ลำนำบุปผาพิษ 1430-1433
บทที่ 1430 ล่อนจ้อน 2
สีหน้าของสตรีชุดขาวพลันแปรเปลี่ยน หลังจากร้องอุทานก็รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ออกไปได้เอ่ยทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง “ใส่เสื้อซะ!”
สตรีชุดขาวผู้นี้ย่อมเป็นเซียนหญิงลี่หวาง
ใบหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมแดงก่ำดั่งเลือดนก ไม่สนใจอะไรแล้ว เพิ่งจะสอดแขนเสื้อได้ข้างเดียว มู่อวิ๋น มู่เหล่ยก็พุ่งเข้ามาทันที “นายท่านถูกโจมตีหรือขอรับ?!”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายพูดอะไรไม่ออก…
เขารู้สึกว่าหน้าตาทั้งชีวิตนี้ของเขาล้วนมาขายขี้หน้าอยู่ที่นี่หมดแล้ว!
โชคดีที่ดวงตาทั้งสองคู่ของมู่อวิ๋นกับมู่เหล่ยกวาดผ่านเขาไปแค่แวบเดียวเท่านั้น จากนั้นก็เข้าร่วมการต่อสู้เลย ไม่ได้อุทานด้วยความตกใจอันใด
ยามนี้มองออกเลยว่าวรยุทธ์ของพวกมู่เฟิงทั้งสี่แข็งแกร่งนัก
ร่วมงานกันมาหลายร้อยปีแล้วทำให้การต่อสู้ประสานกันของพวกเขาน่าหวาดผวาเอาการ สาวใช้สี่คนนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย…
“จับเป็น! จับเป็นให้ได้!” เพลิงโทสะของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมพวยพุ่งสูงสามพันจั้ง
“ขอรับ!” พวกมู่เฟิงทั้งสี่ขานรับอย่างพร้อมเพรียง
แต่พวกเมิ่งเถียนเอ๋อร์ทั้งสี่คงจะตระหนักได้แล้วว่าไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จได้อีกต่อไป อีกทั้งไม่ว่าจะหนีสักกี่ครั้งล้วนถูกสี่ผู้คุ้มกันโจมตีขัดขวางปานห่าพายุ จึงสบตากันแวบหนึ่ง ไม่ทราบเช่นกันว่ากัดสิ่งใดเข้า จู่ๆ ก็ล้มลงไปพร้อมกัน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า…
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมตะลึง
เขาถลาเข้าไป ยื่นมือหมายจะบีบคางของเมิ่งเถียนเอ๋อร์ มู่เฟิงรีบเข้ามาสกัด “นายท่าน พวกนางถูกพิษแล้ว! สัมผัสไม่ได้ขอรับ!”
อันที่จริงทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมก็มึนงงแล้วจริงๆ พอได้ยินเสียงมู่เฟิงถึงได้สติกลับมา หลุบตามองแวบหนึ่ง เห็นเพียงว่าสาวใช้ทั้งสี่ไม่เพียงแต่เลือดออกเจ็ดทวารเท่านั้น แม้แต่ซากศพก็เสมือนถูกน้ำกรดเข้า หลอมละลายอย่างรวดเร็ว…
แทบจะเป็นเวลาชั่วพริบตาเท่านั้น ก็ละลายเป็นน้ำสีเหลืองเหม็นๆ สี่แอ่ง
หน้าผากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมแทบจะมีหยาดเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมาแล้ว ระหว่างนี้ในที่สุดเซียนหญิงลี่หวางก็ก้าวเข้ามาพอดี มองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมก่อนคราหนึ่ง “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?”
มุมปากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมยกขึ้นแวบหนึ่ง “ด้วยบารมีของท่านเซียน ข้าจึงได้รับความตกใจเท่านั้น”
สีหน้าของเซียนหญิงลี่หวางไม่สู้ดีนัก นางครองตนเป็นหญิงพรหมจรรย์เสมอมา กลับได้เห็นร่างกายเปลือยเปล่าของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ…
นางมองน้ำสีเหลืองที่เหลืออยู่บนพื้น “เหตุใดไม่เหลือชีวิตไว้?”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมว่าอย่างเยียบเย็น “ข้าก็อยากเหลือชีวิตไว้ จนปัญญาที่พวกนางเป็นหน่วยกล้าตาย ยอมตายไม่ยอมโดนจับ เพียงแต่พระหนีอย่างไรก็ไม่พ้นวัด[1] ท่านเซียนเป็นวิชาเรียกวิญญาณ สามารถเรียกวิญญาณของพวกนางมาไต่สวนได้”
เซียนหญิงลี่หวางเงียบงัน จรดนิ้วร่ายคาถาทันที ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เก็บมือ เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ไม่มีประโยชน์ วิญญาณของพวกนางแตกสลายไปแล้ว”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมนิ่งงัน
มือที่อยู่ในแขนเสื้อของเขากำแน่น ยิ้มแวบหนึ่ง “ที่แท้บนโลกนี้ยังมีพิษที่สามารถทำให้ดวงวิญญาณคนแตกสลายได้ทันทีอยู่ด้วย”
เซียนหญิงลี่หวางขมวดคิ้ว “วาจานี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร? พิษชนิดนี้พวกเราเองก็มีอยู่”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “คงจะเป็นเซียนหญิงลี่หวางเท่านั้นที่มีพิษชนิดนี้ ตัวข้าไม่มีสิ่งนี้”
เซียนหญิงลี่หวางโกรธเกรี้ยวในทันใด “เจ้าหมายความยังไง? หรือสงสัยว่าเปิ่นกงปองร้ายเจ้าไม่สำเร็จ?!”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกล่าวอย่างเฉยเมย “มิกล้า ข้าเพียงว่าไปตามจริงเท่านั้น”
เซียนหญิงลี่หวางพลันอึดอัดคับข้อง ไปต่อก็ไม่ได้ถอยกลับก็ไม่ได้ จึงข่มกลั้นไว้พลางเอ่ย “เจ้ากับข้าเป็นพวกเดียวกัน เปิ่นกงจะทำร้ายเจ้าไปทำไม? ต้องมีคนคิดสร้างความร้าวฉานระหว่างพวกเราสองคนเป็นแน่ เจ้าเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้จะติดกับดักที่ตื้นเขินเช่นนี้ด้วยหรือไง?”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไม่พูดอะไร หันกลับไปนั่งหน้าโต๊ะสั่งการสี่ผู้คุ้มกัน “พวกเจ้าสี่คนไปตรวจสอบฐานะและประวัติของนังตัวแสบสี่คนนี้มา นำบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรทั้งหมดของพวกนางมารายงานข้าให้ชัดเจน! ห้ามตกหล่นแม้แต่น้อย!”
—————————————————————
บทที่ 1431 ล่อนจ้อน 3
“ขอรับนายท่าน!”
พวกมู่เฟิงทั้งสี่ตอบรับ หมุนกายจากไป
เซียนหญิงลี่หวางมองแผ่นหลังสี่ผู้คุ้มหายลับไป ค่อนข้างคลางแคลง “เหตุใดพวกเขาทั้งสี่ถึงมาได้ทันเวลาปานนี้? บางทีพวกเขาสี่คนอาจจะมีปัญหาเหมือนกัน…”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมหัวราะเบาๆ มุมปากหยักยิ้มถากถางอยู่บ้าง “หากว่าพวกเขาสี่คนมีปัญหาดังว่า ครั้งนี้ข้าคงสิ้นท่าไปแล้ว!”
เซียนหญิงลี่หวางขมวดคิ้ว “แต่พวกเขาสี่คนมาได้ทันเวลาเกินไปหน่อยแล้ว!”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมคงรอยยิ้มตรงมุมปากไว้ไม่อยู่แล้ว เอ่ยอย่างอึมครึม “ความหมายของท่านเซียนคือรังเกียจที่พวกเขามาได้ทันเวลางั้นหรือ? ข้าต้องถูกสังหารไปเสียแล้วพวกเขาสี่คนค่อยมาท่านเซียนถึงจะพอใจใช่ไหม?”
