ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 143-146
ตอนที่ 143 เมื่อมาอยู่ต่อหน้านางก็ไม่...
ลองดูพระสนมท่านอื่นสิ อย่าว่าแต่พวกเหม่ยเหริน ไฉเหรินที่อยู่ตามขอบวังเลย ต่างก็อยากจะมีขาสักสิบข้างจะได้วิ่งมาพระตำหนักตี้หัวได้ทุกวัน
ต่อให้มาถึงแล้วไม่ได้อาจเห็นพระพักตร์ของฝ่าบาท ก็ยังคงไม่ยอมถอดใจกันเด็ดขาด
แต่ว่ากุ้ยเฟยนี่สิ…….
เฮ่อ!
หยู่ฟู่คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาว ทำไมถึงได้เอาแต่คิดถึงไทเฮาอยู่เพียงผู้เดียวนะ?
……………………………….
ยามที่ซูเม่ยเดินผ่านพระตำหนักตี้หัวนั้น นางก็มิได้หันไปเหลือบดูแม้สักครั้ง และถูกอันหว่านจือสังเกตเห็นเข้า
หิมะหนาหนักตกในพระราชวัง ทั่วทุกตารางนิ้วบนพื้นล้วนแต่เป็นสีขาว
ซูเหม่ยที่สวมใส่ชุดสีแดงย่อมเป็นที่สังเกตเห็นได้ง่ายอยู่แล้ว
เมื่อมองดูชุดนางกำนัลที่เรียบง่ายของตนเอง หัวใจของอันหว่านจือก็อดที่จะอิจฉาขึ้นมาไม่ได้
ทั้งๆ ที่นางควรจะได้สวมใส่เสื้อผ้าที่หรูหราสวยงามเช่นเดียวกับซูเม่ยแท้ๆ
หลายวันมานี้ นางยอมยืนอยู่บนบันไดนอกตำหนักตี้หัว
นานวันละหลายชั่วยาม ให้พวกนางกำนัลที่ผ่านไปผ่านมาจะได้มองเห็นนางอย่างชัดเจน
พอนางได้เข้ามาในตำหนักตี้หัวแล้วถึงได้รู้ว่า ตำหนักตี้หัวไม่เพียงมีนางกำนัลน้อยมากเท่านั้น แต่กระทั่งสามารถเข้าใกล้รับใช้ฝ่าบาทได้ก็ยังไม่มีเลยสักคน
แน่นอนว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว
ยกเว้นตำหนักพักผ่อนของฝ่าบาทแล้ว นางก็สามารถเข้านอกออกในตำหนักตี้หัวได้ทุกที่ ทุกวันยามที่ฝ่าบาททรงอ่านฎีกา ล้วนเป็นนางที่คอยดูแลปรนนิบัติยกน้ำชาถวายอยู่ตลอด
อย่าได้เห็นว่าตอนนี้นางเป็นแค่นางกำนัลยกน้ำชา แต่ว่าก็เป็นสตรีที่สามารถพบพระพักตร์ของฝ่าบาทได้บ่อยที่สุดในวังหลัง
นี่มิอาจปฎิเสธได้เลยว่าท่านย่าช่างชาญฉลาดลึกล้ำ ที่ไม่ได้บีบบังคับให้ฝ่าบาทตั้งนางเป็นพระสนม แต่กลับวางตัวนางไว้เป็นนางกำนัลคอยรับใช้อยู่ข้างพระองค์ คอยดูแลพระองค์ด้วยความห่วงใย
ทั้งดวงตาหางคิ้วของนางก็มีส่วนคล้ายฉางซุนฮองเฮา เมื่อผ่านไปนานวันเข้า ฝ่าบาทย่อมจะบังเกิดความรักต่อนางขึ้นมา
เมื่อถึงยามนั้นก็เท่ากับว่าสามารถคว้าพระทัยของฝ่าบาทเอาไว้ได้อย่างมั่งคง สามารถปีนป่ายขึ้นไปในตำแหน่งสูงส่ง กลายเป็นสตรีที่ได้รับความเคารพยำเกรงที่สุดในวังหลังมิใช่หรือ?
“ซูกุ้ยเฟยเพคะ ท่านรีบร้อนเช่นนี้จะไปที่ใดกันเพคะ? ” ซูเม่ยยังมิทันได้เดินไปไกล ก็ถูกอันหว่านจือเรียกเอาไว้
นางยืนอยู่บนระเบียงสูง ย่อมสามารถมองลงไปดูซูเม่ย
ซูเม่ยชะงักฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมามองดูนาง “เจ้าไม่ไปดูแลฝ่าบาทให้ดี มายุ่งเรื่องของข้าทำไม? “
อันหว่านจือได้แต่ฉีกยิ้มอยู่แค่ริมฝีปาก “เมื่อครู่ฝ่าบาททรงบรรทมยามบ่ายแล้ว ข้าจึงมาคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ เผื่อว่าเกิดมีพระสนมองค์ใดไม่ระวังมาทำลายความฝันของพระองค์ คิดไม่ถึงว่าพึ่งจะออกมาก็เห็นท่านแล้ว นี่มิใช่เรื่องบังเอิญหรือไรเพคะ? “
พูดแล้ว ตนเองก็ทำท่าถอดถอนใจชมเชยนางออกมาประโยคหนึ่ง “วันนี้กุ้ยเฟยแต่งองค์เช่นนี้ ดูแลงดงามนัก “
น่าเสียดาย…..ฝ่าบาทกลับไม่ทรงเหลือบแลเจ้าแม้แต่น้อย หึ
ต่อให้เป็นถึงกุ้ยเฟยแล้วอย่างไร หากมิได้รับอนุญาตจากนาง ก็ไม่มีสิทธิก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักตี้หัวแม้สักครึ่งก้าว
ดังนั้นซูเม่ยไยจะต้องทำเช่นนี้อีกเล่า? คิดหรือว่าที่มาเดินเพ่นพ่านไปมาอยู่ด้านนอกพระตำหนักตี้หัวเช่นนี้จะดึงดูดความสนพระทัยของฝ่าบาทได้?
ฝันไปเถอะ!
