ลำนำบุปผาพิษ 1434-1439

 บทที่ 1434 แท้จริงแล้วความตายไม่น่ากลัว


ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ ไม่กล่าวอะไร


หลงซือเย่ตัดสินใจในทันใด ยื่นข้อมือให้เขา “เจ้าจะตรวจก็ตรวจสิ ไม่มีอะไรสำคัญสักหน่อย”


ตี้ฝูอีดันถ้วยชาใบนั้นให้เขา “ดื่มชาให้สงบก่อนเถิด”


หลงซือเย่คลางแคลง “ชานี้ของเจ้า…”


ตี้ฝูอีเลิกคิ้วมองเขา “เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะใส่อะไรลงไปในชานี้กระมัง? หากว่าข้าต้องการทำร้ายเจ้าต้องวางยาพิษเจ้าด้วยหรือ? ตอนเจ้าหลับใหลก็หน้านี้ก็เพียงพอให้เอาชีวิตน้อยๆ ของเจ้าแล้ว!”


หลงซือเย่ไม่พูดอะไรอีก เพียงหยิบชาถ้วยนั้นขึ้นมาจิบเข้าไปคำหนึ่ง รู้สึกว่ารสชาติไม่เลวเลยจริงๆ จึงค่อยๆ ดื่มชาลงไป


ท่าทางการดื่มชาของเขาสง่างามยิ่ง ตี้ฝูอีรอจนเขาดื่มเสร็จ ถึงได้จับชีพจรเขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ชักมือกลับ มองเขาเงียบๆ ดวงตาทอแววใคร่ครวญลึกซึ้ง


หลงซือเย่ถูกเขาจนขนลุกแล้ว “เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไม หรือว่าข้าป่วยเป็นโรคร้ายระยะสุดท้ายแล้ว?”


ตี้ฝูอีส่ายหน้าเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาแสดงออกอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “อาการป่วยของเจ้าน่าหลัวยิ่งกลัวโรคร้ายระยะสุดท้ายเสียอีก”


หลงซือเย่เงียบไปครู่หนึ่ง


เขาหัวเราะออกมาเบาๆ “น่ากลัวแค่ไหนกัน? ข้าจะตายแล้วหรือ?” เมื่อก่อนเขาใช้ชีวิตอย่างหมกมุ่นยึดติด คิดสารพัดวิธีเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป คิดสารพัดวิธีเพื่อคืนชีพให้กู้ซีจิ่ว…


อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วความพยายามนานหลายปีของเขาก็ว่างเปล่า ตอนนี้เขาไม่พบความหมายในการมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่ใส่เรื่องความเป็นความตายแล้ว


ตี้ฝูอีส่ายหน้า “แท้จริงแล้วความตายไม่น่ากลัว แต่หากว่าเจ้าตายแล้วมีคนใช้ร่างเจ้าและชื่อเสียงของเจ้าไปทำเรื่องชั่วช้าเล่า?”


หลงซือเย่ขมวดคิ้ว “ความหมายของเจ้าคือข้าจะถูกยึดร่าง?” พลางส่ายศีรษะอย่างเด็ดเดี่ยว “เป็นไปไม่ได้!”


ตี้ฝูอียิ้ม “เรื่องราวบนโลกนี้กล่าวได้ยากนัก เรื่องที่เป็นไปไม่ได้มากมายอาจเป็นไปได้ขึ้นมา”


หลงซือเย่ทนไม่ไหวแล้ว “สรุปแล้วเจ้าอยากพูดอะไรกันแน่บอกมาตามตรงเถอะ!”


ตี้ฝูอีกล่าวว่า “เจ้ารีบร้อนอันใด? ต้องการเดินหมากกับข้าสักตาไหม?”


หลงซือเย่พูดไม่ออกแล้ว เขารู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าสมองของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ผิดมนุษย์มนา! ทุกครั้งที่เขาพูดคุยกับเขามากไปสักสองสามประโยคก็เกิดความปรารถอยากบดขยี้เขายิ่งนัก


เพียงแต่คนผู้นี้ถึงแม้จะกระทำการลึกลับซับซ้อน ทำให้คนสับสนงงงวย ทว่าส่วนใหญ่ล้วนมีเป้าหมาย มีเหตุผลของเขาเสมอ


หลงซือเย่สงบเพลิงโทสะซัดโหมอย่างน่าประหลาดลงไป ตอบอย่างเยือกเย็น “ได้!” เขาอยากเห็นว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่


ตี้ฝูอีกลับไม่ได้ทำอะไร ยามที่เดินหมากก็มีสมาธิจดจ่อ นิ้วเคลื่อนปานเหินบิน


ทีแรกหลงซือเย่นึกว่าเขาเดินหมากเพื่อทดสอบอะไรตน แต่เมื่อผ่านไปสักพักก็ไม่รู้สึกว่าเขาวางเล่ห์กลอันใดไว้บนหมาก จึงเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเช่นกัน


ทั้งสองคบหาสมาคมกันมานานหลายปี ถึงแม้จะไม่ชอบหน้ากัน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสานุศิษย์สวรรค์เหมือนกัน มีโอกาสร่วมมือกันอยู่มากมายหลายครั้ง ยามที่สหายมารวมตัวก็เคยเดินหมากกันอยู่สองสามตา ต่างคุ้นเคยกับแนวทางการเดินหมากของกันและกัน


