พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1423-1428

 บทที่ 1423 วิกฤติเข้ามาประชิด

Ink Stone_Fantasy

แต่ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งเดินออกจากประตูมา นางจะบังเอิญเจอคนที่ไม่อยากเจอเข้าแล้ว ฮวาหูเตี๋ยถือถาดสุราอาหารเดินเข้ามาอีกแล้ว


เมื่อผู้หญิงทั้งสองเจอหน้ากัน จ้านหรูอี้ก็สบตาอย่างเย็นเยียบ ส่วนฮวาหูเตี๋ยก็ทำหน้ายิ้มรับแขก แล้วก็ขอให้หยางเจาชิงที่เฝ้าประตูอยู่รายงานให้


จ้านหรูอี้หันกลับมามองคล้อยหลังฮวาหูเตี๋ยเข้าไปในห้องของเหมียวอี้ ได้แต่มองดูประตูปิดลง ไม่รู้เหมือนกันว่าชายหญิงเข้าไปทำอะไรกันในห้องสองต่อสอง นางแอบกัดฟัน แต่นางก็ไม่มีสิทธิ์ไปควบคุมเหมียวอี้ได้ จึงทำเสียงฮึดฮัดแล้วกลับไปที่ห้องของตัวเอง


ในห้องนอน เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาช้าๆ อยู่หน้าโต๊ะ เขาชำเลืองมองฮวาหูเตี๋ยวางถาดและรินสุรา ไม่รู้เหมือนกันว่านางมาอุทิศตัวรับใช้ที่นี่เพราะมีจุดประสงค์อะไร แต่จะต้องมีเรื่องบางอย่างแน่นอน ถ้าไม่มีเรื่องอะไรนางก็จะไม่โผล่หน้าออกมาง่ายๆ


เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากทั้งสองนั่งลงและชนจอกสุรากัน ฮวาหูเตี๋ยก็ถามเรื่องกับดักที่ตำหนักสวรรค์วาง ถามเขาว่าได้เข้าร่วมด้วยหรือเปล่า


เหมียวอี้บอกปัดให้ผ่านๆ ไป ถ้าตระกูลโค่วถามเขา เขาก็อาจจะบอก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะบอกเรื่องนี้ส่งเดชกับใครก็ได้ของตระกูลโค่ว


หนีการประมูล?


หลังจากให้ฮวาหูเตี๋ยออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบกำไลเก็บสมบัติที่จ้านหรูอี้ให้เขาขึ้นมา เขาพบว่าข้างในเป็นผลึกแดงทั้งหมด หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์นับก็พบว่ามีจำนวนเท่าราคาท้อเซียนที่ประมูลขาย เขาเองก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เก็บเอาไว้เสียเลย


ส่วนจะไปเอาท้อเซียนที่ตึกศาลาสัตยพรตหรือไม่นั้น เขาก็กำลังลังเลมาก ตอนนี้ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าคนที่ประมูลซื้อท้อเซียนไปเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ถ้าตอนนี้เขายังจะไปที่นั่นอีก ดีไม่ดีอาจจะโดนคนจับตาดูก็ได้ จ้านหรูอี้พูดเอาไว้ไม่ผิด นางบอกว่าเป็นไปได้สูงว่าจะทำให้ภารกิจครั้งนี้เกิดปัญหายุ่งยาก


คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าช่างเถอะ ก็แค่ท้อเซียนไง ครั้งนี้นับว่าตนได้ช่วยเหลือเทพประจำดาวฟ้าเถาะแล้ว ให้อีกฝ่ายแบ่งท้อให้สักหน่อยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมั้ง


เฟยหงก็อาจจะได้เหมือนกัน ถึงอย่างไรแม่เฒ่าลวี่มารดาบุญธรรมของนางก็ดูแลด้านนี้อยู่ แต่ตอนนี้เหมียวอี้ยังไม่คิดจะขอให้เฟยหงช่วย


เขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะไปจบการซื้อขายที่ตึกศาลาสัตยพรต แล้วเยียวยาบาดแผลต่อไป


ใครจะคิดว่ายังสงบใจได้ไม่ถึงครึ่งวัน จินม่านจากแดนอเวจีก็ส่งข่าวมาอีกแล้ว : ประมุขปราชญ์ รีบออกจากตลาดผีเร็วเข้า คนของตึกศาลาสัตยพรตหมายหัวท่านเพื่อสร้างบารมีแล้ว!


เหมียวอี้ตกใจ : หมายความว่ายังไง?


จินม่าน : ข้าไม่รู้รายละเอียดหรอก ก็แค่ได้ข่าวมา ว่าบอกว่าท่านก่อเรื่องที่ตึกศาลาสัตยพรต ตอนนี้คนของตึกศาลาสัตยพรตกำลังแอบสืบหาที่อยู่ของท่าน


เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ ตัวเองยังไม่ได้ก่อเรื่องอะไรที่ตึกศาลาสัตยพรตเลย ทำไมต้องบอกว่าก่อเรื่องอะไรนั่นด้วยล่ะ มีแค่เรื่องท้อเซียนไม่ใช่เหรอ


เขาแปลกใจแล้ว ขอเพียงตึกศาลาสัตยพรตไม่ได้โง่ ก็น่าจะรู้ว่าเขาเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ขนาดรู้ว่าเขาเป็นคนของตำหนักสวรรค์ก็ยังกล้าลงมืออีกเหรอ บ้าไปแล้วละมั้ง!


เขารู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงถามอีกว่า : เจ้ามีสายลับอยู่ที่ตึกศาลาสัตยพรตเหรอ?


จินม่าน : ไม่มี


เหมียวอี้ : แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าตึกศาลาสัตยพรตจะลงมือกับข้า เอาข่าวมาจากไหน?


จินม่าน : ข่าวน่าจะไม่มีปัญหา ส่วนที่มาของข่าวนั้น ประมุขปราชญ์ได้โปรดให้อภัย ข้าไม่สะดวกจะเปิดเผย ถ้ามีโอกาสเหมาะสมเดี๋ยวค่อยบอกประมุขปราชญ์อีกทีก็ยังไม่สาย


เหมียวอี้ครุ่นคิด แต่ก็รู้สึกว่าไม่ถูก ต่อให้ตึกศาลาสัตยพรตจะอยากตามหาเขา แต่ก็ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่ดี ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ทางจินม่านจะรู้ว่าเขาประมูลซื้อท้อเซียน ทำไมแหล่งข่าวถึงชี้มาที่ตัวเขาได้เร็วขนาดนี้ ทำไมจินม่านจึงไม่แม้แต่จะสงสัย มาเตือนเขาโดยตรงทั้งๆ ที่ไม่ได้ถามว่าคนที่ประมูลได้ท้อเซียนไปคือเขาหรือเปล่า? รู้ว่าคนที่ประมูลท้อเซียนในงานขายประมูลมีแค่คนของตำหนักสวรรค์ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ทางตำหนักสวรรค์มีคนรู้ข่าวที่ตึกศาลาสัตยพรตแล้ว อย่าบอกนะว่าตำหนักสวรรค์มีสายลับอยู่ที่ตึกศาลาสัตยพรต? ถ้าเป็นแบบนี้ ก็พูดได้อีกอย่างว่าหกลัทธิก็มีสายลับอยู่ที่ตำหนักสวรรค์เหมือนกัน


เหมียวอี้ถามว่า : ประมุขขุนพล บอกข้ามาว่าคนที่ให้ข่าวเจ้าใช่คนของตำหนักสวรรค์รึเปล่า?


จินม่านเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ใช่บอกว่าใช่ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ใช่ เพียงเตือนว่า : ประมุขปราชญ์ เรื่องนี้ไม่สำคัญ เรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือต้องรีบหนีไปก่อนที่ตึกศาลาสัตยพรตจะเจอตัวประมุขปราชญ์ ความปลอดภัยของประมุขปราชญ์ต้องมาก่อน


เหมียวอี้เข้าใจแล้ว การที่อีกฝ่ายไม่พูดก็เท่ากับยอมรับแล้วว่ามีสายลับอยู่ที่ตำหนักสวรรค์จริงๆ จึงตอบว่า : ข้าเข้าใจแล้ว


หลังจากติดต่อกันเสร็จ เหมียวอี้ก็ลำบากใจแล้ว เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ประเด็นก็คือเขาไม่สามารถหนีไปตามอำเภอใจได้


ไม่ว่าแหล่งข่าวจะเชื่อถือได้หรือไม่ แต่เป้าหมายก็คือความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก เหมียวอี้รีบติดต่อกู่ตัวกุ้ยแล้ว ให้อีกฝ่ายเสนอไปทางหน่วยตรวจการฝ่ายขวาเพื่อปล่อยให้เขากลับ เหตุผลก็คือรูปร่างของจ้านหรูอี้โดดเด่นเกินไป ตัวเองเคยตามจ้านหรูอี้ไปเผยโฉมที่ร้านประมูลแล้ว ไม่ปลอดภัยแล้ว กลัวว่าจะถูกเปิดโปง จึงขอถอนกำลัง


เขาไม่เชื่อว่าเบื้องบนจะไม่รู้ว่ารูปร่างของจ้านหรูอี้เป็นปัญหา เดิมทีเบื้องบนก็อาศัยรูปร่างของจ้านหรูอี้อยู่แล้ว เอาจ้านหรูอี้มาเป็นเหยื่อล่อ เขาเดาว่าขอเพียงตัวเองอ้างเหตุผลนี้ ก็น่าจะสามารถออกจากตลาดผีไปได้


กู่ตัวกุ้ยเองก็คิดว่าสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผลเช่นกัน จึงรับปากว่าจะเสนอเบื้องบนให้


ทว่าหลังจากเสนอเบื้องบนไปแล้ว คำตอบที่ได้รับกลับมาก็ทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก กู่ตัวกุ้ยบอกว่า เบื้องบนได้พิจารณาถึงจุดนี้แล้ว จึงออกคำสั่งย้ายจ้านหรูอี้กลับไปแล้ว จะไม่เป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัยของเหมียวอี้แน่ พิจารณาว่าถ้าส่งคนอื่นที่ไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ที่วางไว้ในช่วงนี้มา ก็กลัวว่าจะเป็นอุปสรรคต่อภารกิจ เบื้องบนตัดสินใจแล้วว่าจะให้เหมียวอี้อยู่ที่นี่ต่อไป จ้านหรูอี้จะส่งต่องานให้เขาทันที นางจะส่งต่อกำลังพลของธงพยัคฆ์น้ำเงินที่ตลาดผีให้เหมียวอี้ระดมกำลัง


เหมียวอี้พูดไม่ออก เขานึกไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์แบบนี้ นอกจากตัวเองจะไม่ได้หลุดพ้นจากเขตอันตราย กลับยกประโยชน์ให้จ้านหรูอี้ด้วยซ้ำ แต่เขาก็ไม่สะดวกจะบอกไปว่าเขารู้ข่าวทางตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าตำหนักสวรรค์ซักไซ้ว่าได้แหล่งข่าวมาจากไหน เขาก็ไม่มีทางอธิบายได้เลย


รวดเร็วอย่างที่คาดไว้ ใช้เวลาไม่ถึงครั้งชั่วยาม จ้านหรูอี้ก็เคาะประตูเข้ามา เป็นฝ่ายมาหาเขาก่อน


ตรงไปตรงมามาก จ้านหรูอี้ไม่มีอะไรจะพูดคุยกับเขาเยอะเช่นกัน เข้าประเด็นเลยว่า  “เบื้องบนบอกว่าถ้าข้าอยู่ที่นี่แล้วจะถูกเปิดโปงได้ง่าย เลยตัดสินใจย้ายข้ากลับไปแล้ว ต้องการให้ข้าออกไปเดี๋ยวนี้ ส่งคนมาคุ้มกันส่งข้าแล้ว เจ้าเองก็รู้ถึงสิ่งที่เบื้องบนบอกแล้ว ว่าให้ข้าส่งกำลังพลให้เจ้าบัญชาการ”


เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “งั้นก็ยินดีกับเจ้าด้วยจริงๆ สร้างผลงานใหญ่ขนาดนี้ กลับไปเกรงว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ตำแหน่งรองแม่ทัพภาคคงหนีไม่พ้น” นี่ไม่ใช่คำประจบ สิ่งที่พูดคือความจริง ครั้งนี้จ้านหรูอี้สร้างผลงานไม่น้อยเลยจริงๆ จะต้องได้รับรางวัลอย่างงามแน่นอน


จ้านหรูอี้ก็ไม่เปลืองคำพูดเช่นกัน ส่งต่อโจทย์งานทันที


หลังจากส่งต่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็หันตัวเดินไป แต่พอเดินไปตรงประตูก็หยุดฝีเท้าอีก แล้งเตือนว่า “เจ้าต้องระวังเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมนี้ไว้นะ นางเข้าใกล้เจ้าคงจะไม่ได้มีเจตนาดีอะไร”


เหมียวอี้ย่อมไม่บอกอยู่แล้วว่าที่นี่มีตระกูลโค่วคอยปกป้องความปลอดภัยให้เขา อย่างน้อยตอนนี้ตระกูลโค่วก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำร้ายเขา จึงกุมหมัดคาระวพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จะจำไว้ สถานการณ์ไม่ปกติ ข้าไม่ไปส่งแล้วกัน ขอให้เดินทางราบรื่น”


ตอนนี้เขาต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่โผล่หน้าไปพร้อมกับจ้านหรูอี้


จ้านหรูอี้ไม่ได้พูดอะไรอีก บทจะไปก็ไปเลย พาไปด้วยแค่ลูกน้องคนสนิทสองคน ทิ้งคนอื่นๆ ไว้ให้เหมียวอี้หมดแล้ว ออกจากตลาดผีผ่านเส้นทางด้านบนของโรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยวโดยตรง


ส่วนเหมียวอี้ก็เริ่มกังวลใจแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ยิ่งใหญ่มหึมาอย่างตึกศาลาสัตยพรต นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถต้านทานได้เลย เขาจึงคิดที่จะหาคนมาช่วยปกป้อง แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าการหาทางออกไปจากที่นี่จะเหมาะสมกว่า…


เรือลำหนึ่งลอยอย่างเชื่องช้าอยู่ในแม่น้ำ ในห้องโดยสารเรือ ชายหนุ่มวัยกลางคนที่หน้าซีดขาวและมีเลือดออกมุมปากกำลังถูกดาบจ่อคอ ชายวัยกลางคนยกมือแหวกม่านชี้ไปยังชายคนหนึ่งที่เดินไม่ช้าไม่เร็วอยู่บนฝั่ง “เขา! เขาคือเถาหยวนหล่างผู้ที่รับผิดชอบโค้งที่เก้าทางทิศใต้ ข้าได้รับคำสั่งจากเขา เขาจะเจอหน้ากับผู้บังคับบัญชาในบางครั้ง เขารู้ว่าเบื้องบนสุพักที่ไหน!” พอพูดจบ มือก็ห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ทำสีหน้าเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ขนาดเขาเองยังไม่รู้ชัดลยว่าตัวเองถูกเปิดโปงได้อย่างไร


ชายชราชุดเขียวที่นั่งจิบน้ำชาช้าๆ อยู่ข้างหลังเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้าเบาๆ คนชุดดำที่อยู่ข้างๆ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที


ส่วนชายที่กำลังเดินอยู่บนฝั่ง หลังจากเดินไปได้สักระยะ ก็เลี้ยวเข้ามาในซอยแห่งหนึ่ง ตอนที่เดินทะลุซอยเพื่อจะไปโผล่อีกปากซอย จู่ๆ เกี้ยวหลังหนึ่งก็โผล่มาบังตรงปากซอยเอาไว้ บังสายตาคนเดินถนนข้างนอกเช่นกัน มีคนชุดดำสองคนเดินเลี้ยวเข้ามาจากฝั่งซ้ายและขวาของซอย แล้วเดินคู่กันเข้ามา


ชายที่กำลังจะเดินออกจากซอยพบความไม่ชอบมาพากลทันที และรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์เบาๆ ข้างหลัง พอเขาหันขวับไปมอง คนชุดดำคนหนึ่งก็โผล่มาอยู่ข้างหลังเขาแล้ว กำลังใช้กระบี่ด้ามหนึ่งจ่อบนคอของเขา ทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวส่งเดช


จากนั้นมือสองข้างก็กดลงบนบ่าของเขา ควบคุมเขาได้อย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร จู่ๆ ก็หยุดหายใจ ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำ ควสามรู้สึกตัวหายไปแล้ว


เกี้ยวที่บังสายตาผู้คนที่เดินไปมาบนถนนออกจากซอยไปแล้ว ในซอยว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ทั้งนั้น ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก่อน


รอจนกระทั่งเขาฟื้นขึ้นมา ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายโอนเอนเล็กน้อย ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองอาจจะอยู่บนเรือ


พอลืมตามอง ก็เห็นชายชราชุดเขียวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเขา เขาพยายามลุกขึ้น แต่จู่ๆ ก็ถูกกดบ่าเอาไว้ รู้สึกเจ็บข้อพับหลังเข่า เข่าของเขากระแทกพื้นดังตุ้บ โดนคนกดให้นั่งตรงหน้าชายชราชุดเขียวแล้ว เขาถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์เอาไว้ ขยับตัวไม่ได้ ได้แต่เงยหน้าถามอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้าเป็นใคร คิดจะทำอะไร?”


