พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1429-1432
บทที่ 1429 ควบคุมกองมังกรดำ
Ink Stone_Fantasy
แต่ช่วยไม่ได้ที่คำพูดของหัวหน้าภาคท่านนี้ เหมียวอี้ฟังแล้วรู้สึกว่าเชื่อถือไม่ได้นิดหน่อย พูดให้น่าฟังกว่าร้องเพลงไปก็ไม่มีประโยชน์ ที่บอกว่าอนุภรรยา มารดาบุญธรรม ได้ชิมของใหม่อะไรนั่นก็เทียบไม่ติดกับตอนที่ตัวเองโดนเจ้าหมอนี่จับมาอยู่หน่วยองครักษ์ซ้าย ตอนนี้มาพูดน้ำไหลไฟดับแบบนี้อีก ใครจะไปรู้ว่าเจ้าหมอนี่มีเจตนาอะไรแอบแฝง
ดังนั้นเหมียวอี้จึงถามหยั่งเชิงว่า “นายท่าน หน้าที่อันงดงามขนาดนี้ เปลี่ยนให้กองอื่นไปแทนได้หรือไม่ขอรับ?”
อวี่จ้งเจินอึ้งทันที ข้าพูดจนปากแห้งแล้วสงสัยจะเปล่าประโยชน์ จึงทำสีหน้าเครียดขรึมเล็กน้อย “ภารกิจที่เบื้องบนสั่งมา ยังมีมาต่อรองนั่นนี่อีกเหรอ?”
จบกัน คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน เหมียวอี้ปฏิเสธไม่ได้ ทำได้เพียงยอมรับคำสั่งแต่โดยดี
คนที่เข้าร่วมภารกิจที่ตลาดผี ไม่ว่าจะสร้างผลงานหรือไม่ ขอเพียงไม่ได้ทำอะไรผิดกฎ ก็จะได้รับรางวัลเหมือนกันหมด คนที่รอดชีวิตก็ย่อมได้รับรางวัลโดยตรง ส่วนคนที่รบตาย อวี่จ้งเจินก็ขอให้เหมียวอี้ตรวจสอบข่าวครอบครัวแล้วรายงานขึ้นมา หน่วยองครักษ์ซ้ายมีคนที่ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะไปจัดการเรื่องมอบเงินบำรุงขวัญ
เมื่อเรื่องระหว่างนี้เสร็จแล้ว อวี่จ้งเจินก็พาคนกลับไปที่ทัพเป่ยโต้ว ส่วนเนี่ยอู๋เซี่ยวยังไม่ได้ไปด้วย ยังมีกิจธุระอีกมากมายที่ต้องทำ ไม่ใช่ว่าพอมีคำสั่งลงมาก็ตบก้นไปได้เลย ต้องจัดการทุกเรื่องของกองมังกรดำให้เรียบร้อย
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียวก็ทำให้เสร็จได้ นอกจากจบงานแล้ว เนี่ยอู๋เซี่ยวก็ยังต้องเจรจากับลูกน้องที่พึ่งพาได้ด้วย เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด กำลังพลเบื้องล่างก็ยิ่งไม่ได้เตรียมตัวอะไร
เนี่ยอู๋เซี่ยวบอกเหมียวอี้ตรงๆ ถึงเจตนาในการเจรจากับลูกน้องเก่า อย่างไรเสียก็ไม่ใช่การโยกย้ายภายในหน่วยองครักษ์ซ้าย แต่เป็นการย้ายเข้าไปอยู่ในอำนาจท้องถิ่น ลูกน้องเก่าจะเต็มใจไปกับเขาหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาหนึ่งเช่นกัน เขาต้องให้สัญญาเรื่องผลประโยชน์ ให้สัญญาเรื่องอนาคต เรื่องรองลงมาก็คือเรื่องที่รับปากเหมียวอี้เอาไว้ ก่อนจะถึงตอนนั้นเขาต้องให้ลูกน้องเก่าของตัวเองให้ความร่วมมือกับเหมียวอี้ในการคุมกองมังกรดำ
สำหรับสิ่งนี้ เหมียวอี้ย่อมอยากเห็นมันสำเร็จอยู่แล้ว ถึงแม้เขาจะกลายเป็นแม่ทัพภาคของกองมังกรดำ แต่ตอนที่เนี่ยอู๋เซี่ยวยังไม่ไป เขาก็ยังไม่คิดจะเข้าไปอยู่ในจวนแม่ทัพภาค ไม่อย่างนั้นจะทำให้เนี่ยอู๋เซี่ยวเสียหน้า ดังนั้นจึงกลับไปก่อน
“คารวะท่านแม่ทัพภาค!”
พอเหมียวอี้ออกจากจวนแม่ทัพภาค จู่ๆ ทหารยามที่เฝ้าอยู่ข้างนอกก็ทำความเคารพพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่ารู้ข่าวแล้ว เหมียวอี้โบกมือตอบอย่างอึดอัดเล็กน้อย
ข่าวที่ดังเป็นพลุแตกแบบนี้ ที่จริงก็แพร่ไปทั่วทั้งกองมังกรดำแล้วอย่างรวดเร็ว
จ้านหรูอี้นั่งอยู่ในในค่ายเพียงลำพังอย่างจิตตกเล็กน้อย ไม่ว่าจะในที่แจ้งหรือในที่ลับ ในใจนางก็คิดจะแข่งขันกับเหมียวอี้มาตลอด ครั้งนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะได้กลายเป็นลูกน้องของเหมียวอี้ ในภายหลังจะต้องฟังคำสั่งเหมียวอี้ อีกทั้งในอนาคตอาจจะต้องแต่งงานกับอีกฝ่ายด้วย อย่าบอกนะว่าทั้งชีวิตนี้จะต้องโดนเขาเหยียบจนตาย?
แพ้ให้เหมียวอี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้นางกอดความหวังเอาไว้มากที่สุด มีอยู่ประโยคหนึ่งที่กล่าวเอาไว้ดีมาก ‘ยิ่งหวังสูงก็ยิ่งผิดหวังมาก’ รสชาติในใจนางตอนนี้ยากจะบรรยายออกมาได้ ในปากเต็มไปด้วยความขื่นขมที่ต้องกล้ำกลืนลงไป ถ้ารู้มาก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ นางคงไม่มากองทัพองครักษ์ตั้งแต่แรก!
ลูกน้องคนสนิทหลายคนที่เดินไปเดินมาอยู่นอกค่ายถอนหายใจ ไม่กล้าเข้าไปรบกวนเช่นกัน เรื่องบางเรื่องก็เหมือนไม้ที่กลายเป็นเรือไปแล้ว เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ต่างก็รู้ว่าตอนนี้ผู้บัญชาการใหญ่อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร คนไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า ศัตรูคู่แค้นกลายเป็นผู้บัญชาการของตัวเองแล้ว ถ้าอารมณ์ดีก็คงแปลก
มีคนกลุ้มใจก็ย่อมมีคนชอบใจ
สวีถังหรานที่หน้าแดงมีเลือดฝาดเลิกผ้าม่านค่ายแล้วเดินก้าวยาวเข้ามานั่งข้างใน ก่อนจะโบกมือบอกว่า “เอาสุรามา วันนี้ข้าจะดื่มหลายๆ จอกให้สาแก่ใจ”
เสวี่ยหลิงหลงที่ก้าวเข้ามาต้อนรับงงไปชั่วขณะ ก่อนจะโบกมือให้สาวใช้ไปนำสุรามาส่วนตัวเองก็นั่งลงข้างๆ เขา นางเห็นเขาถูไม้ถูมืออย่างตื่นเต้นดีใจ จึงถามอย่างแปลกใจว่า “นายท่าน หรือว่ามีเรื่องน่ายินดีอะไรคะ?”
“ฮ่าๆๆ!” สวีถังหรานเงยหน้าแล้วหัวเราะลั่นสามที เอามือตบขาตัวเอง แล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “มีเรื่องน่ายินดีจริงๆ ทั้งยังเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากด้วย ฮูหยิน ข้าจะบอกข่าวดีเจ้าเรื่องหนึ่ง ผู้บัญชาการใหญ่ได้เลื่อนตำแหน่งอีกแล้ว!”
“ได้เลื่อนตำแหน่งเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ? เลื่อนเป็นรองแม่ทัพภาคเหรอคะ?” เสวี่ยหลิงหลงประหลาดใจ
สวีถังหรานหัวเราะคิกคัก “นายท่านเป็นใครกันล่ะ ฮูหยินดูถูกนายท่านเกินไปแล้ว ตำแหน่งรองแม่ทัพภาคนายท่านไม่ชายตาแลหรอก เพิ่งจะได้ยินข่าวมา ว่าท่านหัวหน้าภาคมาแจกรางวัลและแต่งตั้งให้ด้วยตัวเองเลย แม่ทัพภาคเนี่ยถูกย้ายออกจากกองมังกรดำแล้ว นายท่านเลื่อนตำแหน่งสองระดับ เลื่อนไปอยู่ตำแหย่งเดียวกับแม่ทัพภาคเนี่ยโดยตรงเลย ยศก็กระโดดจากทหารเลวหกแถบไปสองขั้น ตอนนี้ได้ยศแม่ทัพเกราะม่วงสองแถบแล้ว! จุจุ นายท่านก็คือนายท่าน เขาแค่ไม่ลงมือก็เท่านั้นเอง ถ้าได้ลงมือขึ้นมาก็จะได้ตักตวงก้อนใหญ่ ข่าวลือเรื่องตลาดผีเมื่อไม่กี่วันมานี้ ที่แท้นายท่านก็เข้าร่วมอยู่ในนั้นด้วย ทั้งยังสร้างรางวัลใหญ่ด้วยน! ได้ยินว่านายท่านยังร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ตรวจการใหญ่ด้วย ถึงขั้นได้รับคำชมจากผู้ตรวจการใหญ่เลย อนาคตยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด!” บนใบหน้าเขาแสดงอาการตื่นเต้นดีใจจนแทบจะเปล่งแสงได้ ทำอย่างกับตัวเองได้รางวัลเอง
เสวี่ยหลิงหลงดวงตาเป็นประกาย ตกใจไม่น้อยเลยจริงๆ เลื่อนตำแหน่งสองขั้นไปเป็นแม่ทัพภาคแล้วเหรอ? สายตาเหลือบไปมองท่านสามีที่ตื่นเต้นดีใจไม่หยุดอีกครั้ง นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มบางๆ เช่นกัน สามีของตนเป็นลูกน้องคนสนิทของนายท่านหนิว นายท่านหนิวอนาคตสดใส สามีของตนก็ย่อมได้อาศัยบารมีไปด้วย จะไม่ดีใจได้อย่างไร?
“งั้นข้าต้องไปแสดงความยินดีกับนายท่านก่อนรึเปล่า?” เสวี่ยหลิงหลงกล่าวหยอกล้อแล้วเม้มปาก
สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ “ไม่รู้ว่าหลังจากข่าวไปถึงตลาดสวรรค์แล้ว คนที่เคยหัวเราะเยาะว่าข้าเดินไปเจอทางตันจะยังหัวเราะออกอีกหรือเปล่า?”
ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีคนมารายงานว่า “นายท่าน ผู้บัญชาการใหญ่กลับมาแล้ว เรียกท่านไปที่ค่ายทัพกลางขอรับ”
สวีถังหรานรีบลุกขึ้นยืน เสวี่ยหลิงหลงรีบช่วยเขาจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยทันที
เหมียวอี้ที่กลับมาถึงค่ายทัพกลางเปลี่ยนใส่เกราะรบสีม่วงยศแม่ทัพสองแถบแล้ว บุคคลระดับสูงของธงพยัคฆ์ดำมากันครบ พวกเขาทำความเคารพโดยเปลี่ยนคำเรียกอย่างพร้อมเพรียงกัน “คารวะท่านแม่ทัพภาค”
คนที่ทำความเคารพล้วนมีสีหน้าปลื้มปีติ รู้สึกเป็นเกียรติ ขณะเดียวกันก็คิดกันไปต่างๆ นาๆ ผู้บัญชาการใหญ่ขึ้นตำแหน่งสูงแล้ว หมายความว่าเบื้องล่างก็จะมีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องเป็นทอดๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะได้อาศัยบารมีนี้ ชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียนก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นในใจ เพิ่งจะมาที่ธงพยัคฆ์ดำได้ไม่นาน นึกไม่ถึงว่าโอกาสที่พวกนางรอจะมาถึงแล้ว ตามหลักแล้วพวกนางทั้งสองคือคนที่หวังตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำมากที่สุด ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นใคร ผู้บัญชาการใหญ่เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคแล้ว อำนาจตัดสินใจอยู่ในมือท่านแม่ทัพภาค
ของบางอย่างถ้าไล่ตามทันก็คือไล่ตามทัน แต่ถ้าพลาดก้าวเดียวก็อาจจะพลาดอีกหลายก้าว ทั้งสองไม่อยากพลาดโอกาสนี้ มองเหมียวอี้ด้วยแววตาเร่าร้อนนิดหน่อย ตอนนี้เกรงว่าต่อให้ทั้งสองจะถวายตัวให้ก็ยิ่งสบายมาก กับเรื่องมอบร่างกายตอบแทน เดิมทีทั้งสองก็ไม่มีขีดจำกัดอยู่แล้ว
สาเหตุที่เหมียวอี้เรียกทุกคนมาพบ ประการแรกก็เพื่อจะประกาศเรื่องที่ตัวเองได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาค ประการที่สองก็เพื่อจะจัดการเรื่องให้รางวัลคนที่ติดตามไปปฏิบัติภารกิจที่ตลาดผี จัดการเรื่องที่อวี่จ้งเจินให้สืบหาครอบครัวของคนที่รบตายด้วยเช่นกัน
ส่วนเรื่องเปลี่ยนแปลงบุคลากร เหมียวอี้ก็จงใจที่จะไม่เอ่ยถึง ถ้าเนี่ยอู๋เซี่ยวยังไม่ไป เขาก็ยังไม่เตรียมจัดการเรื่องนี้
ถึงแม้จะวางแผนงานเล็กๆ ไว้แล้ว แต่ชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียนกลับแย่งกันแสดงความจงรักภักดี บอกว่าจะไปจัดการให้เหมาะสมอย่างเร็วที่สุด
สายตาของเหมียวอี้กวาดมองบนใบหน้าทั้งสอง เรื่องบางเรื่องเขามีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว ลูกน้องคนสนิทของเขา ยกตัวอย่างเช่นสวีถังหราน ครั้งนี้เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้เลื่อนขั้นแล้ว ไม่เหมือนตอนแรกที่ฝืนยัดคนเข้ามาได้ ตอนนี้มีผลงานเล็กน้อย แถมประสบการณ์และวรยุทธ์ก็ยิ่งไม่ผ่าน ถ้าดันทุรังเลื่อนตำแหน่งก็จะทำให้คนเบื้องล่างไม่พอใจ แต่ครั้งนี้เหยียนซิวกับหยางเจาชิงติดตามออกไปทำภารกิจ สามารถเลื่อนขั้นให้ตามผลงานได้
หลังจากนั้นครึ่งเดือน เนี่ยอู๋เซี่ยวกับเหมียวอี้ก็จบงานกันอย่างเป็นทางการ และพาผู้ติดตามออกไปแค่สองคน โดยเหมียวอี้ส่งกำลังพลกลุ่มหนึ่งให้คอยคุ้มกันส่ง
หลังจากรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว มีลูกน้องเก่าของเนี่ยอู๋เซี่ยวสนับสนุนเต็มที่ เหมียวอี้ก็เตรียมงานที่ต่อเนื่องกันได้อย่างราบรื่นมาก เสียงบ่นเล็กน้อยจากเบื้องล่างไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ผู้บัญชาการใหญ่จ้านหรูอี้ของธงพยัคฆ์น้ำเงินถูกเหมียวอี้ย้ายมาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางของกองมังกรดำ สลับตำแหน่งกับผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางคนปัจจุบัน ดูเหมือนเท่าเทียม ดูเหมือนจ้านหรูอี้ได้นั่งในตำแหน่งลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ แต่ความจริงมีเพียงจ้านหรูอี้เท่านั้นที่รู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าเหมียวอี้ยังไม่วางใจนาง จึงถอดอำนาจทางทหารของนางแล้ว ไม่อยากให้นางบีบอำนาจทางทหารของธงพยัคฆ์น้ำเงินไว้ในมือ เมื่อนางมาอยู่ทัพกลางแล้วก็ไม่มีใครฟังคำสั่งนางเลย เพราะรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองของทัพกลางรายงานเหมียวอี้โดยตรง ข้ามผ่านนางไปเลย
เหยียนซิวกับหยางเจาชิงถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทัพกลางของกองมังกรดำ ที่จริงไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ เหยียนซิวก็แค่กุมอำนาจทางทหารเอาไว้เยอะเท่านั้น ส่วนรายละเอียดงานล้วนเป็นหยางชิ่งที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจัดการ สวีถังหรานก็กลายเป็นผู้บัญชาการทัพกลางเช่นกัน นับว่ายุติธรรมแล้ว ที่จริงไม่สะดวกจะเลื่อนตำแหน่งให้เพราะไร้ผลงาน แต่สวีถังหรานก็ไไม่สะทกสะท้าน รู้ถึงความลำบากใจของเหมียวอี้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เหมียวอี้ก็สัญญาไว้แล้ว ว่าในภายหลังจะให้โอกาสเขาสร้างผลงาน
ไห่ผิงซินกลายเป็นลูกน้องของหยางเจาชิงแล้ว แต่ที่จริงเหมียวอี้เพียงต้องการให้หยางเจาชิงควบคุมดูแลนาง
ชวีหย่าหงกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ ส่วนมู่อวี่เหลียนถูกย้ายมาที่ทัพกลางชั่วคราว เหมียวอี้ก็ทำตามสัญญาแล้วเช่นกัน ไม่ช้าก็เร็วที่ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินจะต้องไป สักวันหนึ่งตำแหน่งนั้นก็ต้องเป็นของนางอยู่แล้ว สำหรับเรื่องนี้ ถึงแม้ทั้งสองสาวจะไปหาโป๋เยวมาแล้วล่วงหน้า และเหมียวอี้ก็ถามความเห็นโป๋เยวมาแล้วเช่นกัน แต่โป๋เยวบอกว่าอะไรก็ได้ เขาเตรียมจะตามเนี่ยอู๋เซี่ยวไปแล้ว เขาไม่มีหวังกับตำแหน่งแม่ทัพภาคกองมังกรดำแล้ว ตอนนี้ยังมีโอกาสเป็นแม่ทัพภาคในเขตอำนาจของท้องถิ่น เขาก็ย่อมไม่อยากพลาด
ส่วนชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียน ตอนหลังโป๋เยวก็เตรียมจะพาไปด้วยกัน หลังจากไปอยู่ที่อำนาจท้องถิ่นแล้วก็จะรับเป็นภรรยาอย่างเปิดเผย ไม่ถือข้อห้ามเยอะเหมือนที่กองทัพองครักษ์
เดิมทีเหมียวอี้เตรียมจะปล่อยผ่าน แต่เบื้องล่างมีกำลังพลไม่น้อยที่ยื่นคอมองตาปริบๆ ถ้ามีตำแหน่งว่างอีกสองตำแหน่งก็จะสามารถปลอบใจคนได้ แต่หยางชิ่งกลับคิดว่าคนไม่ตรองการณ์ไกล ความยุ่งยากใจก็จะใกล้เข้ามา มีโอกาสอยู่ในมือแล้วก็ไม่ควรพลาด แนะนำให้กักตัวชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียนไว้ ไม่ให้ทั้งสองตามโป๋เยวไป เตรียมจะเหลือไว้เป็นทางหนีทีไล่เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับคนระดับโป๋เยว
แต่เหมียวอี้รู้สึกว่ารั้งไม่อยู่ เขาตอบตกลงเนี่ยอู๋เซี่ยวแล้วว่าจะปล่อยคนไป ความสัมพันธ์ระหว่างโป๋เยวกับพวกนางก็เห็นๆ กันอยู่ อาจจะรั้งไว้ไม่อยู่
ทว่าหยางชิ่งกลับบอกว่ามีความมั่นใจที่จะรั้งพวกนางไว้ เหมียวอี้จึงให้เขาไปจัดการ
