พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1433-1438

 บทที่ 1433 ในที่สุดก็ปะทุ

Ink Stone_Fantasy

ถึงแม้จะได้รับความเมตตาจากราชันสวรรค์ แต่ขอแค่เป็นขุนนางใหญ่ที่ได้เข้าประชุมในราชสำนัก ก็ล้วนมีสวนของตัวเองที่อุทยานหลวง มาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์เฉยๆ ก็พอได้ แต่กลับไม่อนุญาตให้พวกขุนนางใหญ่คนไหนนำกำลังทหารมาเฝ้าเองส่วนตัว เพราะสวนทุกแห่งจะมีกองทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์เฝ้าอยู่หลายคนแล้ว ทำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนหรือสัตว์เทพบุกเข้ามาสร้างความเสียหายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตอนนี้ย่อมเป็นคนของกองมังกรดำเฝ้าทั้งหมด


พระตำหนักอุทยานของราชันสวรรค์ก็ไม่สะดวกจะให้ล่วงล้ำเข้าไปโดยพลการ แต่สวนของขุนนางใหญ่พวกนั้น เหมียวอี้ยังสามารถฉวยโอกาสตอนที่ขุนนางใหญ่ไม่อยู่และอ้างว่าจะตรวจสอบเพื่อเข้าไปดูได้


เหมียวอี้เห็นเฟยหงอารมณ์ไม่ค่อยดี ถ้าอยากจะอยู่ที่นี่ก็ยังต้องอาศัยให้เฟยหงคลี่คลายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่เฒ่าลวี่ เดิมทีอยากจะพานางไปเดินเล่นที่สวนของพวกขุนนางใหญ่สักหน่อย ดูว่าสวนพวกนั้นมีอะไรที่หาพบได้ยาก อยู่เป็นเพื่อนให้เฟยหงผ่อนคลายอารมณ์ ทว่าเฟยหงกลับไม่อยากเดินเข้าไปในสวนของขุนนางใหญ่พวกนั้นอีก อยากจะไปดูที่อื่นแทน เหมียวอี้ทำได้เพียงล้มเลิก


ที่อุทยานหลวง มีกลายที่ที่เหมียวอี้จะต้องให้ความสนใจ และจะพลาดง่ายๆ ไม่ได้ เพราะนั่นคือพระตำหนักอุทยานของราชันสวรรค์ ที่อุทยานหลวงแห่งนี้ ราชันสวรรค์ก็ไม่ได้มีแค่พระตำหนักอุทยานแห่งเดียว กลุ่มของเหมียวอี้ไปตรวจสอบดูทีละจุด


เรือโหลวฉวนจอดอยู่ริมทะเลสาบสีมรกตที่ติดกับทุ่งดอกไม้ ทำให้คนรู้สึกสดชื่นอิ่มใจ บนยอดเขาหิมะสูงมีตำหนักตั้งตระหง่านโดดเด่น สามารถมองเห็นทิวทัศน์หิมะกับท้องฟ้าที่ทอดตัวยาวเหยียดสูงต่ำสลับกันได้ บนทะเลทรายที่กว้างใหญ่มีตำหนักใหญ่ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ราวกับเรือมังกรอเวจี สามารถดูพระอาทิตย์ตกดิน ทะเลอันกว้างไพศาลที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ได้ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในคลื่นทะเลสีมรกตยังมีตำหนักผลึกใส ทิวทัศน์ใต้ทะเลงดงามไร้ที่เปรียบ…


พระตำหนักอุทยานทุกแห่งของราชันสวรรค์ล้วนอยู่ในจุดที่มีเอกลักษณ์ที่สุดของอุทยานหลวง งดงามอลังการ ฟุ่มเฟือยที่สุด ทุกที่ล้วนมีสัตว์เทพคอยเฝ้าป้องกัน เหมียวอี้พาทุกคนเดินดูจนทั่ว เรียกได้ว่าได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ เพียงแต่น่าเสียดายที่เข้าไปดูข้างในไม่ได้


เดิมทีเหมียวอี้อยากจะนำคนไปเที่ยวตามจุดลาดตระเวนของตัวเองต่อ แต่ใครจะคิดว่าจะได้รับคำสั่งจากเบื้องบนอย่างกะทันหัน ให้ตรวจสอบและยึดสวนของเทพประจำดาวทั้งแปดที่อุทยานหลวง


เหมียวอี้ตกตะลึง พุ่งเป้าไปที่เทพประจำดาวแปดคนในรวดเดียวเลยเหรอ? ตำหนักสวรรค์มีเทพประจำดาวทั้งหมดเพียงสามสิบหกคนเท่านั้น


เขารีบกลับไประดมกำลังพลให้ไปล้อมสวนแปดสวนนั้น ที่จริงก็ตรวจสอบไม่เจออะไรอยู่ดี เพราะเจ้าของสวนไม่สามารถนำกำลังพลมาประจำอยู่ที่นี่ได้ ในแต่ละสวนจะมีคนงานที่คอยเก็บกวาดทำความสะอาดในระยะยาวเพียงไม่กี่คนเท่านั้น คนที่ถูกทิ้งให้ทำงานแบบนี้อยู่ที่นี่ได้ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ลูกน้องคนสนิทอะไร ที่จริงเป็นแค่คนทำงานจิปาถะให้เท่านั้น


“พวกเจ้าทำอะไร? ไม่รู้เหรอว่าที่นี่คือที่ไหน?”


กำลังพลกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในสวน คนงานคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ที่นี่เหมือนจะเป็นพ่อบ้าน เขารวบรวมเพื่อนอาชีพไม่กี่คน แล้วชี้ดาบใส่หน้าเหมียวอี้พร้อมตะคอกอย่างเดือดดาล พยายามทำหน้าที่เฝ้าสวนอย่างเต็มที่


“ใครขัดขืนฆ่าทันที!” เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบตะโกนเสียงต่ำ นี่คือประสงค์ของเบื้องบนเช่นกัน


เสียงระเบิดดังออกจากธนู ท่ามกลางเสียงเฟี้ยวๆ ลูกธนูสิบกว่าสายยิงออกไปอย่างไม่ปรานี ยิงพ่อบ้านล้มนองเลือดคาที่


คนงานที่เหลือตกใจจนโยนอาวุธทิ้ง จากนั้นสวีถังหรานก็โบกมือ “จัดการ!”


เชือกมัดเซียนถูกโยนออกมามัดพวกเขาเอาไว้ คนกลุ่มหนึ่งกรูเข้าไปควบคุมตัว แล้วลากไปไว้อีกด้านหนึ่งโดยตรง


เหมียวอี้นำคนเข้ามาในลานบ้าน กำลังพลที่อยู่ข้างหลังแยกย้ายกันไปตรวจสอบโดยรอบแบบพลิกแผ่นดินทันที ค้นหาแบบไม่พลาดสักซอกมุม ขอเพียงมีเงินวางไว้นิดหน่อย ทั้งหมดก็จะถูกขึ้นทะเบียนเก็บยึดเป็นของหลวงหมด


เมื่อตรวจสอบและยึดทรัพย์เสร็จสิ้น พวกเขาก็ออกมาจากสวน แล้วกำลังพลธงพยัคฆ์ดำก็รีบปิดสวนแห่งนี้ไว้อย่างรวดเร็ว


ส่วนกำลังพลกลุ่มอื่นๆ ก็ตรวจสอบและยึดทรัพย์อีกเจ็ดสวนเสร็จแล้ว กำลังทยอยกันมาเจอกับเหมียวอี้ มอบสมุดบัญชีรายการสิ่งของที่ตรวจสอบและยึดให้ คนทั้งหมดที่จับตัวมาถูกกดให้นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น โดยมีดาบและทวนจ่อคอคนพวกนี้อยู่


แต่ละคนที่กำลังนั่งคุกเข่าโศกเศร้าร้อนใจเหมือนบุพการีจะตาย ในดวงตาฉายแววหวาดกลัวอย่างที่ยากจะปิดบังได้ ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีจุดจบผลลัพธ์เป็นอย่างไร


ขณะที่เหมียวอี้มองดูคนพวกนี้ ในใจก็แอบรู้สึกปลงอนิจจัง เดินมาถึงขั้นที่โดนประหารทั้งตระกูลแล้ว เทพประจำดาวแปดท่านนั้นก็เกรงว่าจะมีโอกาสตายมากกว่ารอดเช่นกัน ก่อนหน้านี้แต่ละคนยังเป็นขุนนางที่เรืองอำนาจจนทำให้คนเอื้อมไม่ถึงอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวจะตกลงจากที่สูงแล้ว ตำแหน่งที่มีอำนาจของตำหนักสวรรค์พวกนี้ ดูท่าแล้วก็เป็นไม่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน พอไม่ระวังตัวขึ้นมาก็จะต้องตกลงเหวลึก


บนแนวภูเขาที่อยู่โดยรอบ ในสวนพวกนั้นที่อยู่รอดปลอดภัย คนงานของขุนนางระดับสูงพวกนั้นพากันวิ่งออกมาดูความเคลื่อนไหวทางนี้ พวกเขาก็อกสั่นขวัญแขวนเช่นกัน แม้แต่กลุ่มเทพธิดาที่อยู่ในพระตำหนักอุทยานของราชันสวรรค์ก็วิ่งออกมาเช่นกัน พวกนางรวมตัวกัน บ้างก็ขี้มาทางนี้ บ้างก็สุมหัวกระซิบกระซาบกัน


จ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ข้างเหมียวอี้มีสีหน้าเคร่งเครียด มองดูตลาดสวรรค์พลางพึมพำว่า “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…”


เหมียวอี้หันกลับไปมองนางแวบหนึ่ง เดิมทีอยากจะพอว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้พูดออกมา


เกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ ตำหนักสวรรค์แอบมีคลื่นใต้น้ำสะสมมาหลายเดือนแล้ว ในที่สุดครั้งนี้ก็ได้ปะทุออกมาเสียที เกิดเป็นเหตุการณ์ที่เหมือนคลื่นโหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง


ถึงแม้ว่าคนมากมายจะรู้ว่านี่คือเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว แต่เวลาปะทุขึ้นมาก็แทบจะไม่มีเค้าลางอะไรเลย กำลังพลกลุ่มใหญ่แทบจะลงมือพร้อมกัน ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่ทันได้แจ้งข่าวบอกกัน ตอนที่สวนแปดแห่งนี้โดนค้นและยึดของ จวนของเทพประจำดาวทั้งแปดของตำหนักสวรรค์ก็โดนทหารสวรรค์กลุ่มใหญ่ล้อมไว้เช่นกัน


การจัดการขุนนางแปดคนนี้ ตำหนักสวรรค์ก็มีราคาที่ต้องจ่ายไม่น้อยเช่นกัน เพราะเมื่อขึ้นมาอยู่ถึงตำแหน่งนี้แล้ว ก่อนจะเกิดเรื่องก็พอจะรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน เทพประจำดาวสามสิบหกคนแทบจะใช้แผนมัจฉาตายตาข่ายขาด[1] เตรียมตัวที่จะสู้ตายสักตั้ง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่มีอยู่ในมือลูกน้องพวกเขา ถึงแม้จะมีไม่เยอะเท่ากองทัพองครักษ์ แต่ก็ถูกพวกเขารวบรวมไว้ในมือของคนที่ไว้ใจได้ คนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างพวกเขา ไม่มีใครอยากนั่งรอความตายเฉยๆ ตอนที่เคราะห์ร้ายกำลังจะมาถึงตัวเทพประจำดาวแปดคนนั้น ก็ได้แอบวางกำลังพลเอาไว้ต่อสู้เข่นฆ่ากับทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์แล้ว เพียงเพื่ออยากได้หนทางรอดชีวิตสักทาง


ภายใต้การปิดล้อมที่แน่นหนาของทัพใหญ่ สุดท้ายเทพประจำดาวทั้งแปดก็ไม่มีใครรอดพ้นเคราะห์ร้าย มีหกคนที่สู้รบจนตาย อีกสองคนบาดเจ็บสาหัสและถูกจับตัวไป แต่สุดท้ายก็ยังไม่รอดชีวิตสักคน ตำหนักสวรรค์ไม่มีทางปล่อยให้เหลือผู้รอดชีวิตเพื่อไต่สวนให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตเช่นกัน คนในครอบครัวของเทพประจำดาวก็โดนสังหารแทบหมดเกลี้ยง ไม่ต่างอะไรกับการล้างตระกูล ที่มหัศจรรย์ก็คือสมาชิกครอบครัวคนสำคัญของเทพประจำดาวทั้งแปด หรือพูดได้อีกอย่างว่าญาติสายตรงส่วนใหญ่หนีไปหมดแล้ว


ที่จริงเทพประจำดาวทั้งแปดก็เตรียมตัวนานแล้ว ได้บอกความลับกับคนในครอบครัวล่วงหน้าแล้วเตรียมให้หนีไป ไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้เช่นกัน ในภายหลังจะปรากฏตัวอีกหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ หลังจากค้นยึดทรัพย์ในบ้านแล้ว ก็ไม่ได้มีทรัพย์สินของตระกูลเยอะเท่าไร เพราะได้เคลื่อนย้ายออกไปล่วงหน้าแล้ว เตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อรับมือกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ครอบครัว


แต่สำหรับตำหนักสวรรค์แล้ว พวกตัวละครเล็กๆ ที่หนีไปได้ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือการจัดการกับอำนาจอิทธิพลของเทพประจำดาวแปดคนนั้น


ขุนนางผู้มีอำนาจที่มีเกียรติเพียงชั่วคราว ชั่วพริบตาเดียวก็สลายหายไปราวกับเมฆหมอก เหลือไว้เพียงกลิ่นคาวเลือดที่ติดนานไม่สลายไป


กำลังพลของตำหนักสวรรค์ก็เสียหายอย่างหนักเช่นกัน แค่กองทัพองครักษ์อย่างเดียวก็รบตายไปสองล้านกว่าคนแล้ว ผู้บาดเจ็บมีอีกนับไม่ถ้วน อวี่จ้งเจินบาดเจ็บสาหัส…


จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าเทพประจำดาวทั้งแปดที่บริหารงานมาหลายปีนั้นรวบรวมกำลังได้มากขนาดไหนยามจนตรอก จะเห็นได้ว่าการสู้หนึ่งศึกนั้นน่าเวทนาขนาดไหน


ถ้าไม่ใช่เพราะเบื้องบนรักษาความเงียบมาตลอด ไม่เคยปล่อยให้ข่าวหลุดว่าจะทิ้งเทพประจำดาวแปดคนนี้ ถ้าบอกทั้งแปดล่วงหน้าให้ทั้งแปดได้เตรียมตัวมากพอ เกรงว่าตำหนักสวรรค์ก็คงจะเสียหายหนักกว่า หรือไม่ทั้งแปดคนก็คงหนีไปตั้งนานแล้ว


แต่ก็ช่วยไม่ได้ สู้กันมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าอยากจะเก็บรักษากำลังคนไว้ก็ต้องเสียสละชีวิตบางส่วนไป แต่สิ่งนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าประมุขชิงจะต้องประนีประนอมและยอมถอยให้สี่อ๋องสวรรค์


“ถึงแม้สี่อ๋องสวรรค์จะได้อำนาจสืบสวนซ้ำคนที่ติดกับดักที่ตลาดผี แต่ก็อย่าลืมว่าคนถูกสืบสวนผ่านมือประมุจชิงมาแล้วรอบหนึ่ง ในมือประมุขชิงกุมหลักฐานของ ‘การวางแผนก่อกบฏอย่างลับๆ


‘ เอาไว้มากมาย ทุกคนล้วนไม่อยากทำให้เรื่องใหญ่โต เพื่อที่จะปกป้องชีวิตคนให้มากกว่าเดิม สี่อ๋องสวรรค์ก็ทำได้เพียงทิ้งเทพประจำดาวทั้งแปดให้เป็นเครื่องสังเวยแลกกับการที่ประมุขชิงยอมถอยให้”


กลิ่นคาวเลือดยังไม่ทันสลายหายไป กองทัพองครักษ์ก็ย้ายคนแปดคนไปแทนที่ตำแหน่งเทพประจำดาวทั้งแปดนั้นทันที เติมคนตั้งแต่ข้างบนลงไปข้างล่าง เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อฝั่งเหมียวอี้เช่นกัน เนี่ยอู๋เซี่ยวต้องไปรับตำแหน่งที่อาณาเขตของอำนาจท้องถิ่น จึงขอคนจากเหมียวอี้ไปแล้ว ขอคนในตำแหน่งสำคัญไปชุดหนึ่ง


