คัมภีร์วิถีเซียน 1420-1421
ตอนที่ 1420 ผลตาข่ายเขียว
หานลี่เองก็ไม่เกรงใจ ทันใดนั้นก็ตามคนของวิหคสวรรค์กลุ่มหนึ่งไปยังประตูวิหารแถวๆ ชั้นสอง
เก็บปีกร่างกายพลิ้วไหว หลังจากที่เขาเข้าไปในประตูราวกับชาววิหคสวรรค์จริงๆ แล้ว ข้างหูก็เสียงคึกคักดังขึ้น กวาดสายตาไปอีกครั้ง แววตาของหานลี่เปล่งประกายสว่างวาบสองสามครั้ง
ที่นี่เป็นจัตุรัสขนาดเล็กมีพื้นที่ประมาณสองสามร้อยจั้ง รอบด้านเป็นร้านรวงต่างๆ ที่แตกต่างกันไป มีชาววิหคสวรรค์สองสามร้อยคนกำลังเดินเข้าๆ ออกๆ ร้านรวงต่างๆ
ตรงกลางจัตุรัสมีเสาหินสีเขียวสูงสิบจั้งเศษตั้งตระหง่านอยู่ต้นหนึ่ง ด้านบนมีลำแสงระยิบระยับ เหมือนว่าจะสลักอะไรอย่างสักอย่างเลือนๆ เอาไว้
ใต้เสาหินมีคนสิบกว่าคนกำลังเงยหน้ามองสิ่งที่อยู่บนเสา และกำลังปรึกษาอะไรกันอยู่เงียบๆ
หานลี่มองไปยังเสาหิน แล้วเดินเข้าไปด้วยความรู้สึกสนใจ
เห็นเพียงผิวของเสาหินแยกออกเป็นสองส่วน มีอักขระเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ครึ่งหนึ่งเปล่งแสงสีแดง อีกครึ่งเป็นแสงสีเขียวมรกต
หานลี่พิจารณาตัวอักษรทั้งสองชนิดอย่างละเอียด ถึงได้พบว่าตัวอักษรเหล่านี้คือชื่อของสิ่งของ บ้างก็คุ้นมาก บ้างก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ตัวอักษรเหล่านี้กระพริบวาบๆ ราวกับว่าลอยโคจรหมุนวนบนผิวของเสาหินอย่างไรอย่างนั้น
ตรงตีนของเสาหินกลับมีบุรุษวัยกลางคนที่ดูเหมือนผู้ดูแลอยู่คนหนึ่ง กำลังนั่งสมาธิหลับตาทั้งสองข้างลงครึ่งหนึ่งอยู่
นี่คือ…
หลังจากที่หานลี่กวาดสายตามองตัวอักษรทั้งสองชนิดและใบหน้าของบุรุษที่ด้านล่าง ก็รู้สึกตกตะลึงระคนสงสัย
และในตอนนั้นเองฉับพลันนั้นในฝูงชนด้านล่างก็มีบุรุษสวมชุดคลุมสีดำเบียดแทรกตัวออกมาคนหนึ่ง ชูมือขึ้นส่งศิลาวิญญาณสองสามก้อนให้กับผู้ดูแลใต้เสาหิน
ชายวัยกลางคนปรือตาทั้งสองขึ้นพยักหน้า จากนั้นก็ควักกระบองสั้นสีแดงด้ามหนึ่งออกมา ส่งให้คนผุ้นี้
ผู้ที่ปรากฎตัวออกมาหยิบกระบองแดงสะบัดไปทางเสาหินอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง
แม้นว่าคนผู้นี้จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่แววตาของหานลี่พลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ มองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน
จุดที่กระบองสั้นโบกสะบัดมีตัวอักษรสีแดงสองสามตัวปรากฎขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเสาหินอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากนั้นชั่วครู่ตัวอักษรสีแดงสองสามตัวนี้ก็ปรากฎขึ้นที่เดิม
หานลี่เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
หลังจากมองดูอยู่อีกชั่วครู่ ก็มีอีกคนหนึ่งเดินออกมา ทว่าคนผู้นี้กลับไม่สนใจผู้ดูแลวัยกลางคน สยายปีกทั้งสองข้างออกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงสองสามจั้ง ยื่นนิ้วนิ้วหนึ่งออกมาชี้ไปที่ตัวอักษรสีเขียวสองสามตัวบนเสาหิน
ชั่วขณะนั้นตัวอักษรพลันเปล่งแสงสีเขียวมรกต จมหายเข้าไปในนิ้วมือของคนผู้นี้อย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายของเขาเปล่งแสงออกมา
และชาววิหคสวรรค์ที่ชี้ตัวอักษรเหล่านี้ก็เอียงศีรษะ สองตาหรี่ลงเล็กน้อยดูเหมือนว่าจะกำลังรับข่าวสารอะไรสักอย่าง หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาก็งอนิ้วกลับมา บินไปทางประตูวิหาร
