คัมภีร์วิถีเซียน 1428-1429
ตอนที่ 1428 กำราบอสูร
หลังจากที่เสาสำริดทั้งหมดเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมายอดสุดก็เปล่งลำแสงสีขาวออกกมาเป็นกลุ่มๆ สร้างภาพลวงตาหัวมังกรที่ดุร้ายออกมาเป็นหัวๆ ทันใดนั้นก็เคลื่อนไหว ล้วนอ้าปากออก พ่นประจุไฟฟ้าสีดำเป็นสายๆ ออกมา
เป้าหมายคือหมอกสีดำที่อยู่ในเขตอาคม
เสียงคำรามต่ำๆ ดังออกมาจากม่านหมอก ฉับพลันนั้นลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งพลันดีดออกมาจากลำแสงสเงิน หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ อสูรอัสนีก็มาปรากฎตัวที่มุมหนึ่งของตาข่ายไฟฟ้า แต่ประจุไฟฟ้าสีดำเหล่านั้นดูเหมือนจะล็อคเป้าหมายเป็นอสูรตนนี้เอาไว้ตั้งนานแล้ว ล้วนหักเลี้ยวครั้งหนึ่ง แล้วเปล่งแสงสว่างวาบเช่นกันแล้วโจมตีไปยังอสูรอัสนีอีกครั้ง
อสูรอัสนีพลันตกตะลึง ปากพลันเปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวประจุไฟฟ้าสีดำเป็นอย่างมาก สำแดงอัสนีหลีกหนีหนีไปทั่วทุกสารทิศอีกครั้ง
ครานี้เห็นเพียงลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งกระพริบวาบๆ ในเขตอาคม บินไปทั้งสี่ทิศราวกับภูตผี ส่วนด้านหลังของเขากลับมีประจุไฟฟ้าสีดำยี่สิบสามสิบต้น ไล่ตามมาติดๆ อย่างไม่ลดละ
ชั่วขณะนั้นเสียงฟ้าร้องพลันดังขึ้นในเขตอาคม เจ้าของร้านพลันบริกรรมคาถาขึ้น กระตุ้นเขตอาคมอยู่ที่ด้านนอก
ความเร็วในการดีดตัวของประจุไฟฟ้าสีดำยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็สร้างภาพลวงตาเป็นเงาเป็นสายๆ ขึ้น ราวกับจะปกคลุมลำแสงสีดำที่อยู่กลางอากาศทั้งหมดในเขตอาคมเอาไว้
หานลี่มองทุกอย่างด้วยความตกตะลึงอยู่ภายนอก
ไม่รู้ว่าประจุไฟฟ้าสีดำเหล่านี้คืออัสนีชนิดใด ความเร็วของมันช่างน่าตกตะลึงจริงๆ หากเข้าถูกกักอยู่ในเขตอาคมนี้ แม้ว่าจะมีปีกวายุอัสนีก็ไม่อาจหนีไปได้นานนัก
แม้ว่าอสูรอัสนีตัวนี้จะเชี่ยวชาญในอัสนีหลีกหนี เกรงว่าก็ไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้
ดังที่เขาคาดการณ์เอาไว้อย่างไรอย่างนั้น แค่ชั่วครู่ อสูรอัสนีที่กลายเป็นลำแสงสีเงินแค่ประมาทเล็กน้อย ก็ถูกประจุไฟฟ้าสีดำสองสามสายโจมตีไปที่ร่าง
หลังจากเสียงโหยหวนดังขึ้น ชั่วขณะนั้นร่างของอสูรอัสนีก็สั่นเทาและเปล่งแสงสว่างวาบปรากฎขึ้นกลางอากาศ ร่างกายหยุดชะงัก
เช่นนี้ประจุไฟฟ้าสีดำอื่นๆ จึงโจมตีไปยังร่างของอสูรตนนี้ราวกับเข็มขัดสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน
เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้นจากปากของอสูรอัสนี ร่างกายมีประจุไฟฟ้าสีแดงขาวฟ้าทองสี่สีที่ไม่เหมือนกันปรากฎขึ้น พยายามต้านทานการโจมตีจากประจุไฟฟ้าสีดำเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์
บุรุษร่างกายผ่ายผอมที่อยู่ด้านนอกเห็นเช่นนั้น แววตาทั้งสองพลันเปล่งประกาย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วสาวเท้าไปข้างหน้า มือหนึ่งตบไปที่เสาสำริดต้นที่อยู่เบื้องหน้า
ชั่วพริบตาพลังวิญญาณสีขาวโพลนเป็นกลุ่มๆ ทะลุผ่านฝ่ามือนี้ไป ตรงไปยังเสาสำริด
ประจุไฟฟ้าบางๆ ที่พ่นออกมาจากปากของหัวมังกร ขยายใหญ่ขึ้นท่ามกลางเสียงร้องหลายเท่า
อีกด้านหนึ่งในที่สุดอสูรอัสนีที่ถูกประจุไฟฟ้าสีดำกักเอาไว้ก็ต้านทานเอาไว้ไม่ไหวตกลงมาสู่พื้น ประจุไฟฟ้าสี่สีบนร่างเริ่มหม่นแสงลงจนไร้สีสัน
ประจุไฟฟ้าสีดำเหล่านั้นเปล่งเสียงสว่างจ้าในชั่วพริบตา คาดไม่ถึงว่าจะสร้างภาพลวงตาเป็นโซ๋สีดำสนิทเป็นสายๆ ชั่วครู่ก็รัดตรึงอสูรตนนั้นเอาไว้แน่น ไม่อาจขยับกายได้เลยสักนิด
“เอาล่ะ เหล่าสหายเข้าไปได้” บุรุษร่างกายผ่ายผอมตะโกนออกมา
