เทพปีศาจหวนคืน 1428-1433
บทที่ 1428 ตกอสูรปี
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงสีแดง
เดิมทีสถานที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งใด แต่ตอนนี้มีค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ค่ายกลวิญญาณนี้ปลดปล่อยกลิ่นอายของกาลเวลาออกมา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งกาลเวลา
ฟางหยวน ไป่หนิงปิง ไห่ลั่วหลัน เทพธิดาเมี่ยวหยิน เทพธิดากระต่ายขาว และอิงอู๋เซี่ยอยู่ภายในค่ายกลวิญญาณนี้
ค่ายกลวิญญาณทำงานมาแล้วเป็นเวลานาน
มันใช้วิญญาณปีอมตะระดับเจ็ดเป็นแกนกลางและใช้วิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำระดับแปดเป็นส่วนสนับสนุน แกนกลางของค่ายกลวิญญาณไม่จำเป็นต้องเป็นวิญญาณระดับสูงกว่าเสมอไป ตัวอย่างเช่นค่ายกลวิญญาณนี้ที่ใช้วิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำระดับแปดเป็นส่วนสนับสนุน
ค่ายกลวิญญาณอมตะนี้มาจากมรดกที่แท้จริงของไห่ฟาน
จุดประสงค์ของมันคือการเชื่อมต่อกับสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาในมิติช่องว่างอมตะ
มันถูกเรียกว่าค่ายกลวิญญาณตกอสูรปี
ชื่อของมันค่อนข้างน่าสนใจ คนอื่นๆอาจใช้คำนี้ในการตกปลา แต่ไห่ฟานต้องการตกอสูรปี ในความเป็นจริงไห่ฟานต้องการใช้มันจับอสูรปีแรกกำเนิด
ตั้งแต่ไห่ฟานได้รับวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำ เขาก็ได้เรียนรู้ข้อบกพร่องของมัน กลิ่นอายของวิญญาณอมตะดวงนี้จะดึงดูดอสูรปีแรกกำเนิดเข้ามาผ่านสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา
ดังนั้นไห่ฟานจึงต้องหาวิธีแก้ปัญหา
วิธีแรกที่ไห่ฟานนึกถึงคือค่ายกลวิญญาณที่ฟางหยวนใช้วางกับดักฟงจิวเก้อและส่งเขาเข้าไปในสายธารแห่งกาลเวลาก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตามวิธีนี้มีจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่
มันจะทำให้เวลาในมิติช่องว่างของผู้อมตะหยุดเดิน เมื่อเวลาไม่เคลื่อนไหว ทรัพยากรทั้งหมดที่อยู่ภายในมิติช่องว่างก็จะไม่เติบโต วิญญาณจะไม่สามารถอาศัยอยู่ เขาต้องนำวิญญาณออกมาภายนอก
เรื่องนี้อันตรายมาก หากเกิดการต่อสู้ พวกมันอาจถูกทำลายโดยศัตรูของเขา
ไห่ฟานเป็นคนฉลาด เขาคิดวิธีนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น
เขาค้นคว้าต่อไปและพบวิธีใหม่ ตราบเท่าที่มีอสูรปีแรกกำเนิดอยู่ในมิติช่องว่างของเขา อสูรปีแรกกำเนิดตัวอื่นจะไม่เข้ามาในอาณาเขตของมันแม้กลิ่นอายของวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำจะเย้ายวนใจเพียงใดก็ตาม
ดังนั้นไห่ฟานจึงคิดหาวิธีเลียนแบบกลิ่นอายของอสูรปีแรกกำเนิด
แต่ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงของเขาไม่สูงนัก เขาไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้
ต่อมาเขาพิจารณาเกี่ยวกับการเลี้ยงอสูรปีแรกกำเนิดด้วยตัวเขาเอง
แต่ถ้ำสวรรค์ของเขาไม่ใหญ่มากนัก มันเต็มไปด้วยทรัพยากร มันยากที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับอสูรปีแรกกำเนิด นอกจากนี้ในการเลี้ยงอสูรปีแรกกำเนิด เขาจำเป็นต้องเริ่มจากการเลี้ยงอสูรปีบรรพกาลก่อนจะยกระดับมัน หลังจากทั้งหมดสวรรค์สีเหลืองไม่มีอสูรปีแรกกำเนิดวางขาย
กระบวนการนี้ใช้เวลานานเกินไป ไห่ฟานมีอายุขัยไม่เพียงพอ
เมื่อทั้งสองวิธีไม่สามารถทำได้ ไห่ฟานจึงคิดอีกวิธีหนึ่ง เขาจะใช้วิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำเรียกอสูรปีแรกกำเนิดออกมาและทำให้มันกลายเป็นทาส
ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งทาสของไห่ฟานอยู่ในระดับปรมาจารย์ มันไม่ได้เลวร้ายเหมือนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง
แต่มันไม่ง่ายที่จะใช้ท่าไม้ตายอมตะอัญเชิญอสูรปีแรกกำเนิด
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ไห่ฟานสามารถสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะตกอสูรปี
ค่ายกลวิญญาณอมตะนี้สามารถเรียกอสูรปีแรกกำเนิดออกมาแต่เขาไม่สามารถควบคุมมัน หลังจากทั้งหมดสิ่งนี้เป็นเพียงการตกไม่ใช่การอัญเชิญ
แนวคิดดั้งเดิมของไห่ฟานคือการอัญเชิญอสูรปีแรกกำเนิดภายใต้การควบคุมของเขา
แต่กระทั่งถึงจุดจบของชีวิต ไห่ฟานก็ยังไม่บรรลุเป้าหมาย
หากเขามีเวลามากกว่านี้ เขาอาจทำสำเร็จ
ไม่มีสิ่งใดสามารถเอาชนะกาลเวลา กระทั่งอัจริยะก็ไม่สามารถ
หากฟางหยวนมีเวลาเพียงพอ เขาจะสามารถเติมเต็มความปรารถนาของไห่ฟานและสร้างท่าไม้ตายอมตะอัญเชิญอสูรปีแรกกำเนิดได้โดยตรง
มรดกที่แท้จริงไม่ใช่แค่ของขวัญแต่ยังเป็นตัวช่วยชั้นยอด
อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่มีเวลาพัฒนาท่าไม้ตายดังกล่าว
เขาจำเป็นต้องใช้ค่ายกลวิญญาณตกอสูรปีแรกกำเนิดก่อนที่จะใช้ท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อยสะกดข่มมัน
‘หากไห่ฟานมีท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อย เขาจะได้รับอสูรปีแรกกำเนิด’
‘ตอนนี้อันตรายเกินไปสำหรับข้าที่จะไปยังสายธารแห่งกาลเวลา นอกจากมันจะเป็นสถานที่อันตราย วังสวรรค์ก็คงเตรียมการบางอย่างเอาไว้แล้ว’
ก่อนหน้านี้ฟางหยวนส่งฟงจิวเก้อไปยังสายธารแห่งกาลเวลา แต่ฟงจิวเก้อสามารถหลบหนีออกมา นี่ทำให้ฟางหยวนสามารถคาดเดาบางสิ่ง
‘ฟงจิวเก้อรอดชีวิตมาได้อาจเป็นเพราะความสามารถของเขาเองหรืออาจเป็นการจัดเตรียมของวังสวรรค์ในสายธารแห่งกาลเวลา’
‘ไม่ว่ากรณีใดเมื่อข้าเข้าสู่สายธารแห่งกาลเวลา กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือข้าจะถูกขัดขวางและซุ่มโจมตี’
‘ในสายธารแห่งกาลเวลา ข้าไม่มีความได้เปรียบด้านสถานที่ ข้าไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ที่นั่น เว้นเพียงข้าจะมีอสูรปีแรกกำเนิดที่ช่วยปกป้องและรับรองความปลอดภัยของข้า’
เขาจะไม่ตกอยู่ในอันตรายหากเขาเตรียมตัวไปอย่างเพียงพอ
เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงดังมาจากสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา
“เจี๊ยก เจี๊ยก…”
‘ดูเหมือนอสูรปีแรกกำเนิดจะถูกล่อลวงเข้ามาในที่สุด!’ ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น
ภายในค่ายกลวิญญาณ สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาส่องปรากฎขึ้น
ลิงตัวใหญ่มองค่ายกลวิญญาณอมตะผ่านสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา
ดวงตาของมันมีขนาดเท่าช้าง สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาราวกับช่องเล็กๆที่บางคนกำลังลอบมองดูจากหลังประตู
มันไม่พบฟางหยวนแต่มันมองเห็นวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำ
เมื่อเห็นวิญญาณอมตะระดับแปดดวงนี้ ความอยากอาหารของมันก็พุ่งสูงขึ้น มันเริ่มน้ำลายไหล
วิญญาณวัน วิญญาณเดือน และวิญญาณปีเป็นอาหารของอสูรปี ในสายตาของอสูรปีแรกกำเนิด วิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำไม่ต่างจากอาหารจานใหญ่ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“เจี๊ยก เจี๊ยก…”
มันสูดหายใจลึกและพยายามเข้าสู่มิติช่องว่างของฟางหยวน
อสูรปีมีความสามารถในการเดินทางจากสายธารแห่งกาลเวลาไปยังที่ใดก็ได้ในโลกใบนี้ ฟางหยวนเคยอัญเชิยอสูรปีมาก่อน พวกมันสามารถออกมาจากสายธารแห่งกาลเลาและเข้าสู่สนามรบได้ทันที
ตราบเท่าที่สายธารแห่งกาลเวลาไหลผ่านบริเวณนั้น อสูรปีก็สามารถเข้าออก
มิติช่องว่างของฟางหยวนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
แต่การเข้าไปในมิติช่องว่างของผู้อมตะยากกว่าการเดินทางไปยังห้าภูมิภาคและสองสวรรค์
อสูรปีแรกกำเนิดใช้มือของมันขยายสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา
‘มิติช่องว่างของข้าเป็นเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์ มันอาจเล็กเกินไปและไม่สะดวกที่พวกมันจะเข้าออก แต่มันยังสามารถเก็บสัตว์อสูรแรกกำเนิด’
ฟางหยวนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นอสูรปีแรกกำเนิดตัวนี้
เนื่องจากการเข้าหรือออกเป็นเรื่องยาก ดังนั้นเมื่อมันเข้าสู่การต่อสู้ มันจะไม่สามารถหลบหนีได้โดยง่าย
หลังจากอสูรปีวอกแรกกำเนิดเข้ามาในมิติช่องว่างของฟางหยวน สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาที่อยู่ด้านหลังมันก็ซ่อมแซมตัวเอง
“เจี๊ยก เจี๊ยก…”
อสูรปีวอกแรกกำเนิดใช้จมูกดมกลิ่น เมื่อตระหนักถึงกลิ่นอายของวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำ มันก็กระโจนร่างไปยังจุดหมายทันที
“ปัง!”