ข้างๆ กันมีคนถูกผลักออกมาอีกคน เป็นคนที่ขับเรือให้พวกเหมียวอี้ไปตึกศาลาสัตยพรตก่อนหน้านี้นั่นเอง คนขับเรือมองดูชายที่กำลังคุกเข่า แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ใช่เขา”


ชายชราชุดเขียวโบกมือ ให้คนพาคนขับเรือลงไป แล้วจ้องชายที่กำลังคุกเข่า พร้อมถามเสียงเรียบว่า “เถาหยวนหล่าง? ว่ามาเถอะ จ้านหรูอี้กับหนิวโหย่วเต๋อพักอยู่ที่ไหน?”


ชายคนนั้นตกใจทันที ตระหนักได้แล้วว่าฝ่ายตัวเองมีคนทรยศ ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าหัวหน้ากลุ่มคือใคร จึงตอบอย่างเย็นเยียบอีกว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ถึงตัวตนของข้าแล้ว ยังจะกล้าแตะต้องข้าอีกเหรอ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ?”


ชายชราชุดเขียวขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับตัวละครเล็กๆ แบบนี้ “ถ้าจะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าโจรก่อน จับหัวหน้ามาแล้วตัดขาดการติดต่อทั้งข้างล่างข้างบน หลีกเลี่ยงไม่ให้มีข่าวหลุดไป แล้วค่อยหว่านแหจับให้ข้าทั้งหมด”


คนชุดดำที่อยู่ข้างๆ พยักหน้า พอพลิกมือ ในแขนเสื้อก็มีงูตัวเล็กสีเขียวขลับสองตัวโผล่มาทันที พวกมันเลื้อยออกมาช้าๆ เล็กกว่าตะเกียบไม่เท่าไร ดวงตาทั้งคู่สีดำเปล่งแสง ขณะที่แลบลิ้นมีไอสีดำพ่นออกมาจางๆ กลิ่นเหม็นคาวน่าอึดอัด คนชุดดำบีบคางของเถาหยวนหล่าง พอทำให้ศีรษะของเขาขยับไม่ได้แล้ว งูสองตัวก็เจาะเข้าไปในรูจมูกของเถาหยวนหล่างทันที แล้วก็เริ่มเลื้อยชอนไชในรูจมูกของเขา


เถาหยวนหล่างตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ในลำคอมีเสียงดังอู้อี้ “ข้าจะบอก…”


คนชุดดำพลิกมือดึงงูสองตัวกลับมา และคลายมือออกจากคางของเขาแล้ว…


ตอนที่เรือสองลำเจอกันกลางแม่น้ำ ชายชราชุดเขียวขึ้นบนเรืออีกลำหนึ่งแล้ว กำลังรีบเดินเข้าไปในห้องโดยสารเรือ


ข้างในนั้น เฉาเฟิ่งฉือกำลังนั่งบนเก้าอี้และมองออกไปนอกหน้าต่าง พอได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นยืน แล้วถามอย่างตกใจว่า “ผู้นำกลุ่มที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาคือจ้านหรูอี้กับหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”


บทที่ 1424 แมวตาบอดพบหนูตาย

Ink Stone_Fantasy

“ใช่ขอรับ!” ชายชราชุดเขียวพยักหน้า “เพียงแต่พวกเราลงมือช้าไปก้าวหนึ่ง ตามที่ลูกน้องของจ้านหรูอี้บอกมา จ้านหรูอี้เพิ่งออกไปจากที่นี่ไม่นาน ส่งต่อกำลังพลทั้งหมดให้หนิวโหย่วเต๋อควบคุมแล้ว ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยว ส่วนรูปร่างหน้าตาของจ้านหรูอี้ ข้าน้อยก็ได้ตรวจสอบมาแล้วเช่นกัน สอดคล้องกับผู้หญิงที่นำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาประมูลขายจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นคนที่ประมูลซื้อท้อเซียน ข้าน้อยให้คนจับตาดูทางโรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยวไว้แล้วขอรับ!”


เฉาเฟิ่งฉือขมวดคิ้วมุ่น “หรือพูดได้อีกอย่างว่า คนที่บัญชาการสายลับของตำหนักสวรรค์ตอนนี้ก็คือหนิวโหย่วเต๋อ…”


ในดวงตานางฉายแววกลุ้มใจ ในใจเรียกได้ว่าคิดวนเวียนสับสน ถึงแม้นางจะไม่ได้ไปมาหาสู่กับคนของตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่ในที่แจ้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่รู้ถึงสถานการณ์ของเซี่ยโห้วหลงเฉิงพี่ใหญ่ของตัวเอง ทั้งชีวิตนี้พี่ใหญ่ของนางไม่มีสหายที่ไหนเลย ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อคือสหายคนเดียวของเขา ตอนนี้พี่ใหญ่จากโลกนี้ไปแล้ว แต่ตัวเองกลับลงมือกับสหายคนเดียวของพี่ใหญ่ แล้วตัวเองจะไม่ละอายใจต่อพี่ใหญ่ที่ตายไปแล้วได้อย่างไร


คนอื่นล้วนพูดว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นคนเลว แต่นางกลับรู้ดี ว่าพี่ใหญ่ดีกับคนในครอบครัวมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะยอมหลีกให้น้องชายและน้องสาวก่อนตลอด เรื่องที่เสียเปรียบอยุติธรรมก็ล้วนเป็นพี่ใหญ่ที่แบกรับแทนน้องๆ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว


ถึงแม้นางจะจากครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็ยังจำได้ว่าตอนเด็กพี่ใหญ่โอ๋นางขนาดใหญ่ เวลานางได้รับความไม่ยุติธรรมอะไร ก็ล้วนเป็นพี่ใหญ่ที่พุ่งออกหน้าให้ตลอด ตอนที่ต่อสู้แล้วเสียเปรียบ ต่อให้โดนชกต่อยจนหน้าปูดหน้าเขียว แต่ก็จะต้องปกป้องน้องสาวไม่ให้น้องสาวเสียเปรียบให้ได้


นางยิ่งจำได้เสมอ พอรู้ว่านางจะต้องจากไป ในภายหลังจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ครั้งสุดท้ายที่สองพี่น้องเจอหน้ากัน พี่ใหญ่ก็กอดนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมหนางถูกพาตัวไป ถึงขั้นโดนผู้ใหญ่ตบจนล้มลงพื้น ก็คลานขึ้นมากอดเขานางไว้แน่น ร้องไห้ขอร้องไม่ให้คนพาตัวน้องสาวไป นี่ก็คือคนที่ดื้อรั้น สมองคิดอะไรซับซ้อนไม่ได้ ดังนั้นคนในครอบครัวจึงพากันบอกว่าพี่ใหญ่โง่เง่า


พอนึกถึงภาพที่สองพี่น้องจากกันในปีนั้น นางก็จะร้องไห้น้ำตานองหน้า หลังจากได้ยินข่าวว่าพี่ชายตาย นางก็ใจสลายแล้วจริงๆ


ต่อให้เป็นตอนนี้ นางก็เริ่มตาแดงแล้วเช่นกัน


“รับทราบ! “ชายชราชุดเขียวเอ่ยรับ แต่พอเห็นนางทำสีหน้าแปลกใจ ก็เตือนอีกว่า “คุณหนู ต้องเคลื่อนไหวด้วยรวดเร็ว ถ้าหากสายไฟแล้ว เกรงว่าทางนั้นจะตระหนักได้ถึงอันตราย ขอเพียงจับตัวหนิวโหย่วเต๋อได้ก่อน ก็จะสามารถตัดขาดการติดต่อทั้งข้างบนข้างล่างของฝั่งนั้นได้ พวกเราจะได้หว่านแหจับสายลับพวกนั้นในรวดเดียวได้สะดวก ถ้าล่าช้าเกินไป ทางเขาก็จะสังเกตเห็นแน่ว่าลูกน้องหายไป ดังนั้นต้องทำให้เร็วขอรับ!”


 เฉาเฟิ่งฉือถอนหายใจออกมาช้าๆ เฮือกหนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ “ไปกันเถอะ!”


ชายชราชุดเขียวหันกลับมาโบกมือ ทำให้เรือปรับทิศทางทันที


ทว่าหลังจากเรือแล่นปได้ครึ่งทาง จู่ๆ ชายชราชุดเขียวก็ได้รับข่าวจากระฆังดารา หลังจากติดต่อกันแล้วก็ตกใจ รีบรายงานว่า “คุณหนู ท่าไม่ดีแล้ว หนิวโหย่วเต๋อหนีไปแล้ว!”


“หนีไปแล้วเหรอ?” เฉาเฟิ่งฉืองงงัน


เหมียวอี้หนีไปแล้วจริงๆ ไม่หนีก็แปลกแล้ว มีคนจะมาฆ่าเขา จะไม่หนีได้อย่างไรล่ะ!


จ้านหรูอี้สร้างผลงานหนีไปแล้ว และเขาก็รู้ชัดมาก ว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นที่อยู่กับไป๋เฟิ่งหวงยังต้องให้เขาทำการซื้อขาย แต่ก็ไม่มีทางนำออกมาขายได้เลย ต่อให้เขาอยู่ที่ตลาดผีต่อไปก็ไม่ได้เบาะแสอะไร มิหนำซ้ำเขายังรู้แล้วว่าตึกศาลาสัตยพรตต้องการลงมือกับเขา จำเป็นต้องอยู่เสี่ยงอันตรายต่อด้วยเหรอ


จ้านหรูอี้สร้างผลงานและกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง แล้วทำไมเขาจะต้องอยู่รับกรรมที่นี่ด้วยล่ะ ถ้าหนีไปตอนนี้อย่างน้อยก็ยังได้ความดีความชอบเรื่องเป็นเหยื่อล่อบ้างนิดหน่อย แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็จะไม่เหลืออะไรแล้ว


มีปัจจัยมากมายรวมกันขนาดนี้ เขาจะไม่หนีได้อย่างไร


แต่ถ้าจะไปก็ต้องมีข้ออ้างเช่นกัน ถ้าหนีไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก็จะอธิบายกับทางตำหนักสวรรค์ได้ไม่สะดวก


ดังนั้นจึงติดต่อจินม่านให้ส่งคนมาหาเขา ย่อมไม่ได้มาหาเขาเพื่อเล่นกันอยู่แล้ว แต่ให้มาลอบสังหารเขา


ขั้นตอนก็เรียบง่ายมาก มีลูกค้าคนหนึ่งมาพักในโรงเตี๊ยม แล้วแอบมาที่ชั้นของเหมียวอี้ ตอนที่เดินผ่านห้องของเหมียวอี้ไป จู่ๆ ก็ลงมือกับหยางเจาชิงที่กำลังเฝ้าประตู


ชกหมัดใส่หยางเจาชิงหมัดหนึ่ง หยางเจาชิงรับมือไม่ทัน ถูกกระแทกจนประตูห้องเหมียวอี้เปิดออก มือสังหารฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปลงมือกับเหมียวอี้ เหยียนซิวจึงรีบตามมา แล้วร่วมมือกับเหมียวอี้ซัดมือสังหารจนเจาะหน้าต่างหนีไป


จากนั้นก็ย่อมอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว พวกเหมียวอี้หนีขึ้นมาด้านบนผ่านทางของโรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยวทันที


ส่วนฝั่งตรงข้ามห้องของเหมียวอี้ คนที่คอยจับตาดูผ่านซอกประตูตลอดก็ได้เห็นทุกอย่างกับตาตัวเอง เขาคือคนของตึกศาลาสัตยพรต เลยต้องรีบรายงานข่าวให้ตึกศาลาสัตยพรตรู้


หนีออกจากตลาดผีแล้ว พอโผล่ขึ้นมาที่พื้นดิน พวกเหมียวอี้ก็หนีอย่างรวดเร็ว รีบออกไปจากสถานที่ผีๆ นี่


และแน่นอน เหมียวอี้ไม่ทิ้งพี่น้องที่ตลาดผีเอาไว้เช่นกัน เขารีบติดต่อกู่ตัวกุ้ย แล้วค่อยถ่ายทอดคำสั่งลงไปทีละขั้น พูดเปิดโปงความจริงเสียเลย ให้ทุกคนรีบต่างคนต่างย้ายที่


ถ้าจะทำเรื่องนี้ก็ต้องฉวยโอกาสทำตอนที่จ้านหรูอี้เพิ่งออกไปจากที่นี่ เพราะถ้าเกิดเรื่องขึ้นในตอนนี้ก็แปลว่าสาเหตุที่ถูกเปิดโปงไม่ได้เกิดจากเหมียวอี้คุมไม่ดี หรือเป็นปัญหาจากตัวเขาคนเดียว แต่โดนเปิดโปงตั้งแต่ตอนที่จ้านหรูอี้ยังไม่ไปแล้ว ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ความรับผิดชอบตกมาอยู่ที่เขาคนเดียว ดังนั้นเขาจึงอดใจรอไม่ไหวหนีไปทันที


แต่ใครจะไปคาดคิด ตอนยังไม่ติดต่อก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอติดต่อเถาหยวนหล่างลูกน้องของจ้านหรูอี้ ก็พบว่าติดต่อไม่ได้แล้ว ตอนนี้เขาถึงได้พบว่าตัวเองเป็นแมวตาบอดพบหนูตาย[1] อาจจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ


ทั้งสามคนที่หนีมาไกลแล้วรีบเร่งความเร็วเหาะไปยังดาราจักรอันกว้างใหญ่ทันที


แต่เมื่อโดนตึกศาลาสัตยพรตแล้ว มีหรือที่จะหนีพ้นได้ง่ายขนาดนั้น อีกฝ่ายไม่เพียงส่งคนไปแอบดูที่ห้องตรงข้าม ตรงทางเข้าออกทั้งข้างล่างข้างบนของโรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยวก็มีคนจับตาดูอยู่เช่นกัน ตอนที่ทั้งสามเหาะขนาบกับพื้นเพื่อหลบสายตาคนก็ยังไม่สังเกตเห็นอะไร แต่หลังจากเหาะขึ้นด้านบนแล้ว ก็พบความไม่ชอบมาพากลทันที มีคนสองคนที่ไม่ระบุตัวตนไล่ตามพวกเขามาอย่างรวดเร็ว


ไม่ใช่แค่พวกเขาสามคนที่โดนจับตาดู พอชายชราชุดเขียวที่ยังอยู่บนเรือได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อหนีไปแล้ว ก็โมโหจนกระทืบเท้า ไม่รู้ว่ามีมือสังหารโผล่มาทำเสียเรื่องตั้งแต่ตอนไหน ดังนั้น นอกจากเขาจะรีบส่งคนไปจับตัวเหมียวอี้แล้ว ก็สั่งให้คนจับตาดูสายลับที่เป็นลูกน้องของเหมียวอี้ทันที


เรื่องราวกลายเป็นแบบนี้แล้ว เขาเองก็ถูกกดดันจนทำได้เพียงลงมือทันที ถ้าสายเกินไป ต่อให้อยากจะจับตัวก็จับไม่สะดวกแล้ว