ทักษะการเดินหมากของตี้ฝูอียอดเยี่ยมยิ่งนัก หลงซือเย่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ยามที่คนทั้งสองประลองกันนับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ


ผ่านไปสักพัก ตี้ฝูอีก็มองหลงซือเย่แวบหนึ่ง “ไม่ได้พบกันแปดปี ทักษะปราณของเจ้ายอดเยี่ยมขึ้นนะ แนวทางการลงหมากก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน”


หลงซือเย่ร้องเฮอะคราหนึ่ง “กับเจ้าหลายปีเสมือนหนึ่งวัน แนวทางการเดินหมาดยังคงพิสดารเช่นเดิม ทำให้ผู้อื่นสับสนคาดเดาไม่ถูกเช่นเดียวกับตัวเจ้า”


หลงซือเย่ยังไม่ลืมเรื่อง ’โรค’ ของตัวเอง หลังจากอดทนเดินหมากกับเขาจบไปสองตา ก็เอ่ยถาม “เจ้าควรพูดจาเข้าประเด็นได้แล้วกระมัง?”


หมากสองตานี้ตี้ฝูอีล้วนมีชัยทั้งสิ้น เขาอารมณ์ดีมาก เมื่อได้ยินถามเช่นนี้ เขาก็ลุกขึ้นยืน “อันที่จริงอาการป่วยนี้ของเจ้ารักษาได้ไม่ยาก ข้าจะสอนเคล็ดสมาธิชุดหนึ่งให้เจ้า เจ้านั่งสมาธิหนึ่งชั่วยามทุกๆ วัน โรคนี้ย่อมรักษาหายขาด”


—————————————————————–


บทที่ 1435 ทำให้คนเกลียดไม่ลง…


หลงซือเย่มองเขาอย่างคลางแคลง ตี้ฝูอีก็ไม่สนว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ วาดแขนวาดขาพลางพูดถึงวิธีทำสมาธิ


เคล็ดสมาธิชุดนี้เรียนรู้ได้ไม่ยาก ถึงขั้นที่กล่าวได้ว่าง่ายดายนัก หลงซือเย่ดูรอบเดียวก็ทำได้แล้ว เขาลองทำสมาธิตามอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าจุดหนึ่งในศีรษะเต้นตุบๆ อย่างรุนแรง คล้ายว่าด้านในมีหนอนประหลาดบางอย่างที่ได้รับความตระหนก แม้กระทั่งหัวใจเขาก็สั่นสะท้านตามเช่นกัน


เขาลืมตาขึ้นในทันใด กลับพบว่าตี้ฝูอีกำลังทาบนิ้วไว้บนข้อมือเขา เอ่ยเสียงขรึม “ทำต่อไป!”


ตี้ฝูอีในยามนี้ทรงอำนาจยิ่งนัก ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ หลงซือเย่สูดหายใจเบาๆ ทำต่อไปจริงๆ


ระหว่างที่เขาโคจรพลังวิญญาณประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลมก็สัมผัสได้ว่าตี้ฝูอีก็ถ่ายทอดพลังวิญญาณผ่านปลายนิ้วเข้ามาเช่นกัน เคลื่อนไปตามชีพจรเขาตามความคิดของเขา ยามที่โคจรไปถึงจุดนั้นในสมองอีกครั้ง ‘หนอนประหลาด’ ตัวนั้นก็ได้รับความตระหนกอีกครั้ง ถึงขั้นที่มีทีท่าว่าจะรุนแรงขึ้นอีกด้วย


หัวใจหลงซือเย่ดิ่งวูบ พลังวิญญาณของตี้ฝูอีเอ่อท้นขึ้นมาแล้ว! และในช่องท้องของหลงซือเย่ก็มีกระแสอุ่นร้อนกลุ่มหนึ่งหมุนวนขึ้นมา พุ่งขึ้นไปที่ศีรษะของเขาอย่างรวดเร็ว…


พลังวิญญาณสามสายพัวพันอยู่ในสมองหลงซือเย่ ในที่สุดก็สะกด ‘หนอน’ ที่กำลังดิ้นพล่านลงไปได้ ราวกับถูกตรวนหนักอึ้งจองจำไว้ ทำให้ ‘หนอน’ ตัวนั้นก่อเรื่องไม่ได้อีก


เพียงแต่ระหว่างขั้นตอนนี้หลงซือเย่ปวดหัวจนแทบแยกเป็นเสี่ยงๆ หากมิใช่มีพลังวิญญาณของตี้ฝูอีบังคับยับยั้งเขาไว้ เขาคงจะกระโดดขึ้นมาแล้ว


และไม่ทราบว่าผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดแล้ว ในที่สุดตี้ฝูอีก็ชักมือกลับ หลงซือเย่ลืมตาขึ้นมาเหงื่อโซมหน้าผาก มองตี้ฝูอีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามเขา สีหน้าค่อนข้างซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าเขาก็สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไม่น้อยเช่นกัน


“สรุปแล้วในร่างข้ามีอะไรกันแน่?” หลงซือเย่อดไม่ได้ที่จะลองจับสัมผัส ‘ของ’ ในสมองดูอีกครั้ง


“อย่าสัมผัสมัน!” ตี้ฝูอีเอ่ยขัดเขาทันที “ยิ่งเจ้าสัมผัสมันก็ยิ่งทำให้มันหลุดจากพันธนาการได้ง่ายขึ้น!”