อสูรปีวอกแรกกำเนิดพุ่งชนกำแพงพลังงานที่มองไม่เห็นขณะที่ค่ายกลวิญญาณไม่แม้แต่จะเกิดการสั่นสะเทือน
ย้อนกลับไปเมื่อไห่ฟานคิดค้นค่ายกลวิญญาณนี้ เขาก็พิจารณาถึงสถานการณ์นี้เอาไว้แล้ว
บทที่ 1429 ได้รับพลังการต่อสู้ระดับแป...
ค่ายกลวิญญาณตกอสูรปีมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง มันไม่สั่นไหวแม้จะถูกโจมตีโดยอสูรปีวอกแรกกำเนิด
แต่เรื่องนี้ทำให้เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของอสูรปีวอกแรกกำเนิดปะทุขึ้น
“บึม บึม บึม”
มันใช้หมัดระดมชกกำแพงพลังงานราวกับฝนดาวตก
คราวนี้ค่ายกลวิญญาณเริ่มสั่นไหว ในการโจมตีแต่ละครั้งของอสูรปีวอกแรกกำเนิดทำให้วิญญาณระดับมนุษย์จำนวนมากถูกทำลาย
เทพธิดากระต่ายขาว ไห่ลั่วหลัน และอิงอู๋เซี่ยเร่งเติมวิญญาณระดับมนุษย์อย่างเร่งด่วน
ค่ายกลวิญญาณบางส่วนพังทลายลงหลังจากสูญเสียวิญญาณไปสิบส่วน
แต่ค่ายกลวิญญาณอมตะตกอสูรปีจะไม่บุบสลายตราบเท่าที่วิญญาณอมตะที่เป็นแกนกลางของมันยังอยู่
อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่อนุญาตให้อสูรปีวอกแรกกำเนิดโจมตีต่อไป
ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นไป่เซียง!
ในเวลาต่อมาไป่หนิงปิงก็บินเข้าไป
“บึม!”
นางพุ่งเข้าโจมตีอสูรปีวอกแรกกำเนิด้วยความเร็วสูง
อสูรปีวอกแรกกำเนิดไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา มันก้าวถอยหลังและรู้สึกถึงความเจ็บปวด
มันคำรามก่อนจะใช้มืออันใหญ่โตคว้าร่างของไป่หนิงปิง
ร่างของไป่หนิงปิงถูกปกคลุมไปด้วยเงาดำ
แต่นางไม่ตื่นตระหนก นางสูดหายใจลึกและรีบบินหนี
มือของอสูรปีวอกแรกกำเนิดฟาดลงจากด้านบน
ด้วยความเร็วของไป่หนิงปิง นางสามารถหลบหนีได้อย่างแน่นอน แต่น่าแปลกที่นางกลับถูกจับอย่างรวดเร็ว
อสูรปีวอกแรกกำเนิดจับไป่หนิงปิงเอาไว้ในมือราวกับถือลูกแก้วคริสตัล
หากไป่หนิงปิงอยู่ในร่างปกติของนาง นางคงกลายเป็นเนื้อบดไปแล้ว แต่ร่างไป่เซียงของนางสูงห้าเมตรและมีสามเศียรหกกร
ร่างไป่เซียงถูกบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“เจี๊ยก เจี๊ยก…”
อสูรปีวอกแรกกำเนิดเห็นศัตรูถูกกำจัดแล้ว มันหัวเราะอย่างมีความสุขขณะโยนเศษน้ำแข็งในมือทิ้งไปและพุ่งเข้าโจมตีค่ายกลวิญญาณอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามชิ้นส่วนน้ำแข็งกลับควบรวมเป็นร่างไป่เซียงอีกหนในเวลาเพียงเสี้ยวพริบตา
ไป่เซียงฟื้นคืนชีพ!
นี่คือข้อได้เปรียบของร่างไป่เซียง
ไป่หนิงปิงในร่างไป่เซียงสามารถกู้คืนร่างกายได้จากเศษน้ำแข็งชิ้นเล็กชิ้นน้อย
‘แต่ครั้งนี้ความเร็วในการฟื้นตัวของร่างไป่เซียงกลับลดลง ความเร็วในการบินของข้าก็เช่นกัน’ ไป่หนิงปิงคิดขณะบินเข้าไปหาอสูรปีวอกแรกกำเนิดอีกครั้ง
อสูรปีแรกกำเนิดมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกาลเวลาอยู่บนร่างกายมากมาย ทุกการเคลื่อนไหวของมันส่งผลกระทบต่อกาลเวลา นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ท่าไม้ตายอมตะดาบน้ำแข็ง!
“ปัง!”
ดาบน้ำแข็งฟาดลงบนไหล่ของอสูรปีวอกแรกกำเนิดแต่มันไม่สามารถเจาะทะลวงชั้นผิวหนังของเป้าหมาย เปรียบเทียบกับวานรยักษ์ ดาบน้ำแข็งไม่ต่างจากมีดหั่นผลไม้
วานรยักษ์จับไป่หนิงปิงอีกครั้ง นางพยายามหลบแต่ล้มเหลว
แต่ไม่ว่าร่างของนางจะถูกทำลายกี่ครั้ง ตราบเท่าที่ยังเหลือชิ้นส่วนร่างกาย นางก็ยังสามารถฟื้นคืนชีพ
แน่นอนว่าพวกเขาตรวจสอบแล้วว่าอสูรปีวอกแรกกำเนิดตัวนี้ไม่มีวิญญาณอมตะในการครอบครอง มิฉะนั้นไป่หนิงปิงย่อมไม่กล้าท้าทายพลังอำนาจของมัน
อสูรปีวอกแรกกำเนิดมีวิญญาณระดับมนุษย์จำนวนมากแต่วิญญาณเหล่านี้ไร้ประโยชน์ต่อหน้าไป่หนิงปิง
ภัยคุกคามที่แท้จริงคือตัวมันเอง
หลังจากผ่านไปหลายสิบรอบ การเคลื่อนที่รวมถึงการฟื้นตัวของไป่หนิงปิงก็ช้าลงเรื่อยๆ
ในทางตรงข้ามอสูรปีวอกแรกกำเนิดแทบไม่ได้รับความบาดเจ็บ แม้การโจมตีของไป่หนิงปิงจะสามารถเจาะชั้นผิวหนังของมัน แต่ความเร็วในการฟื้นฟูของอสูรปีแรกกำเนิดน่ากลัวเกินไป มันหายเป็นปกติในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ
กระทั่งไป่หนิงปิงยังรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
นางรู้สึกเหมือนเป็นแมลงวันน่ารำคาญที่บินวนอยู่รอบๆ
บ่อยครั้งที่อสูรปีวอกแรกกำเนิดก็เพิกเฉยต่อการโจมตีของไป่หนิงปิงขณะที่มันยังพยายามโจมตีค่ายกลวิญญาณ
“อสูรปีวอกแรกกำเนิดตัวนี้ช่างทรงพลังนัก!” ฟางหยวนเฝ้ามองการต่อสู้และสรุป
เช่นเดียวกับผู้อมตะระดับแปดที่มีพลังการต่อสู้แตกต่างกัน อสูรปีวอกแรกกำเนิดตัวนี้มีพละกำลังที่น่าเหลือเชื่อ ไป่หนิงปิงไม่สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงใดๆต่อมันแม้นางจะใช้พลังทั้งหมดก็ตาม
แม้ไป่หนิงปิงจะมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งพร้อมสุดยอดกายาน้ำแข็งแห่งความมืดและมรดกที่แท้จริงของไป่เซียง แต่รากฐานของนางยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับอสูรปีวอกแรกกำเนิดที่มีชีวิตมานานหลายหมื่นปีตัวนี้
ค่ายกลวิญญาณอมตะตกอสูรปีพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ความเร็วในการเติมเต็มวิญญาณของฟางหยวนและคนอื่นๆเริ่มตามไม่ทัน
เมื่ออสูรปีวอกแรกกำเนิดรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นจากการโจมตีของไป่หนิงปิง มันก็ยิ่งโจมตีค่ายกลวิญญาณมากขึ้น
สำหรับฟางหยวน เขาจะไม่ต่อสู้และปล่อยให้อสูรปีวอกแรกกำเนิดโจมตีค่ายกลวิญญาณต่อไปเพื่อลดความแข็งแกร่งของมันลงเป็นอันดับแรก
ท่ามกลางอสูรปีแรกกำเนิด พวกมันมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันไปตามแต่ละประเภท ในแง่ของความแข็งแกร่ง วานรตัวนี้ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ มังกร วัว หรือพยัคฆ์มีความแข็งแกร่งมากกว่าภายใต้สถานการณ์เดียวกัน
แต่กระทั่งมันจะเป็นเพียงวานร ค่ายกลวิญญาณก็ยังพังทลายลง
‘เมี่ยวหยินไปช่วยไป่หนิงปิง” ฟางหยวนออกคำสั่ง
เทพธิดาเมี่ยวหยินพยักหน้าและบินเข้าไปในค่ายกลวิญญาณ
หลังจากเฝ้ามองการต่อสู้มานานและรู้จักกำลังของวานรตัวนี้ เทพธิดาเมี่ยวหยินจึงไม่กล้าเข้าประชิดตัวมัน นางบินอยู่ในระยะไกล
ท่าไม้ตายอมตะเนตรจันทร์เสี้ยว!
นางมองเข้าไปในดวงตาของวานรยักษ์
แต่หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน มันกลับไม่เกิดสิ่งใดขึ้นราวกับเทพธิดาเมี่ยวหยินไม่เคยโจมตีมาก่อน
วานรยักษ์ยังโจมตีค่ายกลวิญญาณอย่างไม่หยุดยั้ง
เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากของเทพธิดาเมี่ยวหยิน
การโจมตีด้วยสายตาของเทพธิดาเมี่ยวหยินไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
“ดี” จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของนางปะทุขึ้น
ท่าไม้ตายอมตะคลื่นเสียงก้องกังวาน!
