คัมภีร์วิถีเซียน 1426-1427
ตอนที่ 1426 อสูรอัสนี
ลำแสงเจิดจ้าในแววตาหม่นแสงลง หานลี่เบิกตาขึ้นอีกครั้ง กลับพบว่าตนเองอยู่บนจัตุรัสหินสีเขียวแห่งหนึ่ง
เบื้องหน้าไม่ไกลนักคือเหล่าสิ่งปลูกสร้างที่สูงใหญ่ไม่เท่ากัน
หานลี่หรี่ตาลงเล็กน้อย รู้สึกคุ้นเคยกับตึกรามบ้านช่องเหล่านี้เล็กน้อย คือสิ่งปลูกสร้างบนภูเขาที่อยู่ในภาพเขาพระสุเมรุ
เมื่อมองไปด้านล่างแวบหนึ่ง เขาพลันพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ดังคาด เขาในครานี้อยุ่บนภูเขาน้อยสีเขียวมรกต กลางอากาศเป็นสีฟ้า มีเพียงเมฆปุยขาวลอยอยู่
เขาอยู่ในห้วงมิติที่เหมือนกับในภาพเขาพระสุเมรุอย่างไรอย่างนั้น ห้วงมิติเวลานี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใหญ่นัก มีขนาดแค่สองสามลี้เท่านั้น รอบด้านถูกกำแพงลำแสงห้าสีปกคลุมอยู่
ไม่ไกลนักคนอื่นๆ ที่เหลือทั้งสามคนก็มาปรากฎตัวบนพื้นเช่นกัน
แต่แค่ไม่เหมือนกับชายร่างใหญ่และพวกทั้งสองที่พิจารณาขึ้นลงด้วยสีหน้าประหลาดใจ เจ้าของร้านพลิ้วไหวร่างกายอย่างไม่ลังเล ตรงไปยังสิ่งปลูกสร้าง
หานลี่และพวกทั้งสามไม่กล้าดูแคลน พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศและบินตามไปเช่นกัน
“พี่อวี๋ ห้วงเวลาพระสุเมรุนี่ดูแล้วไร้ข้อผิดพลาด ไม่มีจุดที่ผิดปกติตรงไหน จุดด่างพร้อยคืออะไรกันแน่” ชายหนุ่มบินมาอยู่ใกล้ๆ กับเจ้าของร้าน แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถาม
“หึๆ นายท่านคิดว่าข้าจะบอกหรือ? จุดด่างพร้อยของภาพพระสุเมรุคืออะไร ดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนของพวกเราแม้แต่น้อย” บุรุษร่างกายผ่ายผอมค้อนปะหลักปะเหลือก พลางเอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“เหอๆ พี่อวี๋กังวลเกินไปแล้ว น้องแค่สงสัยเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้าย” ชายหนุ่มได้ยินสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงสลับขาว แต่สุดท้ายก็เปล่งเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนไป
เจ้าของร้านแค่นเสียงหึ เพราะว่าอีกเดี๋ยวจะต้องอาศัยพลังของคนผู้นี้ จึงไม่ได้เอ่ยอะไรที่ไม่น่าฟังอีก แต่หลังจากที่กระพริบวาบสองสามครั้ง เขาก็มาปรากฎตัวบนหอคอยแค่หนึ่งที่ห่างออกไปร้อยจั้งเศษ สองมือไพล่หลังหยุดอยู่ตรงนั้น
หอคอยหลังนี้สูงร้อยจั้งเศษ แบ่งออกเป็นสามชั้น รูปทรงเก่าแก่โบราณ ด้านล่างหนาด้านบนแหลม
“อสูรน้อยถูกข้ากักเอาไว้ในหอคอย พวกเจ้าตามข้ามา ไปดูอสูรตัวนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน” บุรุษร่างกายผ่ายผอมรอให้หานลี่และพวกทั้งสามมารุมล้อม ก็ออกคำสั่งอย่างราบเรียบ ทันใดนั้นก็พาร่อนลงไป
หลังจากที่หานลี่และพวกทั้งสามคนมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว ก็บินตามไป
บุรุษร่างกายผ่ายผอมไม่ได้หยุดลงที่ทางเข้าชั้นหนึ่ง แต่ลอยไปที่หน้าต่างบานหนึ่งของชั้นสอง แล้วหยุดลงอีกครั้ง
หานลี่และพวกรู้สึกแปลกใจ แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็มาถึงชั้นสองเช่นกัน
พวกเขามองไปในหน้าต่างบานนั้นแวบหนึ่ง เห็นเพียงม่านลำแสงสีเงินผืนหนึ่ง หอคอยชั้นสองทั้งชั้นถูกอาคมผนึกเอาไว้
ชายหนุ่มหน้าหวานแววตาเปล่งประกาย ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก ฉับพลันนั้นเสียง “ตูมๆๆ” ก็ดังขึ้น ม่านลำแสงเบื้องหน้าสั่นไหว แม้แต่หอคอยก็ยังสั่นกระเพื่อมสองสามครั้ง
ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องอย่างต่อเนื่องราวกับพายุฝนกระหน่ำก็ดังออกมาจากม่านลำแสง ครานั้นในโสตประสาทหูของทั้งสี่คนมีแต่เสียงฟ้าร้อง ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก ราวกับว่าอยู่ในแดนที่ฟ้าระเบิดโทสะ ทำให้พวกเขารู้สึกมึนงง
“แย่แล้ว”
หานลี่คือสิ่งมีชีวิตระดับใด ภายใต้ความตกตะลึงพลันโคจรคาถาขับเคลื่อนในร่าง ชั่วพริบตาก็ได้สติขึ้นมาเป็นคนแรก
เจ้าของร้านและพวกของชายร่างใหญ่ที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญ ต่างก็สำแดงความสามารถต่างๆ ออกมาและไม่ได้ถูกทำอันตรายเช่นกัน
แต่เช่นนั้นชายหนุ่มหน้าหวานและชายร่างใหญ่ทั้งสองคนก็หน้าซีดขาวไปเช่นกัน
“นี่คืออสูรที่พี่อวี๋ต้องการให้กำราบหรือ?” ครั้งนี้ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำพลันเอ่ยถาม สายตาจ้องเขม็งไปยังที่หน้าต่าง
“ใช่แล้ว อสูรตัวนี้แหล่ะ เหล่าสหายไม่ต้องกังวล มันถูกลงอาคมกักเอาไว้ หากยังไม่ปล่อยมันออกมา ก็ไม่มีทางทำอันตรายได้” เจ้าของร้านมีสีหน้าสุขุมขึ้น สองตากลับฉายแววตื่นเต้นดีใจออกมา
ทันใดนั้นก็เห็นบุรุษพลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ลำแสงเปล่งประกายบนฝ่ามือ ม้วนภาพปรากฎขึ้นกลางฝ่ามือ
นั่นก็คือม้วนภาพเขาพระสุเมรุ
ครั้งนี้เขาไม่ได้คลี่ม้วนภาพนี้ออก มือหนึ่งพลันตะปบไปที่ม้วนภาพ อีกมือหนึ่งกลับชี้ไปที่ม่านลำแสงเบาๆ
สถานที่แปลกประหลาดพลันปรากฎขึ้น! ม่านลำแสงในหน้าต่างแตกออกราวกับกระจก ทันใดนั้นก็สลายหายไป
เจ้าของร้ายขยับปีกทั้งสอง พาเงาร่างคนสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายเข้าไปในหอคอย
ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มหน้าหวานที่ทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว ก็พากันพลิ้วกายตามไปอย่างไม่ต้องคิด
หานลี่ลูบใต้คางไปมา ขบคิดชั่วครู่ แล้วถึงได้บินเข้าไปในหน้าต่างอย่างช้าๆ
เสียง “ตูม” ดังขึ้น ทั้งหอคอยสั่นเทาอีกครั้ง พลังแรงกดธาตุอัสนีกลุ่มหนึ่ง โผเข้ามาราวกับสสาร
หานลี่ที่เพิ่งบินเข้ามาพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย จนเกือบจะทนไม่ไหวหมายจะพลิ้วกายหลบหลีก
แต่สุดท้ายก็ยังคงลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ แค่ใช้ม่านลำแสงสีเทาเบื้องหน้าต้านทานเอาไว้
ครานี้เขาถึงได้มองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน
ชั้นสองของหอคอยนั้นใหญ่กว่าที่เขาคาดเอาไว้มาก
มีพื้นที่ประมาณสองสามร้อยจั้ง ทำให้ที่นี่ดูเหมือนจัตุรัสขนาดเล็ก ใจกลางกลับมีเสาสำริดแปดสิบเอ็ดต้นตั้งตระหง่านอยู่ ทุกต้นเป็นสีเหลืองอร่าม ทั้งต้นสลักรูปอสูรปีศาจต่างๆ เอาไว้
เสาสำริดเหล่านี้ล้อมพื้นที่ขนาดสามสิบจั้งเศษเอาไว้ ตัวเสามีประจุไฟฟ้าสีแดงเปล่งแสงระยิบระยับ เปล่งเสียงเปรี๊ยะๆ ออกมา กลายเป็นกรงขังขนาดยักษ์
ในกรงขังมีหมอกสีดำขนาดสองสามจั้งกลุ่มหนึ่งหมุนวนอยู่ ด้านในมีเสียงฟ้าคำรามดังขึ้นไม่หยุด บางครั้งก็มีประจุไฟฟ้าสีเงินขาวเป็นสายๆ แลบออกมาจากหมอกสีดำ แต่เมื่อโจมตีไปยังตาข่ายไฟฟ้าสีดำ ก็สลายหายไปราวกับดาวตก
“ในนั้นคืออสูรวิญญาณธาตุไฟตัวนั้นหรือ?” ชายร่างใหญ่เกราะสีดำเห็นหมอกสีดำที่ไม่สะดุดตาเลยสักนิด ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