ดึงฝ่ามือที่กดไปที่เสาสำริดออก ร่ายอาคมสายหนึ่งเข้าไปข้างใน
เสาสำริดต้นนั้นสั่นเทา ตาข่ายไฟฟ้าขนาดยักษ์แตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็สลายหายไป
หานลี่และพวกทั้งสามมองสบตากันแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็กลายเป็นลำแสงวิญญาณบินเข้าไปอย่างไม่ลังเล ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ทั้งสามแยกกันไปยืนอยู่ห่างจากอสูรอัสนีที่ถูกรัดเอาไว้สองสามจั้ง และไม่ได้เข้าใกล้อสูรตนนี้มากเกินไปนัก
ส่วนบุรุษร่างกายผ่ายผอมเองนั้นก็เก็บอาคม เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่ข้างกายของพวกของหานลี่เช่นกัน
“ข้าจะใช้เคล็ดวิชาลับสะกดอัสนีในร่างของอสูรตนนี้เอาไว้ ทั้งสามแค่ฟังคำสั่งของข้า ใส่พลังอัสนีเข้าไปในร่างของอสูรตนนี้ก็พอแล้ว” เจ้าของร้านไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ แค่ออกคำสั่งอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
จากนั้นมือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมีกริชสีดำสนิทห้าเล่มปรากฎขึ้น
ลอยพลิ้วไป ราวกับสร้างขึ้นจากไม้อย่างไรอย่างนั้น
“กริชดาวทมิฬ” เมื่อเห็นกริชทั้งห้าเล่ม ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มก็หน้าเปลี่ยนสี
หานลี่พลันขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
แต่แม้ว่าชายร่างใหญ่และชายร่างหนุ่มจะเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยซักถามอะไร
ส่วนเจ้าของร้านก็ไม่ได้มีใจจะอธิบาย แค่ชูมือหนึ่งขึ้น
เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีดำสองสามสายเปล่งแสงสว่างวาบ กริชทั้งห้าแยกกันปักไปที่แขนขาทั้งสี่และหัวใจของอสูรอัสนี
อสูรอัสนีเปล่งเสียงร้องคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นออกมา ร่างกายที่อยู่ในโซ่สีดำสั่นเทา จุดที่ถูกกริชปักลงไปไม่มีโลหิตสดๆ ไหลออกมาเลยสักนิด
กริชทั้งห้าเล่มมีลำแสงวิญญาณโคจรอยู่ ดวงตาของอสูรอัสนีหม่นแสงลง สุดท้ายประจุไฟฟ้าสี่สีบนร่างก็หายไป
เจ้าของร้านเห็นเช่นนี้ ก็พ่นลำแสงสีขาวอีกกลุ่มหนึ่งออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผลึกศิลาเพชรสีขาวก้อนหนึ่ง มีขนาดแค่กำปั้นเท่านั้น
แต่ผิวสีขาวนวลนั้นเต็มไปด้วยพลังแรงกดที่น่าตกตะลึง
หานลี่อดที่จะหรี่ตาทั้งสองข้างลงไม่ได้
ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นสูง ชนชั้นสูงของเผ่าวิญญาณเหาะเหินไม่มีจิตวิญญาณสีทองและทารกวิญญาณ แต่จะฝึกฝนสิ่งที่เรียกว่า ‘แก่นผลึก’ ตามความสำคัญของมันแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับจิตวิญญาณสีทองและทารกวิญญาณของเผ่ามนุษย์นัก
เสียง “แค่ก” ดังขึ้น กระอักโลหิตสดๆ ออกมา พ่นไปยังแก่นผลึก เจ้าของร้านชี้ไปที่แก่นผลึกอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นผลึกพลันจมลง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในหัวของอสูรอัสนี
“ลงมือ” แทบจะในเวลาเดียวกัน บุรุษร่างกายผ่ายผอมก็ร้องตะโกนออกมา
ชายหนุ่มและพวกก็สำแดงฝีมือทันที
เห็นเพียงหานลี่ถูมือทั้งสองเข้าด้วยกัน ระหว่างฝ่ามือมีประจุไฟฟ้าสีทองเป็นสายๆ ปรากฎขึ้น
ส่วนชายร่างใหญ่กลับอ้าปากออก ลำแสงสีขาวและลำแสงอัสนีพลันปรากฎขึ้นลางๆ ในปาก ปีกที่แผ่นหลังของชายหนุ่มหน้าหวานกลับสะบัดออก ประจุไฟฟ้าสีเงินเป็นสายๆ ปรากฎขึ้นบนปีก
เสียง “เปรี๊ยะๆ” ดังขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบพร้อมกัน ประจุไฟฟ้าทั้งสามชนิดที่ไม่เหมือนกันพลันโจมตีไปยังร่างของอสูรอัสนี