นี่ไม่ใช่ท่าไม้ตายสายโจมตีแต่เป็นสายสนับสนุน
ต่อไปเทพธิดาเมี่ยวหยินเริ่มร้องเพลง
ท่าไม้ตายอมตะเพลงกระดูกอ่อน!
คลื่นเสียงหมุนวนอยู่รอบแขนของวานรยักษ์ภายใต้การสนับสนุนจากคลื่นเสียงก้องกังวาล
บทเพลงนี้ทำให้กระดูกแขนของอสูรปีวอกแรกกำเนิดอ่อนแอลง
อสูรปีวอกแรกกำเนิดรู้สึกสลับสน มันหยุดโจมตีชั่วคราวและมองไปที่แขนของมัน
จากนั้น…
มันกลับไปโจมตีค่ายกลวิญญาณอีกครั้ง
เปลือกตาของเทพธิดาเมี่ยวหยินกระตุก
นางกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายสองท่าติดต่อกันแต่มันทำได้เพียงทำให้วานรยักษ์ตัวนี้รู้สึกสับสนเล็กน้อยเท่านั้น
‘ความแตกต่างระหว่างระดับเจ็ดและระดับแปดแตกต่างกันมากเกินไป การโจมตีของเราไม่มีประสิทธิภาพ’
‘ในช่วงสองสามพันปีที่ผ่านมมีเพียงฟางหยวนและฟงจิวเก้อที่สามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปดด้วยการบ่มเพาะระดับเจ็ด’
ความรู้สึกคล้ายคลึงกันปรากฏขึ้นในใจของสมาชิกนิกายเงา
ท่าไม้ตายอมตะลำแสงสีแดง!
ท่าไม้ตายอมตะวิหคเพลิงพิโรธ!
ท่าไม้ตายอมตะวิหคเพลิงอมตะ!
ไห่ลั่วหลันบินออกไปเช่นกัน นางกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะอย่างดุเดือดแต่กลับสร้างความเสียหายให้กับวานรยักษ์ได้เพียงเล็กน้อย
ฟางหยวน อิงอู๋เซี่ย และเทพธิดากระต่ายขาวยังซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลวิญญาณ
‘ท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดแทบไร้ประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตระดับแปด’ ฟางหยวนเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจนในการต่อสู้กับวูหยงและฟงจิวเก้อก่อนหน้านี้
ฟางหยวนมีวิธีการมากมายในการต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปด แต่การสังหารผู้อมตะระดับแปดยังเป็นไปไม่ได้ นอกจากการหลบหนี ฟางหยวนมีเพียงวิธีป้องกันที่โดดเด่น
หากกระทั่งเขายังไม่สามารถทำสิ่งใดก็ลืมสมาชิกนิกายเงาไปได้เลย
มีเพียงท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝันของอิงอู๋เซี่ยเท่านั้นที่เป็นภัยคุกคามต่อผู้อมตะระดับแปด
แต่ฟางหยวนจะไม่ใช้มันในครั้งนี้
ประการแรก การต่อสู้กับอสูรปีวอกแรกกำเนิดจะทำให้ทุกคนได้รับประสบการณ์การต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับแปด
ประการที่สอง ด้วยการเอาชนะอสูรปีวอกแรกกำเนิดในการต่อสู้เท่านั้นที่จะทำให้ฟางหยวนสะกดข่มมันได้ด้วยท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อยในภายหลัง หลังจากกำหราบมันแล้ว อสูรปีวอกแรกกำเนิดจะเชื่อฟังเขามากขึ้น
“เกือบถึงเวลาแล้ว” หลังจากไม่นานค่ายกลวิญญาณก็ใกล้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์
เป็นเพียงเวลานี้ที่ฟางหยวนบินออกไป
ท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตน!
ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาล!
ท่าไม้ตายอมตะเกราะหวนคืน!
ฟางหยวนกลายเป็นมังกรดาบบรรพกาล แต่ต่อหน้าอสูรปีวอกแรกกำเนิด เขาดูไม่ต่างจากอสรพิษตัวเล็กตัวน้อย
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา
ต่อไปฟางหยวนกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งกฎ
ใหญ่!
ใหญ่ ใหญ่ ใหญ่ ใหญ่…
ร่างของมังกรดาบบรรพกาลขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับอสูรปีวอกแรกกำเนิด
อสูรปีวอกแรกกำเนิดมองฟางหยวนอย่างระมัดระวัง
ฟางหยวนพุ่งเข้าโจมตีวานรตัวนี้โดยตรง
อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของเขายังไม่สามารถเปรียบเทียบกับอสูรปีวอกแรกกำเนิด
ฟางหยวนมักถูกอสูรปีวอกแรกกำเนิดส่งบินกลับหลังแต่มันก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
นี่เป็นเพราะเกราะหวนคืนสะท้อนพลังโจมตีของมันกลับไป
การต่อสู้ครั้งนี้กินเวลาหลายชั่วโมง
ฟางหยวนมุ่งเน้นไปที่การโจมตีขณะที่คนอื่นๆช่วนสนับสนุน แม้ท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดจะไม่มีประสิทธิภาพ แต่ความเสียหายของมันก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น
อสูรปีวอกแรกกำเนิดได้รับบาดเจ็บจนถึงจุดที่มันต้องการหลบหนี
มันพยายามกลับไปยังสายธารแห่งกาลเวลาแต่ฟางหยวนปิดกั้นเส้นทางของมันเอาไว้
อสูรปีวอกแรกกำเนิดถูกกีดขวางและไม่สามารถหลบหนี
ในที่สุดฟางหยวนก็ใช้ท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อย หลังจากครั้งที่สาม มันก็ก้มศีรษะยอมจำนนต่อฟางหยวน
อสูรปีวอกแรกกำเนิดถูกกำหราบในที่สุด!
หลังจากสูญเสียอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด ฟางหยวนก็ได้รับพลังการต่อสู้ระดับแปดอีกครั้ง!
บทที่ 1430 เข้าสู่สายธารแห่งกาลเวลา
มิติช่องว่างจักรพรรดิ สวรรค์สีเขียวน้อย
อาณาจักรแห่งความฝันสีรุ้งขนาดมหึมาลอยอยู่บนท้องฟ้า
เจตจำนงของตนเองเปลี่ยนเป็นร่างของฟางหยวน มันดูสมจริงมาก
ภายในเจตจำนงของตนเองมีพลังงานอมตะและวิญญาณหลายดวง
“นี่คือความพยายามครั้งสุดท้ายสำหรับตอนนี้” เจตจำนงของตนเองในร่างฟางหยวนพึมพำ
ลูกพลัมแดงอมตะถูกใช้ไป ในเวลาเดียวกันวิญญาณอมตะรักตัวเองและวิญญาณอมตะความใคร่ก็ถูกกระตุ้นใช้งานตามด้วยวิญญาณระดับมนุษย์อีกจำนวนหนึ่ง
ในไม่ช้าเจตจำนงจำนวนมากก็พุ่งออกมาและทำให้เจตจำนงร่างฟางหยวนกลายเป็นยักษ์สูงหลายเมตร
หลังจากกระบวนการนี้ฟางหยวนหยุดพักชั่วขณะ
ร่างยักษ์หดเล็กลงสิบส่วนแต่มันควบแน่นมากขึ้นและสามารถคิดด้วยตัวของมันเองมากขึ้น
ต่อไปเจตจำนงของฟางหยวนก็กระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะอีกครั้ง
นี่เป็นท่าไม้ตายไร้ชื่อที่ฟางหยวนสร้างขึ้นเพื่อจัดการอาณาจักรแห่งความฝันโดยเฉพาะ
แสงสว่างพุ่งไปยังอาณาจักรแห่งความฝันราวกับคมดาบ
ไม่กี่นาทีต่อมาฟางหยวนก็หยุดเคลื่อนไหว เจตจำนงของเขาหดเล็กลงจนมีขนาดเท่ากับเด็กทารก ลูกพลัมแดงอมตะถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว
“ข้าล้มเหลว” เจตจำนงของฟางหยวนถอนหายใจ
ในการต่อสู้ที่อาณาจักรแห่งความฝัน ฟางหยวนได้รับกายาแห่งความฝันจำนวนมาก แต่ระหว่างการเดินทางมายังทะเลทรายตะวันตก เขาเสียสละกายาแห่งความฝันหลายร่างเพื่อสกัดกั้นศัตรู
หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลาที่กำหนดกายาแห่งความฝันที่เหลือจึงกลายเป็นอาณาจักรแห่งความฝัน
ฟางหยวนเก็บอาณาจักรแห่งความฝันทั้งหมดไว้ในสวรรค์สีเขียวน้อย
หลังจากทั้งหมดมิติช่องว่างจักรพรรดิมีพื้นที่ใหญ่โตมาก
แต่พื้นที่ส่วนใหญ่มีทรัพยากรวางอยู่ เหลือเพียงสองแห่งที่ยังว่าง หนึ่งคือสวรรค์สีแดงน้อย อีกหนึ่งคือสวรรค์สีเขียวน้อย
ไม่นานมานี้ฟางหยวนใช้สวรรค์สีแดงน้อยเป็นสถานที่ต่อสู้กับอสูรปีวอกแรกกำเนิด
สำหรับสวรรค์สีเขียวน้อย มันถูกใช้เป็นสถานที่เก็บอาณาจักรแห่งความฝัน
แต่อาณาจักรแห่งความฝันเหล่านี้ถูกแทรกซึมโดยเจตจำนงสวรรค์ พวกมันเต็มไปด้วยอันตราย
เมื่อเจตจำนงสวรรค์แฝงตัวอยู่ในมิติช่องว่างของฟางหยวน มันจะสามารถเชื่อมต่อกับโลกภายนอก แม้ฟางหยวนจะครอบครองวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืด เขาก็ยังจะถูกค้นพบ
ฟางหยวนเรียนรู้สิ่งนี้มานานแล้ว
อย่างไรก็ตามฟางหยวนถูกติดตามตัวโดยท่าไม้ตายสายตรวจสอบของเทพธิดาจื่อเว่ย เนื่องจากตำแหน่งที่อยู่ของเขาถูกเปิดเผยตลอดเวลา ดังนั้นการคงอยู่ของเจตจำนงสวรรค์จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ฟางหยวนต้องการกำจัดเจตจำนงสวรรค์เพื่อประโยชน์ให้กับตนเอง
อาณาจักรแห่งความฝันมีความหมายที่แท้จริงบรรจุอยู่ภายใน มันจะช่วยเพิ่มระดับความสำเร็จของเขา โดยเฉพาะเมื่ออาณาจักรแห่งความฝันเหล่านี้เหมาะสมกับเขามาก
แต่ขณะนี้พวกเขากำลังถูกไล่ล่าขณะที่อาณาจักรแห่งความฝันยังเต็มไปด้วยเจตจำนงสวรรค์ ด้วยเหตุผลหลายประการทำให้ฟางหยวนไม่สามารถสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันได้ในเวลานี้
‘แต่หากข้าสามารถกำจัดเจตจำนงสวรรค์ทั้งหมดทิ้งไป?’
