คัมภีร์วิถีเซียน 1431-1433

ตอนที่ 1431 บุตรชายวิหคสวรรค์

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลังจากที่ชายหนุ่มหน้าหวานรู้สึกปวดหัวจนจะระเบิดแล้ว ก็ได้สติตื่นขึ้นมา


 


 


หลังจากที่เขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ก็กระโดดขึ้นมาด้วยความระวังภัย สองฝั่งมีชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำและหานลี่ที่ดูเหมือนเพิ่งได้สติเช่นกัน


 


 


“เกิดอะไรขึ้น! ข้านึกออกแล้ว คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเจ้าโจรอวี๋จะไม่ให้สมบัติกับพวกเรา กลับใช้ไข่มุกดูดอัสนีลอบทำร้ายพวกเรา” ทันใดนั้นชายหนุ่มที่นึกถึงเรื่องก่อนที่จะหมดสติขึ้นได้ ก็อดที่จะตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวขึ้นมาไม่ได้


 


 


ส่วนชายร่างใหญ่นั้นหลังจากที่สั่นศีรษะแล้วยังมีความมึนงงอยู่เล็กน้อยนั้นพลันนั่งสมาธิ ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์ภายในทันที


 


 


ชั่วครู่เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


 


“ยังดีที่ถูกทำร้ายปราณแท้ไปแค่เล็กน้อย ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนัก”


 


 


หานลี่กลับก้มหน้าลงต่ำไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่แววตากลับเปล่งประกายไม่หยุด ดูเหมือนว่าจะกำลังขบคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้อยู่


 


 


“ทั้งสองรู้หรือไม่ว่าต่อมาเกิดอะไรขึ้น?” ชายหนุ่มหน้าหวานกวาดสายตาไปที่หานลี่และชายร่างใหญ่แล้วก็เอ่ยถามขึ้น


 


 


“ไม่แน่ใจ ข้าถูกอัสนีห้าสีเข้ามาประชิดตัว แล้วจิตวิญญาณก็สั่นคลอนสลบไปทันที” ชายร่างใหญ่หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา


 


 


“พี่หาน จำได้ว่าตอนนั้นดูเหมือนว่าเจ้าจะพบว่าเจ้าโจรอวี๋นั้นเล่นแง่ และไม่ได้รับไข่มุกดูดอัสนีเม็ดนั้น” ฉับพลันนั้นชายหนุ่มก็เอ่ยถามหานลี่


 


 


“ข้าน้อยเป็นแค่แม่ทัพวิญญาณคนหนึ่งจะรอดพ้นได้อย่างไร! แม้ว่าข้าจะหลบอัสนีเบญจสวรรค์ได้ แต่จากนั้นกลับถูกอสูรอัสนีตัวนั้นใช้พลังอัสนีลอบทำร้าย และเป็นลมไปเหมือนกับท่านทั้งสอง” หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย


 


 


“ถูกอสูรอัสนีลอบทำร้าย? ก็ใช่อสูรตัวนั้นถูกเจ้าโจรอวี๋ใช้แกนผลึกฝังลงไปในร่าง จึงถูกเขาควบคุมกายเนื้อของอสูรอัสนีได้ชั่วคราว” เมื่อได้ยินคำนี้ชายหนุ่มหน้าหวานกลับเชื่อไปสองสามส่วน


 


 


“แปลกจริง ในเมื่อเจ้าโจรนั้นกลับคำ เหตุใดพวกเราถึงปลอดภัย” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำกลับเริ่มขบคิดถึงเรื่องประหลาดนี้ขึ้นมา


 


 


“นี่มันแปลกตรงไหน! กว่าครึ่งเจ้าโจรนั้นคงเห็นว่าทำการใหญ่สำเร็จแล้ว จึงเสียดายไม่อยากมอบของให้พวกเรา ตอนนั้นข้ารู้สึกแปลกๆ แต่กำราบอสูรวิญญาณตัวหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าต้องใช้ของที่ล้ำค่าขนาดนี้มาแลกเปลี่ยน ดูแล้วเขาคงคิดจะโกงตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งที่ร้านหมื่นอัสนีของคนผู้นี้นับว่ามีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองศักดิ์สิทธิ์แท้ๆ” ชายหนุ่มหน้าหวานกลับก่นด่าพร้อมกับหน้าที่เปลี่ยนสี


 


 


“หากแค่เสียดายของล่ะก็ ก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าพวกเราจริงๆ ทว่าช่วงเวลาที่พวกเราหลับไป คนผู้นี้คงหนีไปไกลแล้วกระมัง” หานลี่พยักหน้าขณะเอ่ย


 


 


เมื่อได้ฟังคำพูดของหานลี่ ชายร่างใหญ่ก็มีสีหน้าขบคิด เห็นได้ชัดว่ายอมรับความคิดนี้ได้


 


 


“ไม่อาจปล่อยให้เจ้าโจรนั่นหนีไปได้ ตอนนี้ต้องไปที่ที่พักของมัน ต่อให้มันหนีไปแล้ว ก็อาจจะมีเบาะแสอะไรก็เป็นได้” ชายหนุ่มแววตาเปล่งประกายเย็นเยียบ เอ่ยอย่างไม่ยินยอม


 


 


ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำลังเลเล็กน้อย แล้วก็เห็นด้วย หานลี่กลับมีแววตาเปล่งประกาย แล้วพลันสั่นศีรษะ


 


 


“ข้าน้อยมีพลังยุทธ์ต่ำต้อย ครั้งนี้รอดชีวิตมาได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว ไม่อยากฝืนฝอยหาตะเข็บอีก ข้าขอตัวลาจากอาวุโสทั้งสองก่อนขอรับ”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มพลันตกตะลึง อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้


 


 


“พี่หาน เจ้าโจรอวี๋หลอกลวงพวกเราขนาดนี้ เจ้าทนไหวจริงๆ หรือ ข้าว่าพี่หานมีความสามารถด้านอัสนีไม่เลว น่าจะมีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่สินะ ต่อให้เจ้าโจรนั้นมีพลังยุทธ์เหนือกว่าพวกเรา แต่ก่อนหน้านี้ได้กระชากจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของอสูรอัสนีออกมา ก็คงเสียปราณแท้ไปเยอะ หากพวกเราร่วมมือกัน ก็ไม่ต้องหวาดกลัวเขาแล้ว หากไม่ไหวจริงๆ พวกเราสามคนก็ไปรายงานเหล่าอาวุโส แม้ว่าเขาจะมีพลังยุทธ์แต่จะกล้าต่อกรกับเหล่าอาวุโสหรือ?” ชายหนุ่มกัดฟันกรอกขณะเอ่ยชักจูง


 


 


“อาวุโสในเผ่า ไม่จำเป็นต้องรบกวนพวกเขาหรอก เรื่องนี้พวกเราจัดการกันเองได้” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ขณะเอ่ย


 


 


“ช่างเถิด ข้าน้อยยังมีธุระอื่นในเมืองศักดิ์สิทธิ์ ครั้งนี้ที่มาปรากฎตัวที่นี่เพียงเพราะผ่านทางมาเท่านั้น ในเมื่อเรื่องมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็ไม่อยากเสียเวลาอีก ท่านอาวุโสทั้งสอง ชนรุ่นหลังขอตัวก่อน” หานลี่สั่นศีรษะอย่างราบเรียบ หลังจากคารวะทั้งสองคนแล้ว ปีกที่แผ่นหลังก็สยายออก คนก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกไป


