คัมภีร์วิถีเซียน 1423-1425
ตอนที่ 1423 โลหิตเที่ยงแท้เข้าร่าง
หญิงสาวเอ่ยคำสาปที่ไพเราะออกมา มือหนึ่งชี้ไปที่ขวดเล็กๆ เส้นไหมสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว โจมตีไปยังขวดใบเล็ก
ขวดใบเล็กสั่นเทา พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ตรงไปหาหานลี่
หานลี่เองก็ไม่ได้กล่าวอะไร ทันใดนั้นร่างกายพลันพลิ้วไหว นั่งสมาธิอยู่บนแท่นบูชาหยก
ในครานั้นชายชราแซ่ซวี่และหญิงงามพลันชูมือขึ้น ต่างมีของวิเศษบินออกมาชิ้นหนึ่ง
อันหนึ่งเป็นสีแดงสดดุจโลหิต อันหนึ่งเป็นสีเขียวมรกต คาดไม่ถึงว่าจะเป็นดอกบัวโลหิตขนาดเท่าฝ่ามือและใบตองสีเขียวมรกต
ดอกบัวสีโลหิตพลันหมุนติ้วๆ จนมีขนาดสองสามจั้ง แผ่กลิ่นหอมจางๆ ออกมา ส่วนใบตองที่อยู่ท่ามกลางลำแสงสีเขียวก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่าคนเช่นกัน และมีอักขระสีเขียวประหลาดๆ ปรากฏขึ้น เปล่งแสงระยิบระยับเจิดจ้าจนแสบตา
ไม่ทันได้มองเห็นว่าของสองสิ่งนี้มีประโยชน์อย่างไร ดอกบัวสีโลหิตดอกนั้นก็ร่อนลงมาจากเหนือศีรษะของเขา
หานลี่พลันตกตะลึงรู้สึกว่าร่างกายอ่อนยวบ คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกดอกบัวโลหิตดอกนั้นรองรับเอาไว้
ชั่วขณะนั้นระหว่างปากและจมูกพลันมีกลิ่นหอมจางๆ ของดอกบัวโชยมา ทำให้เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะ
หานลี่เองก็ไม่ได้ลนลาน หลับตาทั้งสองลงข้างลงท่ามกลางดอกบัว ดูเหมือนว่าหลับแต่ไม่ได้หลับ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังคงรักษาระดับความสุขุมนุ่มลึกเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ
ชายชราแซ่ซวี่คำรามเสียงต่ำๆ ออกมา กลีบดอกบัวสีโลหิตประกบเข้าที่ใจกลางอย่างคาดไม่ถึง
ชั่วพริบตาที่ดอกบัวทั้งหมดหุบลง ก็กลายเป็นดอกบัวตัวสีแดงสด
เมื่อเห็นฉากนี้หญิงสาวพลันร่ายนิ้วทั้งห้าไปทางขวดใบเล็กในเวลาเดียวกัน
หลังจากเสียง “ฟู่ๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีเขียวสองสามสายพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วทยอยกันจมหายเข้าไปในขวด
ขวดเล็กๆ ระเบิดลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมา ฝาขวดเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ
เสียงวิหคดังขึ้น ลำแสงหม่นแสงลง กลายเป็นวิหคสีเขียวขนาดสองสามชุ่น ปีกทั้งสองสยายออกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
หญิงสาวกลับเตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว ปีกสีทองที่แผ่นหลังกระพรือออกกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นปีกลำแสงสีทองทั้งสองพลันเปล่งประกาย ลำแสงสีทองม้วนออกมา ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มวิหคสีเขียวเอาไว้ข้างใน
วิหคตัวนี้หมุนติ้วๆ ท่ามกลางลำแสง กลายเป็นของเหลวสีเขียวกลุ่มหนึ่ง มีลำแสงสีเงินกระพริบระยิบระยับ
สองมือของหญิงสาวพลันร่ายอาคม ชี้ไปทางของเหลวสีเขียวกลางอากาศอีกครั้ง
ลำแสงสีทองสั่นเทา จากนั้นก็ห่อหุ้มของเหลวสีเขียวเอาไว้แล้วตกลงมาบนดอกบัวตูมด้านข้าง
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ของเหลวสีเขียวในลำแสงสีโลหิตและลำแสงสีทองพลันตัดสลับพัวพันกัน ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในดอกบัวสีโลหิตอย่างไร้ร่องรอย
ครานี้ชายชราแซ่ซวีที่อยู่ข้างกายพลันร่างกายพลิ้วไหว พลันปรากฎตัวที่ด้านข้างของดอกบัวสีโลหิต ยกมือหนึ่งขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะต้านทานกลีบดอกบัวด้านหนึ่งเอาไว้
เสียงครืนดังขึ้น ปีกสีเงินที่แผ่นหลังของชายชราพลันสยายออก ลำแสงสีเงินที่อยู่ในมือพลันพุ่งเข้าไปในดอกบัวสีโลหิต
หญิงงามเองก็ลอยไปอยู่ที่อีกด้านของดอกบัวโลหิตเช่นกัน ตรงฝ่ามือกลับมีลำแสงสีขาวทะลักออกมา
ชั่วขณะนั้นดอกบัวสีโลหิตทั้งดอดพลันเปล่งเสียงร้องออกมา ลำแสงสีโลหิตที่ผิวเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด
และในตอนนั้นเอง กลางอากาพลันมีใบตองสีเขียวมรกตลอยอยู่ และร่อนลงมา แต่เมื่อสัมผัสกับดอกบัวโลหิตด้านล่างก็ระเบิดตัวออก ทันใดนั้นเส้นไหมสีเขียวเข้มจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากทั้งสี่ด้าน จากนั้นก็ทยอยกันจมหายเข้าไปในดอกบัวสีโลหิต เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
จากนั้นผิวของดอกบัวโลหิตพลันมีลวดลายสีเขียวเข้มเป็นสายๆ ปรากฎขึ้น รูปทรงประหลาดๆ ครู่ต่อมาลำแสงสีโลหิตก็หม่นแสงลง เสียงหึ่งๆ ดังขึ้นแล้วเงียบกริบไป
ชายชราแซ่ซวีและหญิงงามทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้น ทยอยกันหลับตาทั้งสองข้างลง แค่ใช้ใจใส่เข้าไปในลำแสงบริสุทธิ์ในดอกบัวโลหิต
หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างเห็นฉากนั้นกลับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยพึมพำกับตนเองว่า
“คิดไม่ผิด กลิ่นอายในร่างของคนผู้นี้เพียงพอที่จะรับโลหิตวิหคมัจฉาเที่ยงแท้ ที่สำคัญก็คือคนประหลาดจะกระตุ้นโลหิตของวิหคมัจฉาได้แค่ไหน”
เอ่ยจบหญิงสาวก็กวาดสายตาไปที่ชนชั้นสูงเผ่าวิหคสวรรค์คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นชา
“เรื่องนี้พวกเจ้าได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว คนผู้นี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตาของเผ่าเรา ดังนั้นทุกอย่างของคนผู้นี้จำเป็นต้องเก็บความลับ ฐานะของคนผู้นี้ตั้งแต่บัดนี้คือบุตรชายคนที่สามที่ถูกเผ่าเราส่งออกไปฝึกฝนฝึกฝนอย่างลับๆ ที่นอกมหาสมุทร พวกเจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี”