“เปิ่นกงไม่ได้หมายความว่าแบบนี้! เปิ่นกงรู้สึกอยู่ตลอดว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในอยู่ เดิมทีเปิ่นกงก็พักผ่อนไปแล้ว ทว่าได้ยินเสียงประหลาดดังออกขึ้นนอกเรือน ดังนั้นถึงออกมาดู และถูกล่อให้มาถึงที่นี่ เป็นสี่ผู้คุ้มกันที่จงใจล่อเปิ่นกงมาหรือไม่เล่า?”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมเกิดความแคลงใจในเซียนหญิงลี่หวางผู้นี้แล้ว ย่อมหยามหยันในถ้อยคำของนาง หากมิใช่ว่าไม่อาจล่วงเกินสตรีผู้นี้ได้ในยามนี้ เขาคงเมินหน้าหนีไปหน้าแล้ว!
สาวใช้สี่นางนี้เมื่อก่อนล้วนเคยได้รับการตรวจสอบจากเซียนหญิงลี่หวางแล้วทั้งสิ้น ผ่านการจับเท็จแล้ว และเคยมอบให้เซียนหญิงลี่หวางปรับเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์ ถึงถูกส่งมารับใช้ข้างกายเขา อีกทั้งยาพิษที่ทำให้คนสิ้นชีพวิญญาณแตกสลายได้ในชั่วพริบตาก็มีเพียงเซียนหญิงลี่หวางเท่านั้นที่มี…
ถึงยามนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมก็ตระหนักได้แล้วเช่นกันว่าคนในความฝันผู้นั้นมิได้ปรารถนาดีต่อเขา มิเช่นนั้นคงไม่สอนวิชาครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ให้ ไม่เพียงแต่ไม่พัฒนาระดับพลังวิญญาณนั้น กลับทำให้วรยุทธ์ของเขาถดถอยลงไปเกือบครึ่งในชั่วพริบตา…
เขาไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนในฝันชัดๆ เลย แต่เท่าที่เขารู้ ผู้ที่สามารถเข้าฝันคนอื่นได้มีเพียงสามคน คนหนึ่งคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริง คนหนึ่งคือเซียนหญิงลี่หวาง อีกคนคือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน…
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงไม่น่าเป็นไปได้ เขาไม่เหตุผลออะไรที่ต้องสอนวรยุทธ์แก่เขาให้เขาทำลายชื่อเสียงของตน ส่วนเทพศักดิ์สิทธิ์…ดูเหมือนเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้เช่นกัน เทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องชุบเลี้ยงคนผู้หนึ่งให้มาทำลายวัฏจักรของโลกนี้…
เช่นนั้นผู้ต้องสงสัยเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก็คือเซียนหญิงลี่หวางผู้นี้
เซียนหญิงลี่หวางมาจากดินแดนเบื้องบน บางทีนางอาจได้รับคำสั่งจากดินแดนเบื้องบนให้ยืมมือเขาสร้างความโกลาหลให้โลกใบนี้ จากนั้นคนของดินแดนเบื้องค่อยฉวยโอกาสเข้ายึดครอง…
มิเช่นนั้นเมื่อสองปีก่อนนางคงไม่มาหาเขาอย่างน่าพิศวงหรอก จากนั้นก็ทุ่มเทกายใจอบรมบ่มเพาะเขามาโดยตลอด บอกว่าจะช่วยให้เขาได้เป็นอับดับหนึ่งของโลกนี้ จู่ๆ นางจะช่วยเหลือเขาถึงเพียงนี้โดยไม่มีปจุดประสงค์ได้อย่างไร? บางทีตอนนี้เขาคงใกล้จะถึงตำแหน่งสูงสุดของโลกใบนี้แล้ว เป็นหนึ่งมิมีสอง บรรลุความต้องการขั้นพื้นฐานของพวกเซียนหญิงลี่หวางที่โลกนั้นแล้ว ดังนั้นเมื่อพวกเขาโม่แป้งเสร็จจึงต้องการสังหารลา!