 


 


“ไม่รู้จักแยกแยะผิดถูก ขอแค่หาเจ้าโจรอวี๋นั่นพบ พวกเราสองคนร่วมมือกันก็เพียงพอแล้ว” ชายหนุ่มหน้าหวานมองไปยังลำแสงหลีกหนีของหานลี่ที่อยู่ไกลออกไป แล้วหันหน้ามาเอ่ยกับชายร่างใหญ่


 


 


“หึๆ แค่แม่ทัพวิญญาณเหาะเหินคนหนึ่ง มีเขาเพิ่มขึ้นมาก็ไม่มีค่าอะไร ต่อให้ขาดเขาไปก็ไม่มีค่าอยู่ดี แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าโจรอวี๋จะกล้าฉีกสัญญาเช่นนี้ เกรงว่าคงมีอะไรซ่อนอยู่อีกแน่ โอกาสของพวกเราคงมีไม่มากนัก” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำกลับรู้สึกกังวลเล็กๆ ขึ้นมา


 


 


“ไม่ไปหาด้วยตัวเองสักรอบ จะรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีอาจจับเจ้าโจรผู้นั้นได้” ชายหนุ่มหน้าหวานกลับสั่นนศีรษะระรัว


 


 


“คำนี้ ก็มีเหตุผล พวกเราไปกันเถิด” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะแค่นเสียงหึๆ สองสามครั้งขณะเอ่ย


 


 


ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ไม่สนใจหานลี่ที่หายไป พลันตรงไปยังที่พักของเจ้าของร้าน


 


 


ครานี้หานลี่กลับกลับมายังเรือนรับแขกอย่างทระนงองอาจ ท่าทางเหมือนลืมเรื่องนี้ไปในชั่วพริบตา


 


 


เวลาที่เหลือหานลี่ก็นั่งสมาธิอยู่ภายในเรือนรับรองโดยไม่ยอมออกมา กินยาลูกกลอนเข้าไปไม่หยุด และทำให้ระดับเทพแปลงขั้นปลายของตนเองมั่นคง ในเวลาเดียวกันเขาก็เรียนรู้คาถาตื่นจากจำศีลอย่าง ‘การแปลงกายเป็นวิหคสวรรค์’ อย่างหนัก


 


 


ก่อนการทดสอบหนึ่งวันก็สามารถเรียนรู้วิธีการแปลงกลายได้อย่างถ่องแท้ นับว่านำไปใช้ในสนามรบได้จริง


 


 


เวลาค่อยๆ ผ่านไป ชั่วพริบตาเวลาสองเดือนก็มาถึง


 


 


“ข้าน้อยไป๋ปี้ ได้รับคำสั่งจากท่านมหาอาวุโสให้มารับท่านอาวุโสไปตามที่นัดขอรับ”


 


 


หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นดังเดิม


 


 


ร่างกายพลิ้วไหว เขาลงจากเตียงราวกับภูตผี


 


 


ตั้งแต่ที่ฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาการแปลงกายเป็นวิหค’ จากคาถาตื่นจากจำศีล เขาก็รู้สึกว่าร่างกายเบายิ่งกว่าเดิม วรยุทธ์เพิ่มกว่าเดิมอีกขั้นหนึ่ง


 


 


ผลักประตูห้องออกไป หานลี่เดินออกจากห้องนอน ตรงไปยังห้องรับแขก


 


 


เมื่อเขามาปรากฎตัวในห้องรับแขก ที่นั่นก็มีชายหนุ่มสวมชุดสีเหลืองคนหนึ่งกำลังยืนเอาสองมือไพล่หลังกันอยู่ในห้อง


 


 


ชายหนุ่มผู้นี้ดูแล้วไม่ค่อยหล่อเหลานัก แต่หน้าตาสกลับดใส เมื่อเห็นหานลี่ออกมา ก็เข้ามาถามอย่างอ่อนโยน


 


 


“ท่านอาวุโสหานสินะขอรับ ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากท่านมหาอาวุโส ให้มาเชิญพี่หานไป” แม้ว่าชายหนุ่มจะมีพลังยุทธ์อยู่แค่ระดับเทพแปลงขั้นต้น แต่การกระทำสง่างาม พูดแค่ไม่กี่คำคาดไม่ถึงว่าให้ความรู้สึกเหมือนสายลมชวนหลงใหล


 


 


“ไป๋ปี้? ดูจากหน้าตาของนายท่านไม่ธรรมดา คงเป็นหนึ่งในสองบุตรชายสินะ” หานลี่พิจารณาชายหนุ่มแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็ฉีกยิ้มน้อยๆ ออกมา


 


 


“ชนรุ่นหลังน่าอับอายนัก ข้าน้อยคือบุตรชายในเผ่าที่รู้สึกละอายใจกับการได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากเหล่าอาวุโสในเผ่านัก เรื่องของพี่หานนั้น ความจริงแล้วข้าน้อยได้ยินมาจากอาวุดสทั้งสองท่านตั้งนานแล้ว ข้าน้อยต้องขอบคุณบุญคุณของพี่หานด้วย มิเช่นนั้นข้าน้อยไปจนถึงท่านอาวุโสเลือดเนื้อข้าคงมีอันตรายถึงชีวิต” ไป๋ปี้คารวะพร้อมยิ้มน้อยๆ ขณะเอ่ย


 


 


“อาวุโสน้อง? เจ้าหมายถึง…” หานลี่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


 


 


“ท่านลุงไป๋เสวี่ย น้องไป๋อี๋” ชายหนุ่มฉีกยิ้มขณะเอ่ย


 


 


“เจ้าคือหลานชายของพี่ไป๋เสวี่ย” หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปที่ปีกสีทองเรืองรองที่แผ่นหลังของชายหนุ่มก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


 


 


“ท่านอาวุโสหานไม่ต้องแปลกใจหรอก ชนรุ่นหลังเพิ่งจะกระตุ้นโลหิตศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้วิหคมัจฉาในร่างหลังจากโตเต็มวัย ปีกถึงได้เปลี่ยนเป็นเช่นนี้” ดูเหมือนจะมองความฉงนสงสัยของหานลี่ออก ไป๋ปี้จึงอธิบายพร้อมกลั้วหัวเราะ


 


 


“เช่นนี้นี่เอง ดูแล้วนายท่านคงโชคดีไม่น้อย” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา


 


 


ทันใดนั้นเขาก็ออกจากห้องพักพร้อมกับบุตรชายของเผ่าวิหคสวรรค์


 


 


หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม หานลี่ก็มาปรากฎตัวในวิหารโบราณขนาดมโหฬารที่สร้างขึ้นจากศิลาสีขาว ในวิหารดูยิ่งใหญ่และสงบเงียบ ตรงกลางมีโต๊ะหินสีขาวที่ดูเหมือนโต๊ะบูชาวางอยู่ตัวหนึ่ง สองฝั่งมีเก้าอี้สีขาวห้าตัววางเรียงรายอยู่


 


 


ในวิหารในครานี้นอกจากจินเย่ว์แล้ว ชายชราแซ่ซวีและหญิงงามก็อยู่ด้วย บนเก้าอี้หินมีบุรุษร่างกายผ่ายผอมสวมชุดคลุมสีดำเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง


 


 


รอบกายของบุรุษผู้นี้แผ่ไอสีดำจางๆ ออกมา ใบหน้าถูกปกคลุมเอาไว้จนมองได้ไม่ชัดเจน แต่แผ่นหลังของเขามีปีกสีดำเปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสีดำคู่หนึ่ง