หยางชิ่งแยกไปหาชวีหย่าหงกับมู่อวี่เหลียน แล้วบอกว่าจะอยู่หรือจะไปก็ให้ตัดสินใจเอาเอง แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่จะเตือนทั้งสองเอาไว้ ว่าถ้าตอนนี้อยู่ต่อ ทั้งสองจะได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่แน่นอน แต่หลังจากไปอยู่ในอาณาเขตของอำนาจท้องถิ่นแล้ว ก็จะต้องต่อสู้อย่างถึงพริกถึงขิงกับอำนาจท้องถิ่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้ต่อสู้ดิ้นรนสำเร็จ แต่ด้วยระดับของทั้งสองก็จะยังได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่เหมือนเดิม
และที่เน้นเป็นพิเศษก็คือ ถ้าตอนนี้ให้ตำแหน่งผู้บัญชาการใหกับคนอื่นไป ในภายหลังท่านแม่ทัพภาคก็ไม่สะดวกจะเปลี่ยนคนอีกแล้ว จะอยู่หรือจะไปก็ให้ทั้งสองพิจารณาเอาเอง
สาเหตุที่ผู้หญิงทั้งสองตามโป๋เยวไป เดิมทีก็ไปเพื่ออนาคต แต่ตรงหน้ามีตำแหน่งให้อยู่แล้ว ถ้าไปอยู่ในอาณาเขตของอำนาจท้องถิ่นแล้วแข่งขันไหวหรือเปล่าก็ไม่แน่ จะอยู่หรือจะไปก็ตัดสินใจได้ไม่ยาก บทที่ 1430 ใจคนหวาดหวั่น
Ink Stone_Fantasy
เปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ก็ย่อมเปลี่ยนขุนนางใหม่ การจากไปของเนี่ยอู๋เซี่ยวไม่ใช่แค่การแต่งตั้งและปลดออกของคนในตำแหน่งสำคัญเท่านั้น ถือโอกาสตอนนี้ที่มีลูกน้องเก่าของเนี่ยอู๋เซี่ยวสนับสนุน ทำเหมือนกับตอนแรกที่มาธงพยัคฆ์ดำ ปรับกำลังพลของแต่ธงพยัคฆ์ใหม่ กระจายสมาชิกทั้งหมดแล้วค่อยนำมารวมกันอีกครั้ง
คำสั่งย้ายกองมังกรดำเข้าไปประจำการที่อุทยานหลวงอย่างเป็นทางการยังไม่มา กองมังกรดำจึงรอฟังคำสั่งอยู่ที่เดิม แต่แขกของท่านแม่ทัพภาคมาแล้ว
ไป๋เฟิ่งหวงมาแล้ว เหมียวอี้ออกจากกองมังกรดำไปพบนางเป็นการส่วนตัว
ส่วนเรื่องว่าทั้งสองแอบคุยอะไรกัน คนนอกก็ไม่อาจรู้ได้ เพียงแต่หลังจากคุยเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ได้มอบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้เหยียนซิว จากนั้นเหยียนซิวก็แอบออกไปข้างนอกคนเดียว ได้รับคำสั่งให้นำของไปมอบให้อวิ๋นจือชิว…
ตลาดสวรรค์ ดาวเทียนหยวน ร้านค้าสมาคมวีรชน ในตึกศาลา คนยังสง่างามเหมือนเดิม
ข่าวเหมียวอี้เลื่อนตำแหน่งดังมาถึงที่นี่แล้ว แต่กลับทำให้หวงฝู่จวินโหรวพิงหน้าต่างทอดสายตามองออกไปไกล ในมือถือปิ่นปักผมรูปแมลงปอสีแดงพลางถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เหมียวอี้ไต่เต้าได้เร็วขนาดนี้ แต่นางกลับรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ
ในตำหนักคุ้มเมือง ฝูชิงยิ่งอยู่ในตำแหน่งสูงก็ยิ่งมองการณ์ไกล เขาถอนหายใจยาว เมื่อได้ยินข่าวว่าเหมียวอี้เลื่อนตำแหน่ง เขาก็ดีใจไม่ออกเช่นกัน ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจกับเหมียวอี้ แต่เป็นเพราะเขาเพิ่งกลับมาจากข้างนอก
สี่พี่น้องร่วมสาบานแอบเจอกันอย่างลับๆ หลังจากปรึกษากันแล้วผลที่ได้ก็โหดร้ายมาก แต่กับความจริงที่โหดร้ายบางอย่าง จะไม่เผชิญหน้าก็ไม่ได้ ท่ามกลางลูกน้องระดับล่างที่เดิมทีอยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน มีบางคนได้เลื่อนตำแหน่ง มีบางคนได้อยู่ใต้บังคับบัญชาคนอื่น สิ่งนี้ได้ทำให้เกิดคำพูดที่คับแค้นใจที่ไม่ค่อยสามัคคีกันแล้ว นี่คือเรื่องที่อันตรายมาก
คำพูดที่คับแค้นใจเหล่านั้นทำให้ทั้งสี่หวาดระแวงกลัว เหมือนกำลังเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของทุกคน สุดท้ายทั้งสี่จึงตัดสินใจ ว่าจะรอให้การทดสอบที่นรกครั้งหน้ามาถึง แล้วล่อพี่น้องพวกนี้ให้ไปเข้าร่วมการทดสอบที่นรก จะไม่ให้พวกเขามีชีวิตรอดกลับมาอีก
สถานการณ์ที่เคยรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันต่อต้านหกปราชญ์ตอนอยู่พิภพเล็ก เมื่อเผชิญหน้ากับการรุกกัดกร่อนของผลประโยชน์ สุดท้ายใจคนก็ไม่อยู่แล้ว
จวนแม่ทัพภาคตงหัว ท่านโหวเทียนหยวนที่ระบายอารมณ์กับปี้เยว่ฮูหยินในห้องเดินออกมาจากห้องแล้ว กำลังนั่งเหม่อลอยในศาลาด้านนอก
หลังจากจัดแจงตัวเองเรียบร้อยแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็เดินช้าๆ ออกจากห้อง ไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ บอกไม่ถูกว่าแค้นหรือไม่แค้น เพราะนางโดนท่านโหวเทียนหยวนบังคับจนชินแล้ว เรื่องบางเรื่องนางไม่มีทางเลือก ในสายตาของคนในสังคม พวกเขาคือสามีภรรยากัน เรื่องบางเรื่องไม่ว่าท่านโหวเทียนหยวนจะทำอย่างไรก็ไม่ถือว่าทำเกินไป ไม่มีใครมาร้องขอความยุติธรรมให้ปี้เยว่ฮูหยิน
จะว่าไปก็น่าขำเหมือนกัน หลังจากความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเกิดวิกฤติ ท่านโหวเทียนหยวนก็ขยันมาที่นี่ ในหนึ่งปีจะมาอย่างน้อยสามสี่ครั้ง ถึงแม้ในด้านความรักใคร่สนิทสนมจะมีแต่ความป่าเถื่อนไปบ้าง แต่สำหรับสามีภรรยาที่เคยไม่เจอหน้ากันเป็นร้อยปี ตอนนี้กลับเหมือนสามีภรรยากันมากขึ้นแล้ว
พอเหลือบมองคนที่อยู่ในศาลาแวบหนึ่ง ปี้เยว่ฮูหยินก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของท่านโหวเทียนหยวนในครั้งนี้ค่อนข้างแปลกไป เห็นได้ชัดว่าเป็นทุกข์เป็นร้อนในเรื่องผลได้ผลเสีย นางรู้จักเขาดีเกินไป ครั้งนี้จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วแน่นอน แต่ระหว่างทั้งสองไม่ค่อยได้พูดคุยสื่อสารอะไรกันอีกแล้ว มีเพียงการบังคับขืนใจและความป่าเถื่อนของท่านโหวเทียนหยวน ปี้เยว่ฮูหยินรีบเดินออกไป อยากจะอยู่ให้ห่างจากเทียนหยวนสักหน่อย
ในศาลา ท่านโหวเทียนหยวนแววตาฉายประกาย มองไปที่ตัวนาง ถอนหายใจเบาๆ แล้วถามว่า “ฮูหยิน พวกเราคุยกันสักหน่อยได้มั้ย?”
ปี้เยว่ฮูหยินหยุดฝีเท้า แล้วถามขณะที่หันหลังให้ “เจ้าคิดว่าระหว่างเรายังมีอะไรให้คุยกันดีๆ อีกเหรอ?”
ท่านโหวเทียนหยวนยิ้มเจื่อน “เทพประจำดาวคนฉลูอาจจะต้องลงจากตแหน่ง ตำแหน่งท่านโหวของข้าก็อยู่ในวิกฤติแล้วเช่นกัน”
ปี้เยว่ฮูหยินตัวสั่นทันที ในดวงตาฉายแววตกตะลึง นางหันตัวมาช้าๆ และลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่อยากเดินเข้าไปหา แต่สุดท้ายก็ยังอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงร้ายแรงขนาดนี้ จึงค่อยๆ เดินเข้าไปในศาลา นั่งลงตรงหน้าเขา แล้วถามเสียงแข็งว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ท่านโหวเทียนหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม “เจ้าเองก็คงได้ยินเรื่องที่ตลาดผีแล้ว ตำหนักสวรรค์วางกับดักที่ตลาดผี หว่านแหดักพวกที่มีเจตนาแอบแฝง และเป็นเพราะหนิวโหย่วเต๋อลูกน้องเก่าเจ้าก็เข้าร่วมเรื่องนี้เช่นกัน ตอนนี้เหยียบหมวกพวกขุนนางกระโดดข้ามตำแหน่งขึ้นไปสองตำแหน่งแล้ว”
การที่หนิวโหย่วเต๋อเลื่อนขั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ปี้เยว่ฮูหยินรู้ถึงความสามารถของเหมียวอี้ตั้งนานแล้ว นางไม่ได้ประหลาดใจกับเรื่องนี้เท่าไรนัก ส่งข่าวไปแสดงความยินดีเรียบร้อยแล้ว และถือโอกาสถามถึงสถานการณ์ของลูกสาวด้วย แต่ที่นางตกใจคือเรื่องอื่น อดไม่ได้ที่จะถามอย่างร้อนใจว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าก็ยื่นมือเข้าไปในตลาดผีเหมือนกัน คนของเจ้าติดกับดักเหรอ?”