ในภัตตาคารแห่งหนึ่งบนถนน คนสองคนกำลังนั่งดื่มสุรากันอยู่ริมหน้าต่าง จู่ๆ ก็เงยหน้ามองข้างหลังของอีกฝ่ายพร้อมกัน ข้างหลังของทั้งสองล้วนมีคคนชุดดำโผล่มา ทั้งสองสังเกตได้ถึงความผิดปกตินี้ จึงรีบหันไปมองข้างหลังของแต่ละคน ส่วนคนชุดดำทั้งสองก็ลงมืออย่างรวดเร็วดุดัน ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพหรือวรยุทธ์ก็เหนือกว่าสองคนนี้ จึงโดนซัดคว่ำคาที่แล้วจับตัวไว้


“ใครกันมาก่อเรื่องที่นี่!” ผู้จัดการภัตตาคารพุ่งออกมาตำหนิ


คนชุดดำโบกมือเผยป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่ง ตัวอักษร ‘สัตยพรต’ บนป้ายคำสั่งทำให้ผู้จัดการสีหน้าแข็งทื่อ แล้วก็หุบปากพร้อมหลีกทางให้อย่างช้าๆ


ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง คนชุดดำคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วเผยป้ายคำสั่งให้ผู้จัดการที่นั่งอยู่ในโถงและพวกพนักงานหุบปาก พอโบกมือ ข้างหลังก็มีชายชุดดำกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา จากนั้นแบ่งกลุ่มสองคนแล้วพุ่งขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็ว พวกเขาพังประตูเข้าไป บุกเข้าไปห้าห้องแทบจะพร้อมกัน เสียงต่อสู้ดังขึ้นพักหนึ่ง และไม่นานก็ลากคนออกมาห้าคน


ในซอยบางซอย จู่ๆ มีคนสองคนโผล่มา ข้างหลังมีคนชุดดำสี่คนเร่งไล่ตาม สองคนที่กำลังหนีอย่างวิตกกังวลรีบหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา แล้วหันกลับไปง้างสายยิง ลำแสงสองสายยิงออกมาอย่างฉับพลัน ยิงคนชุดดำสองคนล้มคว่ำทันที ทำให้คนชุดดำอีกสองคนตกใจมาก ลุกลี้ลุกลนหลบหนี แต่กลับถูกลูกธนูสองดอกที่ไล่ตามมาติดๆ ยิงล้ม


เมื่อกำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งได้แล้ว ชายวัยกลางคนที่กำลังหนีเอาชีวิตรอดก็สบตากันแล้วพยักหน้า ทั้งคู่กระโดดลงในแม่น้ำแล้วดำหนีอย่างรวดเร็ว ธนูกับลูกธนูกลับไม่ห่างมือ ต่อให้อยู่ในน้ำก็ต้องเตรียมพร้อมป้องกันตัวตลอดเวลา


ไม่ใช่แค่ที่นี่ แต่ทั้งตลาดผีเหมือนจะวุ่นวายในชั่วพริบตาเดียว เหมือนทุกที่จะมีคนคนชุดดำไล่ฆ่าบุคคลปริศนา และบุคคลปริษานาก็จำเป็นต้องใช้ท่าไม้ตายเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง ชั่วขณะนั้นทั้งตลาดผีมีลูกธนูดาวตกยิงให้มั่วไปหมด


คนบางกลุ่มที่มีเจตนาแอบแฝงในตลาดผี เดิมทีก็อยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่แล้ว ใครจะคิดว่าตอนหลังจะมีทหารสวรรค์กลุ่มใหญ่โผล่ออกมาทั่วตรอกซอกซอย ไม่รู้เหมือนกันว่าโผล่มาจากไหน รวมกลุ่มกันกวาดล้างทั้งตลาดผี ทำเอากลุ่มคนที่มีเจตนาแอบแฝงตกใจจนรีบหดหัว


แม่ทัพคนหนึ่งนำทหารพุ่งออกมาที่ถนน พอเห็นคนชุดดำไล่ฆ่าบุคคลปริศนา ก็โบกทวนชี้พร้อมตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดทันที “ฆ่า!”


พอกลุ่มทหารสวรรค์พุ่งออกมา ก็เกิดเสียงต่อสู้ดังสะเทือนเลือนลั่นหลายครั้ง คนชุดดำมีพวกน้อยกว่าจึงเอาชนะได้ยาก ภายใต้การล้อมโจมตี พวกเขาโดนทวนหลายด้ามสังหารตายอยู่บนพื้น


คนชุดดำที่อยู่บนถนนอีกฝั่งหนึ่งเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงคิดจะหลบหนี แต่ทหารสวรรค์หลายคนง้างสายธนูพร้อมกัน ยิงไปตรงหน้าผิวน้ำที่คนชุดดำเพิ่งกระโดดลงไป ทำให้คนชุดดำตายอยู่ในน้ำ บนผิวน้ำมีเลือดลอยขึ้นมาผืนใหญ่


ตรงริมหน้าต่างบนโรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยว ฮวาหูเตี๋ยใช้พัดปิดบังใบหน้า ดวงตาทั้งคู๋ฉายแววตกใจขณะมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อครู่นี้หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งจะโดนลอบสังหารในโรงเตี๊ยม ตอนนี้เห็นทหารสวรรค์กลุ่มใหญ่โผล่ออกมาฆ่ากันมั่วบนถนนอีก เป็นอะไรกันไปหมดแล้ว? อย่าบอกนะว่าตำหนักสวรรค์ต้องการจะสะสางบัญชีกับตลาดผี?


บนแม่น้ำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยว เรือลำหนึ่งหยุดอยู่กลางน้ำ ในห้องโดยสารเรือคือคนที่ต้องการจะสำเร็จโทษเหมียวอี้อย่างเปิดเผย เฉาเฟิ่งฉือกับชายชราชุดเขียว


ทั้งสองคนยืนอยู่หลังม่านไข่มุกริมหน้าต่าง กำลังมองดูคนชุดดำตายอนาถ ขณะที่ได้ยินเสียงตะโกนเข่นฆ่าดังทั่วทั้งตลาดผี พวกเขาก็ทำสีหน้าตกตะลึง ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้?


ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้? ก่อนหน้านี้ตอนที่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ถูกนำขึ้นประมูลขายบนเวที เกาก้วนก็ได้บอกไว้แล้วตอนที่รายงานต่อประมุขชิงในตำหนักดาราจักร ว่าหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาส่งผู้ตรวจการใหญ่หกคนให้ออกโรงด้วยตัวเอง!


ที่จริงก่อนหน้านี้ก็มีผู้ตรวจการใหญ่ปรากฏตัวเพียงหกคนเพื่อล่อให้คนออกมาติดกับดักและล้อมปราบ ทัพใหญ่สิบล้านที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาอย่างลับๆ มีเพียงแปดล้านคนที่โผล่ออกมา ยังมีผู้ตรวจการใหญ่คุมกำลังพลหนึ่งล้านกว่าอีกคนที่ยังไม่โผล่ออกมา หลังจากทัพใหญ่ถอนกำลังแล้ว กำลังพลกลุ่มนี้ก็ดักซุ่มอยู่ตลอด ไม่เคลื่อนไหวอะไรผิดปกติ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เผยพิรุธจนคนจับได้ รอฟังคำสั่งจากเบื้องบนอย่างเดียว


กำลังพลกลุ่มนี้ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ตึกศาลาสัตยพรต แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแย่งชิงกันเมื่อธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันมาโผล่ที่ตลาดผี กำลังพลของตำหนักสวรรค์จะได้ชิงของกลับมาได้


บังเอิญว่าตอนนี้เหมียวอี้ถูกลอบสังหาร กู่ตัวกุ้ยเพิ่งจะรายงานขึ้นไปเบื้องบน ตึกศาลาสัตยพรตก็ลงมือกับกำลังพลของตำหนักสวรรค์แล้ว พอประมุขชิงได้ยินข่าวก็เข้าใจเจตนาของตึกศาลาสัตยพรตทันที เรียกได้ว่าแสยะยิ้มต่อหน้าเกาก้วน “เกาก้วน สงสัยเจ้าจะจับหนิวโหย่วเต๋อไปวางไว้ถูกที่แล้วจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าตึกศาลาสัตยพรตจะกดเขาไว้ไม่ได้ ปล่อยให้เขาหนีไปแล้ว ลูกลิงน้อยตัวนี้ก็ไม่ทำให้ข้าผิดหวังเหมือนกัน ไม่ได้เอาตัวรอดคนเดียวโดยไม่สนใจอะไร ขนาดจะหนียังไม่ลืมสั่งให้กำลังพลตำหนักสวรรค์ถอนทัพ มองออกเลยว่าจงรักภักดี ไม่อย่างนั้นครั้งนี้ข้าคงต้องเสียหน้าหมดแล้ว ดีมาก! เหอะๆ อยากจะตบหน้าข้าเหรอ ข้าก็อยากจะเห็นว่าใครจะตบหน้าใครกันแน่!”


เขาสั่งให้กำลังพลที่ดักซุ่มโจมตีอย่างไม่ลังเล ก็เลยเกิดฉากเหล่านั้นขึ้นมา


…………………………


[1] แมวตาบอดพบหนูตาย 瞎猫碰上死耗子 หมายถึง พบกับเรื่องบังเอิญ


บทที่ 1425 เส้นสีแดง

Ink Stone_Fantasy

เดิมทีก็ไม่มีเรื่องแบบนี้หรอก ถ้าจัดการเหมียวอี้ได้ก่อนเพื่อไม่ให้มีข่าวหลุดไป การปฏิบัติการจับกุมอย่างลับๆ ของพวกลูกน้องก็คงจะไม่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่แบบนี้ เหมียวอี้ที่ ‘โดนลอบสังหาร’ ดันหนีไปได้  ตัวเหมียวอี้เองหนีไปได้ก็ยังไม่เท่าไร ทั้งยังไม่ลังเลที่จะปล่อยข่าวปลอมนี้ให้พวกลูกน้องหนีไปด้วยเช่นกัน แล้วดันมาเจอการจับกุมอย่างกำเริบเสิบสานของตึกศาลาสัตยพรต เมื่อการหนีและการจับกุมนี้มาเจอกัน ก็ได้ทำให้เรื่องราวใหญ่โตแล้ว


เรื่องราวไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมายของทุกคนจริงๆ ขนาดเหมียวอี้ที่เป็นคนทำให้เกิดเรื่องนี้ก็ยังนึกไม่ถึงเลย


ตั้งแต่เหมียวอี้ไปยันตึกศาลาสัตยพรต จนกระทั่งลามไปถึงตำหนักสวรรค์ ทั้งหมดล้วนเป็นความคิดที่เกิดขึ้นชั่วขณะเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด


เหมียวอี้ถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ตลาดผีเกิดสถานการณ์พลิกผันแบบนี้ขึ้น ตอนนี้ยังคงเร่งรีบหลบหนี ถ้าข้างหลังมีแค่คนสองคนสะกดรอยตามก็ยังไม่น่ากลัวเท่าไร ที่น่ากลัวคือข้างหลังมีคนชุดดำอีกสิบกว่าคนปรากฏตัวและไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว มีคนแซงหน้าสองคนที่สะกดรอยตามเข้ามาแล้ว ย่นระยะห่างกับพวกเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว จะเห็นได้ว่ามีวรยุทธ์แข็งแกร่งขนาดไหน


เหมียวอี้ไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น เขาโยนเฮยทั่นที่สวมเกราะรบดุร้ายออกมา แล้วทั้งสามคนก็รีบสวมเกราะรบเช่นกัน เฮยทั่นแบกทั้งสามเหาะอย่างรวดเร็ว ส่วนทั้งสามก็หยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา ลูกธนูสามดอกถูกยิงออกไปอย่างต่อเนื่องพร้อมกัน


ลำแสงเก้าสายพลันยิงออกมาในรวดเดียว การโจมตีหมู่ที่มีขนาดไม่แน่นอนแบบนี้ สำหรับศัตรูที่ไล่ตามมาก็ไม่นับว่าสร้างพลังทำลายล้างได้ คนชุดดำสิบกว่าคนนำโล่ออกมาต้านทานไว้เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ลดความเร็วในการพุ่งเข้ามาเล็กน้อย


เมื่อเห็นสถานการณ์ล่อแหลม ตรงจุดไกลๆ ก็มีเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดดังมา “จะหนีไปไหน!”


คนชุดดำหันมามองแล้วตกใจมาก เห็นเพียงแม่ทัพใหญ่สิบสองคนของตำหนักสวรรค์ที่สวมเกราะรบสีแดงและถือดาบกับทวนกำลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ข้างหลังยังมีแม่ทัพเกราะม่วงอีกนับพันด้วย


พวกเหมียวอี้เห็นแล้วดีใจมาก เรียกได้ว่าทำสีหน้าฮึกเหิม นึกไม่ถึงว่าจะมีกำลังหนุนของตำหนักสวรรค์รีบตามมาช่วย


หารู้ไม่ว่าเป็นเขาที่ได้ ‘สร้างผลงานใหญ่’ เอาไว้ ประมุขชิงจึงออกคำสั่งให้ดูแลเขาเป็นพิเศษ ผู้ตรวจการใหญ่ที่รักษาการณ์ที่นี่จึงไม่กล้าชักช้า รีบส่งกำลังพลที่มีกำลังแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งมาช่วยทันที


เมื่อเห็นพวกเหมียวอี้อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ดีไม่ดีอาจจะเข้าใจผิดคำสั่งทหารของผู้ตรวจการใหญ่ก็ได้ แม่ทัพใหญ่ที่นำทัพมาจึงโบกมือ แม่ทัพเกราะม่วงพันคนหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา มีเสียงระเบิดดังอยู่พักหนึ่ง ลำแสงนับพันสายพลันยิงออกมากู้สถานการณ์


คนชุดดำสองคนข้างหลังที่จับตาดูอยู่ก่อนหน้านี้โดนยิงจนพรุนเป็นรูตะแกรง เสียงกรีดร้องดังก้อง


ท่ามกลางเสียงระเบิดดังตูมตาม คนชุดดำสิบกว่าคนถือโล่ฝืนต้านทานไว้ โล่ของหลายคนบ้างก็สะเทือนกระเด็นออกไป บ้างก็โดนลูกธนูดาวตกยิงจนระเบิด ขณะเดียวกันก็โดนยิงร่างพรุนเป็นรูตะแกรงจนดับอนาถ ไม่น่าเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังอาศัยโล่ต้านทานการโจมตีระลอกแรกได้ และไม่สนใจกองทัพที่ตามมาทีหลังเช่นกัน โผเข้าใส่พวกเหมียวอี้สุดแรง เตรียมจะจับเป็นตัวประกันเพื่อหนีเอาตัวรอด


เหมียวอี้รีบเก็บเฮยทั่น ลูกกลมสีแดงลูกหนึ่งถูกผลักออกมาและขยายใหญ่ขึ้น จากนั้นพลิกกลับเสียงดังแกร๊ง ปกป้องคนสามคนเอาไว้ในนั้นโดยตรง แล้วรีบปิดผนึก ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ เพื่อป้องกัน


เสียงระเบิดดังสะเทือนหลายครั้ง ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ ถูกทำให้สะเทือนจนกระเด็นไปแล้ว คนชุดดำหลายคนที่โจมตีเข้ามาตกใจมาก นี่มันของเล่นอะไรกัน?


พวกเหมียวอี้ที่หลบอยู่ใน ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ ก็ถูกทำให้สะเทือนจนกลิ้งมั่วไปหมดเช่นกัน


มีลูกธนูดาวตกยิงเข้ามาอีกระลอกแล้ว คนชุดดำหลายคนโบกโล่มาต้านทานไว้อีกครั้ง แม่ทัพเกราะแดงสิบสองคนก็โจมตีเข้ามาแล้วเช่นกัน ร่วมมือกันล้อมต่อสู้อย่างรวดเร็ว กอปรกับมีลูกธนูดาวตกคอยช่วยเหลือ ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ก็ฆ่าคนชุดดำที่เหลือตายหมดแล้ว


พวกเหมียวอี้ที่สังเกตการณ์ผ่านซอกของ ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ โล่งใจแล้ว ปลดผนึก ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ ให้แผ่ออก พอเก็บของแล้ว ทั้งสามก็รีบเข้ามากุมหมัดคารวะขอบคุณกำลังหนุน


จากนั้นทั้งสามคนก็เปลี่ยนใส่เครื่องแบบเกราะรบของตำหนักสวรรค์ แล้วตามคนกลุ่มนี้กลับไป


ทั้งสามไม่ได้กลับมาที่ตลาดผี แต่เรียกรวมกำลังพลของธงพยัคฆ์น้ำดำและธงพยัคฆ์น้ำเงินในแนวเทือกเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เบื้องบนก็จำเป็นต้องออกคำสั่งให้คนที่ถูกเปิดโปงแล้วถอนกำลังกลับ ส่วนเรื่องอื่นๆ เดี๋ยวค่อยวางแผนที่หลัง


สุดท้ายแล้วกำลังพลสองธงก็กลับมาเกือบหกพันคน ยังมีอีกเกือบสี่พันคนที่ไม่ได้ข่าวคราว กำลังพลหนึ่งพันของเถาหยวนหล่างไม่ได้รับข่าวอย่างทันเวลา จึงล้มตายแทบทั้งหมด


สุดท้ายภายใต้การคุ้มกันส่งของกำลังที่มาช่วยเหลือไว้ก่อนหน้านี้ เหมียวอี้ก็ได้นำคนที่เหลือรอดถอนกำลังออกไป


“คุณหนู เถ้าแก่มีคำสั่ง ว่าต้องปฏิบัติการล้างแค้นครั้งที่สอง ให้พวกเราถอนกำลัง ซ่อนตัวก่อนชั่วคราว!”