เมื่อได้ยินนางกล่าวชมตนเอง ซูเม่ยก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “หากเจ้ายังชมว่างาม ถ้าเช่นนั้นอาหลันจะต้องชอบมากแน่ๆ “
ว่าแล้ว นางก็ไม่คิดจะเสียเวลาพูดจาไร้สาระกับอันหว่านจืออีก นางขยับเท้าเตรียมเดินจากไป
เดินไปได้ไม่ทันถึงสองก้าว นางก็เห็นว่าไม่ไกลนักมีเงาสีดำเขียวของคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นถือร่มกระดาษฉาบน้ำมัน ข้างตัวยังมีไก่อ้วนขนฟูตัวหนึ่ง เมื่อเดินอยู่ริมกำแพงแดงและหิมะขาวบนพื้นก็ดูโดดเด่นอย่างชัดเจน
พอซูเม่ยเห็นแล้ว ดวงตางดงามของนางก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที ไม่รอให้คนผู้นั้นเข้ามาใกล้ นางก็ถลาเข้าไปหา แล้วคว้าคนมากอดเอาไว้ “อาหลัน! “
ซูเม่ยเรี่ยวแรงเหลือล้น ตู๋กูซิงหลันถูกนางกอดเอาไว้เต็มรัด ก็เกือบจะยันเอาไว้ไม่ทัน แทบจะล้มลงไปกองกับหิมะ
ร่มในมือของนางกระเด็นหล่นไป แต่หิมะบนร่มร่วงใส่นางเต็มหน้าเต็มตัว ทำเอานางเย็นเสียจนแทบจับเป็นน้ำแข็ง
” ดูข้าทำเข้าสิ พอเห็นเจ้าก็ตื่นเต้นดีใจจนเกินไป ” ซูเม่ยค่อยคลายตัวนาง ยื่นมือมาช่วยลูบไล้หิมะออกจากใบหน้า ดวงตาทั้งคู่ทอประกาย คว้ามือของนางเอาไว้พลางกล่าวว่า “กลับมาก็สะสางเรื่องราวในวัง ทำให้หลายวันนี้ไม่ได้เจอหน้าเจ้าเลย คิดถึงเจ้านัก! “
พูดแล้วนางก็ไม่ลืมส่งสายตาเป็นประกายให้ตู๋กูซิงหลัน “อาหลัน เจ้าก็คิดถึงข้าเช่นกันใช่ไหม? นี่กำลังจะไปหาข้าที่ตำหนักชุ่ยเวยหรือ? “
นางพูดทั้งหมดออกมาในลมหายใจเดียว ตู๋กูซิงหลันจึงไม่มีโอกาสอ้าปากเลยแม้แต่น้อย
เจ้าไก่ขนฟูที่ตามก้นนางมาตลอดนึกว่าตู๋กูซิงหลันถูกโจมตีเข้าแล้ว มันตะกุยฝ่าเท้าลงไปบนพื้น ถีบตัวพุ่งเข้าไประดมจิกซูเหม่ยในทันที
ซูเม่ยกลับไม่เกรงกลัวมัน ไม่เพียงไม่ปล่อยมือจากตู๋กูซิงหลัน ยังคลี่ยิ้มราวบุปผาเฉิดฉัน ทำให้ตู๋กูซิงหลันพลอยนึกไปว่านางเสียสติไปแล้ว
” พระสนมเพคะ ระวังกิริยาด้วยเพคะ ระวังด้วย ” หยู่ฟู่อดที่จะหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาไม่ได้ ยังดีที่บริเวณโดยรอบมีเพียงอันหว่านจือแต่เพียงผู้เดียว ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยจะถูกผู้อื่นมองอย่างขำขันเพียงไร
อันหว่านจืออยู่บนระเบียง หรี่ตาชมดูพวกนาง นัยตายิ่งเผยแววชั่วร้ายออกมา
ซูเม่ยก็เป็นเหมือนหญ้าบนกำแพงโดยแท้ ยามอยู่ที่เขาจงหลิงก็แสดงท่าทีเกรงอกเกรงใจพวกนาง แต่พอกลับถึงวัง รู้ว่าฝ่าบาทถูกตู๋กูซิงหลันยั่วยวนจนหลงใหล ก็หันไปพึ่งพิงตู๋กูซิงหลันอย่างรวดเร็ว
สตรีเช่นนี้ช่างน่ารังเกียจนัก
ตู๋กูซิงหลันผู้นั้นยิ่งหน้าไม่อายเข้าไปใหญ่ หิมะตกหนังถึงเพียงนี้ยังจะมาเดินอวดที่หน้าพระตำหนักตี้หัวอยู่ได้
แค่หลายวันนี้ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จไปตำหนักเฟิ่งหมิง นางก็นั่งไม่ติดเสียแล้ว?
ที่รีบร้อนถ่อสังขารมานี่เพื่อจะมาเฝ้าฝ่าบาทรึ? ขาดบุรุษมากหรือไง อี๋ อี๋!
ตู๋กูซิงหลันยืนมองซูเม่ยที่กำลังร่าเริงยินดี ยื่นมือมาช่วยปัดหิมะออกจากเส้นผมให้นางไม่ยอมหยุด วันนี้ซูเม่ยดูงดงามเป็นพิเศษจริงๆ นางแต่งหน้าอย่างปราณีตบรรจง ภายใต้อากาศที่หนาวเย็น ชุดกระโปรงสีแดงของนางเปิดเผยไหล่มนและไหปลาร้า คนงดงามจนคล้ายดั่งเดินออกมาจากภาพวาด
ตู๋กูซิงหลันคลายผ้าคลุมขนสัตว์ของตนเองออกมา คลุมลงบนตัวของซูเหม่ย “เสี่ยวซูเฟย เจ้าไม่หนาวหรือ? “
พอได้รับผ้าคลุมขนสัตว์ของนาง ซูเม่ยก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ในดวงตาพลันมีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา ก้มลงมองดูผ้าขนสัตว์บนร่างของตนเอง แล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองดูนางอีกครั้ง “อาหลัน……เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ? “
นางพูดพลางก็คว้ามืองของตู๋กูซิงหลันเอาไว้แนบแน่นกว่าเดิม “ผู้คนต่างบอกว่าเจ้าสูญเสียความทรงจำไปแล้ว แต่ว่าเจ้ายังจดจำข้าได้ใช่หรือไม่ “
ที่ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ในใจนั้นก็คือ คนงามเช่นนี้หากไม่ใส่ใจดูแลให้ดี แล้วหนาวจนเจ็บปวดไปจะทำยังไง?
หลังจากวันนั้นที่พบกันนางได้สอบถามกับเชียนเชียนเพิ่มเติม ความสัมพันธ์ของเจ้าของร่างเดิมกับซูเม่ยนั้นคล้ายจะเป็นแฟนคลับเสียมากกว่า
เพียงแต่ท่าทีเช่นนี้ของซูเม่ย ทำให้นางวางตัวลำบากอยู่บ้าง
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรดี จึงได้แต่ยื่นมือออกไปลูบหัวนางเบาๆ “ตัวน่ารักนะ “
ที่จริงซูเม่ยสูงกว่านางอีกครึ่งศีรษะ หน้าตาสะสวยก็แล้วไปเถอะ รูปร่างยังสูงโปร่ง ความสูงของนางแทบจะไม่เป็นรองบุรุษเลย
แม้แต่สองมือที่เกาะกุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ก็ยังใหญ่กว่าหญิงสาวทั่วไปอยู่บ้าง
หากว่าอยู่ในยุคปัจจุบัน ซูเม่ยก็คงจะได้เป็นนางแบบ อีกทั้งยังเป็นนางแบบที่น่าหลงใหล
แค่คำชมเพียงคำเดียวก็ทำเอาซูเม่ยล่องลอยไปแล้ว ท่ามกล่ามหิมะตกหนานางกลับหัวเราะอย่างร่าเริง นางยื่นมือมาเกาะหัวไหล่ของตู๋กูซิงหลันไว้ แนบใบหน้าลงบนหัวไหล่ของนาง สูดดมกลิ่นดอกฮว๋ายหอมอวลที่มาจากร่างของนาง
” อาหลัน เจ้าน่ารักมากกว่าแต่ก่อนเสียอีก”
ตู๋กูซิงหลัน “??? ” นับตั้งแต่มาอยู่ในโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนชมว่านางน่ารัก
ตอนที่ 144 ข้ารู้จักเจ้าก่อนจีเย่ว์เส...
“เสี่ยวซูเฟย เจ้าไม่ไปเกาะแกะฝ่าบาท แต่มาตามติดข้ายังงั้นหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันมองใบหน้าสาวน้อยที่อ่อนเยาว์ แล้วก็อดที่จะขนลุกขึ้นมาอย่างแปลกๆ ไม่ได้
บรรยากาศเช่นนี้ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องกันนะ?