หลักฐานทั้งหมดในยามนี้บ่งชี้ว่าเซียนหญิงลี่หวางคือผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง…
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมก็หาใช้ตะเกียงขาดน้ำมัน ระลอกความสงสัยกระเพื่อมอยู่ในใจของเขาแล้ว ทว่าสีหน้ากลับราบเรียบ เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ละเอียด! ข้าจะควานหาตัวผู้บงการเบื้องหลังมาสับเป็นพันชิ้นให้ได้!”
เซียนหญิงลี่หวางพยักหน้า “ย่อมต้องตรวจสอบอยู่แล้ว…”
นางชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าว่าจะใช้คนที่กู้ซีจิ่วผู้นั้นส่งมาหรือไม่? ระยะนี้ลือกันว่านางออกจากการกักตนแล้ว…”
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมขมวดคิ้ว “นางหายสาบสูญไปแปดปีแล้ว หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย นางน่าจะตายไปนานแล้ว! มิใช่ว่าท่านก็เคยเรียกวิญญาณนางแล้วหรอกหรือ ไม่เห็นจะเรียกอะไรมาได้เลย…”
“เป็นเพราะเรียกมาไม่ได้นี่แหละเปิ่นกงถึงได้สงสัยว่านางยังมีชีวิตอยู่! บางทีนางจะค้นพบแล้วว่าเจ้าเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม ขุ่นเคืองที่เจ้าทำลายชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ด้วยเหตุนี้จึง…”
————————————————————————
[1] พระหนีอย่างไรก็ไม่พ้นวัด หมายถึง ต่อให้หนีได้ก็ไม่อาจหนีพ้นไปได้ตลอดรอดฝั่ง
บทที่ 1432 ล่อนจ้อน 4
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไม่พูดอะไร เรื่องที่เขาได้รับการถ่ายทอดวรยุทธ์จาก ‘เทพเซียน’ ในความฝันแม้แต่เซียนหญิงลี่หวางก็ทราบเช่นกัน ยามนี้ย่อมไม่อาจใช้เหตุผลข้อนี้มาท้าทายเซียนหญิงลี่หวางผู้นี้ได้ เพียงแต่เขาสนใจในตัวกู้ซีจิ่วที่ร่ำลือกันผู้นั้นยิ่งนัก สตรีที่สามารถทำให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงหวั่นไหวได้จะต้องงามล่มเมืองปานใดกัน?
หากว่านางยังมีชีวิตอยู่จริงๆ…
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมหลุบตาอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา ถ้าอยากรู้ว่ากู้ซีจิ่วผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่จริงหรือข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง ขอเพียงนางยังอยู่ในโลกนี้จะต้องถูกวิธีนี้บีบให้ออกมา!
ดวงตาของเซียนหญิงลี่หวางเปล่งประกาย “วิธีใด?”
….
หลงฟั่นนั่งสมาธิอยู่ในห้องประมาณหนึ่งชั่วยาม ยังคงรอให้เมิ่งเถียนเอ๋อร์รายงานผลกลับมา
เขาสงบใจไม่ลงอยู่บ้าง จึงลองใช้วิธีพิเศษติดต่อกับเมิ่งเถียนเอ๋อร์ดู ผลคือเสมือนวัวดินจมสมุทร แผ่นยันต์สีโลหิตในมือเขาไม่เปล่งแสงเลย หนำซ้ำในขณะที่เชื่อมต่อยู่ได้มอดไหม้ไปด้วยตัวเอง เมื่อปรากฏสถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นไปได้อยู่เพียงอย่างเดียว คือผู้ถูกติดต่อถูกพิษจนสิ้นชีพร่างกายหลอมละลายเป็นน้ำเหลืองแล้ว
เขาค่อยๆ นั่งลงไป
ล้มเหลว! ไม่น่าเชื่อว่าจะล้มเหลว!