“อันใดพวกเจ้าดูถูกอสูรตัวนี้หรือ อสูรอัสนีตัวนี้ร้ายกาจมาก ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะได้มากง่ายๆ” เจ้าของร้ายเหลือบตามองชายร่างใหญ่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“อสูรอัสนี?” หานลี่พลันขมวดคิ้ว เอ่ยพึมพำกับตัวเอง
“ใช่ นี่คือชื่อของอสูรตัวนี้ ประวัติของอสูรอัสนีนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่ในใต้หล้านี้ก็มีเพียงตัวเดียวเท่านั้น ไม่มีตัวที่สอง” เจ้าของร้ายจ้องเขม็งไปยังตาข่ายไฟฟ้าสีดำเขม็ง ใบหน้าเผยสีหน้าบ้าระห่ำออกมา
“พูดเกินจริงไปหน่อยแล้ว การโจมตีของอสูรตัวนี้ก็ไม่เท่าไหร่หรอก” ชายหนุ่มหน้าหวานขมวดคิ้ว มองประจุไฟฟ้าสีเงินที่พ่นออกมาจากม่านหมอกด้วยท่าทีไม่เชื่อถือ
“การโจมตี? อสูรอัสนีตัวนี้ไม่ทำการโจมตีใดๆ ประจุไฟฟ้าเหล่านี้เป็นแค่ของที่ติดมาโดยกำเนิดของมันเท่านั้น โฉมหน้าที่แท้จริงและอานุภาพการโจมตีของอสูรอัสนีตัวนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองเองก็แล้วกัน” บุรุษร่างกายผ่ายผอมหยักรอยยิ้มดูแคลนออกมาขณะเอ่ย
ฉับพลันนั้นพลันชูมือขึ้น ลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบ ก็ร่อนลงบนส่วนยอดของเสาสำริดที่หนาที่สุด
เป็นอสูรน้อยติดปีกเรือนกายสีขาวราวกับหิมะตัวหนึ่ง รอบกายเต็มไปด้วยหนามแหลมๆ ยาวสองสามชุ่น ราวกับเม่นบินอย่างไรอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าถูกเจ้าของร้านร่ายอาคมอะไรลงไป เมื่ออสูรน้อยตัวนี้ร่อนลงบนเสาสำริด ก็ร่างกายอ่อนปวกเปียกไม่อาจบินได้เลยสักนิด แค่หมอบอยู่ตรงนั้นด้วยกายที่สั่นเทาน้อยๆ
“อสูรขนแหลม”
เมื่อเห็นรูปร่างของอสูรน้อยตัวนี้ ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำและชายหนุ่มหน้าหวานก็รู้ชื่อในเผ่าวิญญาณเหาะเหินของอสูรตัวนี้ทันที แทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
อสูรตัวนี้โหดเ**้ยมมาก แม้แต่ระดับหลอมสูญมาพบเข้าก็ยังไม่กล้าทำการโจมตี แม้นว่าจะชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่แค่คิดก็รู็ถึงความน่ากลัวของอสูรตัวนี้แล้ว แต่ตอนนี้เมื่ออยู่บนเสาสำริด ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนแอ ช่างทำให้พวกเขาประหลาดใจจริงๆ
และเมื่อทุกคนคิดเช่นนี้ ฉับพลันนั้นในหมอกสีดำพลันมีมือยักษ์สีเขียวข้างหนึ่งพุ่งออกมา ตะปบไปที่อสูรหนามแหลมอย่างแรง นิ้วทั้งห้าไม่ทันได้สัมผัสกับอสูรน้อย ก็มีประจุไฟฟ้าสีเงินเป็นสายๆ ปรากฎขึ้นเสียง “ตูม” ดังขึ้น ด้านนอกตาข่ายไฟฟ้าสีดำนอกกายอสูรน้อย แม้ว่าจะไม่อาจขยับตัวได้ แต่เมื่อมือสีเขียวสัมผัสกับตาข่ายสีดำ ก็ถูกดีดออก
เสียงคำรามต่ำๆ ดังออกมาจากม่านหมอก ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยโทสะ ฉับพลันนั้นเสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้น ลำแสงสีเงินเจิดจ้าระเบิดออกมาจากหมอกสีดำ จากนั้นลำแสงอัสนีที่ห่อหุ้มอะไรสักอย่างอยู่ ก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางม่านหมอก ชั่วครู่ในที่สุดหมอกสีดำก็ถูกอัสนีลำแสงกำจัดไปจนเกลี้ยง ปีศาจที่่เหมือนกับวิหคตัวหนึ่งปรากฎขึ้นในตาข่ายไฟฟ้า
หัวเป็นนกเขาผิวสีเขียว มีปีกขนนกสีฟ้าคู่หนึ่ง กายท่อนบนเหมือนมนุษย์ท่อนล่างเหมือนวิหค แขนคู่หนึ่งถือสิ่งที่มีรูปร่างเหมือนค้อนและกรวยเอาไว้ ดวงตาทั้งสองเป็นสีเหลืองทอง เปล่งประกายโหดเ**้ยมออกมา
