ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 142-149
ตอนที่ 142 ต่อสู้กับมังกร (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เกล็ดมังกร”
หลิ่วหมิงใช้พลังจิตกวาดดูแล้วก็พูดออกมาด้วยใจที่เย็นสะท้าน
วันนั้นเขาเคยเห็นมังกรแดงมากับตา จึงยังพอจำกลิ่นไอของมันได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองมันออกอย่างรวดเร็ว
“แต่กลิ่นไอบนเกล็ดมังกรนี้แตกต่างจากความทรงจำเล็กน้อย และยังอ่อนลงไปมากจนไม่อาจเทียบกับวันนั้นได้!”
หลิ่วหมิงตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง และรู้สึกฉงนสนเท่ห์เป็นอย่างมาก
กลิ่นไอดูอ่อนลง อันนี้ยังพอเข้าใจได้ เพราะว่ามันคงจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลิ่นไออันคุ้นเคยที่ผสมมานี้มันคืออะไรกัน?
แต่ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะได้คิดอะไรต่อ สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนไปในทันที ร่างของเขาตีลังกาออกไปด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง
เสียงดัง “ฟรึ่บ!”
กรงเล็บมังกรที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดงม่วงโจมตีมาทางด้านหลังอย่างบ้าคลั่ง มันพุ่งมายังที่ที่หลิ่วหมิงเคยอยู่
ท่าทีของหลิ่วหมิงไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ร่างของเขาไหลครูดออกไปไกลสิบกว่าจั้งแล้วถึงกลับมายืนอย่างมั่นคงได้ เขามองไปยังฝั่งตรงข้ามด้วยความโมโห
ที่เดิมที่เขาเคยยืนอยู่ ปรากฏสัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรที่มีหางมังกรอยู่ด้านหลัง มันมีผมสีแดง ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเกล็ดสีแดงม่วง และกำลังมองมาที่เขาอย่างเยือกเย็น
ดูจากแววตาที่ดูประหลาดใจของมัน เห็นได้ชัดว่าการโจมตีล้มเหลวของมันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง
“มังกรแดง! ไม่ใช่…เอ๋! ศิษย์พี่สือ!” หลิ่วหมิงได้เห็นสัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรเช่นนี้ ย่อมทำให้เขารู้สึกตกใจไม่ใช่น้อย แต่พอสังเกตดูใบหน้าที่มีความคุ้นเคยถึงสามสี่ส่วนแล้วก็หลุดปากพูดออกมา
แต่เห็นได้ชัดว่าสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรตรงหน้าไม่ได้รู้จักกับหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย มันขยับร่างอย่างรวดเร็วแล้วก็เลือนลางหายไป
ถึงแม้หลิ่วหมิงจะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชน และพอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ทำให้ใจเขาร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่เขาก็รีบเรียกกระบี่สั้นสีเขียวออกมาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน เขาก็หมุนตัวติ้วๆ แล้วฟาดฟันกระบี่ไปทั่วทิศอย่างบ้าคลั่ง
ปราณกระบี่สีเขียวม้วนตัวไปทั่วทิศ
“ฟู่!”
เงาสีแดงจางๆ ปรากฏขึ้นในพื้นที่อีกด้านที่ห่างออกไปสามจั้ง มันยกกรงเล็บข้างหนึ่งขึ้นทำลายปราณกระบี่สายหนึ่งที่พุ่งเข้ามาจนแตกละเอียด หลังจากที่มีประกายอันดุร้ายปรากฏขึ้นในแววตา มันก็พลันกระทืบเท้าแล้วกระโจนมายังด้านหน้าหลิ่วหมิง มันอ้าแขนทั้งสองออกเพื่อที่จะโอบรัดหลิ่วหมิงไว้
“ไป”
หลิ่วหมิงไหนเลยจะกล้าให้สัตว์ประหลาดตรงหน้าเข้าใกล้ตัว เขาตะโกนเสียงต่ำออกมาด้วยความโมโหพร้อมกับตวัดโซ่สีดำออกมาจากแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว ทำให้สัตว์ประหลาดมังกรแดงที่กำลังกระโจนเข้ามาค่อยๆ หยุดชะงักลง หลังจากที่กระบี่สั้นสีเขียวในมือดูพร่ามัวแล้ว มันก็ปล่อยปราณกระบี่ออกไปพร้อมกันสามสายด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง
“เพล้ง!” “เพล้ง!” “เพล้ง!” ด้วยระยะห่างอันใกล้นี้ทำให้ปราณกระบี่ทั้งสามฟันลงบนร่างของสัตว์ประหลาดอย่างรุนแรง
แต่ฉากที่ทำให้ลูกตาของหลิ่วหมิงแทบจะถลนออกมาก็ได้บังเกิดขึ้น
ถึงแม้สัตว์ประหลาดที่มีใบหน้าคล้ายสือชวนจะถูกปราณกระบี่ฟันจนต้องล่าถอยออกไปติดต่อกันสามก้าว แต่นอกจากจะมีรอยสีขาวจางๆ สามรอยบนหน้าอกของมันแล้ว ก็ไม่มีเลือดใดๆ ไหลออกมาเลย
ไม่เพียงแต่เท่านี้ การฟาดฟันครั้งนี้ดูเหมือนจะยั่วโมโหมันเป็นอย่างมาก หลังจากที่มันคำรามเสียงต่ำออกมา เปลวไฟบนร่างของมันก็คุโชนขึ้น จากนั้นก็ม้วนตัวกลายเป็นกำแพงอัคคีพุ่งเข้ามาหา
ขณะเดียวกันร่างของสัตว์ประหลาดก็เคลื่อนไหวก่อนจะพร่ามัวหายเข้าไปในแสงไฟ
หลิ่วหมิงหรี่ตาลง โดยไม่กระทำการใดๆ แต่กลับถอยครูดไปด้านหลัง ขณะเดียวกันกระบี่สั้นสีเขียวในมือก็หายไปในพริบตา จากนั้นเขาก็ยกแขนทั้งสองขึ้นจนบังเกิดเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” คมวายุสิบกว่าเส้นพุ่งยิงออกไปทั่วทิศ
เสียงดัง “เพล้ง!”
หลังจากที่คมวายุเส้นหนึ่งแตกละเอียดไปแล้ว ร่างของสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ในช่วงเวลานั้นเอง กำแพงอัคคีอันคุกโชนก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าหลิ่วหมิง จนเกือบจะม้วนตัวหลิ่วหมิงเข้าไปในนั้น
แต่ในขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงกลับสะบัดข้อมือจนทำให้ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา จากนั้นหัวพยัคฆ์ก็ปรากฏออกมาอย่างแจ่มชัด พร้อมกับปล่อยคลื่นเสียงโจมตีออกไปจนก่อให้เกิดรูขนาดใหญ่บนกำแพงอัคคี
ด้วยพลังเวทย์ของเขาในตอนนี้ ทำให้สามารถปลดปล่อยอานุภาพของห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ออกมาได้จนถึงขีดสุด จากนั้นเขาก็บิดตัวกลายเป็นเงาพุ่งออกไปจากรูบนกำแพงอัคคี แล้วมาปรากฏตัวอยู่ห่างจากสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรในระยะสิบกว่าจั้งราวกับปีศาจ
ครั้งนี้หลิ่วหมิงไม่รอให้สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรนั้นโจมตีอีกครั้ง เขาตบถุงหนังบนเอวราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ หลังจากที่มีแสงเปล่งประกายออกมา แมงป่องกระดูกขาวก็ออกมาขวางอยู่บนพื้นด้านหน้าเขา
เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวอีกครั้ง เส้นสีเขียวจำนวนมากปรากฏขึ้นบนร่างของเขา ขณะที่ใบหน้าของเขาค่อยๆ กระตุกนั้น มันก็กลายเป็นเกราะเถาวัลย์สีเขียวมรกตปกป้องจุดสำคัญของร่างกายไว้ จากนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นตรงหน้าก่อนที่คมวายุจำนวนมากมายจะปรากฏออกมา เขาเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อมันก็กลายเป็นลำแสงสิบกว่าลำพุ่งยิงเข้าใส่สัตว์ประหลาดครึ่งมังกร
จากนั้นหลิ่วหมิงก็ประกบมือทั้งสองแล้วแยกออกจากกันอีกครั้ง คมวายุยักษ์ได้ปรากฏขึ้นมา มันค่อยๆ สั่นไหวขยายขนาดขึ้น แต่ยังไม่ถูกปล่อยออกไป
การล้มเหลวของสัตว์ประหลาดทั้งสองครั้ง เดิมทีก็ทำให้มันโมโหมากอยู่แล้ว แต่พอเห็นฝ่ายตรงข้ามชิงลงมือโจมตีก่อนก็ยิ่งทำให้มันรู้สึกโกรธจนเต้นแร้งเต้นกา หลังจากที่มันบิดตัว ก็กลายเป็นเงาร่างพุ่งกระโจนออกไป
เสียงดัง “เต๊งๆ!” คมวายุที่ขวางอยู่ตรงหน้าถูกกรงเล็บทั้งสองโจมตีจนแตกกระจาย จากนั้นร่างของเขาก็หยุดลงเล็กน้อยเพื่อที่จะกระโจนเข้าไปโจมตีหลิ่วหมิง
แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็สะบัดแขนด้วยตาที่เป็นประกายก่อนที่คมวายุยักษ์จะพุ่งยิงออกไปด้วยเสียงระเบิดอันดัง
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรรู้สึกแค่ว่าสีแสงสีเขียวเปล่งประกายตรงหน้า แล้วคมวายุยักษ์ก็พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าตกใจ ต่อให้จะมีอภินิหารใดๆ ก็ตาม แต่คิดที่จะหลบหลีกในตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว มันทำได้เพียงแต่ใช้แขนทั้งสองวางตัดสลับกันตรงหน้าอกเพื่อต้านทานเท่านั้น
เสียงดัง “ตู้ม!”