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฎขึ้น
ไม่ว่าอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของหานลี่ หรือว่าประจุไฟฟ้าที่อีกสองคนควบคุมอยู่ เมื่อสัมผัสกับร่างของอสูรอัสนี ก็เปล่งเสียง “ครืนๆ” ออกมาและถูกกริชสีดำทั้งห้าเล่มดูดเข้าไป
ทันใดนั้นกริชทั้งห้าเล่มก็เปล่งแสงสีดำเป็นชั้นๆ ออกมา กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีดำเป็นสายๆ จมหายเข้าไปในร่างของอสูรอัสนีอย่างเงียบเชียบ
ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึง แต่ประจุไฟฟ้าในมือกลับทะลักออกไปอย่างไม่หยุดเลยสักนิด
ชั่วขณะนั้นกริชทั้งห้าเล่มที่มีลำแสงสีดำปรากฎออกมาพลันเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้น แม้กระทั่งตัวกริชยังเริ่มสั่นเทาเบาๆ
หลังจากที่หานลี่มองสถานการณ์นี้แล้วกลับเหลือบตาไปมองเจ้าของร้านที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง
เห็นเพียงบุรุษร่างกายผ่ายผอมนั่งสมาธิอยู่ด้านข้าง ปิดตาทั้งสองข้างลง สองมือร่ายอาคมประหลาดๆ ออกมา ดูเหมือนว่าจะสำแดงเคล็ดวิชาลับอะไรสักอย่างอยู่ ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบที่เรือนร่าง เห็นได้ชัดว่ากำลังกระตุ้นพลังลมปราณรอบกายจนถึงขีดสุด
และไม่เห็นความผิดปกติใดๆ หานลี่ถอนสายตากลับมา ไม่สนใจอีกฝ่ายชั่วคราว และตั้งใจควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย
และไม่รู้ว่าร่างของอสูรอัสนีนั้นประหลาดหรือว่ากริชดาวทมิฬนั้นมีจุดอะไรที่พิเศษ หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร กริชที่กลืนกินอัสนีจำนวนมากเข้าไปแล้วก็สั่นเทาไม่หยุดอยู่บนร่างของอสูรอัสนี และไม่ได้มีความผิดปกติอะไรอีก
กลับเป็นเจ้าของร้านที่นั่งอยู่ด้านข้างเริ่มหน้าซีดขาว หน้าผากมีเหงื่อเม็ดบางๆ ปรากฎขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และยิ่งไปกว่านั้นบนขมับทั้งสองและลำคอ ยังมีเส้นเลือดปรากฎขึ้นเป็นสายๆ ท่าทางเหนื่อยล้า แม้แต่ลำแสงวิญญาณบนร่างก็ยังอ่อนแสงลงสามส่วน
ตรงหว่างคิ้วของเขามีเงาผลึกหินสีขาวขนาดเท่ากำปั้นปรากฎขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นั่นคือเงาแก่นผลึกของเขา กำลังเปล่งแสงระยิบระยับไม่แน่นอน
“ทั้งสามใส่พลังอัสนีเข้าไปอีก!” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ใบหน้าของบุรุษที่ไร้ซึ่งสีเลือด ก็เปล่งเสียงแหบแห้งออกมา
เมื่อได้ฟังหานลี่และพวกของชายหนุ่มพลันขมวดคิ้ว
ต้องเข้าใจว่าการที่ใส่พลังลงไปไม่หยุดเมื่อครู่ ก็แทบจะกลืนพลังอัสนีของทั้งสามไปกว่าครึ่งแล้ว หากใส่เข้าไปอีกล่ะก็ เกรงว่าทั้งสามคนคงไม่อาจต้านทานได้นานนัก
แต่เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่มั่นใจของเจ้าของร้าน พวกเขาก็ไม่ได้ลังเลอีก ทยอยกันทำตามคำพูดของเจ้าของร้าน
ชั่วขณะนั้นเสียงอัสนีพลันดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม ประจุไฟฟ้าสามสีแทบจะกลืนกินอสูรอัสนีทั้งหมดเข้าไปด้านใน
ภายใต้การใส่พลังอัสนีเข้าไปทั้งหมดของทั้งสาม ชั่วครู่ในที่สุดกริชทั้งห้าเล่มที่ปักอยู่บนร่างของอสูรอัสนีก็เริ่มเปลี่ยนแปลง
พวกมันดูดซับพลังอัสนีไม่หยุด ทั้งเล่มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับดูดซับโลหิตเข้าไปก็ไม่ปาน และยิ่งไปกว่านั้นบังค่อนๆ เป็นสีแดงสด
ครานี้เงาแกนผลึกตรงหว่างคิ้วของบุรุษร่างกายผ่ายผอมพลันกลายเป็นสีโลหิตเช่นกัน และเริ่มหดเล็กลงทีละนิดๆ
เสียงคำรามต่ำๆ ดังขึ้น บุรุษเบิกตาทั้งสองข้างออก พ่นของสิ่งหนึ่งออกมาจากปาก
นั่นคือแผ่นป้ายไม้สีเขียวมรกต ด้านบนมีอักขระที่สลับซับซ้อนสลักอยู่เป้นชั้นๆ ดูลึกลับมาก