เมื่อเห็นรูปร่างของอสูรอัสนีอย่างชัดเจน แม้แต่หานลี่และพวกทั้งสามที่มีความรู้มากมาย ก็ยังอดที่จะสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่งไม่ได้
ไม่รอให้พวกเขาได้สติกลับมาจากการตกตะลึง อสูรอัสนีหัวนกเขาก็เปล่งเสียงร้องคำรามประหลาดๆ ออกมา ทันใดนั้นปากก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ ลูกบอลอันสีสีขาวขนาดเท่ากำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนติ้วๆ ออกมา
แทบจะในเวลาเดียวกัน แผ่นหลังของอสูรตัวนี้ก็สยายปีกออกพร้อมกัน ขนนกสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นธนูไฟฟ้าสีฟ้าขนาดความยาวครึ่งฉื่อ กระโจนมาเบื้องหน้าเต็มท้องฟ้า
เสียง “ตูม” ดังขึ้น มือที่ถือค้อนและกรวยทั้งสองของอสูรอัสนีพลันปะทะกัน ประจุไฟฟ้าสีทองหนาๆ สายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายแหลมของกรวย ชั่วครู่ก็กลายเป็นมังกรวารีไฟฟ้าสีทอง กระโจนเข้ามาอย่างโหดเ**้ยม
ชั่วพริบตาอสูรอัสนีตัวนี้ก็สำแดงความสามารถธาตุอัสนีที่ไม่เหมือนกันออกมาสามชนิด ดูจากอานุภาพแล้วดูเหมือนว่าจะไม่ธรรมดา
หานลี่และพวกทั้งสามคนพลันตกตะลึง ถอยหลังไปก้าวหนึ่งตามจิตสำนึก จากการโจมตีด้วยความสามารถธาตุอัสนีทั้งสาม ไม่ว่าจะดูอย่างไรตาข่ายไฟฟ้าสีดำบางๆ ผืนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด
มีเพียงบุรุษร่างกายผ่ายผอมแซ่อวี๋ที่ยิ้มน้อยๆ ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างมีแผนการในใจ
ผลคือชั่วพริบตาที่ประจุไฟฟ้าที่ไม่เหมือนกันสามชนิดโจมตีไปยังตาข่ายไฟฟ้า ฉับพลันนั้นเสาสำริดแปดสิบเอ็ดต้นก็เปล่งเสียงร้องออกมา ประจุไฟฟ้าสีดำบางๆ แต่เดิมหนาขึ้นสองสามเท่า
ชั่วขณะนั้นลำแสงไฟฟ้าเจิดจ้าจนแสบตาพลันตัดสลับกัน ตาข่ายไฟฟ้าสีดำรับการโจมตีจากลำแสงสีขาวฟ้าและทองทั้งสามชนิดของไฟฟ้าอัสนีเอาไว้ได้
อสูรอัสนีเห็นเช่นนั้นปากก็เปล่งเสียงร้องคำรามด้วยความโมโหยิ่งกว่าเดิมออกมา แต่ดวงตาสีทองสองดวงพลันเปล่งประกายจ้องเขม็งไปยังอสูรหนามแหลมที่อยู่บนเสาสำริด แต่ไม่ได้ทำการโจมตีอะไรอีก ดูเหมือนว่าจะมีสติปัญญาแล้ว
“วางใจเถิด เขตอาคมลำแสงผูกอัสนีนี้ เป็นสิ่งที่ข้าทุ่มเทวางเอาไว้ สามารถกักพลังธาตุอัสนีของอสูรตัวนี้ได้ แม้ว่าอสูรอัสนีตัวนี้จะร้ายกาจ ก็ไม่อาจดิ้นรนให้หลุดพ้นได้” บุรุษร่างกายผ่ายผอมหัวเราะต่ำๆ ออกมา ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันโบกไปทางอสูรหนามแหลมบนเสาสำริด
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวพลันม้วนวนพุ่งออกมา คาดไม่ถึงว่าม้วนเอาอสูรน้อยที่ไม่อาจต้านทานได้ส่งเข้าไปในตาข่ายไฟฟ้าสีดำ จนไปอยู่ห่างจากอสูรอัสนีแค่คืบ
ตอนที่ 1427 อัสนีเบญจสวรรค์
เมื่อเห็นอสูรหนามแหลมอยู่ตรงหน้า อสูรอัสนีพลันอ้าปากออกอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด กลืนอสูรน้อยลงไปในท้องภายในคำเดียวโดยไม่ได้ดิ้นรนอะไรเลย จากนั้นก็คำรามเสียงต่ำๆ ด้วยความพึงพอใจออกมา ชั่วพริบตาร่างกายก็หดเล็กลง ในเวลาเดียวกันพลันพ่นไอสีดำชั้นหนึ่งออกมารอบๆ กลืนกินร่างกายของเขาไปจนหมด
กลางเขตอาคมทุกอย่างฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม เหมือนตอนที่หานลี่เห็น