ชาติก่อนนางก็ไม่ได้มีเพื่อนหญิงที่กุ๊กกิ๊กสนิทสนมกัน จึงไม่ค่อยจะรู้ว่าพวกสาวๆ เขาทำอะไรกันบ้าง
คงจะเป็น จับมือควงกัน เอาหัวพิงบ่า ทำเสียงงุ้งงิ้งๆ กันใช่ไหม?
ซูเฟยถูกนางถามเสียจนชะงักไป ” อ๋า? ” ทำไมนางจะต้องไปเกาะแกะฮ่องเต้ด้วย?
” เจ้ามาที่ตำหนักตี้หัวไม่ใช่เพื่อมาหาฝ่าบาทหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันพูดพลางก็เงยหน้าขึ้นไปมองดูระเบียงบนพระตำหนักตี้หัวไปด้วย
เมื่อมองขึ้นไป ก็พอดีสบตากับอันหว่านจือที่มองจ้องมา
ซูเม่ยกอดแขนของนางเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “อาหลัน ข้าจะไปหาเจ้าต่างหาก “
ว่าแล้วนางก็ค้อนควักใส่ด้วยความผิดหวัง ” เจ้าอยากให้ข้าไปหาฝ่าบาทมากนักหรือไง? “
ตู๋กูซิงหลัน “………” ไม่ใช่หรือ เจ้าทำท่าผิดหวังทำไม? ไปหาฮ่องเต้เป็นหน้าที่ของเจ้านี่น่า! เจ้าเป็นกุ้ยเฟยมิใช่หรอ คุณพี่ซู!
ซูเม่ยน้อยใจยิ่งนัก “พวกเราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ที่จริงแล้ว….ข้ารู้จักเจ้าก่อนจีเย่ว์เสียอีก”
ดูๆๆ อยู่ดีๆ จะไปพูดถึงจีเย่ว์ขึ้นมาทำไม?
คนก็ถูกเอาไปปล่อยทิ้งไว้ถึงซีเหลียงโน้นแล้ว ขอร้องพวกเจ้าปล่อยจีเย่ว์ไปเถอะ
“ตอนที่เจ้ายังเป็นเด็กทารก ข้าก็เคยอุ้มเจ้าด้วยตนเอง ” ซูเม่ยพูดต่อไป เสียงของนางทั้งห้าวทั้งน่าจักกระจี้ เมื่อเป่าอยู่ที่ข้างหูของตู๋กูซิงหลัน ก็ทำเอากระดูกทั่วร่างของตนคันยุบยิบไปหมด
แต่ว่ากลับต้องยอมทนให้นางเป่าลมหายใจเข้าหูตนเองต่อไป “หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าแต่งให้กับอดีตฮ่องเต้ ข้าก็คงไม่ยอมเข้าวังมาแน่”
ตู๋กูซิงหลัน “??? “
ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศนี้ยิ่งทียิ่งแปลกๆ ไปแล้ว?
ซูเม่ย พึ่งจะอายุสิบแปดสิบเก้าปีเองไม่ใช่หรือ?
………………………….
ในพระตำหนักตี้หัว จีเฉวียนพักผ่อนงีบไปครู่หนึ่ง เขาฝันไป ฝันเห็นตู๋กูซิงหลัน ฝันเห็นภาพวันที่เขาจูบวันนั้น
จูบที่อยู่ในความฝันนั้นยังลึกซึ้งยิ่งกว่าวันนั้นเสียอีก ยังนานกว่าด้วย ที่จริงแล้ว……ก็เป็นภาพที่ไม่ค่อยจะเหมือนจริงสักเท่าไหร่
จนกระทั้งยามที่เขาตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกว่ากางเกงของตนเองอยู่ๆ ก็สีเข้มขึ้นมาแถบหนึ่ง
จีเฉวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้นอน นวดคลึงขมับ…..ท่ามกลางฤดูหนาวแท้ๆ เขากลับล้างหน้าด้วยน้ำเย็น แถมยังแช่มือทั้งสองข้างลงในน้ำปนน้ำแข็งที่เย็นจัดอีกด้วย หลังจากที่แช่อยู่พักใหญ่ กระทั่งความเย็นยะเยือกนั้นแทรกซึมไปถึงกระดูก เขาถึงได้ยกมือที่แดงก่ำคู่นั้นออกมา
หยวนเฟยที่ทำงานผลัดวันประกันพรุ่งผู้นั้น นานจนป่านนี้แล้วก็ยังหาตัวหมอผีไม่ได้สักคน เกรงว่าแม้แต่เงินเดือนของปีถัดไปก็คงจะไม่ต้องการแล้ว
พอได้ยินว่าที่ด้านนอกมีเสียง เขาเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านชุดหนึ่งแล้วก็เดินออกไป พอพึ่งจะเดินถึงระเบียงของตำหนักตี้หัว ก็มองเห็นว่าบนพื้นหิมะนั้นมีสตรีเยาว์วัยสองคนในชุดแดงและชุดเขียวกำลังโอบกอดกันอย่างสนิมสนม
ท่ามกลางหิมะตกหนักโปรยปราย ทั้งสองคนกลับไม่ถือร่มเอาไว้ ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะเช่นนั้นโดยไม่สนใจสายตาผู้ใด
ภายใต้แสงจันทราสาดส่อง เหตุการณ์เบื้องหน้าคล้ายดังภาพวาดใบหนึ่ง
คราวนี้ซูเม่ยไปกันใหญ่แล้ว สองมือของนางโอบเอวของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ กระซิบอยู่ที่ริมหูของนางเบาๆ ว่า ” อาหลัน นับตั้งแต่เจ้าเกิดมา ข้าก็จ้องเจ้าเอาไว้แล้ว มันเหมือนกับว่าข้ารอเจ้ามานานแล้ว “
ตู๋กูซิงหลัน “!!! “
” ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าชอบเจ้าเข้าแล้ว คล้ายกับว่าพึ่งจะรู้จักเจ้า และก็เหมือนกับว่ารู้จักเจ้ามานานแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่าง นางรู้สึกว่าตนเองกำลังโดนกลั่นแกล้งเข้าแล้ว
จริงๆ นะ ที่ผ่านมามีแต่นางคอยกลั่นแกล้งผู้อื่น
นางกลืนน้ำลายลงไปเงียบๆ คำหนึ่ง พลิกมือคิดจะหลบหลีกปลายคางของนาง พอยกมือขึ้นมาบัง ก็ถูกซูเม่ยคว้าเอาไว้ท่ามกลางลานกว้างเช่นนี้ มือของนางข้างหนึ่งคว้ามือตู๋กูซิงหลัน มืออีกข้างก็โอบเอวนาง จากนั้นก็จูบหนักๆ ลงไปบนแก้มของนางครั้งหนึ่ง
สีผึ้งที่สดเข้มบนริมฝีปากประทับลงบนใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน จนเห็นได้อย่างชัดเจน
ตู๋กูซิงหลันถูกนางจูบจนตะลึงไปแล้ว ซูเม่ยก็ยินดีจนหัวเราะออกมา “อาหลัน ข้ายิ่งได้เห็นเจ้ายิ่งรู้สึกว่าน่ารักใหญ่แล้ว”
ก่อนหน้านี้มีจีเย่ว์คอยขวางทางอยู่ คอยแต่จะทำตัวใกล้ชิดเกาะติดกับอาหลัน นางจึงไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย ยามนี้ไม่มีหินขวางเท้านั่นแล้ว หากนางคิดจะจูบอาหลันก็จูบได้เลยมิใช่หรือ?