เมื่อแผ่นป้ายไม้ปรากฎขึ้น ก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วไปอยู่ที่ศีรษะของอสูรอัสนี แล้วพลิ้วไหวร่อนลงมาด้านล่าง
เสียง “ครืนๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีเขียวบางๆ ทะลักออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในหัวของอสูรอัสนี
ร่างของอสูรอัสนีที่ดูเหมือนหลับใหลไปพลันสั่นเทา ท่ามกลางเสียงหึ่งๆ ของแผ่นป้ายไม้ เงาลวงตาของอสูรอัสนีสีเขียวขนาดจิ๋วตัวหนึ่งถูกเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มเอาไว้ ดึงออกมาจากหัวของอสูรอัสนีครึ่งหนึ่ง
เจ้าของร้านเห็นเช่นนั้น ก็เผยสีหน้ายินดีออกมา นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวไม่หยุด ในเวลาเดียวกันปากก็ร่ายคาถาอย่างไร้สุ้มเสียงออกมา
แผ่นป้ายไม้เปล่งเสียงหึ่งๆ ดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เส้นไหมสีเขียวเหล่านั้นถูกกระตุ้น คาดไม่ถึงว่าจะฝืนดึงจิตวิญญาณของอสูรอัสนีต่อทีละนิดๆ
ฉับพลันนั้นดวงตาที่ไร้แสงของอสูรอัสนีพลันเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ผิวของร่างกายเปล่งเสียงฟ้าร้องออกมา กริชสีดำทั้งห้าเล่มที่ปักอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายสั่นคลอนอย่างหนัก คาดไม่ถึงว่าจะถูกดันออกมาจากร่างแล้วครึ่งหนึ่ง
ผิวของมันมีประจุไฟฟ้าสี่สี่ปรากฎขึ้นอีกครั้ง
เจ้าของร้านพลันตกตะลึง ยังไม่ทันได้สำแดงอะไร จิตวิญญาณของอสูรอัสนีที่เมื่อครู่ถูกดึงออกมาครึ่งหนึ่งพลันเปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้าจนแสบตาออกมา คาดไม่ถึงว่าจะจมหายเข้าไปในร่างของอสูรอัสนีอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันปากของอสูรอัสนีก็เปล่งเสียงร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งออกมา ประจุไฟฟ้าเปล่งแสงสว่างจ้าออกมาจากเรือนร่าง คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์
“พวกเจ้ายังเพิ่มพลังอัสนีได้อีกหรือไม่?” บุรุษร่างกายผ่ายผอมรู้สึกตกตะลึงระคนโกรธขึง พลางรีบร้อนเอ่ยถามหานลี่และพวกทั้งสามคน
“ไม่ได้แล้ว ถึงขีดจำกัดแล้ว” ชายหนุ่มหน้าหวานหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย
“ข้าเองก็ไม่มีแรงจะใส่พลังอัสนีมากกว่านี้แล้ว” สถานการณ์ของชายหนุ่มดีกว่าหน่อย แต่ก็แสดงออกว่าไม่ไหวเช่นกัน
หานลี่แค่สั่นศีรษะ
“เอาล่ะ มีแต่ต้องเสี่ยงแล้ว สหายทั้งสามโปรดรักษาระดับพลังอัสนีเอาไว้ ข้าจะสำแดงอัสนีเบญจสวรรค์ เชื่อว่าอาศัยแค่พลังของอัสนีนี้ก็น่าจะมีหวังว่าจะสำเร็จ” เจ้าของร้านรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อยแต่ทันใดนั้นก็กัดฟันเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าของร้าน หานลี่และพวกทั้งสามก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่สุดพท้ายก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยคัดค้าน
เจ้าของร้านไม่สนใจอสูรอัสนีที่ดิ้นรนขัดขืนอีก หลังจากปีกที่แผ่นหลังของเขากระพือ ก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้า
ตอนที่ 1429 ไข่มุกอัสนี
บินขึ้นไปอยู่ห่างจากเมฆดำไปร้อยจั้งเศษ เจ้าของร้านพลันหยุดลง อ้าออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมากลุ่มหนึ่ง
นิ้วทั้งสิบของเขาชี้ไปที่โลหิตบริสุทธิ์สองสามครั้ง ชั่วขณะนั้นโลหิตพลันกลายเป็นยันต์โลหิตขนาดใหญ่สองสามแผ่น บินเข้าไปหาประจุไฟฟ้าทั้งห้าสีนั้น
เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ยันต์โลหิตทั้งหมดจมหายเข้าไปในประจุไฟฟ้าห้าสี