 


 


บนโต๊ะหินมีกล่องสีแดงสดราวกับเพลิงวางอยู่ ด้านบนมีใบไม้โบราณสีเขียวมรกตสองสามแผ่นแปะตัดสลับกันอยู่ ลำแสงสีเขียวที่แผ่ออกมาไม่เหมือนกับสีของกล่องไม้เลยสักนิด


 


 


หานลี่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสี่คนตั้งนานแล้ว ไป๋ปี้เองก็มาอยู่ด้านข้าง


 


 


บรรยากาศในวิหารตึงเครียดมาก แต่ทุกคนก็เงียบขรึม เหมือนว่ากำลังใครสักคนอยู่


 


 


หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ ฉับพลันนั้นด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น สตรีสวมชุดสีเงินมีปีกที่แผ่นหลังคนหนึ่งเดินเข้ามาในวิหารพร้อมกับสายลม


 


 


สตรีผู้นี้มีใบหน้าขาวนวลราวกับหยกตัด แววตาสดใสดุจสายธาร บนร่างมีไม่มีฝุ่นเลยสักนิด


 


 


“เหลยหลัน ดูเหมือนว่าเจ้าจะมาสายนะ” จินเย่ว์มองสตรีผู้นั้น แล้วขมวดคิ้วขณะเอ่ยถาม


 


 


“รายงานท่านมหาอาวุโส ข้าเรียนรู้คาถาได้ในเฮือกสุดท้าย จู่ๆ ก็เข้าใจทั้งหมดได้ ถึงได้เสียเวลาหน่อย หวังว่าเหล่าอาวุโสจะไม่ถือสาเจ้าค่ะ” สตรีผู้นี้ค้อมตัวลงให้กับจินเย่ว์และพวก ปากก็เปล่งเสียงที่ค่อนข้างแหบพร่าออกมา


 


 


“ในเมื่อเรียนรู้คาถาได้แล้ว ก็ช่างมันเถิด” จินเย่ว์ได้ยินคำพูดของสตรีผู้นี้ ก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง


 


 


สตรีผู้นี้เอ่ยคำขอบคุณ และไปยืนอยู่ด้านข้าง


 


 


“จุดประสงค์ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามารวมตัวกัน พวกเจ้าก็น่าจะรู้กันแล้วสินะ การทดสอบที่หุบเหวลึกในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเผ่าเรา ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เจ้าสองคนจะต้องผ่านการทดสอบให้ได้คนหนึ่ง สืบทอดตำแหน่งประมุขของเผ่าเรา แต่พวกเราได้ข่าวมาว่า เผ่าแดงสดที่เป็นศัตรูคู่แค้นกับเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเรานั้น กลับไม่หวังจะปล่อยเผ่าของเราไป กว่าครึ่งคงส่งคนเข้าร่วมการทดสอบเพื่อลงมือรอบทำร้ายพวกเจ้าเช่นกัน ระยะเวลาที่พวกเจ้าสองคนเป็นบุตรชายของเผ่านั้นสั้นไปหน่อย หากมีบุตรชายของเผ่าอื่นมาขัดขวาง การทดสอบครั้งนี้คงมีแต่ต้องไปแล้วไปลับเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงเชิญให้สหายหานมาเข้าร่วมเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเรา เป็นบุตรชายคนที่สามของเผ่าเราชั่วคราว ถึงครานั้นจะได้ช่วยพวกเจ้าอีกแรง” หญิงสาวจ้องเขม็งไปยังหานลี่และพวกทั้งสามคนขณะเอ่ย น้ำเสียงไพเราะดังสะท้อนไปมาอยู่ในวิหาร


 


 


ไป๋ปี้และสตรีที่เพิ่งเข้ามาในวิหารฟังมาจนถึงตรงนี้ ก็มองไปที่หานลี่แวบหนึ่ง


 


 


ชายหนุ่มมีแววตาอ่อนโยนและเป็นมิตร แต่สตรีชุดสีเงินกลับมีแววตาสดใสดุจสายธาร


 


 


หานลี่พลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา! 

 

 


ตอนที่ 1432 เผ่าวิญญาณเหาะเหิน

 

“สหายหานหลอมขนของวิหคมัจฉาเข้าไปเส้นหนึ่งด้วยตัวเอง ประกอบกับที่พวกเราช่วยเขาผสมโลหิตเที่ยงแท้วิหคมัจฉาและพระสารีริกธาตุเข้าไป หากบอกว่าเขาเป็นวิหคสวรรค์อย่างพวกเรา เผ่าอื่นก็ไม่อาจพูดอะไรได้ แต่อย่าให้เรื่องมากเลย เรื่องที่เกี่ยวกับสหายหาน พวกเจ้าสองคนอย่าเอาไปแพร่งพรายจะดีกว่า แค่บอกว่าเขาเป็นคนของเผ่าที่ถูกส่งออกไปฝึกฝนที่ภายนอกก็พอแล้ว” หญิงสาวเอ่ยกำชับ


 


 


“น้อมรับคำสั่ง” ครั้งนี้บุรุษและสตรีผู้นั้นก้มหน้าลงตอบรับพร้อมกัน


 


 


หญิงสาวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วเอ่ยกับหานลี่อย่างเคร่งขรึมว่า


 


 


“สหายหาน ข้าได้อัญเชิญม้วนคำสาบานของวิหคสวรรค์ออกมาจากห้องลับแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นอาวุโสสือก็กลับมาพอดี จึงได้เข้าร่วมการคลายผนึกของม้วนคัมภีร์ และเตรียมสลักชื่อเจ้าขงไปในม้วนคัมภีร์”


 


 


ที่เรียกว่า ‘ท่านอาวุโสสือ’ แน่นอนว่าก็คือบุรุษสวมชุดสีดำที่อยู่ด้านข้างผู้นั้น


 


 


“รบกวนเหล่าสหายแล้ว” หานลี่ไม่ได้เกรงใจ ปากก็เอ่ยตอบรับ สายตาตกไปที่กล่องไม้บนโต๊ะ


 


 


เมื่อเห็นท่าทีของหานลี่ จินเย่ว์ก็ใช้มือหนึ่งกวักไปที่กล่องไม้


 


 


เสียง “สวบ” ดังขึ้น ของสิ่งนี้ถูกดูดเข้าไป ตกลงตรงใจกลางฝ่ามือของหญิงสาว


 


 


ครานี้ไม่ใช่แค่หานลี่ สายตาของคนที่เหลือก็รวมตัวกันอยู่ที่นั่น


 


 


จินเย่ว์มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง นิ้วเรียวสองสามนิ้วลูบไปบนใบไม้สีเขียวมรกตสองสามใบนั้น


 


 


ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวพลันเปล่งประกายเจิดจ้า ใบไม้เหล่านั้นถูกนางดึงออกมาอย่างคล่องแคล่ว


 


 


เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ไม่มีแรงกดจากใบไม้สองสามใบนั้น กล่องไม้สีแดงสดก็มีไฟลุกโชน กลายเป็นลูกบอลเพลิงสีแดงสดกลุ่มหนึ่ง


 


 


จินเย่ว์ใช้มือหนึ่งถือเพลิงลูกนั้นเอาไว้ สะบัดออกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