หลงซือเย่สูดหายใจนิดๆ มองดูเขา “สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


ตี้ฝูอีตอบอย่างเรียบเรื่อย “มีคนวางกู่ใส่เจ้า ทำให้เจ้าไม่อาจควบคุมพฤติกรรมในยามราตรีของตนได้ ถูกควบคุมโดยกู่ตัวนั้น ตอนนี้ข้าช่วยเจ้าผนึกมันไว้แล้ว ขอเพียงเจ้าฝึกฝนตามที่ข้าสอนวันละสองครั้งก็จะเสริมให้ผนึกแข็งแกร่งขึ้น ทำให้มันหลุดจากพันธนาการไม่ได้”


หลงซือเย่ตกตะลึง เขาฝืนข่มใจไว้ “ไม่มีวิธีกำจัดมันไปอย่างถาวรหรือ?”


ตี้ฝูอีเอ่ยตอบ “มี! แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”


“เช่นนั้นยามไหนจึงจะถึงเวลา?”


ตี้ฝูอียกนิ้วหนึ่งทาบริมฝีปาก ยิ้มอย่างน่าชัง “ลิขิตสวรรค์มิอาจแพร่งพราย”


หลงซือเย่ไปไม่เป็นแล้ว…


ตี้ฝูอีหัวเราะฮ่าๆ หันหลังจากไป


หลงซือเย่แทบอยากขว้างถ้วยชาใส่ท้ายทอยเขา!


คนผู้นี้กระทำการให้ผู้อื่นคาดเดาไม่ออกอยู่ร่ำไป ถูกเขายั่วโมโหจนโมโหเขาแทบตายแล้วจริงๆ! แต่กลับทำให้คนเกลียดไม่ลง…


ในร่างตนมีกู่อยู่จริงหรือ? ก่อนหน้านี้ตนไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลย! หากมิใช่ตี้ฝูอีถ่ายทอดเคล็ดวิชามาให้ลองทดสอบดู เขาก็ยังมืดแปดด้านอยู่


สัญชาตญาณเขาอยากลองตรวจดูอีกครั้ง แต่เมือนึกถึงถ้อยคำของตี้ฝูอีก็ล้มเลิกความคิดเสีย ตี้ฝูอีผู้นี้ถึงแม้จะกระทำการลึกลับ แต่คำพูดของเขายังคงเชื่อถือได้ ไม่จำเป็นต้องไปแตะต้องกับระเบิดลูกนั้น


เพียงจากดูจากท่าทางของตี้ฝูอีที่ผ่อนคลายยิ่งนัก กู่ในร่างของเขาก็น่าจะไม่ร้ายแรงอะไร ขอเพียงเขาสะกดควบคุมมันไว้ก็พอแล้ว


เมื่อตี้ฝูอีออกมาจากห้องพักของหลงซือเย่ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป


เรื่องของหลงซือเย่ซับซ้อนกว่าที่เขาคิดมากนัก…


บทที่ 1436 ข้าไม่กลัวความยุ่งยาก…


เรื่องของหลงซือเย่ซับซ้อนกว่าที่เขาคิดมากนัก วิญญาณของหลงฟั่นมีวี่แววว่าจะผสานเข้ากับดวงวิญญาณของเขาแล้ว ถ้าไม่ใช่วิธีพิเศษจะแยกออกจากกันไม่ได้ และวิธีพิเศษนั้นตี้ฝูอีก็ยังใช้ไม่ได้ชั่วคราว


เขารังเกียจหลงฟั่นยิ่งนัก หากเป็นไปได้ เขาอยากจะทำให้ดวงวิญญาณของอีกฝ่ายแตกสลายอย่างไม่ไยดีเลย


ยามนี้ถ้าเขาต้องการสังหารหลงฟั่นก็ไม่นับว่ายาก ถ้าไม่แยกดวงวิญญาณของพวกเขาออกจากกันอย่างแท้จริงก่อน เมื่อสังหารหลงฟั่นก็จะต้องสังหารหลงซือเย่ไปด้วยอย่างไม่อาจเลี่ยงได้


อีกอย่างหลงซือเย่ก็เป็นสานุศิษย์สวรรค์ต้องพยายามรักษาชีวิตเขาไว้ ต่อให้เขาไม่ใช่สานุศิษย์สวรรค์ ก็ยังเป็นสหายที่กู้ซีจิ่วใส่ใจที่สุด หากว่าเขาสังหารหลงซือเย่ กู้ซีจิ่วจะต้องเสียใจมากเป็นแน่…


เขาไม่อยากให้กู้ซีจิ่วเสียใจ ยิ่งไปกว่านั้นคือหากว่าหลงซือเย่มีชีวิตอยู่ก็จะเป็นแขนเป็นขาให้กู้ซีจิ่วได้ในอนาคต…