ท่านโหวเทียนหยวนส่ายหน้า “ข้าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องนี้ ถึงแม้ที่ตลาดผีจะมีหูตาของข้าอยู่ และข้าก็อยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นเหมือนกัน แต่ข้าก็รู้กำลังตัวเอง ของที่มีคนที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่มากมายขนาดนั้นจ้องอยากได้ อาศัยกำลังของข้าต่อให้หาเจอแต่ก็แย่งชิงมาไม่ได้อยู่ดี ข้าเลยไม่ได้คิดเพ้อฝัน”
“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” ปี้เยว่ถาม
ท่านโหวเทียนหยวนถอนหายใจยาว แล้วบอกว่า “ข้าไม่ได้เข้าร่วม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนของเบื้องบนไม่ได้เข้าร่วม ข้าได้ยินข่าวมาแล้ว เกรงว่าคนที่อยู่ข้างบนเทพประจำดาวจะไม่มีใครหลุดพ้นความเกี่ยวข้องนี้ เบื้องล่างมีคนตกอยู่ในมือเกาก้วนแล้ว เจตนาของฝ่าบาทในการอาศัยเรื่องนี้ถอดอำนาจเป็น เรื่องมาถึงตอนสุดท้ายทุกคนจึงรู้กันหมดแล้ว มันจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ถ้าหน่อยว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเทพประจำดาวคนฉลู เปลี่ยนให้คนของฝ่าบาทมารับตำแหน่งแทน มีหรือที่จะยอมให้ข้าครองตำแหน่งนี้ต่อไป ข้าไม่ได้เป็นแค่ลูกน้องเก่าของเทพประจำดาวคนฉลู ทั้งยังเป็นลูกน้องเก่าของอ๋องสวรรค์อิ๋งด้วย ถ้าไม่ถอดพวกเราทิ้ง เทพประจำดาวคนใหม่จะต้องเผชิญกับการโดนขนาบโจมตีทั้งข้างล่างบ้างบน จะต้องฉวยโอกาสที่ฝ่าบาทอ้างว่าสามารถบีบคนระดับบนได้เพื่อรีบกวาดล้างข้างล่างแน่นอน การกวาดล้างเป็นทอดๆ คือสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก”
“พวกอ๋องสวรรค์จะนั่งดูเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นโดยไม่ทำอะไรได้ยังไง? ฝ่าบาทใช้วิธีแข็งกร้าวแบบนี้ ไม่กลัวคนข้างล่างจะก่อกบฏเหรอ?” ปี้เยว่ถาม
ท่านโหวเทียนหยวนตอบว่า “ก็เกือบจะก่อกบฏ คนในราชสำนักล้วนหวาดหวั่นใจ ยอมแลกทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวเอง ยุยงให้อ๋องสวรรค์ทั้งสี่ก่อกบฏแล้ว! ได้ยินว่ามีคนกำลังหยั่งเชิงท่าทีของตระกูลเซี่ยโห้วด้วย”
ปี้เยว่ฟังจนอกสั่นขวัญแขวน ถามว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วมีท่าทียังไง”
เทียนหยวนส่ายหน้า “ตระกูลเซี่ยโห้วยืนหยัดที่จะยืนอยู่ข้างฝ่าบาท เรื่องบางเรื่องก็ชัดเจนมากแล้ว แค่กำลังของฝ่าบาทคนเดียวก็แข็งแกร่งเกินไป ในใต้หล้าแทบจะไม่มีใครสู้ได้ ต่อให้สามารถโค่นล้มใต้หล้าของประมุขชิงได้ แต่ก็ยากที่จะกำจัดประมุขชิงได้ นึกถึงศึกที่สู้กับประมุขไป๋ในปีนั้น มีคนตั้งเท่าไรล้อมโจมตี มียอดฝีมือผู้โด่งดังตั้งเท่าไรที่ตายด้วยน้ำมือประมุขไป๋ ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขไป๋ต้องการจะช่วยประมุขปีศาจ ก็ไม่มีทางรั้งเขาไว้ได้เลย บทเรียนก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว บุคคลที่สามารถใช้กำลังตัวเองเพียงคนเดียวแล้วอยู่ในใต้หล้าได้อย่างอิสระ แค่คิดก็รู้แล้ว หลังจากจบเรื่องนั้นประมุขชิงสามารถอาศัยกำลังของตัวเองเพียงคนเดียวเพื่อล้างแค้นที่ละคนได้เลย มิหนำซ้ำประมุขชิงยังมีการสนับสนุนจากประมุขพุทธะ ใต้หล้าวุ่นวายไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้ายังไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถกำจัดประมุขชิงทิ้งได้อย่างราบคาบ ตระกูลเซี่ยโห้วจะตอบตกลงทำเรื่องนี้ได้ยังไงล่ะ? แล้วอีกอย่างนะ ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วจะมีอำนาจลับที่แข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่เหนือกว่ากำลังทหารในมือสี่อ๋องสวรรค์หรอก ถ้าไม่มีกำลังทหาร ตระกูลเซี่ยโห้วเอาวิ่งเต้นไปก็มีแต่จะยกประโยชน์ให้คนอื่นเท่านั้น หลังจากเปลี่ยนประมุขใหม่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะมีฐานะเหนือกว่าตอนนี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องวิ่งเต้นให้สิ้นเปลืองกำลังของตัวเอง ย่อมต้องยืนอยู่ฝั่งประมุขชิงอยู่แล้ว เรื่องก่อกบฏจึงหยุดเองโดยไม่มีเหตุผลพิเศษอะไร แค่โดนเบื้องบนกดดันลงมาแบบนี้”
“แล้วผลลัพธ์ล่ะ?” ปี้เยว่ถาม
ท่านโหวเทียนหยวน “ถ้าจะบอกว่าใครอยากให้ใต้หล้าวุ่นวายที่สุด ก็ต้องเป็นฝ่าบาทแน่นอน ตราบใดที่ยังมีกฏและความเป็นระเบียบอยู่ นั่นก็แปลว่าอาศัยกำลังของใต้หล้าเลี้ยงดูเขา เขาสามารถครอบครองทรัพยากรที่มหาศาลมากที่สุดในตลอดไป สามารถทำให้ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเขาแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นเรื่องบางเรื่องก็จะต้องยอมถอยให้เขา และแน่นอน เขาเองก็ต้องการศักดิ์ศรีหน้าตาเช่นกัน กลุ่มขุนนางในราชสำนักสงสัยผลการสืบสวนของเกาก้วน จึงร่วมมือกันต่อสู้ช่วงชิงจนได้อำนาจในการสืบสวนซ้ำมา นี่ก็คือการยอมถอยของฝ่าบาท เพราะในนั้นมีช่องว่างให้ดำเนินการใหญ่เกินไป ไม่กี่วันก่อนข้ากับเทพประจำดาวปรึกษากันเรื่องนี้ ได้ยินเทพประจำดาวเปิดเผยมานิดหน่อย ว่าเบื้องบนกับฝ่าบาทเหมือนจะแอบประนีประนอมกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างถอยคนละก้าว เบื้องบนจะต้องรักษาคนส่วนใหญ่เอาไว้แน่นอน แต่จะต้องทิ้งคนส่วนหนึ่งเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนฝ่าบาท คนระดับจอมพลขึ้นไปไม่เป็นอะไรแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบมากเกินไป แต่ถ้าน้ำหนักในการตอบแทนเบาเกินไปก็ไม่ได้อีก ดังนั้นสี่อ๋องสวรรค์อาจจะถอดเทพประจำดาวฝ่ายละสองคน ส่วนรายละเอียดว่าจะถอดใคร ถ้าไม่ถึงตอนสุดท้ายเบื้องบนก็คงไม่ประกาศ ไม่อย่างนั้นจะเกิดความวุ่นวาย ตอนนี้ก็ต้องคอยดูแล้วว่าใครจะซวย เดิมทีข้าเป็นลูกน้องเก่าของอ๋องสวรรค์อิ๋ง แต่กลับถูกยัดเข้าไปใต้บังคับบัญชาเทพประจำดาวคนฉลู…เฮ้อ!”
ปี้เยว่เข้าใจความหมายที่เขาสื่อ เป็นเพราะอ๋องสวรรค์อิ๋งไม่ค่อยวางใจเทพประจำดาวคนฉลู ดังนั้นถึงได้จับเทียนหยวนยัดมาไว้ในบังคับบัญชาเขา หรือพูดอีกอย่างก็คือ มีความเป็นไปได้สูงว่าเทพประจำดาวคนฉลูจะถูกอ๋องสวรรค์อิ๋งทิ้ง!
นางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พอเกิดเรื่องขึ้น ทำไมเจ้าไม่ไปขอพึ่งพาฝ่าบาทโดยตรงล่ะ?”
ท่านโหวเทียนหยวนยิ้มเจื่อน “ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ข้าไม่ไปพึ่งพาฝ่าบาทก็ยังพอมีทางรอดอยู่บ้าง อย่างมากก็เสียตำแหน่งขุนนางไป แต่ถ้าไปขอพึ่งพาฝ่าบาทจริงๆ ก็มีแต่จะถายสถานเดียวเท่านั้น มีหรือที่อ๋องสวรรค์อิ๋งจะปล่อยคนทรยศที่มีระดับแบบข้าไป ไม่ว่าจะเป็นในที่แจ้งหรือที่ลับ ถ้าต้องยอมแลกทุกอย่างจริงๆ วิธีที่เขาจะทำให้ข้าตายมีตั้งเยอะแยะ ต่อให้ทำไปเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู แต่ก็ไม่มีทางปล่อยข้าไปแน่นอน! ฝ่าบาทจะฉีกหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งเพื่อข้ารึไงล่ะ?”
“แล้วเจ้าจะทำยังไง?” ปี้เยว่ถาม
ท่านโหวเทียนหยวนตอบ “ยังจะทำยังไงได้อีก ต่อไปก็ต้องไปที่จวนอ๋องสวรรค์บ่อยขึ้น รื้อฟื้นสัมพันธ์กับสหายเก่าที่จวนอ๋องสวรรค์ให้มากขึ้น คาดว่าอ๋องสวรรค์คงจะสังเกตเห็น หวังว่าอ๋องสวรรค์จะไตร่ตรองจนคิดได้ ว่าจะไม่ทำให้คนที่ติดตามรับใช้มาตลอดผิดหวังท้อใจและช่วยดึงตัวข้ามาได้ในช่วงเวลาสำคัญ ต่อให้จะไม่ได้เป็นขุนนางก็ไม่เป็นไร ขอเพียงรักษาชีวิตไว้ได้ก็พอ ตราบใดที่มีชีวิตย่อมมีหวัง ที่บอกเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็เพราะอยากให้เจ้ารู้ ว่าหลังจากข้าไปครั้งนี้ ก็อาจจะไม่ได้มาเจอเจ้าอีกนาน ไม่อย่างนั้นถ้าไปมาหาสู่กันบ่อยเกินไป คนที่มารับตำแหน่งต่อจากข้าก็อาจจะไม่ปล่อยเจ้าไป อาจจะมาหาเรื่องเจ้า พอมาดูตอนนี้แล้ว การที่สามีภรรยาอย่างเจ้ากับข้าทะเลาะกันจนเกิดวิกฤติ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับเจ้าก็ได้ เฮ้อ! ข้าพูดเท่านี้แหละ ข้าไปก่อนนะ” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากศาลาไป
“เจ้าก็ระวังตัวหน่อย”
จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงห่วงใยดังมา ท่านโหวเทียนหยวนหยุดเดินแล้วหันตัวมา เห็นเพียงปี้เยว่ที่เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นกำลังยืนมองเขาอยู่ในศาลาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“เหอะๆ! ต่อให้ทำเพื่อฮูหยิน ข้าก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้!” เทียนหยวนหัวเราะเสียงกัง ก่อนเงาร่างจะแวบหายไป
ปี้เยว่ถอยหลังสามก้าวอย่างไร้เรี่ยวแรง ทำสีหน้าเหมือนทนไม่ไหว ว่ากันว่า ‘เป็นผัวเมียกันวันเดียวเท่ากับติดนี้บุญคุณกันไปร้อยวัน’ ถึงอย่างไรเทียนหยวนกับนางก็เป็นสามีภรรยาที่แต่งงานกัน ไม่ว่าเทียนหยวนจะทำผิดต่อนางหรือไม่ แต่ลับหลังนางก็ทำเรื่องผิดต่อเทียนหยวนเช่นกัน ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเทียนหยวนคิดถึงนางได้ ยังไม่ลืมความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาส่วนนั่น ทำให้ความโกรธแค้นของนางหายไปในทันที กลับเหลือเพียงการตำหนิตัวเอง ตอนนี้ตัวนางอยู่ระหว่างชายสองคน นางเองก็ไม่รู้ว่าจะตัดขาดได้อย่างไร…
“อะไรนะ? ผู้เหลือรอดของหกลัทธิไม่มีสักคนเลยเหรอ?”
ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงพลันตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วจ้องเกาก้วนอย่างเดือดดาล “เป็นไปไม่ได้! เกาก้วน เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่?”
บทที่ 1431 เข้าประจำการที่อุทยานหลวง
Ink Stone_Fantasy
เขาแทบจะคิดจากสัญชาตญาณว่าการสืบสวนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาครั้งนี้มีปัญหา ก็อย่างที่เขาบอกไว้ เป็นไปไม่ได้ที่ในนั้นจะไม่มีผู้เหลือรอดของหกลัทธิอยู่
เกาก้วนที่เหมือนความเย็นชาจะกลายเป็นทางเลือกที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปแล้ว ตอนนี้แทบจะไม่แสดงอาการลุกลนผิดปกติใดๆ สีหน้าสงบนิ่งมาก และไม่แก้ตัวให้ตัวเองด้วย ใช้สองมือดันแผ่นหยกให้ “ตรวจสอบที่มาที่ไปของทุกคนหมดแล้ว ทั้งหมดอยู่ในนี้ขอรับ ตอนนี้มีคนส่งต่อให้บรรดาขุนนางใหญ่ตรวจสอบซ้ำแล้ว ถึงตอนนั้นจะสามารถตรวจสอบผลลัพธ์ที่ทั้งสองฝ่ายค้นหาหลักฐานมา”
ฝ่ายขุนนางใหญ่ไม่ลำเอียงเข้าข้างเกาก้วนแน่นอน สิ่งนี้ปลอมแปลงไม่ได้
พอนึกถึงตรงนี้ ประมุขชิงก็ค่อยๆ เก็บสำรวมความรู้สึก ใจเย็นลงแล้ว พบว่าตัวเองคิดมากไป จึงโบกมือดูดบันทึกการสืบสวนเข้ามา ยกมือกดลงบนโต๊ะ แล้วหรี่ตาพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ผู้เหลือรอดของหกลัทธิจะไม่คิดอยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้ ตอนนี้ในกับดักกลับไม่มีผู้เหลือรอดของหกลัทธิสักคน ด้วยประสบการณ์ในการสืบสวนหลายปีของเจ้า เจ้าคิดว่าปัญหาอยู่ตรงไหน?”