โป๋เยว เซี่ยงไป่กง รองแม่ทัพภาคสองคนนี้ก็ไปแล้วเช่นกัน


เดิมทีเนี่ยอู๋เซี่ยวบอกไว้แล้วว่าจะพาคนไปด้วยแค่หนึ่งพันคน แต่จนใจที่ข้างบนมีคนแอบจงใจทำให้คนข้างล่างวุ่นวาย สถานการณ์ร้ายแรงกว่าที่เนี่ยอู๋เซี่ยวจินตนาการไว้ ดังนั้นภายในเวลาสองเดือน เขาจึงนำคนจากมือเหมียวอี้ไปแล้วสามพันกว่าคน


รองผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางสองคนของเหมียวอี้ไปแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ของแต่ละธงพยัคฆ์ก็ไปเกินครึ่ง เดิมทีทัพกลางก็คือทัพสนิทใกล้ชิดกับเนี่ยอู๋เซี่ยวที่สุด คนที่ต้องการพาไปด้วยจึงมีเยอะที่สุด


กองมังกรดำใต้สังกัดของเหมียวอี้จึงจำเป็นต้องมีการปรับบุคลากรครั้งใหญ่ คนมากมายที่ประสบความสำเร็จได้ยากเมื่ออยู่ภายใต้การแข่งขันก่อนหน้านี้พากันดีใจไม่หยุด เพราะมีตำแหน่งว่างเยอะเกินไปแล้ว


โอกาสนี้หาพบได้ยาก เหมียวอี้รีบฉวยโอกาสเลื่อนตำแหน่งให้ลูกน้องคนสนิท เหยียนซิวกับหยางเจาชิงเลื่อนเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลาง กลายเป็นมือซ้ายและมือขวาของจ้านหรูอี้แล้ว เนื่องจากความอยู่เป็นของหยางชิ่ง เหมียวอี้จึงปล่อยอำนาจให้แล้วนิดหน่อย เป็นเพราะไม่มีทางเลือกเช่นกัน ไม่สะดวกจะทิ้งให้ตำแหน่งของหยางชิ่งต่างกับตนมากเกินไป หยางชิ่งก็กลายเป็นผู้บัญชาการทัพกลางแล้วเช่นกัน


สวีถังหรานออกจากทัพกลาง กลายเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ฟ้า


พอเนี่ยอู๋เซี่ยวยื่นมือเข้ามาครั้งนี้ ก็เรียกได้ว่าทำให้กำลังของกองมังกรดำลดลงมาก นักพรตบงกชรุ้งส่วนใหญ่ถูกเขาพาไปด้วยแล้ว


โชคดีที่ตอนนี้กองมังกรดำยังไม่ต้องรับภารกิจที่ต้องต่อสู้เข่นฆ่ากัน ตอนนี้มีหน้าที่แค่เฝ้าสวน ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องอยู่ที่อุทยานหลวงนี้นานเท่าไร


เนี่ยอู๋เซี่ยวเองก็รู้ว่าครั้งนี้ขูดรีดฐานบ้านของเหมียวอี้โหดเกินไป และบางทีอาจจะเป็นเพราะต้องการแสดงความขอบคุณ จึงตั้งใจให้ลูกน้องไปเฟ้นหาหญิงงามสองคนมาให้เหมียวอี้ จะให้พาเข้าอุทยานหลวงนั้นเป็นไปไม่ได้ จึงเปลี่ยนให้กลายเป็นคนในครอบครัวเหมียวอี้แล้วส่งไปยังที่พักชั่วคราวแทน


เหมียวอี้ไม่เห็นด้วยซ้ำว่าพวกนางหน้าตาเป็นอย่างไร แต่รู้ว่าถ้าสามารถถูกเนี่ยอู๋เซี่ยวทำเป็นของกำนัลมามอบให้ได้ ความสวยจะต้องไม่ธรรมาแน่นอน แต่ว่าเขาไม่สนใจ และไม่กล้ารับตัวไว้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางจะแก้ตัวกับอวิ๋นจือชิวได้ จึงมอบเป็นรางวัลให้หยางชิ่งกับหยางเจาชิงเสียเลย ผลคือคือ ‘สองหยาง’ นี้ปฏิเสธ เหมียวอี้จึงฝืนจับยัดให้พวกเขา ไม่เอาก็ต้องเอา


ที่มอบให้ ‘สองหยาง’ ก็มีสาเหตุเหมือนกัน ถ้าเป็นพี่พิภพเล็ก หน้าตาของชิงจวี๋กับหลินผิงผิงก็ยังนับว่าไปวัดไปวาได้ แต่ถ้าเทียบกับคนที่ถูกเลือกมาจากพิภพใหญ่ที่มีจำนวนมากกว่า พวกนางก็ยังดูธรรมดาไปนิด หยางเจาชิงยังดีหน่อย แต่หยางชิ่งเริ่มหน้าบึ้งแล้ว ถึงอย่างไรเขากับเหมียวอี้ก็มีความสัมพันธ์ของพ่อตากับลูกเขย แต่ลูกเขยคนนี้กลับส่งผู้หญิงมาให้พ่อตาตัวเองทรยศแม่ยาย แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน!


ชิงจวี๋กับหลินผิงผิงก็ยิ่งหมั่นไส้จนคันฟัน สำหรับทั้งสอง สิ่งนี้คือภัยพิบัติที่คาดไม่ถึงจริงๆ


หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะเหมียวอี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นวัวสันหลังหวะ เพราะเขาแต่งงานมีเมียเยอะเกินไป ส่วนหยางชิ่งนั้นบริสุทธิ์เกินไปจนทำให้เขาอึดอัดนิดหน่อย ดังนั้นเมื่อมีโอกาสจึงอยากดึงหยางชิ่งให้ลงน้ำมาด้วยกัน ทุกคนจะได้เท่าเทียมกันสักหน่อย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินเวยเวยเขาจะได้ไม่ลำบากใจเกินไป เพราะพ่อเจ้าก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?


ถึงแม้สี่อ๋องสวรรค์จะยอมถอยให้แล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้คนของประมุขชิงนั่งอยู่ในตำแหน่งที่อาณาเขตของตนได้อย่างมั่นคง ถ้าคนของประมุขชิงนั่งอยู่ในตำแหน่งอย่างมั่นคงไม่ได้ เช่นนั้นก็จะโทษพวกเขาไม่ได้แล้ว


การต่อสู้อย่างลับๆ ก็ย่อมอยู่ในที่ลับ ส่วนลมฝนกลิ่นคาวเลือดของคนตายนับไม่ถ้วนในที่แจ้งก็เหมือนจะผ่านไปแล้ว


ในวันนี้ พอการประชุมราชสำนักที่ ‘ตำหนักฟ้าดิน’ ของวังสวรรค์จบลง ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงเหลือบมองเทพประจำดาวทั้งแปดที่นำมาเติมใหม่แวบหนึ่ง เหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อย สายตาย้ายไปมองอ๋องสวรรค์อิ๋งที่ยืนอยู่เบื้องล่าง แล้วจู่ๆ ก็กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ช่วงนี้ทุกคนลำบากกันมามากแล้ว ไม่สู้ไปเที่ยวเล่นที่อุทยานหลวงด้วยกันหน่อยไหม?”


…………………………


[1] มัจฉาตายตาข่ายขาด 鱼死网破 อุปมาว่า สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่เจ้าตายที่ตายก็เป็นข้าที่รอด


บทที่ 1434 วิ่งชนพาหนะหงส์

Ink Stone_Fantasy

ที่จริงก็มีไม่กี่คนหรอกที่อยากจะไปเที่ยวเล่นกับเขา ไปเที่ยวเล่นกับผู้บังคับบัญชาที่อยู่บนหัวตัวเอง จะเพลิดเพลินใจได้ก็แปลกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่กลิ่นคาวเลือกยังไม่สลายไปแบบนี้


แต่ก็ไม่มีทางเลือก การไว้หน้าเล็กน้อยนี้ยังเป็นสิ่งที่ต้องทำ จะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ ตอนนี้ใครจะพูดได้ละว่า ‘ข้าน้อยมีธุระขอตัวก่อน?’


“ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!” ทุกคนเอ่ยรับอย่างพร้อมเพรียงกัน


จะมีสักกี่คนที่พูดออกมาจากใจจริง? ไม่ว่าจะเป็นประมุขชิงทีนั่งอยู่เบื้องบน หรือจะเป็นขุนนางใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างล่าง ในใจต่างรู้ทั้งนั้น


สรุปก็คือไม่ว่าจะอย่างไร ทุกคนล้วนมีท่าทางเต็มใจที่จะไป


ประมุขชิงกลับไปเปลี่ยนชุดที่ตำหนักหลังก่อน พอโผลมาอีกครั้งก็สวมชุดชุดลำลองแล้ว ซ่างก่วนชิงเดินลงบันไดตามอยู่ข้างหลัง กลุ่มขุนนางแยกออกเป็นสองฝั่ง รอจนกระทั่งประมุขชิงเดินผ่านไปแล้ว พวกเขาถึงได้เดินตามหลัง


นอกตำหนักฟ้าดิน เกี้ยวใหญ่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว มังกรทองตัวใหญ่สองตัวลากเกี้ยวใหญ่หรูหราที่คันหนึ่งเหมือนเรือโหลวฉวน ข้างหน้าและข้างหลังมีกองทัพองครักษ์คอยคุ้มกัน


ประมุขชิงขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว ก้าวเข้าไปนั่งอยู่เบื้องสูงบนพลับพลา กลุ่มขุนนางทยอยกันตามขึ้นไป แต่กลับยืนอยู่สองฝั่งตรงตีนบันไดด้านนอกพลับพลา


“อ๋าว…” มังกรทองสองตัวคำรามพร้อมกัน ชั่วขณะนั้นลมพัดเมฆม้วน คอยๆ ลากเกี้ยวใหญ่ลอยขึ้นบนท้องฟ้า แล้วเพิ่มความเร็วทีละนิดทยอยขึ้นฟ้าไป เหาะไปยังดาราจักร โดยมีทหารสวรรค์นับพันตามหลัง


ตั้งแต่ตอนที่คนฝั่งนี้ยังไม่ทันออกเดินทาง เหมียวอี้ที่อยู่ทางอุทยานหลวงก็ได้รับข่าวจากเบื้องบนแล้ว รีบเรียกกำลังพลหนึ่งแสนไปคุ้มกันที่ทุ่งนาฝั่งนั้น ที่จริงเรื่องคุ้มกันก็ยังไม่ถึงคราวของพวกเขาหรอก แค่ไปช่วยกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกก็เท่านั้น พวกเขาก็มีสิทธิ์แค่ยืนเรียงแถวอยู่ข้างๆ เช่นกัน


แต่กลุ่มคนของกองมังกรดำที่จะเข้าร่วมเรื่องนี้ พอนึกว่าตัวเองจะได้เห็นราชันสวรรค์ที่คนร่ำลือกัน แต่ละคนก็ตื่นเต้นกังวลใจนิดหน่อย คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นราชันสวรรค์มาก่อน เหมียวอี้ก็ตื่นเต้นนิดหน่อยเช่นกัน รีบสั่งให้คนที่อยู่ตรงจุดอื่นของอุทยานหลวงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างซื่อสัตย์ ฝ่าบาทเสด็จมาเยือนถึงที่ ไม่แน่ว่าอาจจะไปตรวจดูตรงไหนก็ได้ อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาด


กำลังผลกำลังกระจายตัวล้อมรอบผืนนาที่กว้างใหญ่ ยังไม่ทันเห็นราชันสวรรค์มาถึง แต่กลับเห็นหงส์เฟิ่งหวงสีรุ้งสองตัวลากเกี้ยวหงส์หลังหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้าแล้ว ทั้งยังมีกลุ่มองครักษ์ติดตามอยู่ข้างหลังด้วย


ด้านล่างและด้านบนเกี้ยวหงส์มีสตรีที่งามเลิศล้ำกลุ่มหนึ่งราวกับฝูงนกกระจาบ ถ้าจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันก็แปดร้อย แต่ละคนสวมชุดกระโปรงผ้าดิบ ล้อมรอบผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาธรรมดาราวกับดาวล้อมเดือน แต่ลักษณะท่าทางของผู้หญิงคนนี้ก็ดูสูงส่งราวกับนั่งอยู่บนเมฆ สง่าราศีที่ดูแพงแสดงออกมาให้เห็น


จ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้เตือนเสียงเบาว่า “นายท่าน ราชินีสวรรค์มาแล้ว ผู้ที่ติดตามมาคงจะเป็นนางสนมของฝ่าบาท”


เหมียวอี้พอจะเดาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นใครจะกล้านั่งเกี้ยวหงส์มาประกาศให้คนเห็นที่นี่


เพียงคนระดับอย่างเหมียวอี้ แค่มองดูไกลๆ ก็พอแล้ว ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปตีสนิท


ไม่นานเกี้ยวหงส์ก็เหาะผ่านไปแล้ว เห็นเพียงผู้หญิงกลุ่มนั้นทยอยกันหยิบเครื่องมือทำการเกษตรออกมา แล้วกระซิบกระซาบกันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังพูดอะไร เหมียวอี้เห็นแล้วปวดประสาท ยกมือขึ้นจับหน้าผากตัวเอง จ้านหรูอี้มองปฏิกิริยาของเขา แล้วกลั้นขำพร้อมถามว่า “นายท่าน รู้สึกอนาถจนทนมองไม่ได้ใช่มั้ย?”


เหมียวอี้ยอมรับในใจ แต่ไม่สามารถพูดสิ่งนี้ออกมาได้ กลับถลึงตาจ้องจ้านหรูอี้แวบหนึ่ง “ถ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก ก็อย่าโทษที่ข้าใช้กฎทหารลงโทษนะ!”


ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ก็มีเทพธิดาคนหนึ่งเหาะเข้ามา นางเหยียบลงพื้นแล้วกวาดมองพวกเขา พร้อมถามว่า “ท่านไหนคือแม่ทัพภาคที่เฝ้าประจำอยู่ที่นี่?”


เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาตอบทันที กุมหมัดคารวะพร้อมบอกว่า “ข้าน้อยเองขอรับ”


เทพธิดาย่อตัวเล็กน้อย แล้วบอกว่า “ราชินีสวรรค์แจ้งมาว่ามีบางอย่างจะถามท่านแม่ทัพภาค ตามข้ามาค่ะ!”


“รับทราบ!” เหมียวอี้เหาะตามนางไปทันที


เหมียวอี้เคารพข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ไม่กล้าเหาะขึ้นเหาะลงต่อหน้าราชินีสวรรค์ กลัวว่าจะทำให้พาหนะหงส์แตกตื่น จึงเหยียบลงพื้นในจุดที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินไป รีบมองประเมินผู้หญิงกลุ่มนั้น ผลก็คือพบว่าผู้หญิงคนนั้นจ้องประเมินตนอยู่เช่นกัน เขาจึงรีบก้มหน้า ไม่กล้ามองผู้หญิงของราชันสวรรค์ซี้ซั้วต่อหน้าฝูงชน


เหมียวอี้กังวลนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าเพิ่งมาได้ไม่นานก็จะต้องพบ ราชินีสวรรค์ผู้เป็นมารดาแห่งใต้หล้าเสียแล้ว


ตรงจุดไกลๆ พวกจ้านหรูอี้ก็กำลังจ้องมองมาทางด้านนี้เช่นกัน


พอเข้ามาใกล้ เหมียวอี้ก็รักษาระยะห่างสามจั้ง แล้วกุมหมัดคารวะ “หนิวโหย่วเต๋อแม่ทัพภาคเฝ้าอุทยานหลวง คำนับราชินีสวรรค์!” สายตาเขาจ้องไปที่พื้น ไม่กล้ามองตรงๆ


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา กลุ่มสตรีงามเลิศล้ำฝั่งซ้ายและขวาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เหมือนจะวุ่นวายนิดหน่อย มีคนไม่น้อยกำลังสุมหัวกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่อยู่ในตำแหน่งสูงมานานใช้แววตาที่แฝงความน่าเกรงขามจ้องประเมินเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “แม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อแห่งกองมังกรดำทัพเป่ยโต้ว หน่วยองครักษ์ซ้ายใช่มั้ย?”


เหมียวอี้ยังคงกุมหมัดคารวะค้างไว้ สายตายังคงจ้องพื้น “เป็นข้าน้อยเองขอรับ”


สายตาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หยุดอยู่บนตัวเขา แล้วก็กวาดมองรอบๆ อีกแวบหนึ่ง “ฝ่าบาทล่ะ?”


เหมียวอี้พึมพำในใจ ‘เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใคร?’ แต่ภายนอกยังตอบว่า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ!”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสยะยิ้ม “ฝ่ามาเสด็จมาเยือนอุทยานหลวง เจ้าอยู่ในฐานะแม่ทัพภาคเฝ้าอุทยานหลวง ไม่รู้เชียวเหรอว่าฝ่าบาทอยู่ที่ไหน?”