“อสูรอัสนีตัวนี้คืออสูรอะไรกันแน่ ข้าน้อยว่าข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านคำภีร์โบราณต่างๆ แต่ก็ไม่เคยรู้จักอสูรวิญญาณชนิดนี้เลย” ชายหนุ่มหน้าหวานเอ่ยปากด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
“ข้าน้อยไม่ได้บอกไปแล้วหรือ? อสูรตนนี้มีที่มาพิเศษ หวังว่าเหล่าสหายจะไม่ถามให้มากความ ขอแค่ช่วยข้ากำราบอสูรตนนี้ก็พอแล้ว” บุรุษร่างกายผ่ายผอมกวาดสายตาไปที่ชายหนุ่ม แล้วเผยเจตนาตักเตือนออกมา
ชายหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยแต่ก็ปิดปากไม่ได้ถามอะไรอีกดังคาด
หานลี่เห็นฉากนี้ แววตาพลันเปล่งประกายแปลกประหลาดสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยขึ้นว่า
“ที่ท่านอาวุโสกล่าวว่าอสูรตนนี้มีอยู่เพียงตนเดียวในแดนวิญญาณเมื่อครู่ ทำให้เข้าใจได้ว่าอสูรตนนี้ไม่ใช่อสูรของแดนวิญญาณใช่หรือไม่” เจ้าของร้านได้ยินแล้วพลันตกตะลึงหน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่ แต่ทันใดนั้นก็ฝืนยิ้มแล้วตอบกลับว่า
“น้องหานพูดจาเหลวไหลอะไร อสูรตนนี้ไม่ใช่อสูรแดนวิญญาณ แล้วจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร”
ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มฝึกบำเพ็ญเพียรจนมาถึงขั้นนี้แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา มองปราดเดียวก็ดูท่าทางปกปิดความลับของเจ้าของร้านออก ทั้งสองคนจึงอดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งด้วยความตกตะลึงไม่ได้
“อสูรอัสนีไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในแดนวิญญาณจริงๆ หรือว่าคืออสูรวิญญาณวิเศษที่มาจากแดนล่างแดนใดสักแดนหนึ่ง ไม่สิ จากความสามารถที่อสูรตนนี้เพิ่งสำแดงออกมา แทบจะไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญ แดนล่างไม่มีทางมีอสูรวิญญาณชนิดนี้ถือกำเนิดขึ้นได้ ไม่ใช่แดนล่าง เช่นนั้นก็มีเพียงแต่แดนเบื้องบนแล้ว แดนเทพเซียนในตำนาน” ชายหนุ่มไม่ได้สนใจการกล่าวเตือนของเจ้าของร้าน พลางเอ่ยออกมาทีละคำๆ
ชายร่างใหญ่จ้องเขม็งไปยังหมอกสีดำในเขตอาคม สองตาค่อยๆ เปล่งประกาย
“อันใด พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าอสูรตัวนี้คืออสูรจากแดนเทพเซียน?” ครานี้บุรุษร่างกายผ่ายผอมกลับเยือกเย็นขึ้น แค่แววตาเผยแววประหลาดใจออกมา
“หรือว่าพวกเราเดาผิด ต่อให้ไม่ใช่ พี่อวี๋อยากให้พวกเราช่วยสยบอสูรตัวนี้ ก็ช่วยบอกประวัติความเป็นมาของมันสักหน่อยเถิด หากพวกเราสามคนเข้าใจมันแล้วก็อาจจะมีประโยชน์ในภายหลังได้ หากไม่อยากพูดจริงๆ พวกเราสามคนก็จะไม่บังคัง แต่ก็ทำได้เพียงมองว่าอสูรตัวนี้เป็นอสูรจากแดนเบื้องบนจริงๆ” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“เจ้ากล้าข่มขู่ข้า!” เจ้าของร้านมีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบที่ใบหน้า หว่างคิ้วมีจิตสังหารปรากฎขึ้น
“ต่อให้พวกเราสามคนร่วมมือกัน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่อวี๋ จะกล้าข่มขู่พี่อวี๋ได้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามพี่ของข้าก็เป็นหนึ่งในอาวุโสที่อายุน้อยที่สุดในเผ่า พี่อวี๋คงไม่ทำเรื่องที่ไม่ชาญฉลาดหรอกกระมัง” ชายหนุ่มถูกจิตสังหารของอีกฝ่ายแผ่มาหา ก็หน้าเปลี่ยนสีถอยหลังไปครึ่งก้าว แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยเช่นนี้ออกมาด้วยสีหน้าเยือกเย็น
คาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มหน้าหวานจะเป็นน้องชายของอาวุโสแห่งเผ่าวิหคสวรรค์ ทำให้หานลี่และชายร่างใหญ่พลันตกตะลึง อดที่จะพิจารณาชายหนุ่มอีกสองแวบไม่ได้
เจ้าของร้านร่างกายผ่ายผอมได้ยินเช่นนั้น ก็มีสีหน้าหวาดกลัวฉายแวบผ่านไปบนใบหน้า หลังจากที่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสงสัยแล้วถึงได้เอ่ยอย่างเย็นชาออกมาว่า
“บอกความเป็นมาของอสูรตนนี้กับพวกเจ้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรนักหรอก พวกเจ้าจะได้ไม่คิดอะไรเลอะเทอะ สาเหตุที่มันมีอยู่ตนเดียวในแดนนี้ก็เพราะว่าอสูรตนนี้คือสิ่งที่ข้าสะสมรวบรวมพลังอัสนีเอาไว้ หลังจากนั้นก็ใช้เคล็ดวิชาลับหล่อหลอมมันถึงได้ถือกำเนิดขึ้นจากพลังอัสนี ข้าใช้เวลาไปเกือบครึ่งชีวิตถึงได้สร้างขึ้นสำเร็จตนหนึ่ง ในใต้หล้านี้มีอสูรอัสนีเพียงตนเดียวเท่านั้น”
“วิญญาณของพลังอัสนี!” ชั่วขณะนั้นหานลี่และพวกสามคนพลันเบิกตาโพลง
“เป็นไปได้อย่างไร! ต่อให้เป็นในตำนานของเผ่าวิญญาณก็ไม่อาจให้กำเนิดอสูรวิญญาณจากพลังอัสนีได้ แม้ว่าพี่อวี๋จะมีความสามารถไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้” ชายหนุ่มเป็นผู้ที่ได้สติฟื้นฟูกลับมาจากความตกตะลึงเป็นคนแรกแล้วเผยสีหน้าไม่เชื่อถือออกมา
หานลี่และชายร่างใหญ่เองก็ขมวดคิ้วแน่น
“หึหึ อาศัยแค่การค้นคว้าของข้านั้น แน่นอนว่าไม่มีทางทำได้ แต่ข้าเคยมีประสบการณ์ไปท่องยุทธภพของเผ่าประหลาดอื่นๆ มาสองสามเผ่า จึงได้เคล็ดวิชาลับการเลี้ยงดูอสูรวิญญาณจากแดนเทพเซียนจากชนชั้นสูงของเผ่าหนึ่งที่ละสังขารไปแล้วมาด้วยความบังเอิญ เคล็ดวิชาลับการเลี้ยงดูอสูรนี้เป็นวิชาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในบันทึกแล้ว” นอกเหนือความคาดหมายของหานลี่และพวกของชายหนุ่ม เจ้าของร้านมีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ชั่วครู่ ก็เอ่ยสิ่งที่ทำให้ทั้งสามคนตกตะลึงออกมา
“เคล็ดวิชาการเลี้ยงดูอสูรที่สืบทอดกันมาจากแดนเทพเซียน ก็อาจจะเป็นไปได้ เมื่อครู่ที่ศิษย์น้องล่วงเกินไปหวังว่าพี่อวี๋จะไม่ถือสา” หลังจากที่แววตาของชายหนุ่มหน้าหวานเปล่งประกายสองสามครั้ง ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มแหยๆ
ชายร่างใหญ่ลูบใต้คางไปมาและส่งเสียงจุ๊ๆ ชื่นชมไม่หยุดเช่นกัน
เจ้าของร้านกลับมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แค่แค่นเสียงด้วยความเย็นชาเท่านั้น
หานลี่ที่อยู่ด้านข้างจ้องเขม็งไปยังอสูรอัสนีที่อยู่ในเขตอาคม แววตาฉายแววสนอกสนใจออกมา
การที่อสูรตัวนี้ถือกำเนิดจากพลังอัสนี แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ดูจากการที่อสูรตนนี้ควบคุมพลังอัสนีได้อย่างน่าตกตะลึงแล้ว ต่อให้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ยังเป็นร่างที่มีพลังอัสนีโดยกำเนิด
ทว่าแม้ว่าอสูรอัสนีจะมีพลังระดับหลอมสูญแล้วยังควบคุมพลังอัสนีได้ก็ยังไม่คุ้มค่ากับที่เจ้าของร้านทุ่มเทแรงลงไปเพื่อสยบมัน ถึงอย่างไรเสียแค่ของที่นำมาตกลงกับพวกเขาทั้งสามคนก็มีมูลค่าไม่น้อยไปกว่าอสูรวิญญาณระดับหลอมสูญตนนี้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาและความทุ่มเทที่เขาเสียไปจากการกระตุ้นให้อสูรอัสนีตนนี้ถือกำเนิดขึ้นมา
ดูแล้วหากอสูรตนนี้ไม่ได้มีความสามารถที่ร้ายกาจอย่างอื่นที่ยังไม่ได้สำแดงออกมา อสูรตนนี้ก็คงจะมีประโยชน์อะไรอย่างอื่นกับบุรุษร่างกายผ่ายผอมผู้นี้ ทำให้เขายอมทุ่มเทอย่างไม่เสียดาย