คนที่เหลือสองสามคนก็ทำตามเขาเช่นกัน ไม่เขียนตัวหนังสืออะไรลงเสาหิน ก็บินขึ้นไปบนเสาหินใช้นิ้วมือสัมผัสกับอักษรสีแดงเขียวสองสีเหล่านั้น
เมื่อดูจนมาถึงตรงนี้หานลี่พลันลูบคางไปมา รู้สึกถึงบางอ้อ
เพื่อเป็นการยืนยันการคาดเดา เขาพลันสาวเท้ายาวๆ ก้าวไปเบื้องหน้าอย่างไม่เกรงใจ ในเวลาเดียวกันก็ยื่นนิ้วชี้ออกไป ตรงโคนเสามีตัวอักษรสีเขียวแถวหนึ่งปรากฎขึ้น
ตัวอักษรสีเขียวมรกตเหล่านั้นเปล่งแสงสว่างวาบ ความเย็นเยียบทะลุเข้ามาในสมอง ในหัวของหานลี่มีข่าวสารปรากฎขึ้น
“ขายไม้หล่อเลี้ยงลำแสงชั้นหนึ่งไม่จำกัดจำนวน ราคาก้อนละสามหมื่นศิลาวิญญาณ ที่ร้านหมายเลขสามสิบเอ็ดชั้นสี่วิหารหมายเลขห้า!” มุมปากของหานลี่กระตุก ร่างกายพลิ้วไหว คนก็หันไปที่อีกครึ่งด้านของเสาหิน นิ้วชี้ไปที่ตัวอักษรสีแดงอีกครั้ง
ผลคือข่าวสารที่เหมือนกันปรากฎขึ้นในสมอง
“รับซื้อโครงกระดูกวิหคหางหงส์แบบสมบูรณ์แบบ ราคาต่อรองได้ ร้านสิบชั้นเก้าสอง!”
หานลี่มีสีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย
คิดไม่ถึงว่าชาวเผ่าวิหคสวรรค์เหล่านี้จะใช้วิธีนี้ในการซื้อขายสิ่งของกัน
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่มาประกาศบนเสาหินได้นั้น ล้วนเป็นของที่ต้องการอย่างเร่งด่วนหรือว่าของที่ค่อนข้างพิเศษ นับได้ว่ามีความคิดสร้างสรรค์มาก
เช่นนั้นขอแค่มีคนมาอ่านข่าวสารบนเสาหิน ก็สามารถตรงไปยังร้านที่จะแลกเปลี่ยนแล้ว นับว่าสะดวกจริงๆ
และดูแล้ววิธีการนี้ก็ไม่ยาก เหมือนว่าย่านร้านค้าในเผ่ามนุษย์จะเลียนแบบได้
เขาขบคิดเช่นนั้นหานลี่กลับถอยหลังไปสองสามก้าว เริ่มพิจารณาตัวอักษรสีเขียวที่ขายของเหล่านั้น
เขาคิดจะอ่านข่าวสารบนนี้รอบหนึ่ง ดูว่ามีสิ่งที่ตนเองสนใจหรือไม่
แม้นว่าของจำนวนไม่น้อยจะมีชื่อเรียกที่ไม่เหมือนกันเพราะความแตกต่างของเผ่า แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดของล้ำค่าส่วนใหญ่ถึงได้มีชื่อเรียกไม่ต่างกันมากนัก โดยเฉพาะวัตถุดิบที่มีค่าไม่น้อยในสายตาของทั้งสองเผ่าล้วนมีคำเรียกที่เหมือนกัน
เรื่องนี้จึงทำให้หานลี่ที่เพิ่งพูดภาษาของเผ่าวิญญาณเหาะเหินได้ รู้สึกประหลาดใจอยู่นาน
ทว่าแม้ว่าเรื่องนี้จะแปลกประหลาดไปหน่อย เขาก็ไม่มีทางไปซักถามหาสาเหตุแน่
ครานี้เขาแค่เงยหน้าขึ้นมองเสาหินเงียบๆ ไม่ปริปากใดๆ
สายตาจ้องเขม็งไป ฉับพลันนั้นหานลี่พลันจ้องเขม็งไปยังตัวอักษรสีเขียวสองสามตัวที่ปรากฎขึ้นใหม่บนเสาหิน ในใจพลันเกิดความรู้สึกร้อนรน
“ผลตาข่ายเขียว! คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีของสิ่งนี้ขายด้วย” หานลี่มีสีหน้าแดงระเรื่อปรากฎขึ้น แววตาปรากฎดีใจอย่างบ้าคลั่งจนปิดไม่มิด
ผลชนิดนี้คือวัตถุดิลหลักในการปรุง ‘ยาลูกกลอนตาข่ายสวรรค์’ ในตำนาน เป็นหนึ่งในสองสามผลวิญญาณที่หานลี่อยากได้มากที่สุด
แม้นว่ายาลูกกลอนชนิดนี้จะไม่อัศจรรย์เท่ากับยาลูกกลอนเพลิงทมิฬที่แค่สามเม็ดก็สามารถเพิ่มอัตราการทะลวงจุดคอของระดับเทพแปลงขั้นปลายได้สองสามส่วน แต่ในสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงส่วนใหญ่หรือแม้กระทั่งตัวประหลาดเฒ่าระดับหลอมร่างขึ้นไป มูลค่ามันมากกว่ายาลูกกลอนเพลิงทมิฬ