“ข้าน้อยได้รับคำสั่งว่าให้ต้อนรับเสด็จที่นี่ อย่างอื่นก็ไม่รู้จริงๆ ขอรับ” เหมียวอี้ตอบ


เขาไม่รู้จริงๆ ไม่รับรายงานใดๆ จากลูกน้องเลย จะไปรู้ได้อย่างไรว่าประมุขชิงอยู่ที่ไหน


ทว่าเมื่อกล่าวประโยคแก้ตัวนี้ออกมา กลุ่มนางสนมก็รีบส่งสายตาให้กัน คนที่รู้จักเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต่างก็รู้ว่าคำพูดแก้ตัวนี้คงเหมือนกระด้างกระเดื่องต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะต้องลำบากแล้ว


เป็นอย่างที่คาดไว้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พลันหรี่ตา แล้วตำหนิว่า “ตัวเองทำหน้าที่ไม่ดีแล้วยังกล้ามาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ! ทหาร ลากตัวเขาไปสั่งสอนสักหน่อย!”


เหมียวอี้พลันเงยหน้า สายตาจ้องไปที่ดวงตาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อย่างคบกริบราวกับมีด


ท่ามกลางพาหนะหงส์ที่ติดตามมาอารักขามีคนถลันตัวออกมาสองคนทันที  มาจับแขนสองข้างของเหมียวอี้ไว้ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ ควบคุมตัวและลากเหมียวอี้ไปไว้ในป่าด้านหลังทันที


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่หันกลับมามองแวบหนึ่งแสยะยิ้ม ถ้าไม่ใช่เพราะหนิวโหย่วเต๋อคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังเคยเอ่ยถึง นางคงสั่งให้ลากตัวเหมียวอี้ไปประหารแล้ว แม่ทัพภาคคหนึ่งที่ไม่มีอำนาจใดๆ หนุนหลัง นางจะฆ่าก็ย่อมฆ่าได้ ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่หันกลับมาอีกครั้งโบกมือ กลุ่มนางสนมแยกย้ายกันไป ต่างคนต่างถือเครื่องมือไปยังผืนนาของตัวเอง ไม่ว่าฝ่าบาทจะอยู่หรือไม่อยู่ ทุกคนก็ต้องทำให้เห็นพอเป็นพิธี ถ้าฝ่าบาทเที่ยวเล่นผ่านมาทางนี้จำทำยังไงล่ะ?


องครักษ์ในวังสวรรค์ก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์เช่นกัน หลังจากชายวัยกลางคนทั้งสองลากเหมียวอี้เข้าไปในป่าแล้ส ขณะที่ถอนเกราะรบของเหมียวอี้ออก ก็ส่ายหน้าพร้อมบอกว่า “น้องชาย พวกเราก็เป็นพี่น้องของกองทัพองครักษ์เหมือนกันทั้งนั้น ชื่อเสียงของเจ้าข้าก็เคยได้ยินมาแล้ว ไม่อยากจะทำให้เจ้าลำบากเหมือนกัน แต่พวกเราได้รับคำสั่งมาให้ทำงาน ทำตามใจตัวเองไม่ได้ เจ้าเองก็อย่าโทษพวกเราเลย”


“ข้าทำผิดตรงไหน?” เหมียวอี้หันกลับมากัดฟันถาม


หนึ่งในนั้นยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ไม่รู้ตัวเหรอว่าพูดผิดไปแล้ว? อย่างเจ้าน่ะเรียกว่าวิ่งชนพาหนะหงส์ ไม่ดูเสียบ้างว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเจ้าเป็นใคร ถ้าพูดจาขัดหู หรือไม่เคารพเพียงนิดเดียวก็ทำให้หัวหลุดลงพื้นได้แล้ว นางแค่สั่งให้สั่งสอนเจ้าเฉยๆ ก็นับว่าเมตตาแล้ว” เกราะรบบนตัวเขาถูกโยนลงบนพื้นข้างๆ แล้วชี้ไประหว่างต้นไม้สองต้น “ไปยันไว้เองก็พอแล้ว อดทนไว้เดี๋ยวก็ผ่านไป อย่าขัดขืน ไม่อย่างนั้นถ้ายั่วให้เบื้องบนโมโหก็จะรักษาชีวิตตัวเองไว้ไม่ได้แล้ว”


เหมียวอี้หันไปเห็นอีกคนสะบัดแส้สยบมังกรออกมาแล้ว รู้สึกขนหัวลุกทันที รสชาติของสิ่งนี้ทำให้คนเสียขวัญเกินไป ตัวเองอยู่มาจนถึงตำแหน่งอย่างทุกวันนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่ายังจะมีโอกาสลิ้มลองรสชาติของมันอีก! แต่เขาก็รู้ว่าการโดนฟาดครั้งนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลียงไม่ได้ จึงแข็งใจเดินไปอยู่ระหว่างต้นไม้สองต้น กางแขนกางขายันต้นไม้เอาไว้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกินว่า “ทั้งสอง ข้าว่าเบาหน่อยก็ดีนะ”


“ไม่ต้องห่วง เป็นพี่น้องหน่วยองครักษ์ร้ายเหมือนกันทั้งนั้น ไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน พวกเราก็ไม่ตั้งใจจะกลั่นแกล้งเจ้าหรอก ในใจรู้ดีอยู่แล้ว อดทนไว้หน่อย แค่สิบแส้เท่านั้น” พอคนคนนั้นพูดจบ แส้ในมือก็มีเสียงดังเปรี๊ยะ เงาแส้ที่สะบัดออกมาสว่างมาก แต่ยังควบคุมแรงตอนที่ฟาดลงหลังเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่าออมมือ เพียงแต่เสียงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทำให้คนตกใจนิดหน่อย นับว่าทำให้คนที่ได้รับคำสั่งมาอธิบายกับเบื้องบนได้แล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ใช้แส้ฟาดต่อไป ก็ยังทำให้แผ่นหลังเหมียวอี้ฉีกจนมีก้อนเนื้อหลุดอยู่ดี


รสชาตินั้นยากจะบรรยายออกมาได้ “เอื้อ…” เหมียวอี้ครางออกมา เจ็บจนตัวสั่น ชั่วพริบตาเดียวหน้าก็ซีดแล้ว


มีเนื้อหลุดออกจากร่างกายก้อนใหญ่ทั้งเป็นๆ ใครได้ลิ้มลองก็คงได้รู้รสชาตินั้น


ตรงจุดไกลๆ กำลังพลกองมังกรดำที่เห็นฉากนี้สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ทำอะไรผิดกันแน่ เพิ่งจะออกไปเจอก็โดนสั่งลงโทษแล้ว เหยียนซิวสีหน้าบึ้งทันที กำหมัดสองข้างและก้าวออกไปได้ครึ่งก้าว แต่หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ รีบดึงแขนเขาไว้ ขณะเดียวกันหยางเจาชิงที่อยู่อีกด้านก็ส่ายหน้าเบาๆ ส่งสัญญาณให้


เหยียนซิวรู้ถึงความหมายที่หยางชิ่งสื่อ เมื่ออยู่ใสถานที่แบบนี้ อาศัยกำลังของตัวเองก็ไม่มีทางช่วยชีวิตใครได้เลย ถ้าทำซี้ซั้วก็มีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้ง ไม่เพียงแค่ช่วยเหมียวอี้ไม่ได้ แต่กลับจะเป็นการทำร้ายเหมียวอี้ด้วยซ้ำ


เขาทำได้เพียงทำตัวแข็งทื่อดทนเอาไว้ ได้แต่มองดูโดยทำอะไรไม่ได้


ในสวนป่า หลังจากฟาดสิบแส้เสร็จแล้ว คนที่ปฏิบัติหน้าที่ลงโทษก็ถอดฟันของแส้ที่มีเลือดติดออกมา แล้วโบกมือไปตรงจุดไกลๆ ส่งสัญญาณให้คนเข้ามา


พวกจ้านหรูอี้รีบถลันตัวเหาะเข้ามา พอเข้ามาในป่า ก็เห็นแผ่นหลังของเหมียวอี้มีเลือดเนื้อปนกันเละเทะ เรียกได้ว่าเลือดสดหยดย้อย สามารถมองเห็นกระดูกสีขาวและอวัยวะภายในร่างกาย แขนขาทั้งสี่ที่เหมียวอี้ค้ำบนกิ่งไม้ก็สั่นเทิ้ม สุดท้ายก็ทนไม่ไหวแล้ว คุกเข่าลงพื้นดังตุ้บ


ผู้ที่ทำหน้าที่ลงโทษเก็บแส้ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “มัวอึ้งอะไรอยู่ล่ะ ยังไม่รีบพานายท่านของพวกเจ้าไปรักษาอีก?”


ถ้าเขาไม่เอ่ยปากแล้วใครจะรู้สถานการณ์ล่ะ ใครจะไปรู้ว่าตัวเองจะยื่นมือเข้ามาแทรกได้หรือเปล่า ตอนนี้พอได้ยินแบบนี้ พวกเหยียนซิวก็ย่อมรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า ประคองเหมียวอี้ขึ้นมา ใช้ชุดคลุมยาวคลุมบนร่างกายเหมียวอี้ แล้วประคองตัวไปรักษา มีบางคนช่วยเก็บเกราะรบของเหมียวอี้ที่ร่วงอยู่บนพื้น


เรื่องบางเรื่องก็บังเอิญอย่างนี้ ที่จริงวังสวรรค์ก็อยู่ห่างจากอุทยานหลวงไม่ไกล พอเกี้ยวใหญ่ออกเดินทางก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ประมุขชิงคงจะรู้สึกว่าแค่ก้าวขึ้นเกี้ยวแล้วก็ก้าวลงเกี้ยวนิดหน่อยก็เท่านั้น จึงสั่งให้เกี้ยวใหญ่วนเล่นอยู่รอบดาราจักรรอบหนึ่ง


ยามปกติประมุขชิงก็ไม่วางมาดแบบนี้เช่นกัน เวลาจะไปอุทยานหลวงก็นำผู้ติดตามเหาะไปด้วยเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ไม่นั่งเกี้ยวใหญ่ไป เนื่องจากวันนี้นำกลุ่มขุนนางใหญ่มาด้วย ดังนั้นจึงต้องวางมาดสักหน่อย


ผลปรากฏว่าการวนอ้อมครั้งนี้ ทำให้เหมียวอี้ที่มีประสบการณ์คลุกคลีกับคนในวังน้อยได้รับความทนทุกข์ทรมานแล้ว


ในตอนนี้เกี้ยวใหญ่เลี้ยวกลับมา เหาะตรงมายังดาวเคราะห์ของอุทยานหลวงดวงนั้น แต่ซ่างก่วนชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับเก็บระฆังดารา แล้วก้มหน้ากระซิบข้างหูประมุขชิง


“อ้อ! ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? สงสัยพอได้รีบตำแหน่งก็โดนแสดงบารมีใส่ทันที!” ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะ แววตาวูบไหวเล็กน้อย ไม่รู้ว่านึกอะไรได้ พูดหยอกว่า “เช่นนั้นก็ไปที่จวนแม่ทัพภาคของอุทยานหลวงเลยแล้วกัน เหมือนข้าจะยังไม่เคยเห็นที่นั่นมาก่อน”


“ขอรับ!” ซ่างก่วนชิงเอ่ยรับคำสั่ง และถ่ายทอดคำสั่งไปให้คนที่ขับเกี้ยวใหญ่อย่างรวดเร็ว


กลุ่มขุนนางใหญ่ที่ยืนอยู่นอกพลับพลาของเกี้ยวใหญ่ทยอยกันได้รับข่าวแล้ว ที่พวกเขาส่งกลุ่มสาวสวยเข้าไปบรรณาการในวังก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล


เซี่ยโห้วท่า ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วที่อยู่ท่ามกลางขุนนางกลุ่มนั้น พอได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่น ข่าวบางอย่างที่ส่งมาจากตึกศาลาสัตยพรต เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังไม่รู้ และไม่มีทางที่จะบอกให้นางรู้เช่นกัน แต่หัวหน้าตระกูลอย่างเขากลับรู้ นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น


ข้างๆ มีคนไม่น้อยกวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชา


บทที่ 1435 เจอราชันสวรรค์ครั้งแรก

Ink Stone_Fantasy

เกี้ยวใหญ่พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศ เหาะลงมาจากท้องฟ้า แล้วเหาะวนกลางอากาศรอบหนึ่ง ก่อนจะเหยียบลงนอกจวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวง


ฉากแบบนี้ทำให้ทหารยามที่จวนแม่ทัพภาคตกใจทันที ในบรรดากำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ติดตามมามีคนเผยป้ายคำสั่งแล้ว ทางซ้ายและขวาของราชันสวรรค์มีคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาอารักขาเป็นปกติ คนที่เผยตัวตนก็คือคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย


ก่อนหน้านี้คนเฝ้าประตูได้รับข่าวล่วงหน้าแล้ว รู้แล้วว่าราชันสวรรค์จะมาอุทยานหลวง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าราชันสวรรค์จะมาที่นี่ ตอนนี้จู่ๆ ก็ถูกแจ้งกะทันหัน ทำเอาทุกคนตกใจกันหมด


กลุ่มขุนนางที่อยู่บนเกี้ยวใหญ่ทยอยกันเดินลงมา แล้วแบ่งยืนเป็นสองฟัง ผ่านไปครู่เดียวประมุขชิงก็เดินลงมาด้วยความเร็วปกติ


อย่าว่าแต่กลุ่มคนของกองมังกรดำที่ตกใจ แม้แต่กลุ่มขุนนางใหญ่ก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน ใครจะไปคาดคิดว่าฝ่าบาทจะมาเยือนขวนขุนนางเล็กๆ นี้ก่อน นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? มีคนไม่น้อยแอบกวาดตามองเซี่ยโห้วท่า พบว่าเซี่ยโห้วท่าทำสีหน้าสงบเยือกเย็นแล้ว ไม่เผยเบาะแสใดๆ


ผู้อารักขาที่เข้าไปถามก่อนรีบเร่งฝีเท้าเดินอ้อมด้านข้างกลับมา ถ่ายทอดเสียงถามซ่างก่วนชิงสองสามคำ ซ่างก่วนชิงพยักหน้า บอกใบ้ว่าทราบแล้ว


ประมุขชิงนำกลุ่มขุนนางเดินไปตรงตีนบันไดหน้าประตูตำหนัก แล้วเงยหน้ามองแผ่นป้าย ‘แม่ทัพภาคอุทยานหลวง’ พร้อมกล่าวปนจำว่า “ข้ามาที่อุทยานหลวงบ่อบ นี่เป็นครั้งแรกที่มาจวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวง จู่ๆ ก็เกิดอยากจะมาดูสักหน่อย พวกเจ้ามีใครเคยมาบ้าง?” เขาถามพลางเดินขึ้นบันได


“ข้าน้อยก็เพิ่งมาครั้งแรกขอรับ”


“อักษรบนป้ายนี้ดูคุ้นตานิดหน่อยนะ”


กลุ่มขุนนางใหญ่ที่ติดตามมาพากันพูดคล้อยตาม ทุกคนต่างบอกว่าไม่เคยมา


ในทุ่งนาที่อยู่ใกล้ๆ นาหลวง เอ๋อเหมยสาวใช้ประจำตัวรีบเดินมาข้างกายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่กำลังรดน้ำต้นไม้ แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “พระนาง ฝ่าบาทไปที่จวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวงเพคะ”


“…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หยุดทำงานทันที หันหน้าไปมองนาง บนใบหน้าแสดงความรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย แล้วก็หันขวับไปมองที่ป่าผืนหนึ่ง หนิวโหย่วเต๋อกำลังรักษาบาดแผลอยู่ทางนั้น


ชั่วพริบตานั้น นางเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว นางเพิ่งสั่งสอนหนิวโหย่วเต๋อไปยกหนึ่ง ฝ่าบาทก็ไปที่จวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวงทันที นี่ไม่ได้กำลังจงใจทำให้นางลำบากใจหรอกเหรอ? นางไม่เชื่อหรอกว่าหูตาของฝ่าบาทจะไม่รู้ว่านางเพิ่งทำโทษหนิวโหย่วเต๋อ


เดิมทีนางอยากจะรู้ว่าประมุขชิงไปที่ไหน จะได้ไปร่วมเดินทางด้วย แต่พอประมุขชิงทำแบบนี้ นางก็ไม่สะดวกจะไปหาอีกแล้ว


ในป่าเล็กๆ อีกผืนหนึ่ง เหมียวอี้ที่กินยาแล้วยังคงเจ็บจนหน้าซีด แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญเลย พอเก็บระฆังดาราในมือ เขาที่นอนหมอบอยู่บนโขดหินใหญ่ก็ร้องอุทานว่า “แย่แล้ว” จากนั้นก็รีบลุกขึ้นมาอีก สะบัดผ้าพันแผลออกมาแล้วแข็งใจสวมใส่เสื้อคลุมยาว แล้วรีบหยิบเกราะรบของตัวเองมาจากหยางชิ่ง ก่อนจะสวมใส่เกราะอันหนักหน่วงทั้งๆ ที่เจ็บจนเหงื่อกาฬไหล


เมื่อครู่นี้เหมียวอี้เปลือยท่อนบน ดูไม่ได้เพราะเสียมารยาท จ้านหรูอี้ที่กำลังหันหลังให้ได้ยินเสียงหันกลับมามองแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเหมียวอี้เป็นอะไรไปแล้ว


หยางเจาชิ่งถามแล้วว่า “นายท่าน เป็นอะไรไปขอรับ?”