ความจริงแล้วจุดนี้ไม่ใช่แค่หานลี่ ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มหน้าหวานก็คิดเช่นเดียวกัน
แต่ขณะที่ทั้งสามคนกำลังมีความคิดแตกต่างกันนั้นประกอบกับความหวาดกลัวในพลังยุทธ์ของเจ้าของร้านจึงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้พร้อมกัน
อสูรวิญญาณประหลาดระดับหลอมสูญตนหนึ่ง ต่อให้ประวัติความเป็นมาและประโยชน์จะน่าสงสัยก็ไม่คุ้มค่าจะให้พวกเขาไปล่วงเกินบุรุษร่างกายผ่ายผอมจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้หนึ่งในพวกเขาสามคนมีความคิดอะไรก็ไม่กล้าแพร่งพรายออกมาเลยสักนิด
“เอาล่ะ สิ่งที่สมควรพูดก็ได้พูดไปแล้ว จากนี้ห้ามเสียเวลาอีกควรเริ่มได้แล้วข้าจะสร้างเขตอาคมลวงตากักอสูรตนนี้ไว้ชั่วคราว จากนั้นพวกเจ้าก็เข้าไปใส่พลังอัสนีของพวกเจ้าเข้าไปในร่างของอสูรตนนี้ก็พอแล้ว จำไว้ ต้องใส่พลังจนกว่าข้าจะบอกว่าให้พอ ถึงจะหยุดได้ มิเช่นนั้นอาจจะล้มเหลวได้” เจ้าของร้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
ทั้งนี้หานลี่และพวกทั้งสามจึงไม่ได้มีความคิดเห็นอะไรล้วนเผยสีหน้าเห็นด้วยออกมา
เจ้าของร้านพลันพยักหน้า ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ รูปภาพเขาพระสุเมรุม้วนหนึ่งปรากฏขึ้นในมืออีกครั้ง ครั้งนี้เขาโยนของที่อยู่ในมือขึ้นไปเบื้องหน้า ชั่วขณะนั้นม้วนภาพพลันคลี่ออก
ลำแสงห้าสีเปล่งแสงเจิดจ้า ภาพเขาพระสุเมรุปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง
บุรุษร่างกายผ่ายผอมบริกรรมคาถา ชี้นิ้วนิ้วหนึ่งไปที่จุดหนึ่งในม้วนภาพอย่างรวดเร็ว
รูม่านตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นทุกอย่างพลันชัดเจน
จุดที่บุรุษร่างกายผ่ายผอมชี้ไปคือ หอคอยสูงใหญ่บนภูเขาที่พวกเขาอยู่
ครู่ต่อมาภาพเขาพระสุเมรุพลันเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้า พ่นหมอกสีขาวนวลออกมา ท่ามกลางกลุ่มกำแพงสี่ด้านของชั้นหนึ่งและสองของหอคอยในภาพพลันกระพริบวาบๆ ค่อยๆ ขยายออกมาจากทั้งสี่ด้าน จากนั้นก็สลายหายไป
หานลี่พลันชักสีหน้า ยังไม่ทันได้ขบคิดให้ละเอียดว่าเรื่องนี้คืออะไร ฉับพลันนั้นที่ใต้ฝ่าเท้าสั่นเทา หอคอยที่แท้จริงพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง กำแพงทั้งสี่ด้านเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าออกมา จากนั้นก็ล้มลงมาราวกับประตูใหญ่ สุดท้ายก็สลายหายไปจากกลางอากาศ
ชั่วพริบตาพวกของหานลี่และอสูรอัสนีที่อยู่ในจัตุรัสพลันตกอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม หอคอยบนพื้นที่อยู่ด้านล่างพลันกลายเป็นจัตุรัสว่างเปล่าราวกับแท่นบูชาแท่นหนึ่ง
หมอกสีดำที่อยู่ในเขตอาคมพลันหมุนวน เห็นได้ชัดว่าอสูรอัสนีที่อยู่ด้านในถูกทำให้ตกใจ
หานลี่ลูบคางไปมา ชายหนุ่มและชายร่างใหญ่มองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ในตอนนั้นเอง เจ้าของร้านพลันคำรามเสียงต่ำๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะพ่นลูกธนูโลหิตสายหนึ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในม้วนภาพ
ชั่วขณะนั้นกลางอากาศพลันมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใส ทันใดนั้นพายุพลันก่อตัวขึ้น เมฆทมิฬหมุนวน
ท่ามกลางเสียงตูมตามที่ดังขึ้นไม่หยุด ประจุไฟฟ้าสีเงินเป็นสายๆ พลันปรากฎขึ้นท่ามกลางเมฆสีดำ ราวกับว่ามารปีศาจลงมาจุติอย่างไรอย่างนั้น ล้วนมารวมตัวกันกลางอากาศเหนือแท่นบูชาที่พวกของหานลี่อยู่