หากกินยาลูกกลอนตาข่ายสวรรค์เข้าไปตามลำพังนั้น ก็จะช่วยในการทะลวงจุดคอขวดของผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงได้ แต่ความจริงแล้วกลับไม่ค่อยนำยาลูกกลอนชนิดนี้มาใช้ในการนี้ ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้ยาลูกกลอนชนิดนี้มาจะนำมาผสมกินกับยาลูกกลอนชนิดอื่น
นั่นเป็นเพราะยาลูกกลอนตาข่ายสวรรค์มีประสิทธิภาพที่มหัศจรรย์มาก สามารถผสมกับยาลูกกลอนส่วนใหญ่ได้ และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ หากกินกันยาลูกกลอนอื่นๆ ล่ะก็ จะเพิ่มประสิทธิภาพของยาลูกกลอนชนิดอื่นไปสามถึงห้าส่วน
นั่นก็หมายความว่าหากหานลี่กินยาที่สามารถเพิ่มพลังลมปราณไปสิบปี แต่หากกินพร้อมกับยาตาข่ายสวรรค์ ก็เพิ่มพลังยุทธ์ไปได้สิบสองถึงสิบห้าปี และยิ่งไปกว่านั้นประสิทธิของยาชนิดนี้ นอกจากยาลูกกลอนเซียนที่ไม่เคยมีใครทดสอบสองสามชนิดแล้ว ก็มีประโยชน์ต่อยาลูกกลอนระดับสูงชนิดอื่นๆ ทั้งหมด
เช่นนั้นยิ่งยาสมุนไพรในมือของมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรมีมูลค่าสูงและหายากมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากกินพร้อมกับยาลูกกลอนตาข่ายสวรรค์มากเท่านั้น หากโชคดีล่ะก็ อาจจะทำให้ประสิทธิภาพของยาเพิ่มขึ้นสองสามส่วน แน่นอนว่าล้วนเป็นฝันที่สวยงาม
ส่วนผลของยาตาข่ายสวรรค์นั้น กลับเป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ
เคยมีคนกินยาลูกกลอนชนิดนี้ลงไปสี่เม็ด ผลคือทุกเม็ดต่างทำให้ยาที่กินเข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพขึ้น
มีบางคนที่ยอมถังแตกกินเข้าไปเจ็ดแปดเม็ด เตรียมจะใช้สมบัติทั้งหมดพนันดูสักตั้ง ผลคือกลับทำให้คนผู้นี้กระอักเลือกและประสิทธิภาพของยาก็ไม่ได้ผลเลยสักเม็ด
แม้นว่ายาลูกกลอนตาข่ายสวรรค์จะมีประสิทธิภารในการช่วยเสริมที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ ตั้งแต่ที่ยาลูกกลอนชนิดนี้ถือกำเนิดขึ้น ก็ยังคงมีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนนับไม่ถ้วนค้นหามันอย่างบ้าคลั่ง
ในช่วงเวลาแค่พันกว่าปีของเผ่ามนุษย์ ยาตาข่ายสวรรค์ล้วนถูกขุดไปจนเกลี้ยง
สิ่งที่ทำให้เขากลัดกลุ้มก็คือ ผลตาข่ายเขียวที่มีอายุสูงหน่อยอย่างห้าหกพันปี ต้นหนึ่งจะมีเพียงผลเดียวเท่านั้น และเมื่อเด็ดไปแล้วต้นไม้ก็สูญเสียไอวิญญาณ กลายเป็นเพียงต้นไม้ธรรมดาๆ ต้นหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นถึงแม้ว่าสำนักพรรคใหญ่ๆ และขุมอำนาจใหญ่ๆ หมายจะทุ่มเทปลูกสมุนไพรชนิดนี้ขึ้นมาจำนวนมาก แต่ก็ได้ไม่คุ้มเสีย
ดังนั้นในเวลาต่อมา จึงมีเพียงคนที่บังเอิญหาผลวิญญาณชนิดเจอสองสามเม็ดจากแดนป่าเถื่อน และเมื่อยาลูกกลอนตาข่ายสวรรค์หนึ่งเม็ดปรากฎขึ้น ก็ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเหล่านั้นแย่งชิงกัน ส่วนใหญ่ล้วนตกอยู่ในมือของตัวประหลาดเฒ่าระดับหลอมร่างขึ้นไป
คราที่หานลี่ได้ยินผลวิญญาณชนิดนี้ครั้งแรกในเมืองเทวะสวรรค์ แน่นอนว่าก็รู้สึกสนใจ วาดฝันว่าจะใช้ของเหลวสีเขียวเลี้ยงดูผลวิญญาณชนิดนี้จำนวนมาก
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือต่อให้เมล็ดของผลตาข่ายเขียว ก็ยังเป็นสิ่งที่หายาก และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่อาจเก็บไว้ได้นานนัก ดังนั้นแม้ว่าในเมืองเทวะสวรรค์จะมีสถานที่ที่แทบจะรวบรวมสมุนไพรวิญญาณและผลวิญญาณทั้งหมดในสามเขตเจ็ดแดนเอาไว้ ก็ยังหาเมล็ดของผลวิญญาณไม่เจอแม้แต่เม็ดเดียว