ชั่วขณะนั้นประจุไฟฟ้าก็เปล่งเสียงปังๆ ออกมา เมฆสีดำสลายหายไปท่ามกลางลำแสงอัสนีเบญจสวรรค์
ประจุไฟฟ้าห้าสียักษ์บิดเบี้ยวหมุนวนอยู่กลางอากาศ หน้าตาหน้ากลัวเผยออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
เจ้าของร้านเห็นท่าทางของอัสนีนี้ก็กลืนน้ำลายเข้าไปเฮือกหนึ่ง แล้วกัดฟันพ่นโลหิตบริสุทธิ์สองสามกลุ่มออกมาอีกครั้ง กลายเป็นยันต์โลหิตจมหายเข้าไปในอัสนีเบญจสวรรค์เช่นกัน
การสูญเสียโลหิตบริสุทธิ์จำนวนมากในเวลาเพียงชั่วครู่นี้ ทำให้บุรุษร่างกายผ่ายผอมที่เดิมทีมีสีหน้าซีดขาว ครานี้กลับไร้สีโลหิตแล้ว
แต่การกระทำที่เหมือนกับการทุ่มสุดตัวนี้ ก็ไม่ได้เสียเปล่า
หลังจากที่อัสนีเบญจสวรรค์มียันต์โลหิตจำนวนมากเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งเข้าไป ในที่สุดก็สั่นเทาและลดระดับลง ไม่เพียงเสียงหึ่งๆ จะเบาลงมาก ลำแสงอัสนียังเปลี่ยนยเป็นอ่อนโยนลง ผิวของประจุไฟฟ้ามีเส้นไหมสีโลหิตเป็นสายๆ ปรากฎขึ้น กระพริบวาบๆ แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าของร้านพลันดีใจ ปากบริกรรมคาถาออกมา สองปีกสะบัดไปกลางอากาศ
เสียง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพุ่งออกมาจากปีกทั้งสอง ชั่วครู่ก็ทะลวงผ่านประจุไฟฟ้าห้าสี และรวมตัวกับเส้นไหมสีโลหิตที่ผิวของมัน
ห่อหุ้มอัสนีสวรรค์เอาไว้ข้างใน
สองมือของเจ้าของร้านพลันร่ายอาคม ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ อาคมเป็นสายๆ บินขึ้นไปท้องฟ้า
หลังจากที่เส้นไหมสีโลหิตในอัสนีเบญจสวรรค์เปล่งเสียงครืนๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะบิดเบี้ยวและหดเล็กลง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นลูกบอลอัสนียักษ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้ง
ผิวของมันมีตาข่ายเส้นไหมสีโลหิตทอดตัวอยู่ เปลวเพลิงลำแสงห้าสีไหลวนโคจรอยู่อย่างไม่แน่นอน
บุรุษร่างกายผ่ายผอมเห็นฉากนี้ ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกปิติยินดีขึ้นมา
มือหนึ่งกวักเรียกลูกบอลอัสนี
ลูกบอลอัสนีห้าที่น่ากลัวร่อนลงมาด้านล่างอย่างเชื่อฟัง
หานลี่และพวกเห็นเช่นนี้ ต่างก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
เจ้าของร้านไม่ให้โอกาสหานลี่และพวกได้ซักถาม ร่างกายพลันพลิ้วไหว คนหายวับไปจาที่เดิม
ครู่ต่อมาบนพื้นก็มีระลอกคลื่นปรากฎขึ้น ร่างของบุรุษร่างกายผ่ายผอมเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นด้านข้างอสูรอัสนี แล้วชูมือทั้งสองขึ้นไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะนั้นก็พ่นเสาลำแสงหนาๆ สองสายออกไป ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในลูกบอลอัสนียักษ์ที่อยู่ห่างจากพื้นไปแค่ยี่สิบสามสิบจั้ง
ชั่วขณะนั้นอัสนีสวรรค์นี้พลันสั่นเทาขณะลอยอยู่กลางอากาศ
ระยะห่างแค่ไหนหานลี่และพวกทั้งสามจึงสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวที่แผ่ออกมกาจากลูกบอลอัสนีห้าสีได้อย่างชัดเจน ล้วนพากันหน้าเปลี่ยนสี
โชคดีที่ลูกบอลอัสนีลูกนี้ถูกบุรุษร่างกายผ่ายผอมสำแดงความสามารถหยุดมันเอาไว้กลางอากาศในทันที มิเช่นนั้นทั้งสามคนก็อาจจะหยุดการกระทำแล้วหนีไปในทันทีอย่างไม่สนใจก็เป็นได้
พวกเขาไม่อยากเอาชีวิตน้อยๆ ของตนเองมาไว้ในมือของผู้อื่น
เจ้าของร้านไม่มีเวลามาสนใจความกังขาในใจของหานลี่และพวกทั้งสาม หลังจากที่ควบคุมลูกบอลอัสนีห้าสีได้แล้ว ปากก็ร้องตะโกนดังๆ ออกมา
ลูกบอลอัสนีหมุนติ้วๆ ชั่วขณะนั้นเส้นไหมสีโลหิตที่ผิวของมันพลันแยกออกเป็นรูเล็กๆ หลังจากเสียงฟ้าร้องต่ำๆ ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าห้าสีบางๆ พลันพุ่งออกมา เป้าหมายก็คืออสูรอัสนีที่อยู่ด้านล่าง