ที่จริงแล้วพอโตขึ้นมา จำนวนครั้งที่นางและอาหลันได้พบหน้ากันก็น้อยลงไปมาก เนื่องเพราะองค์ชายที่ทั้งสองตระกูลสนับสนุนไม่เหมือนกัน เมื่อยืนอยู่กันคนละฝ่าย ต่อให้นางคิดจะเจออาหลันก็ได้แต่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ
พอเข้าวังมาแล้ว ก็เพราะเหตุนี้ทำให้นางต้องเดินทางไปเขาจงหลิงมารอบหนึ่ง
ยามนี้ดีแล้ว นางกลับมาแล้ว ต่อไปก็สามารถจะอยู่กับอาหลันได้ตลอดเวลา
พอคิดถึงตรงนี้ ซูเม่ยก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ พอมองดูตู๋กูซิงหลันที่เตี้ยกว่าตนเองอยู่ครึ่งศีรษะ ก็อดที่อยากจับนางมาหมุนๆ ไปรอบๆ ไม่ได้
อันหว่านจือมองดูอยู่บนระเบียง ก็รู้สึกว่าสตรีทั้งสองทำตัวประหลาดนัก อยู่บนลานกว้างท่ามกลางสายตาผู้อื่นแท้ๆ กลับทำอะไรประเจิดประเจ้อ!
นางหัวเราะเย้ยหยันออกมาดังๆ ” เย้ยฟ้าท้าดินนัก! “
พูดไปไม่ทันขาดคำ นางก็รู้สึกว่าที่ด้านหลังมีไอเย็นหอบหนึ่งพัดเข้ามา พอนางหันกลับไป ก็เห็นฝ่าบาทเดินออกมาด้วยสีพระพักตร์ที่เย็นชา สีหน้านั้นคล้ายดั่งกับว่าผู้คนทั่งโลกต่างติดค้างพระองค์ จนพระองค์คิดอยากจะเผาทำลายโลกเสียอย่างนั้น
อันหว่านจือตระหนกเสียจนต้องถอยหลังไปอีกด้านหนึ่ง “ฝ่าบาท ไทเฮากับซูเม่ยเอาแต่กอดรัดกันไปมาอยู่อย่างนี้ บ่าวห้ามอย่างไรก็ไม่ยอมฟังเพคะ”
เพราะเกรงว่าน้ำมันที่สาดลงบนไฟนี้จะไม่แรงพอ อันหว่านจือก็รีบพูดต่ออีกว่า “เป็นถึงไทเฮาและกุ้ยเฟยของแคว้นหนึ่ง กลับแสดงออกเช่นนี้ที่หน้าพระตำหนักของฝ่าบาท ช่างไม่น่าดูเอาเสียเลย มีแต่รู้จักทำให้ฝ่าบาทขายพระพักตร์ “
“ฝ่าบาทควรที่จะ….”
นางพูดยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสเสียงเย็นเฉียบว่า “หุบปาก”
อันหว่านจือทั้งน้อยใจทั้งหวาดกลัว นางอ้าปากค้าง สุดท้ายก็กลืนคำพูดที่ยังกล่าวไม่จบสิ้นนั้นลงไป
ที่นางพูดออกมาล้วนแต่เป็นความจริง ไยฝ่าบาทถึงได้มาลงเอากับนางกันนะ?
หลายวันนี้นางปรนนิบัติอยู่ข้างพระวรกายมาตลอด ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะมิได้ให้ความสนิทสนมกับนาง แต่ก็ไม่เคยจะตวาดใส่นางเช่นนี้มาก่อน
อันหว่าจรือมองดูสตรีทั้งสองคนด้วยสายตาเคียดแค้น จะต้องเป็นเพราะว่าพวกนาง ฝ่าบาทถึงได้ทรงปฎิบัติต่อนางเช่นนี้!
นางอดที่จะกำหมัดของตนเองให้แน่นเข้าไม่ได้
ท่ามกลางหิมะ ตู๋กูซิงหลันและซูเม่ยต่างก็มองเห็นฮ่องเต้ที่อยู่บนระเบียงแล้ว
สีหน้าของตู๋กูซิงหลันสงบราบเรียบ แต่ดวงตาของซูเม่ยกลับปรากฎแววที่ถูกรบกวนแต่ว่าไม่อาจพูดได้ขึ้นมา
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองพวกนางด้วยสายพระเนตรเย็นเฉียบอยู่ครู่ใหญ่ พอเห็นหน้าของตู๋กูซิงหลัน ในสมองของเขาอยู่ก็เกิดภาพที่จูบกันวันนั้นขึ้นมา แล้วยังจะมีความฝันเมื่อบ่ายนี้อีก ความรู้สึกที่พึ่งจะใช้น้ำเย็นกดลงไปอย่างไม่ง่ายนั้นก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีก
ทำให้เขาฮึดฮัดขึ้นมา คิดจะจับตัวตู๋กูซิงหลันกลับมา สั่งสอนนางอย่างหนักแน่นสักรอบหนึ่ง
แต่เพราะได้เห็นสีหน้าที่เรียบนิ่งของนาง ทำให้ชื่อที่มารออยู่บนริมฝีปากของเขา เปลี่ยนเป็นซูเม่ยไป
” เจ้ามาหาเราที่นี่”
ซูเม่ยถูกเรียกชื่อขึ้นมา ก็รู้สึกไม่ดีไปทั่วทั้งร่าง
” เราเรียกเจ้าแล้วไม่มาหรอกหรือ? ” สีพระพักตร์ของจีเฉวียนยิ่งคล้ำลง ความโกรธกริ้วที่อดทนเอาไว้ยิ่งใกล้จะระเบิดออกมา
คราวนี้ซูเม่ยถึงค่อยปล่อยตู๋กูซิงหลันอย่างแสนเสียดาย เดินขึ้นมาบนระเบียงทีละก้าว พอเดินถึงข้างกายของเขา ก็ถวายคำนับลงไปครั้งหนึ่ง “ถวายพระพรฝ่าบาท”
ซูเม่ยยืนอยู่ข้างๆ จีเฉวียน ก็เตี้ยกว่าพระองค์เพียงแค่ครึ่งศีรษะเท่านั้น
ตอนที่ 145 ลงมือเอาให้มันหมดสิ้นอิสระ...