เกาก้วนตอบเสียงเรียบว่า “ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่น่าสงสัย ยังมีอีกขอรับ คนของสี่อ๋องสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่มีสักคนเช่นกัน ข้าน้อยขอบังอาจถามสักคำ นี่คือสาเหตุที่ฝ่าบาทส่งจ้านหรูอี้ให้เข้าร่วมเรื่องนี้ใช่มั้ยขอรับ” สิ่งที่จะสื่อก็คือ ประมุขชิงจงใจจะปล่อยข่าวให้พวกลูกพี่ใหญ่พวกนั้นรู้ใช่หรือไม่
“ไม่ผิดหรอก! เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะฉีกหน้าพวกเขา” ประมุขชิงยอมรับอย่างไม่ลังเล ดวงตาฉายแววแปลกประหลาดและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย แทบจะถามอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้ากำลังหมายความว่า ในบรรดาคนพวกนั้นมีคนปล่อยข่าวเหรอ?”
เกาก้วนตอบว่า “หลังจากวางหมากไว้แล้ว ก็ให้ลูกน้องตัดขาดการติดต่อกับภายนอกก่อนที่จะลงมือจริงๆ เดิมทีลูกน้องก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เบื้องบนมีเพียงฝ่าบาทกับข้าน้อยที่รู้เรื่องนี้ ประการต่อมา ประการต่อมา ฮวาอี้เทียนก็วางแผนกับจ้านหรูอี้โดยตรง คนที่มีโอกาสมากที่สุดที่ปล่อยข่าวล่วงหน้าก็มีแค่พวกเราสี่คนขอรับ”
ประมุขชิงเงียบงัน เขาย่อมไม่ปล่อยข่าวตรงๆ อยู่แล้ว เกาก้วนเป็นขุนนางโดดเดี่ยว แทบจะล่วงเกินขุนนางทั้งราชสำนักหมดแล้ว แค่คิดก็รู้แล้วว่าถ้าแยกจากตนไปจะมีจุดจบเป็นอย่างไร มีเพียงการเกาะติดอยู่ข้างกายตนเท่านั้นถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ ส่วนฮวาอี้เทียนก็เป็นคนที่เขาคัดแล้วคัดอีก ความเป็นไปได้ที่จะเปิดเผยความลับก็มีไม่มากเช่นกัน…
เกาก้วนมองดูปฏิกิริยาของเขา แล้วพูดต่อไปว่า “ท่ามกลางคนที่ปฏิบัติหน้าที่ คนที่รู้ข่าวจริงๆ มีเพียงฮวาอี้เทียนกับจ้านหรูอี้ คนที่ติดกับดักไม่มีคนของสี่อ๋องสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว เช่นนั้นแม้แต่ผู้เหลือรอดของหกลัทธิก็ไม่ติดกับดักเหมือนกัน ความสัมพันธ์ที่อยู่ในนั้นควรค่าแก่การคิดทบทวน!”
ประมุขชิงเริ่มทำสีหน้าดุร้าย ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในบรรดาสี่อ๋องสวรรค์มีคนเหยียบเรือสองแคม กำลังสมคบคิดกับผู้เหลือรอดของหกลัทธิเหรอ? เจ้าคิดว่าเป็นใคร?”
“ไม่ทราบขอรับ! นอกจากสี่อ๋องสวรรค์แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นไปได้เช่นกัน” เกาก้วนส่ายหน้า
ประมุขชิงบอกอีกว่า “ต่อให้จ้านหรูอี้จะปล่อยข่าวไปแล้ว แต่สี่อ๋องสวรรค์ก็มีแต่จะบอกข่าวกันเองเท่านั้น ไม่มีทางบอกตระกูลเซี่ยโห้ว พวกเขาอยากจะให้เกิดเรื่องกับตระกูลเซี่ยโห้วจะแย่ ถ้ามีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่เป็นอะไรไป พวกเขาถึงจะมีโอกาสยื่นมือไปที่อำนาจใต้ดิน แล้วสร้างตัวเองให้ใหญ่ขึ้น ในแผนที่ข้าวางไว้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นเพียงผู้ที่รู้ข่าวคนสุดท้ายเท่านั้น ข้าสร้างแรงกดดันให้พวกเขา พวกเขาไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน เรื่องแรกที่ต้องทำคือรักษาชีวิตตัวเอง พวกเขาไม่มีทางบอกเรื่องนี้กับทุกคนได้ทัน อย่างน้อยก็ต้องมีผู้เหลือรอดของหกลัทธิบางส่วนติดกับดักบ้าง ดังนั้นตัดตระกูลเซี่ยโห้วออกได้เลย ถ้ากำหนดเป้าหมายไว้ที่สี่อ๋องสวรรค์ เจ้าคิดว่าใครน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด?”
เกาก้วนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ไม่ทราบขอรับ! สถานการณ์ไม่ชัดเจน ทั้งสี่อ๋องสวรรค์ล้วนเป็นไปได้!”
ประโยคที่บอกว่า ‘ล้วนเป็นไปได้’ ทำให้สี่อ๋องสวรรค์ยากที่จะหลุดพ้นการตกเป็นที่ต้องสงสัย คำพูดนี้เหมือนเข็มที่แทงโดนอะไรบางอย่าง ทำให้ประมุขชิงพลันหรี่ตา จากนั้นเริ่มแสยะยิ้มอย่างเยียบเย็น “สงสัยข้าจะมีเมตตามากเกินไปสินะ คิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าพวกเขารึไง?”
ที่บอกกันว่าราชามักขี้ระแวงก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ตัวอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ล้วนถูกกดดันทั้งนั้น
เกาก้วนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เขารู้ชัดเจนดีมาก ภายใต้ศึกภายนอกและศึกภายใน ประมุขชิงโมโหก็ส่วนโมโห แต่ไม่มีทางฉีกหน้าขุนนางคนสำคัญของตัวเองง่ายๆ ไม่ให้คนนอกได้ฉวยโอกาสยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะมีใครสร้างภายคุกคามต่อเขาอย่างแท้จริงๆ เขาก็จะพยายามรักษาระเบียบในปัจจุบันเอาไว้ หากต้องการจะเปลี่ยนแปลงก็ต้องทำอย่างช้าๆ ไม่ใช่วิธีการที่ทำให้ใต้หล้าผันผวนรุนแรงเกินไปแน่
และประมุขชิงก็โกรธง่ายหายเร็วเช่นกัน ไม่นานก็ใจเย็นลงแล้ว โบกมือให้เกาก้วนถอยออกไป ขณะเดียวกันก็บอกให้ซ่างก่วนชิงมาพบเขา
หลังจากซ่างก่วนชิงเข้ามาทำความเคารพแล้ว ประมุขชิงก็กล่าวเสียงเรียบว่า “แจ้งให้ทางอุทยานหลวงเปลี่ยนผลัดป้องกันเถอะ”
“รับทราบ!” ซ่างก่วนชิงเอ่ยรับคำสั่ง
คำสั่งให้กองมังกรดำไปประจำการต่อที่อุทยานหลวงกับสวนบรรณาการอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นหลังจากเหมียวอี้คุมกองมังกรดำได้สามเดือน
เมื่อคำสั่งมาถึง ทัพใหญ่ก็ออกเดินทาง เหมือนที่อวี่จ้งเจินบอกไว้ สวนบรรณาการพันแห่งทั้งใต้หล้าใช้คนเฝ้าไม่เยอะเท่าไร แต่ละสวนบรรณาการส่งคนไปเฝ้าหนึ่งร้อยคนก็พอแล้ว มีทัพใหญ่หนึ่งแสนก็เพียงพอ เหมียวอี้ส่งต่อภารกิจนี้ให้ธงพยัคฆ์ดำ ให้ชวีหย่าหงนำคนไปเปลี่ยนผลัดป้องกัน ในภายหลังสิบธงพยัคฆ์ของกองมังกรดำก็จะผลัดกันเฝ้าสวนบรรณาการ ให้ทุกคนมีโอกาสได้ประสบการณ์ หลังจากชวีหย่าหงนำคนออกไปแล้ว ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เหลือก็ถูกเหมียวอี้นำไปที่อุทยานหลวง
ระหว่างทางเมื่อถึงตลาดสวรรค์แห่งหนึ่ง เหมียวอี้สั่งให้ทัพใหญ่หยุดพักผ่อนชั่วคราว โดยอ้างว่าจะให้โอกาสกำลังพลได้ทำกิจกรรมอิสระเป็นครั้งสุดท้าย ทุกคนขาดเหลืออะไรหรืออยากซื้ออะไรก็ทำที่นี่ให้จบไปเลย พอเข้าไปที่อุทยานหลวงแล้วจะต้องรักษากฎอย่างเข้มงวด
แน่นอนว่านี่เป็นข้ออ้างของเหมียวอี้ ทุกคนตั้งค่ายพักอยู่ในป่ารกร้างไกลจากตลาดสวรรค์ ส่วนเหมียวอี้ก็ปลอมตัวเข้าไปในเมือง แล้วก็เข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่งโดยมีเหยียนซิวไปด้วย
เถ้าแก่เนี้ยของร้านค้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือจีเหม่ยลี่นั่นเอง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังร้านนี้คือใคร เหมียวอี้ถือโอกาสผ่านทางนี้ ตั้งใจมาเยี่ยมนางโดยเฉพาะ
ในชัยภูมิถ้าสวรรค์ เหมียวอี้นั่งชันเข่าบนเสื้อ กำลังมองดูผู้หญิงที่กำลังนั่งยองๆ เตรียมของต้มน้ำชาอยู่ตรงข้าม นางนิ่งเงียบ รักษาระยะห่างไม่ยอมเข้าใกล้เขามาตลอด
หลังจากอยู่ด้วยกันเงียบๆ ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ถามว่า “อยู่ที่นี่ยังสบายดีมั้ย?”
จีเหม่ยลี่พยักหน้า “อิสระกว่าอยู่ที่ดาวเทียนหยวน”
การพูดคุยกับผู้หญิงคนนี้ไม่มีวันอบอุ่นมีน้ำใจไมตรีขึ้นมาได้ เหมียวอี้รู้ว่าเกี่ยวข้องกับที่ตัวเองฆ่าจีเหม่ยเหมยน้องสาวของนาง ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง แต่จากนั้นจีเหม่ยลี่ก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามก่อน “อยู่กี่วันล่ะ?”
“มีเวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น” เหมียวอี้ตอบ
จีเหม่ยลี่เงียบไปอีกแล้ว นางรินน้ำชา แล้วดันถ้วยน้ำชาไปตรงหน้าเขา
เหมียวอี้ยื่นมือไปจับมือเรียวขาวของนาง แล้วผลักน้ำชาไปด้านข้าง “ไม่ดื่มน้ำชาแล้ว ไม่คิดจะอยู่กับข้าหน่อยเหรอ?”
จีเหม่ยลี่เข้าใจความหมายของเขา ใบหน้านางแดงเล็กน้อย ออกแรงชัดมือกลับมา จากนั้นพลิกฝ่ามือร่ายอิทธิฤทธิ์ดับไฟที่เตา ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันตัวเดินเข้าไปในห้องนอนตัวเอง
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ แล้วก็ลุกขึ้นเดินตามเข้าไปในห้องนางเช่นกัน ถือโอกาสปิดประตูแล้ว…
ใช้เวลาเหาะเดินทางหลายเดือน สุดท้ายทัพใหญ่ก็มาถึงดาราจักรที่เป็นศูนย์กลางของตำหนักสวรรค์แล้ว เมื่อมาถึงที่นี่ ก็ไม่อนุญาตให้ครอบครัวของกำลังพลเข้าไปด้วย พวกภรรยาอะไรก็ต้องอยู่ต่อข้างนอก มีดาวเคราะห์เล็กๆ สำหรับใช้เป็นที่พักของครอบครัวทหารโดยเฉพาะ
เสวี่ยหลิงหลง ชิงจวี๋ หลินผิงผิงทั้งหมดต้องรออยู่ข้างนอก แม้แต่เฟยหงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แน่นอน ที่นี่ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ ทหารประจำการจะได้รับอนุญาตให้มาเยี่ยมครอบครัวได้บางช่วงเวลา และไม่ต้องกังวลว่าหลังจากตัวเองเข้ามาในอุทยานหลวงแล้วจะไม่มีใครดูแล ในอุทยานหลวงมีเทพธิดาจำนวนมาก คอยทำงานจิปาถะทุกอย่าง จะแก้ปัญหาเรื่องในชีวิตประจำวันขั้นพื้นฐานให้พวกเขาได้
หลังจากผ่านการตรวจสอบที่เข้มงวดหลายขั้น ทุกคนของกองมังกรดำก็ตื่นเต้นดีใจอีกครั้ง พวกเขาได้เห็นวังสวรรค์ที่มีบรรยากาศเป็นมงคลอยู่ท่ามกลางดาราจักรไกลๆ ทุกคนพากันใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์เพื่อมองทั่วทุกด้านของวังสวรรค์ให้ชัดเจน
เพียงแต่วังสวรรค์ไม่ใช่จุดหมายปลาทางของพวกเขา สถานที่สำคัญระดับนั้นไม่ใช่ที่ที่พวกเขาจะเข้าไปได้ง่ายๆ ศักยภาพของพวกเขามีไม่มากพอที่จะเฝ้าสถานที่สำคัญแบบวังสวรรค์ ดาวเคราะห์แสนสวยตรงหน้าที่เชื่อมต่อกับวังสวรรค์อยู่ไกลๆ ต่างหากที่เป็นสถานที่ประจำการของพวกเขา ถึงอุทยานหลวงแล้ว!
มีคนมานำทาง ทัพใหญ่บุกเข้าไปในดาวเคราะห์แสนสวยดวงนั้น
กำลังพลเหยียบลงระหว่างแนวเทือกเขาที่มีเมฆหมอกลอยวนเวียนเพื่อรอฟังคำสั่ง จู่ๆ บนฟ้าก็มีหงส์เฟิ่งหวงสีรุ้งที่สวยแพรวพราวตัวหนึ่งบินผ่านมา มันส่งเสียงร้องก้องกังวานราวกับเสียงทองกระทบหยก ดึงดูดให้ทุกคนเงยหน้ามองอย่างเหม่อลอย
จากนั้นก็มีเงาคนหลายคนแฉลบผ่านฟ้าเข้ามา แม่ทัพภาคที่เฝ้าประจำอยู่ที่นี่มารับด้วยตนเอง
หลังจากทักทายกันตามมารยาท เหมียวอี้ก็นำคนตำแหน่งสำคัญของกองมังกรดำตามไปที่จวนแม่ทัพภาค ทั้งสองฝ่ายจะต้องส่งต่องานกันอย่างเป็นทางการ
จวนแม่ทัพภาคตั้งอยู่บนยอดเขาที่สวยงามแห่งหนึ่ง ทุ่งดอกไม้ที่ละลานตาเหมือนผ้าไหมสอดรับกับรุ้งหลายสายบนท้องฟ้า นกเทพนานาชนิดบินฉวัดเฉวียน ท้องฟ้าใสสะอาดราวกับอัญมณี
เมื่อยืนอยู่บนยอดเขาแล้วทอดสายตามองออกไป ด้านนอกที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้มีพลังจิตวิญญาณที่หนาทึบปกคลุมราวกับหมอก ไม่สลายไปแม้อยู่ภายใต้แสงแดดที่ร้อนแรง ต้นไม้โบราณหลายต้นแผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ท่ามกลางพลังจิตวิญญาณ มีไอหมอกสีม่วงพุ่งขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่องไร้ขอบเขต เมื่อได้รับคำแนะนำถึงได้รู้ ว่าที่นั่นก็คือสวนท้อเซียนสามพันลี้ที่อวี่จ้งเจินบอกนั่นเอง
หลังจากปรึกษาหารือกันเป็นเวลาครึ่งวัน บวกกับถามรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ สุดท้ายพวกเหมียวอี้ก็เข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ของอุทยานหลวงแล้ว
หลังจากบุคคลในตำแหน่งสำคัญของกำลังพลเดิมที่ประจำการอยู่ที่นี่นำเหมียวอี้และพวกลูกน้องไปเฝ้าแทนที่แต่ละจุดแล้ว ทัพใหญ่หนึ่งล้านของกองมังกรดำก็แยกย้ายกันไปตามแต่ละจุด
ใช้เวลาไปแล้วสามวันเต็มๆ หลังจากทั้งสองฝ่ายส่งต่องานกันเสร็จแล้ว กำลังพลเดิมก็รวมตัวกันแล้วเหาะจากไปอย่างเป็นทางการ
หลังจากส่งฝ่ายนั้นเสร็จ เหมียวอี้ที่พอจะเข้าใจสถานการณ์โดยรวมบ้างแล้วก็หันตัวมา เห็นจ้านหรูอี้มีท่าทางเคยชินไม่ตื่นเต้นเหมือนกับคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “หรือว่าผู้บัญชาการใหญ่เคยมาที่นี่?”
จ้านหรูอี้เอียงหน้าเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบ “หลังจากได้รับตำแหน่งแล้วก็แทบจะไม่ค่อยได้มาเลย เมื่อก่อนติดตามคนที่บ้านมาบ่อย ได้รับความเมตตาจากฝ่าบาท บ้านข้าก็มีสวนอยู่ทางนั้นสวนหนึ่ง” นางยกมือชี้ไปทางนั้น
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “สมกับเป็นลูกหลานตระกูลขุนนาง ไม่ใช่สิ่งที่พวกข้าจะเทียบติด ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่คุ้นเคยกับที่นี่ คราวหลังถ้าเจอสถานการณ์อะไรที่ไม่คุ้นเคย เกรงว่าจะต้องรบกวนให้ผู้บัญชาการใหญ่เป็นผู้นำทางแล้ว”
จ้านหรูอี้กุมหมัดคารวะ “หากท่านแม่ทัพภาคมีคำสั่ง ข้าน้อยก็มิบังอาจไม่ทำตาม”
ที่จริงเหมียวอี้ก็ยังไม่ทันได้ชื่นชมทิวทัศน์ของอุทยานหลวงเลย เขายังอยู่ในจวนแม่ทัพภาคและรวบรวมรายงานสถานกาณ์ที่พวกลูกน้องแยกย้ายกันไปสำรวจ หรือพูดได้อีกอย่างว่ากำลังทำความคุ้นเคยสถานการณ์ แต่จู่ๆ กลับมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยม
“นายท่าน ท่านแม่บุญธรรมของท่านมาแล้ว” จ้านหรูอี้เข้ามารายงาน ตอนนี้นางโดนเหมียวอี้กดข่ม โดนปล้นอำนาจไปหมดแล้ว ใช้ชีวิตการทำงานอย่างน่าอนาถนิดหน่อย เป็นผู้บัญชาการใหญ่ทัพกลางผู้สง่าผ่าเผยแท้ๆ แต่เรื่องเดียวที่ได้ทำก็แทบจะมีแต่คอยวิ่งเต้นรายงานเข้าข้างนอกกับข้างใน
“ท่านแม่บุญธรรม?” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินความหมายแฝงที่เหมือนกล่าวเหน็บแหนมจากปากจ้านหรูอี้ เขาก็เข้าใจทันที นอกจากแม่เฒ่าลวี่แล้วยังจะมีใครอีก
บทที่ 1432 ลาดตระเวนอุทยานหลวง
Ink Stone_Fantasy
หลังจากรู้ตัวแล้ว ในใจเหมียวอี้ก็แอบโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พบว่าผู้หญิงคนนี้ช่างอยู่ไม่เป็นจริงๆ ขนาดตกต่ำถึงขั้นนี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่ายังจะมาพูดเหน็บแนมข้าอีก รอก่อนเถอะ ต่อไปคอยดูแล้วกันว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร
“เชิญเข้ามา!” เขากล่าวเสียงเข้ม
เดิมทีก็ไม่อยากเจออยู่แล้ว แต่จะไม่เจอก็ไม่ได้ ในภายหลังยังต้องให้อีกฝ่ายให้ความร่วมมือตอนอยู่ที่นี่อีก อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของนาง ควรจะมาอย่างสงบปลอดภัยและกลับไปอย่างสงบปลอดภัยจะดีกว่า
ผ่านไปครู่เดียว จ้านหรูอี้ก็นำแม่เฒ่าลวี่เข้ามาแล้ว แม่เฒ่าลวี่เกรงอกเกรงใจและไม่กล้าล่วงเกินจ้านหรูอี้ ภูมิหลังของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ นางไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ง่ายๆ
“ลมอะไรหอบท่านมาที่นี่ได้ล่ะ?” เหมียวอี้รีบเดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา แล้วกุมหมัดคารวะพลางหัวเราะ
แม่เฒ่าลวี่ไม่เกรงใจเหมียวอี้เลย เก็บทรงไม่อยู่แล้ว แสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “ท่านแม่ทัพภาคกล่าวแบบนี้ข้ารับไม่ไหวนะ ท่านแม่ทัพภาคไม่มาพบข้า ข้าเลยทำได้เพียงมาเยี่ยมคารวะด้วยตัวเอง”
ดูเสียก่อนว่าประชดใคร ถึงอย่างไรเหมียวอี้รู้ก็เรื่องที่นางปีศาจเฒ่าคนนี้กับหน่วยตรวจการซ้ายร่วมมือกันวางแผนใส่ตน ดังนั้นจึงไม่แยแส ทำตัวเองให้ฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่าเพื่อมารับมือกับนาง “ท่านก็พูดติดตลกแล้ว เป็นเพราะยังจัดการงานในมือไม่เรียบร้อยไง กำลังคิดว่าวันหลังจะไปเยี่ยมท่านอยู่เลย”
“ในเมื่อนายท่านงานยุ่ง วันหลังค่อยคุยเรื่องงานก็แล้วกัน” แม่เฒ่าลวี่หันซ้ายหันขวา “นางหนูเฟยหงล่ะ?”