ร่างของสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรสั่นสะเทือนจนต้องถอยไปเจ็ดแปดก้าว แล้วถึงจะตั้งหลักได้อย่างมั่นคง และเลือดสีเขียวแก่ก็หยดออกมา
แขนทั้งสองที่ใช้บังอยู่ตรงหน้าเมื่อครู่ต่างก็แตกออกเป็นบาดแผลยาว แต่หลังจากที่แสงสีแดงเปล่งประกายออกมามันก็ผสานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่เคยได้รับรับบาดแผลใดๆ เลย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตกใจเป็นอย่างมาก
คาดไม่ถึงว่าสัตว์ประหลาดตนนี้จะสามารถใช้มือเปล่าต้านทานคมวายุยักษ์ได้ ดูท่าการโจมตีแบบธรรมดาคงไม่อาจทำร้ายมันได้
ขณะนั้นเอง สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรก็โมโหจนถึงขีดสุด ร่างของมันพร่ามัวในทันที จากนั้นก็กลายเป็นเงาร่างที่เหมือนกันสามเงา เมื่อมันเคลื่อนไหวอีกครั้งก็กลายเป็นเงาสีแดงกระโจนเข้าใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาโดยไม่ต้องคิด จากนั้นคมวายุสามเส้นก็ถูกยิงออกไปอย่างรวดเร็ว
เสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” “ฟี้ว!” คมวายุทั้งสามต่างก็ฟันลงบนเงาสีแดง แต่ก็ต้องกระเด็นออกมาพร้อมกัน
ครั้งนี้หลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงงันเล็กน้อยแล้ว
และในระหว่างนี้ เงาสีแดงทั้งสามก็พร่ามัวมาเข้ามาอยู่ห่างจากเขาไม่ไกลมานัก แต่มันกลับหยุดชะงักลงในฉับพลัน แล้วต่างก็อ้าปากพ่นลูกเปลวไฟออกมาสามลูก
ตอนแรกลูกเปลวไฟมีขนาดใหญ่ไม่เกินกำปั้น แต่พอมันพุ่งออกมาได้ฉื่อกว่าๆ ก็ขยายตัวจนมีขนาดเท่าล้อรถ มันยังโจมตีเข้ามาไม่ถึงตัวหลิ่วหมิง แต่ไอร้อนก็ม้วนตัวมาถึงก่อนแล้ว
หลิ่วหมิงมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา เขารีบเรียกกระบี่สั้นสีเขียวออกมาในทันที หลังจากที่เขากวัดแกว่งมันเล็กน้อย มันก็ปล่อยปราณกระบี่สีเขียวออกไปหกสายภายในอึดใจเดียว
หลังจากมีเสียงดัง “ตู้ม!” “ตู้ม!” ปราณกระบี่ทั้งหกก็แยกกันโจมตีเข้าใส่ลูกเปลวไฟทั้งสาม ซึ่งมันทำให้ลูกเปลวไฟสั่นไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นมันก็หายไปราวกับดินเหนียวจมลงในทะเล
ลูกเปลวไฟสีแดงม่วงทั้งสามยังคงพุ่งเข้ามาอย่างดุดัน
หลิ่วหมิงเห็นท่าไม่ดี จึงรีบขยับตัวพุ่งออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อไม่อาจต้านทานได้ เขาย่อมไม่โง่ที่จะฝืนต้านทานอยู่ที่เดิม
และแมงป่องกระดูกขาวที่บังอยู่ตรงหน้าเขาก็มุดลงดินไปก่อนหน้านั้นแล้ว
แต่เรื่องที่ทำให้หลิ่วหมิงตกใจก็ได้ปรากฏขึ้น
หลังจากที่ลูกเปลวไฟทั้งสามส่งเสียงดังตูมตาม มันก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งตามเขามา
ครั้งนี้สีหน้าของหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เขาถึงค้นพบว่า ถึงแม้เงาร่างสีแดงพร่ามัวทั้งสามจะยืนอยู่ที่เดิม แต่มันต่างก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเพื่อบังคับลูกเปลวไฟอยู่ไม่หยุด ราวกับว่ามันควบคุมลูกเปลวไฟทั้งสามอยู่ตลอด
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด พอเขาบิดเอวแล้วก็กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งไปยังเงาร่างทั้งสามในทันที
ลูกเปลวไฟทั้งสามโค้งเปลี่ยนทิศทางตามติดหลิ่วหมิงไปทันที
“รนหาที่…ตาย”
เงาร่างสีแดงทั้งสามเห็นเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะไม่หลบเท่านั้น แต่ยังอ้าปากพ่นเสียงไม่น่าฟังออกมาพร้อมกัน จากนั้นมันก็วางแขนลงและอ้าปากพุ่งยิงเงาสีม่วงยาวออกไปยังต้นคอของหลิ่วหมิงจากทิศทางต่างๆ
มันรวดเร็วจนแม้แต่หลิ่วหมิงเองก็ยังคาดไม่ถึง
หลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมาก เขาสะบัดศีรษะอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็สามารถหลบพ้นได้เพียงสองเส้นเท่านั้น เส้นที่สามโจมตีเข้าใส่เกราะเถาวัลย์มรกตที่ปกป้องต้นคออยู่ มันคือลิ้นสีแดงม่วงที่แหลมยาวเป็นอย่างมาก
เสียงดัง “ฟู่!”
เกราะเถาวัลย์ลดทอนพลังของลิ้นไปได้กว่าครึ่งหนึ่ง แต่มันยังคงเจาะทะลุเข้าไปได้ ขณะที่มันกำลังจะเจาะเข้าไปในต้นคอของหลิ่วหมิงนั้น กลับถูกอักขระสีเหลืองอ่อนที่เปล่งประกายออกมาต้านทานเอาไว้ได้
มันคือเกราะอาญาสิทธิ์ติดตัวที่ถูกหลิ่วหมิงกระตุ้นภายในพริบตา และเขาอาศัยจังหวะนี้ไปจับลิ้นยาวสีแดงม่วงไว้แน่น แต่พลันรู้สึกเจ็บที่ฝ่ามือก่อนที่จะโลหิตสดๆ จะไหลออกมา
คาดไม่ถึงว่าลิ้นยาวสีแดงม่วงจะเต็มไปด้วยหนามเนื้อที่แหลมคม เขาไม่ทันระวังจึงถูกตำจนโลหิตไหลออกมา และดูจากรูเล็กบนฝ่ามือที่กลายเป็นสีดำม่วงแล้ว เห็นได้ชัดว่าหนามเนื้อเหล่านี้มีพิษร้ายแรงมาก
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อยและไม่คิดที่จะปล่อยมือด้วย แต่กลับใช้มืออีกข้างจับกระบี่สั้นสีเขียวแล้วฟันจนลิ้นยาวสีแดงม่วงขาดออกมา
เงาร่างหนึ่งในสามเปล่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมา ส่วนอีกสองเงาที่เหลือก็พร่ามัวกลายเป็นจุดแสงสีแดงแล้วก็สลายไป
……………………………………….