ดังนั้นหานลี่จึงทำได้เพียงมองและทอดถอนใจเท่านั้น
ตอนนี้บนเสาหินมีผลวิญญาณชนิดนี้ปรากฎขึ้น จะไม่ทำให้เขาดีใจอย่างบ้าคลั่งจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ได้อย่างไร
ครานั้นหานลี่เองก็ไม่สนใจจะดูสิ่งอื่นอีก ทันใดนั้นปีกที่แผ่นหลังพลันสยายออก คนบินขึ้นไปด้านบนทันที หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็มาอยู่ตรงกลางของเสาหิน นี้วชี้ไปที่ตัวอักษรคำว่าผลตาข่ายเขียว
ลำแสงสีเขียวมรกตเปล่งประกาย ชั่วพริบตาข่าวสารก็ทะลักเข้ามาในหัว
แต่หลังจากดูเนื้อหาเสร็จแล้วกลับขมวดคิ้ว
“คาดไม่ถึงว่าจะต้องต่อรองกันต่อหน้า เกรงว่าคงยุ่งยากหน่อยแล้ว” หานลี่เอ่ยพึมพำ ใบหน้าตื่นเต้นดีใจหายวับไปทันที
แต่ในเมื่อมีหวังว่าจะได้ผลตาข่ายเขียว ต่อให้ยากมากมายแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางยอมแพ้
ดังนั้นหลังจากที่ขบคิดอยู่กลางอากาศชั่วครู่ หานลี่ก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบบินออกมาจากที่นั่น
เมื่อออกจากประตูวิหาร ก็บินขึ้นไปกลางอากาศสูงรวดเดียวก็มาถึงชั้นเก้า เขาบินตามทางเดินไปเรื่อยๆ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่เมื่อหานลี่กวาดสายตาไปบนตัวอักษรสองสามตัวบนประตูวิหารแล้ว ก็บินเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
วิหารนี้เหมือนกับวิหารหลังก่อนอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าขนาดหรือการตกแต่งล้วนถูกคัดลอกกันมาทุกระเบียบนิ้ว
เห็นได้ชัดว่าชาววิหคสวรรค์ที่อยู่ที่นี่บางตาลงกว่าชั้นล่างๆ มาก มีเพียงยี่สิบสามสิบคนเท่านั้น
หลังจากที่หานลี่หรี่ตาลงมองไปทางร้านค้ารอบๆ แววตาพลันเปล่งประกาย ตรงไปยังมุมหนึ่ง ตรงไปยังร้านค้าร้านหนึ่งตรงมุมของวิหารอย่างรู้ดีอยู่แก่ใจ
ร้านค้าร้านนี้แบ่งออกเป็นสองชั้น ในประตูถูกม่านลำแสงสีเขียวชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้ ส่วนประตูทางออกมีแผ่นป้ายหยกสีแดงอ่อนแผ่นหนึ่งแขวนอยู่ ด้านบนมีตัวอักษรคำว่า ‘ย่านหมื่นอัสนี’ เปล่งแสงระยิบระยับอยู่
หานลี่กวาดสายตาไปบนแผ่นหยก สีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่าน ทันใดนั้นก็มีสีหน้าราบเรียบ
ร่างกายเปล่งแสงสว่างวาบ คนก็เข้าไปในม่านลำแสงในประตูอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
เบื้องหน้าเปล่งแสงเจิดจ้า ห้องที่ว่างเปล่าขนาดสามสิบสี่สิบจั้งปรากฎขึ้นเบื้องหน้า
โต๊ะไม้เปล่งแสงสีดำมะเมื่อมตัวหนึ่ง เก้าอี้ไม้สีเหลืองอ่อนสองสามตัว และชั้นไม้เก่าๆ เจ็ดแปดชั้น ด้านบนมีของวางกองอยู่อย่างระเกะระกะเต็มไปหมด นี่คือการจัดเรียงทั้งหมดของที่นี่
และในห้องโถงนอกจากบุรุษวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมที่ดูเหมือนเจ้าของร้านยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะไม้แล้ว ก็มีชาววิหคสวรรค์อีกสองคน
หลังจากที่หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปบนเรือนร่างของทั้งสามแล้ว ก็อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยไม่ได้
ตอนที่ 1421 สามตัวเลือก
ท่าทางของแขกทั้งสองเป็นคู่สองสามีภรรยาคู่หนึ่ง กำลังพูดคุยอะไรสักอย่างกับเจ้าของร้าน