เหมียวอี้ยักไหล่อย่างจนใจ “กฎระเบียบก็เห็นๆ กันอยู่ ข้ายังไม่กล้าพานางเข้ามาในอุทยานหลวงด้วย”
“แบบนี้…” แม่เฒ่าลวี่ค้ำไม่เท้าหมุนตัวสองก้าว ขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ากล่าวว่า “เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ เดี๋ยววันหลังข้าจะไปขอคำสั่งจากราชินีสวรรค์ ขอให้พระนางเมตตาปล่อยนางหนูเฟยหงเข้ามา เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ราชินีสวรรค์คงไม่ถึงขั้นไม่ไว้หน้าข้าหรอก”
เหมียวอี้แอบด่าในใจ เจ้าคงกลัวว่าข้างกายข้าจะไม่มีสายลับจับตาดูน่ะสิ มีหรือที่เบื้องบนจะไม่ตอบตกลง แต่ภายนอกยังตอบกลั้วหัวเราะว่า “นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ข้าปรารถนาอยู่แล้ว”
จู่ๆ แม่เฒ่าลวี่ก็กระทุ้งไม้เท้าในมือ “นางหนูนั่นอยู่กับเจ้ามาหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้าเตรียมจะแต่งตั้งให้นางเป็นฮูหยินเอกเมื่อไร? ตอนนั้นเจ้าบอกว่าจะดูสถานการณ์ก่อน จากที่ข้ารู้มา นางหนูอ่อนโยนเอาใจใส่เจ้า เชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง รู้ธรรมเนียมมารยาท หน้าตาก็งดงามแบบหาพบได้ยาก อย่าบอกนะว่าเจ้ายังไม่พอใจ?”
จ้านหรูอี้ที่เดิมทียังมีท่าทีหัวเราะเยาะตอนนำแม่เฒ่าลวี่เข้ามา ตอนนี้สีหน้าบึ้งตึงทันที สำหรับนางแล้ว นี่คือการพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดจริงๆ นางแอบด่าในใจ นางปีศาจเฒ่าหน้าไม่อาย เป็นคนเต้นกินรำกินแล้วยังจะอยากเป็นฮูหยินเอกอีกเหรอ!
ไม่ว่านางจะพอใจหรือไม่พอใจเหมียวอี้ แต่นางก็คิดอุปาทานไปก่อนแล้ว คิดว่าในไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องแต่งงานกับเหมียวอี้ นางย่อมคิดว่าตัวเองสมควรจะได้เป็นฮูหยินเอก แต่ตอนนี้มีคนอยากจะยื่นเท้าเข้ามาตัดหน้า ยังดีใจได้ก็แปลกแล้ว
เหมียวอี้ยังคงมีสีหน้าอมยิ้ม “นี่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต ควรต้องรอให้เงื่อนไขทุกอย่างพร้อมก่อนสิ ข้ารำคาญที่สุดเวลามีคนมากดดันข้าในเรื่องแบบนี้ เดิมทีข้าจะพิจารณาเรื่องแต่งตั้งเฟยหงเป็นฮูหยินเอกแล้ว แต่แม่เฒ่ามากดดันข้าแบบนี้ เป็นเฟยหงใช้ให้แม่เฒ่ามากดดันข้าใช่มั้ย?”
ประโยคเดียวก็เหมือนสลับแขกเป็นเจ้าบ้านแล้ว แม่เฒ่าลวี่รีบโบกมือปฏิเสธ “เฟยหงไม่ได้ให้ข้ามากดดันแน่นอน นี่เป็นความประสงค์ของข้าเอง เจ้าอย่าเข้าใจผิด”
“อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย เดี๋ยวกลับไปข้าจะถามเฟยหงว่าเป็นความประสงค์ของตัวเองหรือเปล่า” เหมียวอี้กล่าว
ทำเอาแม่เฒ่าลวี่ที่มาอย่างมีพลังอำนาจเต็มเปี่ยมทำตัวไม่ถูกแล้ว นางพบว่าตัวเองอยากจะเป็นคนกลางประสานงานให้ แต่กลับสร้างความวุ่นวายเพิ่มเสียแล้ว ทำได้เพียงกล่าวอำลากันตรงนี้
หลังจากนั้นสองวัน แม่เฒ่าลวี่บทจะมาก็มาเลย พาเฟยหงมาที่อุทยานหลวงแล้วจริงๆ ตามหลักการแล้วคนระดับเหมียวอี้ไม่มีสิทธิ์พาคนในครอบครัวเข้ามาที่นี่ได้
ส่วนเหมียวอี้ก็สังเกตเห็นได้ชัดว่าหลังจากเฟยหงมาที่นี่แล้ว อารมณ์ของนางเป็นอย่างไรก็บอกไม่ถูก ให้ความรู้สึกเหมือนฝืนยิ้ม ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าลวี่เอาคำพูดของเขาไปบอกต่อหรือเปล่า แม่เฒ่าลวี่เองก็แค่พาเฟยหงมาเท่านั้น ไม่สามารถพาสาวใช้ของเฟยหงเข้ามาได้ แต่แม่เฒ่าลวี่กลับจัดเทพธิดาที่งดงามราวกับภาพวาดสิบกว่าคนมาคอยปรนนิบัติ เดิมทีแม่เฒ่าลวี่ก็เป็นคนดูแลเทพธิดาทั้งอุทยานหลวงอยู่แล้ว
สิ่งที่นำมาด้วยกันก็ยังมีผลไม้เซียนนานาชนิดอีกตะกร้าใหญ่ เป็นรางวัลที่ราชินีสวรรค์มอบให้หลังจากรู้ว่าลูกสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่มา ถึงแม้แม่เฒ่าลวี่จะหาผลไม้พวกนี้มาได้ง่ายๆ จากที่นี่ แต่เมื่อได้ชื่อว่าราชินีสวรรค์ประทานให้เป็นรางวัล ก็จะสามารถนำออกมาได้อย่างสง่าผ่าเผยแล้ว
หลังจากเหมียวอี้จัดการงานที่อยู่ในมือเสร็จแล้ว ก็เริ่มให้จ้านหรูอี้คอยเป็นมัคคุเทศก์นำทาง ลาดตระเวนแต่ละจุดเฝ้าของอุทยานหลวง ในเมื่อมีแม่เฒ่าลวี่รับหน้าที่อยู่แล้ว เหมียวอี้เห็นเฟยหงอารมณ์ไม่ค่อยเบิกบาน จึงพาออกมาเดินเล่นด้วยกัน ไห่ผิงซินก็ตามก้นมาเปิดหูเปิดตาเช่นกัน นางเหลียวซ้ายแลขวาตลอดทางราวกับเป็นเด็กน้อย มองไม่เห็นความสงบเยือกเย็นในตัวเลยแม้แต่น้อย
บอกว่าเป็นส่วนป่าส่วนตัวของราชันสวรรค์ แต่ที่จริงสวนป่าแห่งนี้ก็เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเข้าใกล้ดาวเคราะห์ดวงนี้ลำบาก กำลังพลหนึ่งล้านของกองมังกรดำที่เฝ้าที่นี่ก็ไม่เพียงพอเลย
สถานีแรกที่ลาดตระเวนก็คือสวนท้อสามพันลี้ที่อยู่ห่างจากจวนแม่ทัพภาคไม่ไกล ถึงแม้สวนท้อจะมีค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ แต่ก็ยังส่งกำลังพลหนึ่งหมื่นมาเฝ้า อย่างไรเสียอาณาเขตก็ใหญ่โตขนาดนี้ ใช้กำลังทหารของกองมังกรดำไปแล้วไม่น้อย
ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติ เหมียวอี้เข้าไปในสวนท้อเซียนไม่ได้แน่นอน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เขาอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ กอปรกับมีลูกน้องของเขาเฝ้าอยู่ การเข้าออกสถานที่สำคัญแบบนี้ เขาถึงขั้นไม่ต้องรายงานด้วยซ้ำ สามารถพูดได้ว่าทั้งอุทยานหลวงมีสถานที่น้อยมากที่เขาไม่สามารถเข้าไปได้
ยังอยู่ที่นอกประตูสวน พลังจิตวิญญาณที่หนาแน่นราวกับหมอกก็โผเข้ามาใส่หน้าแล้ว เทพแห่งภูผากับเทพแห่งผืนดินของที่นี่โผล่หน้ามาต้อนรับด้วยตัวเอง คอยพูดแนะนำและนำทางอยู่ข้างหน้าอย่างเคารพนอบน้อม พอเข้าประตูสวนมา ก็เห็นเทะธิดาแต่งชุดนางในที่กำลังดูแลรักษาป่าท้อเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ในนั้น บางคนก็ถือกรรไกรอันใหญ่ บางคนก็ถือจอบเสียม พอเห็นเหมียวอี้ก็พากันทำความเคารพ กล่าวด้วยเสียงเจื้อยแจ้วราวกับนกนางแอ่น “คารวะท่านแม่ทัพภาคค่ะ!”
ต้นท้อแต่ละต้นในสวนมีขนาดใหญ่มาก ต้นที่อายุน้อยก็สูงสิบกว่าจั้งแล้ว กิ่งก้านขยายแผ่คลุมหน้าก็ย่อมไม่เล็ก ยามคนอยู่ใต้ต้นไม้ก็โดนปกคลุมจนทึบ ราวกับเป็นมดตัวหนึ่งที่แหงนหน้ามอง
กิ่งก้านสีดำขลับสูงโดดแย่งกันเหยียดแผ่ราวกับเหล็ก ผิวรอบลำต้นตะปุ่มตะป่ำ ใบสีเขียวดุจมรกต ผลที่อยู่บนยอดก้านสูงดกเป็นพวง ผลที่ยังเล็กลักษณะเหมือนกำมะหยี่สีขาว ผลที่โตขึ้นมาหน่อยก็มีรูปร่างเหมือนท้อแล้ว สีเหลืออ่อนแปลว่าใกล้จะสุก ส่วนสีเหลืองก็แปลว่าสุกแล้ว ตรงปลายกิ่งยังมีดอกไม้สีทองที่มีเกสรสีชมพูด้วย ยังไม่เริ่มติดผล
เหมียวอี้บังเอิญไปเห็นจ้านหรูอี้กำลังเหลียวซ้ายแลขวาอย่างอยากรู้อยากเห็น จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่จ้านไม่เคยมาที่นี่เหรอ?”
