ่อแม่ของเจ้า ตอนนี้พวกเจ้าสามารถใช้เวลาร่วมกัน พรุ่งนี้เช้าข้าจะพาเจ้าไปวังสวรรค์”


 


หลังจากนั้นร่างของราชันมังกรก็อันตรธานหายไปอย่างเงียบๆ


 


“ฮวงเอ๋อ เจ้าคือผู้ถูกเลือก เจ้าต้องฝึกฝนอย่างหนัก เจ้าแบกรับอนาคตของสิ่งมีชิวิตทั้งหมดเอาไว้ หลังจากนี้ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า” ดวงตาของเทพธิดาไป่ชิงแดงขึ้นเล็กน้อย นางไม่เต็มใจที่จะแยกจาก


 


“ท่านแม่ ข้ายังไม่อยากจะเชื่อ นี่มันเหมือนความฝันเกินไป” ฟงจินฮวงโยนตัวเองเข้าสู่อ้อมแขนของมารดา


 


“ตั้งแต่ข้าได้ยินว่าท่านราชันมังกรต้องการรับเจ้าเป็นศิษย์  ข้าก็ได้ทำนายบางเรื่องเกี่ยวกับเจ้าเอาไว้แล้ว มันเป็นเพียงว่าแม่ไม่ได้คาดหวังว่าพ่อของเจ้าจะเป็นผู้พิทักษ์เต๋าของเจ้า” เทพธิดาไป่ชิงกล่าวด้วยอารมณ์ความรู้สึก


 


“ท่านพ่อ ท่านแม่ ผู้พิทักษ์เต๋าคือสิ่งใด?” ฟงจินฮวงถามด้วยความสงสัย


 


ฟงจิวเก้ออธิบาย “ระหว่างการบ่มเพาะของเทพอมตะหรือเทพปีศาจ พวกเขาจะมีผู้พิทักษ์เต๋าเสมอ ผู้พิทักษ์เต๋าทุกคนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของผู้อมตะระดับเก้า”


 


“โอ้” ฟงจินฮวงถามอีกครั้ง “ท่านอาจารย์บอกว่าเขามีศิษย์สองคน ข้าเป็นคนที่สอง แล้วศิษย์คนแรกของท่านคือผู้ใด?”


 


การแสดงออกของฟงจิวเก้อและเทพธิดาไป่ชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


ทั้งสองมองหน้ากับ


 


เทพธิดาไป่ชิงสั่งฟงจินฮวงด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฮวงเอ๋อ นี่เป็นข้อห้ามที่ไม่สามารถกล่าวถึงเมื่อเจ้าไปยังวังสวรรค์โดยเฉพาะต่อหน้าอาจารย์ของเจ้า”


 


“เพราะเหตุใด?” ฟงจินฮวงอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น


 


ในเวลานี้ฟงจิวเก้อเป็นผู้ให้คำตอบแก่นาง “เพราะศิษย์พี่ของเจ้าหรือศิษย์คนแรกของราชันมังกรก็คือเทพปีศาจบัวแดงในตำนาน ตัวตนที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)