ตอนที่ 143 ต่อสู้กับมังกร (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
และขณะนั้นเอง ลูกเปลวไฟทั้งสามที่อยู่ตรงหลังหลิ่วหมิงก็ส่งเสียงดัง “ตู้ม!” มันสูญเสียการควบคุมจนระเบิดออกมา ทะเลเพลิงอันคุโชนลุกลามไปทั่วทิศ
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเดือดดาลขึ้นมา เขาไม่สนใจเปลวไฟที่อยู่ตรงหลัง แต่กลับกระโดดไปยังด้านหน้าของสัตว์ประหลาดครึ่งมังกร เขาสะบัดกระบี่สั้นในมือ จากนั้นปราณกระบี่สีเขียวหกเจ็ดสายก็ม้วนตัวออกมา ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังมาจากแขนเสื้อของเขาก่อนที่โซ่ยาวสีดำจะดีดตัวออกไป
ถึงแม้สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรจะรู้สึกเจ็บปวดที่ปากเป็นอย่างมาก แต่พอเห็นฉากนี้ก็สะบัดไหล่เพื่อใช้ความเร็วของตนเองหลบการโจมตีจากหลิ่วหมิง
แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียง “ซู่!” “ซู่!” ดังขึ้นที่ใต้เท้าของมัน ก้ามยักษ์ทั้งสองยื่นออกมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และหนีบขาทั้งสองของมันไว้แน่นในจังหวะที่มันไม่ทันระวัง ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น และเส้นสีดำสิบกว่าเส้นก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นดินก่อนที่จะเจาะเข้าไปยังต้นขาข้างหนึ่งของมัน
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ดีที่มันมั่นใจการป้องกันของร่างกายตนเองเป็นอย่างมาก จึงไม่สนใจเส้นดำสิบกว่าเส้นนั้น แต่กลับยกเท้าขึ้นในฉับพลันแล้วดึงแมงป่องกระดูกขาวออกมาจากดิน จากนั้นก็ยกเท้าอีกข้างไปเหยียบแมงป่องกระดูกขาว
ขณะนั้นเองก็มีเสียง “เพล้ง!” “เพล้ง!” ดังขึ้นสิบกว่าครั้ง เส้นสีดำทั้งหมดโจมตีไปที่ต้นขาของสัตว์ประหลาด แต่มันก็ค่อยๆ กระเด็นออกมา เหลือทิ้งไว้เพียงรูเล็กๆ สิบกว่ารูเท่านั้น
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรเพียงแค่รู้สึกเจ็บที่ขาเล็กน้อย จากนั้นมันก็เหยียบแมงป่องกระดูกขาวจนจมเข้าไปในดินโดยไม่สนใจ ทำให้แมงป่องกระดูกขาวร้องแกว๊กๆ ออกมา และไม่สามารถสลัดตัวให้หลุดพ้นได้
ในช่วงเวลานั้นเอง การโจมตีของหลิ่วหมิงก็ตามติดมายังด้านหน้าของมัน
แต่มันเพียงแค่เอาแขนทั้งสองไปป้องอยู่ตรงหน้าเพื่อต้านทานการโจมตีทั้งหมด
ผลลัพธ์คือหลังจากที่ปราณกระบี่กะพริบผ่านไป มันก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีเขียวและฟันลงบนแขนทั้งสองของมัน
ร่างของมันสั่นสะเทือนจนต้องถอยออกไปหลายก้าว แขนทั้งสองก็ค่อยๆ อ้าออกโดยไม่ตั้งใจ
ชั่วพริบตานี้เอง หลังจากที่โซ่สีดำเคลื่อนไหวจนดูพร่ามัวแล้ว มันก็พุ่งยิงไปตรงบริเวณหน้าอกของสัตว์ประหลาดราวกับอสรพิษ และทุบตีอย่างรุนแรง
สัตว์ประหลาดไม่กลัวแม้แต่ปราณกระบี่ที่อาวุธจิตวิญญาณปล่อยออกมา แล้วมันจะกลัวการโจมตีของโซ่ตรวนวิญญาณได้อย่างไร ตอนนี้มันขี้เกียจที่จะขยับตัว เพียงแค่ยืดอกเล็กน้อยเพื่อปะทะให้โซ่ดำกระเด็นออกไป
หลิ่วหมิงเห็นฉากนี้กลับแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา เขาขยับตัวพุ่งถอยหลังในทันที ขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งก็ตบลงบนหน้าอก โล่แสงสีดำปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาและปกป้องเขาในขณะที่จมหายเข้าไปทะเลเพลิง
สถานการณ์อันน่าแปลกใจนี้ ยังไม่ทันที่สัตว์ประหลาดจะทันได้คิดอะไร ปลายโซ่ดำตรงหน้ามันก็กระตุกเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะพุ่งยิงมุกสีดำสามเม็ดออกมา และโจมตีไปยังหน้าอกของสัตว์ประหลาด
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรตกใจเป็นอย่างมาก คิดที่ถอยตัวออกไปก็ไม่ทันแล้ว
มุกสีดำทั้งสามเพียงแค่หมุนติ้วๆ แล้วก็พากันระเบิดแตกกระจายออกมา
ในช่วงเวลาที่ไร้สุ้มไร้เสียง แสงกลมๆ สีแดงสามกลุ่มก็ได้ปรากฏขึ้นมา และรวมตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นแสงแดดที่แก่กล้า พริบตาเดียวมันก็ม้วนสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรเข้าไปในนั้น
ขณะนี้มีเสียงดังครั่นครืนออกมาจากแสงแดดแก่กล้านั้น!
คลื่นสั่นสะเทือนสีแดงม้วนตัวออกไปทั่วทิศอย่างบ้าคลั่ง พื้นที่ที่มันม้วนตัวผ่านไปล้วนราบเป็นหน้ากลอง ขณะเดียวกันด้วยความร้อนที่เหลือเชื่อ ทำให้ต้นไม้ใบหน้าบริเวณนั้นกลายเป็นขี้เถ้าจนหมดสิ้น
ทะเลเพลิงที่หลิ่วหมิงอยู่ก็ถูกคลื่นสั่นสะเทือนนี้ทำลายจนดับสิ้นในพริบตา
หลิ่วหมิงที่หลบอยู่ในนั้นทำได้เพียงแค่ปล่อยพลังเวทย์เข้าใส่โล่แสงสีดำอย่างบ้าคลั่ง
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม เขาก็รับมือได้เพียงไม่กี่อึดใจ โล่แสงก็ส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” และบังเกิดรอยแตกสีขาวจางๆ ออกมา จนดูเหมือนจะไม่สามารถรับมือได้แล้ว
โชคดีหลังจากแสงแดดอันแก่กล้าที่อยู่ไม่ไกลปล่อยอานุภาพออกมาแล้ว ก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้ ทำได้เพียงแค่กะพริบไม่กี่ทีแล้วก็จางหายไป
เหลือไว้เพียงแค่เงาร่างพร่ามัวที่ไหม้ดำไปทั้งตัว และยังโชยกลิ่นหอมของเนื้อออกมาจางๆ
ราวกับว่าสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรตัวนั้น ถูกแสงแดดแก่กล้าเมื่อครู่ย่างจนสุก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ถึงได้โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
มุกสีดำสามเม็ดที่ถูกโซ่ตรวนวิญญาณดีดออกมานั้น มันคือมุกเพลิงอัคคีที่จูชื่อมอบให้เขาเพื่อใช้ป้องกันตัวในวันนั้น
และที่เขาตั้งใจเอามุกเพลิงอัคคีทั้งสามซ่อนให้ในโซ่ตรวนวิญญาณ และใช้ในตอนที่มันไม่ทันระวังนั้น ในที่สุดที่ซุ่มโจมตีได้สำเร็จจริงๆ
พลังของมุกแต่ละเม็ดที่ปล่อยออกมาเทียบเท่ากับการโจมตีของอาจารย์จิตวิญญาณ เมื่อทั้งสามเม็ดรวมตัวกัน อานุภาพมันยากตะคาดเดาได้
ถึงแม้สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรตนนี้จะมีการป้องกันตัวที่น่าตกใจ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ตอนนี้หลิ่วหมิงก็ไม่สามารถวางใจได้ เขารีบควงกระบี่สั้นสีเขียวในมืออย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็ลอยขึ้นมากลายเป็นจันทราสีเขียวกลมๆ และหล่นลงบนหัวของสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรด้วยเสียงอันแหลมดังในทันที
สำหรับเขาแล้ว สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรตนนี้น่ากลัวมาก นอกจากจะฟันมันให้กลายเป็นสองส่วนเท่านั้น มิเช่นนั้นเขาไม่อาจวางใจได้เลยแม้แต่น้อย
และครู่ต่อมาการดาดเดาของเขาก็เป็นจริง!
เสียง “เพล้ง!”
สัตว์ประหลาดตัวดำเกรียมที่ดูเหมือนจะยืนนิ่งอยู่กับที่ พลันปล่อยสายโซ่สีเงินออกมาจากตัวเส้นหนึ่ง มันหวดเข้าใส่จันทราสีเขียวจนกระเด็นออกไป
“โซ่ปราบปีศาจ”
พอหลิ่วหมิงเห็นโซ่สีเงินอย่างชัดเจนก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา
และในขณะนั้นเอง สัตว์ประหลาดตัวดำเกรียมพลันแหงนหน้าแผดเสียงแหลมออกมา
โซ่สีเงินนั้นสะบัดไปมาอย่างบ้าคลั่งและปกป้องมันไว้อย่างแน่นหนา
จากนั้นมันก็ขยับแขนขา ชิ้นเนื้อสีดำที่เกือบสุกแต่ละชิ้นก็ระเบิดออกมา เผยให้เห็นถึงผิวหนังใหม่ที่ขาวสะอาดและเกลี้ยงเกลา
ไม่นานสัตว์ประหลาดก็ยืนเปลือยโล่งแจ้งอยู่ตรงนั้น นอกจากเขาทั้งสองที่อยู่บนหัวกับหางสีแดงม่วงแล้ว ตรงส่วนอื่นๆ ก็ไม่แตกต่างจากคนทั่วไปเลย หลังจากไม่มีเกล็ดบนใบหน้าแล้ว มันดูเหมือนกับสือชวนไม่มีผิด
“ศิษย์พี่สือ!”