ล้มเหลวได้อย่างไรกัน? เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าน่าจะไม่พลาดเด็ดขาด!
เขานั่งเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เริ่มใคร่ครวญถึงก้าวต่อไป ผ่านไปสักครู่ ดูเหมือนเขาจะตัดสินใจอะไรได้แล้ว นั่งขัดสมาธิบนเตียง มือขวาทำมุทราร่ายอาคม ค่อยๆ เข้าสู่ความสงบ คิดจะเข้าฝันไปสืบข่าวของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้น…
แต่เขามานะอยู่พักหนึ่งก็ไม่ประสบผล เห็นได้ชัดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นยังไม่ได้พักผ่อน เขาย่อมไม่สามารถเข้าฝันของอีกฝ่ายได้
เขาสถบเสียงต่ำครานึ่ง ขณะที่กำลังจะทำบางอย่างต่อพลันมีเสียงไก่ขันรับอรุณแว่วมาจากด้านนอก
ร่างกายเขาสะท้านคราหนึ่ง ทำได้เพียงจรดนิ้วทำมุทราใส่ร่าง ตัวคนเอนกายนอนลงไป หลับตาลง
ไม่ทราบเช่นกันว่าเวลาผันผ่านไปเท่าใด หลงซือเย่ที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เขากวาดตามองรอบข้าง
เมื่อเห็นเครื่องเรือนภายในห้องนัยน์ตาก็ชะงักเล็กน้อย! พลางถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นนั่ง แล้วนวดคลึงหว่างคิ้ว
ทันใดนั้นเขาคล้ายจะสัมผัสถึงอะไรได้ จึงเงยหน้ามองเสาคานห้องทันที
ยามนี้บนเสาคานมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ อาภรณ์ม่วงเกศาดำ แถบแพรนัยน์ตาจิ้งจอกส่องประกายเล็กน้อย ขับเน้นให้ดวงตาของคนผู้นั้นดูพราวระยับดั่งระลอกคลื่น คนผู้นั้นนั่งอย่างผ่อนคลายยิ่งนัก ข้าหนึ่งห้อยลงมา อีกข้างหนึ่งคู้ไว้ แขนข้างหนึ่งเท้าศีรษะ กำลังมองเขาอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอี!
หลงซือเย่แข็งทื่อไปครู่หนึ่ง “ท่านผู้สูงศักดิ์ชอบกระทำตัวเยี่ยงพวกตีนแมวเช่นนี้หรือ? เจ้ามาทำไม?”
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “ไม่ได้พบกันแปดปี จึงมาเยี่ยมเยือนเจ้าโดยเฉพาะ”
หลงซือเย่ร้องเฮอะคราหนึ่ง “ไม่มีอันใดให้เจ้าต้องกังวล! ยามนี้เยี่ยมเยือนเสร็จแล้ว เจ้าไสหัวไปได้แล้ว!”
เขาลุกลงมาจากเตียง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย อดไม่ได้ที่จะเพ่งพิศรอบข้างอีกข้าง ตี้ฝูอีกระโดดลงมาจากคานแล้ว “พบพานสหายเก่า ต้องการดื่มสักจอกหรือไม่?”
หงซือเย่มองเขาเหมือรมองคนวิกลจริต “จะดื่มสุราตั้งแต่รุ่งสางเชียวหรือ?”
ตี้ฝูอีดีดนิ้วเปาะ “การดื่มที่ข้าพูดหมายถึงดื่มชา เจ้าคิดมากไปแล้ว!”
หลงซือเย่เงียบงัน เขาไม่อยากคุยกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ต่อแล้ว! เขารู้สึกว่าเขาคุยกับเขาดีๆ ได้ไม่เคยเกินครึ่งประโยคเลย!
ตี้ฝูอีหยิบอุปกรณ์ชงชาชุดหนึ่งออกมา หยิบถ้วยชาออกมา เริ่มชงชาอย่างช้างๆ
หลงซือเย่มองการเคลื่อนไหวที่พลิ้วไหวดั่งเมฆาเลื่อนลอยธาราไหลรินของเขา ข่มใจเอาไว้ “สรุปแล้วเจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?”