“ท่านมหาอาวุโสโปรดวางใจ พวกเราไม่มีทางแพร่งพรายออกไปภายนอกแน่” ชาววิหคสวรรค์ระดับหลอมสูญเหล่านั้นพลันใจหายวาบ ทยอยกันเอ่ยรับประกัน
“ข้าเองก็เชื่อว่าทุกท่านจะไม่มีทางทำเรื่องที่ส่งผลร้ายต่อเผ่าของเรา หลังจากนี้สองเดือนข้าจะพาบุตรชายที่พวกเจ้าเลือกไปเข้าร่วมการทดสอบหุบเหวในครั้งนี้” หญิงสาวพยักหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง
“สองเดือน! ทำไมถึงเร็วขนาดนั้น แต่เดิมยังเหลือเวลาอีกหนึ่งปีมิใช่หรือ?” ทันใดนั้นก็มีคนร้องอุทานด้วยเสียงแหบแห้งออกมา
“จากที่เผ่าแดงสด เผ่าอีกาและเผ่าอื่นๆ ร่วมมือกันเสนอให้จัดการทดสอบไวขึ้น แม้นว่าในอาวุโสของเผ่าเราจะแย้งเรื่องนี้ในกระประชุมร่วมกันของเหล่าอาวุโส แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเห็นด้วย”
“เหตุใดถึงเห็นด้วย น่าจะมีเหตุผลสินะ” อีกคนหนึ่งไม่พอใจขึ้นมา
“มีเหตุผลอยู่แล้ว พวกเขาบอกว่าช่วงนี้หุบเหวไม่ค่อยมั่นคง ทางที่ดีสุดคือเลื่อนการทดสอบขึ้นมาเร็วหน่อย จะได้ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น จนเกิดจนเรื่องที่คาดไม่ถึง” หญิงสาวเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ปีศาจในหุบเขาและเผ่าวิญญาณเหาะเหินอย่างพวกเราเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน มันเคยมั่นคงตอนไหนหรือ แค่มุ่งเป้ามาที่สาขาที่อ่อนแออย่างพวกเราเท่านั้น” ชาววิหคสวรรค์ที่เอ่ยรู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
“อย่าพูดไร้สาระอีก ในเมื่ออาวุโสส่วนใหญ่ในการประชุมเห็นด้วยกับการจัดการทดสอบให้ไวขึ้น เผ่าเราก็มีเพียงแต่ต้องยอมรับเรื่องนี้เท่านั้น นอกจากการทดสอบแล้ว ช่วงนี้ในเขตการดูแลของเผ่าเราก็มักจะมีคนของเผ่าอื่นปรากฎตัวขึ้นอยู่บ่อยๆ และทำการโจมตีพร้อมปลดทรัพย์อย่างโจ่งแจ้ง ส่วนหนึ่งของพวกเจ้าต้องนำทัพออกทันที สังหารเจ้าพวกที่ใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ[1]ให้หมดไม่ให้เหลือ สั่งสอนสาขาอื่นๆ ซะ ก่อนที่การทดสอบจะจบลงจะได้ไม่กล้ามายุ่งกับเผ่าเราอีก” ครั้นเมื่อหญิงสาวเอ่ยสองสามประโยคสุดท้ายออกมา น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น
“ขอรับ!”
ชาววิหคสวรรค์เหล่านี้ทยอยกันก้มหน้าลงตอบรับ
จากนั้นหญิงสาวพลันเริ่มส่งมอบภารกิจอื่นๆ ให้ทุกคน ทุกคนจึงทยอยกันรับคำสั่งและพากันแยกย้ายไป
ชั่วพริบตาบนแท่นบูชาหยกพลันว่างเปล่า นอกจากหญิงสาวและพวกของชายชราแซ่ซวี่ทั้งสามคนที่กำลังโคจรพลังยุทธ์อยู่ รวมทั้งสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอยู่บนแท่นบูชาอีก
หญิงสาวเลื่อนสายตาไป ตกลงบนดอกบัวสีโลหิตที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง
ดอกบัวดอกนี้ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมกว่าครึ่งด้วยเพราะมีสิ่งมีชีวิตระดับหลอมร่างสองคนคอยบรรจุลมปราณเข้าไปไม่หยุด ในเวลาเดียวกันอักขระสีเขียวเข้มบนผิวของดอกบัวก็เริ่มเปล่งแสงระยิบระยับไม่หยุด ราวกับว่าฟื้นคืนชีพอย่างไรอย่างนั้น
ฉับพลันนั้นหญิงสาวพลันตะปบมือไปกลางอากาศไปทางจานสีเงินที่อยู่บนฝ่ามือของสาวใช้ที่ด้านหลัง
เสียงแหวกผ่านอากาศดังขึ้น!
ไข่มุกกลมๆ สีขาวนวลเม็ดหนึ่งพุ่งออมกาจากจาน ถูกจินเย่ว์ตะปบเอาไว้ในมือ
สตรีผู้นี้ใช้นิ้วเรียวดังหยกสีเขียวมรกตคีบไข่มุกกลมๆ เอาไว้ วางไว้เบื้องหน้า เพ่งพินิจมองแวบหนึ่ง
นางเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
“นี่คือพระสารีริกธาตุของมหาอาวุโสที่ละสังขารไปแล้วรุ่นใด” หญิงสาวเอ่ยปากถาม
“พระสารีริกธาตุของท่านมหาอาวุโสรุ่นที่เก้า ตามคำสั่งของท่านมหาอาวุโส นี่คือพระสารีริกธาตุที่เก็บไว้นานที่สุด พลังที่อยู่ด้านในน่าจะหายไปเกือบครึ่งแล้ว” สาวใช้ตอบกลับอย่างนอบน้อม
“รุ่นที่เก้า! คือมหาอาวุโสหงอวิ๋นที่ประดิษฐ์พลังตื่นจากจำศีลขึ้นมา สุดท้ายก็บ้าคลั่งจนตาย” หญิงสาวเอ่ยด้วยหน้าที่เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“นี่คือพระสารีริกธาตุของท่านอาวุโสหงอวิ๋น เป็นเพราะท่านอาวุโสหงอวิ๋นตายอย่างแปลกประหลาด พระสารีริกธาตุที่เหลืออยู่นอกจากพลังของวิหคมัจฉาแล้ว ยังแฝงพลังจิตสัมผัสก่อนตายของเขาเอาไว้ด้วย หากดูดซับพวกเข้าไปในร่าง ก็อาจจะทิ้งภัยพิบัติให้ผู้ที่หลอม ดังนั้นพระสารีริกธาตุนี้จึงถูกเก็บเอาไว้ในห้องลับ ผู้ใดก็ไม่กล้าหลอมมันง่ายๆ หากท่านมหาอาวุโสคิดว่าไม่เหมาะ ข้าจะเอาไปเปลี่ยนให้ทันที” สาวใช้อธิบายอย่างรู้สึกไม่สบายใจ
“ไม่ต้องหรอก เม็ดนี้ก็ได้” หญิงสาวกวาดสายตาไปที่ดอกบัวสีแดงโลหิตแวบหนึ่ง ด้วยสีหน้าราบเรียบ
ครานี้อักขระบนผิวของดอกบัวเริ่มบิดเบี้ยวมากขึ้น ดอกบัวโลหิตทั้งดอกเริ่มเว้านูน
……
สองวันต่อมา กลางอากาศเหนือแท่นบูชา
วิหคยักษ์สีเขียวตนหนึ่งกลายเป็นเงาไม่สมบูรณ์สายหนึ่งบินขึ้นลงอยู่กลางอากาศ ผิวของมันมีประจุไฟฟ้าสีทองและลำแสงสีเขียวปรากฎขึ้น ฉับพลันนั้นร่างของมันก็หยุดชะงักอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน กรงเล็บทั้งสองตะปบออกไปยังกลางอากาศที่ไกลออกไป
กรงเล็บลำแสงสีขาวสิบสายพุ่งออกมา วาดเป็นรอยสีขาวจางๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป
ปีกทั้งสองกระพือไปเบื้องหน้าอีกครั้ง ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหมุนวนไปทางเบื้องหน้า ชั่วครู่ก็กลายเป็นมีดวายุขนาดเท่าฝ่ามือ ห่อหุ้มกลางอากาศในรัศมีร้อยจั้งเศษเอาไว้อย่างหนาแน่น
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น วิหคสีเขียวพลันอ้าปากออก พ่นลูกบอลอัสนีสีทองเป็นกลุ่มๆ ออกมา ภายใต้การปะทะกันก็ทำให้เบื้องหน้ากลายเป็นลำแสงอัสนี
หลังาจกที่เสียงกรีดร้องแหลมสูงของวิหคดังขึ้นอีกครั้ง วิหคยักษ์สีเขียวก็สยายปีกทั้งสองข้างออก คาดไม่ถึงว่าจะหายวับไปท่ามกลางวายุที่บ้าคลั่ง
ครู่ต่อมากลางวายุที่บ้าคลั่งกลางอากาศที่สุงขึ้นยิ่งกว่าเดิม ร่างของวิหคสีเขียวปรากฎขึ้นอีกครั้ง แต่หมุนวนในลำแสงสีเขียว ร่างของวิหคขยายใหญ่ขึ้น ชั่วพริบตาร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นจากขนาดสองสามจั้งเป็นขนาดร้อยจั้งเศษ สยายปีกทั้งสองข้างออก ปกคลุมแท่นบูชาขนาดใหญ่ด้านหลังจนมืดดำ
ทั้งสามคนที่ยืนอยู่บนแท่นบูชามองร่างยักษ์ของวิหคกลางอากาศ หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“มหาอาวุโส เจ้าให้เขากินพระสารีริกธาตุที่เสียหายของมหาอาวุโสรุ่นที่เก้าจริงๆ หรือ” ครั้นเมื่อจินเย่ว์มีสีหน้าบัดเดี๋ยวสดใสบัดเดี๋ยวเคร่งขรึม ข้างหูก็มีเสียงไม่อยากจะเชื่อของชายชราเคราแดงดังขึ้น
“อันใด ท่านอาวุโสซวี่สงสัยว่าข้าให้เผ่าประหลาดดินยาลูกกลอนชนิดอื่นหรือ” หญิงสาวมีีสีหน้าเคร่งขรึม พลางเอ่ยตอบอย่างเย็นชา
“ผู้แซ่ซวีจะบังอาจคิดเช่นนั้นได้อย่างไร แต่แค่คนผู้นี้ควบคุมเคล็ดวิชาแปลงกายได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งไปกว่านั้นยังแปลงเป็นวิหคเที่ยงแท้ เกรงว่าระดับปรมาจารย์วิญญาณก็ยังทำไม่ได้ขนาดนี้ คนผู้นี้มีต้นกำเนิดในเผ่ามนุษย์จริงๆ หรือ” ชายชรารู้สึกฉงนสงสัยขึ้นมา
“เจ้าช่วยเขาผสมโลหิตวิหคมัจฉาด้วยตัวเอง คนผู้นี้ไม่ใช่คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเรา เจ้ายังไม่แน่ใจอีกหรือ? ทว่าความสามารถที่ยิ่งใหญ่หลังจากที่คนผู้นี้แปลงกายนั้น ก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ อาจจะเป็นเนพราะว่าคนผู้นี้เคยหลอมขนนกวิหคมัจฉาเส้นนั้น โลหิตเที่ยงแท้ของวิหคมัจฉาที่แฝงอยู่ คงจะเปลี่ยนเป็นโครงสร้างของเขาตั้งนานแล้วกระมัง” หลังจากที่หญิงสาวขบคิดเล็กน้อย ถึงได้หาเหตุผลได้
“หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ก็พอจะเข้าใจได้” หญิงงามถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย
ชายชรายังคงมีสีหน้าเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเชื่อถือเหตุผลของหญิงสาวนัก
——
[1] กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ หมายถึงหนึ่งในกลศึกสามก๊ก กลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการที่ศัตรูยังอยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนแอและย่ำแย่ ควรรีบฉกฉวยโอกาสนำทัพเข้าโจมตีเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ หรือมอบหมายให้แม่ทัพหรือทหารที่มีความเข้มแข็งนำทัพเข้าโจมตี ซึ่งเป็นการฉกฉวยเอาผลประโยชน์จากเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงและยุ่งเหยิง นำความดีความชอบมาเป็นของตน
ตอนที่ 1424 ตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้ง
จินเย่ว์ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เพราะว่าวิหคยักษ์ที่อยู่กลางอากาศหุบปีกทั้งสองข้างลง ร่างกายหดเล็กลงท่ามกลางลำแสงสีเขียว กลับคืนสู่ขนาดเดิมอย่างรวดเร็ว
เสียงเพรียกของวิหคดังออกมาจากปากวิหคยักษ์ ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงเจิดจ้า บุรุษร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าปรากฎขึ้น สองมือพลันร่ายอาคม ร่อนลงมาที่แท่นหยกท่ามกลางลำแสงสีเขียว
หญิงสาวหรี่ตาทั้งสองข้างลง สายตาตกอยู่บนทรวงอกที่เปลือยเปล่าของบุรุษ
บนนั้นมีลวดลายวิหคยักษ์สีเขียวที่แปลกประหลาดตัวนึงปรากฏอยู่ ดูเสมือนจริง เปล่งแสงระเรื่ออยู่
แน่นอนว่าบุรุษผู้นี้ก็คือผู้ที่ผสมโลหิตวิหคมัจฉาเข้าไปในร่างและหลอมพระสารีริกธาตุอย่างหานลี่
รูปภาพศักดิ์สิทธิ์! นี่คือสัญลักษณ์ของร่างโลหิตศักดิ์สิทธิ์ และยิ่งไปกว่านั้นยังถูกกระตุ้นทุกส่วนแล้ว และจะปรากฎรูปประหลาดนี้บนร่างของบุตรชายกว่าครึ่ง
มีรูปภาพนี้อยู่กับตัว ต่อให้เผ่าที่เหลือรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ชาววิหคสวรรค์ที่แท้จริง เกรงว่าก็ไม่อาจหาเหตุผลที่ไม่ให้เขาร่วมการทดสอบอะไรได้
จินเย่ว์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หลังจากขบคิดอย่างปลอบใจตัวแล้วเอง ก็รู้สึกเยือกเย็นขึ้น
กลับเป็นชายชราแซ่ซวีและหญิงงามสองคนที่เห็นลวดลายบนหน้าอกของหานลี่แล้วรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
คาดไม่ถึงว่าคนประหลาดคนหนึ่ง จะมีรูปภาพศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้ที่ชนชั้นสูงส่วนใหญ่ในเผ่าจะไม่มีปรากฎขึ้นบนร่าง แน่นอนว่านี่จึงทำให้พวกเขารู้สึกกลัดกลุ้ม
ลำแสงสีทองและเงินเปล่งประกายเจิดจ้า ชุดคลุมยาวสีทองเงินชุดหนึ่งปรากฎขึ้นบนร่างของหานลี่ ทันใดนั้นก็ร่อนลงมาตรงหน้าของทั้งสามคน สองมือประสานกันคารวะแล้วเอ่ยว่า
“ขอบพระคุณทั้งสามอาวุโสที่ช่วยเหลือ ข้าเข้าใจเคล็ดวิชาแปลงกายเป็นวิหคสวรรค์อยู่เจ็ดแปดส่วนแล้ว มีจุดใดที่ยังไม่เพียงพอ หวังว่าท่านอาวุโสทั้งสามจะช่วยชี้แนะ”
ท่าทางของเขาเผยความซื่อตรงออกมาเป็นอย่างมาก!