ชั่วพริบตาที่ลูกบอลอัสนีห้าสีปรากฎขึ้น อสูรอัสนีตัวนั้นก็ดูเหมือนว่าจะรู้ว่าแย่แล้ว จึงพยายามร้องคำรามและดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์ คาดไม่ถึงว่าจะดิ้นรนจนโซ่สีดำบนร่างหลุดออกส่วนหนึ่ง และลุกขึ้นมานั่ง แต่ไม่รอให้มันได้สำแดงอะไรต่อ ประจุไฟฟ้าห้าสีก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น โจมตีไปยังหน้าผากของอสูรตัวนี้อย่างพอดิบพอดี
อสูรอัสนีไม่ทันได้แค่นเสียง ร่างกายก็เหยียดตรงล้มลงกับพื้นไปอีกครั้ง
เจ้าของร้านพลันดีอกดีใจ กระตุ้นลูกบอลอัสนีห้าสีเหนือหัวให้เปล่งประจุไฟฟ้าเป็นสายๆ ออกมาไปพลาง ก็สำแดงความสามารถออกมาไปพลาง ทำให้แผ่นป้ายไม้สีเขียวมรกตบนหัวของอสูรอัสนีพ่นเส้นไหมสีีเขียวออกมาอีกครั้ง
ครั้งนี้ภายใต้ประจุไฟฟ้าห้าสีและพลังอัสนีของหานลี่และพวกทั้งสามที่คอยสนับสนุนอยู่ เงาลวงตาอสูรอัสนีขนาดจิ๋วก็ถูกดึงออกจากร่างอีกครั้งด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ลอยไปหาแผ่นป้ายไม้อย่างช้าๆ
แม้นว่าจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของอสูรอัสนีจะพยายามดิ้นรน แต่พลังอัสนีบนร่างกว่าครึ่งล้วนถูกกริชสีดำทั้งห้าเล่มตรึงเอาไว้ ส่วนกายเนื้อที่ถูกอัสนีเบญจสวรรค์และพวกของหานลี่กดอยู่ ก็ไม่อาจต้านทานอะไรได้อีก ถูกแผ่นป้ายไม้สีเขียวมรกตกดลงมาทีละนิ้วๆ
ลำแสงสีเขียวมรกตเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นบนแผ่นป้ายไม้ หลังจากนั้นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของอสูรอัสนีพลันไม่กล้าร้องคำรามอีก ถูกเส้นไหมสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้พลางดูดเข้าไปในแผ่นป้ายไม้
นิ้วทั้งสิบบนสองมือของบุรุษร่างกายผ่ายผอมร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว อาคมสายแล้วสายเล่าโจมตีไปยังแผ่นป้ายสีเขียวมรกต
ชั่วพริบตาแผ่นป้ายพลันเปล่งแสงห้าหกสีไม่แน่นอน ผนึกจิตวิญญาณบริสุทธิ์เอาไว้ข้างใน
บุรุษยื่นมือออกไปกวักเรียกด้วยความดีอกดีใจ ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นลำแสงกลุ่มหนึ่งถูกดูดเข้าไปในมือ
“ฮ่าๆ ในที่สุดก็ทำสำเร็จแล้ว” เจ้าของร้านหัวเราะหัวเราะไม่หยุดด้วยความดีอดีใจ
หานลี่แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ เสียงฟ้าฟาดในมือเบาลง ประจุไฟฟ้าสีทองหายวับไป
“นี่มันหมายความว่าอย่างไร พี่อวี๋ไม่ได้ต้องการกำราบอสูรตนนี้หรือ หรือว่าตอนนี้กำราบได้แล้ว” ชายหนุ่มหน้าหวานเก็บวรยุทธ์ มองไปยังร่างของอสูรอัสนีที่แน่นิ่งอยู่บนพื้น มองไปยังแผ่นป้ายสีเขียวในมือของเจ้าของร้าน แล้วพลันขมวดคิ้วแน่น
คำถามนี้คือคำถามที่หานลี่และชายร่างใหญ่อยากถามอยู่พอดี
“หึๆ ขอแค่บีบจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของอสูรตัวนี้ออกมาได้ การกำราบมันก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายแล้ว จากนี้ก็ไม่ต้องรบกวนสหายทั้งสามแล้ว” บุรุษร่างกายผ่ายผอมเก็บแผ่นป้ายสีเขียวเข้าไปในกล่องหยกอย่างระมัดระวัง แล้วหัวเราะฮ่าๆ ออกมาด้วยสีหน้ามีความสุข
หานลี่และพวกทั้งสามมองสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนรู้สึกแปลกๆ ทันใดนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ใบหน้าเผยสีหน้าระวังภัยขึ้นมา
“ทั้งสามโปรดวางใจ ในเมื่อช่วยข้าทำการใหญ่สำเร็จแล้ว ข้าก็จะไม่กลืนคำพูดที่เคยตกลงกันไว้ รับไปเถิด” เมื่อเจ้าของร้านหัวเราะคิกคักและเอ่ยเสร็จ ก็สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งโจมตีม้วนวนออกมา