หลังจากที่หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง ก็ถามออกไปอย่างใจจดใจจ่อ
แต่ตอนที่ ‘สือชวน’ เงยหน้ามามองเขานั้น ดวงตาที่ดูปกติก็เริ่มเรียวยาวขึ้นมาในทันที จากนั้นก็แสยะปากยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง เปลวไฟสีแดงก็คุโชนออกมาทั่วทั้งตัว และเริ่มรวมตัวกันเป็นเกล็ดสีแดงม่วงขึ้นมา
ในฉับพลันนั้นเขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรอีกครั้ง
หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าด้วยความเย็นสะท้าน ในที่สุดก็แน่ใจแล้วว่าสัตว์ประหลาดตรงหน้ากลายร่างมาจากสือชวน ไม่…ควรจะพูดว่ามีเพียงแต่ร่างเท่านั้นที่เป็นสือชวน จิตวิญญาณของเขาคงตายไปแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่รู้สึกเฉยๆ เมื่อตอนที่หลิ่วหมิงเรียกชื่อเขา
มังกรประหลาดได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ครั้งนี้คงต้องเกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว
การโจมตีของมุกเพลิงอัคคีทั้งสามเม็ดในเมื่อครู่ เหมือนจะเป็นการโจมตีที่มีอานุภาพร้ายแรงมากที่สุด ถ้ามันยังไม่สามารถทำให้มันตายได้ เกรงว่าจะมีวิธีการที่เขาจะสามารถใช้ได้ไม่มากแล้ว
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ แต่มือของเขาก็ได้หยุดนิ่ง ยังคงควบคุมจันทราสีเขียวให้ฟันสัตว์ประหลาดอย่างบ้าคลั่ง
แต่โซ่ปราบปีศาจเส้นนั้นกลับมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง มันกลายร่างเป็นอสรพิษสีเงินปกป้องร่างของสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรไว้อย่างแน่นหนา จนสามารถต้านทานการโจมตีของจันทราสีเขียวในแต่ละครั้งได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มองดูโซ่คุ้มกันสีเงินสลับกับสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรที่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน หลังจากที่เขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็วก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา
“เฮ่อๆ! ที่แท้ถึงแม้เจ้าจะฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้ แต่ยังอยู่ในช่วงที่อ่อนแอ ตอนนี้จึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้”
หลิ่วหมิงพลันตะโกนด้วยความดีใจ เขาทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว จันทราสีเขียวส่งเสียงดังกังวานแล้วลอยขึ้นมาในทันที หลังจากที่มีอักขระสามชั้นปรากฏออกมา มันก็หมุนวนอยู่ในอากาศอย่างบ้าคลั่ง
แสงสีเขียวเย็นสะท้านเปล่งออกมาจากจันทราสีเขียว และขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรที่อยู่ด้านล่างเห็นเช่นนี้ ก็ปรากฏแววตาหวาดกลัวออกมาเป็นครั้งแรก หลังจากโซ่สีเงินส่งเสียงดังหวึ่งๆ หมุนล้อมรอบตัวมันแล้ว ตัวโซ่ก็ยืดยาวขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันแสงสีเงินที่เปล่งออกมาก็ยิ่งสว่างมากขึ้น
เสียงดัง “ซู่!”
ทันใดนั้นแมงป่อง กระดูกขาวก็กระโดดขึ้นมาจากพื้นดิน และกระโจนเข้าใส่สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรในทันที ตอนที่มันยังอยู่กลางอากาศก็ได้พ่นไอหมอกสีม่วงออกมาด้วย หางตะขอตรงหลังเคลื่อนไหวกลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้นและพุ่งยิงออกไปอย่างบ้าคลั่ง
แต่ครู่ต่อมา โซ่สีเงินก็พลันกลายเป็นแสงสีเงินบังอยู่ด้านหน้า ไม่ว่าจะเป็นไอหมอกสีม่วงหรือการโจมตีจากหางตะขอก็ถูกมันต้านทานเอาไว้ได้ จากนั้นเงาโซ่เส้นหนึ่งก็พุ่งโจมตีออกมาจากแสงสีเงินอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ มันหวดแมงป่องกระดูกขาวจนกระเด็นออกไป
แมงป่องกระดูกขาวหกคะเมนตีลังกาอยู่กลางอากาศไม่กี่ทีก็ร่วงลงพื้น หลังจากที่สะบัดหัวแล้วร่างของมันก็สั่นไหว และไม่อาจลุกขึ้นได้ในทันที
ไม่แปลกที่มันจะเป็นเช่นนี้!
ก่อนหน้านี้มันถูกสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรใช้เท้าเหยียบอย่างรุนแรง จากนั้นก็ลูกเปลวไฟโจมตีอีกรอบ การถูกโจมตีในครั้งย่อมทำให้มันบาดเจ็บได้ไม่น้อย
ในชั่วเวลานั้นเอง จันทราสีเขียวกลางอากาศก็มีขนาดเท่าล้อรถ มันเปล่งแสงเย็นสะท้านจนทำให้สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรที่อยู่ด้านล่างแสดงสีหน้าวิตกออกมา
ขณะนี้ ดวงตาของหลิ่วหมิงเปล่งประกายเล็กน้อย เขารีบเปลี่ยนท่ามือในทันที แสงสีฟ้าเป็นจุดๆ รวมตัวขึ้นตรงหน้าเขา จากนั้นไอเย็นสะท้านก็แผ่ออกมา แท่งวารีอันแวววาวปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว ตอนแรกมันมีขนาดยาวไม่ถึงฉื่อกว่าๆ แต่เพียงไม่กี่อึดใจก็มีขนาดยาวเจ็ดถึงแปดฉื่อ และยังขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ
ใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรได้เปลี่ยนไป มันคำรามเสียงในฉับพลัน จากนั้นมันขยับนิ้วทั้งสิบและค่อยๆ กำหมัดขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ หรี่ตาลง และตะโกนเสียงต่ำออกไปอย่างไม่ลังเล พอเขาชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า จันทราสีเขียวก็หล่นลงมาด้วยเสียงอันดัง ขณะเดียวกันมืออีกข้างก็กระแทกไปยังแท่งวารียักษ์ตรงหน้าในทันที
แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมาในทันที แท่งวารีขนาดยาวจั้งกว่าๆ พร่ามัวกลายเป็นแสงสีฟ้าแล้วพุ่งยิงออกไป
ในขณะเดียวกัน แมงป่องกระดูกขาวที่เดิมทีนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ก็พลันใช้หางตะขอตีลงพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็กลายเป็นเงากระโจนเข้าใส่สัตว์ประหลาดครึ่งมังกร
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรเห็นฉากนี้กลับเผยสีหน้าดุร้ายออกมา หลังจากที่มันแผดเสียงแหลมยาวออกมาจนเส้นผมตั้งชัน หัวมังกรสีแดงขนาดใหญ่ก็โผล่ออกมาจากด้านหลังของมัน
……………………………………….