น้ำเสียงนั้นมิได้อ่อนโยนหรือแข็งกระด้าง แต่ว่าก็ไม่คล้ายท่าทีที่กุ้ยเฟยควรปฎิบัติต่อฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย
จีเฉวียนขมวดพระขนงน้อยๆ ดวงเนตรหงส์ทั้งสองข้างจดจ้องมองดูอย่างหาจุดบกพร่อง โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นว่าบนร่างของนางมีผ้าคลุมขนสัตว์ของตู๋กูซิงหลันอยู่แววตาของเขาก็ยิ่งทอประกายขึ้นมาราวกับคมดาบ
” เจ้าโตจนขนาดนี้แล้วยังจะกลัวหนาว? ” จีเฉวียนตรัสแล้ว ก็มิได้รอให้ซูเม่ยมีปฎิกิริยาใดๆ ยื่นมือออกไปกระตุกผ้าคลุมขนสัตว์ของนางออกมา พันเอาไว้บนมือของตนเอง
ซูเม่ย “……”
ผ้าคลุมถูกยึดไป นางย่อมไม่ยินยอม จึงยิ้มแต่ปากแต่ดวงตาไม่ยิ้มกล่าวว่า ” ฝ่าบาทเพคะ ไทเฮาทรงห่วงใยหม่อมฉัน นี่เป็นของที่ไทเฮาทรงประทานให้ด้วยพระหัตถ์ หม่อมฉันอยากจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ดีดั่งเป็นสมบัติประจำตระกูล ขอฝ่าบาททรงประทานคืนด้วยเพคะ “
พูดแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปขอรับคืนจากเขา
จีเฉวียนทำเหมือนมองไม่เห็นนาง ทอดสายตาออกไปบนร่างของตู๋กูซิงหลันที่อยู่ใต้ระเบียง
พอเห็นรอยประทับจูบสีแดงบนแก้มของนาง เขาก็รู้สึกกริ้วขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ กล่าวกับตู๋กูซิงหลันโดยเฉพาะว่า “ไทเฮาทราบมาตลอดว่าเรากลัวหนาว ผ้าคลุมขนสัตว์นี้ เจ้าบอกมาสิว่าจะให้ใคร? “
ตู๋กูซิงหลันถึงกับพูดไม่ออก พี่ชาย บนตัวท่านสวมใส่เสื้อหนาวตัวใหญ่อยู่แท้ๆ!
นางหยิบร่มบนพื้นขึ้นมา ถือร่มหันไปทางเขาแล้วกล่าวว่า “หากว่าฝ่าบาทโปรดละก็ ข้าจะกลับตำหนักไปหยิบมาถวายอีกชิ้นก็แล้วกัน”
พูดแล้ว ก็หมุนตัวนำเจ้าไก่ขนฟูเตรียมจะเดินกลับไป
แต่ว่าเพียงก้าวขาออกไปก้าวเดียว ก็ได้ยินเสียงจีเฉวียนรั้งเอาไว้ “เราอนุญาตให้เจ้าไปได้แล้วหรือ? “
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ฟังออกว่าน้ำเสียงของพระองค์แฝงความโกรธกริ้ว
อันหว่านจือก็รีบกระพือลมเติมไฟ “ฝ่าบาท ไทเฮากับซูกุ้ยเฟยมีน้ำใจสนิทสนมกันสูงล้ำยิ่งกว่าเงินทอง นางย่อมจะต้องเห็นว่าซูกุ้ยเฟยนั้นสำคัญกว่า นี่เห็นชัดเลยนะเพคะว่าพระองค์ไม่อาจเทียบกับคนที่เป็นยอดดวงใจของนางได้”
ซูเม่ยยืนอยู่ด้านข้าง ที่จริงแล้วที่อันหว่านจือพูดมานั้นนางก็ชอบฟังอยู่
ในหัวใจของอาหลัน จะต้องเห็นนางสำคัญกว่าแน่นอน
ถึงแม้ว่าคนที่อาหลันชอบจะเป็นจีเย่ว์ แต่ว่าตอนนี้จีเย่ว์ก็ไม่อยู่แล้ว ดังนั้นในวังนี้ นางก็คือผู้ที่สำคัญที่สุดในใจของอาหลัน
จีเฉวียนหันไปสาดประกายดาบในพระเนตรใส่อันหว่านจือ อันหว่านจือก็รีบหุบปากลงในทันที พลางน้อยอกน้อยใจ จนต้องถอยหลังไปหลายก้าว
ทำไมฝ่าบาทถึงได้ไม่อยากจะสดับฟังความจริงกัน?
แต่คิดๆ ดูแล้ว ในเมื่อฝ่าบาททรงพิโรธถึงขนาดนี้แล้ว ตู๋กูซิงหลันนั่นจะต้องไม่รอดไปแน่ คอยดูเถอะ ฝ่าบาทจะต้องจัดการนางแน่นอน
นางคิดว่าตัวเองเป็นไทเฮาแล้วจะยิ่งใหญ่นักหรือไง?
ในแผ่นดินต้าโจวนี้ ไม่มีผู้ใดที่มีอำนาจเหนือกว่าฝ่าบาท เป็นไทเฮาแล้วอย่างไร? หากว่าฝ่าบาทไม่พอพระทัย ย่อมจะทรงมีวิธีมากมายมาจัดการนาง
เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่พระมารดาแท้ๆ
ตู๋กูซิงหลันถือร่มหันหลังให้กับจีเฉวียน เท้าของนางยังไม่ทันจะได้ก้าวออกไป ที่หัวไหล่พลันรู้สึกได้ถึงฝ่ามือขนาดใหญ่ที่วางลงมา
ความเย็นเฉียบนั้นแทกซึมทะลุเนื้อผ้าลงสู่ร่างกายของนาง จนสะท้านไปจนถึงกระดูก ยังเย็นเฉียบเสียยิ่งกว่าหิมะเสียอีก
นางค่อยๆ หันหน้ากลับไป ก็เห็นว่าปลายนิ้วสีแดงที่ดูผิดปกตินั้น แตกเป็นแผลเพราะถูกความเย็นกัดทำลายเสียแล้ว
ครู่ต่อมาอยู่ๆ ร่างกายก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ที่แท้จีเฉวียนเอาผ้าคลุมขนสัตว์ผืนนั้นคลุมบนร่างของนาง เขาโน้มพระองค์ลงมา ริมพระโอษฐ์แทบจะสัมผัสกับใบหูของนาง ท่าทางที่แสดงออกอบอุ่นอ่อนโยน แต่กลับตรัสเป็นการเตือนว่า “ตู๋กูซิงหลัน อยู่ให้ห่างจากสนมของเราหน่อย “
ตู๋กูซิงหลันชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ฟ้าดินโปรดเมตตาด้วยเถอะ รอบนี้นางไม่ได้เป็นฝ่ายลงมือก่อนเลยนะ!
จีเฉวียนทางหนึ่งตรัสไป ทางหนึ่งก็คลุมผ้าให้นางอย่างแน่นหนา แม้กระทั้งเศษหิมะบนเส้นผมของนางก็ยังช่วยปัดออกไปให้
ดวงเนตรหงส์คู่นั้นยังไม่วายจดจ้องอยู่บนรอยจูบสีแดงบนข้างแก้มของนาง หากว่ามีดาบละก็ เกรงว่าเขาคงจะต้องคว้าดาบมาเฉือนรอบนั่นทิ้งไปแล้ว
เขายกมือขึ้นมา พอมองเห็นว่ามือของตนเองแตกจนผิวลอกแล้ว ก็ได้แต่ขมวดคิ้วน้อยๆ ค่อยดึงมือเก็บกลับไป
” หากว่าคราวหน้ายังให้เราได้รู้อีกว่าเจ้าพัวพันใกล้ชิดสนิทสนมกับสนมของเราอีกละก็ เราจะให้เจ้าได้ร้องไห้ขอความเมตตาเป็นแน่”
วิญญาณทมิฬ ” เอาละโว้ย อาหลัน เจ้าฮ่องเต้สุนัขคิดไม่ดีกับเจ้าเข้าแล้ว เชิญลงมือเอาให้มันหมดสิ้นอิสระภาพไปเลย ขอบคุณมาก! “
ปกติมันเห็นมีแต่ภาพที่ฝ่ายหญิงมาร้องไห้อ้อนวอนฝ่ายชาย ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยตามละครรักที่ฉายในประเทศ
เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่บังอาจเกิดความคิดชั่วร้ายแบบนั้นกับหลันหลันขึ้นมา!