ทั้งสองคนหนึ่งมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสูญขั้นต้น คนหนึ่งระดับหลอมสูญขั้นกลาง ส่วนเถ้าแก่ผู้นั้นคาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวระดับหลอมสูญขั้นปลาย
ผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับนี้ มาเปิดร้านค้าอะไรพวกนี้ทำไมกัน
หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึง
บุรุษและสตรีคู่นั้นเห็นว่ามีคนเข้ามา ก็รู้สึกว่าไม่คุ้นหน้า จึงรู้สึกประหลาดใจ
กลับเป็นเถ้าแก่เจ้าของร้านร่างกายผ่ายผอมผู้นั้นที่แค่เหลือบตามาและไม่สนใจหานลี่อีก พลางพูดคุยกับคนที่อยู่เบื้องหน้าทั้งสองต่อด้วยท่าทีเกียจคร้าน
“หากหาศิลาดูดวิญญาณไม่พบล่ะก็ พวกเจ้าก็อย่าเพ้อฝันถึงไม้เซียนม่วงเลย! ส่วนศิลาวิญญาณระดับสูงนั้น พวกเจ้าคิดว่าข้าขาดแคลนหรือ?” ตาแก่หนังเหนียวผู้นี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงใหญ่ๆ
“พี่อวี้ ใช้ศิลาดูดวิญญาณมาแลกกับไม้เซียนม่วง เงื่อนไขนี้มันทารุณเกินไปแล้ว เจ้าสิ่งนี้มีอยู่แค่ในหุบเหวลึกเท่านั้น อย่าพูดถึงสองสามีภรรยาผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญอย่างพวกเราเลย แม้แต่อาวุโสในเผ่าก็ไม่กล้าลงไปลึกขนาดนั้น” สตรีที่เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์เอ่ยด้วยสีหน้าไม่ยินยอม
“ตาเฒ่าไม่สนหรอก เจ้าคิดว่าไม้เซียนม่วงของตาเฒ่าได้มาเพราะลมพัดมารึ? ไม่มีศิลาดูดวิญญาณ เรื่องนี้ก็พักเอาไว้เถิด” เถ้าแก่ร่างกายผ่ายผอมกลอกตาไปมา แล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
สองสามีภรรยาคู่นี้ได้ยินเถ้าแก่เอ่ยเช่นนั้น แน่นอนว่าพลันหน้าเปลี่ยนสีเป็นอย่างมาก แต่จากนี้ไม่ว่าทั้งสองจะขอร้องอย่างไร ชายชราก็ยังเอ่ยอย่างเย็นชาอย่างไม่ยอมผ่อนปรน
สุดท้ายบุรุษและสตรีผู้นี้จึงทำได้เพียงจากไปด้วยความจนปัญญา
ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่ได้สนทนากับหานลี่แม้แต่ประโยคเดียว
“เด็กเอ๋ย เจ้ามาหาตาเฒ่ามีเรื่องอันใดหรือ?” เถ้าแก่รอจนสองสามีภรรยาคู่นั้นออกไปจากประตู ก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่ด้านหลังโต๊ะด้วยท่าทีหงุดหงิด
“ได้ยินว่าท่านอาวุโสขายผลตาข่ายเขียว เป็นเรื่องจริงหรือไม่” หานลี่เอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“ผลตาข่ายเขียว เป็นหนึ่งในของที่ล้ำค่าที่สุดในร้านข้า ระดับแม่ทัพวิญญาณเหาะเหินคนหนึ่งคงแลกไม่ได้ อย่าเสียเวลาข้าเลย รีบไปซะ” ชายวัยกลางคนได้ยินคำพูดของหานลี่พลันตกตะลึง หลังจากพิจารณาหานลี่อย่างละเอียดอีกครั้ง้ กลับแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วเอ่ยปากขับไล่หานลี่
“ท่านอาวุโสไม่พูดถึงเงื่อนไข จะรู้ได้อย่างไรว่าชนรุ่นหลังไม่อาจแลกเปลี่ยนของชิ้นนี้ได้” หานลี่ฉีกยิ้มบางๆ สองเท้าไม่ขยับไปไหน
“หึ ไม้อ่อนไม่ชอบชอบไม้แข็ง!” ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมพลันโกรธเกรี้ยว จากนั้นปีกสีเงินที่แผ่นหลังพลันสะบัดมาทางหานลี่
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ชั่วขณะนั้นพลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งก็กดมาทางหานลี่ แม้แต่บรรยากาศรอบๆ ก็เกิดเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น