ตอนที่ 144 ต่อสู้กับมังกร (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
หัวมังกรขนาดใหญ่อ้าปากในทันที มันพ่นคลื่นเสียงไร้รูปเข้าใส่แมงป่องกระดูกขาวที่กำลังกระโจนเข้ามา
พอแมงป่องกระดูกขาวปะทะกับคลื่นเสียงนี้ ร่างของมันก็ค่อยๆ หยุดชะงักอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ถูกพลังมหาศาลโจมตีจนเด็นถอยกลับไป
และโซ่ยาวสีเงินที่กำลังสะบัดล้อมตัวสัตว์ประหลาดอยู่นั้นก็พร่ามัวขึ้นมาในทันที เงาโซ่ตัดสลับกันจนกลายเป็นตาข่ายเงินขนาดใหญ่เพื่อรองรับจันทราสีเขียว
หลังจากที่จันทราสีเขียวอันดุดันจมเข้าไปในตาข่ายแล้ว มันก็หมุนในอยู่ในนั้นอย่างบ้าคลั่ง เสียงของโลหะเสียดสีกันดังออกมา
และในขณะนั้นเอง แสงสีฟ้าที่อยู่ไกลๆ ก็เปล่งประกายขึ้น แท่งวารียักษ์เองก็ได้มาถึงด้านหน้าของสัตว์ประหลาดแล้ว
หัวมังกรขนาดใหญ่ส่งเสียงคำรามออกมา และยังพ่นเปลวไฟสีแดงอันคุโชนไปปะทะกับแท่งวารียักษ์เข้าพอดี
พอเปลวไฟสีแดงกับแท่งวารีปะทะกัน ก็เกิดเสียงแหลมดังขึ้น แสงสีฟ้าผสมปนเปกับเปลวไฟสีแดงจนกลายเป็นพายุบ้าระห่ำพุ่งขึ้นฟ้าไป และขณะเดียวกันก็ปล่อยกลิ่นไอที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงตัดสลับกันออกมา
ขณะนี้ ตาข่ายเงินที่มีจันทราสีเขียวหมุนวนอยู่ในนั้นอย่างบ้าคลั่ง กลับแสดงท่าทีราวกับว่าไม่สามารถรับมือได้แล้ว เพียงแค่เห็นแสงเย็นสะท้านเปล่งประกายอยู่ในนั้น ตาข่ายเงินขนาดใหญ่ก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง บางแห่งก็ไม่มีแสงเปล่งประกายแล้ว
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ หรี่ตาลง และหัวมังกรตรงด้านหลังกลับแผดเสียงร้องยาวออกมา หลังจากที่ร่างของมันดูพร่ามัว คาดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นสัตว์ขนาดใหญ่มหึมา หลังจากที่มันอ้าปากในฉับพลัน มันก็กลืนจันทราสีเขียวและตาข่ายเงินเข้าไปทั้งหมด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ย่อมตกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาทำท่ามือและพ่นคำว่า “ระเบิด” ออกมา
เสียงดัง “ตู้ม!”
จันทราสีเขียวระเบิดตัวในปากของหัวมังกร ภายใต้แสงเย็นสะท้านที่เปล่งประกาย ปราณกระบี่สีเขียวเกือบร้อยสายก็ม้วนตัวออกมา
ตาข่ายเงินกับหัวมังกรต่างก็กะพริบแสงอยู่ไม่หยุด ครู่เดียวก็ถูกปราณกระบี่เหล่านี้โจมตีจนพังยับเยิน
ในบัดดลนั้น ปราณกระบี่ส่วนหนึ่งก็เปล่งแสงเย็นสะท้านออกมา แล้วฟันเข้าใส่สัตว์ประหลาดครึ่งมังกร
ในขณะนั้นเอง สัตว์ประหลาดที่อยู่ด้านล่างก็มีสีหน้าเดือดดาลขึ้นมา มันขยับแขนทั้งสองจนดูพร่ามัวในฉับพลัน จากนั้นก็กลายเป็นเงากรงเล็บจำนวนมากคว้าขึ้นไปเต็มฟ้า
ไม่คาดคิดว่ามันจะฟื้นฟูการเคลื่อนไหวได้แล้ว!
เสียงสะเทือนเลือนลั่นดังติดต่อกัน!
ปราณกระบี่จำนวนมากถูกกรงเล็บสีแดงโจมตีจนสลายไป ถึงแม้จะมีไม่กี่สายที่ตกลงบนร่างของสัตว์ประหลาดครึ่งมังกร แต่ก็มันก็ตั้งรับโดยไม่เป็นอะไรเลย
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
ตอนนี้สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรถึงได้หันหน้ามามองหลิ่วหมิวพร้อมกับแสยะยิ้ม มันขยับขาทั้งสองราวกับว่าจะเดินเข้ามาหา
แต่เรื่องที่เหนือความคาดหมายก็ได้ปรากฏขี้น
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรเพิ่งจะเดินออกมาได้ก้าวเดียวก็ขาอ่อนล้มลงไป
ถ้าไม่ใช่ว่ามันมือตาไวใช้แขนค้ำยันพื้นไว้ได้ภายในพริบตาล่ะก็ เกรงว่าคงจะล้มลงไปบนพื้นแล้ว แต่ครู่เดียวก็มีไอสีดำจางๆ ปกคลุมหน้ามันไว้
และรูเล็กๆ บนต้นขาของสัตว์ประหลาดในตอนนี้ก็กลายเป็นสีดำม่วงขึ้นมา
ในที่สุดพิษอันรุนแรงจากหางตะขอของแมงป่องกระดูกขาว ก็ปรากฏผลลัพธ์ออกมา
นี่เป็นเพราะว่าร่างกายของสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรสามารถต้านทานพิษได้สูงมาก ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่โดนพิษนี้ล่ะก็พิษมันคงแสดงผลตั้งนานแล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาชี้มือข้างหนึ่งไปยังด้านหน้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว
เสียงดัง “เพล้ง!”
พายุบ้าระห่ำสีขาวโพลนที่ควบทั้งลมร้อนและลมเย็น ทั้งยังมีแท่งวารียักษ์เหลืออยู่ในนั้นครึ่งหนึ่ง หลังจากที่มันระเบิดออกมา ไอเย็นสะท้านก็แผ่ออกมามากขึ้นกว่าเดิม แสงสีฟ้าเปล่งประกายขึ้นในนั้น คาดไม่ถึงว่าแท่งวารีเล็กขนาดยาวครึ่งฉื่อจะพุ่งยิงออกมาราวกับสายฟ้าแลบ ครู่เดียวมันก็มาถึงด้านหน้าสัตว์ประหลาดครึ่งมังกร
เห็นได้ชัดว่าการโจมตีนี้เหนือความคาดหมายของสัตว์ประหลาดมาก แต่พอมันคำรามเสียงออกมา แขนอีกข้างที่เหลือที่พร่ามัวไปคว้าเอาแท่งวารีที่อยู่ห่างกันแค่ลัดนิ้วมือเดียวได้ จากนั้นเขาก็ออกแรงที่นิ้วทั้งห้าเพื่อบีบแท่งวารีให้แหลกละเอียด
แต่ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” ดังมาจากปลายด้านหน้าของแท่งวารี หนามสีเขียวหยกพุ่งยิงออกมาจากในนั้น มันเจาะทะลุใจกลางหน้าผากของสัตว์ประหลาด จากนั้นก็หมุนวนหนึ่งรอบก่อนที่จะเจาะเข้าที่หูข้างหนึ่ง และทะลุออกไปยังอีกข้างหนึ่ง
สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรส่งเสียงร้องอย่างเวทนา สีหน้าดุร้ายก็ชะงักงันในชั่วพริบตา จากนั้นก็ตัวอ่อนยวบยาบล้มลงพื้นด้วยเสียงดัง “ตุ้บ!”
เลือดสีดำไหลพรั่งพรูออกมาจากหน้าผากและรูหูทั้งสองข้าง
พอเกิดเสียงดังหวึ่งๆ บนอากาศลำแสงสีเงินก็ดับไป จากนั้นมันก็กลายเป็นโซ่ปราบปีศาจก่อนที่จะร่วงลงมา
และหลังจากที่หัวมังกรส่งเสียงร้องเวทนาออกมาแล้ว มันก็กลายเป็นจุดสีแดงๆ ก่อนที่จะสลายไป
ส่วนกระบี่สั้นสีเขียวกลับถูกหลิ่วหมิงควบคุมอยู่ที่ไกลๆ ในบัดดลนั้นมันก็หมุนติ้วๆ กลายเป็นจันทราสีเขียวฟันลงมา
แสงเย็นสะท้านได้เปล่งประกายขึ้น ปีศาจอสูรครึ่งมังกรบนพื้นถูกแสงเย็นสะท้านฟันออกเป็นสองส่วน ดูท่าครั้งนี้คงจะตายอย่างแน่นอนแล้ว
หลิ่วหมิงพ่นหายใจออกมายาวๆ เขากวักมือข้างหนึ่งไปยังที่ไกลๆ จันทราสีเขียวกลายเป็นเป็นกระบี่สั้นสีเขียวพุ่งเข้ามาอีกครั้ง และบนอากาศอีกด้านหนึ่ง หนามหยกก็เปล่งประกายแสงออกมาก่อนที่จะพุ่งกลับมาเช่นกัน
มันคือเข็มเงาหยกเล่มนั้นนั่นเอง!