ตี้ฝูอีสื่อท่าทางให้เขานั่งลง ย้อนถามเขาประโยคหนึ่ง “ซีจิ่วล่ะ?”
หลงซือเย่ตะลึงงัน ขมวดคิ้วนิดๆ “นางยังไม่กลับไปอีกหรือ?”
ตี้ฝูอีดันน้ำชายถ้วยหนึ่งให้เขา “เจ้ากับนางแยกย้ายกันยามไหน?”
—————————————————————
บทที่ 1433 ล่อนจ้อน 5
หลงซือเย่ตะลึงงันอีกครั้ง นวดหว่างคิ้ว “เมื่อคืนดื่มมากไปหน่อย…”
ว่ากันตามจริงแล้วความทรงจำของเขาค่อนข้างเลือนราง เขาจำได้ว่าพากู้ซีจิ่วกับหลีเมิ่งซย่าไปร่ำสุราที่ร้านอาหาร เขาดื่มมากไป หลีเมิ่งซย่าก็ดื่มมากไป กู้ซีจิ่วพานางออกไปสำรอกสุรา จากนั้น…เรื่องหลังจากนั้นเขาก็จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าพวกกู้ซีจิ่วบอกจะไปพักโรงเตี๊ยม และดูเหมือนตนก็ไปพักโรงเตี๊ยมกับพวกนางด้วย…
เพียงแต่เรื่องพักโรงเตี๊ยมเหล่านี้เขามีความทรงจำเลือนรางยิ่งนัก ราวกับมีกระจกฝ้าหนาๆ ชั้นหนึ่งกั้นไว้ มีเพียงความทรงจำที่สับสนงงงวยเท่านั้น และความทรงจำนี้ก็ราวกับเป็นสิ่งที่ผู้อื่นยัดเยียดให้เขาด้วย ทำให้รู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง
ตี้ฝูอีมองเขา “จำไม่ได้แล้วหรือ?”
หลงซือเย่เอ่ยอย่างเยือกเย็น “ดื่มสุรามากเกินจนเมามาย จำไม่ได้ก็ปกติยิ่งนักมิใช่หรือ? วางใจเถอะ นางไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก” เขามอสำรวจรอบข้างอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่านี่คือห้องพักในโรงเตี๊ยม “นางน่าจะอยู่ในโรงเตี๊ยมนี้เหมือนกัน…”
เขาลุกขึ้นมาคิดจะออกไปหาดู
ตี้ฝูอีเอ่ยถามประโยคนหนึ่ง “เมื่อเจ้าดื่มจนเมาเลยกระมัง? เช่นนั้นเหตุใดบนร่างเจ้าไม่มีกลิ่นสุราเลยเล่า?”
หลงซือเย่ชะงักฝีเท้า “นี่ท่านผู้สูงศักดิ์หมายความว่าอย่างไร? ข้าฝึกฝนทักษะสลายสุราอย่างหนึ่งมิได้หรือไร?” ระยะนี้ดูเหมือนร่างกายจะมีทักษะพิเศษ ไม่ว่าจะดื่มจนเมามากแค่ไหน นอนหลับไปซักงีบพอตื่นมาก็จะไม่เป็นอะไรเลย บนร่างไม่เหลือกลิ่นสุราอยู่เลย และไม่มีผลข้างเคียงจากอาการเมาค้างด้วย…
ตี้ฝูอียิ้มแล้ว “ทักษะนี้ยอดยี่ยมนัก! ข้าก็ชอบร่ำสุรา อยากเรียนรู้ทักษะนี้ของเจ้ายิ่งนัก มิสู้ถ่ายทอดให้สักหน่อย?”
หลงซือเย่เอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้าไม่ได้มีหน้าที่สอนเจ้า!”
ตี้ฝูอีมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา “หลงซือเย่ เจ้าเป็นโรคแล้ว!”