เหมียวอี้ร้อนใจจนกระทืบเท้า “ฝ่าบาทไปที่จวนแม่ทัพภาคแล้ว! เหลือกำลังพลห้าหมื่นคนไว้อารักขาพาหนะหงส์ เลือกกำลังพลอีกห้าหมื่นให้ตามข้ากลับไปที่จวนแม่ทัพภาค”


ในทุ่งนา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ใจลอยเล็กน้อยพลันเอียงหน้ามองไป เห็นกำลังพลที่อยู่รอบๆ รวมตัวกัน แล้วรีบเหาะขึ้นฟ้าไปทางจวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวง พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ดูก็พบว่าคนนำทหารไปคือเหมียวอี้ที่เพิ่งถูกตนลงโทษ


ตอนนี้นางก็เข้าใจแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจงใจไม่เคารพนาง แต่เป็นเพราะฝ่าบาทเพิ่งมาถึงอุทยานหลวง ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต๋อไม่รู้สถานการณ์จริงๆ


แต่เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตาตัวเอง นางก็ยังสีหน้าแย่นิดหน่อย พอได้ยินว่าฝ่าบาทมาแล้ว ก็ทิ้งราชินีสวรรค์อย่างนางทันที ไม่รู้เลยว่าจะต้องมาบอกตนก่อนแล้วค่อยไป เห็นราชินีสวรรค์อย่างนางอยู่ในสายตาเสียที่ไหนกัน


โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้านางสนมของวังหลังมากมายขนาดนี้ จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร!


นางควบคุมดูแลวังหลังมาหลายปีขนาดนี้ พวกตาแก่หนังเหนียวบางคนไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลย ที่น่ารำคาญที่สุดก็คือผู้บัญชาการองครักษ์โพ่จวินของหน่วยองครักษ์ซ้าย ยุงยงส่งเสริมให้ราชันสวรรค์ถอดตำแหน่งราชินี ทำเอากลุ่มผู้หญิงในวังหลังแอบหัวเราะเยาะนางลับหลัง นางทนจนไม่รู้จะทนอย่างไรแล้ว!


แต่นางก็ดันทำอะไรตาแก่เวรอย่างโพ่จวินไม่ได้ โพ่จวินมีอำนาจทางทหารอยู่ในมือเยอะมาก องครักษ์ครึ่งหนึ่งของวังสวรรค์ล้วนเป็นคนของโพ่จวิน เรียกได้ว่าความปลอดภัยของคนครึ่งหนึ่งในวังสวรรค์ถูกบีบอยู่ในมือโพ่จวิน ถ้าไปยั่วโมโหแล้ว อีกฝ่ายก็สามารถออกคำสั่งกักบริเวณนางได้ทุกเมื่อ


ขนาดท่านปู่ของนางอีกฝ่ายยังกล้าซ้อม แม้แต่กับฝ่าบาทยังกล้าโต้เถียงอยู่บ่อยๆ มีหรือที่อีกฝ่ายจะเห็นนางอยู่ในสายตา


เป็นเพราะมักจะมีคนบอกว่าต้องการถอดนางจากการเป็นราชินีสวรรค์ ทำให้นางกลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะ ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงมากมายเท่าไรในวังหลังที่กำลังรอแทนที่นาง ดังนั้นนางจึงอ่อนไหวสุดๆ เวลามีคนทำพฤติธรรมไม่เคารพนาง ถ้าทำอะไรไม่เหมาะสมนิดเดียว นางก็จะรู้สึกว่าขัดลูกหูลูกตาที่สุด! นางทอะไรพวกตาแก่โพ่จวินไม่ได้ แต่พวกตัวละครเล็กๆ โดนนางสั่งโบยตายไปไม่รู้ตั้งไรแล้ว รวมทั้งพวกนางสนมบางคนในวังหลังด้วย นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่เหมียวอี้โดนนางสั่งสอนไปยกหนึ่ง


เหมียวอี้ได้ยินข่าวจึงรีบไปอารักขา จะไปรู้ได้อย่างไรว่าจิตใจของผู้หญิงจะ ‘ละเอียดอ่อน’ ขนาดนี้ เกรงว่าต่อให้นอนฝันก็คาดไม่ถึงว่าจะเผลอล่วงเกินราชินีสวรรค์เข้าแล้ว


ในจวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวง ประมุขชิงเอามือไขว้หลังเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ในตำหนักใหญ่ครู่หนึ่ง แล้วก็นำคนเดินไปที่ลานบ้านด้านหลัง


องครักษ์ที่คอยติดตามได้เข้ามาเฝ้าอยู่ที่แต่ละมุมด้านในล่วงหน้าแล้ว สามารถพูดได้ว่าลานบ้านด้านหลังเป็นเรือนพักชั่วคราวของเหมียวอี้ เฟยหงก็ไม่รู้เช่นกันว่าประมุขชิงจะมาอย่างกะทันหัน หลบเลี่ยงไม่ทัน ถูกองครักษ์บังคับให้ยืนนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งแต่โดยดีแล้ว นางเงียบกริบเหมือนจั๊กจั่นหน้าหนาว ไม่กล้าขยับตัวซี้ซั้ว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง


ประมุขชิงที่เดินเหลียวซ้ายแลขวามาตลอดทางทำสายตางุนงงไปชั่วขณะ แค่มองการแต่งตัวปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่เทพธิดาของที่นี่ และความสวยแบบนี้ก็ยิ่งหาพบได้ยาก ถ้าเทพธิดาของที่นี่สวยถึงขั้นนี้ ก็รั้งไว้ให้อยู่ที่นี่ไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่ถูกขุนนางใหญ่ขอไป ก็ถูกคนของกองทัพองครักษ์ขอไป


อุทยานหลวงที่กว้างใหญ่เลือกหญิงงามในใต้หล้ามาเป็นเทพธิดา นับว่าเป็นวิธีการหนึ่งของประมุขชิงในการผูกมัดจิตใจด้วยเล่ห์เพทุบาย หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาคือกองทัพองครักษ์ของเขา ขอเพียงพี่น้องกองทัพองครักษ์ถูกใจเทพธิดาของที่นี่ ถ้าตอนที่เปลี่ยนผลัดเฝ้าป้องกันอยากพากลับไปเป็นผู้หญิงของตัวเอง โดยทั่วไปวังสวรรค์ก็จะช่วยให้สมปรารถนา


ที่จริงเทพธิดาของที่นี่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ผ่านมือหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายก่อนถึงปล่อยเข้ามา คนที่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกก็จะนึกไปว่าตัวเองได้เก็บสาวงามกลับบ้านมาเฉยๆ แต่กลับไม่รู้ว่าสายลับคนหนึ่งได้เข้ามาอยู่ข้างกายตัวเองแล้ว


ผู้หญิงคนนี้ก็ยิ่งไม่ใช่คนของกองทัพองครักษ์ ไม่อย่างนั้นถ้ารู้ว่าตนจะมา มีหรือที่จะยังใส่ชุดลำลองแบบนี้อยู่ ควรจะไปเปลี่ยนเป็นเกราะรบสิถึงจะถูก


“เจ้าเป็นใครกัน?” ประมุขชิงสงสัย


เฟยหงตกใจจนใจสั่นตัวสั่น องครักษ์ที่ขวางนางอยู่หลีกทางให้นางทันที ส่งสัญญาณให้นางตอบคำถาม


เฟยหงก้าวขึ้นมาทำความเคารพอย่างตัวสั่นหวาดกลัว “สตรีผู้ต่ำต้อยเป็นอนุภรรยาของแม่ทัพภาคอุทยานหลวงเพคะ” เสียงพูดไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร


ประมุขชิงขมวดคิ้วทันที เพราะกองทัพที่ประจำการอยู่ที่วังสวรรค์ไม่ได้รับอนุญาตให้พาครอบครัวเข้ามาด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าทุกคนพากันมาใช้ชีวิตครอบครัวอยู่ที่นี่ แล้วสภาพจะกลายเป็นอย่างไรล่ะ ต่อให้เป็นหนิวโหย่วเต๋อก็จะมาทำกฎของเขาพังไม่ได้


ทูตหน่วยตรวจการซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างๆ รีบถ่ายทอดเสียงบอกซ่างก่วนชิงทันที จากนั้นซ่างก่วนชิงก็รายงานว่า “ฝ่าบาท นางเป็นลูกสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่ผู้ดูแลอุทยานหลวงด้วยขอรับ เป็นแม่เฒ่าลวี่ที่ขอคำสั่งจากราชินีสวรรค์ นางถึงเข้ามาที่นี่ได้ ไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาโดยพลการขอรับ”


ทูตขวาเก้ากวนก็ยืนอยู่ข้างซือหม่าเวิ่นเทียน ทูตซ้ายทูตขวาคอยติดตามรับคำสั่งอยู่ด้วยกัน การถ่ายทอดเสียงของซือหม่าเวิ่นเทียนเมื่อครู่นี้ ถึงแม้จะจงใจควบคุมคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ไว้ แต่ก็ยังถูกเขาสังเกตได้ จึงกวาดสายตาเย็นชาไปทางเฟยหงที่กำลังมีสีหน้าหวาดกลัว


พอพูดถึงลูกสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่ ประมุขชิงก็รู้ทันทีว่าเฟยหงเป็นใคร มีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว คิ้วที่ขมวดจึงคลายลง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ที่แท้ก็เป็นคำสั่งของราชินีสวรรค์! ในเมื่อเจ้าเป็นอนุภรรยาของแม่ทัพภาคอุทยานหลวง แล้วสามีเจ้าไปไหนล่ะ ทำไมถึงไม่มาพบข้า?”


เฟยหงรีบตอบว่า “สามีของหม่อมฉันชื่อหนิวโหย่วเต๋อเพคะ กำลังอยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ทราบว่าไปไหนแล้ว”


“หนิวโหย่วเต๋อ?” ประมุขชิงร้องอ๋อ แล้วทำท่าเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหน หันกลับมาถามว่า “เหมือนข้าจะไม่แปลกหูกับชื่อนี้นะ ใช่หนิวโหย่วเต๋อที่สร้างผลงานใหญ่ที่ตลาดผีรึเปล่า?”


มีขุนนางใหญ่ไม่น้อยที่แอบพึมพำในใจว่า ‘รู้แล้วยังแกล้งถามอีก เป็นเพราะรู้ว่าเพิ่งเกิดเรื่องกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ อยู่ดีๆ เจ้าถึงได้ถ่อมาที่จวนแม่ทัพภาคเล็กๆ แห่งนี้?’


“เป็นคนนี้ขอรับ” ซ่างก่วนชิงตอบ


ประมุขชิงหันตัวมา แล้วพูดกับทุกคนปนเสียงหัวเราะ “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ข้าได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วนะ วันนี้อยากจะรู้จักสักหน่อย ไปบอกให้เขามาพบข้า”


“ขอรับ!” ซ่างก่วนชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบเอียงหน้าส่งสัญญาณให้องครักษ์คนหนึ่ง มีคนไปจัดการเรื่องนี้ทันที


ประมุขชิงย่อมไม่ตั้งใจอยู่ที่นี่เพื่อรอเหมียวอี้อยู่แล้ว เดินเล่นในจวนแม่ทัพภาคเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่เดียวแล้วก็ออกไป


ตอนที่เพิ่งจะเดินออกจากประตูใหญ่ของจวนแม่ทัพภาค เหมียวอี้ก็รีบร้อนมาถึงแล้ว คนที่เหลือเข้าใกล้ไม่ได้ มีเพียงเหมียวอี้ที่ถูกนำตัวมาพบคนเดียว


ประมุขชิงและคนอื่นๆ ที่เพิ่งเดินลงบันไดตำหนักใหญ่หยุดฝีเท้า ขณะมองดูหนิวโหย่วเต๋อที่หน้าซีดและทั้งตัวยังมีกลิ่นคาวเลือดเดินสวมเกราะรบเข้ามา สิ่งนี้ปิดบังสายตาของทุกคนไม่ได้ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าบาดเจ็บไม่ใช่น้อยๆ มีบางคนมองไปที่เซี่ยโห้วท่าอีกครั้ง เซี่ยโห้วท่ายังทำสีหน้าสุขุมเยือกเย็น กลับหรี่ตามองประเมินเหมียวอี้ด้วยซ้ำ ในดวงตาซ่อนความคิดอันล้ำลึกเอาไว้


ที่แท้เจ้าเด็กนี่ก็คือหนิวโหย่วเต๋อนี่เอง! อ๋องสวรรค์โค่วยกมือขึ้นลูบเคราะอย่างช้าๆ พยักหน้าครุ่นคิด ช่างเป็นบุคคลที่มีความสามารถ!


อ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยกมือลูบเคราเช่นกัน ประมุขชิงปฏิเสธคำขอที่จะให้หนิวโหย่วเต๋อมาเป็นสามีของหลานสาวเขา ช่วงนี้เขากำลังครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าจะใช้วิธีการไหนดึงตัวเหมียวอี้มาเป็นลูกน้อง ตอนนี้พอได้เห็นท่าทางของเหมียวอี้แล้วก็แอบพยักหน้า รู้สึกว่าหน้าตาของเจ้าหนุ่มนี่ก็ไม่ได้แย่เลย หลานสาวไม่น่าจะรังเกียจเขาเกินไป ตอนนี้เตรียมวางแผนบางอย่างในใจแล้ว


เทพประจำดาวฟ้าเถาะมองสำรวจเหมียวอี้ด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขาเคยเห็นเหมียวอี้มาก่อน รู้จักเหมียวอี้ เพียงแต่ตอนนั้นเขาปลอมตัวไป เหมียวอี้ไม่รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา ที่จริงเหตุการณ์วุ่นวายในครั้งนี้เขารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเหมียวอี้มาก เรียกได้ว่าเหมียวอี้ได้ช่วยเขาเอาไว้เยอะมากในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน จุดจบของเทพประจำดาวแปดคนนั้นทำให้เขาหวาดผวาจนถึงทุกวันนี้


ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เคยแอบประมือกับเหมียวอี้เช่นกัน พูดได้อีกอย่างว่าเขาเคยเสียเปรียบด้วยมือเหมียวอี้มาแล้ว ทำเอาเกือบหาทางลงไม่ได้ อยากเห็นมาตลอดว่าเหมียวอี้หน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ วันนี้นับว่าได้เจอแล้ว เขาหรี่ตามองประเมินเหมียวอี้เช่นกัน


เกาก้วนย่อมคุ้นเคยกับเหมียวอี้ดี ทั้งสองเคยเจอหน้ากันหลายครั้งแล้ว เมื่อเห็นเหมียวอี้ได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ เขาก็เบิกตากว้างเล็กน้อย แต่ก็รีบกลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว


ประมุขชิงยืนเอามือไขว้หลังพร้อมจ้องมองเหมียวอี้อย่างสนใจ ถึงแม้เหมียวอี้จะได้รับบาดเจ็บ สีหน้าดูแย่ไปหน่อย แต่ความองอาจห้าวหาญที่แผ่ออกมาจากแก่นแท้ในตัวกลับยากที่จะปิดบังไว้ได้ ความเฉียบคมที่ฉายออกมาจากดวงตาในบางครั้งได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่พวกสำมะเลเทเมา และไม่ใช่พวกบัณฑิตหน้าขาวที่มีดีแค่หน้าตาด้วย เหมียวอี้เดินก้าวยาวเข้ามาอย่างองอาจผึ่งผาย ถึงแม้จะประหม่ากังวลอยู่บ้าง แต่กลับยังสุขุมใจเย็นมาก สอดคล้องกับภาพลักษณ์ทหารกล้าที่เขาจินตนาการไว้ในใจ ทำให้เขาค่อนข้างรู้สึกพอใจ


บทที่ 1436 อ๋องสวรรค์อิ๋ง ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย

Ink Stone_Fantasy

บางครั้งความประหม่าก็ทำให้ได้คะแนนเพิ่ม ถ้าหนิวโหย่วเต๋อผู้ต่ำต้อยคนหนึ่งเห็นเขาแล้วไม่ประหม่าเลยสักนิด นั่นกลับจะเป็นเรื่องที่แปลกด้วยซ้ำ