หานลี่หางตากระตุกและไม่ได้หลบหลีกใดๆ แค่ชูมือขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะวาดนิ้วออกไปราวกับกระบี่
ลำแสงสีทองสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งถูกตัดออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย แฉลบผ่านหานลี่ไปทั้งสองด้าน เกิดเป็นเสียงตูมๆ ดังสนั่นขึ้น
“เอ๋! มิน่าล่ะถึงมั่นใจนัก ดูแล้วคงมีฝีมืออยู่สองสามส่วนจริงๆ” เถ้าแก่ร่างกายผ่ายผอมร้องอุทานออกมาเบาๆ แววตาเปล่งประกายอย่างรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ
“ครานี้ชนรุ่นหลังมีคุณสมบัติพอจะทำการแลกเปลี่ยนกับท่านอาวุโสหรือยังขอรับ” หานลี่กลับเอ่ยถามอีกครั้งด้วยสีหน้าราบเรียบ
“อืม นับว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอก็แล้วกัน ทว่าอยากได้ผลตาข่ายเขียว เจ้านี่ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียแล้ว เป็นไปไม่ได้หรอก” เถ้าแก่ตอบกลับอย่างราบเรียบ
“แม้แต่จะแลกเปลี่ยนกับอะไรก็ไม่บอกชนรุ่นหลัง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าน้อยจะนำของที่ท่านอาวุโสต้องการออกมาไม่ได้” หานลี่ตอบกลับพร้อมกับอมยิ้ม
“ในเมื่อเข้ามั่นใจขนาดนี้ ครานี้ตาเฒ่าไม่มีแขกท่านอื่น บอกเจ้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ความหายากของผลตาข่ายเขียวนั้นไม่ต้องพูดถึง อยากแลกกับของสิ่งนี้ ข้าจะให้ตัวเลือกเจ้าสามข้อ ขอแค่เจ้าทำได้ข้อนึง ผลตาข่ายเขียวก็จะเป็นของเจ้า” เถ้าแก่ขบคิดเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนใจพร้อมสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
“สามตัวเลือก ดูแล้วผลตาข่ายเขียวคงได้มายากจริงๆ มิเช่นนั้นท่านอาวุโสจะให้ตัวเลือกที่เยอะขนาดนี้มาทำไม” ฟังจากคำพูดของอีกฝ่าย หานลี่กลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“เจ้ารู้แล้วก็ดี ข้อแรกหากเจ้านำดอกบัวของยมโลกทมิฬหรือว่าผลึกโลหิตทมิฬในตำนานออกมาได้ ข้าจะนำผลตาข่ายเขียวออกมาให้เจ้าทันทีอย่างไม่มีข้อแม้” หลังจากที่ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ก็เอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ
“สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ร่ำลือกันมา ในโลกนี้มีของชิ้นนี้จริงหรือไม่ ก็ยังเป็นเรื่องที่พูดยาก ชนรุ่นหลังไม่อาจมีของสองสิ่งนี้ได้” หานลี่สั่นศีรษะ
“หึๆ ของที่ร่ำลือกัน” ชายวัยกลางคนได้ยินใบหน้าก็เผยสีหน้ายิ้มเยาะออกมา
“แต่ในเมื่อตัวเลือกที่หนึ่ง เจ้ารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ งั้นตัวเลือกที่สอง ข้าจะพูดถึงของที่เจ้าหาได้แน่ หากในมือของเจ้ามีศิลาวิญญาณระดับสุดยอดห้าหกร้อยก้อน ตาเฒ่าก็พอจะขายผลตาข่ายเขียวให้เจ้าได้ผลหนึ่ง”
“ศิลาวิญญาณระดับสุดยอดห้าหกร้อยก้อน ท่านอาวุโสเสนอเกินไปแล้ว ศิลาวิญญาณระดับสุดยอดมากขนาดนั้น เดาว่าอาวุโสในเผ่าก็คงเอาออกมาไม่ได้กระมัง เรื่องนี้ชนรุ่นหลังทำไม่ได้” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง สีหน้าดูไม่ได้
หากอีกฝ่ายพูดว่าศิลาวิญญาณระดับสุดยอดร้อยกว่าก่อน เขาก็จะกัดฟันใช้สมุนไพรวิญญาณที่สะสมไว้จำนวนมากออกมาแลก ไม่แน่ก็อาจจะรวบรวมจนครบได้ แต่จำนวนห้าหกร้อยก้อนนั้น เขาจึงยอมแพ้โดยไม่ต้องคิด