กล่องไม้สามกล่องที่ปรากฎขึ้นก่อน พุ่งตรงมาหาหานลี่และพวกทั้งสาม
แม้ว่าเมื่อครู่ชายหนุ่มหน้าหวานและชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำจะรู้สึกฉงน แต่เมื่อเห็นของที่ตนเองอยากได้ แน่นอนว่าย่อมดีใจเป็นอย่างมาก จึงไม่สนใจสิ่งอื่นอีกพลางทยอยกันยื่นมือออกไปคว้ากล่องไม้ของตนเอง
แต่หานลี่เห็นฉากนี้แววตาพลันฉายแววสีฟ้าสว่างวาบ ร่างกายหมุนคว้าง ชุดคลุมยาวสีทองเงินชุดหนึ่งบินออกมาจากร่าง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป คาดไม่ถึงว่าห่อหุ้มกล่องไม้ที่บินเข้ามาเอาไว้
จากนั้นสองเท้าพลันแตะไปบนพื้น ชั่วครู่ก็พุ่งไปด้านหลัง
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของหานลี่ ชายหนุ่มหน้าหวานที่เพิ่งคว้ากล่องไม้ไว้ในมือพลันตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง ร้องอุทานว่าแย่แล้วออกมา แล้วโยนของในมือออกไปอีกครั้ง
แต่กลับสายไปเสียแล้ว
เห็นเพียงที่กล่องไม้มีลำแสงสีขาวพลิ้วไหว หายวับไปราวกับเม็ดทราย เผยไข่มุกผลึกขนาดเท่าหัวแม่มือออกมา
“ไข่มุกดูดอัสนี!”
ชายหนุ่มร้องอุทานด้วยความตกตะลึงออกมา นิ้วมือร่ายไปมาคิดจะดีดไข่มุกเม็ดนั้นออกไป
แต่เสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น ไข่มุกกลมๆ เม็ดนั้นก็ระเบิดออก ลำแสงสีขาวที่เจิดจ้าจนแสบตาปรากฎขึ้น
กลางอากาศยังเหลือลูกบอลอัสนีห้าสีขนาดเล็กลงกว่าครึ่งอยู่ ชั่วพริบตาที่ลำแสงสีขาวปรากฎขึ้น ก็กลายเป็นประจุไฟฟ้าสามสีลดระดับสับลงมาจากท้องฟ้า
ความเร็วของมันแค่เปล่งแสงสว่างวาบ ก็ทยอยกันสับลงมาที่เป้าหมาย
เสียง “ตูมๆๆ” ดังขึ้นสามครั้ง ชายหนุ่มและชายร่างใหญ่ด้านข้างที่ประสบกับสถานการณ์เดียวกันพลันถูกประจุไฟฟ้าห้าสีและลำแสงสีขาวตัดสลับกันเป็นลำแสงอันสีห่อหุ้มเอาไว้
ภายใต้ผนึกรวมกันของอานุภาพทั้งสองชนิด ลำแสงอัสนีพลันหม่นแสงลง ทั้งสองคนที่มีควันสีเขียวปรากฎขึ้นบนร่างพลันล้มตึงลง ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
ส่วนทางด้านของหานลี่นั้น ถูกชุดอัสนีห่อหุ้มอยู่ขณะที่ไข่มุกดูดอัสนีระเบิดออก ลำแสงสีขาวจึงถูกดูดเข้าไปจนเกลี้ยง จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วดีดออกมา
ประจุไฟฟ้าห้าสีที่ร่อนลงจากกลางอากาศพลันหักเลี้ยว กลับโจมตีไปยังพื้นที่ห่างออกไปสองสามจั้ง
พื้นทั้งผืนพลันสั่นไหว จุดที่ประจุไฟฟ้าห้าสีโจมตีไป พลันหายไปผืนใหญ่
หลุมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดสองสามจั้งพลันปรากฎขึ้นบนพื้นดิน
คาดไม่ถึงว่าประจุไฟฟ้านี้จะโจมตีทะลุผ่านชั้นผิวดินไปสองชั้น
หานลี่กลับพุ่งไปที่ขอบหลุมได้อย่างพอดิบพอดี ร่างกายกลันมามั่นคง มองไปยังบุรุษร่างกายผ่ายผอมด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เอ๋” บุรุษหุบยิ้มบนใบหน้า เปล่งเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจออกมา แต่ทันใดนั้นมุมปากพลันกระตุก เผยรอยยิ้มเยาะออกมา
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ฉับพลันนั้นพลันกระพือปีกอย่างไม่มีค้างลางมาก่อน ชั่วพริบตาก็กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น กรงเล็บสีเขียวสองกรงเล็บก็แฉลบผ่านจุดที่หานลี่ยืนอยู่เดิมไป ปลายนิ้วทั้งสิบเปล่งแสงอัสนีสีแดงยาวสองสามชุ่นออกมา
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นกายเนื้อของอสูรอัสนีที่ถูกโซ่สีดำล่ามเอาไว้ตัวนั้น ไม่รู้ว่าเคลื่อนไหวตั้งแต่เมื่อไหร่ มันหนีมาอยู่ด้านหลังของหานลี่อย่างเงียบๆ และลอบโจมตีจากด้านหลังของหานลี่โดยไม่มีผู้ใดรู้