“เคล็ดวิชาแปลงกายของเจ้าไม่เลวแล้ว พวกเราไม่มีอะไรให้ชี้แนะ เจ้ากลับไปได้แล้ว สองเดือนต่อจากนี้ ก่อนที่ข้าจะพาเจ้าไปเข้าร่วมการทดสอบ ข้าจะอัญเชิญม้วนคำสาบานของวิหคสวรรค์ออกมา ให้เจ้าสลักชื่อลงไป ช่วงเวลานี้ขอแค่เจ้าไม่ออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ใช่แล้ว ต้องบอกเจ้าสักหน่อย แม้ว่าข้าจะช่วยเจ้าหลอมพระสารีริกธาตุวิหคมัจฉาไป แต่ไอทมิฬที่อยู่ในพระสารีริกธาตุยังไม่ถูกกำจัดออกไป พวกมันจะซุ่มซ่อนอยู่ในตัวเจ้า แต่จะไม่กำเริบในเวลาอันสั้น รอจนเจ้ากลับมาจากการทดสอบ พวกเราจะช่วยเจ้ากำจัดมันให้เกลี้ยงก็แล้วกัน” หญิงสาวเอ่ยอย่างเรียบๆ
หานลี่ได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ชั่วพริบตาก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจหลังจากนี้สองเดือน ชนรุ่นหลังจะมาเข้าร่วมการทดสอบอย่างตรงเวลา”
หญิงสาวพลันพยักหน้า
ทันใดนั้นหานลี่ก็คารวะให้ทั้งสามคนอีกครั้งอย่างรู้จักวางตัว แล้วกลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งกล่าวลาและจากไป
หญิงสาวและพวกทั้งสามคนใช้สายตาส่งหานลี่จากไปที่ปลายฟ้าแล้ว ก็ไม่ได้สนทนาอะไรกันอีก แต่สีหน้ากลับแปลกประหลาด
จินเย่ว์ผู้นี้มองไปยังท้องฟ้า ใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่ชายชราแซ่ซวีและพวกทั้งสองกลับมีสีหน้าบัดเดี๋ยวสดใสบัดเดี๋ยวหมองคล้ำ เหมือนว่ากำลังพิจารณาอะไรสักอย่าง
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน หานลี่ก็อยู่ในห้องนอนบนชั้นสูงสุดของเรือนรับแขกแล้ว สองตาปิดลงพลางนั่งสมาธิอยู่บนเตียงไม้
สองมือพลันร่ายอาคม ร่างกายเปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับ
ใบหน้าเปลี่ยนสีเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา เหงื่อกาฬเท่าเมล็ดข้าวสารผุดขึ้นมาบนหน้าผาก แล้วทยอยกันไหลลงสู่ด้านล่าง
เสียงถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่งดังขึ้น มือที่ร่ายอาคมของหานลี่คลายลง ลืมตาขึ้นท่ามกลางลำแสงสีเขียวที่หม่นแสงลง
“น่าสนใจดีนี้ คิดไม่ถึงว่าอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์นามว่าหงอวิ๋นผู้นั้น จะเหลือพลังบริสุทธิ์ที่ดุร้ายเอาไว้ หากไม่ใช่เพราะคาถาขับเคลื่อนไม่ธรรมดาแล้ว เกรงว่าคงเกิดหายนะไม่หยุดหย่อนแน่ โชคดีที่ไม่ได้เป็นอิสระ สามารถกดมันเอาไว้ได้ จากนั้นค่อยๆ หลอมมันทีละนิด” หลังจากที่แววตาของหานลี่เปล่งประกายสองสามครั้ง ก็เอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาออกมา
ความจริงแล้วแม้ว่าจะเป็นแค่จิตสัมผัสส่วนหนึ่งของอีกฝ่าย แต่ในฐานะระดับหลอมรวม พลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์กลุ่มนี้ก็ยังคงทำให้ผู้คนตกตะลึงได้ เกรงว่าจำต้องใช้เวลาสองสามร้อยปีถึงจะกำจัดให้เกลี้ยงได้ แต่ด้วยเหตุนี้ ผลจากการหลอมแล้วก็คงตกตะลึงเช่นกัน อาจจะทำให้จิตสัมผัสของเขาเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่ง
ส่วนไอทมิฬที่อยู่ในพระสารรีริกธาตุ เขากลับไม่สนใจเลยสักนิด เคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นของประเภทนี้อยู่แล้ว
หานลี่ขบคิดอีกเล็กน้อย มือหนึ่งปัดไปที่ชุดอัสนีบนร่าง
หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ชุดคลุมก็กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีทองเงินจำนวนนับไม่ถ้วน หดหายเข้าไปในร่าง
ก้มหน้าลงเล็กน้อย แน่นอนว่าจึงมองเห็นลวดลายของวิหคสีเขียวที่อยู่บนทรวงอก
“หึ ภาพวิหคสวรรค์? น่าจะเรียกว่าภาพตื่นจากจำศีลสินะ” หานลี่เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา ฉับพลันนั้นก็ยื่นนิ้วมือออกไป ชี้ไปที่ลวดลายเบาๆ
ฉากที่น่าเหลื่อเชื่อพลันปรากฎขึ้น
ลวดลายวิหคสวรรค์สีเขียวจางๆ พลันเปล่งแสงห้าสีออกมา ชั่วครู่ก็กลายเป็นนกยูงห้าสีสยายปีกออก จากนนั้นพลันเปล่งแสงสีทองสว่างจ้า และกลายเป็นลวดลายวานรสีทองแหงนหน้ากู่คำรามตัวหนึ่ง สุดท้ายลำแสงสีขาวก็เปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ ลวดลายนั้นสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หากจินเย่ว์และพวกอาวุโสชาววิหคสวรรค์ทั้งสามเห็นฉากนี้จะต้องตกตะลึงจนตาค้างแน่
ภาพศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้คือของระดับไหน จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างไร สุดท้ายยังสลายหายไปเองด้วย?