ในห้องโดยสารเรือ เฉาเฟิ่งฉือกัดริมฝีปาก มองดูตลาดผีที่เละเทะวุ่นวายอย่างคับแค้นใจ ส่วนชายชราชุดเขียวก็เดินมาเกลี้ยกล่อมข้างๆ นางอย่างจนใจ


หัวเรือเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง แล้วลอยไปท่ามกลางระลอกคลื่นอย่างไม่รีบร้อน


ในจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ในลานบ้านมีอาวุธตั้งเรียงราย ผู้ตรวจการใหญ่หมิงเทียนของหน่วยองครักษ์เจิ้นปิ่งใต้สังกัดหน่วยองครักษ์ซ้ายกำลังยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนัก ท่านแม่ทัพภาคที่ยืนระมัดระวังตัวอยู่ข้างๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง


ด้านนอกมีแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งนำคนหลายคนเดินก้าวยาวเข้ามา พอยืนอยู่ตรงตีนบันไดก็กุมหมัดรายงานว่า “รายงานผู้ตรวจการใหญ่ ได้สถิติออกมาแล้ว พี่น้องของพวกเรารบตายไปสามร้อยสิบสองคน ปราบคนของตึกศาลาสัตยพรตได้หนึ่งหมื่นสองพันเจ็ดคน!”


หมิงเทียนที่ยืนเอามือไขว้หลังยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ จำนวนรวมทางฝั่งของหนิวโหย่วเต๋อเขารู้แล้ว เมื่อรวมกับฝั่งนี้ที่รบตายไปสามร้อยกว่าคน ความเสียหายทั้งหมดก็รวมเกือบสี่พันคน แต่ราคาที่ฝ่ายตึกศาลาสัตยพรตต้องจ่ายนั้นเยอะกว่า นั่นก็คือหนึ่งหมื่นสองพันกว่าคน!


และคนหนึ่งหมื่นสองพันกว่าคนนี้ก็ไม่ใช่คนทั่วไป ไม่ได้บอกว่าคนพวกนั้นมีศักยภาพแข็งแกร่งสักเท่าไร แต่ยามปกติคนพวกนี้ซ่อนตัวได้ลึกมาก ตำหนักสวรรค์อยากจะบีบบออกมาก็บีบไม่ได้ เป็นกุญแจสำคัญที่ตึกศาลาสัตยพรตใช้ควบคุมตลาดผี ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้ล่อออกมาได้เยอะขนาดนี้ ทั้งยังฆ่าทิ้งหนึ่งหมื่นสองพันกว่าคนในรวดเดียว เรียกได้ว่าสะเทือนตึกศาลาสัตยพรตไม่น้อยเลย


แต่ไม่นานเขาก็ยิ้มไม่ออกแล้ว…


ที่ ‘โรงเตี๊ยมมีหนึ่งห้อง’ มีลูกค้าหลายคนออกมาจากห้อง เดินเล่นอย่างเนิบนาบขึ้นไปที่ชั้นบน


พนักงานสองคนที่อยู่บนชั้นสำคัญของโรงเตี๊ยมยื่นมือห้าม “ทุกท่าน ที่นี่ไม่เปิดให้แขกเข้าพัก กรุณากลับไปขอรับ!”


ใครจะคิดว่าคนพวกนี้แทบจะไม่พูดพร่ำทำเพลงเลย พอยกมือขึ้นก็มีแสงสะท้อนคมดาบ ตัดหัวพนักงานสองคนนั้นด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ จากนั้นก็รีบพุ่งไปยังห้องท้ายสุดของทางเดิน บังเอิญว่ากู่ตัวกุ้ยเปิดประตูออกมาดูสถานการณ์พอดี ทั้งสองฝ่ายจึงได้ต่อสู่กัน


ช่วยไม่ได้ที่อีกฝ่ายมีการเตรียมตัวมาแล้ว พลังก็เหนือกว่าเขาด้วย ทั้งยังถูกล้อมโจมตี สุดท้ายกู่ตัวกุ้ยก็นอนจมกองเลือด ดวงตาที่ไร้แววจ้องมองมือสังหาร ร่างกายยังชักกระตุกอยู่อย่างนั้น พอแสงสะท้อนคมดาบแวบผ่านสายหนึ่ง ศีรษะของกู่ตัวกุ้ยก็ปลิวออกไปแล้ว…


เรื่องแบบเดียวกันไม่ได้เกิดขึ้นที่ ‘โรงเตี๊ยมมีหนึ่งห้อง’ เท่านั้น ร้านค้าต่างอาชีพอีกสิบกว่าร้านก็โดนจู่โจมพร้อมกัน ความเคลื่อนไหวนี้สะเทือนจนทหารสวรรค์ออกมา แต่ครั้งนี้ผู้ร้ายเรียนรู้ที่จะฉลาดแล้ว ใส่เสื้อผ้าแตกต่างกันไป ไม่ใส่ชุดดำให้สะดุดตาอีก พอเข้าไปปะปนกับคนอื่นในตลาดผีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว


สามสิบจุดที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาวางกำลังไว้ที่ตลาดผีถูกกำจัดหมดแล้ว ทั้งยังมีอีกหลายร้านที่ตำหนักสวรรค์แอบยัดคนไว้โดยหลีกเลี่ยงหน่วยตรวจการฝ่ายขวาด้วย ทั้งหมดหายไปแล้ว เดิมทีตึกศาลาสัตยพรตเตรียมจะลงมือกับคนส่วนหนึ่งเท่านั้น เตรียมจะปล่อยอีกส่วนหนึ่งไป แต่ตอนนี้กลับกวาดล้างจนไม่เหลือสักคน กำจัดให้หมด!


นี่เป็นเพียงการเตือนเบาๆ เท่านั้น ตึกศาลาสัตยพรตกำลังใช้เหตุการณ์จริงเพื่อเตือนตำหนักสวรรค์ให้รู้ว่าใครกันที่มีอำนาจตัดสินใจที่นี่ ขอเพียงข้าเต็มใจ ก็สามารถทำให้คนของตำหนักสวรรค์ที่อยู่ในโลกใต้ดินตาบอดได้ทุกเมื่อ อย่างไรเสียโลกใต้ดินก็ไม่ได้มีแค่ตลาดผีอย่างเดียว!


“กำเริบเสิบสาน! หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของพวกเจ้ามัวไปทำอะไรอยู่ พวกเขารู้ฐานที่มั่นของพวกเจ้าชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว ยังจะมีความลับอะไรอีก…”


ที่ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงเดือดดาลมาก ด่าเกาก้วนจนยับเยิน


ผ่านไปไม่นาน หมิงเทียนที่อยู่ในจวนแม่ทัพภาคของตลาดผีก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน : บุกโจมตีตึกศาลาสัตยพรต ฆ่า!


ทัพใหญ่หลายแสนเข้ามาล้อมตึกศาลาสัตยพรตเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทว่าตึกศาลาสัตยพรตที่ตั้งอยู่กลางน้ำเงียบสงบมาก


เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!


มีลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทำลายค่ายกลป้องกันของตึกศาลาสัตยพรตจนพังแล้ว ทัพใหญ่บุกสังหารเข้าไป แต่เมื่อค้นหาทั่วทั้งตึกศาลาสัตยพรตแล้วกลับไม่เห็นเงาใครแม้แต่คนเดียว


นอกตึกศาลาสัตยพรต หมิงเทียนที่ได้รับรายงานเดือดดาลทันที ตำหนิลูกน้องว่า “เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าแอบส่งคนมาจับตาดูตึกศาลาสัตยพรตจนยุงตัวเดียวก็บินออกมาไม่ได้? ไหนคนล่ะ? คนไปไหนกันหมดแล้ว?”


ลูกน้องของเขาตอบอย่างหวาดกลัวว่า “เพิ่งค้นพบขอรับ คนที่เฝ้าอยู่ใต้น้ำทางทิศใต้โดนฆ่าตายตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ขอรับ”


“มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ แค่ให้เฝ้าดูคนก็ยังดูไม่ได้ ข้าจะเอาสวะไร้ประโยชน์แบบเจ้าไว้ทำไม ทหาร เอาตัวประประหารให้ข้า!” หมิงเทียนพูดทิ้งไว้แล้วเดินออกไปด้วยความเดือดดาลเต็มเปี่ยม ไม่ให้เขาโมโหไม่ได้หรอก จะให้เขากลับไปอธิบายกับเบื้องบนอย่างไรล่ะ


“ผู้ตรวจการใหญ่โปรดไว้ชีวิต!” นายทหารชั้นสูงถูกทหารอีกหลายคนควบคุมตัวไว้ในชั่วพริบตาเดียว เขาตกใจจนร้องขอชีวิต แต่กลับไม่มีประโยชน์ โดนลากตัวออกไปแล้ว จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากที่ไกลๆ


หมิงเทียนเดินก้าวยาวเข้ามาในตึกศาลาสัตยพรต เขาหยุดเดินอยู่ในโถงใหญ่ เห็นเพียงบนพื้นในโถงใหญ่มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กับลูกธนูดาวตกกองหนึ่ง ตอนที่กำลังพลบุกโจมตีเข้ามา ของก็วางกองอยู่ตรงนี้แล้ว ราวกับตั้งใจจะให้พวกเขาเห็น ตอนนี้พวกลูกน้องกำลังนับอยู่


หลังจากผลออกมาแล้ว ลูกน้องของเขาก็ก้าวขึ้นมารายงานว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ จำนวนของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้สอดคล้องกับจำนวนสายลับหน่วยองครักษ์ซ้ายในตลาดผีของพวกเราที่หายไปขอรับ”


“ไม่ขาดไปสักชิ้นเลยเหรอ?” หมิงเทียนงุนงง


“ขอรับ! ไม่ให้ไปสักชิ้น ทั้งหมดทิ้งไว้ที่นี่แล้ว” ทหารตอบ


หมิงเทียนขมวดคิ้วมุ่น แล้วรีบรายงานขึ้นไป


วังสวรรค์ ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาด้วยสีหน้ามืดครึ้มกลัดกลุ้ม หลังจากได้ข่าวก็อึ้งเช่นกัน สีหน้าเดือดดาลค่อยๆ จางไป ในดวงตาฉายแววครุ่นคิด


การกระทำแบบนี้ถือเป็นการแสดงท่าทีของตึกศาลาสัตยพรต กำลังบอกประมุขชิง ว่าเป็นเจ้าที่ข้ามเส้นก่อน และตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่เคยข้ามเส้นสีแดงเส้นนั้นเลย ต่อให้เรื่องจะมาถึงขั้นนี้แล้ว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ได้มาก็ส่งคืนให้โดยไม่แตะต้อง ครั้งนี้พวกเรายอมแพ้แล้ว ทางที่ดีเจ้าอย่ากดดันพวกเราเลย!


ที่จริงตึกศาลาสัตยพรตก็แสดงศักยภาพออกมาแล้วเช่นกัน เจ้าอยู่ในที่แจ้ง พวกเราอยู่ในที่ลับ เจ้าไม่มีทางฆ่าพวกเราทิ้งหมดหรอก และพวกเราก็มีความสามารถที่จะจิ้มตาทั้งหมดของตำหนักสวรรค์ที่อยู่ในโลกใต้ดินได้ กำจัดทิ้งไปสิบกว่าคนก็เพื่อให้พวกเจ้าได้เห็น!


ประมุขชิงที่กำลังเดือดดาลเริ่มใจเย็นลงทีละนิด เมื่อเทียบกันแล้วเขาก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร ฝั่งตึกศาลาสัตยพรตเสียหายหนักกว่าตำหนักสวรรค์


ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้เขายังฉีกหน้าตระกูลเซี่ยโห้วให้ถึงที่สุดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ก็คงไม่อ่อนข้อให้ ตระกูลเซี่ยโห้วรู้จักเขาดีเกินไป!


หลังจากเอามือไขว้หลังเดินวนได้ไม่กี่รอบ ประมุขชิงก็หันมากล่าวกับซ่างก่วนชิงที่ยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ ว่า “แจ้งไปทางตลาดผี ถอนกำลัง!”


ผ่านไปไม่นาน กำลังพลกลุ่มใหญ่ทางตลาดผีก็รวมตัวกัน ออกไปจากตลาดผีท่ามกลางสายตาของทุกคน ออกจากเขาภูตพเนจรไปอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร


เมื่อแน่ใจว่าคนของตำหนักสวรรค์ไปแล้วจริงๆ ไม่กี่ชั่วยามหลังจากนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็มาปรากฏตัวที่ตึกศาลาสัตยพรตอีก สมาชิกของตึกศาลาสัตยพรตกลับมาอีกครั้ง


เฉาหม่านกำลังเดินช้าๆ สำรวจในห้องของตัวเองที่โดนทำลายจนเละเทะ แต่ชายชราชุดเขียวกลับผลักชายวัยกลางคนที่มีสภาพสะบักสะบอมคนหนึ่งเข้ามา แล้วรายงานว่า “เถ้าแก่ นี่คือมือสังหารที่ลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อ สืบสวนเสร็จแล้ว เป็นคนที่ ‘หอภูเขาเขียว’ ส่งมาขอรับ”


“หอภูเขาเขียว?” เฉาหม่านเอามือไขว้หลังหันตัวมา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ลัทธิอู๋เลี่ยงส่งคนมาสังหารหนิวโหย่วเต๋อทำไม พวกเขาจะมีความแค้นอะไรต่อกันได้?”


บทที่ 1426 ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร

Ink Stone_Fantasy

 การที่ผู้เหลือรอดของหกลัทธิจะยืนหยัดอยู่ที่นี่ได้ ย่อมไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับเขาอยู่แล้ว ทั้งสองรักษาความสัมพันธ์ที่คลุมเครือมาตลอด ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์รดับนี้ให้ตำหนักสวรรค์รู้ ทางหกลัทธิก็ไม่กล้าให้ข่าวนี้แพร่กระจายไปในหกลัทธิเช่นกัน สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะการที่หกลัทธิตกต่ำลงนั้นเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้าให้กำลังพลเบื้องล่างของหกลัทธิรู้ว่าคนระดับสูงยังรักษาความสัมพันธ์กับศัตรูอยู่ ผลลัพธ์อะไรเป็นอย่างไรล่ะ?