เรื่องที่หลงฟั่นอาศัยอยู่ในร่างของหลงซือเย่ก็ไม่อาจปล่อยให้หลงซือเย่รู้ตัวได้ เนื่องจากดวงวิญญาณของหลงฟั่นแข็งแกร่งกว่าหลงซือเย่มาก หากว่าหลงซือเย่ทราบว่า ‘กู่’ ในร่างคือหลงฟั่น จะต้องตื่นตระหนกเป็นแน่ จะคิดกำจัดเขาออกไปตลอดเวลา และทุกครั้งที่นึกถึงอีกฝ่ายล้วนจะเพิ่มแรงกระตุ้นชนิดหนึ่งขึ้น ทำให้หลงฟั่นหลุดจากพันธนาการได้เร็วขึ้น…


ดังนั้นตี้ฝูอีจึงทำได้เพียงแสร้งว่าไม่มีเรื่องอันใดใช้คำว่า ‘กู่’ มาโป้ปดให้ผ่านพ้นไป


เขากลับไปที่ห้องพักของตน กู้ซีจิ่วยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง เกศาแผ่อยู่บนหมอน หลับฝันหวานยิ่งนัก ผ่อนคลายอย่างยิ่ง


หลังจากเขาใช้คาถาชำระล้างกับตัวเองแล้วก็ขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง นอนอยู่ข้างกายนาง


กู้ซีจิ่วอยู่ในห้วงนิทราเกิดความเคยชินในการพึ่งพิงเขาแล้ว เขานอนลงได้ไม่นาน นางที่หลับตาอยู่ก็ซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดเขา


ตี้ฝูอีหลุบตามองนางอยู่พักหนึ่ง ไม่ทราบเช่นกันว่าคิดอะไรอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็จุมพิตริมฝีปากนางเบาๆ “เด็กน้อย ข้าจะมอบโลกที่สงบสุขให้เจ้า ยุติความปัญหายุ่งยากทั้งมวล…”


เสียงกระซิบของเขาดังคำปฏิญาณ กู้ซีจิ่วที่อยู่ในห้วงนิทราพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง “ข้าไม่กลัวความยุ่งยาก…”


ตี้ฝูอีชะงักไปครู่หนึ่ง ยิ้มออกมา จุมพิตขมับนาง “อืม ความยุ่งยากสิต้องกลัวเจ้า…”


กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไรอีก ในที่สุดก็หลับสนิท


ตี้ฝูอีโอบกอดนางไว้แน่น แล้วหลับไปเช่นกัน


….


เมื่อกู้ซีจิ่วตื่นขึ้นมาอีกวันดวงตะวันก็ลอยสูงมากแล้ว เธอลุกขึ้นนั่ง พบว่าตี้ฝูอียังนอนอยู่ข้างกายเธอ ดวงตาปิดพริ้มหลับสนิทยิ่งนัก


เขาเหนื่อยสินะ?


ยากนักที่จะได้เห็นตี้ฝูอีหลับใหลอยู่บนเตียงหลังจากกรำศึกรัก กู้ซีจิ่วรู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง จึงนอนคว่ำอยู่ข้างกายเขามองดูสีหน้าเขา


สีหน้าเขาซีดขาวเล็กน้อย ใต้แพขนตามีรอยคล้ำเล็กๆ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาค่อนข้างเหนื่อยล้าจริงๆ


กู้ซีจิ่วรู้สึกปวดใจนิดๆ นึกถึงเรื่องราวมากมายที่เขาทำเมื่อวาน ติดต่อผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น เมื่อคืนก็เป็นห่วงจึงเร่งติดตามมาตลอดทั้งคืน จากนั้นก็ครอบครองเธอถึงสองครั้ง น่าจะเหนื่อยล้าจริงๆ


เธอคิดเล็กน้อย หมายจะลงจากเตียงไปทำโจ๊กและเครื่องเคียงบางอย่างมาบำรุงเขา


เพิ่งจะลุกขึ้นนั่ง แขนข้างหนึ่งก็คล้องเข้าที่เอว น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยของตี้ฝูอีดังขึ้น “จะไปไหน?”


กู้ซีจิ่วหันกลับไปถามเขา “ท่านหิวไหม? อยากกินอะไรสักหน่อยหรือเปล่า?”


แววตาตี้ฝูอีดั่งระลอกแสง ตอบอย่างจริงใจยิ่งนัก “หิว!”


“ข้าจะไปทำของอร่อยให้” กู้ซีจิ่วตบแก้มเขาเบาๆ “ถ้าง่วงก็งีบต่ออีกพักหนึ่งเถอะ ทำเสร็จข้าจะเรียกท่าน…”


ขณะที่กำลังลงจากเตียง ตี้ฝูอีก็ดึงแขนข้างหนึ่งของเธอไว้ “เด็กน้อย เรื่องที่หลงฟั่นยึดครองร่างของหลงซือเย่ในยามราตรีให้ปิดไว้ก่อนชั่วคราว อย่าได้บอกหลงซือเย่”


กู้ซีจิ่งฉงน “ทำไมล่ะ? เตือนเขาให้เขาตื่นตัวไม่ดีหรือ? ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีวิธีขับหลงฟั่นออกจากร่างตนก็ได้”


—————————————————————-


บทที่ 1437 เธอมีความสุขไหม?