ในระหว่างการต่อสู้ในก่อนหน้านั้น วิชาแท่งวารีที่หลิ่วหมิงแสดงออกมาไม่เพียงแต่เป็นแท่งวารีแม่ลูกที่พบเจอได้น้อยมาก แต่การกระแทกใส่แท่งวารียักษ์นั้น เป็นการนำเข็มเงาหยกใส่เข้าไปในแท่งวารีลูกด้วย
เขาอาศัยโอกาสนี้ใช้เข็มเงาหยกแทงทะลุจุดสำคัญของสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรได้
มิเช่นนั้นต่อให้เข็มเงาหยกจะร้ายกาจแค่ไหน แต่ถ้าต้องโจมตีร่างกายส่วนอื่นๆ ที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ด เกรงว่าคงจะทำให้มันได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และไม่สามารถฆ่ามันให้ตายได้
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรตนนี้ตายไปกับตา เขาย่อมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมามาก หลังจากที่เก็บอาวุธจิตวิญญานทั้งสองอย่างเข้าไปพร้อมกันแล้วก็นั่งลงไปบนพื้น จากนั้นก็รีบหยิบโอสถออกมาทานไปหนึ่งเม็ด และนั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก
การต่อสู้อย่างรุนแรงในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เขาต้องหงายไพ่ใบสุดท้ายออกมา แต่ยังทำให้ต้องสูญเสียพลังเวทย์แปดถึงเก้าในสิบส่วนเลยทีเดียว
นี่เป็นผลจากการที่เขาฝึกฝนจนเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ ถ้าหากเขาต้องเผชิญกับสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรเร็วกว่านี้ล่ะก็ เกรงว่าพลังเวทย์เขาคงหมดสิ้นตั้งแต่ทำการต่อสู้ได้เพียงครึ่งทางและเสียชีวิตไปแล้ว
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป
สีหน้าของหลิ่วหมิงก็ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เลิกทำท่ามือ และลุกขึ้นเดินไปยังซากศพของปีศาจครึ่งมังกร
สถานที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน ถ้าหากมีคนผ่านมาเห็นซากศพครึ่งมังกรตนนี้ล่ะก็ คงก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง
และด้วยสภาพที่อ่อนแอของเขาในตอนนี้ ไม่อาจทำการต่อสู้ที่รุนแรงได้อีกครั้ง
เสียง “แกว๊กๆ!” ดังมาจากพื้นดินอีกด้านหนึ่ง มันคือแมงป่องกระดูกขาวที่นอนคว่ำไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้น ทั่วทั้งร่างของมันเต็มไปด้วยบาดแผล เปลวไฟสีเขียวในเบ้าตาก็หรี่ลงราวกับว่าไม่มีแรงที่จะเดินเข้ามาแล้ว
หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างขมขื่น และตบถุงหนังบนเอว แสงสีดำม้วนตัวออกมาในทันที มันย่อส่วนแมงป่องกระดูกขาวแล้วดูดเข้าไปในนั้น
แมงป่องกระดูกขาวเป็นปีศาจ การป้อนโอสถทั่วไปให้กับมันย่อมไม่ได้ผล ดีที่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณมีปราณหยินอยู่จำนวนมาก มันต้องการเพียงแค่ให้ปราณหยินบำรุงร่างกายอยู่ในถุงหนัง แล้วมันก็จะค่อยๆ หายเป็นปกติ
เขาเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงด้านข้างซากศพครึ่งมังกร เขาเก็บโซ่ปราบปีศาจที่วางนิ่งๆ อยู่อีกด้านหนึ่งขึ้นมาสำรวจดูอย่างละเอียด
อาวุธจิตวิญญาณนี้ถึงแม้จะถูกเขาให้กระบี่จันทราหยกฟันใส่อย่างบ้าคลั่ง แต่มันยังคงเปล่งประกายแสงสีเงินแวววาวออกมา โดยไม่มีร่อยรอยของกระบี่เลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงรีบเก็บมันด้วยความดีใจ
อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้เป็นสิ่งที่กุยหรูฉวนมอบให้กับสือชวนด้วยตนเอง ถึงแม้ว่าออกจากแดนลึกลับไปแล้วก็ต้องนำมันไปคืน แต่เขาจะต้องได้รับรางวัลอื่นๆ อย่างแน่นอน
จากนั้นหลิ่วหมิงก็มองไปยังร่างเปลือยเปล่าของสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรด้วยตาที่เป็นประกาย คิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน
เสื้อผ้าของสัตว์ประหลาดตนนี้ถูกเผาไปตั้งนานแล้ว ต่อให้จะมีผ้าย่อส่วนและสิ่งของอื่นๆ มันก็คงถูกพลังของมุกเพลิงอัคคีทั้งสามเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าจนหมดแล้ว
แต่ตอนที่เขามองไปที่ร่างของมันอีกครั้งกลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
หลิ่วหมิงฉุกคิดอย่างรวดเร็ว และก้มตัวลงในฉับพลัน จากนั้นก็คว้าแขนข้างหนึ่งของมันขึ้นลูบไล้อย่างรวดเร็ว
เมื่อนิ้วของเขาลูบโดนสิ่งของที่นูนออกมานั้น เขาก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็สะบัดแขนเรียกกระบี่สั้นสีเขียวออกมตัดสิ่งของนูนๆ นั้นออกไป
เสียงดัง “ฟู่!”
เลือดสีดำไหลพุ่งออกมา!
หลิ่วหมิงตัดแขนข้างหนึ่งของมันออก จากนั้นก็ตัดด้วยความรวดเร็วอีกสองสามครั้ง แล้วจึงใช้ปลายกระบี่ค่อยๆ เจาะเอาหอยสังข์แวววาวออกมา และมันยังเปล่งแสงสีขาวน้ำนมออกมาด้วย
มันคือ ‘หอยสังข์ย่อส่วน’ ที่เป็นของล้ำค่าของเผ่าเจ้าสมุทรนั่นเอง
ของชิ้นนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หลังจากที่มังกรแดงตนนั้นฆ่าสองพี่น้องตระกูลหลานแล้ว ก็ได้นำมันมาเก็บไว้ใต้ผิวหนัง
ในสถานการณ์ปกติจะมีเกล็ดกับเสื้อผ้าปิดบังสิ่งของชิ้นนี้อยู่ จึงทำให้ไม่มีใครเห็นมัน
แต่การต่อสู้ในก่อนหน้านี้ ทำให้เสื้อผ้ากับเกล็ดของสัตว์ประหลาดตนนี้กลายเป็นขี้เถ้า และตอนที่มันลอกคราบใหม่นั้น กลับถูกสายตาอันว่องไวของหลิ่วหมิงค้นพบแขนที่ดูนูนผิดปกตินี้
ตอนนี้หลังจากที่มันถูกหลิ่วหมิงใช้กระบี่สั้นสีเขียวกรีดออกมา หอยสังข์ชิ้นนี้ย่อมถูกค้นพบเข้าแล้ว
ถึงแม้หลิ่วหมิงจะไม่รู้ว่าหอยสังข์ในมือเป็นอะไร แต่ในเมื่อมังกรแดงตนนี้เก็บมันอย่างระมัดระวังขนาดนี้ มันคงมีมูลค่าไม่เบาเลยทีเดียว
เขาพลิกหอยสังข์ดูอยู่หลายตลบ และก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงได้ลองเขย่ามันดู แต่มันก็เบาหวิวไร้ซึ่งน้ำหนักใดๆ ทำให้เขาอดที่จะหรี่ตาทั้งสองไม่ได้
หลิ่วหมิงคิดไปคิดมาอีกรอบ ทันใดนั้นเขาก็วางมันไว้ข้างหู แต่แล้วเขาก็ต้องแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
ไม่คาดคิดว่าพริบตานั้นเขาจะได้ยินเสียงของคลื่นทะเลอย่างแจ่มชัด และเสียงมันยังดังกระชั้นชิดขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขากำลังอยู่ท่ามกลางคลื่นขนาดใหญ่
ครู่ต่อมาเขาก็เปิดหอยสังข์ออกแล้วหยิบขึ้นมาดูอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ส่งพลังเวทย์เข้าไปในหอยสังข์
ผ่ายไปไม่นาน หอยสังข์ก็เริ่มเปล่งประกาย และขยายขนาดใหญ่ขึ้นมา ขณะเดียวกันก็มีเริ่มมีอักขระสีเงินจำนวนมากปรากฏออกมาบนพื้นผิว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่หยุดส่งพลังเวทย์เข้าไป และอาศัยจังหวะนี้ใช้พลังจิตเข้าไปสำรวจดูด้านในหอยสังข์
……………………………………….