โดยปกติแล้วลวดลายของรูปภาพศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้นั้นหมายความว่าหากปรากฎขึ้นบนร่าง จะติดตามเจ้าของไปตลอดชีวิต ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ
หานลี่จ้องเขม็งไปยังทรวงอกของตัวเองแล้วกลับเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“ตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้งเช่นนี้ ตอนนี้เข้าใจคาถาเพียงสามชนิดเท่านั้น แม้นว่าจะขาดนกยูงห้าสีและโลหิตวานรภูเขายักษ์ไป ไม่อาจแปลงกายเป็นสิ่งอื่นได้ แต่ความสามารถของมันก็น่าตกตะลึงไปหน่อยแล้ว” คาดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยพึมพำกับตัวเองออกมา
หลังจากที่หลอมพลังบริสุทธิ์ของหงอวิ๋นชุดนั้นไปแล้ว ก็ได้เคล็ดวิชามาด้วยความบังเอิญ ตามทฤษฎีแล้วสิ่งที่ทำให้เขาแปลงกายได้สิบสองชนิดนั้น มีพลังมากขนาดไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว หากเรียนรู้การแปลงกายทั้งสิบสองชนิดให้เชี่ยวชาญได้ทั้งหมด จากการมีความสามารถของวิญญาณเที่ยงแท้จำนวนมาก เกรงว่าแม้แต่เทพบนสวรรค์ก็ยังต้องถอยให้สามก้าว
แน่นอนว่านี่เป็นแค่ความคิดละโมบเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะฝึกฝนคาถาตื่นจากจำศีลจนถึงระดับสูงที่สุด มากสุดก็มีจิตสัมผัสของวิญญาณเที่ยงแท้ต่างๆ เพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น สิ่งที่น่าเสียดายก็คือวิญญาณเที่ยงแท้ในแดนวิญญาณที่มีชื่อเสียงเกรียงไกร แม้ว่าการแปลงกายทั้งสิบสองนั้นจะรวมมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์อยู่ด้วย แต่คาถายังถูกซ่อนอยู่ในส่วนลึกที่สุดของพลังจิตสัมผัสหงสอวิ๋นที่ยังไม่ได้หลอม และไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ถึงจะได้มา มิเช่นนั้น ประกอบกับโลหิตของมังกรเที่ยงและและหงส์สวรรค์ในมือแล้ว เขาก็สามารถกลายร่างได้อีสองชนิดทันที
หานลี่รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ส่วนการแปลงกายเป็นวิหคมัจฉานั้นเดิมทีก็เป็นพื้นฐานของการแปลงกายจำนวนมากอยู่แล้ว เป็นการแปลงกายที่เชี่ยวชาญที่สุดของมหาอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์คนก่อน มิเช่นนั้นแม้ว่าเขาจะมีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง ก็ไม่อาจสัมผัสกับเคล็ดวิชาแปลงกายเป็นวิหคสวรรค์ก็สามารถเข้าใจมันอย่างง่ายดายได้
ทันใดนั้นหานลี่พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา
คราที่อาศัยพลังของจินเย่ว์หลอมพระสารีริกธาตุนั้น ในระยะเวลาอันสั้นแม้ว่าเขาจะหลอมพลังบริสุทธิ์ได้ไม่มากนัก แต่ก็ได้ความรู้มาเล็กน้อย
อาวุโสหงอวิ๋นของเผ่าหงส์สวรรค์ผู้นี้ เป็นอัจฉริยะที่สองสามหมื่นปีจะมีสักคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะรู้วิธีการนำวิญญาณเที่ยงแท้จำนวนมากมารวมร่างกัน จากการศึกษาวิธีการแปลงกายของวิหคสวรรค์อย่างหนัก และสร้างคาถาตื่นจากจำศีลขึ้นมา
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือแม้ว่าเขาจะอยู่ในระดับหลอมร่างขั้นปลาย และพยายามค้นหาโลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้อย่างหนัก คราเมื่อสร้างเคล็ดวิชานี้ได้ถึงการแปลงกายสิบสองชนิด พลังของจิตสัมผัสและกายเนื้อของเขาก็ไม่อาจรับได้ สุดท้ายก็พบกับการที่โลหิตเที่ยงแท้จำนวนมากแว้งกัดจนคลุ้มคลั่งและจบชีวิตลง
สิ่งที่แปลกก็คือก่อนที่มหาอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์คนก่อนนี้จะคลุ้มคลั่ง ได้ถ่ายทอดคาถาการฝึกฝนนี้ให้กับเผ่าวิหคสวรรค์หรือไม่
เขารู้สึกสงสัยอยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่าหานลี่ไม่รู้ว่า ตอนนั้นที่หงอวิ๋นผู้นี้รับตำแหน่งมหาอาวุโส นั่นก็คือช่วงเวลาที่เผ่าวิหคสวรรค์รุ่งโรจน์ เขาคิดว่าตนเองเป็นอัจฉริยะของยุทธภพ จึงหมายจะอาศัยเคล็ดวิชานี้ทำให้ทั้งยุทธภพตกตะลึง ดังนั้นจึงรวมเผ่าวิหคสวรรค์ทั้งเผ่าบอกว่าห้ามแพร่งพรายความสามารถนี้ออกไป
ตอนนั้นอาวุโสคนอื่นๆ ในเผ่าเดียวกันก็รู้แค่ว่าหงอวิ๋นสร้างเคล็ดวิชาชนิดหนึ่งที่เรียกว่าคาถาตื่นจากจำศีลขึ้นมา ส่วนอื่นก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ผลคือเมื่อคนผู้นี้ถูกโลหิตเที่ยงแท้แว้งกัดจนคลุ้มคลั่งและละสังขารไปนั้น เนื้อหาของคาถาตื่นจากจำศีลก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้สักคน
ส่วนเหตุใดในพระสารีริกธาตุของเขาจึงมีคาถาจำศีลชุดนี้แฝงอยู่ แน่นอนว่ามีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้
บางทีหลังจากที่มหาอาวุโสหงอวิ๋นผู้นี้คลุ้มคลั่งก็อาจจะทำไปตามความรู้สึก และอาจจะเป็นความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่เขาจะจบชีวิตลง ฉับพลันนั้นจึงจงใจทิ้งคาถานี้ไว้ให้เผ่า
หานลี่ไม่ได้คิดมากเรื่องนี้ เขาได้คาถาชุดนี้มาอยู่ในมือ แน่นอนว่าไม่มีทางมอบให้เผ่าวิหคสวรรค์อีกแน่