จ้านหรูอี้ตอบว่า “ถ้าไม่ได้รับอนุญาต จะเข้ามาที่นี่ได้ง่ายๆ ได้ยังไง แต่เคยยืนมองจากนอกสวนท้อ เพิ่งเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก ครั้งนี้ได้อาศัยบารมีท่านแม่ทัพภาคแล้ว”
เมื่อดูสวนท้อเสร็จ พวกเขาก็เหาะไปใกล้ทุ่งนาที่เปิดกว้างผืนหนึ่ง ย่อมมีเทพแห่งผืนดินมาต้อนรับพวกเขา
เห็นในนามีผู้หญิงหน้าตาสะสวยสองสามคนสวมชุดชาวนาทำนาอยู่ แตกต่างกับเทพธิดาที่แต่งชุดนางในพวกนั้นโดยสิ้นเชิง เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะย้ายฝีเท้า อยากจะเข้าไปดูว่าคืออะไรกันแน่
พอจ้านหรูอี้เห็นแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้มหยอกล้อ ในดวงตาก็ยิ่งฉายแววเจ้าเล่ห์ เหมือนอยากจะรอเห็นอะไรสนุกๆ
แต่ใครจะคิดว่าการกระทำของเหมียวอี้จะทำให้เทพแห่งผืนดินตกใจจนรีบห้าม “นายท่าน ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด นางสนมของฝ่าบาท มีหรือที่พวกเราจะเข้าไปดูใกล้ๆ ได้ ขนาดมองไกลๆ ยังเป็นการดูหมิ่นเลย จะเสียมารยาทเข้าใกล้ได้อย่างไร”
คำพูดนี้ทำให้เหมียวอี้ตกใจเช่นกัน ย่อมไม่กล้าวิ่งไปดูผู้หญิงของราชันสวรรค์อยู่แล้ว ถามอย่างตกใจไม่เบาว่า “ทำไมสนมของฝ่าบาทถึงทำนาได้ล่ะ?”
“ทำเพื่อผ่อนคลายเท่านั้น ทำเพื่อผ่อนคลาย” เทพแห่งผืนดินตอบส่งเดชไปอย่างนั้น
จ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ฝ่าบาททำเพื่อผ่อนคลายจริงๆ ส่วนบรรดานางสนมก็แค่ทำเพื่อเอาใจเฉยๆ ดังนั้นตอนหลังจึงกลายเป็นว่า ถ้ามีนางสนมเข้าวังมา ทุกคนก็จะมีไร่นาที่อุดมสมบูรณ์ผืนหนึ่งอยู่ที่นี่ ที่นากว้างขนาดไหน ฝ่าบาทก็มีสนมเยอะเท่านั้น ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เมื่อฝ่าบาทปรากฏตัวอยู่ที่นี่ สนมเหล่านั้นถึงจะปรากฏตัวมาทำงานพอเป็นพิธีเพื่อให้ฝ่าบาทเห็น ถ้าฝ่าบาทไม่มาก็จะส่งงานต่อให้เทพธิดาพวกนั้นทำ เทพธิดาคนไหนที่ดูแลผืนนาของสนมได้ไม่ดีก็มักจะมีจุดจบที่อนาถมาก อย่าไปมองนะว่าสนมแต่ละคนงดงามราวกับดอกไม้ เพราะความจริงจิตใจอำมหิตมาก โดนควบคุมตัวนานไปก็กลายเป็นโรคจิตอ่อนๆ ได้ทั้งนั้น”
“อ๋อ!” เหมียวอี้ฟังออกถึงเรื่องราวเบื้องลึกแล้ว สงสัยที่นี่จะเป็นสถานที่ต่อสู้เพื่อแย่งความโปรดปรานของสนมในวังหลังของตำหนักสวรรค์ เขาทอดสายตามองที่นาที่กว้างใหญ่ ในใจแอบเดาะลิ้นไม่หยุด ประมุขชิงคนนี้เลี้ยงผู้หญิงไว้ในบ้านเยอะเท่าไรกัน วันๆ งานยุ่งไม่หยุด คงจะเฉลี่ยทำให้ฝนตกทั่วฟ้าไม่ไหว!
เทพแห่งผืนดินที่อยู่ข้างๆ ฟังส่วนเหงื่อแตกแล้ว ขนาดคำพูดแบบนี้ก็ยังกล้าพูดลับหลัง เขาไม่กล้าพูดหรอก ถ้าข่าวหลุดออกไปต้องโดนถลกหนังแน่
ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับคนที่รู้เบื้องหลังอย่างจ้านหรูอี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นสนมพวกนี้อยู่ในสายตาเลย ตระกูลอิ๋งเคยส่งสาวงามเข้าวังมาบรรณาการไม่น้อย ในวังหลังมีสนมที่ราชันสวรรค์จำชื่อได้จริงๆ เพียงไม่กี่คน เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาความคิดมาลงบนตัวผู้หญิงกลุ่มนี้มากเกินไป ส่วนใหญ่ยังไม่เคยแตะต้องด้วยซ้ำ ใช้ชีวิตเหมือนอยู่เป็นหม้ายก็เท่านั้นเอง ถ้าจะพูดแรงๆ หน่อยก็คือ ถ้านางสนมทั่วไปยั่วให้จ้านหรูอี้ไม่พอใจ ก็พูดขอเข้าวังได้ตามสบายเลย ถ้าจะทำให้พวกนางตายสักคน ก็ง่ายยิ่งกว่าฆ่าลูกน้องของตัวเองเสียอีก ถ้าจะจัดการลูกน้องอย่างน้อยก็ต้องมีเหตุผล
ส่วนไห่ผิงซินก็กระพริบตาปริบๆ ทำท่าเหมือนได้ฟังเรื่องที่สนุกดีมีรสชาติ
พอออกจากที่นาผืนนี้แล้ว พวกเขาก็ไปยังแนวเทือกเขาที่มีทะเลหมอกปกคลุมอย่างอันโอ่อ่ายิ่งใหญ่
ในอากาศมีกลิ่นหอมอ่อนจางฟุ้งกระจาย ทำให้ได้กลิ่นแล้วรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย เมื่อทอดสายตามองไปรอบๆ ก็เห็นภูเขาและแม่น้ำที่งดงามดุจภาพวาด ทุกที่มีน้ำตก ด้านล่างผืนหมอกเป็นทะเลสาบน้ำสวยใส ส่องสะท้อนเงาท้องฟ้าและเมฆขาว ในระหว่างนั้นมีดอกไม้ใบหญ้าที่แปลกตาประดับประดานานาชนิด มีสายรุ้งสายสายทอดผ่าน เหล่านกเทพบินฉวัดเฉวียน ทิวทัศน์นี้มีอยู่บนสวรรค์เท่านั้น
บนยอดเขาถูกรุกล้ำด้วยสิ่งปลูกสร้างที่งดงามหลายหลัง ตำหนักที่สูงที่สุดอยู่บนยอดเขาที่สามารถมองดูหมู่ขุนเขาได้ เป็นตำหนักที่ใหญ่โต เมื่อแสงแดดส่องกระทบก็เป็นสีทองระยิบระยับ นี่นั่นก็คือพระตำหนักอุทยานของราชันสวรรค์นั่นเอง
“คารวะท่านแม่ทัพภาค!”
พวกเหมียวอี้มาดูที่นอกตำหนัก กำลังพลของกองมังกรดำที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักทำความเคารพ แต่กลับไม่ปล่อยให้เข้าไป ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาต เหมียวอี้ก็ไม่กล้าเข้าไป ถึงแม้ราชันสวรรค์จะไม่อยู่ที่นี่ แต่ทุกคนของกองมังกรดำก็ไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปโดยพลการ ข้างในมีเทพธิดาคอยดูแลทำความสะอาด พวกเหมียวอี้ยืนอยู่นอกตำหนักแล้วมองเข้าไปก็ยังพอไหว
เมื่อทอดสายตามองเข้าไป ก็เห็นใต้ชายคาตรงประตูตำหนักที่โอ่อ่ามีมังกรสีทองขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่
ถึงจะเข้าไปไม่ได้ แต่ก็สามารถดูจากข้างนอกได้ตามสบาย พอหันกลับมา เหมียวอี้กลับพบว่าเฟยหงกำลังยืนอยู่ตรงระเบียงสีขาวหยกเงียบๆ คนเดียว ขนาดเหมียวอี้เดินเข้าไปหานางก็ยังไม่รู้ตัว พอเหมียวอี้เข้าไปใกล้ตรงหน้า ก็พบว่าเฟยหงน้ำตาคลอเบ้า ยืนมองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างเหม่อลอย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีหยดน้ำตาใสไหลอาบแก้มลงมาแล้ว
เหมียวอี้เหลือบมองตามสายตานาง ตรงนั้นเหมือนจะเป็นศาลาพลับพลาที่งดงามแห่งหนึ่งบนแนวเทือกเขา ไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจว่า “เฟยหง เจ้าเป็นอะไรไป?”
เฟยหงเรียกสติกลับมาอย่างร้อนรน รีบใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่…ไม่มีอะไรค่ะ?”
จ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างกันมองไปทางนั้น แล้วบอกว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด ที่นั่นก็น่าจะเป็นสวนของตระกูลเทพประจำดาวมะโรงดิน เทพประจำดาวมะโรงดินคนก่อนโดนประหารล้างตระกูลเพราะเรื่องโกงการทดสอบที่นรก ไม่รู้ว่าเทพประจำดาวมะโรงดินคนปัจจุบันได้มาอยู่ที่นี่รึเปล่า”
พอพูดถึงเรื่องโกงการทดสอบครั้งนั้น เหมียวอี้ก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ตรง ทูตขวาเกาก้วนเรียกได้ว่าประหารจนหัวคนกลิ้งเกลื่อน ฉากประหารบนหน้าผาเขายังจำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ พอได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางนั้นสองครั้ง แต่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับตน ไม่ขำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ สายตาเขาไปหยุดอยู่บนตัวเฟยหงอีกครั้ง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปลอบใจว่า “แม่เฒ่าลวี่พูดอะไรกับเจ้ารึเปล่า? เจ้าเองก็อย่าคิดมาก ข้าก็แค่ไม่ชอบเห็นท่าทีที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ของนาง เลยจงใจพูดดักนาง ไม่ได้ตั้งใจจะพุ่งเป้าไปที่เจ้า เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจเลย”
“จริงเหรอคะ? ไม่ได้รังเกียจที่ข้ามีชาติกำเนิดต่ำต้อยเหรอคะ?” เฟยหงเงยหน้ามองเขาพร้อมร้องไห้อย่างน่าสงสาร
จ้านหรูอี้กลอกตามองบน เหมือนรับไม่ไหวกับท่าทางแบบนี้ นางตบเกราะรบตัวเองแล้วหันตัวไป
สงสัยจะเป็นเพราะเรื่องนั้นจริงๆ! เหมียวอี้พึมพำในใจ แต่ภายนอกยังยิ้มบางๆ “ต่อไปยังมีเวลาอีกเนอะ เรื่องแต่งตั้งเป็นฮูหยินเอกนั้นไม่ต้องรีบหรอก รอให้ทุกอย่างมั่นคงก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถึงยังไงข้างกายข้าก็มีเจ้าเป็นผู้หยิงคนเดียว เจ้าจะต่างอะไรกับฮูหยินเอกล่ะ?”
“ค่ะ! ข้าทราบแล้ว” เฟยหงพยักหน้า แล้วซบอกเขาช้าๆ อย่างอ่อนโยนไร้ที่เปรียบ เพียงแต่ตอนมองศาลาพลับพลานั่น ในดวงตายังฉายแววเจ็บปวดเศร้าใจอย่างปิดบังได้ยาก
จ้านหรูอี้ที่หันมามองเบะปาก ท่าทางเหมือนเห็นแล้วอยากอาเจียน ทำเสียงฮึดฮัดแล้วเดินออกไปไกล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น