ตี้ฝูอีส่ายหน้า “ไม่ได้” เล่าถึงสถานการณ์ของหลงซือเย่ กู้ซีจิ่วตะลึงไปครู่หนึ่ง เรื่องวิญญาณยึดร่างนี้เธอไม่ใคร่สันทัด เมื่อได้ยินตี้ฝูอีบอกเนนี้ก็เชื่อถือ พยักหน้าแล้วเอ่ยตอบ “ได้ ฟังคำท่าน ข้าไม่บอกเขา ข้าจะไปเตือนหลีเมิ่งซย่าไว้ด้วย กันไม่ให้นางพลั้งปากพุดออกไป”


“ประมุขหลีถูกข้าส่งออกไปแล้ว ได้กำชับนางไปแล้วเช่นกัน”


กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะมองดูเขา “ที่เมื่อคืนนี้หลังจากข้าหลับท่านก็ออกปทำเรื่องตั้งมากมายอีก…”


ตี้ฝูอีหลับตาลง มีท่าทีว่าจะนอนต่อ “อืม เมื่อคืนสุขสมเกินไปจนนอนไม่หลับ จึงถือโอกาสจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยเสีย”


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกแล้ว


ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านช่างมีกำลังวังชายิ่งนัก!


….


กู้ซีจิ่วขอยืมห้องครัวของโรงเตี๊ยม ปรุงอาหารชุดหนึ่งด้วยตัวเอง ถือไปที่ห้องของตน


เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็เข้าไปดูตี้ฝูอีที่นอนอยู่ในห้องอีกครั้ง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาหลับสนิทถึงเพียงนี้ เธอหักใจปลุกเขาไม่ลงอยู่บ้าง…


คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็คิดจะเอาอาหารเหล่านั้นใส่ถุงเก็บของตนรักษาอุณหภูมิไว้ก่อน รอเขาตื่นแล้วจะได้อุ่นร้อนสดใหม่อยู่


ขณะที่กำลังลงมือ บานประตูก็มีเสียงเคาะเบาๆ แว่วขึ้น ยาวสามสั้นสี่ เป็นวิธีเคาะของหลงซือเย่


กู้ซีจิ่วเปิดประตูออก หลงซือเย่ยืนสง่าอู่นอกประตู “ซีจิ่ว ฉันได้กลิ่นหอมของกับข้าว ดูเหมือนเธอจะทำอาหารเองสินะ? พอจะมีส่วนของฉันไหม?”


กู้ซีจิ่วย่อมปฏิเสธไม่ได้ พาเขาเข้ามาในห้อง พูดคุยกับเขาสองสามประโยค ทราบจากการสนทนาว่าหลงซือเย่จำเรื่องเหล่านั้นที่หลงฟั่นกระทำลงไปไม่ได้จริงๆ เห็นทีจะเป็นแบบที่ตี้ฝูอีว่า ถึงแม้วิญญาณสองดวงจะใช้ร่างเดียวกันแต่ไม่มีความทรงจำร่วมกันจริง


เธอเบาใจแล้ว หลงซือเย่เดินไปที่หน้าโต๊ะ มองเห็นอาหารบนโต๊ะเหล่านั้น นัยน์ตามีแววปวดร้าวพาดผ่าน


อาหารเหล่านี้เป็นฝีมือของกู้ซีจิ่ว เขาเคยกินมานับครั้งไม่ถ้วน ยามนั้นไม่รู้สึกว่ามีอะไร ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าตนในยามนั้นมีความสุขมากจริงๆ เพียงแต่ความสุขนี้ไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว…


เขาส่ายศีรษะเล็กน้อย สะบัดความเศร้าหมองในใจทิ้ง มองไปที่ประตูห้องด้านใน “เขาไม่อยู่ในห้องเหรอ?”


“เขาค่อนข้างเหนื่อยล้า ยังพักผ่อนอยู่ในห้องน่ะ ครูฝึกหลง คุณกินก่อนเลย”


กู้ซีจิ่วเลือกสองจานจากบนโต๊ะไปไว้เบื้องหน้าหลงซือเย่


หลงซือเย่หลุบตามองอาหารอย่างนั้น คิ้วกระตุกแวบหนึ่ง “ซีจิ่ว ยากนักที่เธอยังจำได้ว่าฉันชอบกินอะไร” อาหารสองจานนี้เป็นของโปรดเขา


กู้ซีจิ่วเอ่ยยิ้มๆ “ของโปรดเพื่อนฉันจำได้หมดแหละน่า”


แววตาหลงซือเย่หมองลงไป ใช่แล้ว เพื่อน จากนี้ไปเธอกับเขาเป็นแค่เพื่อนกัน


“ซีจิ่ว เธอมีความสุขไหม?” หลงซือเย่โพล่งถามไปประโยคหนึ่ง เพียงแต่หลังจากถามประโยคนี้ออกไปเขาก็รู้สึกเสียใจภายหลัง


สีหน้าของกู้ซีจิ่วชื่นมื่น มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นท่าทีของความสุขของการตกอยู่ในห้วงรัก คำถามนี้ของเขาช่างไร้สาระเสียจริง