หลงซือเย่ใช้สายที่สื่อว่า ‘เจ้าสิเป็นโรค’ มองดูเขา ตี้ฝูอีเพ่งพิศสีหน้าเขาอย่างละเอียด เอ่ยช้าๆ “สองปีมานี้เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเจ้านอนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง แต่พอตื่นมากลับพบว่าตนอยู่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่งใช่หรือไม่? ไม่ว่าจะดื่มสุราจนเมามากแค่ไหน แต่ตื่นมาอีกวันก็ไม่มีฤทธิ์สุราเหลือเลยใช่ไหม? ยามกลางคืนหลังจากนอนหลับไปคล้ายจะประสบเรื่องราวบางอย่าง แต่เช้าวันถัดมากลับจำได้ไม่ชัดเจน มีเพียงความทรงจำที่ค่อนข้างสับสนเลอะเลือนสินะ?”
สีหน้าของหลงซือเย่แปรเปลี่ยนเล็กน้อย ตี้ฝูอีกล่าวไม่ผิดเลยสักนิด!
เขาทราบว่าตี้ฝูอีรู้วิชาแพทย์ แถมวิชาแพทย์ยังล้ำเลิศด้วย เพียงแต่คนผู้นี้ไม่ตรวจอาการให้ผู้ใดง่ายๆ เท่านั้น ส่วนใหญ่เมื่อออกโรงแล้วจะนับว่ายาถึงโรคหาย
ถึงแม้ตี้ฝูอีจะกล่าวอาการได้ถูกต้อง แต่หลงซือเย่ก็ไม่สนใจ
เขารู้สึกว่าเนื่องจากตนมีแรงกดดันมากไป จิตใจมีภาระหนักอึ้งจึงเป็นโรคนอนละเมอ ดังนั้นเมื่อเขาตรวจอาการตัวเองดูก็พบว่าไม่ส่งผลต่อร่างกายถึงขั้นที่พลังยุทธ์ยังกระเตื้องขึ้นมาอีกด้วย เขาจึงไม่เก็บมาใส่ใจ
ดังนั้นเขาเลยมองหลงซือเย่แวบหนึ่ง ทราบว่าปิดบังไว้ไม่ได้ จึงเอ่ยอย่างเฉยเมยประโยคหนึ่ง “เช่นนั้นแล้วอย่างไร? ข้าเพียงนอนละเมอไปบ้างเท่านั้น”
ตี้ฝูอียิ้ม “นอนละเมอนี่เอง! ไม่ต้องการให้ข้าตรวจอาการเจ้าหน่อยหรือ? เจ้าอย่าเสียใจภายหลังนะ!”
หัวใจหลงซือเย่เต้นแรงนิดๆ ชะงักไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ข้ามีอะไรให้เสียใจภายหลังกัน ก็แค่นอนละเมอ…”
ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “หากว่าการนอนละเมอนี้ค่อยๆ ร้ายแรงขึ้น จนสุดท้ายทำให้เจ้าเปลี่ยนไปเป็นอีกคนอย่างสิ้นเชิงเล่า?”
หลงซือเย่นิ่งค้าง “วาจานี้ของเจ้าหมายความว่ายังไง?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “จวงจื่อฝันถึงผีเสื้อ ผู้ใดจริงผู้ใดเท็จ? จวงจื่อฝันว่ากลายเป็นผีเสื้อ เขารู้สึกว่ายามทิวาตนเป็นจวงจื่อยามราตรีเป็นผีเสื้อ หากว่าผีเสื้อค่อยๆ กัดเซาะเขา ทำให้เขากลายเป็นผีเสื้ออย่างสมบูรณ์ล่ะ? เขาจะเต็มใจหรือเปล่า?”
ถ้อยคำสั้นๆ ของเขาค่อนข้างแฝงปุจฉาธรรม โชคดีที่หลงซือเย่ยังคงฟังรู้ความ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “ความหมายของเจ้าคือถ้าข้าเป็นแบบนี้ต่อไป สุดท้ายจะมีสักวันที่ถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์สินะ?”
———————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น