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจของฟางหยวนและหยั่งรากลึกอย่างมั่นคงอยู่ที่นั่น
ในทางทฤษฎีมีความเป็นไปได้
เนื่องจากเจตจำนงสวรรค์สามารถแทรกซึมเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน ดังนั้นมันก็สามารถออกไปได้เช่นกัน
ในชีวิตแรกของฟางหยวน เขาเคยได้ยินว่ามีผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ยิ่งใหญ่คิดค้นวิธีบนเส้นทางแห่งความฝันโดยใช้เจตจำนงหรืออารมณ์บุกเข้าไปสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน
ด้วยเหตุผลหลายประการทำให้ฟางหยวนสามารถยืนยันว่ามันเป็นไปได้
แต่แผนการของเขาไม่ราบรื่น
เขาใช้วิธีการมากมายเพื่อสร้างท่าไม้ตายอมตะแต่แผนการของเขายังไม่ประสบความสำเร็จ
มันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
‘ดูเหมือนความได้เปรียบของข้าเกี่ยวกับอาณาจักรแห่งความฝันจะมาจากการกำเนิดใหม่เท่านั้น หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ข้าไม่มีงานวิจัยในเชิงลึกบนเส้นทางแห่งความฝันแม้แต่ในชีวิตก่อนหน้านี้ บางทีเมื่อความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาของข้าเพิ่มขึ้นในอนาคต ข้าอาจมีความก้าวหน้าบางอย่าง’
ฟางหยวนตระหนักถึงความไม่สามารถของตนเองและตัดสินใจหยุดโดยไม่ลังเล
เขาใช้ท่าไม้ตายอมตะอีกครั้งกับอาณาจักรแห่งความฝัน
ในไม่ช้าอาณาจักรแห่งความฝันก็กลายเป็นกายาแห่งความฝัน
ฟางหยวนได้รับมรดกของราชันภูเขาม่วง เขารู้วิธีเปลี่ยนอาณาจักรแห่งความฝันเป็นกายาแห่งความฝัน แน่นอนว่ากายาแห่งความฝันเหล่านี้ยังด้อยกว่ากายาแห่งความฝันที่ราชันภูเขาม่วงสร้างขึ้นเพราะเขาขาดวิญญาณอมตะที่จำเป็น
อย่างไรก็ตามฟางหยวนยังพอใจกับสิ่งนี้
เขาเพียงต้องการย้ายอาณาจักรแห่งความฝันออกจากมิติช่องว่างจักรพรรดิเท่านั้น
อาณาจักรแห่งความฝันทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นกายาแห่งความฝันและถูกดึงออกไป
ภายใต้การจัดการของฟางหยวน กายาแห่งความฝันเหล่านี้ถูกจัดวางในตำแหน่งที่เขาวางแผนไว้
จากนั้นเขาก็สั่งให้พวกมันระเบิดตัวเองและกลายเป็นอาณาจักรแห่งความฝันอีกครั้ง
อาณาจักรแห่งความฝันกลายเป็นปราการป้องกันที่แน่นหนา แม้ผู้อมตะระดับแปดจากวังสวรรค์จะมาที่นี่ พวกเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใดกับอาณาจักรแห่งความฝันเหล่านี้
หลังจากเตรียมการขั้นแรกสำเร็จ ฟางหยวนเริ่มสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะ
ตอนนี้เขาอยู่ลึกลงไปในทะเลทรายนิรนาม
มีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ที่นี่ ทรายของที่นี่มีส่วนผสมของทองคำทำให้สถานที่แห่งนี้เปล่งประกายเจิดจ้า
แต่สิ่งที่ฟางหยวนสนใจที่สุดคือใจกลางของถ้ำมีสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา
มันมีขนาดเล็กกว่าสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาก่อนหน้านี้แต่มันมีเสถียรภาพมากกว่า ด้วยค่ายกลวิญญาณของฟางหยวน เขาสามารถใช้มันเป็นทางผ่านเพื่อเข้าสู่สายธารแห่งกาลเวลา
แท้จริงแล้วนี่เป็นสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาแห่งสุดท้ายในการครอบครองของนิกายเงา
ฟางหยวนจัดตั้งค่ายกลวิญญาณอมตะอย่างระมัดระวัง
ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของเขาอยู่ในระดับปรมาจารย์ ระหว่างทางเขาถูกไล่ล่าโดยวังสวรรค์ เขาต้องสร้างค่ายกลวิญญาณมากมาย นั่นทำให้เขาได้รับประสบการณ์มากขึ้น
ดังนั้นเขาจึงสามารถจัดตั้งค่ายกลวิญญาณนี้ได้อย่างสงบนิ่งและมั่นใจกับมันมาก
ตามความคาดหมาย ฟางหยวนใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเพื่อจัดตั้งค่ายกลวิญญาณนี้
ไป่หนิงปิงและคนอื่นๆที่ลาดตระเวนอยู่รอบๆถูกเรียกกลับมา
จากนั้นพวกนางก็เข้าไปในมิติช่องว่างของฟางหยวนก่อนที่เขาจะออกคำสั่งอิงอู๋เซี่ย “ลงมือได้”
ท่าไม้ตายอมตะผลาญวิญญาณระเบิดโชค!
อิงอู๋เซี่ยใช้ท่าไม้ตายอมตะนี้อีกครั้ง ด้วยการเชื่อมโยงโชค มันจะทำให้ฟางหยวนและคนอื่นๆโชคดีมากในช่วงเวลาหลังจากนี้
ในความเป็นจริงฟางหยวนต้องการใช้มันด้วยตนเองเช่นกัน
แต่เขาเคยใช้มันมาแล้ว ตอนนี้รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเขาไม่เพียงพอที่จะใช้มันเป็นครั้งที่สอง
อิงอู๋เซี่ยเป็นร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ เขามีรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณที่ลึกล้ำและสามารถใช้ท่าไม้ตายนี้ได้หลายครั้ง แต่ฟางหยวนไม่สามารถปล่อยให้รากฐานของอิงอู๋เซี่ยตกต่ำมากเกินไป
มิฉะนั้นมันจะส่งผลกระทบต่อการใช้ท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝันของอิงอู๋เซี่ย
ความแข็งแกร่งมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ
ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนกับบางสิ่ง
ค่ายกลวิญญาณอมตะทำให้กระแสน้ำเริ่มปั่นป่วน
มีร่างแยกหมื่นตัวตนจำนวนมากอยู่ในมิติช่องว่างของฟางหยวน
พร้อมกับพลังอำนาจของท่าไม้ตาอยมะตผลาญวิญญาณระเบิดโชคและอสูรปีวอกแรกกำเนิด
กล่าวได้ว่าฟางหยวนเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
เขารู้ว่าการเดินทางไปยังสายธารแห่งกาลเวลาครั้งนี้มีอันตรายแต่เขาต้องไป
ท่าไม้ตายอมตะเกราะหวนคืน!
ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นอสูรปีบรรพกาล!
ในเวลาต่อมาเขากลายเป็นอสูรปีบรรพกาล ค่ายกลวิญญาณระเบิดแสงสว่างออกมาและเปิดทางเข้าสู่สายธารแห่งกาลเวลา
ฟางหยวนทะยานร่างเข้าไปทันที
“ครืน ครืน ครืน…”
คลื่นน้ำขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนสาดซัด
สายตาของฟางหยวนมองไปข้างหน้า
มันคือสายธารแห่งกาลเวลา!