“หึ ของของตาเฒ่า ตาเฒ่าคิดว่าผลตาข่ายเขียวคุ้มค่ากับศิลาวิญญาณขนาดนี้ แน่นอนว่าก็ต้องเสนอเงื่อนไขเช่นนี้” เถ้าแก่กลับเอ่ยอย่างไม่สนใจเลยสักนิด
หานลี่ได้ยินจึงทำได้เพียงหมดคำพูด
“สองทางเลือกแรกเจ้าไม่อาจรับได้ ตัวเลือกสุดท้าย เดาว่าเจ้าก็คงไม่อาจรับได้ ยังอยากฟังอยู่หรือไม่?” ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมเอ่ยอย่างเย็นชา
“ท่านอาวุโสลองพูดมาเถิด!” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ฟังหานลี่เอ่ยเช่นนี้ เถ้าแก่ก็เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยว่า
“ทางเลือกสุดท้ายนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดก็มีคุณสมบัติพอที่จะเลือกได้ ก่อนที่ข้าจะพูดต้องถามเจ้าสักหน่อยว่าเจ้ามีพลังอัสนีหรือไม่?”
“พลังอัสนี?” รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง แล้วรู้สึกประหลาดใจมาก
“ใช่ หากไม่มีความสามารถธาตุอัสนี หรือว่ามีความรู้แค่เล็กน้อย ตาเฒ่าก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงทางเลือกที่สามแล้ว”
“หากเป็นพลังอัสนี ผู้แซ่หานมั่นใจว่าควบคุมได้อยู่บ้าง” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กๆ แต่หลังจากขบคิดแล้ว ก็ตอบไปตามความเป็นจริง
“งั้นหรือ พูดปากเปล่า ลองแสดงให้ตาเฒ่าดูสักหน่อยสิว่าเจ้ามีคุณสมบัติแล้วค่อยว่ากัน” ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมกลับไม่คิดจะเชื่อหานลี่ง่ายๆ และดวงตาพลันเปล่งประกายขณะเอ่ย
“ไม่มีปัญหา!” หานลี่เอ่ยปากตอบรับ สองปีกที่แผ่นหลังสะบัดเบาๆ
เสียง “เปรี๊ยะๆ” ของพลังอัสนีพลันดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎบนปีกทั้งสองข้าง จากนั้นก็ตัดสลับกัน ประจุไฟฟ้าทั้งหมดผนึกรวมตัวกัน ชั่วพริบตาลูกบอลอัสนีสีเงินสิบกว่าลูกก็ปรากฎรอบๆ หานลี่
ทุกลูกมีขนาดเท่ากำปั้น กระพริบระยิบระยับส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ดังขึ้นไม่หยุด แต่ความน่ากลัวที่แฝงอยู่ในลูกบอลอัสนีเหล่านี้ ก็ทำให้รูม่านตาของชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมหดเล็กลง เผยสีหน้าตื่นตะลึงระคนดีใจออกมา
“ไม่เลว เจ้ามิได้โอ้อวดดังคาด มีความสามารถด้านอัสนีไม่น้อยเลยจริงๆ ฟังทางเลือกสุดท้ายของข้าได้ ความจริงแล้วนั้นง่ายมาก ทางเลือกสุดท้ายนั้นไม่ได้ให้เจ้าใช้ของมาแลกกับผลตาข่ายเขียว ขอแค่เจ้าช่วยข้าสยบอสูรวิญญาณธาตุอัสนีตัวหนึ่งเท่านั้น”
“สยบอสูรวิญญาณ!” หานลี่แววตาฉายแววประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“อันใด เจ้าคิดว่าง่ายหรือ จะบอกอะไรให้ อสูรวิญญาณตัวนี้ค่อนข้างพิเศษ แม้นว่าข้าจะจับเป็นมันเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจสยบมันได้ ข้าหาคนมาไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดช่วยข้าสยบมันได้จริงๆ และคนจำนวนไม่น้อยที่มีความสามารถไม่พอก็ถูกอสูรตัวนี้แว้งกัดจนได้รับบาดเจ็บ ทว่าหากเจ้ามั่นใจในความสามารถอัสนีของเจ้า ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส แต่บอกเอาไว้ก่อนนะว่าถึงครานั้นหากบาดเจ็บหรือล้มตาย ตาเฒ่าจะไม่สนใจใดๆ” ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมกลับเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย
“อสูรวิญญาณธาตุอัสนี? ท่านอาวุโสบอกความจริงกับข้ามาเถิดว่าคืออสูรวิญญาณชนิดใด” หลังจากที่หานลี่ได้ฟังจบก็ขมวดคิ้วมุ่น
“อสูรวิญญาณชนิดใด ข้าจะยังไม่บอกเจ้า เจ้าต้องตัดสินใจจะช่วยข้าก่อน แล้วข้าจะพาเจ้าไปดูอสูรตัวนั้น ถึงครานั้นเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” ดวงตาของชายวัยกลางคนฉายแววเจ้าเล่ห์
ฟังจากคำตอบที่คลุมเครือของอีกฝ่าย หลังจากที่หานลี่ลูบคางไปมา ก็ก่นด่าในใจไม่หยุด แต่ในหัวกลับมีความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้อยู่ในระดับหลอมสูญขั้นปลาย คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจสยบอสูรวิญญาณที่จับเป็นมาตัวหนึ่งได้ มันค่อนข้างแปลกๆ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเผยออกมาว่าต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญพลังอัสนี ถึงจะช่วยได้ ดูแล้วก็ไม่เหมือนกับไม่มีความจริงใจเท่าใดนัก
หานลี่ขบคิดไปชั่วครู่ ถึงได้เอ่ยปากซักถามอีกครั้ง
“ท่านอาวุโสพูดถึงการสยบนั้น หมายถึงแบบใดถึงจะเรียกว่าสยบ”
“แน่นอนว่าต้องช่วยตาเฒ่า ให้มันยอมให้ข้าจับแต่โดยดี จากนั้นก็รับข้าเป็นายอย่างเป็นทางหาร” ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“หากแบบนี้ล่ะก็ ชนรุ่นหลังยอมช่วยท่านอาวุโสลองดูสักตั้ง” หานลี่เองก็ไม่ลังเลอีก
“เยี่ยมมาก! การรับเป็นนายอย่างเป็นทางการ ตาเฒ่าจำต้องเตรียมตัวสักหน่อย หลังจากนี้สี่วัน เจ้าค่อยมาหาข้าที่นี่ก็แล้วกัน” เถ้าแก่เผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“หลังจากนี้สี่วัน ข้าน้อยจะมาถึงที่นี่ตรงเวลา ชนรุ่นหลังขอตัวลาก่อน” หานลี่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หลังจากประสานกำปั้นคารวะแล้ว ก็กล่าวลาและออกจากร้านไป
มองประตูที่หานลี่จากไปแล้ว ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมก็ยกมือขึ้นลูกไปที่เคราแพะ สายตาเผยแววตื่นเต้นดีใจออกมา
หลังจากที่หานลี่ออกมาจากร้าน ก็ไม่ได้รีบร้อนออกจากวิหารการแลกเปลี่ยนในทันที แต่ไปปรากฎตัวที่หน้าเสาหินแลกเปลี่ยนข่าวสารอีกครั้ง หวังว่าจะพบอะไรที่น่าตกตะลึงระคนดีใจยิ่งกว่าเดิม…
จวบท้องฟ้าเปลี่ยนสี วิหารการแลกเปลี่ยนกำลังจะปิด เงาร่างของหานลี่ถึงได้บินออกจากประตูยักษ์ด้วยความยินดีปรีดา
ครั้งนี้เขาได้กำไรเป็นอย่างมาก นอกจากจะพบร่องรอยของผลตาข่ายเขียวแล้ว ยังพบวัตถุดิบล้ำค่าที่ไม่อาจพบได้ในเผ่ามนุษย์สองสามชนิดจากวิหารการแลกเปลี่ยนของเผ่าวิหคสวรรค์ หนึ่งในนั้นมีทั้งวัตถุดิบหลอมอาวุธ และสมุนไพรวิญญาณ
สมุนไพรต้นหนึ่งยังสามารถใช้ผสมกับแมลงผลึกกระดูกทองเป็นสมุนไพรหลักอีกชนิดที่ใช้หลอมรูปมารเที่ยงแท้พรามหณ์ศักดิ์สิทธิ์
นี่ทำให้หานลี่ดีใจเกินคาด
ขอแค่เขาหาสมุนไพรอีกสองชนิด ก็สามารถรวบรวมวัตถุดิบทั้งหมดได้ครบ และหลอมรูปภาพเที่ยงแท้ได้แล้ว
หานลี่ขบคิดในใน ร่างทั้งร่างกลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่ง บินไปยังที่พัก
พรุ่งนี้ก็คือวันที่สามที่นัดกับมหาอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์เอาไว้
หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนี เผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา ราวกับว่าลืมเรื่องนี้ไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น