เห็นเพียงอสูรอัสสนีในครานี้ดวงตาสีดำทั้งสองเปล่งประกาย สติปัญญาเต็มเปี่ยม ไม่เหมือนกับก่อนหน้าเลยสักนิด
เจ้าของร้านเห็นอสูรอัสนีโจมตีไม่สำเร็จ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่พลันกลอกตาไปมา ร่างกายพลิ้วไหวพุ่งไปด้านข้างอย่างเงียบเชียบ
แต่ในตอนนั้นเอง เหนือศีรษะของบุรุษพลันมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ท่ามกลางลำแสงอัสนีสีเขียวขาว ร่างของหานลี่เปล่งแสงสว่างวาบพลางปรากฎขึ้น สะบัดแขนเสื้อไปทางเสาสำริดสองสามต้นที่อยู่รอบๆ โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ลำแสงสีทองเจิดจ้าสองสามสายเปล่งแสงสว่างวาบ สับเสาสองสามต้นจนเป็นเจ็ดแปดส่วน เขตอาคมทั้งเขตถูกหานลี่ทำลายลง
ร่างของเจ้าของร้านพลันแข็งค้าง ชั่วขณะนั้นพลันหยุุดลงแล้วถอยร่นไป มองมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หานลี่ลอยอยู่ตัวอยู่กลางอากาศสองมือกอดอกโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ครานี้ที่แผ่นหลังของเขามีเสียงอัสนีดังขึ้น อสูรอัสนีเปล่งแสงสว่างวาบกลางประจุไฟฟ้าสีสี่ ปรากฎขึ้นด้านหลังหานลี่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก โจมตีไปหาเจ้าของร้าน
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะมีแผนอะไร แต่อยากสยบอสูรอัสนีตัวนี้ ก็ต้องสนใจจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของอสูรอัสนี ขอแค่เอาของที่ข้าอยากได้มา เรื่องนี้ข้าก็จะทำเหมือนไม่เคยเห็น” ในที่สุดหานลี่ก็เอ่ยปาก
“เจ้าเป็นแค่แม่ทัพวิญญาณเหาะเหินคนหนึ่ง คิดว่ามีคุณสมบัติมาต่อรองกับข้าหรือ?” บุรุษร่างกายผ่ายผอมเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม
“หากนายท่านอยู่ในจุดที่มีพลังกำลังสมบูรณ์ ข้าน้อยก็อาจจะไม่มั่นใจ แต่ท่านอาวุโสเพิ่งจะสำแดงโลหิตบริสุทธิ์ไปอย่างไม่เสียดายเมื่อครู่ ตอนนี้พลังยุทธ์เหลือแค่ครึ่งหนึ่งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หรือว่าท่านอาวุโสสอวี๋คิดว่าอสูรวิญญาณที่ยังไม่โตเต็มวัยคนหนึ่งจะขวางข้าได้จริงๆ” หานลี่เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นมือหนึ่งก็ปัดไปที่ข้อมือ
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีดำสายหนึ่งพลันพุ่งออกมา หมุนวนรอบหนึ่งแล้วกลายเป็นวานรน้อยปรากฎขึ้นบนพื้น
จากนั้นวานรน้อยพลันเอาสองมือทุบอก ชั่วขณะนั้นร่างกายพลันขยายใหญ่ขึ้น ชั่วพริบตาก็มีความสูงยี่สิบสามสิบจั้ง เป็นภูตยักษ์หน้าตาน่ากลัว จ้องเขม็งไปยังอสูรอัสนีที่อยู่ด้านหลังเขม็ง
ในเวลาเดียวกัน ร่างของหานลี่พลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ กระบี่เล่มเล็กสีทองเจ็ดสิบสองเล่มพุ่งออกมาจากเรือนร่าง ล้อมรอบเอาไว้แล้วหมุนวนไปมาไม่แน่นอน ที่แผ่นหลังมีรูปมารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์สามหัวหกแขนเปล่งแสงสีทองเรืองรองปรากฎขึ้น สองมือพลิกฝ่ามือพร้อมกัน มือหนึ่งมีภูเขาสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกมาปรากฎขึ้นที่ใจกลาง อีกมือหนึ่งกลับมีหัวกะโหลกขนาดจิ๋วห้าหัวสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกบินเริงระบำอยู่รอบๆ ฝ่ามือ
แผ่นหลังของด้านลี่สยายปีกออกอีกครั้ง ด้านข้างของภาพมารสีทองด้านหนึ่งเปล่งสีเขียวลอยหมุนวนเป็นเกลียว อีกด้านหลังเป็นลำแสงห้าแสงสิบสี วิหคลวงตายักษ์สีเขียวตัวหนึ่งและหงส์ลวงตาสวรรค์ห้าสีปรากฎออกมา
สามเคล็ดวิชาปรากฎขึ้นพร้อมกัน พลังที่แผ่ออกมาดููงดงาม ไอวิญญาณทะลุขึ้นฟ้า จนแทบจะทำให้ผู้คนไม่กล้ามองสบตาตรงๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น