สมองของตู๋กูซิงหลันกับเจ้าวิญญาณทมิฬมิได้ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกันเลย จีเฉวียนบอกว่าจะทำให้นางต้องร้องขอความเมตตา แน่นอนเลยว่าจะต้องวางแผนทำกับดักจัดการนางอย่างเด็ดขาด
นานอีกพักใหญ่นางจึงค่อยหันกลับมา มองดูเขาอย่างไม่หลบหลีก “ฝ่าบาท พระองค์ทรงหึงหวงหรือ? “
นางถือร่มเอาไว้ในมือ มิได้กล่าวอะไรกับจีเฉวียนอีก ปล่อยให้เขาถูกลมและหิมะพัดพา
นางไม่เคยเห็นจีเฉวียนให้ความสนใจกับสนมคนใดมาก่อน เดิมทียังคิดว่าเขาเป็นบุรุษในบุรษ ชื่นชอบแต่บุรุษด้วยกันเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นพวกชอบทั้งสองเพศ ทางหนึ่งก็งุบๆ งิบๆ กับราชครู อีกทางก็ยังมีซูเม่ยอยู่ในหัวใจด้วย
คิดดูแล้วก็ใช่อยู่ ซูเม่ยเป็นสาวงามที่น่าหลงใหลขนาดนั้น แม้แต่ตัวนางเห็นแล้วก็ยังจะอดใจไม่ได้ อย่าว่าแต่จีเฉวียนที่เป็นบุรุษด้วยเลย
ผู้คนบอกว่าจากกันสั้นๆ เสมือนหนึ่งคู่แต่งงานใหม่ เขาไม่ได้พบหน้าซูเม่ยมาตั้งนาน คาดว่าคงจะคิดถึงอย่างมากมาย พบเห็นสนมของตนเองมาทำท่าทางสนิทสนมกับนางก็คงจะเกิดความหึงหวงขึ้นมาบ้าง
จีเฉวียนถูกคำถามของนางทำเอางุนงงไปแล้ว หึงหวง?
ตัวเขาจีเฉวียนเกิดมาชาตินี้ยังไม่เคยรักชอบผู้ใด จะให้ไปหึงหวงอะไร?
แต่ว่าเมื่อถูกตู๋กูซิงหลันถามด้วยท่าทีที่จริงจัง ทั้งยังทำท่าคล้ายกับกำลังรอคอยคำตอบจากเขา
หัวคิ้วก็ขมวดมุ่นกว่าเดิม ” ทีตัวเจ้ายังชอบจีเย่ว์ได้ แต่ว่ากลับไม่ยอมให้ในใจเรามีสนมใดหรือ? ตู๋กูซิงหลัน เจ้าชักจะยุ่งมากเกินไปแล้วนะ? “
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกสงสัยจีเฉวียนอยู่หลายวินาที คนก็ไปตั้งไกลแล้ว ยังไม่วายถูกลากกลับมาอีก
พอได้ยินเขาออกปากว่าในใจมีซูเม่ยอยู่ นางยิ้มหวานออกมาอีกครั้ง ยิ้มจนหัวคิ้วหางตาโค้ง สดใสประหนึ่งแสงอาทิตย์อันอบอุ่น
นางถึงขนาดมีน้ำใจส่งร่มให้เขาถือเอาไว้ จะได้ป้องกันละลองหิมะที่โปรยปรายลงมา “เสี่ยวซูเฟยงดงามจริงๆ เหมาะสมกับฝ่าบาทอย่างยิ่ง ฝ่าบาทมีคู่ครองที่เหมาะเจาะกันเช่นนี้ ข้าที่เป็นมารดาก็วางใจได้แล้ว “
นางลองสมมุตภาพลูกของจีเฉวียนกับซูเม่ยที่จะเกิดมาอยู่ในหัว คนก็รู้สึกปลอดโปรงโล่งสบายไปทั้งตัว
เจ้าตุ๊กตาที่คนงามทั้งคู่สร้างขึ้นมา นั่นร้อยทั้งร้อยจะต้องเป็นตัวน้อยที่งดงามน่ารักแน่ๆ หากต่อไปได้เอามาอุ้มเล่นบ่อยๆ คิดๆ ดูแล้วชีวิตช่างดีเสียนี่กระไร
จีเฉวียนเห็นรอยยิ้มของนาง เขาก็คิดจะยอกย้อนใส่นางดูบ้าง
พอฟังว่าในใจเขามีคนอื่น นางก็มีปฎิกิริยาเช่นนี้? ดีอกดีใจ?
ตู๋กูซิงหลันไม่รู่เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ สายตาของนางกวาดตาดูเขาจนทั่วตัว ก็ลดเสียงเบาลงกล่าวคำพูดจากใจจริงว่า ” ฝ่าบาท พอแผลของพระองค์หายดีแล้ว จะต้องเสริมกำลังเพิ่มความขยันให้มากๆ จะได้ให้หม่อมฉันมีหลานมาอุ้มเล่นไวๆ “
สีพระพักตร์เย็นชาของจีเฉวียนแทบจะกลายเป็นพายุหิมะขึ้นมาแล้ว เขาจดจ้องมองดูตู๋กูซิงหลัน “เจ้าคาดหวังให้เราโปรดปรานเหล่าสนมงั้นหรือ? “
ตู๋กูซิงหลัน ” อ๋า? ถ้าฝ่าบาทไม่โปรดสนมทั้งหลาย เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปเอาพระราชนัดดามาจากที่ไหนกัน? “
สตรีที่สมควรตาย!
ในพระทัยของจีเฉวียนนั้นอยากจะจับนางมาฟาดให้ตายไปหลายรอบจนนับไม่ถ้วนแล้ว แต่พอมองดูดวงตาดอกท้อคู่นั้นของนาง ก็ได้แต่นิ่งค้างไปกระทั่งจะโกรธก็ยังไม่รู้จะแสดงออกมาอย่างไรดี
พระองค์ได้แต่ฉีกยิ้มให้กับตู๋กูซิงหลัน ” ถ้าเช่นนั้นก็ให้สมดังพระประสงค์ของไทเฮา “
ว่าแล้ว พระองค์ก็ตรัสเรียกซูเม่ยด้วยพระสุรเสียงดัง “ซูกุ้ยเฟย “
ซูเม่ยนั่นติดตามเขาลงมาบันไดมาด้วย เพียงแต่อยู่ห่างไปด้านหลังพอสมควร นางรู้สึกได้ว่าตลอดทั้งร่างของจีเฉวียนนั้นกำลังพยายามอดกลั้นต่อเพลิงพิโรธอย่างที่สุดแล้ว ดังนั้นหากว่าไม่มีเรื่องใด นางย่อมไมีกล้าผลีผลามออกไปแหย่เขาอย่างแน่นอน
เพียงแต่ยามที่เห็นจีเฉวียนเข้าใกล้อาหลัน ในใจของนางก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายขึ้นมา เจ้าบุรุษหยาบช้าผู้นี้ คิดจะทำอะไรอาหลันกัน?