ตอนที่ 145 หนี
โดย
Ink Stone_Fantasy
สุดท้ายเขาก็ค้นพบเคล็ดวิชาง่ายๆ ที่จารึกอยู่ตรงผนังทางเข้าด้านในของหอยสังข์
หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยเขาก็ใช้เคล็ดวิชานี้กระตุ้นมัน
หลังจากมีเสียงดัง “ฟู่!” แสงสีขาวลำหนึ่งม้วนตัวออกมาจากหอยสังข์
สิ่งของกองหนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้น
มันคือกล่องขนาดต่างๆ จำนวนสิบกว่าใบ อาวุธสามชิ้น และหนังสีแดงที่ยาวไม่กี่ฉื่อ แต่ยังคงมีสภาพที่สมบูรณ์แผ่นหนึ่ง
หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงในตอนแรก แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกดีใจขึ้นมา
เขารีบใส่พลังเวทย์เข้าไปในหอยสังข์ และยังใช้พลังจิตบังคับดาบสั้นวาววับบนพื้น
หลังจากที่หอยสังข์ค่อยๆ สั่นระริก แสงสีขาวก็เปล่งประกายออกมาอีกครั้ง และดาบสั้นวาววับเล่มนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ที่แท้มันก็เป็นวัตถุว่างเปล่า! ไม่คาดคิดว่ามังกรแดงตนนี้จะพกของล้ำค่าเช่นนี้ด้วย สมกับเป็นปีศาจอสูรระดับผลึกที่มีชีวิตอยู่มานานหลายปี” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำด้วยความดีใจ
เขาย่อมไม่รู้ว่าหอยสังข์ย่อส่วนนี้เป็นสิ่งที่มังกรแดงเอามาจากสองพี่น้องเผ่าเจ้าสมุทร คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ของทั้งหมดจะตกเป็นของเขาแล้ว
ขณะนี้เขาร่ายคาถาส่งพลังจิตเข้าไปสำรวจข้างในอีกครั้ง ถึงค้นพบว่าข้างในมีห้องว่างเปล่าที่มีขนาดไม่กี่จั้ง และไม่ใหญ่มากนัก
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกพอใจสุดๆ แล้ว
อย่างไรซะของสิ่งนี้ก็มีความแตกต่างกับผ้าย่อส่วน ซึ่งสิ่งของที่ใส่เข้าไปข้างในจะไม่มีน้ำหนักเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หอยสังข์ยังมีประโยชน์ต่อเขามาก
หลิ่วหมิงลองปล่อยดาบสั้นวาววับที่ใส่เข้าไปออกมา เขาใช้นิ้วมือลูบไล้เล็กน้อยถึงได้รู้ว่าดาบนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำที่มีหกชั้นจำกัด
เขามองดูอาวุธจิตวิญญาณสองชิ้นที่อยู่บนพื้นด้วยตาที่เป็นประกาย จากนั้นเขาก็เก็บดาบสั้นที่อยู่บนมือ และใช้มือข้างหนึ่งดูดเอาพวกมันมาไว้ในมือ
มันคือดาบยาวเรียวสีเลือดหนึ่งเล่มกับแผ่นป้ายที่มีอักขระสวยงามจารึกไว้
ของทั้งสองสิ่งนี้ต่างก็เปล่งประกายแสงออกมาจางๆ ประจักษ์ชัดว่าพวกมันเป็นอาวุธจิตวิญญาณ
แต่พอพวกเขาส่งพลังเวทย์เข้าไปตรวจสอบของทั้งสองสิ่งนี้ กลับรู้สึกประหลาดใจมาก!
ดาบยาวสีเลือดเล่มนั้นเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำที่มีเพียงชั้นจำกัดเดียวเท่านั้น ส่วนแผ่นป้ายนั้นหลังจากที่มีเสียงดัง “ฟู่!” ก็มีชั้นจำกัดลอยออกมาสิบแปดชั้น ซึ่งเป็นชั้นจำกัดสูงสุดของอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางที่ห่างจากอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงเพียงชั้นจำกัดเดียว
หลิ่วหมิงแอบรู้สึกตกตะลึง แต่ไม่ว่าเขาจะกระตุ้นพลังเวทย์เข้าใส่แผ่นป้ายอย่างไรก็ตาม นอกจากจะทำให้ลำแสงยิ่งเจิดจ้าแล้วก็มีผลลัพธ์ใดๆ โผล่ออกมา
ถึงแม้อาวุธจิตวิญญาณชิ้นจะไม่ธรรมดา แต่คิดที่จะกระตุ้นมันได้นั้นอย่างน้อยก็จำเป็นต้องมีเคล็ดวิชาพิเศษบางอย่าง
หลิ่วหมิงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เขาส่ายศีรษะและนำของทั้งสองสิ่งใส่เข้าไปหอยสังข์ย่อส่วน
สำหรับเขาแล้ว อาวุธจิตวิญญาณประเภทเดียวกันนั้น มีเพียงชิ้นเดียวก็เพียงพอแล้ว
ดาบสั้นวาบวับกับดาบยาวสีเลือดมีชั้นจำกัดเยอะไม่เท่ากระบี่จันทราหยก เขาย่อมไม่คิดที่จะเปลี่ยนไปใช้พวกมันแทน
แต่พอเขามองหอยสังข์ย่อส่วนบนมือแล้วก็คิดไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเพื่อเอาโซ่ปราบปีศาจเส้นนั้นออกมา และใส่มันเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน
ตอนนี้เขามีที่ว่างสำหรับซ่อนสิ่งของแล้ว ย่อมไปคิดที่จะคืนมันหลังจากออกไปอีก
โซ่ปราบปีศาจนี้แตกต่างกับอาวุธจิตวิญญาณประเภทดาบและกระบี่เหล่านั้น และมันยังคงมีประโยชน์สำหรับเขามาก
ไม่เพียงแต่เท่านี้ เขายังหยิบผ้าย่อส่วนออกมา แล้วนำกล่องที่ใส่ดินปราณทองคำบริสุทธิ์ใส่เข้าไปในหอยสังข์ด้วย
สำหรับสิ่งของอื่นๆ เขาไม่คิดที่จะยุ่งกับมัน
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงหยิบกล่องหยกบนพื้นขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากเปิดมันออกมาแล้วก็พบว่าในนั้นมีดอกไม้เล็กๆ สีเงินต้นหนึ่งที่สูงชุ่นกว่าๆ และมันกำลังแผ่ปราณจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ออกมา
“หญ้าราตรีสีเงิน!”
เมื่อเขาเห็นพืชจิตวิญญาณที่อยู่ในกล่องหยกก็รู้ภูมิหลังของมันในทันที มันเป็นพืชจิตวิญญาณชนิดหนึ่งล้ำค่าและหาได้ยากมาก เป็นวัตถุดิบเสริมสำหรับการปรุงโอสถชนิดต่างๆ
จากนั้นเขาก็เปิดกล่องอื่นๆ อีกสองสามใบ สิ่งที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นวัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินที่มีมูลไม่น้อยไปกว่าหญ้าราตรีสีเงิน
สิ่งของเหล่านี้เป็นวัตถุจิตวิญญาณมูลสูงสุดที่มังกรแดงตนนี้ค้นมาจากศิษย์แต่ละนิกายที่ถูกมันฆ่ามา ในนั้นยังรวมถึงโสมคนสีเหลืองทองที่มีขนาดเท่าท่อนแขน
สิ่งนี้เป็นวัตถุจิตวิญญาณพันปีที่แท้จริง แม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณถ้าได้ทานมันเข้าไป เกรงว่าพลังเวทย์ก็คงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเก็บสมุนไพรจิตวิญญาณพันปีต้นนี้กับสมุนไพรจิตวิญญาณอื่นๆ ที่เขาได้เลือกไว้ใส่ลงไปในหอยสังข์ย่อส่วนทั้งหมด และใช้ผ้าย่อส่วนห่อกล่องที่เหลือ
ส่วนคราบมังกรชิ้นนั้น หลังจากที่เขาหลังหันไปดู และใช้นิ้วเคาะอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็มั่นใจว่าของชิ้นนี้เป็นสิ่งของที่มังกรแดงทิ้งไว้
เขาเอามันไว้ในหอยสังข์ย่อส่วน เพื่อที่จะเก็บมันไว้ใช้เอง
หลิ่วหมิงหันไปมองซากศพของสัตว์ประหลาดอยู่ครู่หนึ่ง ภาพที่สือชวนต้อนรับศิษย์ใหม่อย่างพวกเขาก็ผุดขึ้นมาในสมอง จนทำให้เขาอดที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้
ไม่รู้ว่า ‘ศิษย์พี่สือ’ ผู้นี้พบเจอกับอะไรในแดนลึกลับกันแน่ ถึงได้ถูกมังกรแดงครอบงำเช่นนี้
และพลังเวทย์ของสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรตนนี้ก็อยู่ในเขตแดนศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น เลือดเนื้อส่วนหนึ่งของมันก็มาจากสือชวน มันจึงไม่มีผลลัพธ์พิเศษใดๆ
ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงทำท่ามืออย่างไม่ลังเล ลูกเปลวไฟสีแดงหลายลูกพุ่งยิงออกมากลายเป็นเปลวไฟอันคุโชนเผาร่างของมังกรแดง
ซากศพของมันไหม้เกรียมในทันที และอีกไม่นานมันก็จะกลายเป็นขี้เถ้าแล้ว
แต่ในขณะนั้นเอง เปลวไฟก็ม้วนตัวในฉับพลัน และพากันพุ่งออกมาจากซากศพของมังกรแดง หลังจากที่โบกสะบัดไปมาไม่กี่ทีมันก็ดับสนิท
หลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขารีบถอยออกไปสองสามก้าวอย่างรวดเร็ว แสงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นบนมือ และกระบี่สั้นสีเขียวเล่มนั้นก็ปรากฏออกมา
“หรือว่ามังกรแดงตนนี้จะยังไม่ตายจริงๆ!” เขาคิดด้วยความหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้
เสียงดัง “เพล้ง!”