แต่นอกจากกำลังพลที่หนีเข้าแดนอเวจี ผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่อยากจะมีที่ยืนอยู่ข้างนอกก็หนีไม่พ้นการดูแลจากอำนาจใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้ว และตระกูลเซี่ยโห้วก็อยากจะใช้หกลัทธิเป็นไพ่เช่นเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะแปรพักตร์ เรื่องพรรค์นี้ตระกูลเซี่ยโห้วทำได้อย่างคล่องมือมาก ตั้งแต่พระปีศาจหนานโปไปจนถึงสามยอดฝีมือ หกปราชญ์ จนกระทั่งประมุขชิงและประมุขพุทธะในตอนนี้ เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ตอนนี้ใช้วิธีการเดียวกันปฏิบัติต่อผู้เหลือรอดของหกลัทธิ


กับเรื่องบางเรื่อง ในเมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ก็ทำได้เพียงประนีประนอม เพื่อให้ตระกูลคงอยู่ยาวนาน ก็จำเป็นต้องเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตระกูลเยอะๆ รอให้ถึงเวลาที่ตระกูลปีกกล้าขาแข็งจนสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ ปัญหาทุกอย่างก็ย่อมหมดไปตามๆ กันอยู่แล้ว


ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหอภูเขาเขียวกับลัทธิอู๋เลี่ยง เขาแค่ไม่เข้าใจนิดหน่อยว่าทำไมลัทธิอู๋เลี่ยงต้องส่งคนมาฆ่าคนต่ำต้อยอย่างหนิวโหย่วเต๋อคนเดียว ถึงแม้หนิวโหย่วเต๋อจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ก็ไม่มีค่าพอให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้เช่นกัน ด้วยระดับความระมัดระวังตัวของผู้เหลือรอดของหกลัทธิ ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับกระแสหลักตอนที่ตำหนักสวรรค์เพิ่งจะวางกับดักไว้ อย่าบอกนะว่าในกับดักที่ตำหนักสวรรค์วางก่อนหน้านี้มีคนของลัทธิอู๋เลี่ยงติดกับดักด้วย?


ถ้าเป็นเพราะเหตุผลนี้จริงๆ แล้วลัทธิอู๋เลี่ยงจะรู้ได้อย่างไรว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นเหยื่อล่อให้คนเข้าไปติดกับดัก?


ชั่วพริบตานั้น ในหัวเขาก็มีความคิดมากมายแวบเข้ามา


ชายชราชุดเขียวมองมือสังหารที่โดนทรมานจนจิตใจเซื่องซึม แล้วหันตัวไปเรียกคนให้เข้ามาพามือสังหารออกไป เสร็จแล้วถึงได้ตอบว่า “มือสังหารคนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหอภูเขาเขียวกับหนิวโหย่วเต๋อมีบุญคุณความแค้นอะไรกัน  ตอนที่ผู้จัดการร้านออกคำสั่งเขา ก็บอกเพียงว่าหนิวโหย่วเต๋อได้ล่วงเกินคนอื่นไว้ตอนที่ไปหาความสำราญที่หอภูเขาเขียว ให้เขามาสั่งสอนหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย เหมือนทางหอภูเขาเขียวก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับ”


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าก็ว่าอยู่ ไม่อย่างนั้นคงอธิบายเรื่องนี้ได้ไม่ชัดเจน” เฉาหม่านกล่าวกลั้วหัวเราะ


ชายชราชุดเขียวสังเกตปฏิกิริยาของเขา จากนั้นแววตาก็วูบไหวเล็กน้อย ลองกล่าวเตือนอีกว่า “มือสังหารคนนี้มีเพียงวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดนะขอรับ”


“…” เฉาหม่านอึ้งไปชั่วขณะ เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าเริ่มฉายแววจริงจัง หันหน้ามาอย่างช้าๆ แล้วถามว่า “หรือว่าบนตัวมือสังหารมีของวิเศษที่ร้ายกาจอะไรอยู่?”


ชายชราชุดเขียวส่ายหน้า “ค้นตัวแล้วขอรับ ไม่มีของวิเศษอะไร”


“แบบนั้นก็แปลกแล้ว” เฉาหม่านเงยหน้ามองเพดาน เริ่มหรี่ตาเหมือนอมยิ้มพลางกล่าวว่า “หนิวโหย่วเต๋อลุยเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน ห้าวหาญเกรียงไกร เกรงว่าระดับบงกชทองคงจะหาคู่ต่อสู้ได้ยาก แต่ก็เชี่ยวชาญการรบมาก ได้ยินว่าวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นเก้าแล้ว ต่อให้หอภูเขาเขียวจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของหนิวโหย่วเต๋อ ไม่รู้ว่าเป้าหมายคือหนิวโหย่วเต๋อ ถึงได้ส่งลูกน้องที่ฝีมืองั้นๆ มาลงมือ แต่การที่มือสังหารคนนี้รอดจากมือหนิวโหย่วเต๋อได้ก็ไม่ธรรดาเหมือนกัน มิหนำซ้ำข้างกายหนิวโหย่วเต๋อยังมีลูกน้องอีกสองคน สามคนกำจัดเขาคนเดียวไม่ได้เหรอ? เรื่องนี้มีเงื่อนงำนิดหน่อยนะ!”


ชายชราชุดเขียวพยักหน้า “มีเงื่อนงำนิดหน่อยขอรับ”


เฉาหม่านเลิกคิ้ว “ดูเหมือนระหว่างลัทธิอู๋เลี่ยงกับหนิวโหย่วเต๋อจะมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือบางอย่าง หึหึ อีกฝั่งคือผู้เหลือรอดของหกลัทธิ อีกฝั่งเป็นดาวรุ่งน้องใหม่ในกองทัพองครักษ์ของประมุขชิง เรื่องนี้ก็น่าสนุกอยู่นะ…เออใช่ ฝั่งหอภูเขาเขียวไม่รู้ใช่มั้ยว่าคนตกอยู่ในมือพวกเราแล้ว?”


ชายชราชุดเขียวตอบว่า “พอคนหนีออกมาได้ก็โดนคนของพวกเราที่วางกำลังไว้ข้างนอกจับตัวแล้ว ทางหอภูเขาเขียวน่าจะไม่รู้ว่าคนตกอยู่ในมือพวกเรา ไม่อย่างนั้นคงไม่ติดต่อกับเขาอยู่ตลอดหรอก หลังจากคนตกอยู่ในมือพวกเราแล้ว ระฆังดาราในมือเขาที่ใช้ติดต่อกับหอภูเขาเขียวก็มีการตอบสนองหลายครั้ง ถ้ารู้ว่าคนของเขาโดนพวกเราจับแล้ว ยังจำเป็นต้องติดต่อกันอีกเหรอ”


เฉาหม่านกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเก็บคนคนนี้ไว้ กำจัดทิ้งเสียเลย ถ้าคนตายแล้ว ทางหอภูเขาเขียวจะได้สงบใจ ไม่อย่างนั้นฝั่งนั้นคงจะต้องระแวงผีระแวงเทพอยู่ตลอดเวลา”


“จะใช้เขาเพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างลัทธิอู๋เลี่ยงกับหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่าขอรับ?” ชายชราชุดเขียวถาม


เฉาหม่านยิ้มเรียบๆ “เรื่องบางเรื่องอย่าไปเปิดโปงมันจะดีกว่า แค่แสร้งทำเหมือนพวกเราไม่รู้อะไรทั้งนั้น ถ้าอยากจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้ง่ายมากขนาดนั้นหรอก อีกประเดี๋ยวคอยดูว่าในกับดักที่ตำหนักสวรรค์วางไว้จะมีคนของหกลัทธิหรือเปล่า แค่นั้นก็จะรู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมให้ยุ่งยาก เฒ่าชีเอ๊ย กับเรื่องบางเรื่องถ้าแกล้งโง่เอาไว้กลับจะทำให้จับพิรุธได้มากขึ้นด้วยซ้ำ ถ้าทำให้อีกฝ่ายระมัดระวังตัวจนอุดช่องโหว่หมด พวกเราที่คอยดูอยู่ข้างๆ ก็จะเหนื่อยเหมือนกัน เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”


ชายชราชุดเขียวเข้าใจในทันที “เข้าใจแล้วขอรับ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”


“เออใช่!” เฉาหม่านยกมือขึ้น “เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อและแดนอเวจี จัดระเบียบข้อมูลมาให้ข้าดูหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะมีเบาะแส”


“ขอรับ!” เฒ่าชีเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป


สายลับชุดใหม่ที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาที่ตลาดผีถูกเปิดโปงหมดแล้ว ฐานปฏิบัติการทุกจุดในตลาดผีก็ถูกดึงออกมาเช่นกัน แต่ทางตึกศาลาสัตยพรตยังแสดงความหมายอันลึกซึ้งที่มีต่อธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชัดเจนมาก นั่นก็คือพวกเราไม่สนใจธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ถ้าพวกเจ้าอยากจะหาที่อยู่ของพวกมันก็ตามใจพวกเจ้า แต่อย่ามาล้ำเส้นกัน ตึกศาลาสัตยพรตแสดงออกชัดเจนแล้วจริงๆ ว่าตราบใดที่ตำหนักสวรรค์ไม่ทำซี้ซั้ว พวกเขาก็จะไม่ทำซี้ซั้วเช่นกัน เช่นนั้นตำหนักสวรรค์ก็ต้องตั้งฐานปฏิบัติการที่ตลาดผีใหม่


เรื่องนี้ยังคงเป็นหน้าที่ของเกาก้วน ก่อนหน้านี้ถึงแม้ประมุขชิงจะด่าเกาก้วนเสียยับเยิน แต่นั่นเป็นเพราะเขากำลังโกรธ ที่จริงในใจประมุขชิงก็เข้าใจดีเช่นกัน เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเกาก้วนไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้วนั้นไม่ธรรมดา


ในตำหนักดาราจักร หลังจากเกาก้วนอธิบายแผนการตั้งฐานปฏิบัติการใหม่ให้ประมุขชิงฟังแล้ว ก็เอ่ยถึงความจำเป็นในการส่งกำลังพลของกองทัพองครักษ์อีกชุดหนึ่งเข้าไปเป็นหูเป็นตาที่ตลาดผี เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่หวังให้ตัวละครอย่างจ้านหรูอี้ปรากฏอยู่ในรายชื่อ ขอว่ากำลังพลชุดนี้จะต้องไว้ใจได้


ที่จริงการเปลี่ยนแปลงกะทันหันที่ตลาดผีครั้งนี้ก็มีหลายจุดที่เหนือความคาดหมายของเกาก้วน โดยเฉพาะการเข้าร่วมของจ้านหรูอี้ แผนการใหญ่ๆ ล้วนเป็นเขาที่เสนอต่อประมุขชิง แต่ตอนที่คุยรายละเอียดกันประมุขชิงเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ทำให้ตอนนี้เกาก้วนมองไม่ออกถึงเจตนาในบางจุดของประมุขชิง


เพียงแต่คำขอในครั้งนี้ ประมุขชิงอนุมัติทั้งหมดในรวดเดียว


ส่วนเกาก้วนก็ฉวยโอกาสเสนอคำขออีกว่า “ฝ่าบาท! ข้าน้อยอยากจะส่งหนิวโหย่วเต๋อไปที่ตลาดผีอีก”


ประมุขชิงที่กลับไปนั่งลงหลังโต๊ะยาวแล้วจ้องมองเขาเมื่อได้ยินคำขอนี้ กล่าวถามอย่างเนิบนาบว่า “หนิวโหย่วเต๋อโดนเปิดโปงแล้ว ถ้าส่งไปที่ตลาดผีอีก จะไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่า?”


เกาก้วนตอบว่า “ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทบอกว่าเขาได้สร้างผลงานใหญ่ ต้องการจะเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นแม่ทัพภาคไม่ใช่หรือขอรับ? ข้าน้อยรู้สึกว่าอาศัยประสบการณ์และวรยุทธ์ของหนิวโหย่วเต๋อ การไปเป็นแม่ทัพภาคที่หน่วยองครักษ์ซ้ายจะดันทุรังไปหน่อย ไม่สู้ส่งเขาไปเป็นแม่ทัพภาคที่ตลาดผีก็สิ้นเรื่องแล้ว!”


“แม่ทัพภาคตลาดผี…” ประมุขชิงแปลกใจนิดหน่อย เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วถามว่า “เหมือนเจ้าจะสนใจการส่งตัวเขาไปที่ตลาดผีมากนะ! คาดว่าทูตขวาเกาคงจะมีความคิดที่เหนือชั้นบางอย่าง บอกให้ข้าฟังสักหน่อยเถิด”


เกาก้วนอธิบายว่า “ตอนนี้แม่ทัพภาคที่คุมตลาดผีเหมือนเป็นสิ่งที่มีประดับไว้เฉยๆ เท่านั้น แสดงบทบาทอะไรไม่ได้เลยสักนิด ถึงแม้หนึ่งในสาเหตุนั้นจะเกิดจากตึกศาลาสัตยพรต แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับการที่ตำหนักสวรรค์ยอมถอยให้เป็นเวลานานเกินไป ทำให้คนที่ถูกส่งไปทุกครั้งล้วนเป็นคนที่ไม่สร้างผลงานอะไร ขอเพียงไม่ทำงานพลาดก็พอ ล้วนเป็นพวกฝีมือพื้นๆ ข้าน้อยรู้สึกว่าควรจะมีการเปลี่ยนแปลง ควรจะส่งคนที่มีความสามารถไปสักคน ครั้งนี้ข้าน้อยค่อนข้างชื่นชมการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินของหนิวโหย่วเต๋อ  เป็นเพราะเขาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อตำหนักสวรรค์อตอนที่เกิดเรื่องขึ้น ความจริงข้าน้อยก็ชื่นชมเขามาตลอด และครั้งนี้เขาก็ไม่ได้ทำให้ข้าน้อยผิดหวังเช่นกัน ดังนั้นข้าน้อยจึงฝากความหวังของเขาไว้มาก หวังว่าจะสามารถทำให้เขาไปนั่งคุมที่ตลาดผีได้


แต่ไม่หวังให้เขาเคลื่อนไหวอะไรมากเมื่ออยู่ใต้หนังตาตึกศาลาสัตยพรต แต่ต้องสร้างแรงกดดันให้เขาสักหน่อย ให้เขาสร้างอีกช่องทางหนึ่งในการช่วยปกป้องฐานปฏิบัติการของตำหนักสวรรค์ที่อยู่ทางนั้น อย่าให้ถึงขั้นพอเกิดเรื่องขึ้นก็โดนตึกศาลาสัตยพรตกวาดล้างฐานปฏิบัติของพวกเราจนหมด! อีกสาเหตุหนึ่งที่ให้เขาไปที่นั่นก็ไม่ซับซ้อนเลย ถ้าส่งคนธรรมดาทั่วไปไปที่นั่น ก็อาจจะไม่กล้าทำเรื่องไม่เหมาะสมใต้หนังตาของตึกศาลาสัตยพรต แต่ตอนหนิวโหย่วเต๋อคุมตลาดสวรรค์กลับกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับขุนนางทั้งราชสำนัก ดังนั้นตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีนี้ ไม่มีใครเหมาะสมกว่าหนิวโหย่วเต๋ออีกแล้วขอรับ”


ประมุขชิงพยักหน้าเล็กน้อย ใช้นิ้วทั้งห้าเคาะผิวโต๊ะเบาๆ ขระที่ครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ที่ทูตขวาเกาพูดก็มีเหตุผล ส่งลูกลิงน้อยนั่นไปก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว เพียงแต่อาศัยวรยุทธ์ของเขา การอยู่ที่ตลาดผีก็ดันทุรังเกินไป ตลาดผีไม่เหมือนที่อื่น ลูกลิงน้อยนั่นเพิ่งไปที่หน่วยองครักษ์ซ้ายได้ไม่กี่ปี ทั้งยังถูกส่งไปทำภารกิจอย่างต่อเนื่อง เพิ่งจะได้หยุดพักเจ้าก็ส่งเขาไปทำงานอีกแล้ว ต้องการให้ลูกม้าวิ่งได้ไว แต่ดันไม่ให้ลูกม้ากินหญ้า สักวันหนึ่งก็จะทำให้เขาล้ม ดาบดีก็ต้องลับคมก่อนถึงจะใช้งานได้ ให้เวลาเขาสักหน่อยเถอะ รอให้เขาตั้งใจเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้นก่อน สรุปก็คือข้าตอบตกลงทูตขวาเกา รอให้เขาวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้ง มีความสามารถที่จะปกป้องตัวเองอีกสักหน่อย ข้าตอบรับคำขอของทูตขวาเกาเป็นพิเศษ”


เมื่อได้ยินแบบนี้ ซ่างก่วนชิงที่ยืนเก็บมือเงียบๆ อยู่ข้างกันก็มองประมุขชิงอย่างแปลกใจ นี่ฝ่าบาทกำลังตั้งใจจะฝึกเลี้ยงหนิวโหย่วเต๋อชัดๆ!