ขณะที่ในใจของนางกำลังสับสนวุ่นวายอยู่นั้น พลันได้ยินจีเฉวียนตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงทรงพลังว่า “คืนนี้เจ้ามาที่ตำหนักตี้หัว ถวายตัว! “
ตอนที่ 146 คืนนี้ เจ้าต้อทำตัวให้ดี
ซูเม่ย “!!! “
สุรเสียงของจีเฉวียนดังกังวานขนาดนั้น แม้กระทั่งอันหว่านจือที่ยืนอยู่เหนือขั้นบันไดยังได้ยินอย่างชัดเจน นางหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที วิ่งตึงๆ ลงมาอย่างรวดเร็ว
ก็ได้ยินฝ่าบาทรับสั่งเสริมต่อไปอีกว่า “เจ้าสนิทสนมกับไทเฮามาโดยตลอด ย่อมไม่อาจทนเห็นนางโดดเดี่ยวอยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงได้”
จีเฉวียนตรัสไปสายพระเนตรก็จับจ้องตู๋กูซิงหลันโดยมิได้กระพริบ ” จงรีบตั้งครรภ์มีพระราชนัดดาในเร็ววัน จะได้เอามาอยู่เป็นเพื่อนไทเฮา ไม่ให้ทรงเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง”
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกผิดคาดไปอยู่บ้าง เจ้าฮ่องเต้องค์นี้จะรีบร้อนไปหน่อยไหม?
สีหน้าของนางจึงดูกลัดกลุ้มไปเล็กน้อย
พอเห็นสีหน้าที่กลัดกลุ้มของนาง ความโกรธเกรี้ยวในพระทัยของจีเฉวียนก็เบาบางลงไป ” ว่าไง เจ้าสำนึกเสียดายแล้ว? “
ตู๋กูซิงหลันรีบส่ายศีรษะ นางลดเสียงเบาลงไปอีก เขย่งเท้าขึ้นกระซิบถึงข้างพระกรรณ ให้มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน ” ฝ่าบาท ตรงนั้นของท่านยังไม่ค่อยจะหายดี หม่อมฉันเกรงว่าพระองค์จะไม่ไหว กลัวจะเกิดบาดเจ็บขึ้นมาอีก หรือไม่อาจทำให้เสี่ยวซูเฟยพึงพอใจ…. “
คำพูดของนางยังไม่ทันจบ จีเฉวียนก็สบัดพระหัตถ์ซัดฝ่ามือใส่ลำต้นของต้นกุ้ยที่อยู่ข้างพระองค์ในทันที
บอกว่าเขาไม่ไหว?
ฝ่ามือนี้ใช้ออกด้วยกำลังรุนแรงอย่างยิ่ง ทำเอาลำต้นของมันโยกคลอนไปมา หิมะที่เกาะอยู่ด้านบนก็ร่วงพรูลงมาจนหมดราวกับเกล็ดน้ำแข็งที่โดนทุบจนแตกกระจาย
” ระวัง! ” ซูเม่ยรีบโผเข้าไปที่ข้างตัวตู๋กูซิงหลัน คิดจะดึงตัวนางออกมา
แต่ว่านางยังคงเคลื่อนไหวช้าไปก้าวหนึ่ง
เพียงทันเห็นแค่ฮ่องเต้ดึงรั้งตู๋กูซิงหลันเข้าไปในอ้อมพระพาหา ยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นฉากกำบังให้นาง แต่พระองค์เองกลับถูกหิมะหล่นใส่ทั้งร่าง
เดิมทีพระวรกายของพระองค์ก็แพ้ความหนาวอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ยังแช่พระหัตถ์ลงในน้ำที่เย็นจัด ยามนี้ยิ่งถูกหิมะกระหน่ำใส่ลงมาอีก เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ตลอดทั้งพระองค์ก็เย็นเฉียบราวกับก้อนน้ำแข็งที่ถูกขุดออกมา
ตู๋กูซิงหลันถูกเขากอดเอาไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าแนบกับอ้อมอก ถึงแม้จะเป็นผ้าฝ้ายหนาๆ แต่ก็ยังได้ยินเสียงหัวใจของเขาอย่างชัดเจน
หัวใจที่เต้นแรงและเร็วมาก
” ฝ่าบาท พระองค์เป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ” อันหว่านจือรอจนหิมะร่วงลงมาจนหมะแล้วจึงได้วิ่งเข้าไป
นางล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เขย่งปลายเท้าขึ้นคิดจะปัดหิมะที่อยู่บนพระองค์ออกไป
จีเฉวียนถลึงพระเนตรใส่นาง ทำเอามือของนางชะงักค้างอยู่ตรงนั้น
ในชั่วแวบนั้นเอง นางรู้สึกว่าหากตนเองแตะต้องพระองค์ มือทั้งสองข้างของนางมีหวังถูกพระองค์ตัดทิ้งอย่างแน่นอน
พระบารมีของฮ่องเต้เป็นสิ่งที่นางไม่สามารถอาจเอื้อมหรือสัมผัสได้เลย
ในใจของนางบังเกิดความหวาดกลัวอย่างไร้ที่มา จึงตัดสินใจถอยออกไปอีกก้าวหนึ่ง
ได้แต่อาศัยดวงตาทั้งคู่ทิ่มแทงตู๋กูซิงหลันที่ยังซุกอยู่ในอ้อมพระพาหา
เป็นเพราะมันอีกแล้ว!
มันทำตัวเป็นบัวขาวดอกใหญ่!
เบื้องหน้าทำเหมือนมิได้ใส่ใจใยดีฝ่าบาท แต่ทุกความเคลื่อนไหวของนางกลับซอกซอนเข้าไปในพระทัยของพระองค์ ล่อลวงไปกระทั่งพระวิญญาณ!
ดู๊ดูเอาเถอะ ดูที่พระองค์ทรงกระทำ หากเมื่อครู่ที่ตกลงมาจากฟ้าเป็นฝนดาบ เกรงว่าพระองค์ก็ยังคงรับเอาไว้แทนนางแล้ว
นังคนนี้ช่างรู้จักเล่นละครนัก ตั้งแต่ตอนที่เจอกันที่ตำหนักเฟิ่งหมิงตนเองก็ดูนางออกแล้ว
นังแพศยาผู้นี้เป็นนางจิ้งจอกที่สามารถล่อลวงบุรุษได้เสียยิ่งกว่าซูเม่ยอีก!