ลำแสงสีเพลิงหม่นแสงลง เผยม้วนคัมภีร์สีแดงสดความยาวครึ่งฉื่อออกมา สองด้านของม้วนคัมภีร์มีหัวผีสีแดงอยู่ทั้งสองฝั่ง ดูสมจริงราวกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ปากพลันบริกรรมคาถา โยนม้วนคัมภีร์ขึ้นไปเบื้องหน้า ชั่วขณะนั้นพลันลอยนิ่งอยู่กลางอากาศต่ำๆ


 


 


จากนั้นปีกที่แผ่นหลังของหญิงสาวก็สะบัด ขนนกเส้นหนึ่งกลายเป็นลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในม้วนคัมภีร์


 


 


“อาวุโสสือ พวกเจ้าก็ลงมือคลายผนึกเถิด” หญิงสาวสำแดงความสามารถจบ ก็หันหน้าไปเอ่ยกับบุรุษชุดดำ


 


 


 “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเผ่าเรา พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่” บุรุษชุดดำฉีกยิ้มน้อยๆ ขณะเอ่ย ปีกสีดำที่แผ่นหลังมีลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมาเช่นกัน และดูดขนนกสีดำเข้าไปในม้วนคัมภีร์


 


 


ส่วนชายชราแซ่ซวีและหญิงงามนั้นก็ไม่รอให้หญิงสาวเอ่ยปากพูดอะไร ก็กระทำเช่นเดียวกัน


 


 


ชั่วครู่ในที่สุดม้วนคัมภีร์ที่ดูดขนนกของอาวุโสเผ่าวิหคสวรรค์ทั้งสี่คนเข้าไป ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง


 


 


ลำแสงสีแดงเปล่งประกายระยิบระยับ มันขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า ในเวลาเดียวกันหัวผีทั้งสองฝั่งที่หลับตาสนิทอยู่ก็ลืมตาขึ้น เผยดวงตาสีแดงสดราวกับโลหิตออกมา อ้าปากทั้งสองออก ในที่สุดม้วนคัมภีร์ที่ปิดผนึกอยู่ก็คลี่ออก


 


 


ในคัมภีร์มีลำแสงสีแดงสว่างวาบ และมีสัญลักษณ์ขนาดน้อยใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นพลางหมุนวนติ้วๆ ไม่หยุด


 


 


แววตาของหานลี่มีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ เห็นเนื้อหาในคัมภีร์อย่างชัดเจน


 


 


ในลำแสงสีแดงมีตัวอักษรตัวเล็กๆ อยู่เต็มไปหมด กว่าครึ่งล้วนเป็นชื่อคน


 


 


ตรงยอดของคัมภีร์ ใช้ตัวอักษรของเผ่าวิญญาณเหาะเหินเขียนคำว่า ‘คำสาบานของวิหคสวรรค์’ เอาไว้


 


 


จากนั้นก็มีตัวอักษรสีเงินอ่อนที่เป็นเนื้อหาของคำสาบานเรียงรายอยู่ เนื้อหาเหมือนกับในคัมภีร์เผ่าวิหคสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น


 


 


ต่ำลงมาถึงจะเป็นชื่อของคนสีดำเขียวเป็นแถวๆ


 


 


หานลี่กวาดจิตสัมผัสเข้าไปในม้วนคัมภีร์อย่างระมัดระวัง


 


 


ผลคือเมื่อสัมผัสกับลำแสงสีแดง ฉับพลันนั้นก็มีเสียงเพรียกอันไพเราะดังออกมาจากในม้วนคัมภีร์ ทันใดนั้นลำแสงก็หมุนติ้วๆ เงาวิหคสีเขียวตัวหนึ่งบินออกมาจากในคัมภีร์ เมื่อบินออกมาก็มีขนาดแค่สองสามฉื่อ แต่ทันใดนั้นก็เเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา กลายร่างเป็นมีนาดเท่าภูเขา กินพื้นที่กว่าครึ่งของวิหาร ปกคลุมหานลี่และพวกเอาไว้


 


 


หานลี่และพวกของไป๋ปี้พลันตกตะลึง จินเย่ว์และเหล่าอาวุโสมีสีหน้าราบเรียบ เหมือนว่าจะไม่ได้พบปรากฎการณ์ที่น่าตกตะลึงนี้เป็นครั้งแรก


 


 


“ถอย”


 


 


จินเย่ว์ชูมือหนึ่งขึ้น ในมือมีกระจกสำริดสีเขียวปรากฎขึ้น โบกไปทางเงาวิหคตัวนั้น


 


 


ชั่วขณะนั้นเงาลวงตาเงานั้นพลันเปล่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมา ร่างกายปริแตกออกเป็นชิ้นๆ สุดท้ายก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งจมหายเข้าไปในม้วนคัมภีร์


 


 


“เจ้าใช้โลหิตบริสุทธิ์ของตนเอง เซ็นชื่อไปในนั้นเถิด ต้องใช้ชื่อจริงของตนเองนะ มิเช่นนั้นหากถูกคำสาบานแว้งกัดล่ะก็ ผู้ใดก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้” จินเย่ว์เก็บกระจกสำริด พลางเอ่ยกับหานลี่อย่างมีเลศนัย


 


 


หานลี่พลันใจหายวาบ ในที่สุดเดิมทีที่มีความคิดอื่นพลันโยนทิ้งไปชั่วคราว


 


 


เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ทันใดนั้นก็สาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้าไป


 


 


พ่นเส้นไหมสีทองสายหนึ่งออกมาจากปาก ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบตวัดไปที่นิ้วชี้จนเกิดเป็นบาดแผลเล็กๆ บีบพลังวิญญาณทั้งหมดในร่าง บีบโลหิตบริสุทธิ์สีทองหยดหนึ่งออกมาจากบาดแผล


 


 


“เอ๋” อาวุโสแซ่สือที่นั่งอยู่ผู้นั้น พลันเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


 


 


“อันใด อาวุโสสือพบจุดที่ผิดปกติหรือ?” ชายชราแซ่ซวีใช้นิ้วลูบเคราขณะเอ่ยถาม


 


 


“ไม่มีอะไร สหายหานน่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาที่พิเศษอะไร หรืออาจจะเคยกินผลวิเศษเข้าไปสินะ มิเช่นนั้นโลหิตบริสุทธิ์จะมีสีนี้ได้อย่างไร” บุรุษสวมชุดสีดำลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้าออกมา


 


 


“นั่นมันก็ใช่ โลหิตบริสุทธิ์สีทองนั้นหายากจริงๆ แต่กว่าครึ่งล้วนต้องมีกายเนื้อในระดับที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง ถึงจะมีความเปลี่ยนแปลงวิเศษนี้ได้” ชายชรากวาดสายตาไปบนเรือนร่างของหานลี่ แล้วเอ่ยอย่างมีความคิด


 


 


บุรุษสวมชุดสีดำฉีกยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไรอีก


 


 


ครานี้หานลี่มาอยู่ตรงหน้าของม้วนคัมภีร์ ใช้นิ้วเขียนชื่อตัวเองลงใบบนคัมภีร์ตรงจุดที่ว่างอยู่อย่างรวดเร็ว


 


 


โลหิตบริสุทธิ์สีทองอ่อนเปื้อนลงไปในคัมภีร์ ตัวอักษรจมหายไปทีละตัวๆ ทันที หลังจากที่เปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง ก็กลายเป็นตัวอักษรสีดำเขียวปรากฎขึ้นอีกครั้ง เ**่ยวเฉาไร้แสง ราวกับว่าเขียนมาหลายปีแล้วอย่างไรอย่างนั้น


 


 


แทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่พลันสัมผัสได้ว่าปราณแท้เหมือนจะมีอะไรจับตาดูอยู่ แต่ทันใดนั้นก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


หานลี่รู้สึกตกตะลึง ดูแล้วคำสาบานของวิหคสวรรค์คงจะมีอะไรแฝงอยู่ดังคาด


 


 


แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น เขากลับรู้สึกวางใจมากกว่าเดิม


 


 


มีของสิ่งนี้เป็นเครื่องผูกมัด คิดดูแล้วเหล่าอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ คงไม่ข้ามฝั่งแล้วรื้อสะพาน[1]ง่ายๆ แน่


 


 


ไม่เอ่ยถึงหานลี่ที่พึมพำอยู่ในใจไม่หยุด จินเย่ว์สตรีผู้นั้นรอจนเขาเขียนชื่อเสร็จแล้ว ก็ชี้ไปที่ม้วนคัมภีร์ทันที


 


 


ของสิ่งนี้สั่่นเทาน้อยๆ ม้วนกลับคืนคืนอย่างรวดเร็ว กลายเป็นม้วนคัมภีร์อีกครั้ง หัวผีทั้งสองขยับ กัดลงไปที่ทั้งสองด้านอีกครั้ง


 


 


มือหนึ่งกวักมือเรียก หลังจากที่คัมภีร์หดเล็กลง ก็บินไปอยู่ในแขนเสื้อของหญิงสาว


 


 


“เอาล่ะ ในเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนี้ก็ให้อาวุโสซวีเอ่ยถึงเรื่องการทดสอบหุบเหวและสถานที่ที่ต้องระวังในนั้นก็แล้วกัน พวกเจ้าจำเอาไว้ให้ดี หไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยคไหน ที่ช่วยชีวิตเจ้าได้ในการทดสอบ” หลังจากที่หญิงสาวเก็บคัมภีร์แล้ว ก็เอ่ยอย่างราบเรียบ


 


 


“การทดสอบหุบเหว คือการทดสอบที่เผ่าวิญญาณเหาะเหินทั้งเจ็ดสิบสองสาขาจะต้องจัดขึ้นทุกๆ สามร้อยปี…” ชายชราแซ่สือที่อยู่ด้านข้างเริ่มเอ่ยอย่างแช่มช้า


 


 


หานลี่และพวกทั้งสามคนพลันตั้งใจฟัง…


 


 


สองสามวันต่อมา วิหคยักษ์ตัวสีขาวราวกับหิมะสองสามตัวบินออกไปจากประตูเมืองศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็บินออกจากเขตอาคม ตรงไปยังที่ใดสักแห่ง


 


 


บนร่างของวิหคยักษ์หนึ่งในนั้นมีหานลี่นั่งอยู่


 


 


วิหคสีขาวเหล่านี้แค่กระพือปีกก็บินห่างออกไปยี่สิบจั้งเศษ หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็บินมาถึงปลายขอบฟ้า กลายเป็นจุดสีดำสองสามจุด หลังจากกระพริบวาบอีกครั้ง ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


สามเดือนต่อมา บนยอดเขายักษ์แห่งหนึ่ง


 


 


กลางจัตุรัสยักษ์ที่อยู่ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างสีเขียวมรกต ชาวเผ่าวิหควิญญาณเหาะเหินติดปีกร้อยกว่าคนยืนอยู่ตรงนั้น ตรงกลางมีวิหคยักษ์ที่เหมือนกับนกกระสาตัวหนึ่งและวิหคประหลาดที่มีลวดลายหลากสีตัวหนึ่ง กำลังสำแดงความสามารถต่างๆ ต่อสู้กันอยู่


 


 


นกกระสาตัวนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหาที่เปรียบ ตะปบและจิก เปล่งเสียง “แกรกๆ” แหวกอากาศมาไม่หยุด แค่มองก็รู้แล้วว่าแหลมคมมาก


 


 


ส่วนวิหคประหลาดที่มีสีสันแพรวพราวนั้นมีเขางอกออกมาบนศีรษะเขาหนึ่งและปีกสี่ปีก รอบกายถูกลำแสงกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ การโจมต่างๆ ของนกกระสาถูกต้านทานเอาไว้ได้อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


นกกระสาเห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกโกรธา ฉับพลันนั้นพลันบินไปทางด้านหลังยี่สิบสามสิบจั้ง จากนั้นสองปีกก็สะบัดไปทางวิหคประหลาดอย่างแม่นยำ


 


 


ชั่วขณะนั้นขนนกยาวยี่สิบสามสิบเส้นพุ่งออกมา จากนั้นก็พลิ้วไหวกลางอากาศ ชั่วครู่ก็กลายเป็นใบมีดแหลมคมยี่สิบสามสิบเล่ม เปล่งแสงสว่างวาบแล้วปักไปที่ลำแสงที่อยู่ตรงข้าม


 


 


แม้ว่าลำแสงที่งดงามจะมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก แต่ถูกใบมีดแหลมคมจำนวนมากโจมตีเข้ามาพร้อมกันเช่นนี้ ในที่สุดก็เปล่งเสียงร้องคำรามออกมาพลางสั่นเทา ท่าทางเหมือนจะถูกบีบให้แยกออกจากกัน


 


 


แต่นกกระสาเห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกดีใจ หมายจะสแดงความมีดแหลมเหล่านั้นอีกครั้ง วิหคประหลาดที่อยู่ตรงข้ามกลับเปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมา อ้าปากออก พายุสีเหลืองทะลักออกมา ทุกแห่งที่กวาดผ่านไปพัดใบมีดแหลมคมเหล่านั้นจนกระจัดกระจาย หมุนคว้างอยู่กลางอากาศไม่หยุด สูญเสียการควบคุม


 


 


นกกระสาพลันตะลึงงัน และอ้าปากออกในเวลาเดียวกัน พ่นเสาลำแสงสีขาวนวลสายหนึ่งออกมา ชั่วพริบตาก็ทะลุผ่านพายุไปอยู่เบื้องหน้าวิหคประหลาด


 


 


วิหคประหลาดแววตาสีม่วงเปล่งประกาย เขาสีดำบนหัวเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะพ่นลำแสงสีแดงสายหนึ่งออกมา ปะทะเข้ากับเสาลำแสงอย่างพอดิบพอดี


 


 


หลังจากเสียงตูมๆ ดังขึ้น ทั้งสองก็กลับคืนสู่บ้านเก่า


 


 


“พี่สวิน เจ้ามีความสามารถอะไร ก็สำแดงออกมาเถิด หากไม่มีแล้วล่ะก็ ข้าน้อยจะลงมือแล้ว” เสียงบุรุษดังออกมาจากปากของวิหคประหลาด


 


 


“หึ เผ่านออีแร้งอย่างพวกเจ้านั้นมีความสามารถแค่สองสามชนิดเท่านั้น จะจัดการข้าได้อย่างไร” เสียงเย็นชาดังออกมาจากปากของนกกระสาเช่นกัน


 


 


“เยี่ยม เช่นนั้นต้องให้นายท่านลิ้มรสความสามารถที่ข้าเพิ่งฝึกฝนสำเร็จสักหน่อยแล้ว” นกประหลาดเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ


 


 


ทันใดนั้นปีกทั้งสี่ก็สะบัดออกพร้อมกัน คนที่อยู่ในลำแสงลวงตาพลันกลายเป็นสีเหลือง สูงสองสามจั้ง ท่าทางเก่าแก่และเรียบง่าย