ฉากที่เห็นได้ตอนนี้สอดคล้องกับภาพเหตุการณ์ที่ประมุขชิงคาดไว้ เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล และแน่นอน มีจุดที่เหนือความคาดหมายเช่นกัน ประมุขชิงนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้เพิ่งจะมาได้ไม่นานก็โดนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่สั่งสอนแล้ว


สรุปก็คือ ประมุขชิงมีใบหน้าอมยิ้มเมื่อเจอเขา


กับแม่ทัพภาคเล็กๆ คนหนึ่ง เขาไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจกดดัน บางครั้งการไม่วางมาดนั่นแหละที่ดูเหมือนวางมาดที่สุด


สายตาเหมียวอี้กวาดมองกลุ่มคนแวบหนึ่ง นอกจากเกาก้วนแล้ว เขาก็ไม่รู้จักใครเลยสักคน


เดิมทีเขารู้จักเทียนหยวน แต่ช่วยไม่ได้ที่เทียนหยวนเสียตำแหน่งโหวไปแล้ว ช่วงก่อนหน้านี้อุทยานหลวงก็เก็บกวาดคฤหาสน์ชุดหนึ่ง ในจำนวนนั้นมีคฤหาสน์ของท่านโหวเทียนหยวนด้วย เหมียวอี้ถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องกับท่านโหวเทียนหยวนด้วยเหมือนกัน พอติดต่อกับปี้เยว่ฮูหยินถึงได้รู้ว่าเทียนหยวนได้รับผลกระทบจากเทพประจำดาวคนฉลู เกือบจะได้เข้าไปอยู่ในคุกใหญ่ของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา แต่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยื่นมือดึงตัวออกมาได้ทัน เทียนหยวนก็เลยเสียแต่ตำแหน่งขุนนางไป ไม่ได้รับบทลงโทษอะไร ตอนนี้คอยทำงานอยู่ในจวนอ๋องสวรรค์ เดิมทีเทียนหยวนก็มาจากจวนอ๋องสวรรค์อยู่แล้ว เท่ากับวนอ้อมไปรอบหนึ่งแล้วกลับมาอีก


แน่นอนว่าตอนนี้เขาก็ไม่สะดวกจะตั้งใจมองประเมินทีละคน บางทีอาจจะเป็นเพราะในจำนวนนั้นมีคนที่รู้จักเขาอยู่ เพียงแต่ชั่วขณะนั้นไม่ทันได้สังเกต ทว่าผู้ชายชุดเขียวที่ยืนอยู่ตรงกลางสะดุดตามาก รูปร่างสูงใหญ่ อัตราส่วนของเท้ากับร่างกายยาวกว่าคนทั่วไป บนช่อผมที่ม้วนขึ้นไปอย่างง่ายๆ แซมด้วยเส้นผมสีขาว มีหนวดเหนือริมฝีปากบนและเคราใต้ริมฝีปากล่าง คิ้วเข้มตาโต ขนาดดวงตายาวเรียว แววตาล้ำลึก ตรงหว่างคิ้วมีลายเมฆอัสนีบาตสีเขียวคราม กำลังอมยิ้มพลางมองมาที่ตน


คนคนนี้ใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่ายธรรมดาที่สุดท่ามกลางคนพวกนี้ ทว่าในตอนนี้กลับโดดเด่นเหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่ โดยเฉพาะลักษณะอันน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวทั้งๆ ที่ไม่ได้โกรธ ชัดเจนว่าเป็นผู้นำของกลุ่มนี้


เหมียวอี้แอบตกใจ เดาออกแล้วว่าคนคนนี้เป็นใคร จึงไม่กล้าจ้องตรงๆ เดินมาถึงระยะห่างสามจั้งแล้วหยุดยืนกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยหนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคอุทยานหลวง คารวะฝ่าบาท!”


“เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?” ประมุขชิงถามด้วยสีหน้าอมยิ้ม


เหมียวอี้คิดตาม ไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดหมายความว่าอะไร เมื่อมีบทเรียนจากการลงโทษก่อนหน้านี้แล้ว เขาจึงทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าและรับมืออย่างระมัดระวัง “เป็นข้าน้อยเองขอรับ”


ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ “เจ้าดูเหมือนได้รับบาดเจ็บหนักมานะ?”


มีคนไม่น้อยทำตัวสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาแล้ว รู้สึกว่ากำลังจะมีละครสนุกๆ ให้ดู


เหมียวอี้ยังกุมหมัดคารวะค้างไว้ ก้มหน้ามองพื้นพร้อมตอบว่า “เกิดเหตุไม่คาดคิดนิดหน่อยขอรับ เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง”


เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูด ประมุขชิงก็ไม่ได้ถามอีก ต่อให้เหมียวอี้จะพูด แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ แบบนั้นกลับจะทำให้คนที่ยืนอยู่ฝั่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่คิดวางแผนไม่ดีกับเหมียวอี้ได้ เพราะเขาไม่อาจแสดงคำพูดหรือพฤตติกรรมใดๆ ต่อราชินีสวรรค์ผู้เป็นมารดาแห่งใต้หล้าต่อหน้าฝูงชนได้ ต่อให้จะไม่พอใจแต่ก็เอาไว้ตำหนิราชินีสวรรค์เมื่ออยู่ลับหลังคนอื่นได้ หรือไม่ก็ถึงขั้นถอดออกจากตำแหน่งโดยตรง แต่ไม่สามารถทำลายบารมีความน่าเชื่อถือของราชินีสวรรค์ต่อหน้าฝูงชน ในตอนที่ยังไม่ได้ถอดราชินีสวรรค์ออกจากตำแหน่งจริงๆ ถ้าราชินีสวรรค์ไม่สามารถใช้คุณธรรมคุมคนในฐานะมารดาแห่งใต้หล้าได้ การปล่อยให้ราชินีสวรรค์เที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่สักหน่อยก็เป็นเรื่องที่จำเป็นเหมือนกัน


เขาปกครองใต้หล้า หลักการบางอย่างเขาก็เข้าใจชัดเจนมาก อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าเจ้านายแห่งวังหลังล่ะ? ก็คือคนที่คำพูดมีน้ำหนักและมีอำนาจตัดสินใจในวังหลังไง!


อย่าไปมองแค่ว่าวังหลังมีแต่กลุ่มผู้หญิงสวยๆ เพราะความจริงนั้น ยิ่งสถานที่ไหนมีผู้หญิงเยอะ ก็ยิ่งมีความขัดแย้งเยอะ ยิ่งเป็นผู้หญิงสวยก็จะยิ่งสำคัญตัวเองผิดได้ง่ายๆ บางครั้งผู้หญิงก็มักเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้ง ยามจะเล่นบทโหดขึ้นมาก็เรียกได้ว่าใจดำอำมหิตจริงๆ โหดยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น ที่เขาว่ากันว่า ‘พิษร้ายสุดคือจิตใจของผู้หญิง’ ก็เพราะเหตุผลนี้ ถ้าไม่มีคนควบคุมพวกนางไว้ก็ไม่ได้จริงๆ


วังหลังมีผู้หญิงมากมายขนาดนั้น มีจำนวนไม่น้อยที่มีอำนาจอิทธิพลหนุนหลัง ถ้าวุ่นวายไร้ระเบียบขึ้นมาก็จะแย่ เขามีอุดมการณ์อันแรงกล้าต่อใต้หล้า เป็นไปไม่ได้ที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจหลักไปกับผู้หญิงกลุ่มนี้หมด


ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มักสั่งทรมานคนในวังหลังบ่อยๆ เรื่องที่สั่งประหารสนมหรือองครักษ์ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ ในทางตรงกันข้าม ในใจเขารู้ดีมาก เพียงแต่แสร้งปิดตาข้างหนึ่งก็เท่านั้นเอง ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ สาเหตุที่ราชินีสวรรค์ชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ก็เป็นเพราะเขาจงใจให้ท้าย ไม่อย่างนั้นถ้าไปเตือนอย่างเข้มงวดจริงๆ มีหรือที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะกล้าทำแบบนี้


ตอนนี้ในวังหลังมีใครเห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้วไม่กลัวบ้าง? ส่วนประมุขชิงก็แค่ต้องควบคุมเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ถ้าควบคุมนางได้คนเดียวก็เท่ากับควบคุมได้ทั้งวังหลังแล้ว แบบนี้สบายขึ้นเยอะ


ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือยิ่งผู้หญิงในวังหลังอิจฉาในอำนาจของราชินีสวรรค์มากเท่าไร ก็ยิ่งจ้องอยากได้ตำแหน่งราชินีสวรรค์มากเท่านั้น แบบนั้นถึงจะแย่งชิงกันเป็นที่โปรดปราน เวลาปรนนิบัติประมุขชิงถึงจะทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ


ถ้าในวังหลังไม่มีการแย่งชิงกันเป็นที่โปรดปราน ราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างเขาก็จะต้องหันมาเอาใจผู้หญิงกลุ่มนี้งั้นเหรอ?


ดังนั้นต่อให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฆ่าเหมียวอี้ทิ้ง ทำงานของประมุขชิงพัง เขาก็ทำได้เพียงคิดบัญชีกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ลับหลัง อย่างน้อยสำหรับในตอนนี้ เหมียวอี้ที่ต่ำต้อยคนเดียวก็ยังไม่มีสิทธิ์มาทำตัวทัดเทียมกับหน้าตาศักดิศรีของราชินีสวรรค์ และยิ่งไม่มีสิทธิ์ทำให้เขาแตกคอกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต่อหน้ากลุ่มขุนนางด้วย


ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเขาแล้ว ถ้าอยากจะฝึกเลี้ยงเหมียวอี้ การให้เหมียวอี้ได้รับบทเรียนยาวๆ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไร อย่างไรเสียไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะมีกฎของที่นั่นอยู่แล้ว ถ้าให้เหมียวอี้ทำตัวกำเริบเสิบสานเหมือนตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์อีก อยากจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับใครก็ทำ แบบนั้นจะไม่แย่หรอกเหรอ? ถ้าไม่รู้จักกลัวเสียบ้าง ไม่เคารพยำเกรงเลยสักนิด เช่นนั้นในภายหลังก็ต้องมองข้ามกฎระเบียบเข้าสักวัน!


“อื้ม ต่อไปก็ระวังหน่อยแล้วกัน” ประมุขชิงกล่าวปลอบใจ แล้วก็เดินก้าวยาวไปข้างหน้าต่อ


เขาก็แค่เกิดอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น เลยถือโอกาสมาดู ‘ลูกลิงน้อย’ สักหน่อย ถึงแม้จะมาที่นี่แล้วมุ่งตรงมาหาหนิวโหย่วเต๋อ ทว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเขาไม่ได้มาเพื่อหนิวโหย่วเต๋อ เพราะหนิวโหย่วเต๋อยังไม่มีค่าพอให้เขาต้องถ่อมาที่นี่ด้วยตัวเอง จะให้ราชันสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานอย่างเขามาแสดงออกว่าชื่นชมตัวละครเล็กๆ อย่างหนิวโหย่วเต๋อ แสดงออกว่าให้ความสำคัญมาก แสดงออกว่าจะใช้งานในตำแหน่งสำคัญอย่างไร จากนั้นก็พูดคุยกับหนิวโหย่วเต๋อยาวๆ ให้พวกขุนนางตกใจเหรอ นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


ในทางกลับกัน นี่ถือเป็นการปกป้องเหมียวอี้แบบหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะเป็นการชื่นชมมากเกินไป!


เพียงแต่พอเป็นแบบนี้ ก็ทำให้คนที่รอดูละครสนุกๆ รู้สึกผิดหวังอย่างเลี่ยงไม่ได้ มีเพียงขุนนางใหญ่บางส่วนที่เข้าใจประมุขชิงอย่างลึกซึ่งที่รู้อยู่แก่ใจ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเอาเรื่องเล็กๆ แบบนี้มาโค่นล้มเซี่ยโห้วเฉิงอวี่? ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ล้ม ตำแหน่งราชินีสวรรค์ของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็จะไม่มีใครทำให้สั่นคลอนได้


เมื่อเห็นประมุขชิงเดินมาตรงหน้าด้วยมาดอันน่าเกรงขามดุจพยัคฆ์มังกร เหมียวอี้ก็รีบถอยไปอีกข้าง หลีกทางให้เขาแล้ว


ตอนที่กลุ่มขุนนางเดินผ่าตัวเขาไป ก็มีคนไม่น้อยที่มองสำรวจเขาอีกครั้ง ทุกคนล้วนมองเขาด้วยแววตาที่เหมือนมองลงมายังที่ต่ำ แต่เกาก้วนกลับไม่ชายตาแลเขาแม้แต่น้อย


รอจนกระทั่งคนกลุ่มนี้เดินออกไปแล้ว องครักษ์ในแม่ทัพภาคถอนกำลังออกไปแล้ว เขาก็รีบเรียกพวกจ้านหรูอี้ให้มาตามอยู่ข้างหลังเขา


ถึงแม้บนร่างกายเขาจะมีบาดแผล ทำให้เขาเจ็บจนว้าวุ่นไปหมด แต่ในเวลาแบบนี้ก็ทำได้เพียงอดทนไว้ รับมือกับกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าคนที่อยู่ตรงหน้ามีธุระเรียกหาเขาแต่เขากลับไม่อยู่ ใครจะไปรู้ว่าจะมีผลที่ตามมาเป็นอย่างไร ถ้ามาเฝ้าสวนที่นี่แต่กลับเฝ้ารักษาชีวิตตัวเองไว้ไม่ได้ แบบนั้นต่างหากที่จะได้ไม่คุ้มเสีย


จ้านหรูอี้เห็นเขาสีหน้าแย่ บนใบหน้ามีเหงื่อไหลเป็นเม็ดๆ รู้ว่าเขาเจ็บเหลือทนแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงเตือนว่า “ถ้าร่างกายขอนายท่านไม่สะดวก ไม่สู้ไปพักก่อนดีกว่ามั้ย เดี๋ยวทางนี้ข้าจะช่วยดูให้นายท่าน ฝ่าบาทก็รู้ว่านายท่านได้รับบาดเจ็บ คงจะไม่มีใครตำหนินายท่าน”


เหมียวอี้จะกล้าวางใจให้ผู้หญิงคนนี้คุมสถานการณ์ได้เหรอ ถ้าโดนผู้หญิงคนนี้วางกับดักขึ้นมาจะทำอย่างไร ?


เขายังป้องกันและระแวดระวังจ้านหรูอี้อยู่


พวกประมุขชิงไม่ได้นั่งเกี้ยวใหญ่อีก ให้นำเกี้ยวใหญ่ถอยออกไป แล้วก็ไปยังสวนท้อเซียนที่อยู่ใกล้ๆ


ค่ายกลป้องกันของสวนท้อเซียนเปิดออกอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คนกลุ่มใหญ่เข้ามา


ถึงแม้ทุกคนจะเป็นขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ แต่สถานที่นี้ก็ใช่ว่าใครจะเข้าก็เข้ามาได้ ถ้ามุมโดยอิงจากบางมุม อำนาจในการเข้าออกที่นี่ คนส่วนใหญ่ยังมีไม่เท่าเหมียวอี้เลย มีคนไม่น้อยที่ถือโอกาสนนี้เชยชมทิวทัศน์สวนท้ออย่างจริงจัง


หลังจากเข้ามากลางสวน จู่ๆ ประมุขชิงที่เอามือไขว้หลังก็กล่าวว่า “อ๋องสวรรค์อิ๋ง ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย”


“ขอรับ!” อิ๋งจิ่วกวงที่อยู่ข้างหลังก้าวขึ้นมาข้างหน้า


ซ่างก่วนชิงรีบหันซ้ายหันขวาบอกใบ้เล็กน้อย กลุ่มองครักษ์ที่ติดตามเข้าไปเก็บกวาดในป่าข้างหน้าทันที จะได้ป้องกันไม่ให้มีคนได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน หรือเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น ส่วนเขาก็ตามหลังทั้งสองไปอย่างช้าๆ


คนที่อยู่ข้างหลังรู้ว่าประมุขชิงต้องการจะคุยกับอิ๋งจิ่วกวงเป็นการส่วนตัว ไม่สะดวกจะตามเข้าไปอีก ทุกคนหยุดอยู่กับที่แล้ว เซี่ยโห้วท่ากับอีกสามอ๋องสวรรค์สบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็รู้ว่าประเด็นสำคัญในการมาครั้งนี้เริ่มจะโผล่ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าการที่ประมุขชิงทำให้วุ่นวายแบบนี้เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?


รอจนกระทั่งห่างจากกลุ่มคนมาไกลแล้ว จู่ๆ ประมุขชิงถึงได้กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เมื่อครู่นี้เพิ่งจะเห็นเจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่น จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง หลานสาวของเจ้าเหมือนจะเป็นลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อใช่มั้ย?”