ดังนั้นหลังจากเขาถามประโยคนี้ออกไปจึงเอ่ยเสริมไปอีกประโยค “ช่างเถอะ เป็นฉันถามมากไปแล้ว ขอแค่เธอมีความสุขก็พอ”


กู้ซีจิ่วมองเขาอย่างจริงจัง “ครูฝึกหลง วันหน้าคุณก็จะหาความสุขของตัวเองเจอเหมือนกัน”


ในทรวงเธอคล้ายมีเลือดลมพลุ่งพล่านอยู่ อดไม่ไหวกล่าวออกไปอีกประโยคหนึ่ง “อันที่จริงหลีเมิ่งซย่า…” อันที่จริงหลีเมิงซย่ามีความรู้สึกดีต่อหลงซือเย่ยิ่งนัก โดยเฉพาะหลังจากร่ำสุราด้วยกันเมื่อคืน หลังจากหลีเมิ่งซย่าเมามายแล้วยามที่เอ่ยถึงหลงซือเย่ดวงตาจะส่องประกายเล็กน้อย…


หลงซือเย่ตัดบทเธอ “ซีจิ่ว เธอคิดจะจับคู่ให้ฉันเหรอ?”


กู้ซีจิ่วกระแอมทีหนึ่ง เธอรู้ว่าชาติก่อนหลงซือเย่รังเกียจการถูกจับคู่อย่างยิ่ง แน่นอนว่าชาตินี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน


บทที่ 1438 เจ้ายังเลี่ยนได้มากกว่านี้อีกหรือไม่


อีกอย่างด้วยคุณสมบัติขงหลงซือเย่ ขอเพียงเขาอ้าแขนออก สตรีที่ต้องการแบบใดบ้างเล่าที่จะไม่มี? ไม่จำเป็นต้องให้เธอไปเจ้ากี้เจ้าการเรื่องวิวาห์ให้เขาเลย


กู้ซีจิ่วก็ยิ้มออกมา “ไม่หรอก ทุกอย่างยังคงขึ้นอยู่กับวาสนา”


ไม่สนทนาหัวข้อนี้กันอีกต่อไป


หลงซือเย่บอกกับข้าวบนโต๊ะ จู่ๆ ก็มองกู้ซีจิ่วอย่างจริงจัง “ซีจิ่ว เธอทำจานปลาให้ฉันอีกสักครั้งได้ไหม? ฉันชอบกินแกงปลากับปลาเปรี้ยวหวานที่เธอทำ”


กู้ซีจิ่วชะงักไป อาหารทั้งสองอย่างที่หลงซือเย่ขอเป็นอาหารที่เธอทำให้เขาเป็นครั้งแรก ยามที่เพิ่งหัดทำครัวเมื่อชาติก่อน ครั้งนั้นรสชาติไม่นับว่าดีเท่าไหร่ แต่ยามนั้นหลงซือเย่กลับกินอย่างเอร็ดอร่อย เนื่องจากสองอย่างนี้ไม่ใช่อาหารจานถนัดของเธอ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่เคยทำอีกเลย นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังจำได้


เอก้ไม่พูดจาเป็นอื่น ตอบว่า ‘ได้’ แล้วไปทำให้


หลงซือเย่นั่งอยู่ตรงนั้นหลับตาลงเล็กน้อย สำหรับความรู้สึกนี้เขาตัดสินใจปล่อยมือแล้ว ครานั้นเขาได้กินอาหารสองอย่างนี้ที่เธอทำถึงยืนยันความรู้สึกที่แท้จริงของตนได้ ตอนนี้จะกินอาหารสองอย่างนี้ของเออีกครั้งเพื่อตัดใจ เริ่มจากตรงไหนก็ให้มันสิ้นสุดที่ตรงนั้น นับว่ามีเริ่มต้นมีสิ้นสุด


ซีจิ่ว บางทีเธอกับฉันอาจจะไร้วาสนาต่อกันจริงๆ หวังเพียงว่าเธอจะมีความสุข มีความสุขตลอดไป


“เจ้าเรียกใช้ฮูหยินข้าได้คล่องปากเหลือเกินนะ” เสียงหนึ่งแว่วเข้าหูหลงซือเย่


หลงซือเย่ลืมตาขึ้นมา มองเห็นตี้ฝูอีนั่งอยู่ตรงข้ามเขา สดชื่นมีชีวิตชีวาเสมือนเพิ่งกลับจากเยี่ยมชมแถบชานเมือง ไม่คล้ายว่าเพิ่งตื่นนอนสักนิด


ตี้ฝูอีเชี่ยวชาญการอ่านความคิดคน เขาจ้องตาหลงซือเย่ “อะไรกัน นี่คือการอำลาอดีตหรือ? ในที่สุดก็จะปล่อยมือจากนางแล้วสินะ?”


หลงซือเย่สูดหายใจเบาๆ สุ้มเสียงจริงจริง “ภายหน้าต่อดีต่อนางให้มากหน่อย หากว่าเจ้าไม่ดีต่อนางเพียงนิด ข้าจะกลับมาทวงนางคืน!”


….