 


 


“แย่แล้ว!” เมื่อเห็นฉากนี้คนจำนวนไม่น้อยพลันถอยกรูดไปด้วยความตกตะลึงในทันที มีเพียงชนชั้นสูงที่มั่นใจในพลังยุทธ์ของตนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


 


 


ระฆังสีเหลืองพลิ้วไหวโดยอัตโนมัติ ระเบิดเสียงระฆังออกมา


 


 


เมื่อทุกคนได้ยินเสียงนี้ ทั้งหัวก็เกิดเสียงเหง่งหง่าง ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก


 


 


นกกระสาที่รับอานุภาพกว่าครึ่งเอาไว้ ร่วงลงมาจากกลางอากาศอย่างไม่อาจต้านทานได้


 


 


ในเวลาเดียวกันบนเรือนร่างพลันเปล่งแสงสีขาวออกมา ชั่วครู่ก็กลายเป็นบุรุษเผ่าวิญญาณเหาะเหินอายุสามสิบปีเศษ สวมชุดสีขาว


 


 


ในฝูงชนที่่ใกล้ๆ มีเผ่าวิญญาณเหาะเหินอีกคนหนึ่งบินออก รับบุรุษผู้นั้นเอาไว้ จากนั้นก็บินลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล


 


 


ระฆังสีเหลืองพลิ้วไหว กลายเป็นชายหนุ่มชุดสีดำอีกคนหนึ่ง คารวะไปทางด้านล่าง ปากก็เอ่ยคำว่า “ขอบคุณที่ออมมือ” อย่างราบเรียบออกมา


 


 


บุรุษที่กลายเป็นนกกระสาผู้นั้นเพิ่งจะได้สติฟื้นคืนมา ก็ออกห่างจากสหาย มองไปทางชายหนุ่มสวมชุดดำที่อยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าดูไม่ได้


 


 


 


 


——


 


 


[1] ข้ามฝั่งแล้วรื้อสะพาน หมายถึง ไม่เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ผู้อื่น ใช้สำหรับคนแล้งน้ำใจ ขาดคุณธรรม ไม่มีศีลสัจทรยศหักหลัง 

 

 


ตอนที่ 1433 ยอดฮ่องเต้หยก

 

ภายใต้การพินิจมองอย่างละเอียด บุรุษที่แปลงกายเป็นนกกระสากับเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่เข้ามารับเขาไว้เมื่อครู่ หน้าตาไม่เหมือนกับชาวเผ่าธรรมดาๆ ใบหน้าคล้ายกับเผ่ามนุษย์ แต่หูทั้งสองเรียวแหลม ตรงหน้าผากมีตุ่มนูนๆ สีแดงโป่งออกมา


 


 


ส่วนชายหนุ่มชุดดำที่เมื่อครู่แปลงเป็นวิหคประหลาดนั้น บนหน้าผากมีเขาสีดำเล็กๆ งอกออกมา มุมปากเผยเขี้ยวยาวสองสามชุ่นออกมาคู่หนึ่ง


 


 


ส่วนชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหินร้อยกว่าคนที่มุงดูอยู่ ส่วนใหญ่ล้วนมีจุดที่ไม่เหมือนกับมนุษย์ บางคนมีจุดที่ไม่เหมือนหลายจุด บางคนมีจุดไม่เหมือนเพียงเล็กน้อย แต่คนเหล่านี้ล้วนมีปีกที่เล็กบ้างใหญ่บ้างที่แผ่นหลัง ยาวหน่อยสั้นหน่อยสีเทาบ้างสีแดงบ้างต่างๆ มากมาย


 


 


คนเหล่านี้ล้วนเป็นชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหิน


 


 


“ความสามารถระฆังสวรรค์สยบมารของเผ่านออีแร้งมีอานุภาพไม่ธรรมดา ข้าได้รับการชี้แนะแล้ว” บุรุษที่พ่ายแพ้เอ่ยอย่างไม่ยินยอม ถอยกลับไปอยู่ในฝูงชนรวมกับสหายด้วยความแค้นใจ


 


 


“ยังมีสหายท่านไหนอยากขอคำชี้แนะหรือไม่” ชายหนุ่มชุดดำไม่ได้ใส่ใจ กลับเปล่งเสียงท่าสู้กับฝูงชนที่อยู่เบื้องล่าง


 


 


เผ่าวิญญาณเหาะเหินที่อยู่ด้านล่างเกิดเสียงฮือฮาขึ้น แต่ครานั้นไม่มีผู้ใดกล้าออกมาท้าสู้ในทันที


 


 


ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ครั้นเมื่อคิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น ฉับพลันนั้นไกลออกไปก็มีคนตะโกนขึ้นว่า


 


 


“มาดูเร็วเข้า บุตรชายของสามสาขาทางปลายสุดของทิศตกตะวันตก เผ่าเบญจลำแสง เผ่าวิหคสวรรค์และเผ่าแดงสดมาถึงแล้ว”


 


 


เมื่อได้ยินหลังจากที่ฝูงชนด้านล่างพลันตกตะลึงแล้ว ก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้น แล้ว เสียงพูดคุยดังขึ้น


 


 


คนที่รู้สึกประหลาดใจแม้กระทั่งหันกายบินออกไปยังจุดที่ไกลออกไป ชั่วพริบตาคนที่อยู่ตรงนั้นก็หายไปเกือบครึ่ง


 


 


ชายหนุ่มชุดดำที่อยู่กลางาอากาศได้ยินคำว่าเผ่าวิหคสวรรค์ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะร่อนลงมาอย่างเงียบเชียบ


 


 


ในเวลาเดียวกัน ห่างจากยอดเขายักษ์ไปร้อยลี้เศษ วิหคยักษ์รูปร่างประหลาดยี่สิบสามสิบตัวประกอบกับแมงป่องบินสีแดงสดความยาวยี่สิบจั้งเศษที่ประกอบข้าง กำลังบินเคียงกันมาที่ยอดเขายักษ์


 


 


ในบรรดาวิหคยักษ์เหล่านั้น มีตัวที่เป็นสีขาวราวกับหิมะอยู่สองสามตัว ด้านบนมีบุรุษและสตรีอยู่ นั่นก็คือกลุ่มคนที่ออกเดินทางมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าวิหคสวรรค์


 


 


หานลี่นั่งอยู่บนวิหคยักษ์หนึ่งในนั้น


 


 


ในกลุ่มชาววิหคสวรรค์ นอกจากสามบุตรชายที่มีหานลี่เป็นหนึ่งในนั้นแล้ว ยังมีมหาอาวุโสจินเย่ว์และอาวุโสสือที่ลึกลับผู้นั้นด้วย


 


 


ชายชราแซ่ซวีและหญิงงามคอยรักษาการณ์อยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์


 


 


ครานี้ผู้ที่มากับพวกเขายังมีคนที่แต่งกายและหน้าตาแตกต่างกันอีกสองกลุ่ม


 


 


กลุ่มหนึ่งมีผมสีม่วงเข้ม ผิวสีแดงอ่อน อีกกลุ่มหนึ่งมีปีกขนาดเล็กหน่อย แต่งกายงดงาม


 


 


ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว นั่่นก็คือคนของเผ่าแดงสดและเผ่าเบญจลำแสง ทว่าเทียบกับทั้งสองเผ่าแล้ว เผ่าวิหคสวรรค์มีคนอยู่แค่ห้าคน เห็นได้ชัดว่ามีจำนวนคนน้อยมาก