บทที่ 1431 วิญญาณป่ามาหา
ตำนานกล่าวว่ามีแม่น้ำสายหนึ่งที่รู้จักกันในนามของสายธารแห่งกาลเวลา
มันไหลผ่านอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ทุกสิ่งในโลกนี้เปรียบเสมือนปลาในแม่น้ำที่สามารถว่ายไปตามกระแสของมันเท่านั้น
หากปราศจากสายธารแห่งกาลเวลา โลกจะหยุดนิ่งและกลายเป็นภาพวาด มีเพียงสายธารแห่งกาลเวลาที่สามารถเปลี่ยนแปลงและทำให้โลกเคลื่อนที่ไปข้างหน้าไม่ว่าจะรุ่งเรืองหรือตกต่ำ
‘ข้าอยู่ในสายธารแห่งกาลเวลาอีกครั้ง’ ฟางหยวนถอนหายใจ
เขามองไปรอบๆ แม้มันจะถูกเรียกว่าสายธารแห่งกาลเวลาแต่มันกว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทร
ท่ามกลางความมืดมิด สายธารแห่งกาลเวลาไหลไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
น้ำในสายธารแห่งกาลเวลาเป็นสีขาวซีดแต่ระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนของมันปลดปล่อยสีสันที่งดงามออกมาตลอดเวลา
แสงสะท้อนใบหน้าของฟางหยวน
ฟางหยวนรู้สึกมึนงงอยู่ชั่วขณะก่อนจะได้สติอีกครั้ง
เขาเปิดประตูทางออกมิติช่องว่างและปล่อยอสูรปีวอกแรกกำเนิดออกมา
“เจี๊ยก เจี๊ยก เจี๊ยก…” อสูรปีวอกแรกกำเนิดตื่นเต้นมากเมื่อได้กลับบ้าน
มันกระโดดลงไปในแม่น้ำและทำให้เกิดคลื่นน้ำขนาดใหญ่
ฟางหยวนอยู่ในร่างอสูรปีวอกบรรพกาล แต่เขาตัวเล็กกว่าอสูรปีวอกแรกกำเนิด ตอนนี้เขากำลังลอยอยู่กลางอากาศ เขาไม่ใช่อสูรปีที่แท้จริง แม้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงของเขาจะเปลี่ยนเป็นร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกาลเวลา แต่มันจะดีกว่าที่เขาจะไม่แตะต้องสายธารแห่งกาลเวลาหากเขาทำได้
“ไปกันเถอะ” ฟางหยวนออกคำสั่งอสูรปีวอกที่กำลังเล่นน้ำอยู่ในสายธารแห่งกาลเวลา
ประโยชน์ของการทุบตีก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นแล้วว่ามันทำให้อสูรปีวอกแรกกำเนิดเชื่อฟังฟางหยวนมากกว่าอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด
อย่างไรก็ตามแม้เขาจะใช้ท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อย แต่เนื่องจากรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของฟางหยวนตกต่ำลงมาก มันจึงค่อนข้างลำบากในการควบคุมวานรยักษ์ตัวนี้
‘แม้ตอนนี้สถานการณ์จะยังสงบแต่จิตวิญญาณของข้ายังแบกรับภาระหนักมาก หากเราเข้าสู่การต่อสู้ที่ดุเดือด ข้าอาจไม่สามารถออกคำสั่งอสูรปีวอกแรกกำเนิดตัวนี้’
ฟางหยวนเตือนตนเองอยู่ภายใน
นี่เป็นข้อบกพร่องแต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะฟางหยวนทำเต็มที่แล้ว
พวกเขาเดินทางต่อไปอย่างเงียบๆ
“ครืน…ครืน…ครืน…”
กระแสน้ำยังคงโหมกระหน่ำ
นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางหยวนมาที่นี่ด้วยร่างกายภาพของเขา
สองสามครั้งก่อนหน้า วิญญาณกาลเวลานำเพียงดวงวิญญาณของเขาเดินทางมา นั่นทำให้เขาไม่สามารถสังเกตเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจน กล่าวได้ว่าครั้งนี้เขาได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง
สายธารแห่งกาลเวลาเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์พิภพซึ่งเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง
แต่การเข้าสู่สายธารแห่งกาลเวลาจำเป็นต้องพึ่งพาผู้อมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาที่มีรากฐานลึกล้ำ ฟางหยวนเข้ามาได้เพราะวิธีบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงรวมถึงมรดกของราชันภูเขาม่วงและมรดกของไห่ฟาน
สายธารแห่งกาลเวลาไม่ได้ปราศจากรูปแบบชีวิต
ฟางหยวนเห็นวิญญาณป่ามากมาย บางดวงลอยไปตามกระแสน้ำ บางดวงบินอยู่กลางอากาศ
‘หือ?’ วิญญาณปีป่าหกดวงบินเข้ามาเกาะอยู่บนร่างกายของฟางหยวนอย่างเงียบๆและไม่เคลื่อนไหวอีก
‘เป็นเช่นนี้’ ฟางหยวนเข้าใจอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เขาเป็นอสูรปีวอกบรรพกาลและด้วยท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย วิญญาณป่าจึงไม่สามารถแยกแยะกลิ่นอายของเขาและปฏิบัติต่อเขาเหมือนอสูรปีวอกบรรพกาลที่แท้จริง
วิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งกาลเวลาเหล่านี้ถูกดึงดูดมาโดยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของฟางหยวน พวกมันรู้สึกว่าร่างกายของเขาเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการอยู่อาศัย ดังนั้นพวกมันจึงเข้ามาหาเขา
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
โดยธรรมชาติแล้ววิญญาณเป็นสิ่งบอบบาง แม้วิญญาณป่าจะสามารถดูดซับพลังงานสวรรค์พิภพได้โดยตรง แต่พวกมันก็ยังตกอยู่ในอันตรายแม้พวกมันจะมีความสามารถที่แข็งแกร่งก็ตาม
ดังนั้นการอาศัยอยู่ในร่างของรูปแบบชีวิตที่แข็งแกร่งจึงเป็นทางรอดของพวกมัน
ฟางหยวนเข้ามาในสายธารแห่งกาลเวลาเพียงไม่กี่นาทีแต่มีวิญญาณป่าระดับมนุษย์หลายร้อยดวงบินเข้ามาหาเขา
ส่วนใหญ่เป็นวิญญาณวันกับวิญญาณเดือน ไม่มีวิญญาณปี
สำหรับอสูรปีวอกแรกกำเนิด มันยิ่งได้กำไรมากกว่า
เดิมทีอสูรปีวอกแรกกำเนิดมีวิญญาณป่าระดับมนุษย์อยู่มากมาย แต่พวกมันถูกทำลายในการต่อสู้กับฟางหยวนและเหลือเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้น
แต่ตอนนี้มันกำลังถูกเติมเต็ม
อสูรปีวอกแรกกำเนิดมีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่าฟางหยวนโดยธรรมชาติ มันได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากวิญญาณป่าระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งกาลเวลา ขณะที่มันว่ายอยู่ในแม่น้ำ วิญญาณป่าบนเส้นทางแห่งกาลเวลาบินเข้ามาหามันราวกับเมฆหมอกสีดำ
แต่สถานการณ์นี้กินเวลาเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อฟางหยวนและอสูรปีวอกแรกกำเนิดมีวิญญาณป่าระดับมนุษย์ในการครอบครองมากเกินไป พวกมันจะรู้สึกถึงความแออัดและหยุดเข้ามาหาพวกเขา
ฟางหยวนคิดและไม่ได้ทำสิ่งใดกับวิญญาณป่าระดับมนุษย์เหล่านี้
ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเขา มันเป็นเรื่องง่ายที่จะปรับแต่งวิญญาณป่าระดับมนุษย์
อย่างไรก็ตามนั่นจะทำลายการปลอมตัวของเขา
นอกจากนี้วิญญาณป่าระดับมนุษย์เหล่านี้ก็ไม่มีสิ่งใดพิเศษ เว้นเพียงพวกมันจะเป็นวิญญาณอมตะ พวกมันจึงจะสามารถดึงดูดความสนใจของฟางหยวนได้เล็กน้อย
“โฮก…”
ขณะที่พวกเขากำลังเดินทาง พยัคฆ์ตัวหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำ แต่มันก็หลบหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดพัก
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นหลายครั้ง
อาจกล่าวได้ว่าอสูรปีวอกแรกกำเนิดเหมือนใบเบิกทางของฟางหยวน
ในความเป็นจริงนอกจากอสูรปียังมีอสูรเดือนและอสูรวัน พวกมันคล้ายกับอสูรปีแต่พวกมันกินวิญญาณเดือนและวิญญาณวันเป็นอาหาร
หลังจากสองชั่วโมง สายธารแห่งกาลเวลายังคงซัดสาดท่ามกลางความมืด
ทิวทัศน์ของมันไม่เปลี่ยนแปลงราวกับพวกเขายังอยู่ที่เดิม
ครึ่งร่างของอสูรปีวอกแรกกำเนิดอยู่ในแม่น้ำ มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆราวกับเนินเขาที่ลอยอยู่
สำหรับฟางหยวนในร่างของอสูรปีวอกบรรพกาล เขาลอยอยู่เหนือแม่น้ำและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ฟางหยวนมั่นใจเพราะเขาได้รับมรดกของราชันภูเขาม่วง ความรู้สึกที่อยู่ในหัวใจของเขาทวีความรุนแรงมากขึ้น ตราบเท่าที่เขาทำตามความรู้สึกนี้ เขาจะพบมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงที่อยู่ในการครอบครองของเทพปีศาจจิตวิญญาณอย่างแน่นอน
สิ่งที่จะขัดขวางเขานอกจากสายธารแห่งกาลเวลาก็คือการไล่ล่าและการซุ่มโจมตีของวังสวรรค์
“ครืน…”
เป็นเพียงเวลานี้ที่กระแสน้ำจากสายธารแห่งกาลเวลาพุ่งขึ้นสู่อากาศอย่างกะทันหัน
มันพุ่งขึ้นจากด้านซ้ายของฟางหยวน
“กรอ…” อสูรปีวอกแรกกำเนิดคำรามและซ่อนความจริงจังเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่ผ่อนคลาย
“นี่คือน้ำพุกะทันหัน” รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลง
สายธารแห่งกาลเวลาไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย บางช่วงของแม่น้ำจะมีอันตรายและความไม่แน่นอนหลายประการซ่อนอยู่
น้ำพุกะทันหันเป็นหนึ่งในนั้น
หากถูกโจมตีโดยน้ำพุกะทันหัน ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกาลเวลาจะถูกสลักไว้บนร่างกายของเป้าหมาย พวกเขาอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตด้วยการสูญเสียอายุขัย
ฟางหยวนค่อยๆเคลื่อนที่ไปตามอสูรปีวอกแรกกำเนิด เขาไม่สามารถรับมือน้ำพุกะทันหันและทำได้เพียงใช้ร่างกายอันใหญ่โตของอสูรปีวอกแรกกำเนิดเพื่อต่อต้านมันเท่านั้น
พวกเขาต้องเดินทางผ่านสายธารแห่งกาลเวลาเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง
ขณะที่ฟางหยวนอยู่ในสายธารแห่งกาลเวลา ใกล้กับสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาในทะเลทรายตะวันตก ผู้อมตะสามคนพึ่งมาถึง
หนึ่งเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่ดูสง่างาม อีกสองเป็นผู้อมตะระดับแปดที่ดูแข็งแกร่งราวกับภูเขา
พวกเขาก็คือฟงจิวเก้อและสองผู้อมตะจากวังสวรรค์
แผนการของเทพธิดาจื่อเว่ยคือใช้ประโยชน์จากฟางหยวนเพื่อค้นหามรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง
ตอนนี้ฟางหยวนเข้าไปยังสายธารแห่งกาลเวลาเพื่อรับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงแล้ว เป็นธรรมดาที่เทพธิดาจื่อเว่ยจะต้องส่งคนติดตามไป
“ผู้ใดจะคิดว่าปีศาจต่างโลกผู้นี้จะสามารถต่อสู้กับน้องฟงได้อย่างเท่าเทียม”
“ด้วยความช่วยเหลือจากพวกเรา ไม่ว่าเขาจะยอดเยี่ยมเพียงใด เขาก็ไม่สามารถหลบหนีจากความตาย”
ฟงจิวเก้อพึ่งพบกับผู้อมตะจากวังสวรรค์ทั้งสองเพียงไม่นาน แต่เขาไม่ใช่คนที่จะปกปิดข้อมูลเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตนเอง เขาอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียด
“หากเราร่วมมือกัน เราจะสามารถสังหารฟางหยวนได้อย่างแน่นอน” ฟงจิวเก้อพยักหน้าเล็กน้อย
ตอนนี้พลังการต่อสู้ของฟางหยวนใกล้เคียงกับฟงจิวเก้อ แต่เปรียบเทียบกับผู้อมตะระดับแปดถึงสองคน มันยังไม่เพียงพอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่าไม้ตายอมตะเสียงกลองหัวใจของฟงจิวเก้อได้รับการพัฒนาขึ้นอีกครั้งโดยเทพธิดาจื่อเว่ยเพื่อเป็นไพ่ตายในการกำจัดฟางหยวน
“หือ? อาณาจักรแห่งความฝันงั้นหรือ?” ฟงจิวเก้อและสองผู้อมตะระดับแปดพบอาณาจักรแห่งความฝันในที่สุด
“ดูเหมือนเราจะทำได้แค่รอ”
“อาณาจักรแห่งความฝันเคลื่อนที่ตลอดเวลา ช่องว่างจะปรากฏขึ้นในที่สุด เมื่อเวลานั้นมาถึงพวกเราจะสามาถเข้าไป”
“นอกจากพวกเรายังมีท่านหงซื่อที่อยู่ในสายธารแห่งกาลเวลา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้ที่สายธารแห่งกาลเวลาในรอบหมื่นปี ฟางหยวนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
ผู้อมตะทั้งสามสนทนาและตัดสินใจรอคอยโอกาสอยู่ที่นี่
ในสายธารแห่งกาลเวลา
“เจี๊ยก!”