มิเช่นนั้นภายใต้ความดีอกดีใจของเหล่าอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ ความคิดแรกที่คิดได้นั้นไม่ใช่ว่าจะขอบคุณเขาอย่างไร แต่เป็นจะสังหารเขาปิดปากอย่างไรเพื่อไม่ให้คาถาแพร่งพรายออกไปมากกว่า
เรื่องหายนะเช่นนี้ เขาไม่มีทางทำแน่
สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปมาไม่หยุด เมื่อขบคิดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็กระตุกมุมปาก เผยรอยยิ้มออกมา
จะว่าไปแล้ว การที่เขาผสมโลหิตเที่ยงแท้วิหคมัจฉาและพระสารีริกธาตุจนได้คาถาตื่นจากจำศีลมาแทนนั้น ยังมีสิ่งที่ทำให้เขาดีใจจนบ้าคลั่งอีกอย่างด้วย
จุดคอขวดของเขา คาดไม่ถึงว่าเมื่อถูกทั้งสองสิ่งกระตุ้นจะทะลุจุดคอขวดได้
เขาในตอนนี้ กลายเป็นระดับเทพแปลงขั้นปลายแล้ว และสำหรับเขาในตอนนี้ก็ขี้เกียจจะสนใจแล้ว
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงขบคิดเล็กน้อย มือหนึ่งพลิกฝ่ามือและได้รับสิ่งอื่นมาแทนแล้ว และมีวารีคางคกเที่ยงแท้คอยช่วยเหลือ การฝึกฝนต่อจากนี้คงเป็นทางที่ไร้สิ่งกีดขวางแล้ว
ส่วนอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ทั้งสามนั้นแค่ตกใจที่เขาควบคุมเคล็ดวิชาการแปลงกายได้ ไม่ได้กล่าวอะไรที่พลังยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้น ไม่รู้ว่าไม่ทันสังเกตุเห็นสิ่งนี้ หรือว่าพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นแค่นี้ มันเป็นแค่การกินยาลูกกลอนเข้าไปสองสามเม็ดสำหรับระดับหลอมร่าง
หลังจากกินยาลูกกลอนเข้าไป เขาก็หลับตาทำสมาธิอีกครั้ง
เขาที่เพิ่มบรรลุระดับใหม่ ยังต้องทำให้ระดับมั่นคงก่อน
หลังจากนั้นหนึ่งวัน หานลี่ก็ออกจากที่พักอย่างกระปรี้กระเปร่า ตรงไปยังวิหารการแลกเปลี่ยน
เขาในตอนนี้ได้นับกับเจ้าของร้านหมื่นอัสนีเอาไว้ เขาต้องการผลตาข่ายเขียว แน่นอนว่าจึงไม่มีทางผิดนัด
ระหว่างทางเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อหานลี่ยืนอยู่ในร้านค้าชั้นเก้าของวิหารการแลกเปลี่ยนอีกครั้ง ก็มองไปยังบุรุษร่างกายผ่ายผอม สีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดคนเหล่านี้ถึงมาปรากฎตัวที่นี่ หรือว่าเจ้าไม่ได้นัดข้าแค่คนเดียว” คนผู้พูดไม่ใช่หานลี่ แต่เป็นชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะกำยำสีดำที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา
ครานี้ในร้านนอกจากหานลี่แล้ว ยังมีคนอื่นๆ อีกสามคนปรากฎตัว
ตอนที่ 1425 ภาพเขาพระสุเมรุ
นอกจากเจ้าของร้านร่างกายผ่ายผอมแล้วและชายร่างใหญ่ที่เป็นฝ่ายพูดด้วยความโมโหแล้ว ยังมีชายหนุ่มหน้าหงานดุจผู้หญิงอีกคนหนึ่ง สีหน้าไม่พอใจเช่นกัน
หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปอย่างเงียบๆ ก็มองออกว่าทั้งสองคนล้วนมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมสูญขั้นต้น
“หึ ข้าไม่เคยพูดว่าจะให้คนคนเดียวมาช่วยข้าสยบอสูรวิญญาณ หากผู้ใดไม่ยินยอมล่ะก็ออกไปซะ ข้าจะไม่ห้ามปรามเลยสักนิด แต่หากอยากได้ผลึกใจวารี เหล็กลำแสงสีม่วงและผงตาข่ายเขียวต่างๆ ก็อย่าหวังเลย” ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมค้อนปะหลักปะเหลือก พลางแค่นเสียงขณะเอ่ย
ชายหนุ่มและชายร่างใหญ่ได้ยิน ก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้ หานลี่กลับแค่ขมวดคิ้วมุ่นยืนอยู่ที่เดิม
“เอาล่ะ สามคนก็สามคนเถิด แต่ในบรรดาพวกเราสามคนหากมีคนสยบอสูรวิญญาณได้ก่อน คนที่เหลือจะไม่ไม่ได้อะไรหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
“หึ เรื่องนี้วางใจเถิด เดิมทีตาเฒ่าก็ไม่ได้คิดว่าพวกเจ้าจะลงมือตามลำพังอยู่แล้ว ต้องให้ทั้งสามสำแดงวิชาอัสนีพร้อมกัน มิเช่นนั้นจากประสบการณ์ก่อนหน้าของข้า พลังอัสนีของพวกเจ้า ไม่อาจทำสำเร็จโดยลำพังได้ ขอแค่สยบสำเร็จ ข้าจะทำตามที่พวกเราตกลงกันไว้” เจ้าของร้ายเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา
ได้ยินว่าจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มพลันมีสีหน้าผ่อนคลายลง ไม่มีข้อคิดเห็นอื่นอีก
เจ้าของร้านเห็นเช่นนั้น พลันพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แต่หลังจากกวาดสายตาไปบนเรือนร่างของหานลี่แล้ว ปากกลับเอ่ยจุ๊ๆ ออกมา
“พี่หาน ไม่เจอกันสองสามวัน ก็บรรลุจากแม่ทัพวิญญาณขั้นกลางเป็นแม่ทัพวิญญาณขั้นสูงเสียแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ ผู้แซ่อวี๋ขอแสดงความยินดีด้วย เช่นนั้นพลังอัสนีก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกสองสามส่วนสินะ” เขาเอ่ยถามด้วยความรู้สึกสนใจ
“ชนรุ่นหลังแค่โชคดีเท่านั้น พลังอัสนีเพิ่มขึ้นนิดหน่อยจริงๆ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วตอบกลับด้วยความจริงครึ่งหนึ่งโกหกครึ่งหนึ่ง
ฟังจากคำพูดของทั้งสองคน ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำและชายหนุ่มพลันพิจารณาหานลี่สองแวบ ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กๆ ออกมา