ยามที่กู้ซีจิ่วนำอาหารสองอย่างกลับมา ก็เห็นบุรุษสองคนหมางเมินกันปานไก่กับเหยี่ยว ต่างคนต่างกินอยู่ตรงนั้น


ตี้ฝูอีค่อนข้างเอาแต่ใจ ไม่พอใจแค่อาหารทั้งสี่จาน ยังลากสองจานนั้นของหลงซือเย่มาแบ่งลงในชามเขาส่วนหนึ่งด้วย ทุกจานเหลือไว้ให้หลงซือเย่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น…


เห็นได้ชัดว่าหลงซือไม่คิดจะถือสาหาความกับเขา รักษาอาหารทั้งสองจานที่เหลืออยู่ครึ่งเดียวไว้ค่อยๆ ละเลียดกินอยู่ตรงนั้น


กู้ซีจิ่ววางแกงปลากับปลาเปรี้ยวหวานไว้ตรงหน้าหลงซือเย่ หลงซือเย่ยิ้มให้ตี้ฝูอีอย่างข่มๆ แวบหนึ่ง แล้วค่อยหยิบสองจานนั้นมาไว้ด้านหน้าตน “ซีจิ่ว ขอบใจเธอมากที่ทำสองอย่างนี้โดยเฉพาะ”


ดวงตาของตี้ฝูอีมองไปทางกู้ซีจิ่วทันที เมื่อถูกเขามองตาละห้อยเช่นนี้ กู้ซีจิ่วก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที สัมผัสได้ว่าเจ้าคนผู้นี้กำลังจะเล่นลวดลายแล้ว!


สัญชาตญาณเธอแม่นยำนัก เนื่องจากตี้ฝูอีเปิดปากเอ่ยแล้ว “เด็กน้อย ยังสั่งอาหารกับเจ้าได้อีกไหม?”


มุมปากกู้ซีจิ่วยกขึ้นแวบหนึ่ง “เขาเป็นสหายจึงสั่งได้หนึ่งครั้ง หากว่าท่านอยากเป็นสหายกับข้าด้วย…”


ตี้ฝูอีตัดบทด้วยการดึงเธอให้นั่งลงข้างกาย “เด็กน้อย เจ้าทำอาหารเหล่านี้ก็เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว สามีจะใช้แรงงานเจ้าให้ไปทำอาหารอีกได้อย่างไร? มาๆ มากินด้วยกันเถิด เต้าหู้ม้วนจานนี้เจ้าทำได้ดีมาก…กินสักคำสิ แผ่นเต้าหู้จานนี้ก็รสชาติดีเหมือนกัน ชิมสิ…”


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย


หลงซือเย่เพิ่งเคยได้ยินตี้ฝูอีเรียกขานกู้ซีจิ่วเช่นนี้เป็นครั้งแรก ตกตะลึงไม่น้อยเลย!


“ตี้ฝูอี เจ้ายังเลี่ยนได้มากกว่านี้อีกหรือไม่?!”


เขารู้สึกว่าเขาจะกินไม่ลงแล้ว


ตี้ฝูอีปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “เจ้ารู้สึกว่าเลี่ยนหรือ? ข้าไม่ได้เรียกเจ้าสักหน่อยนี่!”


หลงซือเย่เงียบงัน


—————————————————————-


บทที่ 1439 ตอนนี้ในที่สุดเธอก็ได้กลับมาแล้ว!


ท้ายที่สุดแล้ว มื้ออาหรตัดใจของหลงซือเย่ก็ไม่ได้กินอย่างชอกช้ำจนเกินไป เขาเต็มไปด้วยความโมโหแทน!


หลังกินข้าวเสร็จ ตามที่หลงซือเย่ตกลงกับกู้ซีจิ่วไว้ก่อนหน้านี้ คือจะลอบไปตรวจสอบสิ่งที่เรียกว่ากองทัพคงกระพันเหล่านั้นของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม จากการคาดคะเนของกู้ซีจิ่ว คนเหล่านั้นน่าจะโดนยาชนิดหนึ่งที่คล้ายกับพิษผีดิบ ถึงได้สูญเสียสติสัมปชัญญะ บ้าคลั่งเสมือนเครื่องจักรสังหาร


และเมื่อก่อนหลงซือเย่เคยศึกษาค้นคว้าหัวข้อนี้มาแล้ว มีประสบการณ์ต่อโรคนี้อยู่บ้าง เขามีความมั่นใจเกือบสิบส่วนว่าสามารถปรุงยาที่สามารถยับยั้งพิษชนิดนี้ออกมาได้


หลังจากตรวจสอบต้นกำเนิดพิษชัดเจนแล้ว เขาค่อยไปเรียกระดมปรมาจารย์หลอมโอสถคนอื่นๆ มาหลอมโอสถ


ส่วนกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีออกจากเมืองเล็กแห่งนั้น มุ่งหน้าไปที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์…


สองปีมานี้สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เร้นกายจากโลกภายนอก กล่าวกันว่าเคยถูกกองกำลังลึกลับหลายฝ่ายเข้าโจมตี โชคดีที่ถูกกู่ฉานโม่ตะเพิดให้ล่าถอยไป ยามนี้อยู่ในเขตปลอดภัย ไม่เข้าร่วมสงครามการเมืองใดๆ