อิ๋งจิ่วกวงกำลังครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายอยากจะทำอะไร พอได้ยินว่าเปลี่ยนประเด็นมาที่จ้านหรูอี้อย่างกะทันหัน เขาก็อึ้งอยู่บ้าง ในใจเกิดความระแวดระวังทันที แต่ภายนอกกลับยิ้มตอบว่า “ฝ่าบาทความจำดีมาก ใช่แล้วขอรับ”


ประมุขชิงพยักหน้า “นั่นก็แปลว่า ตอนนี้หลานสาวของเจ้าก็อยู่ที่นี่เหมือนกันเหรอ?”


“น่าจะใช่ขอรับ” อิ๋งจิ่วกวงตอบ


ประมุขชิงตอบกลั้วหัวเราะ “เรื่องที่ตลาดผี หลานสาวเจ้าก็สร้างผลงานใหญ่ไว้เหมือนกัน เมื่อครู่นี้เห็นหนิวโหย่วเต๋อก็ลืมไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สาย ซ่างก่วน ไปเรียกตัวมา ข้าอยากจะเห็นขุนนางที่สร้างคุณงามความดีสักหน่อย”


“ขอรับ!” ซ่างก่วนชิงเอ่ยรับคำสั่ง จากนั้นโบกมือเรียกคนมาหนึ่งคน แล้วสั่งให้ไปพาจ้านหรูอี้มาที่นี่ ขณะเดียวกันก็แอบถ่ายทอดเสียงเตือน ว่าให้เดินอ้อมไป พาตัวมาโดยหลีกเลี่ยงขุนนางใหญ่กลุ่มนั้น


เขาเป็นคนที่อยู่ข้างกายประมุขชิง เข้าใจประมุขชิงดีมาก ในเมื่อประมุขชิงอยากจะสนทนากับอิ๋งจิ่วกวงโดยหลบเลี่ยงขุนนางใหญ่คนอื่นๆ ก็ย่อมเป็นเพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็น


เดิมทีจ้านหรูอี้ก็รอรับคำสั่งอยู่แถวนี้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงถูกนำตัวมาอย่างรวดเร็ว


นางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกเรียกมาด้วยเรื่องอะไร พอเห็นประมุขชิงกับอิ๋งจิ่วกวงเดินเล่นอยู่ในป่า นางก็รีบเข้าไปทำความเคารพ “ข้าน้อยจ้านหรูอี้คารวะฝ่าบาท คารวะอ๋องสวรรค์!”


เมื่อตัวจริงมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ในดวงตาประมุขชิงก็ฉายประกายแวบหนึ่ง


ถึงแม้จ้านหรูอี้จะไม่ถึงขั้นมีหน้าตาแบบงามล่มเมือง แต่ก็ยังนับว่าเป็นคนสวยเช่นกัน ยิ่งมีรูปร่างสูงระหงทรงเพรียวแบบที่หาได้ยากในหมู่ผู้หญิง ขาทั้งคู่ยาวเด่นมาก ไปยืนตรงไหนก็สะดุดตา ถึงแม้บนตัวจะสวมเกราะรบ แต่เกราะรบก็ยากที่จะปิดบังรูปร่างที่ดีของจ้านหรูอี้ได้ กลับช่วยเพิ่มลักษณะที่องอาจกล้าหาญให้นางด้วยซ้ำ เรียกได้ว่ามีเสน่ห์ไปอีกแบบ กอปรกับท่าทีที่ไม่เย่อหยิ่งหรือถ่อมตัวจนเกินไป เสน่ห์แบบนั้นก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ประมุขชิงไม่เคยเห็นในวังหลัง ทำให้ประมุขชิงตาเป็นประกายมาก ให้ความรู้สึกเหมือนดีใจเหนือความคาดหมาย


ประมุขชิงยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวชมว่า “ช่างเป็นวีรสตรีหญิงที่มีลักษณะองอาจกล้าหาญ ขนาดข้าเห็นแล้วยังรู้สึกฮึกเหิม ดีๆๆ!”


อิ๋งจิ่วกวงพูดต่อว่า “ฝ่าบาทชมเกินไปแล้วขอรับ นางเป็นเด็กสาวที่ไม่รู้ความคนหนึ่งเท่านั้นเอง ชอบทำอะไรตามอารมณ์ตัวเอง โดนโอ๋ตั้งแต่เด็กจนเสียคนแล้วขอรับ”


นี่ไม่ใช่คำพูดถ่อมตัว แต่เขาโมโหนางแล้วจริงๆ นางปิดบังเขาแล้วแอบไปอยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายก็ว่าแย่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าขนาดไปปฏิบัติภารกิจลับที่ตลาดผีก็ยังไม่บอกคนในบ้านสักคำ ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนของตระกูลอิ๋งอยู่มั้ย? ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่นางรู้จักแจ้งข่าวมาบอกในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย ทำตัวเหมือนเกลือเป็นหนอนแบบนี้ เขาถึงขั้นคิดจะฆ่านางแล้วด้วยซ้ำ


“เอาน่า การไม่เสแสร้งต่างหากที่เป็นอุปนิสัยที่แท้จริงของนาง ถ้าจะให้ข้าพูดนะ ข้าว่าดีกว่าพวกมีเจตนาแอบแฝงในใจตั้งเป็นหมื่นเท่า” ประมุขชิงพูดดักประโยคหนึ่ง หลังจากหรี่ตายิ้มพลางกวาดมองจ้านหรูอี้ศีรษะจดเท้าอีกครั้งแล้ว ก็เอามือไขว้หลังเดินไปข้างหน้าต่อ


อิ๋งจิ่วกวงโบกมือ บอกใบ้ให้จ้านหรูอี้ถอยไป ส่วนตัวเองก็เดินตามหลังประมุขชิงต่อไป


บทที่ 1437 สนมสวรรค์หรูอี้

Ink Stone_Fantasy

สวนท้อเงียบสงบและสวยงาม หมอกหนาทึบถึงเข่า หนึ่งคนเดินข้างหน้า สองคนเดินตามหลัง ตอนนี้ยังไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนเดินเล่นช้าๆ อยู่ในสวนท้อ


เดิมทีในหัวอิ๋งจิ่วกวงก็คิดไม่หยุดอยู่แล้ว ครุ่นคิดมาตลอดว่าประมุขชิงอยากจะทำอะไรกันแน่ ทว่าเดาไม่ค่อยออก


ข้างหน้าปรากฏศาลาแห่งหนึ่ง ประมุขชิงก้าวเข้าไปในนั้นแล้วนั่งลง ซ่างก่วนชิงรีบหยิบระฆังดาราออกมาส่งข่าว ไม่นานก็มีเทพธิดาสองคนเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา วางถาดที่มีผลไม้เซียนชนิดต่างๆ ผสมปนกัน ทั้งยังมีสุราหยกด้วย


หลังจากเทพธิดาทั้งสองถอยไปแล้ว ประมุขชิงก็ยกจอกสุราหยกขึ้นมาชิมอย่างช้าๆ แล้วกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “จากการตรวจสอบ ตอนที่ตำหนักสวรรค์วางกับดักจับคนที่ตลาดผี ได้ข่าวว่ามีคนเปิดเผยความลับด้วย อ๋องสวรรค์อิ๋งคิดว่าอย่างไรบ้าง?”


อิ๋งจิ่วกวงที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างล่างทำสีหน้าเหมือนประหลาดใจทันที “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือขอรับ? ใครกันที่ช่างบังอาจเช่นกันนี้!” เขาบอกก่อนว่าตัวเองไม่รู้ แล้วก็โยนคำถามทิ้งกลับไป


ประมุขชิงดมกลิ่นหอมในแก้ว หางตาเหล่มองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง “ปฏิบัติการครั้งนั้นรักษาความลับอย่างเหมาะสมที่สุด คนที่รู้สถานการณ์ล่วงหน้ามีเพียงสี่คน หนึ่งคือข้า อีกสองคนคือเกาก้วน ฮวาอี้เทียน แล้วก็ยังมีหลานสาวของเจ้า จ้านหรูอี้ อ๋องสวรรค์อิ๋งรู้สึกว่าใครที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด?”


อิ๋งจิ่วกวงแอบด่าในใจว่า ‘คนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเปิดเผยความลับมากที่สุดก็คือเจ้าไง เจ้าให้นางหนูหรูอี้ไปเข้าร่วมเรื่องนี้ด้วย ก็ไม่ใช่เพราะอยากให้นางเปิดเผยความลับหรอกเหรอ?’


ทว่าเรื่องบางเรื่องทุกคนก็ทำได้เพียงรู้อยู่แก่ใจเท่านั้น แต่กลับไม่สามารถเปิดโปงได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ทุกคนเล่นต่อไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแกล้งโง่ “นางหนูหรูอี้คงจะไม่กล้าหาญขนาดนั้นหรอกกระมัง?”


ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ว่าจะมีความกล้านั้นหรือไม่ เดี๋ยวตรวจสอบแล้วก็ย่อมรู้เอง”


หมายความว่ายังไง? อิ๋งจิ่วกวงรู้สึกหนาวๆ ในใจ จ้องมองปฏิกิริยาของประมุขชิง ต้องการจะตรวจสอบนางหนูหรูอี้งั้นเหรอ อย่าบอกนะว่าอยากจะฉีกหน้ากัน? เขาจึงหัวเราะแห้งๆ แล้วบอกว่า “ฝ่าบาทกล่าวมีเหตุผล มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้าง ต้องตรวจสอบสักหน่อยขอรับ”


ประมุขชิงเงยหน้าดื่มสุราหยกจนหมดจอก ตบจอกสุราลงบนโต๊ะดังปั้ง เผยลักษณะที่น่ากลัวให้เห็นรางๆ พร้อมบอกว่า “บรรดาขุนนางใหญ่ตรวจสอบชื่อคนที่ติดกับดักซ้ำแล้ว ไม่สังเกตเห็นอะไรบ้างหรือ? ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีผู้เหลือรอดของหกลัทธิเลยสักคน พอหว่านแหลงไป ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่ตัวละครเล็กๆ ที่เหลือรอดของหกลัทธิก็จับไม่ได้สักคน อ๋องสวรรค์อิ๋ง เจ้าว่าเป็นไปได้เหรอ? ไม่รู้สึกบ้างเหรอว่ามีเงื่อนงำ?”


ในตอนนี้ อิ๋งจิ่วกวงถึงได้รู้สึกตกใจจริงๆ แล้ว ในที่สุดก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหาแล้ว เข้าใจแล้วว่าประมุขชิงกำลังหมายถึงเรื่องที่จ้านหรูอี้เปิดเผยความลับต่ออ๋องสวรรค์อิ๋ง ทั้งยังมีคนเปิดเผยความลับให้ผู้เหลือรอดของหกลัทธิรู้ด้วย สิ่งนี้ล้ำเส้นประมุขชิงแล้ว!


เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตลาดผี แผนการปฏิบัติงานโดยละเอียดนั้นเป็นอย่างไรเขาก็ไม่รู้ชัด แต่ประมุขชิงได้พูดไว้ชัดเจนแล้ว ว่าคนที่รู้เรื่องนี้ล่วงหน้ามีเพียงสี่คนเท่านั้น แต่ประมุขชิง เกาก้วนและฮวาอี้เทียนจะเปิดเผยความลับต่อผู้เหลือรอดของหกลัทธิเหรอ? ไม่น่าจะเป้นไปได้นะ! ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ที่จ้านหรูอี้จะเปิดเผยความลับต่อผู้เหลือรอดของหกลัทธิ แต่นางก็เปิดเผยให้อ๋องสวรรค์อิ๋งรู้แล้วจริงๆ ถ้าจับจ้านหรูอี้ไปสอบสวนขึ้นมา จ้านหรูอี้จะทนการสอบสวนจากเกาก้วนได้เหรอ? ถ้านางให้ปากคำไปว่าเปิดเผยความลับต่ออ๋องสวรรค์อิ๋ง เช่นนั้นใครจะพิสูจน์ได้ว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งไม่ได้สมคบกับผู้เหลือรอดของหกลัทธิ?


พอนึกถึงจุดนี้ อิ๋งจิ่วกวงก็แทบจะเหงื่อแตก ในใจเกิดความคิดสังหารขึ้นมาแวบหนึ่ง เก็บนางเด็กหรูอี้นั่นไว้ไม่ได้แล้ว!


ตอนนี้เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยให้จ้านหรูอี้ถูกพาตัวไปสอบสวนไม่ได้เด็ดขาด กลับไปจะต้องตัดสินใจทันที ทั้งยังต้องทำให้รวดเร็วด้วย!


จ้านหรูอี้แค่คนเดียว เมื่อเทียบกับอนาคตทั้งหมดของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ก็ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงจริงๆ!


แต่ภายนอกเขากลับไม่เผยพิรุธใดๆ กลับพยักหน้าเห็นด้วย “เรื่องนี้มีเงื่อนงำจริงๆ ขอรับ แต่ข้าน้อยรับประกันได้ ว่านางหนูหรูอี้ไม่มีทางสมคบกับผู้เหลือรอดของหกลัทธิแน่นอน ฝ่าย่อมก็ยิ่งไม่ใช่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทางเกาก้วนกับฮวาอี้เทียนจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เขาอยากจะเปลี่ยนประเด็นสนทนาก่อน


“เรื่องนี้ข้ามีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แต่สีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว “เราคุยกันทีละเรื่องดีว่า เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น พูดถึงหลานสาวของเจ้า สิ่งที่นางทำตอนอยู่ตลาดผีก็นับว่าสร้างผลงานใหญ่แล้วเช่นกัน สาเหตุที่ข้ายังไม่ได้ให้รางวัลเลย ก็เป็นเพราะจะพิจารณาท่าทีของเจ้าก่อน อ๋องสวรรค์อิ๋งคิดว่าข้าควรจะให้รางวัลอะไรหลานสาวเจ้าดีล่ะ?”


อิ๋งจิ่วกวงถูกเขาปั่นจนสับสนงุนงงไปหมดแล้ว ความน่าเกรงขามของราชันนั้นยากจะคาดเดา ไม่เข้าใจว่าประมุขชิงอยากจะทำอะไรกันแน่ เขาครุ่นคิดไปสักประเดี๋ยว ก่อนจะปฏิเสธอย่างสุภาพว่า “ในเมื่อนางทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์ นั่นคือเรื่องที่นางสมควรทำ ตามหลักการแล้วให้ลูกน้องปฏิบัติตามกฎก็พอ มิบังอาจให้ฝ่าบาทลำบากเอ่ยวาจาชมด้วยตนเองขอรับ


“พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ทำผิดก็ต้องลงโทษ สร้างผลงานก็ต้องได้รางวัล จะเอ่ยปากกับใครก็ไม่เป็นไร” ประมุขชิงโบกมือ แล้วเอียงหน้าจ้องเขาพร้อมถามด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อครู่นี้ข้าเห็นนาง รู้สึกชื่นชมมาก ตลอดทางที่เดินมาข้ากำลังคิดว่า จะให้รางวัลอะไรนางดีนะ? ตอนหลังข้าก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เลยตัดสินใจจะให้รางวัลนางโดยการรับนางเป็นสนม อ๋องสวรรค์คิดว่าอย่างไร?”


“…” อิ๋งจิ่วกวงอ้าปากกว้าง เรื่องราวหักมุมขนาดนี้เหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ ใบหน้าชราแสดงอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ


อย่าว่าแต่อิ๋งจิ่งกวงเลย ขนาดซ่างก่วนชิงที่อยู่ข้างกัน ก็ยังตะลึงค้าง หันหน้าช้าๆ ไปมองที่ประมุขชิง อยากจะดูว่าเขาพูดจริงหรือล้อเล่น ทว่าจากประสบการณ์ที่อยู่รับใช้เขามาหลายปี ตอนนี้เขาไม่เหมือนกำลังล้อเล่น ทั้งยังเหมือนคิดจะทำแบบนี้จริงๆ ด้วย


อิ๋งจิ่วกวงย่อมรู้ว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิด แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ฝ่าบาทกำลังหมายถึงจะรับหรูอี้เป็นสนมหรือขอรับ?”


“ทำไมล่ะ? ไม่ได้เหรอ?” ประมุขชิงขมวดคิ้ว “หรือไม่อย่างนั้น อ๋องสวรรค์ไม่เต็มใจเหรอ?”


“เปล่าขอรับ เปล่าๆ…” อิ๋งจิ่วกวงรีบโบกมือปฏิเสธ อาศัยโอกาสนี้ ในหัวเริ่มคิดวนไปวนมาอย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดถึงจุดประสงค์ที่ประมุขชิงตัดสินใจแบบนี้


ใช่ว่าประมุขชิงจะไม่เคยเจอผู้หญิงมาก่อน หลานสาวคนนั้นของตนถึงแม้จะหน้าตาไม่แย่ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเป็นยอดหญิงงาม ผู้หญิงสวยเลิศล้ำแบบไหนที่ประมุขชิงไม่เคยลิ้มลองบ้างล่ะ ถ้าจะบอกว่ายอดหญิงงามมีอยู่ที่ไหนเยอะที่สุด ก็ย่อมเป็นวังหลังของประมุขชิงอยู่แล้ว แต่ทำไมประมุขชิงยังดึงดันจะรับนางหนูหรูอี้นั่นเป็นสนมให้ได้ล่ะ?