ในอ้อมพระพาหาของจีเฉวียน แค่ตู๋กูซิงหลันขยับมือ ก็สัมผัสถูกพระหัตถ์ของพระองค์ ฝ่ามือเมื่อครู่ทรงใช้พละกำลังอย่างเต็มที่ พระหัตถ์ที่เดิมมีบาดแผลจึงยิ่งฉีกขาดจนพระโลหิตรินไหล โลหิตนั้นหยดลงบนหลังมือของนาง สีหน้าของตู๋กูซิงหลันก็แปรเปลี่ยนไปในทันที
อีกแล้ว….นางรู้สึกถึงพลังหยินที่ดึงดูดเอาภูติผีวิญญาณร้ายนับหมื่นนับพันให้เข้ามาหา
ราวกับบ่วงในขุมนรกที่กดทับจนผู้ใดก็หายใจไม่ออก
สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ นางคว้าพระหัตถ์ของพระองค์ไว้ในทันทีปิดตาตนเองคิดจะอาศัยประสาทสัมผัสดำดึ่งลงไปให้รู้ แต่กลับไม่สามารถสัมผัสสิ่งใดได้เลย
ซูเม่ยที่เห็นเหตุการณ์อยู่ด้านข้าง ก็เผยดวงตาชั่วร้ายออกมา
นางประมาทจีเฉวียนเกินไปแล้ว
” ตู๋กูซิงหลัน ปล่อย ” น้ำเสียงของจีเฉวียนเย็นชา ดึงพระหัตถ์ที่บาดเจ็บกลับไปอย่างแรง
ขณะเดียวกันก็ปล่อยนางในทันที
” กลับไปเฝ้าตำหนักเฟิ่งหมิงของเจ้าเสีย ฤดูหนาวหิมะแรง เดี๋ยวจะโดนฝังทั้งเป็น”
พระองค์พยายามอดกลั้นต่อความหนาวสั่นที่กำลังจะจับแข็ง ผลักตู๋กูซิงหลันออกไป ตนเองก็ก้าวถอยไปอีกหลายก้าว
ท่ามกลางหิมะและอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ ตลอดพระองค์เย็นจัดดุจเดียวกับน้ำแข็ง ไม่ว่าใครเข้าใกล้เพียงนิดเดียวเป็นต้องถูกแช่แข็งไปด้วย
พระองค์เสด็จตรงไปยังบันได เพื่อกลับไปยังพระตำหนักตี้หัว พอเสด็จถึงบนระเบียงก็หันพระพักตร์กลับมาทอดพระเนตรซูเม่ยแวบหนึ่ง
” ซูกุ้ยเฟย กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งหน้าแต่งตัวเสียใหม่ ชุนเอินเหนียนจะไปรับเจ้าที่ตำหนักชุ่ยเวยก่อนอาทิตย์ตกดิน “
ว่าแล้ว พระองค์ก็ทรงเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “คืนนี้ เจ้าต้องทำตัวให้ดี จะต้องมีลูกให้ได้ในคราวเดียว อย่าได้ทำให้ไทเฮาทรงผิดหวัง “
ซูเม่ยถึงกับริมฝีปากกระตุกอย่างแรง
แต่ด้วยฐานะของฮ่องเต้ทำให้นางมิอาจปฎิเสธออกไปได้ แม้สักครึ่งคำ ขอเพียงนางกล่าวว่าไม่ออกไปเพียงนิดเดียว ฝ่าบาทย่อมต้องหักกระดูกนางจนป่นไปเสียก่อน
นางได้แต่ย่อตัวถวายคำนับ ทูลตอบว่า ” เพคะ”
อันหว่านจือกลับอยากจะร้องไห้จนสลบไสลไปเดี๋ยวนี้เลย
ตลอดหลายวันมานี้นางคอยยกน้ำชาปรนนิบัตอยู่ในพระตำหนักตี้หัว ทำงานที่ต่ำต้อยที่สุด ก็เพื่อจะได้ใกล้ชิดฝ่าบาทให้มากขึ้น
ตลอดทั้งอาทิตย์นางพยายามส่งสายตาทอดสะพานให้ฝ่าบาทอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าฝ่าบาทกลับคล้ายพระเนตรบอด แทบจะไม่เคยมองดูนางอย่างเต็มตาเลยเสียด้วยซ้ำ
ทำไม……ทำไมเพียงเพราะแค่นังแพศยาตู๋กูซิงหลันนั่นต้องการอุ้มพระราชนัดดา ก็จะต้องไปโปรดปรานซูเม่ยในทันทีหรือ?
นางอุตส่าห์ยอมทำงานหัวปักหัวปำอยู่ตั้งนาน กลับกลายเป็นการตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่นไปเสียอย่างงั้น
นางเข้าวังมาก่อนนานพักใหญ่แล้ว ย่อมเคยได้ยินมาว่าฝ่าบาทยังไม่เคยแตะต้องพระสนมคนใดมาก่อนเลย
เดิมที…..นางต่างหากที่สมควรจะได้รับเลือกให้ถวายตัวเป็นคนแรก
นางหันไปมองซูเม่ย และก็หันไปจ้องตู๋กูซิงหลันอีก นางก็ตระหนักได้ในทันทีว่า สตรีสองคนนี้ จะต้องตั้งใจมาที่นี่เพื่อแสดงละครอย่างแน่นอน จุดประสงค์ก็เพื่อจะได้โอกาสในการถวายตัว!
ตู๋กูซิงหลันและซูเม่ย เป็นนางจิ้งจอกฝูงเดียวกัน! พวกมันร่วมมือกันวางแผนทั้งหมดนี้!
นางแค้นเสียจนจิกเล็บเข้าไปในฝ่ามือ กัดฟัดเสียงกรอดๆ นางจะต้องรีบกลับไปปรึกษาวางแผนกับท่านย่า ไม่อาจปล่อยให้พวกนางได้สมใจเด็ดขาด
ก่อนที่จีเฉวียนจะเสด็จเข้าพระตำหนักไป ก็ยังไม่ลืมที่จะหันมาทอดพระเนตรซูเม่ยอีกครั้ง “ตอนนี้ รีบกลับไปตำหนักชุ่ยเวยของเจ้าซะ”
ตอนแรกซูเม่ยยังคิดจะพัวพันตู๋กูซิงหลันอีกสักเล็กน้อย แต่กลับถูกพระองค์มีพระบัญชาลงมาเช่นนี้
หยูฟู่ก็รีบเข้ามาดึงเจ้านายของตนเอง ” พระสนมเพคะ พวกเรากลับไปก่อนเถอะเพคะ”
นางทางหนึ่งก็ลากดึงซูเม่ย ทางหนึ่งก็สุดแสนจะยินดี วันนี้พระสนมเสด็จออกมาได้คุ้มค่าเหลือเกิน ในที่สุดก็ถูกฝ่าบาทเรียกไปถวายตัวเสียที
ขอเพียงผ่านคืนนี้ไป พระสนมของพวกนางก็จะเป็นสตรีคนแรกที่ได้ถวายตัว ฐานะเช่นนี้สุดที่พระสนมคนอื่นคนใดจะมาเปรียบเทียบได้
หากท่านอ๋องและพระชายาได้ทรงทราบละก็ จะต้องดีพระทัยอย่างที่สุดเป็นแน่
ซูเม่ยหันไปมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างแสนเสียดาย แต่พอเห็นจีเฉวียนจ้องมองมาที่นาง เมื่อรับพระบัญชามาแล้วก็มิกล้าขัดขืนอย่างเปิดเผย ได้แต่จำยอมติดตามหยูฟู่กลับไป
จีเฉวียนรอจนซูเม่ยถอยไปจนหลับตาแล้ว จึงได้กลับพระตำหนักตี้หัว ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ที่เดิม นางยังคงครุ่นคิดเรื่องธาตุหยินที่ลึกลับราวภูติผีบนร่างของจีเฉวียนไม่ยอมหยุด ยามที่ได้สติกลับมานั้น ก็เห็นว่าอยู่ๆ อันหว่านจือก็มายืนอยู่ที่เบื้องหน้าของนางแล้ว
” ไทเฮาช่างมีฝีมือยิ่งนัก ตนเองไม่อาจได้มาครอบครอง ก็ไม่ยอมให้ผู้อื่นได้ไปครอง แถมยังส่งคนที่ตนเองไว้ใจไปรับพระเมตตา หึๆ อันหว่านจือนับถือท่านนัก “
อันหว่านจือหัวเราะอย่างมีลับลมคมนัย
ตู๋กูซิงหลันกลับไม่ได้สนใจฟังคำพูดของนางเลยสักนิด พอได้พบอันหว่านจือนางถึงได้นึกสาเหตุที่ตนออกมาขึ้นมาได้ “สีผึ้งทาปากเจ้าเตรียมไว้แล้วหรือยัง? วันนี้เรามาเพื่อจะขอรับด้วยตนเอง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น