ร่างกายของอสูรปีวอกแรกกำเนิดเต็มไปด้วยบาดแผล
ฟางหยวนหันหลังกลับและรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
‘โชคดีที่อสูรปีวอกแรกกำเนิดช่วยปกป้องข้า มิเช่นนั้นเราจะผ่านมันมาได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร?’
น้ำพุกะทันหันทรงพลังมาก อย่างน้อยพวกมันก็มีพลังอำนาจเทียบเท่ากับท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดและส่วนใหญ่ยังเทียบเท่ากับท่าไม้ตายอมตะระดับแปด ฟางหยวนยังได้เห็นน้ำพุกะทันหันระดับเก้าอีกด้วย
โชคดีที่ฟางหยวนอยู่ห่างจากการปะทุขึ้นอย่างกะทันหันของมัน นั่นทำให้เขายังปลอดภัยมาถึงตอนนี้
‘อสูรปีวอกแรกกำเนิดได้รับบาดเจ็บค่อนข้างมาก แต่วิธีการของข้าค่อนข้างจำกัด ข้าไม่สามารถรักษามันได้’ ฟางหยวนตรวจสอบและลอบถอนหายใจ
วิธีการรักษาบนเส้นทางสายอื่นจะถูกจำกัดพลังอำนาจเมื่ออยู่ที่นี่ ในแง่ของเส้นทางแห่งกาลเวลา ฟางหยวนมีเพียงวิญญาณอมตะบุรุษคนก่อนหน้า แต่วิญญาณอมตะดวงนี้ใช้ได้กับร่างกายของมนุษย์เท่านั้น
ฟางหยวนทำได้เพียงปล่อยให้อสูรปีวอกแรกกำเนิดฟื้นตัวขึ้นด้วยตัวมันเอง
‘ข้าควรหยุดสักครู่เพื่อให้อสูรปีวอกแรกกำเนิดมีเวลาฟื้นตัวหรือไม่?’
ฟางหยวนลังเล
น้ำพุกะทันหันเป็นเพียงอุปสรรคแรกในการรับสืบทอดมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง ฟางหยวนยังต้องเผชิญหน้ากับแมงมุมทมิฬ ฉลามนิ้วกาลเวลา และปราณดาบแห่งกาลเวลา
อุปสรรคทั้งสามอันตรายกว่าน้ำพุกะทันหัน
“น้ำพุกะทันหัน?” หงซื่อมองสายธารแห่งกาลเวลาที่อยู่ด้านหน้าและขมวดคิ้ว
“จากข้อมูลของเทพธิดาจื่อเว่ย ฟางหยวนอยู่ข้างหน้า” ดวงตาของหงซื่อส่องประกายขึ้นขณะที่เขาบินเข้าไปหาน้ำพุกะทันหันด้วยความเด็ดเดี่ยว
บทที่ 1432 การไล่ล่าของหงซื่อ
“บึม!”
น้ำพุกะทันหันพุ่งขึ้นจากผิวน้ำ
เปรียบเทียบกับน้ำพุกะทันหัน ร่างของหงซื่อไม่ต่างจากยุงตัวน้อย
เมื่อเข้าใกล้น้ำพุกะทันหัน หงซื่อรู้สึกว่ามันเร็วขึ้น
ในความเป็นจริงน้ำพุกะทันหันจะทำให้ทุกสิ่งที่อยู่รอบๆช้าลง ในกรณีนี้เหยื่อจะพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะหลบหนี
“ฮืม!” หงซื่อไม่สะทกสะท้าน ในช่วงเวลาสำคัญ แสงสว่างส่องประกายออกมาจากศีรษะของเขา
ผลกระทบของน้ำพุกะทันหันถูกทำลาย เขาสามารถล่าถอยออกไปได้อย่างปลอดภัย
แต่น้ำพุกะทันหันยังสร้างคลื่นขนาดใหญ่ขึ้น
หงซื่อปาดเหงื่อบนหน้าผาก
‘น้ำพุกะทันหันลูกนี้มีพลังเทียบเท่ากับท่าไม้ตายอมตะระดับแปด กระทั่งข้าก็ยังต้องระวังตัว หากถูกโจมตี ข้าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส’
‘หากข้าพบน้ำพุกะทันหันระดับเก้า ข้าอาจถึงตาย’
หงซื่อรู้สึกถึงแรงกดดัน
แม้เขาจะเป็นผู้อมตะระดับแปดและมีความได้เปรียบในการต่อสู้ที่สายธารแห่งกาลเวลา แต่เขารู้ว่าฟางหยวนมีโชค
การอยู่ในสายธารแห่งกาลเวลา นอกจากความแข็งแกร่งยังต้องอาศัยโชคของตนเอง
‘ตอนนี้ข้ากำลังไล่ตามฟางหยวน ด้วยพลังอำนาจของโชค การเดินทางของข้าจะไม่ราบรื่น มันจะเต็มไปด้วยปัญหา’
‘ฟางหยวนเลือกเส้นทางนี้เพื่อสร้างปัญหาให้ข้า นี่เป็นแผนการที่ดี’
‘อย่างไรก็ตาม…’ หงซื่อรู้สึกสงสัย ‘ไม่ว่าฟางหยวนจะโชคดีเพียงใด เขาก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงน้ำพุกะทันหันทั้งหมดใช่หรือไม่? แม้จะไม่มีน้ำพุกะทันหันระดับเก้า เพียงน้ำพุกะทันหันระดับเจ็ดหรือแปด มันก็ยากที่จะผ่าน เขาจะใช้เกราะหวนคืนตลอดเวลาได้อย่างไร?’
หากเขาใช้เกราะหวนคืน นั่นจะเป็นข่าวดีสำหรับหงซื่อ
การใช้เกราะหวนคืนหมายถึงการใช้พลังงานอมตะ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อหงซื่อในการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง
หงซื่อไม่เคยคาดคิดว่าฟางหยวนจะสามารถสะกดข่มอสูรปีแรกกำเนิดเพื่อทำหน้าที่เป็นโล่ให้เขา
แม้ฟางหยวนจะสามารถควบคุมอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด แต่วังสวรรค์ก็คิดว่ามันเป็นเพราะมรดกที่แท้จริงของไห่ฟาน
แต่ความจริงก็คือมันเป็นเพราะท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อยและวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังของชีวิต ไห่ฟานไม่เคยเปิดเผยจุดอ่อนของตนออกมา ความลับของเขาไม่เป็นที่รับรู้ของวังสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คาดคิดว่าฟางหยวนจะมีวิธีล่อลวงอสูรปีแรกกำเนิด
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ วังสวรรค์จึงไม่รู้ว่าฟางหยวนมีอสูรปีแรกกำเนิดอยู่ในการครอบครอง
หลังจากไม่กี่นาทีหงซื่อก็บินผ่านบริเวณน้ำพุกะทันหัน
เทพธิดาจื่อเว่ยส่งข้อมูลมาให้เขาอีกครั้ง
หงซื่อเปลี่ยนทิศทางและบินไล่ล่าฟางหยวนไปด้วยความเร็วสูง
ครู่ต่อมาเขาก็หยุดเคลื่อนที่และมองไปข้างหน้าด้วยความไม่แน่ใจ
“แมงมุมทมิฬ!” หงซื่อพึมพำด้วยการแสดงออกที่เคร่งขรึม
ด้านหน้ามีแมงมุมตัวใหญ่ที่เคลื่อนไหวอยู่บนใยแมงมุมขนาดมหึมา
ตอนนี้หงซื่อไม่ต่างจากมดที่อยู่ต่อหน้าช้าง
สิ่งที่ใหญ่โตกว่าแมงมุมทมิฬคือใยของมัน
ใยของมันดูเหมือนคริสตัลเส้นบางๆที่ถักทอเป็นกรงขนาดใหญ่
ใยแมงมุมจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งลงไปในแม่น้ำและหยั่งรากลึกอยู่ที่นั่น
หัวใจของหงซื่อจมดิ่งลง
เขาไม่อยากจะเชื่อว่าฟางหยวนและคนอื่นๆจะสามารถผ่านสถานที่แห่งนี้เพื่อไปรับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง
เขายืนยันทิศทางอีกครั้งและไม่พบสิ่งผิดปกติ
สิ่งนี้ทำให้หงซื่อมั่นใจมากขึ้นว่านี่คือกับดักของฟางหยวน
“ฮืม! ฟางหยวนใช้สถานที่อันตรายเพื่อบังคับให้ข้าจากไปงั้นหรือ?” หงซื่อก่นเสียงเย็นก่อนจะบินเข้าไปหาแมงมุนทมิฬ
แมงมุมทมิฬเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิด พวกมันมีอาณาเขตของตนเองในสายธารแห่งกาลเวลา ในอาณาเขตของพวกมัน กระทั่งสัตว์อสูรแรกกำเนิดก็ไม่กล้าอาละวาด
มันเป็นนักล่าที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
แมงมุมทมิฬมีความแข็งแกร่งที่เหนือจินตนาการ นอกจากร่างกายที่ใหญ่โตยังมีปากที่แหลมคมและรังคริสตัล
ใยคริสตัลแต่ละเส้นไม่ธรรมดา ผู้อมตะในอดีตตั้งชื่อมันว่าใยแห่งความสงบ
รูปแบบชีวิตที่ต่ำกว่าระดับเจ็ดจะหยุดเคลื่อนไหวทันทีที่สัมผัสมัน
สำหรับตัวตนเช่นหงซื่อ ใยแห่งความสงบเพียงเส้นเดียวไม่สามารถส่งผลกระทบต่อเขา แต่หากเป็นใยแห่งความสงบร้อยเส้นรวมกัน กระทั่งเขาก็ยังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
และในรังคริสตัลทั้งหมด แน่นอนว่ามีใยแห่งความสงบจำนวนนับไม่ถ้วน
หงซื่อเคลื่อนที่ได้ช้ามาก
เขาต้องค่อยๆเคลื่อนที่ผ่านใยแห่งความสงบไปทีละเส้น
หากเขาพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งนี้ เขาต้องอ้อมไปในระยะไกลเพื่อไล่ล่าฟางหยวน
นอกจากนั้นหากมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงอยู่ในรังคริสตัลนี้ มันย่อมไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะจากไป
ดังนั้นหงซื่อจึงต้องก้าวเข้าสู่สถานที่อันตรายเพื่อไล่ตามฟางหยวน
‘ตราบเท่าที่ข้าระวังตัวและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับใยแห่งความสงบ ข้าจะสามารถผ่านที่นี่ไปได้โดยสวัสดิภาพ’ หงซื่อคิด
แต่ในเวลานี้เสียงระเบิดกลับดังขึ้น
ใยคริสตัลเกิดการสั่นสะเทือน
แมงมุมทมิฬมองไปที่หงซื่อ
“บัดซบ!”