ไม่นานเขาก็พบคำตอบแล้ว เกรงว่าประมุขชิงคงจะไม่พอใจตระกูลเซี่ยโห้วเข้าแล้ว ต้องการให้มีผู้หญิงจากตระกูลขุนนางใหญ่เข้าไปคานอำนาจในวังหลัง โดยเฉพาะเรื่องที่ตลาดผี หอสัตยพรตกับประมุขชิงประมือกันมาตลอด ภายนอกประมุขชิงไม่ได้พูด แต่ในจะต้องมีเคืองแน่ ตอนนี้กำลังจะเริ่มเตือนตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว!


และถ้าต้องการจะคานอำนาจตระกูลเซี่ยโห้ว ผู้หญิงจากตระกูลขุนนางใหญ่ทั่วไปก็คานอำนาจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ไหว เป็นเพราะอำนาจในวังและอำนาจนอกวังมีไม่พอ มีเพียงผู้หญิงจากตระกูลสี่อ๋องสวรรค์ถึงจะมีคุณสมบัตินั้น แต่ก็ช่วยไม่ได้ นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว ลูกสาวหลานสาวของสี่อ๋องสวรรค์คนไหนยังจะรอให้คนมาสู่ขออีก พวกนางแต่งงานออกเรือนกันไปหมดแล้ว ความรับผิดชอบนี้จึงตกมาอยู่ที่ตัวหลานสาวคนนี้ไปโดยปริยาย ที่สำคัญที่สุดก็คือ นางหนูหรูอี้กับอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยังมีความสัมพันธ์ห่างกันระดับหนึ่ง ตรงกลางยังมีตระกูลจ้านกั้นอยู่ เกรงว่านี่คงจะเป็นเหตุผลที่ประมุขชิงเลือกนางหนูหรูอี้


ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าการที่ประมุขชิงพูดจาบีบคั้นเขาก่อนหน้านี้หมายความว่าอะไร เรื่องนี้เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ถ้าเขาไม่ตอบตกลง ตอนนี้ตนถูกแยกออกมาอยู่ตามลำพังแล้ว ประมุขชิงสามารถสั่งให้จับจ้านหรูอี้ไปสืบสวนเรื่องเปิดเผยความลับได้ทันที ทำให้เขาเล่นตุกติกอะไรไม่ทันเลย


แต่ประมุขชิงกลับไม่เหลือทางหนีที่ไล่ไว้ให้เขาเลย ที่รับจ้านหรูอี้เป็นสนมก็เพื่อจะบอกว่าจะไม่สืบสาวเรื่องเปิดเผยความลับกับอ๋องสวรรค์อิ๋งแล้วก็ได้ ทำไมไม่สืบสาวเอาเรื่องล่ะ? เมื่ออยู่ในบางระดับ สี่อ๋องสวรรค์คือผู้ที่ร่วมมือกัน ไม่ยอมเห็นฝ่ายตัวเองถูกลดทอนกำลังอำนาจง่ายๆ ประมุขชิงจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักเรื่องนี้ ดังนั้นประมุขชิงจึงฉวยโอกาสตักเตือนตระกูลเซี่ยโห้วดีกว่า ให้อำนาจสองฝ่ายได้สู้กัน!


พอนึกถึงตรงนี้ ในใจอิ๋งจิ่วกวงก็รู้สึกเร่าร้อน ในสายตาของประมุขชิงอาจจะเป็นการต่อสู้ของคนสองฝ่าย แต่สำหรับอ๋องสวรรค์อิ๋งแล้ว สิ่งนี้กลับทำให้มองเห็นโอกาส ถ้าสามารถฉวยโอกาสข่มตระกูลเซี่ยโห้วได้ เช่นนั้นเขาก็จะยินดีมาก เกรงว่าอีกสามอ๋องสวรรค์ก็คงจะยินดีมากเช่นกัน อำนาจใต้ดินถูกควบคุมโดยตระกูลเซี่ยโห้วมาตลอด พวกเขาสี่คนยื่นมือเข้าไปแทรกไม่ได้เลย


แทบจะเป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว อิ๋งจิ่วกวงเดาความคิดของประมุขชิงไปจนเกือบเสร็จสรรพแล้ว เรียกได้ว่าแอบปลื้มปีติยินดีมาก!


เป็นเพราะเพิ่งทิ้งเทพประจำดาวของตัวเองไปสองคน ทำให้จิตใจของกำลังพลเบื้องล่างไม่มั่นคง หรือจะบอกว่า ‘กระต่ายสิ้นใจ จิ้งจอกร่ำไห้’ ก็ได้ ถ้าหรูอี้กลายเป็นสนมโปรดของระมุขชิง กำลังพลเบื้องล่างก็จะต้องชั่งน้ำหนักอิทธิพลของเขาที่มีต่อตำหนักสวรรค์อีกครั้ง สามารถช่วยให้ใจคนสงบมั่นคงได้ เรียกได้เป็นเรื่องดีแบบยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว!


เขาจึงพูดต่อว่า “การที่ฝ่าบาทสามารถชื่นชอบนางได้ ก็นับเป็นวาสนาของนางขอรับ เพียงแต่นางหนูนั่นไม่ได้หน้าตาสวยโดดเด่น เมื่อเข้าวังหลังแล้วเกรงว่าอาจจะไม่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท!”


นี่เป็นการเริ่มคุยเงื่อนไขกันแล้ว!


ประมุขชิงเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ในเมื่อเป็นหลานสาวของอ๋องสวรรค์ มีหรือที่ข้าจะปฏิบัติด้วยอย่างขาดความยุติธรรม ข้าจะแต่งตั้งนางเป็น ‘สนมสวรรค์หรูอี้’ จะประทานเกี้ยวหงส์เดี่ยวให้ด้วย เงินประจำตำแหน่งในวังหลังก็อิงจากตำแหน่งสูงสุดในบรรดาสนม เป็นรองเพียงราชินีสวรรค์เท่านั้น นอกจากข้ากับราชินีสวรรค์ เมื่อเห็นคนอื่นก็ไม่ต้องทำความเคารพ! อ๋องสวรรค์คิดว่าอย่างไร?”


อิ๋งจิ่วกวงได้ยินแล้วดีใจมาก นับตั้งแต่ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ คนแรกที่ถูกแต่งตั้งให้เป็น ‘สนมสวรรค์’ ก็คือหลานสาวของเขา ‘สนมสวรรค์หรูอี้’ ก็ยิ่งสมปรารถนาตามใจคิดเหมือนกับชื่อของนาง ถือเป็นเกียรติอย่างที่สุด เกี้ยวหงส์เดี่ยวถึงแม้จะมีน้อยกว่าหงส์คู่ของราชินีสวรรค์หนึ่งตัว แต่ก็มีกฎว่ามีเพียงราชินีสวรรค์เท่านั้นที่สามารถใช้พาหนะหงส์ได้


เมื่อลองคิดไปต่างๆ นาๆ ก็พบว่านางหนูหรูอี้นั่นจะได้เป็นสตรีอันดับสองของใต้หล้าแล้ว มีตระกูลสนับสนุนแบบนี้ ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะได้กลายเป็นสตรีอันดับหนึ่งในใต้หล้าก็ได้ เมื่อมีเกียรติยศรองรับ เขาก็จะอธิบายกับฝั่งลูกสาวตัวเองได้สะดวก ไม่อย่างนั้นถ้าให้หรูอี้เข้าวังไปเป็นสนมธรรมดา คาดว่าต่อให้ตีให้ตาย ลูกสาวตนก็ไม่มีทางตอบตกลง


อิ๋งจิ่วกวงโค้งตัวค้างไว้นานๆ ทันที “ข้าน้อยขอขอบคุณในความเมตตาอันใหญ่หลวงของฝ่าบาทแทนนางหนูหรูอี้!” นี่เท่ากับเป็นการตอบตกลงแล้ว


ซ่างก่วนชิงผู้การใหญ่วังสวรรค์แอบรู้สึกทึ่ง สิ่งที่ผู้หญิงมากมายในวังหลังพยายามคิดหาทางเอาใจฝ่าบาทอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่ได้ แต่กลับมีคนได้มาง่ายๆ ตั้งแต่ยังไม่เข้าวังแล้ว กลับไปก็ไม่รู้ว่าจะมีผู้หญิงมากมายเท่าไรอิจฉาริษยา! แต่ของแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นางเกิดในตระกูลขุนนางที่มีตำแหน่งน้อยมากในใต้หล้าล่ะ ตอนนี้ราชินีสวรรค์มีคู่แข่งแล้ว!


ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เกรงว่าความคิดของคนหนุ่มสาวจะไม่เหมือนกันน่ะสิ! อ๋องสวรรค์กลับไปปรึกษากับคนที่บ้านก่อนก็ได้ แล้วค่อยตัดสินใจอีกที!”


“คนหนุ่มสาวจะไปรู้อะไร การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนต้องฟังคำสั่งบิดามารดา ฟังคำพูดแม่สื่อ จะเห็นเป็นเรื่องเด็กเล่นได้อย่างไร ผู้ใหญ่ย่อมมีอำนาจตัดสินใจอยู่แล้ว!” อิ๋งจิ่วกวงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง


ประมุขชิงโค้งมุมปากยิ้มหยอกล้อ “อ๋องสวรรค์หมายความว่า…กำหนดตามนี้เหรอ?”


กับเรื่องแบบนี้อิ๋งจิ่วกวงไม่สนว่าเขาจะล้อเล่นหรือไม่ กลัวก็แต่ว่าถ้าปล่อยให้เวลานานไปแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงพยักหน้ารับรองทันที “มิบังอาจล้อเล่นต่อหน้าฝ่าบาท ตกลงตามนี้ขอรับ!”


“เช่นนั้นก็ดี!” ประมุขชิงลุกขึ้นยืน ถอดแผ่นหยกสีรุ้งที่พกติดตัวออกมา แล้วยื่นให้อีกฝ่าย” ใช้สิ่งนี้เป็นของขวัญแทนใจที่ข้ามอบให้หรูอี้ก็แล้วกัน ต่อไปนี้นางสามารถอาศัยสิ่งนี้เพื่อเข้าออกวังสวรรค์ได้โดยไม่ต้องถูกราชินีสวรรค์ควบคุม ข้าจะปฏิบัติต่อนางให้สมกับชื่อ ‘สนมสวรรค์หรูอี้[1]!”


…………………………


[1] หรูอี้ 如意 แปลว่าสมปรารถนา


บทที่ 1438 การตักเตือนของเซี่ยโห้วท่า

Ink Stone_Fantasy

อิ๋งจิ่วกวงปลาบปลื้มยินดีอีกครั้ง ใช้สองมือรับไว้ “ข้าข้อยขอบพระคุณแทนหรูอี้ด้วยขอรับ!”


“เฮ่อๆ!” ประมุขชิงโบกมือ แล้วเดินออกไปพร้อมรอยยิ้ม


“บ่าวชราขอกล่าวแสดงความยินดีต่ออ๋องสวรรค์ล่วงหน้า” ซ่างก่วนชิงเข้ามากุมหมัดคารวะพร้อมรอยยิ้ม


อิ๋งจิ่วกวงรีบคารวะกลับ “ผู้การใหญ่เกรงใจเกินไปแล้ว นางหนูนั่นทำให้คนเป็นกังวลใจมาตลอด ในภายหลังถ้าอยู่ในวังแล้วมีจุดไหนไม่ประสีประสา ก็หวังว่าผู้การใหญ่จะให้อภัยด้วย”


ซ่างก่วนชิงตอบว่า “อ๋องสวรรค์พูดล้อเล่นแล้ว…เรื่องสนมสวรรค์เข้าวังก็ยังต้องหวังให้ทางอ๋องสวรรค์รักษาความสัมพันธ์กับบ่าวชราไว้ อย่าให้ฝั่งบ่าวชราคลำไม่เจอหัวสมองจนไม่รู้ว่าจะเตรียมตัวอย่างไร” เรื่องบางเรื่องประมุขชิงก็แค่กำหนดชื่อลงมาก็เท่านั้น ส่วนรายละเอียดของเรื่องราวเขายังต้องไปดำเนินการ


ถ้าจะพูดให้ฟังดูแย่หน่อยก็คือ ประมุขชิงไม่จำเป็นต้องสนใจขั้นตอนที่อยู่ระหว่างนั้นเลย ในระหว่างนั้นถ้าควรจะจัดการงานราชการก็ควรจัดการ ถ้าควรจะฝึกตนก็ไปฝึกตน ขนาดไม่โผล่หน้ามาก็ยังไม่เป็นไรเลย แค่โผล่ไปเข้าห้องหอก็พอแล้ว ประมุขชิงถึงขั้นไม่ต้องเข้าห้องหอก็ยังได้ ที่วังหลังมีห้องหอของนางสนมจำนวนไม่น้อยที่ประมุขชิงไม่เคยเข้ามาก่อน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เป็นแค่การรับสนมคนหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้คนจำนวนมาก ถ้าจะต้องัดพิธีการประกาศเกินความจำเป็นทุกครั้งที่รับสนมเข้าวังหลัง ที่วังหลังมีสนมมากมายขนาดนั้นจะไม่แย่หรอกหรือ? เกรงว่าแม้แต่พวกขุนนางใหญ่ก็จะส่งของขวัญไม่ไหว


นอกจากราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่จัดพิธีแต่งงานใหญ่โต สนมคนอื่นในวังหลังก็แค่ถูกหามเกี้ยวจากนอกวังเข้ามาในวังเท่านั้น เมื่อผ่านประตูนั้นมาก็กลายเป็นผู้หญิงของราชันสวรรค์แล้ว การเข้าวังของจ้านหรูอี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น วังหลังจะเตรียมลานบ้านเอาไว้ให้นางเรียบร้อย เข้ามาอยู่พักก็พอแล้ว


อิ๋งจิ่วกวงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนจัดการเรื่องนี้ ก่อนที่จ้านหรูอี้จะเข้าวัง ซ่างก่วนชิงก็ยังต้องคนมาตรวจร่างกายจ้านหรูอี้อีกด้วย เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ประมุขชิงใช้ของมือสองหรือว่าโดนสวมเขา เขาพยักหน้าบอกซ้ำๆ ว่า “ผู้การใหญ่วางใจได้ ถ้ามีความคืบหน้ายังไงก็จะรายงานผู้การใหญ่ได้ทุกเมื่อ”


“เช่นนั้นก็รบกวนอ๋องสวรรค์แล้ว” ซ่างก่วนชิงกล่าวอย่างสุภาพ แล้วก็หันตัวรีบเดินตามประมุขชิงไป


อิ๋งจิ่วกวงยืนสูดหายใจอย่างตกตะลึงอยู่ในศาลา วันนี้มีเรื่องดีใจเหนือความคาดหมายจริงๆ รีบเดินตามออกมาจากศาลาเช่นกัน ก่อนหน้านี้คิดมาตลอดว่าจะให้จ้านหรูอี้หมั้นหมายกับเหมียวอี้ ตอนนี้โยนเรื่องนี้ทิ้งไว้ข้างหลังแล้ว มูลค่าที่มอบให้เป็นสนมของประมุขชิง มีหรือที่คนต่ำต้อยอย่างหนิวโหย่วเต๋อจะเทียบติด เมื่ออยู่ระหว่างผลประโยชน์ ก็ตัดสินใจได้ไม่ยากว่าจะเลือกใคร


หลังจากเที่ยวเล่นที่อุทยานหลวงเกือบครึ่งวัน ราชันสวรรค์ก็กลับวังสวรรค์แล้ว บรรดาขุนนางใหญ่ก็ทยอยกันออกไปเช่นกัน


พอรู้ว่าราชันสวรรค์กลับไปแล้ว กลุ่มสตรีที่แสร้งทำนาอยู่ในนาก็หมดความสนใจทันที เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เดินขึ้นมาบนคันนาคลายแขนเสื้อที่พับออก ขณะกำลังเตรียมตัวจะไป เอ๋อเหมยหญิงรับใช้ประจำตัวก็มารายงานว่า “พระนาง ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วขอพบเพคะ”


“ท่านปู่เหรอ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่งงไปชั่วขณะ พอหันกลับมาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ก็เห็นที่โดนทหารสวรรค์ดักอยู่ไกลๆ จึงโบกมือบอกทันทีว่า “เร็วเข้า เชิญมา!”