“เยี่ยม ในเมื่อทั้งสามล้วนไม่มีข้อคิดเห็น ก็ตามตาเฒ่ามาเถิด อสูรวิญญาณถูกข้าขังเอาไว้ในสถานที่ลับ เจ้าทั้งสามตามข้ามาก็พอ” เจ้าของร้านเอ่ย
“ตามไปพี่อวี๋ไปนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ก่อนที่จะให้พวกเราลงมือ ควรจะให้พวกเราตรวจสอบสิ่งของก่อนหรือไม่” ชายหนุ่มหน้าหวานกลอกตาไปมา กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำได้ยินเช่นนั้นพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็เอ่ยว่าใช่ๆ อย่างเห็นด้วย ใบหน้าเผยสีหน้าเห็นด้วยออกมา
“อยากดูของ! ไม่มีปัญหา ข้าเตรียมของเอาไว้ตั้งนานแล้ว ทั้งสามลองพิจารณาดูเถิด” เจ้าของร้านดูเหมือนว่าจะคาดเดาคำพูดของชายหนุ่มเอาไว้อยู่แล้ว จึงเอ่ยปากออกมา น้ำเสียงไม่โหดร้ายเหมือนแต่ก่อน กลับทำให้ชายหนุ่มที่เตรียมคำพูดเอาไว้มากมายพลันตะลึงงัน
เสียง “สวบๆ” ดังขึ้นสามครั้ง กล่องไม้ขนาดน้อยใหญ่สามใบบินออกมา
บุรุษร่างกายผ่ายผอมโยนของออกมาอย่างคล่องแคล่ว
ชายหนุ่มและชายร่างใหญ่พลันรู้สึกยินดี พากันสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงผืนหนึ่งพุ่งออกมาม้วนเอากล่องไม้เบื้องหน้าเอาไว้
หานลี่พลันใจเต้นระรัว ยื่นมือออกไปรับกล่องที่ลอยมาหาตัวเอง จากนั้นก็เปิดฝาออกอย่างคล่องแคล่ว
กลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพรโชยมา ในกล่องไม้มีผลเหมือนลูกพีชขนาดเท่ากำปั้นสีเขียวมรกตวางอยู่ ด้านล่างยังมีใบไม้ประหลาดสีแดงอ่อนรองอยู่สองใบ หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ทันใดนั้นก็ยื่นนิ้วชี้ออกไปหมายจะชี้ไปที่ผลผลนั้น
ความจริงแล้วไม่ใช่แค่หานลี่ คนที่เหลืออีกสองคนก็ยื่นมือออกไปหมายจะหยิบของในกล่องออกมาพิจารณาอย่างละเอียดเช่นกัน
แต่ในครานั้น เจ้าของร้านที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยปากอย่างราบเรียบว่า
“ข้าว่าพวกเจ้าอย่าเอามือไปแตะของในกล่องเลย พวกมันถูกลงอาคมเล็กๆ เอาไว้ หากเกิดอะไรขึ้น ต่อให้ทั้งสามถังแตกก็เกรงง่าจะไม่อาจชดใช้ได้”
ชั่วขณะนั้นมือของหานลี่พลันหยุดชะงักค้าง
“พี่อวี๋ หมายความว่าอย่างไร ใช้มือจับไม่ได้ จะแยกแยะว่าจริงเท็จได้อย่างไร” ชายร่างใหญ่ตกใจจนสะดุ้ง และรู้สึกหัวเสียเล็กน้อย
“แค่ใช้ตาเนื้อและจิตสัมผัส จากพลังยุทธ์ของเจ้าทั้งสามก็น่าจะแยกแยะของได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว หากอยากตรวจสอบของในกล่องจริงๆ รอให้ทั้งสามทำภารกิจสำเร็จก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด ข้าน้อยไม่อาจมั่นใจได้ว่าเหล่าสหายจะช่วยข้าสยบอสูรได้ หากล้มเหลวก็ไม่จำเป็นต้องแยกแยะด้วยมือ จากชื่อเสียงของข้าในเผ่า ทั้งสามท่านยังกลัวว่าข้าจะหลอกลวงหรือ?” บุรุษร่างกายผ่ายผอมกลับเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“เอาล่ะ พวกเราจะเชื่อเจ้าสักครั้ง คิดดูแล้วพี่อวี๋คงไม่มีทางทุบป้ายของตัวเอง” สายตาของชายหนุ่มหน้าหวานมองไปที่ของในกล่องสองสามครั้ง สีหน้าไม่แน่นอน สุดท้ายก็กระทืบเท้า โยนกล่องไม้กลับไปอีกครั้ง
หลังจากที่ชายร่างใหญ่พิจารณาของในมือเสร็จแล้ว แม้นว่าจะมีสีหน้าลังเล แต่สุดท้ายก็ยังส่งกล่องให้อย่างอาลัยอาวรณ์
หลังจากเก็บกล่องไม้ทั้งสองเสร็จแล้ว เจ้าของร้านแซ่อวี๋พลันเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา ในที่สุดสายตาก็กวาดไปที่อีกด้าน
ครานี้หานลี่กำลังจ้องเขม็งไปยังผลสีเขียวที่อยู่ในกล่องเขม็ง ส่วนลึกในม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“อันใด พี่หานคิดว่าผลตาข่ายเขียวนี้มีจุดที่ผิดปกติหรือ?” เจ้าของร้านเห็นสีหน้าของหานลี่พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“เปล่า” หานลี่สั่นศีรษะ ปิดฝากล่องไม้ แล้วโยนให้เจ้าของร้าน
ชายร่างใหญ่ร่างกายผ่ายผอมรับกล่องไม้ไป มองลึกเข้าไปในนัยน์ตาของหานลี่แวบหนึ่ง แล้วหาทุกคนออกจากประตูใหญ่ไปโดยไม่พูดอะไร
หานลี่และพวกทั้งสามต่างก็ไล่ตามไปติดๆ
ความเร็วของบุรุษร่างกายผ่ายผอมนั้นรวดเร็วมาก แต่หานลี่และพวกทั้งสามก็ไม่ใช่คนธรรมดา จึงบินตามเขาออกจากวิหารการแลกเปลี่ยนได้อย่างสบายๆ ตรงไปยังที่หนึ่งในเมืองศักดิ์สิทธิ์
บินมาได้หนึ่งชั่วยามเต็มๆ ทุกคนก็มาถึงมุมที่รกร้างแห่งหนึ่งในเมืองศักดิ์สิทธิ์
เห็นได้ชัดว่าที่นี่มีสิ่งปลูกสร้างอยู่บางตา มีชาววิหคสวรรค์สัญจรไปมาอยู่ไม่มากนัก เผยให้เห็นถึงความรกร้างเป็นอย่างมาก
เจ้าของร้านพาพวกเขาร่อนลงหน้าสิ่งปลูกสร้างที่ค่อนข้างเตี้ยและไม่สะดุดตาหลังหนึ่ง
สิ่งปลูกสร้างนี้มีความสูงแค่สามสิบจั้งเศษ แบ่งออกเป็นสองชั้น สีเทาตุ่นๆ
เมื่อสองเท้าของบุรุษร่างกายผ่ายผอมร่อนลงถึงพื้น ประตูบานใหญ่ก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ บุรุษอายุยี่สิบปีเศษสองคนเดินออกมาจากด้านในทันที พลางรีบร้อนเข้ามาคารวะเจ้าของร้าน พลางเอ่ยถามว่า
“คารวะท่านปรมาจารย์!”