“มันต้องเป็นกับดักของฟางหยวน!”
หงซื่อโกรธมากและรู้สึกตกใจเล็กน้อย หากเขาเป็นฟางหยวน เขาจะวางกับดักศัตรูเช่นเดียวกันนี้
‘ตั้งแต่ข้ามาที่นี่ ข้าก็มั่นใจว่าสามารถผ่านอุปสรรคทั้งหมด!’
หงซื่อก่นเสียงเย็นและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะของเขา
ใยคริสตัลเหล่านี้ไม่ง่ายที่จะทำลาย ไม่ว่าจะเป็นท่าไม้ตายอมตะชนิดใด พวกมันจะหยุดนิ่งตราบเท่าที่พวกมันเข้าใกล้ใยแห่งความสงบ
แน่นอนว่าใยแห่งความสงบมีขีดจำกัดในการป้องกันโดยเฉพาะท่าไม้ตายอมตะระดับแปด
หงซื่อลงมือโดยใช้ท่าไม้ตายอมตะระดับแปดของเขา
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งกาลเวลา เขามีวิธีที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านใยแห่งความสงบ
นอกจากนี้แมงมุมทมิฬยังเคลื่อนที่ได้ช้า มันไม่สามารถไล่ล่าหงซื่อ
หงซื่อไม่ต้องการต่อสู้กับแมงมุมทมิฬ เขามีหน้าที่สำคัญที่ต้องทำ
แต่เส้นทางการล่าถอยของเขาไม่ราบรื่น เขาพบการโจมตีมากมายไม่ว่าจะเป็นคลื่นเสียง น้ำค้างแข็ง หรือเปลวไฟ
ความเร็วของหงซื่อลดลงอย่างมาก ในที่สุดแมงมุมทมิฬก็ตามทันและเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้น
“บึม บึม บึม…”
หลังการต่อสู้ที่รุนแรง หงซื่อสามารถออกจากอาณาเขตของมันได้ในที่สุด
แต่ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่น่าสงสารมาก นอกจากร่างกายของเขาจะปกคลุมไปด้วยฝุ่น เขายังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
“สารเลวฟางหยวน! เขาวางกับดักไว้กี่ชั้น สิ่งสำคัญคือกับดักเหล่านี้ถูกใช้งานในเวลาที่เหมาะสม มันเป็นแผนการที่ลึกซึ้ง!”
หงซื่อพบความสูญเสียและเต็มไปด้วยความโกรธ
เขารักษาอาการบาดเจ็บของตนเองขณะบินต่อไปข้างหน้า
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เข้าไปในยังพื้นที่ที่แปลกประหลาด
“เกิดสิ่งใดขึ้น? ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบนเส้นทางแห่งดาบ” หงซื่อรู้สึกประหลาดใจและสงสัย
เขาชะลอความเร็วและสังเกตบริเวณที่มีกลิ่นอายของปราณดาบแทรกซึมอยู่
“อย่าบอกข้าว่า…”
หงซื่อขมวดคิ้ว
“ข้าเดินทางทวนกระแสน้ำไปสู่อดีต ในแง่ของระยะทาง ข้าอาจย้อนกลับไปถึงหนึ่งแสนปีแล้ว”
“ในยุคนี้ วิถีดาบ วิถีดาบ…”
“ข้ารู้แล้ว! ซื่อหยวนแห่งทะเลทรายตะวันตก คนผู้นี้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งดาบ เขาสามารถสังหารผู้อมตะระดับแปดถึงสามคน ยังมีปีศาจอมตะบนเส้นทางแห่งดาบอีกคน เขาคือเต๋าจิ่วหลาง เขาเคยอาละวาดอยู่ในทะเลทรายตะวันตก สองคนนี้เคยต่อสู้กันมาก่อนและนำไปสู่การทำลายล้างครั้งใหญ่”
หงซื่อใช้วิธีการตรวจสอบของเขาและพบว่าแม่น้ำบริเวณนี้ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ระหว่างผู้อมตะระดับแปดทั้งสองทำให้พื้นที่บริเวณนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของปราณดาบ
การเดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้อันตรายกว่าส่วนของน้ำพุกะทันหันเพราะมีความเป็นไปได้ที่ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบของเต๋าจิ่วหลางหรือซื่อหยวนจะปรากฏขึ้นและโจมตีเขา
“ฟางหยวนและคนอื่นๆมาที่นี่จริงๆงั้นหรือ? พวกเขากำลังรนหาที่ตาย!” หงซื่อกัดฟันและเดินทางต่อไป
หากฟางหยวนและคนอื่นๆสามารถมาที่นี่ ในฐานะผู้อมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งกาลเวลา เขาจถอยกลับได้อย่างไร
ด้วยการนำทางของเทพธิดาจื่อเว่ย หงซื่อเข้าใกล้เป้าหมายของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“กรอ…”
อสูรปีวอกแรกกำเนิดกำลังต่อสู้อยู่ในคลื่นน้ำ ร่างกายของมันเต็มไปด้วยบาดแผลเลือดไหล
อสูรปีวอกบรรพกาล ไป่หนิงปิง เทพธิดาเมี่ยวหยิน และคนอื่นๆกำลังปกป้องตัวเอง
“ในที่สุดข้าก็พบพวกเขา!” ดวงตาของหงซื่อส่องประกายขึ้น เขาทะยานร่างไปข้างหน้าโดยไม่ต้องคิด
บทที่ 1433 มันไร้ยางอายเกินไป
ไป่หนิงปิงและคนอื่นๆติดอยู่ในแม่น้ำส่วนที่มีปราณดาบ หงซื่อมองเห็นโอกาส แล้วเขาจะปล่อยมันไปได้อย่างไร
เขาไล่ล่าศัตรูมาด้วยความโกรธ เมื่อพบเป้าหมาย เขากระโจนเข้าไปทันที
“ครืน…ครืน…”
คลื่นน้ำยังคงซัดสาด
ภายใต้ปราณดาบจำนวนนับไม่ถ้วน เขาพุ่งเข้าไปหาสมาชิกนิกายเงา
โดยไม่ใช่ข้อยกเว้น หงซื่อถูกโจมตีโดยปราณดาบเช่นกัน แต่วิธีป้องกันของเขาเหนือกว่าสมาชิกนิกายเงา กล่าวได้ว่าเขามีช่วงเวลาที่ง่ายดายกว่า
ท่าไม้ตายอมตะกระสุนสุริยันจันทรา!
หงซื่อเย้ยหยันและผลักฝ่ามือทั้งสองข้างออกไป ลูกศรแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าโจมตีสมาชิกนิกายเงา
“ศัตรู!” ไป่หนิงปิงตะโกนเตือน
กระสุนสุริยันจันทราทรงพลังมาก กระทั่งไป่หนิงปิงก็ยังถูกสะกดข่มอย่างหนัก
“กรอ…”
สิ่งนี้ทำให้อสูรปีวอกแรกกำเนิดโกรธ มันคำรามและกระโดดขึ้นสู่อากาศ
กระสุนสุริยันจันทราปะทะร่างของมันและสร้างรูเลือดขนาดเล็กทิ้งไว้แต่นั่นเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับมัน
มือของวานรยักษ์คว้าจับไปที่หงซื่อพร้อมกับสายลมที่กรรโชกแรง
ตระหนักถึงพลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัว เปลือกตาของหงซื่อกระตุก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
‘อสูรปีวอกแรกกำเนิดตัวนี้เป็นของจริง มันไม่ใช่ทักษะการเปลี่ยนแปลงของฟางหยวนงั้นหรือ?’
‘พวกเขาสามารถควบคุมอสูรปีวอกแรกกำเนิดที่มีพลังการต่อสู้ระดับแปดได้จริงๆงั้นหรือ?’
หงซื่อไม่ใช่ผู้อมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งหรือเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง เขาไม่เก่งในการต่อสู้ระยะประชิด แม้เขาจะเป็นผู้อมตะของวังสวรรค์ แต่เผชิญหน้ากับอสูรปีวอกแรกกำเนิด เขายังต้องล่าถอย
เขาเคลื่อนที่ถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
ที่นี่เต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกาลเวลา เขามีความได้เปรียบในการต่อสู้
อสูรปีวอกแรกกำเนิดพลาดเป้าและร่วงลงสู่แม่น้ำ แต่มันกลับคำรามและกระโดดเข้าโจมตีหงซื่ออีกครั้ง
ดวงตาของหงซื่อส่องประกายขึ้น
เขาเห็นบาดแผลบนร่างของวานรยักษ์ตัวนี้ มันไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด แต่นั่นเป็นเรื่องปกติ อสูรปีวอกแรกกำเนิดมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ฟางหยวนสามารถเดินทางมาถึงที่นี่ พิจารณาจากสภาพปัจจุบัน มันอาจสูญเสียความแข็งแกร่งไปแล้วสามสิบหรือสี่สิบส่วน
‘ในกรณีนี้’ เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของหงซื่อปะทุขึ้น
เขาสูดหายใจลึกและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะอีกครั้ง
ฝุ่นทรายสีเหลืองร่วงหล่นลงมาทำให้ความเร็วของอสูรปีวอกแรกกำเนิดช้าลง
หงซื่อรู้สึกเบิกบานใจเมื่อเห็นสิ่งนี้
เขามั่นใจในท่าไม้ตายอมตะของตนเองเป็นอย่างมาก เมื่อสัมผัสกับฝุ่นทรายเหล่านี้ การเคลื่อนที่ของเป้าหมายจะช้าลง
ด้วยวิธีนี้หงซื่อจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในไม่ช้า
แต่ในเวลานี้!