เรื่องบางเรื่องเขาไม่ได้ไปเข้าร่วมตั้งแต่แรก ก็เลยไม่รู้ แต่ในฐานะที่เป็นขุนนางที่อยู่ใกล้ชิดประมุขชิง เขาเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจแล้ว


เกาก้วนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า “หรือฝ่าบาทจะจัดให้เขาไปอยู่ในที่สงบๆ งานน้อย?”


ประมุขชิงยิ้มหยอก แล้วบอกว่า “ที่บอกว่าเขาเป็นลูกลิงน้อยนั้นไม่ผิดเลยสักนิด…” เขาพูดไม่จบประโยค


เกาก้วนกับซ่างก่วนชิงประหลาดใจ ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร


ผ่านระยะทางที่ยาวไกล ในที่สุดเหมียวอี้ก็กลับมาถึงฐานของธงพยัคฆ์ดำแล้ว


จ้านหรูอี้ที่กลับมาก่อนก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเหมียวอี้จะตามกลับมาติดๆ แล้ว แต่นางก็รู้มาจากลูกน้องเช่นกันว่าทางตลาดผีเกิดเรื่องอะไรขึ้น ที่จริงพอนางกลับมาที่นี่ ระหว่างทางก็มีเวลามากมายสำหรับการเปลี่ยนแปลง ตำหนักสวรรค์ก่อความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนั้นที่ตลาดผี คนในใต้หล้ารู้กันหมดแล้ว ทางกองมังกรดำก็ส่งข่าวเรื่องนี้มาเหมือนกัน เพียงแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่ามีคนของกองมังกรดำไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ด้วย อย่างไรเสียภารกิจครั้งนี้ก็เป็นความลับ รักษาความลับไว้อย่างดีมาก


จ้านหรูอี้นำคนมารออยู่ที่ธงพยัคฆ์ดำแล้ว เตรียมจะรอรับกำลังพลของตัวเอง


พอเหมียวอี้เหยียบลงพื้นก็ส่งต่อกำลังพลของธงพยัคฆ์น้ำเงินให้นาง หลังจากแอบบอกเหตุผลที่กำลังพลหายไปแล้ว จ้านหรูอี้ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ขณะที่นางกำลังจะนำคนกล่าวอำลา แต่ใครจะคิดว่าทั้งคู่จะได้รับข่าวจากกองมังกรดำแทบจะพร้อมกัน สั่งให้ทั้งสองไปรายงานตัวที่กองมังกรดำเดี๋ยวนี้


เดิมทีเหมียวอี้ก็ต้องไปรายงานผลการปฏิบัติงานที่กองมังกรดำอยู่แล้ว การส่งข่าวมากลับทำให้ลดความยุ่งยากได้ เขาจะได้ไม่ต้องไปหลายรอบ


ทั้งสองไปที่ตำหนักประชุมของกองมังกรดำด้วยกัน พบว่าผู้บัญชาการใหญ่ของธงพยัคฆ์อื่นๆ ทยอยกันมาถึงแล้ว ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าไม่ได้เรียแค่พวกเขาสองคน


เมื่อเห็นท่านแม่ทัพภาคให้ยังไม่โผล่หน้ามา เฮ่อจือโย่วผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดินก็มาตรงหน้ารองแม่ทัพภาคโป๋เยว แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “รองแม่ทัพภาคโป๋ ได้ยินว่าท่านหัวหน้าภาคจะมาด้วยตัวเอง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ขอรับ?”


โป๋เยวทำสีหน้าจริงจัง แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้ยินมาแว่วๆ ว่ากองมังกรดำของพวกเราเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงบุคลากร”


บทที่ 1427 เลื่อนตำแหน่งแบบงงๆ

Ink Stone_Fantasy

“เปลี่ยนแปลงบุคลากร?”


กลุ่มคนในตำหนักได้ยินแล้วเกิดความวุ่นวายนิดหน่อย ทุกคนมองโป๋เยวที่ทำสีหน้าจริงจัง แล้วก็มองไปที่เซี่ยงไป่กง พบว่ารองแม่ทัพภาคเซี่ยงก็มีท่าทางหนักใจเหมือนกัน


พวกเขาแค่คิดดูนิดหน่อยก็เข้าใจแล้ว การเปลี่ยนแปลงบุคลากรที่สามารถทำให้ท่านหัวหน้าภาคมาเองได้ จะต้องไม่ใช่ระดับผู้บัญชาการใหญ่แน่นอน อย่างน้อยก็เป็นระดับรองแม่ทัพภาคขึ้นไป ส่วนการเปลี่ยนแปลงระดับรองแม่ทัพภาคนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้หัวหน้าภาคมาด้วยตัวเอง แค่เรียกตัวไปบอกที่ทัพเป่ยโต้วโดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้ว ยิ่งระดับแม่ทัพภาคก็ยิ่งไม่มีเรื่องแบบนี้เลย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากกว่าว่าจะเปลี่ยนเจ้าบ้านของกองมังกรดำ


หรือไม่อย่างนั้น หนึ่งในรองแม่ทัพภาคทั้งสองคนนี้ ก็อาจจะมีใครที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง กำลังจะกลายเป็นเจ้าบ้านคนใหม่ของกองมังกรดำแล้ว


ไม่รู้ว่าคนไหนจะได้เลื่อนตำแหน่ง…ในใจของทุกคนเริ่มสั่นคลอนแล้ว สายตามองไปบนใบหน้ารองแม่ทัพภาคทั้งสองไม่หยุด การเปลี่ยนแปลงของคนระดับบน ต่อให้เป็นแค่ตำแหน่งเดียวก็สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเป็นทอดๆ ได้


จากท่าทางที่ไม่มั่นใจของรองแม่ทัพภาคทั้งสองคน ก็มองออกแล้วว่าเรื่องนี้อาจจะกะทันหันเกินไป เห็นได้ชัดว่ารองแม่ทัพภาคสองคนนี้ไม่ได้เตรียมใจเลยสักนิด ถ้ารู้ตั้งแต่แรกจะต้องมีการเคลื่อนไหวทั้งข้างบนข้างล่างแน่นอน จะเคลื่อนไหวข้างบนอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือถ้าอยากจะได้รับการสนับสนุนจากผู้บัญชาการใหญ่เบื้องล่าง ไม่ถึงขั้นปล่อยให้ทุกคนไม่ได้ยินข่าวมาก่อนเลย


เหมียวอี้กลับอดไม่ได้ที่จะมองไปยังจ้านหรูอี้ที่อยู่ตรงหน้า ตอนนี้มีเพียงเขาที่รู้ดีที่สุด ว่าจ้านหรูอี้ได้สร้างผลงานใหญ่ไว้ที่ตลาดผีแล้ว ไม่ใช่ว่าผู้หญิงคนนี้จะได้ขึ้นตำแหน่งเจ้าบ้านของกองมังกรดำแล้วหรอกเหรอ?


เขารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก เรื่องการสร้างผลงานนั้นจะต้องดูจากความสำคัญ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ต้องดูว่าเรื่องนั้นมีความสำคัญต่อต่อคนใหญ่คนโตขนาดไหน บางคนไปเสี่ยงอันตรายสู้ตายสุดชีวิตเหมือนกัน ไปปราบโจรผู้ร้ายอย่างเหน็ดเหนื่อยแทบตาย แต่ก็เทียบไม่ติดกับการทำเรื่องที่มีความหมายต่อบุคคลระดับบน เศษเงินเล็กน้อยที่หลุดจากซอกนิ้วของบุคคลระดับสูงล้วนเป็นรางวัลใหญ่ทั้งนั้น


จ้านหรูอี้เหมือนจะสังเกตได้ว่าเหมียวอี้กำลังแอบมองตนอยู่ นางชำเลืองมองแวบหนึ่ง สบตากับเหมียวอี้เล็กน้อย แลวก็ยืนเหลือบตาลงต่อไป ท่าทางเหมือนไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่พบเจอ ที่จริงในใจนางก็รู้สึกได้นิดหน่อยว่าการเปลี่ยนแปลงบุคลากรครั้งนี้คือการเลื่อนตำแหน่งของนาง นางเองก็รู้ว่าผลงานที่นางสร้างครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่การต่อสู้เข่นฆ่าทั่วไปจะเทียบติด นี่เป็นเรื่องที่ราชันสวรรค์ให้ความสนใจอยู่เบื้องหลัง ขอเพียงราชันสวรรค์อนุญาต การเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคก็ไม่ถือว่าเกินไปเลยสักนิด


ทั้งสองยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ ไปเสี่ยงอันตรายที่ตลาดผีมาเหมือนกัน เป็นแค่ปัญหาเรื่องอันดับหนึ่งและอันดับรองเท่านั้น แต่โชคชะตากลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เหมียวอี้แอบด่าแม่ในใจแล้ว ถ้าให้ผู้หญิงคนนี้กลายเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาโดยตรง ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเปลี่ยนอุบายไหนมาทรมานเขาอีก และเขาดันเคยล่วงเกินผู้บังคับบัญชาคนนี้แบบให้อภัยไม่ได้เสียด้วย ทำไมข้าถึงมีชะตาลำเค็ญขนาดนี้!


ทุกคนในตำหนักคิดกันไปต่างๆ นาๆ


เมื่อรอไปได้ครู่เดียว แม่ทัพภาคเนี่ยอู๋เซี่ยวก็เดินออกมาจากตำหนักหลังพร้อมหัวหน้าภาคอวี่จ้งเจิน ข้างหลังยังตัวละครอีกหลายคนที่มาจากทัพเป่ยโต้ว


อวี่จ้งเจินนั่งอยู่บนตำแหน่งหลัก เนี่ยอู๋เซี่ยวยืนอยู่ข้างๆ กัน ส่วนคนที่เหลือก็ยืนฟังอยู่บนบันไดข้างๆ


ทุกคนที่อยู่ข้างล่างรีบยืนอย่างเป็นระเบียบ แล้วกุมหมัดคารวะกล่าวพร้อมกันว่า “คารวะท่านหัวหน้าภาค”


อวี่จ้งเจินยกมือบอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี สายตากวาดมองทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง สายตาหยุดอยู่บนหน้าเหมียวอี้ก่อน แล้วสุดท้ายก็กวาดมองบนใบหน้าจ้านหรูอี้อีก ในแววตาแสดงความรู้สึกแปลกๆ อย่างไรบอกไม่ถูก หลังจากเขาไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ทุกคนทำงานอยู่ใต้สังกัดของทัพเป่ยโต้วมาหลายปี ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็ทำงานอย่างยากลำบาก ข้าล้วนเห็นพวกเจ้าอยู่ในสายตา เนี่ยอู๋เซี่ยวที่บัญชาการกองมังกรดำมาหลายปีก็นับว่าตั้งใจปฎิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นกัน เมื่อครู่นี้ข้าคุยกับแม่ทัพภาคเนี่ยมาแล้ว เตรียมจะย้ายเขาออกจากกองมังกรดำ ก็ไม่นับว่าเป็นการเลื่อนตำแหน่งอะไรหรอก นับว่าแต่งตั้งตำแหน่งอื่นให้ก็แล้วกัน”


ทุกคนที่ยืนอยู่ข้างล่างแอบส่งสายตาให้กันเงียบๆ ทันที พวกเขามองหน้ากันไป มองหน้ากันมา มีบางคนที่คำพูดในใจเขียนไว้บนหน้าแล้ว เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย!


เนี่ยอู๋เซี่ยวย้ายไปแล้ว แล้วใครจะมานั่งตำแหน่งแม่ทัพภาคล่ะ? โป๋เยวกับเซี่ยงไป่กงมองไปที่อวี่จ้งเจินตาปริบๆ เป็นสีหน้าที่ทั้งกังวลทั้งเฝ้าคอย


หลังจากมองดูปฏิกิริยาของทุกคนครู่เดียว อวี่จ้งเจินก็พูดต่อว่า “ข้ารู้ว่าทุกคนกำลังกังวลอะไร กำลังกังวลว่าต่อไปใครจะได้มานั่งตำแหน่งแม่ทัพภาคกองมังกรดำแน่นอน ข้าเองก็ก้าวขึ้นมาจากข้างล่างทีละก้าว ข้าเข้าใจความรู้สึกของทุกคน! แต่ทุกคนก็รู้ธรรมเนียมของหน่วยองครักษ์ซ้ายชัดเจน คุณสมบัติและประสบการณ์ วรยุทธ์ ศักยภาพและความสามารถล้วนเป็นหนึ่งในปัจจัยนั้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องดูผลงานในการรบ เมื่อไร้ผลงานก็ไม่ได้รับค่าจ้าง เมื่อมีผลงานก็ต้องได้รับรางวัล นี่คือธรรมเนียมเก่าแก่ ถ้าทำในจุดนี้ไม่ได้ ใครภายหลังใครจะทุ่มเทชีวิตทำงานไปฆ่าศัตรูให้ล่ะ? โอกาสล้วนมีเท่ากัน ใครสร้างผลงานใหญ่ก็ให้รางวัลคนนั้น ไม่มีใครว่าอะไรได้ทั้งนั้น ทุกคนคิดว่าเป็นแบบนี้หรือเปล่า?”


“ใช่แล้ว!” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน


อวี่จ้งเจินพยักหน้า แล้วบอกอีกว่า “ก่อนหน้านี้ตำหนักสวรรค์ก่อความเคลื่อนไหวใหญ่ที่ตลาดผี คาดว่าทุกคนคงจะได้ยินมาแล้ว กำลังพลกลุ่มใหญ่จองหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาร่วมมือกันโจมตี สร้างผลงานการรบมากมาย การที่สามารถมีผลงานแบบนี้ได้ ก็เพราะก่อนหน้านั้นทัพเป่ยโต้วของพวกเราส่งคนเป็นเสี่ยงตายเป็นกองหน้า เรียกได้ว่าสร้างผลงานใหญ่ไว้แล้ว! ในบรรดาพวกเจ้าก็ยิ่งมีคนที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ตรวจการใหญ่มาแล้ว ผู้ตรวจการใหญ่ค่อนข้างชื่นชมเขา! ข้าได้ยินผู้ตรวจการใหญ่บอกมา ว่าแม้แต่ราชันสวรรค์ก็กล่าวชมตั้งสามครั้ง! มีคนเป็นหน้าเป็นตาให้ทัพเป่ยโต้วของพวกเราแล้ว!”


“ตลาดผี…”


ตอนนี้เกิดเสียงฮือฮาทันที นึกไม่ถึงว่าที่ตลาดผีเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้จะเกี่ยวข้องกับกองมังกรดำด้วย ทั้งยังร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ตรวจการใหญ่อีก แม้แต่ราชันสวรรค์ยังกล่าวชม แบบนี้นอนรอเลื่อนตำแหน่งได้เลย เป็นใครกันนะ?


เป็นใครนั้นเดาได้ไม่ยาก ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนที่กำลังพลกองมังกรดำกระจายกันไปประจำการก็อาจจะเดาไม่ออก แต่ตอนนี้ทุกคนล้วนประจำการอยู่ที่เดียวกัน ก่อนหน้านี้มีใครอยู่หรือมีใครไม่อยู่ ทุกคนก็พอจะรู้บ้างนิดหน่อย ดังนั้นในชั่วพริบตานั้น ทุกคนจึงหันกลับไปมองเหมียวอี้และจ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ข้างหลัง มีเพียงสองคนนี้ที่หายไป จะใช่พวกเขาหรือเปล่า?


จะเลื่อนตำแหน่งเพราะเรื่องที่ตลาดผีจริงๆ ด้วย! เหมียวอี้แอบถอนหายใจ แล้วเอียงหน้ามองไปทางจ้านหรูอี้แวบหนึ่ง


เป็นเพราะปฏิกิริยาของเขาชักนำเช่นกัน สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวจ้านหรูอี้แล้ว


จ้านหรูอี้เหลือบสายตาลง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่จริงแล้วในใจรู้สึกเก้อเขินนิดหน่อย ในใจรู้สึกตื่นเต้นเป็นกังวล พยายามไม่ให้ตัวเองแสดงออกมากเกินไป


เซี่ยงไป่กงกับโป๋เยว รองแม่ทัพภาคทั้งสองเรียกได้ว่าร่ำร้องในใจ จบกัน! ฝันสลายแล้ว!


ท่านหัวหน้าภาคพูดถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่ทั้งสองจะไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร ช่วงนี้ทั้งสองไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องไปเคลื่อนไหวใหญ่โตที่ตลาดผีเลย พวกเขาสองคนไม่มีวาสนากับตำแหน่งแม่ทัพภาคแล้ว!