 


 


“อาวุโสจิน ดูแล้วอาวุโสอวี้หวงจิ่งน่าจะรู้ว่าพวกเรามาถึงแล้ว แม้แต่เปลวเพลิงวิญญาณต้อนรับก็ยังปล่อยออกมาแล้ว” หญิงสาวหน้าตาสะสวยแต่งกายงดงามคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม


 


 


กลางอากาศเหนือยอดเขายักษ์ เปลวเพลิงยักษ์ห้าหกสีปรากฎขึ้น แค่หมุนวนเปล่งแสงสว่างวาบก็ปกคลุมไปกว่าครึ่งของท้องฟ้าจนเป็นแสงโชติช่วง


 


 


ปรากฏการที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ แม้นว่าจะอยู่ห่างออกไปร้อยลี้ กลุ่มของพวกเขาก็ยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน


 


 


“สถานการณ์เช่นนี้ พวกเราไม่ได้เห็นเป็นครั้งแรก เวลาผ่านไปไวจริงๆ ชั่วพริบตาก็ผ่านมาสามร้อยปีแล้ว พี่จู้มาที่นี่อีกครั้ง รู้สึกเช่นเดียวกันหรือไม่” จินเย่ว์ตอบรับหันหน้าไปเอ่ยถามชายชราผิวแดงเพลิงคำหนึ่ง


 


 


“จะมีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไร! นอกเสียจากว่าพวกเราจะฝึกฝนจนกลายเป็นเทพเซียนได้ หรือบินขึ้นไปในแดนเทพเซียน มิเช่นนั้นหากน้อยหน่อยก็สองสามพันปีมากหน่อยก็สองสามหมื่นปี เจ้ากับข้าก็ต้องกลายเป็นผุยผงเท่านั้น ความเจริญรุ่งเรืองของเผ่าต่างๆ ก็ต้องสลับกันไปมาเหมือนกันหมด เรื่องที่ข้าเอ่ยเมื่อสองสามวันก่อน อาวุโสจินคิดเห็นอย่างไร?” ชายชราผู้นั้นย้อนถามกลับด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก


 


 


“ตอนนี้เผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเราอ่อนแอกว่าแต่ก่อนมาก แต่เผ่าของข้าสืบทอดกันจนมาถึงทุกวันนี้ ก็เป็นหนึ่งในสองสามสาขาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุด จะยอมทิ้งการถ่ายทอดของตนเองโยนเข้าไปในสาขาอื่นได้อย่างไร เรื่องร่วมมือกันที่พี่จู้เอ่ยระหว่างทาง ข้าขบคิดแล้วก็ทำได้เพียงต้องปฏิเสธแล้ว” หญิงสาวแววตาเปล่งประกาย ขณะตอบกลับอย่างราบเรียบ


 


 


       “งั้นหรือ? หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ในอดีตอาวุโสสือของเผ่าเจ้าสังกัดอยู่ที่เผ่าขนทมิฬ ดูเหมือนว่าจะถูกกลืนกินตอนที่เผ่าของเจ้าเจริญรุ่งเรือง ครานี้เผ่าของเจ้าอ่อนแอแล้ว การเข้าเผ่าที่แข็งแกร่งของพวกเรา และให้ตำแหน่งบุตรชายหลักกับเผ่าอื่น ก็เป็นสัจธรรมความถูกต้องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เหตุใดอาวุโสจินต้องเอ่ยอย่างจริงจังขนาดนั้น” ชายชราแซ่จู้เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา


 


 


“เรื่องเผ่าขนทมิฬ จะมาเทียบกับสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ตอนแรกเผ่าขนทมิฬไม่ใช่แค่ไม่มีประมุข ตัวเองยังเผชิญกับแรงกดดันจากศัตรูที่แข็งแกร่ง และเป็นฝ่ายมาของเข้าร่วมกับเผ่าของข้าเอง เผ่าข้าไม่เคยบีบบังคับเขา” หญิงสาวตอบกลับอย่างราบเรียบ


 


 


“หึ ตอนนั้นที่เกิดเรื่องมันผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร ในเมื่อเผ่าของเจ้าปฏิเสธเจตนาดีของเผ่าข้า ก็มีเพียงต้องดูว่าบุตรชายของเผ่าเจ้าจะผ่านการทดสอบหุบเหวหรือไม่แล้ว มิเช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าเผ่าต่างๆ ของพวกเราจะยื่นข้อเสนอในการถอดเผ่าของเจ้าออก อย่าลืมล่ะ เผ่าที่สนใจเผ่าของเจ้าไม่ได้มีแค่เผ่าแดงสดอย่างพวกเราเพียงเผ่าเดียว” ชายชราแซ่จู้หัวเราะหึๆ ออกมาขณะเอ่ย


 


 


“พี่จู้ เผ่าของเจ้าคือหนึ่งในสามเผ่าที่แข็งแกร่งในเจ็ดสิบสองสาขาของพวกเรา เหตุใดต้องทำการบีบคั้นว่าจะกลืนกินเผ่าวิหคสวรรค์ให้ได้ หรือว่าเผ่าของเจ้าคิดจะกดเผ่าเก้าเย่ว์?” หญิงสาวผู้งดงามกลอกตาไปมา แล้วฉีกยิ้มหวานหยดขณะเอ่ย


 


 


“ฮูหยินชิว เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล อาวุโสอย่างข้าเคยบอกว่าไม่เคราะเผ่าเก้าเย่ว์ตอนไหนกัน” ชายชราแซ่จู้ได้ยินคำพูดของหญิงสาว ก็หน้าเปลี่ยนสีพลางเอ่ยปฏิเสธ


 


 


หญิงสาวฉีกยิ้มครั้นเมื่อกำลังคิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น ตรงยอดเขาที่ไกลออกไปกลับมีเสียงไพเราะดังขึ้น จากนั้นลำแสงวิญญาณพลันสว่างวาบที่ขอบฟ้า ลำแสงผืนใหญ่หมุนวนเข้ามา


 


 


สองสามคนปิดปากฉับไม่พูดอะไร กลุ่มคนทั้งกลุ่มหยุดลงลำแสงหลีก ลอยอยู่กลางอากาศ


 


 


ชั่วพริบตาลำแสงหลากสีสันก็มาถึงตรงหน้าทุกคน หยุดชะงักมีคนแต่งกายหลากหลายเดินออกมาจากในนั้นสิบคน กว่าครึ่งล้วนมีเรือนผมสีขาว ท่าทางอ่อนแอเพราะความแก่ชรา


 


 


“คารวะเหล่าอาวุโส” จินเย่ว์และชายชราแซ่จู้เห็นคนสิบคนนี้ กลับทยอยกันกระโดดออกจากที่นั่ง แล้วคารวะทั้งสิบคนอย่างนอบน้อม


 


 


“เหล่าสหายไม่ต้องมีพิธีรีตองขนาดนี้ ไม่ช้าก็เร็วพวกเจ้าก็จะเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเรา อาวุโสที่เหลือรอเหล่าสหายอยู่ที่ยอดฮ่องเต้หยก” ฮูหยินชราที่มือหนึ่งค้ำไม่เท้าเอาไว้ในเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มจนตาหยี


 


 


“อันใด หรือว่าสามเผ่าอย่างพวกเรามาช้าที่สุด?” จินเย่ว์ใจเต้น เอ่ยถามอย่างมีมารยาท


 


 