“ครืน…”
คลื่นลูกใหญ่กลับพุ่งขึ้นสู่อากาสและตรงไปยังหงซื่อ
จากภายในคลื่นน้ำสีขาวซีด ปราณดาบอันแหลมคมพุ่งเข้าโจมตีหงซื่อและทำให้เขากระอักเลือดคำโตออกมาจากปาก
หงซื่อได้รับบาดเจ็บ มันส่งผลกระทบต่อฝุ่นทรายสีเหลืองขณะที่อสูรปีวอกแรกกำเนิดกำลังดิ้นรนอย่างหนัก
หงซื่อกัดฟันแน่นและเพิ่มความเข้มข้นของฝุ่นทรายสีเหลืองเพื่อหยุดอสูรปีวอกแรกกำเนิด
ไป่หนิงปิงและคนอื่นๆใช้ท่าไม้ตายอมตะของพวกนางช่วยอสูรปีวอกแรกกำเนิดแต่พวกมันยังไร้ประโยชน์
ในสายธารแห่งกาลเวลา ทักษะบนเส้นทางสายอื่นจะอ่อนแอลง
ในช่วงเวลาสำคัญการแสดงออกของอิงอู๋เซี่ยก็เปลี่ยนเป็นน่ากลัว เขากำลังจะใช้ท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝัน
“หือ?” แต่ในเวลานี้อิงอู๋เซี่ยกลับสูญเสียเป้าหมาย
เขาไม่สามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของหงซื่อ
‘ท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝันต้องระบุเป้าหมายที่ชัดเจน มิฉะนั้นมันจะไร้ประโยชน์ หงซื่อมีวิธีซ่อนตัวจากการรับรู้บนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของข้างั้นหรือ?’
“โอ้ ท่าไม้ตายที่ท่านหญิงจื่อเว่ยมอบให้ข้าใช้งานได้ดีจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า” หงซื่อหัวเราะเย้ยหยัน
แม้ท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝันจะทรงพลังแต่มันก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน
เทพธิดาจื่อเว่ยมอบภารกิจไลล่ากลุ่มของฟางหยวนให้กับหงซื่อ เป็นธรรมดาที่นางจะมีวิธีรับมือกับท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝัน
คนฉลาดจะเรียนรู้จากความผิดพลาดโดยไม่ต้องกล่าวถึงเทพธิดาจื่อเว่ยที่เป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของวังสวรรค์
หงซื่อเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ท่าไม้ตายอมตะนำวิญญาณสู่ความฝันไม่สามารถใช้กับเขา
“โอ้ ไม่” การแสดงออกของอิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่
พวกเขาไม่สามารถกอบกู้สถานการณ์และต้องพึ่งพาฟางหยวนเท่านั้น
แต่ฟางหยวนอยู่ที่ใด?
หงซื่อกำลังพิจารณาปัญหานี้
เดิมทีเขาคิดว่าอสูรปีวอกแรกกำเนิดตัวนี้คือฟางหยวน แต่หลังจากต่อสู้ เขาตระหนักว่ามันเป็นอสูรปีวอกแรกกำเนิดที่แท้จริง
ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น ฟางหยวนยังไม่ปรากฏตัว
ยิ่งฟางหยวนซ่อนตัวนานเท่าใด หงซื่อก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากเท่านั้น
“ฟางหยวน เจ้ายังไม่ออกมาอีกงั้นหรือ? หากเป็นเช่นนี้ ฮ่าฮ่า หือ?” หงซื่อตกตะลึง
เป็นเพียงเวลานี้ที่คลื่นยักษ์จากสายธารแห่งกาลเวลาซัดสาดเข้ามาหาเขา
“อีกครั้ง!?” หงซื่อรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก
คลื่นยักษ์ไม่สัมผัสร่างของอสูรปีวอกแรกกำเนิดแต่พุ่งเข้าโจมตีเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก
โชคของเขาเลวร้ายมาก!
“ครืน…”
ปราณดาบจากคลื่นยักษ์ปะทะร่างของหงซื่อและทำให้เขาพ่นเลือดออกมาอีกครั้ง อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงขึ้น
เขาไม่สามารถหลบได้ นอกจากคลื่นน้ำจะทำให้เขาช้าลง เขายังต้องเผชิญหน้ากับปราณดาบที่รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
ดังนั้นหงซื่อจึงเลือกที่จะเผชิญหน้าโดยตรง
‘ตอนนี้ข้ายังเป็นฝ่ายได้เปรียบ ข้าไม่เชื่อว่าฟางหยวนจะสามารถมองดูอยู่ข้างสนามรบโดยไม่ทำสิ่งใด!’ หงซื่อให้กำลังใจตนเอง
“ครืน…ครืน…ครืน…”
คลื่นยักษ์สามลูกพุ่งเข้าไปหาหงซื่อพร้อมกัน
“อันใด!? ข้าอีกแล้วงั้นหรือ!?” หงซื่อเบิกตากว้าง
โดยปกติแล้วอสูรปีวอกแรกกำเนิดมีโอกาสถูกคลื่นซัดมากกว่า อย่างไรก็ตามตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น มีเพียงหงซื่อที่ถูกโจมตีโดยคลื่นยักษ์เหล่านี้
‘โชคของพวกเขาดีเกินไป? ไม่มีคลื่นลูกใดโจมตีพวกเขาเลยงั้นหรือ?’
‘เดี๋ยว!’ หงซื่อส่ายหน้า ‘สิ่งนี้เกิดจากวิธีบนเส้นทางแห่งโชคของฟางหยวนหรือไม่?’
เขาคิดถึงความเป็นไปได้
‘ฮืม! ถึงกระนั้นเส้นทางแห่งโชคก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้!’
‘เส้นทางแห่งโชคถูกสะกดข่มเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่ฟางหยวนจะสามารถจัดการคลื่นน้ำของที่นี่โดยใช้วิธีบนเส้นทางแห่งโชค มีเพียงวิธีบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเท่านั้นที่ทำได้!’
‘ข้ายังมีข้อได้เปรียบด้านสถานที่’
หงซื่อสงบจิตใจลงขณะที่เขายังพยายามกำหราบอสูรปีวอกแรกกำเนิดและบังคับให้ฟางหยวนปรากฏตัวออกมา
“หงซื่อตกหลุมพรางแล้ว”
“นี่คือสิ่งที่ท่านผู้นำทำนายไว้ โจมตีต่อไป อย่าเปิดเผยข้อบกพร่องใดๆ!”
สมาชิกนิกายเงาลอบพูดคุยกันอย่างลับๆ
ในเวลาเดียวกันบนเกาะใต้แม่น้ำ
ภาพการต่อสู้ปรากฏขึ้นด้านหน้าฟางหยวน
ที่นี่คือเกาะบัวหิน สถานที่ที่เทพปีศาจจิตวิญญาณเก็บมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงเอาไว้
ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งข้อมูลของเทพธิดาจื่อเว่ยบนร่างของฟางหยวนถูกลบออกไปแล้ว สำหรับไป่หนิงปิงและคนอื่นๆ แม้จะมีค่ายกลวิญญาณอมตะชำระล้างตัวเอง แต่พวกเขาไม่มีเวลาเพียงพอที่จะกำจัดพวกมันออกไปได้ทันเวลา
หากพวกเขาเข้ามาที่นี่ ร่องรอยของฟางหยวนจะถูกเปิดเผย แม้จะอยู่ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ พวกเขาก็ยังถูกค้นพบ
มันเหมือนฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งโชคค้นหาตำแหน่งของอิงอู๋เซี่ย พวกเขาไม่สามารถหลบหนีแม้จะเข้าไปในมิติช่องว่างของผู้อมตะ
ฟางหยวนและเทพธิดาจื่อเว่ยทำได้ เจตจำนงสวรรค์ก็ทำได้เช่นกัน
ตราบเท่าที่เจตจำนงสวรรค์อยู่ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ มันจะตระหนักถึงตำแหน่งของฟางหยวนได้ในที่สุด
ฟางหยวนเรียนรู้เรื่องนี้มานานแล้ว
อย่างไรก็ตามฟางหยวนยังสามารถใช้ประโยชน์จากมันในแง่มุมหนึ่ง
เขาใช้อิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆหลอกล่อเทพธิดาจื่อเว่ยเพื่อให้หงซื่อประเมินตำแหน่งของฟางหยวนผิดพลาด แม้จะไม่มาก แต่หลังจากได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง ฟางหยวนจะกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ถูกต้อง
มรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงสามารถจัดการสายธารแห่งกาลเวลาในบริเวณใกล้เคียง
“เจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณ ขอยืมมือท่านด้วย” ฟางหยวนมองไปยังเจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณ
หลังจากนั้นเจตจำนงจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากมิติช่องว่างของฟางหยวนและผสานตัวเข้ากับเจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณ
เจตจำนงของเทพปีศาจจิตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นและคำราม
ในเวลาเดียวกันคลื่นยักษ์ก็ปรากฏขึ้นในสนามรบ
“นี่…นี่…นี่…” ดวงตาของหงซื่อแทบหลุดออกมาจากเบ้า
คลื่นลูกนี้ใหญ่โตมากที่สุด ปราณดาบจำนวนนับไม่ถ้วนถูกยิงออกมาอย่างพร้อมเพรียง มันทำให้หงซื่อรู้สึกถึงภัยคุกคามต่อชีวิตของเขาอย่างรุนแรง
หงซื่อกัดฟันแน่นแต่เขาต้องอดทน
‘ข้าจะคอยดูว่าผู้ใดจะอยู่ได้นานกว่า!’ หงซื่อกำลังคิดเช่นนี้ขณะที่คลื่นยักษ์แยกออกและผ่านอสูรปีวอกแรกกำเนิดมาก่อนจะพุ่งตรงเข้ามาหาเขา
“อันใด!?”
หงซื่อกรีดร้องด้วยความโกรธ
มันไร้ยางอายเกินไป!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น