ไม่รอให้หานลี่และพวกทั้งสามเอ่ยปากซักถาม บุรุษร่างกายผ่ายผอมก็เป็นฝ่ายอธิบายว่า
“จากประสบการณ์การล้มเหลวของข้าในอดีต อาศัยแค่พลังอัสนีของพวกเจ้าสามคนเกรงว่าจะยังไม่พอ ดังนั้นข้าจึงอัญเชิญพลังฟ้าดินที่แฝงอยู่ในภาพเขาพระสุเมรุมาด้วย ให้พวกมันสร้างภาพลวงตาพลังอัสนีมาช่วยพวกเจ้าอีกแรง หลังจากเสร็จเรื่องนี้ ภาพนี้ก็น่าจะถูกทำลายลง ดังนั้นครั้งนี้ตาเฒ่าถือว่าทุ่มสุดตัวแล้ว หวังว่าเหลาสหายจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่ ขอแค่กำราบอสูรตัวนี้ได้ ข้าไม่เพียงจะมอบของตามที่พวกเราตกลงกันไว้ให้พวกเจ้า ยังจะมอบศิลาวิญญาณจำนวนมากให้พวกเจ้าด้วย” เอ่ยจนมาถึงสองสามประโยคสุดท้าย สีหน้าของเจ้าของร้านก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
หานลี่และพวกทั้งสามคนพลันรู้สึกดีอกดีใจ ทยอยกันแสดงออกว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ออกมา
บุรุษร่างกายผ่ายผอมได้ยินแล้วพลันพยักหน้า จากนั้นปีกที่แผ่นหลังก็สะบัดไปที่ม้วนภาพเบื้องหน้า ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวพลันพุ่งออกมา ชั่วครู่ก็ม้วนเอาม้วนภาพเขาพระสุเมรุเข้าไปด้านใน
หลังจากที่รูปภาพหมุนติ้วๆ ในม่านหมอก อักขระประหลาดหลากสีสันจำนวนนับไม่ถ้วนพลันปรากฎขึ้น สุดท้ายก็เปล่งเสียงตูมๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเสาลำแสงห้าสีสายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเมฆสีดำที่อยู่สูงขึ้นไป
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น
หลังจากเมฆสีดำที่อยู่กลางอากาศหมุนคว้างก็เปล่งเสียงฟ้าคำรามราวกับพื้นดินแตกแยกดังขึ้น ทันใดนั้นกลางเมฆดำก็มีประจุไฟฟ้าห้าสีหนาเท่าปากชามสายหนึ่งปรากฏขึ้น สีสันเจิดจรัสอย่างสุดๆ เปล่งแสงกระพริบระยิบระยับท่ามกลางกลุ่มเมฆไม่หยุด ราวกับว่างูเหลือมยักษ์ห้าสีตัวหนึ่งที่หมุนวนติ้วๆ อยู่กลางกลุ่มเมฆ
“เคราะห์สวรรค์ห้าสี?” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำเห็นอัสนีห้าแสงชั่วครู่ก็กระโดดขึ้นด้วยความหวาดกลัวราวกับเห็นผีก็ไม่ปราณอย่างไรอย่างนั้น
“นายท่านโปรดวางใจ นี่ไม่ใช่อัสนีห้าสีในเคราะห์ราชันย์วิญญาณเหาะเหินเที่ยงแท้ ข้าแค่ยืมพลังปราณจากฟ้าดินจำลองมันขึ้นเท่านั้น อาณุภาพไม่เท่าหนึ่งในสิบส่วนของเคราะห์อัสนีห้าสี เหล่าสหายโปรดวางใจ” เจ้าของร้านกับเอ่ยอย่างเคร่งขรึมออกมา
หานลี่และชายหนุ่มที่แต่เดิมเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาได้ยินคำนี้ก็มีสีหน้าผ่อนคลาย
หานลี่มองไปยังอัสนีห้าสีกลางอากาศ แววตายังคงฉายแววตกตะลึงอยู่เล็กน้อย
อัสนีสวรรค์ห้าสีนี้คือเคราะห์อัสนีที่มีไว้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับต้าเซิ่งในตำนาน ไม่ใช่สิ่งที่เคราะห์อัสนีสีม่วงทองของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมร่างจะเปรียบเทียบได้
เกรงว่าต่อให้มีพลานุภาพแค่หนึ่งในสิบส่วน ภายใต้การโจมตีของอัสนีห้าสี ผู้ที่อยู่ที่นั่นจะต้านทานได้จริงๆ หรือไม่ ผู้ใดก็มิกล้ารับประกัน
ครานี้บุรุษร่างกายผ่ายผอมไม่สนใจหานลี่และพวกทั้งสามแล้ว เริ่มสำแดงเขตอาคมอื่นกระตุ้นเสาสำริดแปดสิบเอ็ดต้นเบื้องหน้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น