อวี่จ้งเจินบอกอีกว่า “คาดว่าทุกคนคงจะรู้แล้วนะว่าเป็นใคร? เป็นใครกันล่ะ? ก้าวขึ้นมาเองเลยสิ หนิวโหย่วเต๋อ!”


จ้านหรูอี้พลันเงยหน้า ดวงตางามมองไปที่อวี่จ้งเจิน ในแววตาสื่อว่าทำใจเชื่อได้ยาก ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไปเสียอีก หันหน้าช้าๆ มองไปที่เหมียวอี้อีกครั้ง


ทุกคนก็นึกว่าตัวเองฟังผิดไปเช่นกัน ทุกสายตาพลันจับจ้องไปที่เหมียวอี้ ก่อนหน้านี้ทุกคนโดนปฏิกิริยาของเหมียวอี้ทำให้เข้าใจผิดแล้ว


“…” เหมียวอี้ก็นึกว่าตัวเองฟังผิดไปเช่นกัน ยืนเหม่ออยู่ที่เดิม ชี้จมูกตัวเองพร้อมถามอย่างเหลือเชื่อว่า “ข้าเหรอ?”


ตอนอยู่ที่ตลาดผีเขาวิ่งตามก้นจ้านหรูอี้ตลอด โดนจ้านหรูอี้หลอกใช้เพื่อโจมตีคนอื่นมาตลอด ขนาดตัวเองยังรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เลย!


“หนิวโหย่วเต๋อฟังคำสั่งแต่งตั้ง!” อวี่จ้งเจินกล่าวเสียงเรียบ


ตอนนี้ต่อให้มีปัญหาในการฟังแต่ก็ได้ยินชัดเจนแล้ว เหมียวอี้อึ้งไปครู่เดียว แล้วแข็งใจก้าวออกนอกแถวมากุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยอยู่ขอรับ!”


อวี่จ้งเจินประกาศอย่างจริงจังหนักแน่นว่า “หนิวโหย่วเต๋อมองทะลุกับดักของฝ่ายศัตรูได้ในช่วงเวลาสำคัญ รับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้า หลีกเลี่ยงไม่ให้กำลังพลธงพยัคฆ์ดำกับธงพยัคฆ์น้ำเงินพินาศย่อยยับ กอบกู้สถานการณ์ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตำหนักสวรรค์ได้ทันเวลา ตอนหลังโจมตีโต้ตอบเพื่อสร้างผลงานให้ตำหนักสวรรค์ จึงได้รับรางวัลพิเศษ! เลื่อนตำแหน่งหนิวโหย่วเต๋อผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำให้เป็นแม่ทัพภาคกองมังกรดำ เลื่อนยศเป็นแม่ทัพเกราะม่วงสองแถบ ส่งต่องานและไปรับตำแหน่งในวันนี้!”


กลุ่มคนในตำหนักได้ยินแล้วเกิดความวุ่นวายนิดหน่อย ทุกคนมองโป๋เยวที่ทำสีหน้าจริงจัง แล้วก็มองไปที่เซี่ยงไป่กง พบว่ารองแม่ทัพภาคเซี่ยงก็มีท่าทางหนักใจเหมือนกัน


กลุ่มผู้บัญชาการกลับฮือฮา เรียกได้ว่าทำสายตาอิจฉา ไม่ใช่แค่ได้เลื่อนยศสองขั้น ทั้งยังกระโดดข้ามตำแหน่งรองแม่ทัพภาคไปเป็นแม่ทัพภาคแล้ว ขนาดยศยังกระโดดไปสองขั้นเลย จากทหารเลวหกแถบกลายเป็นแม่ทัพสองแถบ เรียกได้ว่าตบรางวัลอย่างหนัก!


เซี่ยงไป่กงกับโป๋เยวสีหน้าเศร้าสลดเศร้าสลดแล้ว


จ้านหรูอี้ก็งงนิดหน่อยเช่นกัน มองเหมียวอี้อย่างเหม่อลอย คิดไม่ตกนิดตกนิดหน่อย เจ้าเวรนี่มันแทบจะตามก้นนางกลับมา ระหว่างนั้นทำอะไรไปบ้างแล้ว ฟังจากที่อวี่จ้งเจินพูดก็เหมือนจะเก่งกาจมาก เหมือนจะสร้างผลงานใหญ่กว่านางเยอะเลย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?


นางนึกเสียใจทีหลังที่ตัวเองกลับมาเร็ว ถ้ารู้ตั้งแต่แรกคงอยู่ดูต่อ ไม่ต้องออกมาเร็วขนาดนี้


อวี่จ้งเจินเลิกคิ้วถามว่า “ทำไม เจ้าไม่เต็มใจเหรอ?”


“เอ่อ…” เหมียวอี้ได้สติกลับมาแล้ว การเลื่อนขั้นร่ำรวยแบบนี้ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะไม่เต็มใจ จึงรีบกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยเอ่ยรับคำสั่ง!”


พออวี่จ้งเจินเอียงหน้า ผู้ติดตามที่อยู่ข้างกันก็หยิบเกราะรบยศแม่ทัพสองแถบรวมทั้งหนังสือสถานะขุนนางออกมายื่นให้เหมียวอี้ตรงนั้นเลย


“หนิวโหย่วเต๋อ ต่อไปกองมังกรดำยังมีภารกิจใหม่ รีบส่งต่องานกับเบื้องล่างและเบื้องบน ตามนี้แล้วกัน!” อวี่จ้งเจินใช้สองมือตบบนที่วางมือแล้วยืนขึ้น แล้วหันตัวนำกลุ่มคนเดินไปด้านหลัง


“น้อมส่งนายท่านหัวหน้าภาค!” กลุ่มคนในตหนักกุมหมัดคารวะ


ในมือเหมียวอี้ถือของเป็นกอง กำลังขบคิดว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ จู่ๆ คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็ทำความเคารพเขาพร้อมกัน “คารวะท่านแม่ทัพภาค!”


โป๋เยวกับเซี่ยงไป่กงก็ยิ่งทำสีหน้าหลากหลายอารมณ์ ที่ยิ่งกว่านั้นคือจิตตก ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้เพิ่งมาได้ไม่กี่ปี จู่ๆ ก็ได้กลายเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเขาแล้ว กระโดข้ามสองขั้นไปเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเขาแล้ว ทำให้ทั้งสองตอบสนองไม่ทัน


ผู้บัญชาการใหญ่แต่ละคนที่อยู่ตรงนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะดูถูกหรือไม่ดูถูกเหมียวอี้ ทุกคนล้วนเป็นผู้นำของธงพยัคฆ์ ยามปกติก็เป็นเรื่องยากที่จะได้เจอหน้ากัน รู้สึกว่าเหมียวอี้สร้างภัยคุกคามให้พวกเขาไม่ได้ กลายเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาไม่ได้ ดังนั้นระหว่างพวกเขาจึงไม่มีเรื่องอะไรกัน แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่ให้โอกาสพวกแข่งขันสักครั้ง แต่กระโดดขึ้นตำแหน่งสูงไปแล้ว รสชาตินี้เรียกว่าความเจ็บแปลบ


คนที่จิตตกยิ่งกว่าก็คงจะเป็นจ้านหรูอี้ ได้แต่มองดูจุดที่อวี่จ้งเจินเดินหายไปตาปริบๆ นางยังนึกว่าแต่งตั้งเหมียวอี้เสร็จแล้ว ต่อไปจะก็จะเป็นคราวของนาง แต่ใครจะคิดว่าหัวหน้าภาคจะไม่เอ่ยถึงเรื่องของนางสักนิด มองข้ามผลงานของนางไปแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน! บอกว่ามีผลงานก็ต้องให้รางวัลไม่ใช่เหรอ?


“ทุกคนกลับไปก่อนเถอะ! ถ้ามีเรื่องอะไรก็รอให้ข้าจัดการเรื่องตรงหน้าเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


หลังจากเหมียวอี้ไล่กลุ่มคนออกไปแล้ว ก็เดินเข้าไปที่ตำหนักหลัง พอมาถึงลานบ้านด้านหลัง ก็เจอกับเนี่ยอู๋เซี่ยวที่กำลังเอามือไขว้หลังยืนรออยู่


เนี่ยอู๋เซี่ยวเหมือนจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาจะมา แต่ไหนแต่ไรมาใบหน้าไม่เคยมีรอยยิ้มเหมือนกับชื่อของเขา แต่ครั้งนี้ใบหน้ากลับอมยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดเหมือนหยอกล้อว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคแล้ว ยินดีด้วย”


เหมียวอี้มีสีหน้าเก้อเขิน กุมหมัดขอร้องว่าอย่าล้อกันเลย กล่าวประจบเช่นกันว่า “ข้าน้อยเพียงได้รับการสนับสนุนจากนายท่านก็เท่านั้นเอง คาดว่านายท่านต่างหากที่ได้เลื่อนขั้นอย่างแท้จริง ขออนุญาตถามว่านายท่านเลื่อนตำแหน่งสูงไปถึงขั้นไหนขอรับ?” เขามองออกแล้ว อีกฝ่ายเหมือนจะอารมณ์ค่อนข้างดี จะต้องมีที่ไปที่ดีกว่าตำแหน่งแม่ทัพภาคกองมังกรดำแน่นอน


บทที่ 1428 หน้าที่อันงดงามเลยนะ!

Ink Stone_Fantasy

เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างสงสัย นั่นก็คือที่ทัพเป่ยโต้วเนี่ยอู๋เซี่ยวอยู่ถึงตำแหน่งนี้แล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้สร้างผลงานใหญ่อะไร ถ้าจะไปว่าไปเป็นรองหัวหน้าภาคทัพเป่ยโต้วก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ รองหัวหน้าภาคทัพเป่ยโต้วล้วนเป็นนักพรตระดับบงกชกลาย เนี่ยอู๋เซี่ยวยังห่างจากระดับนั้นไม่ใช่น้อย ไม่ใช่ว่าจะใช้ผลงานเล็กน้อยมาเสริมชดเชยได้ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะสืบข่าวดูสักหน่อย


เนี่ยอู๋เซี่ยวเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปากแข็ง “รายละเอียดว่าไปที่ไหนข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ฟังจากท่านหัวหน้าภาค อำนาจท้องถิ่นเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง มีหลายตำแหน่งที่กำลังจะเผชิญหน้ากับการปรับเปลี่ยนในวงกว้าง หน่วยองครักษ์ซ้ายขวากำลังจะย้ายคนจำนวนไม่น้อยไปรับตำแหน่ง ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเตรียมตัวแล้ว ข้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน กำลังจะย้ายไปรับตำแหน่งแม่ทัพภาค”


เดิมทีเขาไม่อยากจะพูดสิ่งเหล่านี้ เพียงเพราะพิจารณาถึงสถานการณ์ที่ซับซ้อนของอำนาจท้องถิ่น อวี่จ้งเจินเปิดเผยล่วงหน้าแล้ว ว่าให้เขาเตรียมใจไว้ให้ดี บอกว่าอำนาจท้องถิ่นไม่มีทางยอมถอยให้แต่โดยดีแน่ การต่อสู้ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ฝั่งหน่วยองครักษ์ซ้ายไม่สะดวกจะเข้าไปแทรกแซงอำนาจท้องถิ่นโดยตรงเพื่อช่วยเหลือ แต่กลับจะส่งคนไปสนับสนุนทันที และคนที่เนี่ยอู๋เซี่ยวต้องการก็ย่อมเป็นลูกน้องเก่าของตัวเอง ถ้าค่อนข้างเข้าใจกันก็จะใช้งานได้อย่างวางใจ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เขาถอดกำลังพลของอำนาจท้องถิ่นทิ้งทั้งหมดโดยไร้เหตุผลทันทีที่ไปถึง เป็นไปไม่ได้ที่เริ่มแรกจะพาคนไปด้วยเยอะขนาดนั้น อีกทั้งถ้าหากในตอนหลังจะดึงคนมาด้วย ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเหมียวอี้จะปล่อยคนมาหรือไม่ ดังนั้นคิดไปคิดมาก็สานสัมพันธ์อันดีกับเหมียวอี้เอาไว้ดีกว่า อย่าให้ถึงเวลานั้นแล้วโดนเหมียวอี้บีบคอ


และด้วยเหตุนี้เอง เวลาพูดคุยกันตอนนี้ถึงได้ดูค่อนข้างเท่าเทียมกัน เหมือนเป็นการสื่อสารของคนระดับเดียวกัน ไม่วางมาดผู้บังคับบัญชาต่อเหมียวอี้อีก


“อ๋อ!” เหมียวอี้พยักหน้า เขาพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้ว เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตลาดผี ในบรรดาคนที่ติดกับดักพวกนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่ามีขุนนางในตำหนักสวรรค์กี่คนที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ตามหลักการแล้วยังเป็นไปไม่ได้ที่คนระดับแม่ทัพภาคจะไปวางหมากที่ตลาดผี และไม่มีความสามารถในการเข้าไปแย่งชิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ด้วย ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนติดกับดักที่ตำหนักสวรรค์วางไว้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะกวาดล้างบุคคลระดับสูงกว่านั้น พอเบื้องบนโดนกวาดล้าง คนที่รับตำแหน่งใหม่ก็ย่อมเป็นคนของตัวเองที่อยู่ระดับล่าง นั่นก็หมายความว่าจะต้องเจอกวาดล้างเป็นทอดๆ เช่นกัน เกรงว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวคงจะได้อาศัยบารมีนี้


แต่อาศัยศักยภาพและวรยุทธ์อย่างเนี่ยอู๋เซี่ยว การย้ายไปเป็นแม่ทัพภาคให้อำนาจท้องถิ่นก็ถือว่าลดศักดิ์ศรีนิดหน่อย แต่เกรงว่าตำหนักสวรรค์ก็คงต้องย้ายกลุ่มคนแบบนี้ไปถึงจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง แบบนี้ก็เท่ากับว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวได้รับภารกิจที่จะได้ผลตอบแทนมากมาย ถ้าทำได้ดี การเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาคของอำนาจท้องถิ่นก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ถึงอย่างไรคุณสมบัติในด้านต่างๆ ก็มีครบแล้ว ขาดแค่บันไดในการเลื่อนตำแหน่งอย่างเดียว อยู่ที่กองทัพองครักษ์มีการแข่งขันกันเยอะเกินไป


ถ้าผ่านอุปสรรคด่านนี้ไปได้ กลายเป็นหัวหน้าภาคของอำนาจท่องถิ่นแล้ว แบบนั้นก็ถือว่าได้เป็นเจ้าอาณาเขตแล้ว ได้ส่วนแบ่งดาราจักรให้ปกครอง เหมือนกับเฉาว่านเสียงสามีของมู่หรงซิงหัว ได้ควบคุมดาราจักรผืนใหญ่มาก มีสรรพสิ่งที่อยู่ใต้สังกัดนับไม่ถ้วน มีจวนราชการของตัวเอง มีสุรานารีจัดให้ตามอำเภอใจ ขอเพียงไม่กลัวว่าหลังบ้านจะไฟลุก จะเลี้ยงอนุภรรยาแสนสวยไว้ในบ้านเยอะเท่าไรก็ได้ ไม่เหมือนตอนที่อยู่กองทัพองครักษ์ ยกตัวอย่างเช่นเฟยหงอนุภรรยาของเหมียวอี้ นางทำได้เพียงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในค่าย ไม่สามารถเพ่นพ่านไปทั่วได้ ไม่อย่างนั้นจะมีผลกระทบที่ไม่ดี ชีวิตที่กองทัพองครักษ์ก็เหมือนพระที่บำเพ็ญทุกรกิริยา


แต่จะว่าไปแล้ว แม้แต่มังกรที่แข็งแกร่งก็ข่มงูเจ้าที่ได้ยาก ทั้งนี้ทั้งนั้นยังต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเนี่ยอู๋เซี่ยวสามารถยืนหยัดอยู่กับอำนาจท้องถิ่นอย่างมั่นคงได้ อย่าให้ท่านโหวที่อยู่เบื้องบนกวาดล้างตำแหน่งหัวหน้าภาคจนหมด ไม่อย่างนั้นเนี่ยอู๋เซี่ยวก็จะควบคุมไม่ได้แม้แต่แม่ทัพภาคในอาณาเขตตัวเอง แบบนั้นจะเลื่อนตำแหน่งได้อย่างไรล่ะ?