“ไม่ได้มาช้าที่สุด เผ่าหน้าผี เผ่านกเขาพิษทั้งสองเผ่าที่อยู่ทางทิศเหนือสุดมีธุระด่วน ต้องรอให้การทดสอบหุบเหวจัดขึ้นแล้วถึงจะมาถึง ดังนั้นหลังจากที่พวกเจ้าทั้งสามเผ่ามาถึงแล้ว ก็เริ่มการประชุมก่อนได้เลย” ฮูหยินหัวเราะหึๆ ขณะตอบกลับ


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” จินเย่ว์ได้ยินแล้วพลันพยักหน้า


 


 


หานลี่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง กวาดสายตาไปยังคนที่ปรากฎตัวขึ้นใหม่สิบคน ในใจรู้สึกสั่นสะท้าน


 


 


สิบคนนี้คาดไม่ถึงว่ากว่าครึ่งจะมีพลังยุทธ์ระดับหลอมร่างขึ้นไป ฮูหยินชราที่ผู้นำซึ่งกำลังพูดอยู่นั้น แม้กระทั่งไม่อาจมองพลังยุทธ์ออก อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเท่ากับจินเย่ว์ คือเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวระดับหลอมร่างขั้นกลางขึ้นไป


 


 


คนเหล่านี้คืออาวุโสในการประชุมในตำนาน


 


 


ว่ากันว่าเดิมทีคนเหล่านี้คืออาวุโสที่มีชื่อเสียงของเผ่าต่างๆ เมื่ออายุขัยเหลือไม่มาก ก็จะเข้าร่วมชุมนุมผู้อาวุโส และตั้งแต่นั้นก็จะละทิ้งตำแหน่งฐานะเดิมทั้งหมดของเผ่า รับหน้าที่ดูแลเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั้งหมด


 


 


ครานี้ชายชราแซ่จู้และหญิงสาวเองก็ก้าวขึ้นไปทักทายฮูหยินชราสองสามประโยค ทันใดนั้นกลุ่มคนก็ขับเคลื่อนวิหคยักษ์ตรงไปยังยอดเขาอีกครั้ง โดยมีทั้งสิบคนเป็นผู้นำ


 


 


ชั่วครู่ทุกคนก็มาอยู่ใกล้ๆ กับยอดเขา เบื้องหน้ามีสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่อยู่ลางๆ และกลางอากาศก็มีจุดสีดำเล็กบ้างใหญ่บ้างหมุนโคจรอยู่


 


 


หานลี่พิจารณาอย่างละเอียดถึงได้พบว่านั่นคือวิหคยักษ์หลากชนิดนับร้อยนับพันตัวที่กำลังบินไปมาอยู่กลางอากาศ หนึ่งในนั้นยังมีแมลงบินติดปีกขนาดยักษ์รวมอยู่ด้วย ท่าทางน่าดุดัน


 


 


ห่างจากยอดเขาไปสองสามลี้ เสียง “ปัง” ดังขึ้น สิ่งปลูกสร้างบนยอดเขามีสายรุ้งเจ็ดสีสายหนึ่งพุ่งออกมา แค่เปล่งแสงสว่างวาบก็ตัดผ่านไปในระยะไกลมาอยู่ตรงหน้าทุกคน


 


 


จากนั้นสะพานโค้งขนาดยักษ์ที่วิจิตรงดงามก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าทุกคน


 


 


ฮูหยินชราและพวกแค่พลิ้วไหวร่างกาย ก็มาถึงสะพานก่อน จากนั้นฮูหยินชราก็กวักมือเรียกทุกคนด้วยรอยยิ้ม


 


 


“พวกเข้าเองก็ขึ้นไปเถิด” จินเย่ว์ออกคำสั่ง และลงจากวิหคยักษ์ เดินขึ้นไปบนสะพานตามหลังไปติดๆ


 


 


แน่นอนว่าหญิงสาวและคนของเผ่าแดงสดเองก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายเดินรั้งท้าย


 


 


หานลี่เหยียบลงไปบนสะพาน รู้สึกเพียงว่าจุดที่เหยียบอ่อนนุ่ม มีแรงดีดสูง ราวกับว่ากำลังเหยียบลงไปบนเบาะรองนั่งก็ไม่ปาน


 


 


ภายใต้ความรู้สึกประหลาดใจ เขาพิจารณาอย่างละเอียดอีกสองแวบ คิดจะแผ่จิตสัมผัสไปตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ฉับพลันนั้นใต้ฝ่าเท้าพลันสั่นเทา รอบๆ มีลำแสงหลากสีกลุ่มหนึ่งปรากฎขึ้น ห่อหุ้มทุกคนเอาไว้ หลังจากแค่เปล่งแสงสว่างวาบ ก็พาทุกคนมาอยู่ที่เชิงสะพานอีกด้าน


 


 


น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก


 


 


ครานี้หานลี่ไม่ได้สำรวบความแปลกประหลาดของสะพานใต้ร่างแล้ว เป็นเพราะด้านล่างสะพานมีคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินสิบกว่าคนยืนอยู่ กำลัง้จองเขม็งมาที่กลุ่มคนของพวกเขา


 


 


ด้านหลังของพวกเขาลำแสงสีขาวผืนหนึ่งหมุนวนเป็นเกลียว วิหารยักษ์สีเขียวมรกตหลังหนึ่งปรากฎอยู่ลางๆ


 


 


เบื้องหน้าของทุกคนกลับมีคนอยู่แค่สองคน เป็นชายวัยกลางผมสีขาวราวกับหิมะจมูกโด่งรั้นคนหนึ่ง และชายชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแก้มยาวผิดปกติ ลำคอมีลายสักยันต์สีดำอ่อนอีกคนหนึ่ง


 


 


ชายชราเห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันหัวเราะหึๆ สะบัดแขนเสื้อเดินมาอยู่ด้านข้างของทั้งสองคน คนที่เหลือกลับกล่าวเข้าไปในฝูงชนแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


“เหล่าอาวุโสพาบุตรชายมาจากที่ไกลโพ้น คงจะลำบากน่าดู ให้เหล่าบุตรชายไปพักผ่อนที่วิหารด้านข้างก่อนเถิด เหล่าสหายก็ไปสนทนากับพวกเราในวิหารก็แล้วกัน เหล่าอาวุโสของเผ่าต่างๆ ก็อยู่ในวิหาร กำลังคุยเล่นกับอาวุโสท่านอื่นอยู่” ชายชราที่มีรอยสักที่คอโค้งคำนับ แล้วเอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะ


 


 


“อาวุโสหมิงมีมารยาทเกินไปแล้ว พวกเรารับคำสั่งขอรับ!” ชายชราแซ่จู้ของเผ่าแดงสดชิงเอ่ย ตอบกลับด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม


 


 


แม้ว่าจินเย่ว์และหญิงสาวของเผ่าเบญจลำแสงจะไม่ถูกกับเผ่าแดงสด ครานี้ก็ไม่มีความคิดเห็นอื่น


 


 


ทันใดนั้นก็หันกายมาออกคำสั่งของพวกของหานลี่ แล้วทั้งสามก็เดินเข้าไปในหมอกสีขาวพร้อมกับคนเหล่านั้น


 


 


“บุตรชายทุกคนตามข้ามาเถิด ข้าจะจัดที่พักให้ทุกท่าน” ไม่รู้ว่าหญิงสาวสวมชุดสีขาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นมาปรากฎตัวเบื้องหน้าของพวกหานลี่ทั้งสิบคนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พลางเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)