“พวกเจ้าสองคนคอยรักษาการณ์อยู่ภายนอก หากไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามผู้ใดเข้าไปด้านใน” เจ้าของร้านออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ขอรับ!” แน่นอนว่าบุรุษทั้งสองพลันตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็แยกย้ายกันไปยืนอยู่ด้านข้างประตูใหญ่ทั้งสองด้าน
หานลี่พิจารณาทั้งสองคนแวบหนึ่ง มองออกว่าทั้งสองมีพลังยุทธ์ระดับหลอมรวม จึงไม่สนใจอีก
เจ้าของร้านร้องเรียกคำนึง ก็เดินเข้าไปในสิ่งปลูกสร้าง หลังจากที่ชายหนุ่มและชายร่างใหญ่ลังเลเล็กน้อย ก็เดินตามเข้าไป
หานลี่จึงเดินตามหลังไปเป็นคนสุดท้าย
ในห้องมีพื้นที่ไม่ใหญ่นัก ทุกอย่างถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย โต๊ะไม้สี่เหลี่ยมสามตัวรวมทั้งเก้าอี้ไม้สิบกว่าตัวกินพื้นที่กว่าครึ่งห้อง
ส่วนกำแพงทั้งสี่ด้านของห้อง ยังมีภาพวาดโบราณสีออกเหลืองสองสามภาพแขวนอยู่ ภาพวาดเหล่านี้ล้วนเป็นภาพปีศาจอสูรและภูเขาลำธารต่างๆ ไม่แปลกตาเลยเช่นกัน
“พี่อวี๋ อสูรวิญญาณตัวนั้นอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ?” ชายร่างใหญ่กวาดสายตาไป แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
ที่นี่มีพื้นที่เล็กมาก ไม่น่าจะกักอสูรวิญญาณอะไรได้จริงๆ มิน่าล่ะเขาจึงรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“มาถึงที่นี่แล้ว ข้ายังจะโกหกพวกเจ้าอีกหรือ พวกเจ้าตามข้ามา” เจ้าของร้านถลึงตาใส่ชายร่างใหญ่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ ทันใดนั้นก็สาวเท้าไปยังกำแพงด้านหนึ่งที่มีรูปภาพภูเขาลำธารโบราณแขวนอยู่ สะบัดแขนเสื้อ ในมือมีม้วนรูปภาพปรากฎขึ้น
สะบัดเบาๆ ม้วนรูปภาพคลี่ออก คาดไม่ถึงว่าจะเผยรูปภาพที่เหมือนกับบนกำแพงออกมาอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นฉากนี้ชายร่างใหญ่และหานลี่พลันตกตะลึง ไม่ทันได้เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร หลังจากที่สายตาของชายหนุ่มหน้าหวานกวาดไปที่ม้วนรูปภาพแล้ว กลับหน้าเปลี่ยนสีพลางร้องอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า
“ภาพเขาพระสุเมรุ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีสมบัติวิเศษของเผ่าเบญจลำแสง!”
“ภาพเขาพระสุเมรุ? เป็นไปไม่ได้กระมัง สมบัติชนิดนี้ เผ่าเบญจลำแสงไม่ได้มีแค่เจ็ดชุดหรือ? พี่อวี๋ได้มาได้อย่างไร” ชายร่างใหญ่ตกใจจนสะดุ้งโหยง รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
แม้ว่าหานลี่จะรู้สึกงุนงง แต่เมื่อได้ยินคำว่า ‘พระสุเมรุ’ กลับอดที่จะใจเต้นไม่ได้ พลางมองไปยังภาพวาดบนกำแพงอย่างละเอียด
เห็นเพียงม้วนภาพที่สีออกเหลือง คือภาพภูเขาสีเขียวเข้ม บนภูเขามีสิ่งปลูกสร้างอยู่เล็กน้อย แต่กลับลางเลือน ให้ความรู้สึกขมุกขมัว
“หึๆ ทั้งสองสายตาเฉียบแหลมมาก นี่คือภาพเขาพระสุเมรุ ทว่านี่ไม่ใช่หนึ่งในเจ็ดชุดที่เผ่าเบญจลำแสงมองว่าเป็นสมบัติประจำเผ่า แต่เป็นภาพเขาพระสุเมรุที่มีข้อบกพร่องชุดหนึ่งเท่านั้น” เจ้าของร้านเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ของลอกเลียนแบบ?” ชายหนุ่มและชายร่างใหญ่พลันตะลึงงัน
“ใช่แล้ว เรื่องนี้แม้แต่เผ่าเบญจลำแสงก็มีคนรู้เพียงไม่กี่คน ตอนแรกที่เผ่าเบญจลำแสงใช้กระดูกของนกยูงห้าสีหลอมภาพเขาพระสุเมรุนั้นไม่ใช่เจ็ดชุด แต่เป็นสิบชุด แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือสามชุดในนั้นหลอมออกมาได้ไม่สมบูรณ์ ผลคืออานุภาพลดลงเป็นอย่างมาก ดังนั้นสามชุดนี้จึงถูกซ่อนเอาไว้เนิ่นนานแล้ว และไม่เคยแพร่งพรายออกมาภายนอก ด้วยเหตุผลต่างๆ นี้ต่อมาภาพเขาพระสุเมรุทั้งสามชุดจึงถูกคนในเผ่าเบญจลำแสงปล่อยออกมาภายนอก และตกอยู่ในมือของคนเผ่าอื่น ส่วนข้าได้ภาพชุดนี้มาได้อย่างไรนั้น พวกเจ้าสามคนไม่จำเป็นต้องรู้” บุรุษร่างกายผ่ายผอมเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“ถึงแม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง พี่อวี๋ก็ยังได้ของพระสุเมรุมา ช่างมีวาสนานัก” ชายร่างใหญ่เผยสีหน้าชื่นชมแกมอิจฉาออกมาขณะเอ่ย
ชายหนุ่มหน้าหวานมองภาพทั้งสองม้วน แววตาอดที่จะเผยแววตาละโมบออกมาแวบหนึ่งไม่ได้
แม้นว่าหานลี่จะไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ในใจก็รู้สึกรุ่มร้อนเช่นกัน
ของพระสุเมรุ เป็นหนึ่งในสมบัติที่เขาอยากได้หลังจากมาถึงแดนวิญญาณ ไม่เหมือนกับห้วงมิติเวลาพระสุเมรุปลอมที่ใช้ในรอยแยกของห้วงเวลาในแดนมนุษย์ น่าจะดำรงอยู่อย่างอิสระและเป็นสมบัติห้วงเวลาที่แท้จริงซึ่งสามารถพกติดตัวไปได้ตลอดเวลา
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถิด อสูรวิญญาณตัวนั้นถูกข้าเก็บไว้ในถ้ำนี้” เจ้าของร้านหุบยิ้มบนใบหน้า สะบัดม้วนภาพในมือ
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น
เห็นเพียงบนม้วนภาพมีลำแสงห้าสีเปล่งแสงเจิดจ้า ทันใดนั้นก็สั่นเทากลายเป็นลำแสงผืนหนึ่ง ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในรูปภาพบนกำแพง
เจ้าของร้านบริกรรคมคาถาออกมา ฉับพลันนั้นมือหนึ่งก็ชี้ไปที่รูปภาพ
รูปภาพบนกำแพงเปล่งแสงเจิดจ้า และพ่นลำแสงผืนใหญ่ออกมา
ภายใต้การควบคุมของเจ้าของร้าน ลำแสงห้าสีพลันม้วนเอาทุกคนเข้าไปข้างใน
หานลี่ลังเลเล็กน้อยและเลิกต่อต้าน ปล่อยให้ลำแสงห่อหุ้มตนเองเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่ลำแสงวิญญาณที่ปกป้องร่างก็ยังคงเพิ่มขึ้นสองสามชั้นอย่างเงียบเชียบ
ผลคือหลังจากที่ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ พื้นที่ก็ว่างเปล่า ทั้งหมดไม่มีคนแม้แต่คนเดียว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น