ตามแผนการที่กู้ซีจิ่ววางไว้ คือจะเข้ามาติดต่อกับคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ อย่างน้อยก็ต้องทำให้พวกเขารู้ความจริงก่อน ยิ่งเธอดึงคนมาไว้ข้างกายได้มากเท่าไหร่ ภายหน้าหลังจากสังหารไอ้ตัวปลอมได้แล้วความหวังในการกอบกู้ชื่อเสียงของตี้ฝูอีก็จะยิ่งมากขึ้นด้วย


ทั้งสองเดินทางได้ว่องไวยิ่ง ระยะเวลาสองชั่วยามก็เดินทางได้สองพันลี้แล้ว ในที่สุดก็มาถึงสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์


กู้ซีจิ่วที่อยู่ในอากาศมองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่แออัดกันอยู่ผืนหนึ่งจากที่ไกลๆ หัวใจเต้นถี่ขึ้นมาเล็กน้อย มีความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน


ครานั้นเธออาศัยอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เพียงสองปี ทว่ากลับเห็นที่นี่เป็นมาตุภูมิไปแล้ว


เยี่ยนเฉิน จิ้งจอกน้อย เชียนหลิงอวี่ จางฉูฉู่…พวกเขาจะสบายดีทุกคนไหมนะ?


ตนหายสาบสูญไปแปดปี พวกเขาต้องร้อนรนยิ่งนักเป็นแน่ ต้องสืบเสาะหาที่อยู่เธอทั่วสารทิศแน่นอน…


ตอนนี้ในที่สุดเธอก็ได้กลับมาแล้ว!


ไม่ได้เจอกันแปดปี วรยุทธ์ของพวกเขาต้องก้าวหน้าขึ้นมากแน่ๆ เยี่ยนเฉินกับเชียนหลิงอวี่อาจจะบรรลุขั้นเก้าแล้วกระมัง?


เมื่อจิ้งจอกน้อยได้พบตนจะต้องดีใจจนกระโดดโลดเต้นแน่!


เธอคิดถึงใบหน้าเฒ่าชราของกู่ฉานโม่อยู่บ้าง


ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวเธอ ทำให้เธอเกิดความประหม่าเมื่อหวนคืนถิ่นยิ่งนัก ชะลอความเร็วลง


“เป็นอะไรไป?” ตี้ฝูอีก็ชะลอฝีเท้าลงด้วย


“ข้าคิดอยู่ว่าตอนเจอพวกเขาจะพูดอะไรดี จะแนะนำท่านอย่างไร…”


ตี้ฝูอีกอดอก “เจ้าจะแนะนำข้าว่าอย่างไรเล่า?”


กู้ซีจิ่วเม้มเริมฝากเล็กๆ คราหนึ่ง “หากข้าบอกว่าท่านเป็นสามีของข้า เกรงว่าพวกเขาจะไม่เชื่อเอา ถึงอย่างไรที่โลกภายนอกนี้พวกเราก็ยังไม่ได้จัดงานวิวาห์กันเลย”


ตี้ฝูอีนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มน้อยๆ “เจ้าเตือนให้ข้าจัดพิธีวิวาห์ชดเชยอยู่หรือ?”


กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่ ตอนนี้มีเรื่องวุ่นวายมากมาย ปัญหาใหญ่มากมายยังไม่ถูกสะสาง เรื่องงานแต่งชดเชยนี้รอให้ทุกอย่างกลับสู่ความสงบแล้วค่อยจัดก็ยังไม่สาย เมื่อถึงเวลานั้นข้าต้องการพิธีที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุด ไม่ปล่อยให้ท่านเอาเปรียบเปล่าๆ เช่นนี้ได้”


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นเจ้าวางแผนจะประกาศต่อสาธารณชนว่าข้าคือคู่หมั้นของเจ้าใช่หรือไม่?”


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วยิ้มละไมพลางตอบ “ไม่ผิดเลย!”


ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “เอาเถิด แล้วแต่เจ้า”


เดิมทีเธอแค่หยอกเขาเล่นเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าเขาจะเห็นด้วยจริงๆ จึงตะลึงไปชั่วขณะ “ท่านอยากให้ข้าบอกต่ออื่นว่าท่านคือคู่หมั้นจริงๆ หรือ?”


ตี้ฝูอีลูบศีรษะเธอ “ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นกัน รอจนผ่านพิธีวิวาห์อย่างเป็นทางการ เจ้าและข้าค่อยเรียกขานกันว่าสามีภรรยาอีกครั้งเถิด”


กู้ซีจิ่วเงียบไปสักพัก เธอเลิกคิ้วแวบหนึ่ง ตอบรับอย่างตรงไปตรงมายิ่ง “ได้!”


น้ำเสียงนี้คล้ายแฝงความขุ่นเคืองเอาไว้เล็กน้อย หลังจากตอบเสร็จ ก็ทะยานตรงไปทางสิ่งปลูกสร้างที่ชุมนุมกันอยู่ทันที


จิ้งจอกน้อย เยี่ยนเฉิน เชียนหลิงอวี่…ข้ากลับมาแล้ว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)