พอคิดได้แล้ว เหมียวอี้ก็กุมหมัดพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “สงสัยนายท่านกำลังจะกลายเป็นเจ้าอาณาเขตที่ไนหสักแห่งแล้ว กำลังจะได้ใช้ชีวิตสุขสันต์หรรษาแบบสุรานารีไม่ขาด”


เนี่ยอู๋เซี่ยวเผยรอยยิ้มอย่างที่พบเห็นได้ไม่บ่อย แล้วบอกว่า “ตอนนี้เจ้ากับข้าอยู่ระดับเดียวกันแล้ว ไม่ต้องเรียกว่า ‘นายท่าน’ อีก ต่อไปเรียกเป็นพี่เป็นน้องกันเถอะ น้องหนิวได้รับช่วงต่อกองมังกรดำแล้ว ในภายหลังอาจจะมีบางจุดที่ต้องขอให้น้องหนิวช่วยเหลือ”


เหมียวอี้แววตาวูบไหวเล็กน้อย เปลี่ยนเป็นเรียก ‘น้องหนิว’ เร็วขนาดนี้เลยเหรอ ไม่คร่ำครึหัวโบราณด้วย สงสัยนี่จะเป็นศักยภาพแฝงของคนที่ได้ไต่เต้าขึ้นตำแหน่งหัวหน้าภาค


เหมียวอี้เอามือตบหน้าอกทันที “ถ้ามีจุดไหนที่จะใช้งาน พี่เนี่ยก็บอกมาได้เลย”


สิ่งที่เนี่ยอู๋เซี่ยวต้องการก็คือคำพูดแบบนี้จากเขา ไม่อย่างนั้นคงไม่มาเฝ้ารอเขาอยู่ที่นี่ จึงกล่าวเสียงต่ำว่า “ในปีนั้นน้องหนิวต่อสู้ดิ้นรนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ ไม่ต้องให้ข้าบอกเจ้าก็รู้เรื่องขัดแย้งของอำนาจท้องถิ่น ข้าย้ายไปที่นั่นแล้วมีพวกน้อยกำลังอ่อนแอ หัวเดียวกระเทียมลีบ อีกหน่อยยังต้องขอย้ายลูกน้องเจ้าจากมือน้องหนิวไปด้วย”


เหมียวอี้ทำท่าเหมือนเข้าใจหลักการ “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว การนำคนไปด้วยเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล”


เนี่ยอู๋เซี่ยวส่ายหน้า “ไม่ใช่พาผู้ติดตามไปรับตำแหน่งด้วยเท่านั้นนะ ตามหลักการแล้ว ถ้าข้าพาไปสิบคนก็ไม่พอให้ใช้งานเลย อำนาจดั้งเดิมของที่นั่นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึก อาจจะต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งข้างบนทั้งข้างล่าง ดังนั้นสิ่งที่ข้าจะสื่อก็คือ หลังจากข้าหาที่ลงได้แล้ว ถ้าบุกเบิกเรื่องต่างๆ ได้แล้ว ก็ต้องรีบควบคุมสถานการณ์เบื้องล่างเร็วๆ ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะต้องย้ายกำลังพลกลุ่มใหญ่ของน้องหนิวไป” เขายกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “ให้ข้าอีกหนึ่งพันคน!”


หนึ่งพันคน? เหมียวอี้รู้สึกลำบากใจนิดหน่อย เขาเข้าใจความคิดของเนี่ยอู๋เซี่ยว อีกฝ่ายอยากเปลี่ยนคนในตำแหน่งสำคัญทั้งข้างล่างข้างบนให้เป็นคนของตัวเองทั้งหมดหลังจากไปอยู่ที่อำนาจท้องถิ่นแล้ว จะได้ควบคุมสถานการณ์ได้สะดวก แต่ขอเท่านี้ก็อาจจะเยอะไปหน่อย นี่คือกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ ไม่ใช่กองทัพส่วนตัวของเขา ถ้าปล่อยกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ออกไปหนึ่งพันคนในรวดเดียว แล้วจะให้เขาอธิบายกับเบื้องบนอย่างไรล่ะ?


เขาตอบอย่างลังเลว่า “พี่เนี่ย ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากทำนะ แต่ลักษณะของกองทัพองครักษ์เป็นยังไงท่านก็รู้ดีกว่าข้าเสียอีก ท่านจะย้ายไปหนึ่งพันคนในรวดเดียว เรื่องบางอย่างข้าก็รับผิดชอบไม่ไหว”


เนี่ยอู๋เซี่ยวคว่ำฝ่ามือลงพร้อมบอกว่า “น้องชายคิดมากไปแล้ว ที่ข้ามารอน้องหนิวอยู่ที่นี่ก็เป็นประสงค์ของท่านหัวหน้าภาคเช่นกัน มีบางเรื่องที่ท่านหัวหน้าภาคอยากจะให้ข้าตกลงกับเจ้าไว้ก่อน เมื่อถึงตอนนั้นจะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าทำงานไม่ราบรื่นจนทำงานใหญ่ของเบื้องบนพัง ขอเพียงน้องหนิวไม่ขัดขวาง เบื้องบนจะต้องอนุมัติเรื่องนี้อย่างไม่ลังเลแน่นอน!”


เขากลัวจริงๆ ว่าเมื่อถึงเวลาสำคัญเหมียวอี้จะกลั่นแกล้ง แต่เมื่อมีเบื้องบนคอยกดดัน เขาก็ไม่กลัวว่าเหมียวอี้จะไม่ปล่อยคน ถ้าเหมียวอี้จงใจจะหาเรื่องยื้อเวลาก็ไม่มีปัญหาเลย เรื่องบางเรื่องอวี่จ้งเจินได้บอกเขาไว้ชัดเจนมากแล้ว ผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ไม่มีทางเป็นฝ่ายส่งต่ออำนาจให้ก่อนอย่างตรงไปตรงมาแน่ ถ้าเจอปัญหาเล็กน้อยก็สามารถโต้กลับได้ทันที ถ้ายามหน้าสิ่วหน้าขวานเขาต้องการให้คนของตัวเองคอยต้านเบื้องบนให้ แต่เหมียวอี้กลับกำลังจงใจถ่วงเวลา…


เหมียวอี้เข้าใจในทันที เป็นตัวเองที่คิดมากไปจริงๆ ด้วย ประมุขชิงกำลังแย่งชิงอำนาจ กองทัพองครักษ์จะต้องสนับสนุนเรื่องปล่อยคนแน่นอน จึงพยักหน้าทันที “พี่เนี่ยไม่ต้องห่วง ขอเพียงเบื้องบนไม่มีปัญหา แล้วคนของกองมังกรดำยินดีตามท่านไป พี่เนี่ยอยากได้ไปเท่าไรข้าก็ไม่มีปัญหาทั้งนั้น จะสนับสนุนเต็มที่”


“ดี! ตกลงตามนี้!” เนี่ยอู๋เซี่ยววางใจแล้ว ขณะเดียวกันก็ยื่นหมูยื่นแมว “ผู้ติดตามสิบคนข้ายังไม่พาไปด้วยตอนนี้หรอก ให้พวกเขาพยายามช่วยน้องหนิวให้รับช่วงต่อกองมังกรดำได้อย่างราบรื่นก่อน รอให้อำนาจท้องถิ่นที่ข้าไปขาดคนก่อน แล้วค่อยพาคนไปอีกที”


เหมียวอี้ได้ยินแล้วดีใจมาก เขาขาดคุณสมบัติและประสบการณ์ ศักยภาพวรยุทธ์ก็ไม่มี กำลังกังวลถึงปัญหาว่าจะรับช่วงต่อกองมังกรดำได้หรือไม่ ตอนนี้มีลูกน้องเก่าของเนี่ยอู๋เซี่ยวสนับสนุน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลแล้ว กุมหมัดคารวะกล่าวขอบคุณ “เช่นนั้นก็ขอขอบคุณล่วงหน้า”


เนี่ยอู๋เซี่ยวก็อารมณ์ดีเช่นกัน ตบบ่าเขาแล้วบอกว่า “ไปกันเถอะ! ท่านหัวหน้าภาครู้ว่าเจ้าจะมา กำลังรอเจ้าอยู่ข้างใน”


ทั้งสองเข้าไปด้วยกัน พอเข้าไปในลานบ้านด้านในก็เห็นผู้ตรวจการใหญ่อวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้วกำลังชมดอกไม้อย่างสบายใจ


เมื่อเห็นทั้งสองดูกระปรี้กระเปร่าและมีสีหน้ายินดี อวี่จ้งเจินก็ยิ้มบางๆ รู้ว่าทั้งสองเจรจาตกลงกันเรียบร้อยแล้ว


นี่ก็คือสิ่งที่เขาอยากจะเห็น ครั้งนี้เทียบกับสถานการณ์ตอนที่เหมียวอี้เพิ่งมาที่กองมังกรดำแล้วโดนกลั่นแกล้งไม่ได้ เจตนาของเบื้องบนในครั้งนี้ก็คือ อย่าให้เรื่องไม่เป็นเรื่องมารบกวนเหมียวอี้ ต้องการให้เหมียวอี้รับช่วงต่อกองมังกรดำอย่างราบรื่น ขณะเดียวกันก็ต้องการให้มีการสนับสนุนเนี่ยอู๋เซี่ยวหลังจากที่ไปถึงอำนาจท้องถิ่นแล้ว เรื่องนี้สำคัญกว่าการรับช่วงต่อกองมังกรดำของเหมียวอี้


อวี่จ้งเจินจะต้องทำให้ความประสงค์ของเบื้องบนเป็นความจริงให้ได้ เขาไม่อยากให้สองคนนี้ถ่วงความเจริญกันจนทำเสียเรื่องในภายหลัง ดังนั้นจึงมาที่นี่ด้วยตัวเอง


หลังจากเจอหน้ากันและพูดคุยเรื่องเบาสมองแล้ว เหมียวอี้ก็ถามเข้าประเด็นหลัก “ก่อนหน้านี้ท่านหัวหน้าภาคบอกว่ากองมังกรดำมีภารกิจใหม่ ไม่ทราบว่าภารกิจอะไรขอรับ?”


“ภารกิจครั้งนี้เป็นหน้าที่อันงดงามนะ!” อวี่จ้งเจินพูดหยอก


อย่าว่าแต่เหมียวอี้เลย ขนาดเนี่ยอู๋เซี่ยวก็ยังแปลกใจ “พอข้าไปก็มีหน้าที่อันงดงามทันทีเลยเหรอ ไม่ทราบว่าเป็นหน้าที่อันงดงามยังไง?”


อวี่จ้งเจินเอามือไขว้หลัง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “หลายพันปีก่อน ดาวไร้ลักษณ์ที่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมาก หลังจากมีสวนบรรณาการแห่งหนึ่งโดนฝูงโจรปล้น ตำหนักสวรรค์ก็ทำกับ ‘สวนบรรณาการ’ ทุกที่ให้เหมือน ‘อุทยานหลวงของวัง’ โดยให้กองทัพองครักษ์ที่ยังไม่มีภารกิจผลัดกันไปเฝ้าสวน ก็เท่ากับว่าถูกควบคุมจากกองทัพองครักษ์โดยตรง ครั้งนี้เบื้องบนจับฉลากให้กองมังกรดำของพวกเจ้าไปเฝ้าพอดี”


เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว ตอนนี้เขาย่อมรู้ว่าสวนบรรณาการกับอุทยานหลวงคืออะไร สวนบรรณาการของดาวไร้ลักษณ์นี้ เขาเป็นคนปล้นเอง เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร? สวนบรรณาการก็คือสวนชนิดหนึ่งที่ปลูกผลไม้เซียนเพื่อบรรณาการให้เบื้องบน ส่วนอุทยานหลวง ก็คือสวนป่าส่วนตัวที่อยู่ในบ้านของราชันสวรรค์


คิดไปคิดมาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขื่นขม “นายท่าน ไปเฝ้าสวนจะนับว่าเป็นหน้าที่อันงดงามอะไรกัน? จากที่ข้ารู้ว่า สวนบรรณาการกระจายอยู่ไม่ต่ำกว่าพันแห่ง แบบนี้ต้องกระจายกำลังพลของกองมังกรดำไม่ใช่เหรอ?”


อวี่จ้งเจิน “สวนบรรณาการหนึ่งแห่งต้องการคนเฝ้าไม่เยอะเท่าไรหรอก มีค่ายกลป้องกัน แต่ละที่ให้ผู้บังคับการกองร้อยนำคนไปเฝ้าก็เพียงพอแล้ว สวนบรรณาการหนึ่งพันแห่งก็ต้องการกำลังพลหนึ่งแสนเช่นกัน จุดสำคัญจริงๆ ก็คืออุทยานหลวง นั่นต่างหากคือจุดที่ต้องมีกำลังพลจำนวนมากเฝ้า นั่นคือสถานที่ที่ราชันสวรรค์เอาไว้เที่ยวเล่นทำนา ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะมีโอกาสได้เจอหญิงงามของสวรรค์ก็ได้นะ ล้อมเลี้ยงสัตว์แปลกๆเอาไว้นานาชนิด ปลูกผลไม้เซียนไว้นานาชนิด ทิวทัศน์งดงามจนมองเท่าไรก็ไม่พอจริงๆ การไปเฝ้าหนึ่งครั้งก็ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น อย่างน้อยก็ทำให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่เลยล่ะ ในอุทยานหลวงมีเทพธิดาผู้งดงามมีเสน่ห์มากมายที่เฝ้าหมอนนอนเดียวดาย แต่ไหนแต่ไรมาฝ่าบาทก็ไม่เคยว่าอะไรพี่น้องของกองทัพองครักษ์ คนที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่สามารถอุ้มเทพธิดาที่งามเลิศล้ำของที่นั่นไปได้ง่ายๆ เลย


ในฐานะที่เจ้าเป็นแม่ทัพภาคที่เฝ้าอุทยานหลวง ก็ยิ่งเหมือน ‘หอคอยที่ใกล้น้ำ ได้พระจันทร์ก่อน’ อยู่แล้ว ด้วยเมตตาของราชันสวรรค์ ขุนนางใหญ่ของราชสำนักทุกคนที่นั่นล้วนมีสวนของตัวเองหนึ่งแห่งอยู่ที่นั่น ถ้าอยู่ที่นั่นจะมีโอกาสเจอขุนนางใหญ่ๆ บ่อย ถ้าอีกฝ่ายพอใจก็จะตบรางวัลให้เจ้าได้ตามสบาย ดีกว่าที่เจ้าไปต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายอีก ต้องดูว่าเจ้าจะตามีแววหรือเปล่า เออใช่ ที่นั่นยังมีสวนท้ออีกสามพันลี้ ปลูกแต่ท้อเซียนทั้งนั้น ข้าได้ยินว่าเจ้าสนใจท้อเซียนมากไม่ใช่เหรอ ทุ่มไปตั้งห้าพันล้านผลึกแดงเพื่อท้อเซียนหนึ่งร้อยลูกใช่มั้ย?”


ดีขนาดนั้นเชียวเหรอ? เนี่ยอู๋เซี่ยวฟังจนน้ำลายแทบไหล จู่ๆ ก็ได้ยินแบบนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะมองเหมียวอี้อย่างตกใจ อย่าบอกนะว่าคนที่ทุ่มห้าพันล้านผลึกแดงประมูลซื้อท้อเซียนคือเจ้าเวรนี่?


“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออก


อวี่จ้งเจินกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ถ้าชอบกินท้อเซียนก็จัดการง่ายเลย เฝ้าสวนท้อเซียนสามพันลี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะได้แอบกินจนอิ่ม ยังกลัวจะไม่ได้กินท้อเซียนอีกเหรอ? แล้วอีกอย่าง แม่บุญธรรมของอนุภรรยาเจ้าก็เป็นคนดูแลสวนบรรณาการกับอุทยานหลวงพอดีไม่ใช่เหรอ การชิมผลไม้เซียนใหม่ๆ หลายชนิดก็ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน ทหารยามทั่วไปเกรงว่าจะโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเพราะไม่สะดวกจะพาผู้หญิงเข้าไป แต่ถ้าพาอนุภรรยาเจ้าไปหาแม่บุญธรรมก็สามารถผ่อนผันได้อยู่แล้ว”


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)