เอ๋อเหมยรีบถลันตัวเหาะไปตรงนั้น เมื่อมีคำสั่งของราชินีสวรรค์ เซี่ยโห้วท่าก็ย่อมเข้ามาได้โดยไม่มีปัญหา


พอเหาะลงมาเหยียบตรงหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เซี่ยโห้วท่าก็กุมหมัดคารวะตามระเบียบ “บ่าวชราคารวะราชินีสวรรค์”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จนใจ นางบอกไปหลายครั้งแล้ว ว่าให้ท่านปู่ไม่ต้องมากพิธีเมื่ออยู่ต่อหน้านาง นางรับไม่ไหว แต่ในจุดนี้เซี่ยโห้วท่าดึงดันมาก ยืนหยัดไม่ให้เสียธรรมเนียม ทั้งยังต้องการให้ทุกคนของตระกูลเซี่ยโห้วทำแบบนี้ด้วย


ปฏิเสธไม่ได้ ทำได้เพียงรับไว้ แต่จะว่าไปแล้ว ทุกครั้งที่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้ นางก็จะรู้สึกถึงความสูงส่งจริงๆ ก่อนหน้านี้นางผู้ไม่เคยโดดเด่นในตระกูลเซี่ยโห้ว ตอนนี้ทุกคนของตระกูลเซี่ยโห้วเห็นนางก็ต้องพากันรักษาระเบียบ เกรงอกเกรงใจ ไม่กล้าต้อนรับไม่ดีเลยแม้แต่น้อย และทุกครั้งที่ได้รับการเคารพแบบนี้ ความน้อยเนื้อต่ำใจที่นางได้รับในวังหลังก็สลายหายไปแล้ว รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนคุ้มค่า


“ท่านปู่สวรรค์ไม่ต้องมากพิธี” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบยื่นมือประคอง


เซี่ยโห้วท่าที่ทำความเคารพเสร็จแล้วยืดเอวขึ้น จากนั้นมองไปรอบๆ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ผู้ใหญ่ทำอย่างไร ผู้น้อยก็จะเลียนแบบตามจริงๆ ด้วย ขยันขันแข็งกั้นทั้งนั้น”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เห็นเขาเลี่ยงประเด็นเมื่อเห็นคนอื่นอยู่ด้วย ก็รู้ว่ามีอะไรจะคุยกับนาง จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มทันทีว่า “ไม่ได้เจอท่านปู่สวรรค์มาหลายวันแล้ว ถ้าไม่ถือสา ไปพูดคุยกับข้าเรื่องครอบครัวในสวนสักหน่อยสิ”


“ในเมื่อพระนางมีคำสั่ง ข้าน้อยก็ย่อมต้องปฏิบัติตาม!” เซี่ยโห้วท่าเอ่ยรับ


“เอ๋อเหมย เจ้าจัดการตรงนี้สักหน่อยแล้วกัน” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดทิ้งท้าย แล้วหันตัวนำเซี่ยโห้วท่าเดินไป


เอ๋อเหมยรู้ถึงเจตนาของเขา ทำแบบนี้แสดงว่ามีเรื่องส่วนตัวจะคุยกัย จึงเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปเก็บเครื่องมือทำนาที่อยู่ในนา


พอเข้ามาในป่าเล็กๆ เซี่ยโห้วท่าก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองโดยรอบ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เห็นเข้าระมัดระวังตัว จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านปู่ มีเรื่องอะไรเหรอ?”


เซี่ยโห้วท่าจ้องนางครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ แล้วบอกว่า “เฉิงอวี่ เรื่องที่เจ้าสั่งโบยหนิวโหย่วเต๋อวันนี้ เจ้าทำเกินไปหน่อยแล้ว ฝ่าบาทเพิ่งเลื่อนตำแหน่งให้เขาได้ไม่นาน แต่เจ้ากลับใช้บทลงโทษเขา แบบนี้เจ้าจะไม่ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าจะต่อต้านฝ่าบาทเหรอ? นางหนู การต่อต้านฝ่าบาทไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนักหรอก!”


พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ นางก็นึกถึงเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อทิ้งราชินีสวรรค์อย่างนางไปโดยไม่บอกสักคำ ไม่เห็นราชินีสวรรค์อย่างนางอยู่ในสายตาสักนิด จึงอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าฝ่าบาทจะฉีกหน้าข้าเพื่อหนิวโหย่วเต๋อที่ต่ำต้อยคนเดียว คนที่ระดับสูงกว่านี้ใช่ว่าข้าจะไม่เคยลงโทษเสียหน่อย! โชคดีที่ข้าเห็นแก่หน้าฝ่าบาท ไม่อย่างนั้นวันนี้เขาจะยังมีชีวิตอยู่เหรอ!


เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้า “เอาล่ะ เหตุผลอย่างอื่นข้าจะไม่พูดถึงแล้ว เจ้าน่าจะจำได้ใช่มั้ย ข้าเคยบอกไปแล้ว ว่าตระกูลเราติดหนี้น้ำใจเขาครั้งหนึ่ง ตอนนี้ยังมีน้ำใจนั้นอยู่ เจ้าโบยเขาจนกลายเป็นอย่างนั้น ถือว่าทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวปนขำว่า “เรื่องแค่นั้นเอง แค่ช่วยหลงเฉิงไว้ครั้งเดียวไม่ใช่เหรอ ตอนนี้หลงเฉิงจากโลกนี้ไปแล้ว…ก็ได้ ข้าไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้าแค่ดูจากความเป็นจริง ศักดิ์ศรีหน้าตาของราชินีสวรรค์จะเทียบกับน้ำใจเล็กน้อยของเขาไม่ติดเชียวหรือ? บังอาจมาโต้เถียงข้าต่อหน้าคนอื่น ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา คนเห็นตั้งเยอะขนาดนั้น จะให้ข้าทนความรู้สึกได้ยังไง? ถ้าข้าไม่มีบารมีความน่าเชื่อถือในจุดนี้สักนิด แล้วข้าจะคุมวังหลังได้ยังไง?”


เมื่อเห็นว่านางไม่ใส่ใจคำพูดตน ดวงตาชราของเซี่ยโห้วท่าก็พลันหรี่ลง ค้ำไม้เท้าเดินมาข้างหน้า ส่งสายตาที่คมกริบแทงออกมาราวกับคมมีด ลักษณะท่าทางดุดันที่ถูกความแก่ชราบดบังได้เผยออกมาแล้ว ทำเอาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตกใจจนต้องถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก


“นางหนู อย่าโดนจิตใจที่ใฝ่หาเกียรติอันจอมปลอมและไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำของผู้หญิงมาบดบังสติปัญญา อย่างน้อยก็ต้องมีสติขั้นพื้นฐาน การจะคุมวังหลังได้หรือไม่นั้น เจ้าไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจ ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วไม่อยากให้เจ้าคุมวังหลัง เจ้าจะนั่งตำแหน่งนายหญิงของวังหลังได้อย่างมั่นคงเหรอ? ดังนั้นอย่าทำเรื่องอะไรที่ทำลายผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้วเด็ดขาด ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วล้มลง ก็ไม่ต้องให้ข้าบอกว่าเจ้าจะมีผลที่ตามมาเป็นอย่างไร!” เซี่ยโห้วท่ากล่าวอย่างช้าๆ แทบจะตักเตือนอย่างชัดถ้อยชัดคำ สายตาน่าหวาดกลัว


ที่จริงก็เป็นแค่การตักเตือนเท่านั้น เขาพบว่าไม่ตักเตือนไม่ได้แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้สนับสนุนให้นางขึ้นตำแหน่งราชินีสวรรค์เพื่อมาต่อต้านตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้าหากควบคุมไม่ได้ แบบนั้นจะไม่แย่หรอกเหรอ?


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตกใจมาก นางย่อมรู้ว่าท่านปู่ของตัวเองมีพลังมากขนาดไหน ขนาดประมุขของใต้หล้ายุคแล้วยุคเล่าก็ยังถูกทำลายด้วยน้ำมือของท่านปู่เลย ราชินีสวรรค์อย่างนางไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยในสายตาเขา ถ้าอยากจะทำลายนางก็เป็นเรื่องที่ง่ายแค่สั่งเพียงประโยคเดียวเท่านั้น


เรียกได้ว่าไม้กระบองเดียวก็สามารถทำให้นางได้สติขึ้นมาจากความหงุดหงิดแล้ว นางแอบตกใจจนตัวสั่น รีบก้าวขึ้นมาคล้องแขนท่านปู่ แล้วพูดออดอ้อนว่า “ท่านปู่ ท่านพูดไปถึงไหนแล้ว ช่างเถอะ ในเมื่อท่านปู่ไม่พอใจ ข้าจะปล่อยหนิวโหย่วเต๋อนั่นไปก็ได้”


“ไม่!” เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้า “เจ้าไม่ต้องปล่อยเขาไป ถ้าควรจะหาเรื่องก็ต้องหาเรื่องต่อไป ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อึ้งไปชั่วขณะ ไม่เข่ใจนิดหน่อย เมื่อครู่นี้ยังเตือนข้าอยู่เลย ตอนนี้มาให้ข้าทำเหมือนเดิมอีกแล้ว แบบนี้หมายความว่าอะไร? นางอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “ท่านปู่ หลานไม่เข้าใจว่าท่านปู่หมายความว่าอะไร”


“เจ้าเป็นนายหญิงของวังหลัง ความเจ้าอารมณ์ที่ควรจะมีก็ยังต้องมี ไม่จำเป็นต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อแม่ทัพภาคเล็กๆ คนเดียวหรอก เพียงแต่ต้องเห็นแก่หน้าฝ่าบาท อย่าตั้งตัวเป็นศัตรูกับฝ่าบาท อย่าทำเกินไปนัก หาเรื่องเจ้าเด็กนั่นนิดหน่อยก็พอ แต่จะเอาจริงไม่ได้ อย่าให้เขามาเป็นอะไรที่นี่ ไม่ใช่แค่เท่านี้นะ ถ้าเจ้าเด็กนั่นประสบอันตรายที่นี่ เจ้าก็ยังต้องคิดหาทางช่วยเขาด้วย พยายามปกป้องเขาอย่างสุดความสามารถโดยไม่ให้พัวพันมาถึงตัวเจ้า!” เซี่ยโห้วท่ากล่าว


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ่งฟันยิ่งงง ถามอย่างงงงวยว่า “หลานโง่เขลา ฟังสิ่งที่ท่านปู่พูดไม่เข้าใจ”


เซี่ยโห้วท่าเอียงหน้ามองนาง แล้วบอกอย่างจริงจังหนักแน่นว่า “นางหนู ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องถามมากแล้ว เจ้าเพียงต้องจดจำไว้ ว่าการเก็บเจ้าเด็กนั่นไว้มีประโยชน์ต่อตระกูลเซี่ยโห้วของพวกเรา!”


ครั้งนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าท่านปู่ต้องการจะทำอะไร แต่การที่สามารถทำให้ท่านปู่มาบอกด้วยตัวเองได้ ก็แสดงว่าหนิวโหย่วเต๋อมีประโยชน์ต่อตระกูลเซี่ยโห้วมาก สิ่งนี้ทำให้นางไม่กล้ามองข้าม จึงพยักหน้าตอบว่า “ท่านปู่ ท่านวางใจเถอะ หลานรู้ว่าควรต้องทำยังไง”


“เหอะๆ!” เซี่ยโห้วท่าเผยใบหน้ายิ้มแสดงความพอใจ ชักมือออกมาจากแขนของนาง แล้วกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “เกรงว่าพระนางจะต้องกลับวังแล้ว บ่าวชราไม่รบกวนแล้ว ขอตัวอำลา!”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ส่งเขาออกไปนอกมา ขณะมองคล้อยหลังเขาจากไป นางก็ตกอยู่ในวังวนความคิด


กลุ่มนายท่านและบรรพบุรุษไปกันหมดแล้ว เหมียวอี้ก็โล่งใจแล้วเช่นกัน สุดท้ายก็ไม่ต้องแบกสังขารร่างกายที่บาดเจ็บหนักไปทรมานต่อแล้ว เขากลับมานอนหมอบในจวนแม่ทัพภาค รีบเยียวยาบาดแผล โดยมีเฟยหงนั่งเช็ดน้ำตาพร้อมดูแลอยู่ข้างๆ…


“คุณหนู ท่านเขย พวกท่านกลับมาแล้วเหรอ!”


เสียงที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหูดังอยู่ด้านข้าง จ้านผิงกับอิ๋งลั่วหวนจากจวนอ๋องสวรรค์อิ๋งอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง หลังจากเห็นผู้ที่กล่าวทักทายแล้ว ทั้งสองก็เรียกได้ว่าหยุดเดินด้วยความงุนงง


ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นท่านโหวเทียนหยวนนั่นเอง ตอนนี้ย่อมถอดคำว่า ‘ท่านโหว’ ทิ้งไปแล้ว ไม่ใช่แค่คำว่า ‘ท่านโหว’ ที่หายไป แม้แต่เสื้อผ้าหรูหราที่เคยสวมใส่ในเมื่อก่อนก็หายไปแล้วด้วย ตอนนี้สวมเกราะม่วงหกแถบ กำลังทักทายด้วยความเคารพปนเก้อเขิน


สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกปลงอนิจจัง ทั้งสองได้ยินเรื่องที่เทียนหยวนประสบเคราะห์มาแล้วเช่นกัน เข้าไปพัวพันกับคดีเทพประจำดาวคนฉลูด้วย ผ่านข้อหาก่อกบฏ จากขุนนางที่มีสิทธิ์ประชุมในราชสำนักถูกถอดตำแหน่งจนกลายเป็นแบบนี้ ตกต่ำจนกลายเป็นคนเฝ้าประตูใหญ่จวนอ๋องสวรรค์ ทำให้คนรู้สึกเห็นอกเห็นใจจริงๆ


ทั้งสองเดินเข้าไปหา จ้านผิงยกมือตบบ่าเทียนหยวนพลางถอนหายใจ “พี่เทียน รักษาชีวิตไว้ได้ย่อมดีกว่าอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่มีชีวิตก็ย่อมมีหวัง มีอ๋องสวรรค์ดูแล สักวันพี่เทียนจะต้องเงยหน้าอ้าปากได้อีกครั้งแน่!”


เทียนหยวนหัวเราะเบาๆ เหมือนไม่สะทกสะท้าน แล้วยื่นมือเชิญ “อ๋องสวรรค์กำลังรอทั้งสองอยู่ข้างใน ให้ข้ามาบอกว่า ถ้าทั้งสองมาแล้วก็ให้ไปพบนายท่านที่ ‘สวนโบราณ’ เลย”


จ้านผิงกุมหมัดขอบคุณ อิ๋งลั่วหวนก็พยักหน้าขอบคุณเช่นกัน แล้วสองสามีภรรยาก็หันตัวเดินจากไป


หลังจากส่งทั้งสองเดินไปไกลแล้ว เทียนหยวนก็ถอนหายใจเบาๆ บางอย่างก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาจริงๆ!


ในปีนั้นเขากับจ้านผิงล้วนเป็นผู้ติดตามคนสนิทของอ๋องสวรรค์อิ๋งเหมือนกัน ตอนแรกเริ่มอ๋องสวรรค์อิ๋งให้ความสำคัญกับเขามาก ตั้งใจให้เขาแต่งงานกับอิ๋งลั่วหวน แต่จนใจที่ผู้หญิงคนนั้นมีนิสัยเจ้าอารมณ์เหมือนคุณหนู เขาไม่กล้าสรรเสริญเยินยอจริงๆ ไม่อยากแต่งงานรับผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนบรรพบุรุษกลับบ้านไป กอปรกับตอนนั้นตกหลุมรักปี้เยว่ที่ยังสาวยังสวยตั้งแต่แรกเห็น ตอนนั้นเขายังไม่เคยทำงานในตำแหน่งขุนนาง เพียงลำพังมาก่อน ยังค่อนข้างไร้เดียงสา ยังคิดที่จะอยู่กับปี้เยว่ไปจนแก่เฒ่า อ๋องสวรรค์อิ๋งก็ไม่ได้บังคับเขาเช่นกัน ทั้งยังเตรียมวางอนาคตให้เขาด้วย แต่จนใจที่เมื่ออยู่ภายใต้การกัดกร่อนของกาลเวลา หลายสิ่งหลายอย่างก็กลายเป็นสิ่งที่ไร้ความปรานี ใจคนเปลี่ยนแปลงเฉกเช่นความไม่เที่ยงของโลกนี้ ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว!


และในวันนี้ ตัวเองก็ถูกตีกลับมาที่เดิมแล้ว ตำแหน่งของจ้านผิงยังมั่นคงทั้งยังมีอนาคต เขาสามารถแน่ใจได้เลย ว่าถ้าตอนแรกตัวเองแต่งงานกับอิ๋งลั่วหวน ก็คงไม่มีจุดจบเหมือนอย่างวันนี้แน่


เทียนหยวนส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วหันตัวเดินไปพร้อมถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่ง…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)