ซากศพอันดำเกรียมของมังกรพองตัวขึ้นมาในฉับพลัน ไม่คาดคิดว่าจะมีสิ่งของบางอย่างบินออกมาจากในนั้น
เมื่อหลิ่วหมิงสังเกตดูอย่างละเอียด กลับต้องหลุดปากร้องออกมา
“หัวบิน”
ของสิ่งนี้มีผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ปากดำตาแดง เขี้ยวฟันยื่นออกมานอกปาก!
มันคือหัวปีศาจในตำนานของสาขาเก้าทารกที่มีความร้ายกาจเป็นรองเพียงแค่หัวเก้าทารกเพศชายเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หัวบินตนนี้ถึงซ่อนตัวอยู่ในร่างของสัตว์ประหลาด ตอนนี้เมื่อสัตว์ตายไปแล้วมันถึงได้ค่อยๆ บินออกมา
ส่วนเปลวไฟในก่อนหน้านั้น ประจักษ์ชัดว่าถูกหัวปีศาจตนนี้ดูดไปแล้ว
พอเห็นหัวบินในตอนนี้ หลิ่วหมิงกลับแอบร้องทุกข์อยู่ไม่หยุด และรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าการที่เห็นปีศาจครึ่งมังกรฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
ความร้ายกาจของหัวบินตนนี้ เขาก็ได้เห็นกับตาในลานประลองวันนั้นแล้ว
และตอนนี้พลังเวทย์ของเขาก็เหลือเพียงแค่สองสามส่วน ไม่ว่าจะเป็นพลังจิตหรือร่างกายต่างก็เหนื่อยล้าจนหมดสิ้น ตอนนี้ต้องมาเจอกับหัวปีศาจตนนี้อีก ผลลัพธ์คงยากที่จะรู้ได้
ดีว่าถึงแม้หัวบินจะบินออกมา แต่ก็ไม่ได้พุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงในทันที แต่กลับค่อยๆ ร่อนลงไปอ้าปากฉีกทึ้งซากศพสัตว์ประหลาดที่อยู่บนพื้นอย่างตะกละตะกลาม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ร่างกายส่วนบนของเขาไม่ได้ขยับ แต่ส่วนล่างกลับถอยครูดไปข้างหลังอย่างไร้สุ้มเสียง
ขณะเดียวกันหอยสังข์ย่อส่วนในมือก็ค่อยๆ สั่นไหว โซ่ยาวสีเงินโผล่ออกมารัดพันแขนข้างหนึ่งของเขาไว้
โซ่ปราบปีศาจเส้นนี้คือสิ่งที่ใช้สยบหัวปีศาจตนนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยชินมือ แต่เอามันออกมาก็คงพอจะทำให้หัวบินหวาดกลัวได้บ้าง
แต่ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงกลับต้องรู้สึกเสียใจที่ทำผิดพลาดอย่างมหันต์!
หัวบินที่เดิมทีกัดแทะซากศพอยู่เงียบๆ พอเห็นโซ่ยาวสีเงินปรากฏออกมามันก็หยุดการกิน และหันหน้ามามองหลิ่วหมิงด้วยดวงตาที่โหดเหี้ยม
หลิ่วหมิงหน้าเปลี่ยนสีในทันที เขาเคลื่อนไหวกลายเป็นเงาร่างถอยไปข้างหลังอย่างไม่ลังเล
หัวบินกลับแผดเสียงร้องแหลมออกมา และกลายเป็นไอสีดำพวยพุ่งตามไปติดๆ
หลิ่วหมิงตวัดกระบี่สั้นในมือ จากนั้นปราณกระบี่สีเขียวสามสายก็ม้วนตัวออกมา
เสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ปราณกระบี่ทั้งสามสายฟันลงบนไอสีดำแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับเหนียวที่จมลงทะเล ดูเหมือนกับว่าหัวปีศาจตนนี้ไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลยแม้แต่น้อย
และหลังจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นท่ามกลามไอสีดำ เส้นสีดำจำนวนมากพุ่งออกมาจากในนั้น มันคือผมยาวๆ ของหัวบิน มันเคลื่อนที่รวดเร็วมาก เพียงกี่อึดใจก็มาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงแล้ว
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขาสะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน ยันต์สีเขียวจางๆ ใบหนึ่งถูกพุ่งยิงออกไปในทันที
มันคือยันต์ที่เขาได้มาจากศิษย์หญิงนิกายวาตอัคคีที่ซุ่มโจมตีเขา ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอานุภาพของมันจะเป็นอย่างไร แต่ภายใต้สถานการณ์ที่เขาเหลือพลังเวทย์ไม่มาก ก็คงได้แต่เอามันออกมารับมือก่อน
ยันต์พุ่งเข้าไปในเส้นผมยาวที่แน่นขนัด และเจาะทะลุจนเป็นรูจำนวนมาก จากนั้นมันก็ระเบิดออกมา
เสียงดัง “ตู้ม!”
แรงระเบิดที่แฝงไปด้วยวายุ และอัคคีก็ได้ระเบิดออกมา ภายใต้สถานการณ์ที่ลมพายุและเปลวไฟประสานเข้าด้วยกันนี้ ทำให้มันกลายเป็นเสาวาตอัคคีพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและระเบิดออกมา
ถึงแม้หัวบินตนนั้นจะร้ายกาจ แต่พอเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้มันก็ได้เพียงแต่เก็บเส้นผมกลับไป จากนั้นไอดำที่รวมตัวกันก็เปลี่ยนทิศทางไปที่เสาเปลวเพลิง และวนอยู่หนึ่งรอบ
แต่ในช่วงระหว่างเวลานั้นเขาได้หนีออกไปไกลหลายสิบจั้งแล้ว และพุ่งเข้าไปตามต้นไม้ขนาดต่างๆ
หัวบินแผดเสียงอันดุร้ายจนเส้นผมชี้ตั้งขึ้นมา ความเร็วของไอดำที่รวมตัวกันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามันตามติดอย่างไม่ยอมลดละ
ขณะนั้น ฝ่ายหนึ่งอยู่หน้าอีกฝ่ายไล่ล่า จนอึดใจเดียวก็วิ่งไปได้ไกลสิบกว่าลี้แล้ว
ร่างกายของหลิ่วหมิงคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างมาก บวกกับวิชาตัวเบาที่แสดงออกมาเขาเพียงออกแรงเบาๆ ที่เท้าทั้งสองก็สามารถกระโดดไปได้ไกลหลายจั้ง
และหลังจากที่หัวบินถูกไอดำปกคลุมแล้ว มันก็ดูราวกับว่าไม่ใช่ร่างที่แท้จริง มันไม่หลบหลีกต้นไม้ในป่าเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พุ่งเข้าใส่ก็สามารถทะลุต้นไม้ทั้งหลายไปได้
ระยะห่างของทั้งสองไม่มีเพิ่มขึ้น แต่กลับยิ่งเข้าใกล้กันมากขึ้น
ทันใดนั้น ไอดำที่ตามอยู่ด้านหลังก็ระเบิดตัวออกมา หัวบินที่เดิมทีควรจะซ่อนตัวอยู่ในนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงรู้สึกหนักอึ้งในใจ เขาหยุดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แสงสีเขียวบนตัวเปล่งประกายออกมาอีกครั้ง เกราะเถาวัลย์ใหม่เอี่ยมอ่องปกคลุมร่างกายส่วนบนของเขาไว้
……………………………………….
ตอนที่ 146 สยบปีศาจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้ว่าการต่อสู้ในก่อนหน้ากับการหลบหนีเมื่อครู่จะทำให้สิ้นเปลืองพลังจิตไปอย่างมาก และศีรษะของเขาก็เริ่มปวดเล็กน้อย แต่เขาก็ยังบังคับจิตให้กวาดมองไปรอบด้านอยู่ไม่หยุด
ความประมาทเลินเล่อในก่อนหน้านี้ ทำให้เขาไม่ได้มองว่าหัวบินตนนั้นใช้วิธีการใดในการหลบซ่อนตัว แต่มันยังคงอยู่ในบริเวณนี้อย่างแน่นอน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาย่อมไม่สามารถวิ่งหนีไปโดยไม่สนใจอะไรไม่ได้ มิเช่นนั้นถ้าเขาวิ่งไปชนกับดักของฝ่ายตรงข้าม อาจจะทำให้เขาไม่มีโอกาสรอดไปได้
ตอนนี้หลิ่วหมิงคาดหวังที่จะให้มีศิษย์นิกายอื่นๆ ผ่านมาเป็นอย่างมาก ขอแค่มีคนเข้ามาพัวพันกับหัวบินตนนี้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะสามารถหนีไปได้อย่างสบาย
แต่ความหวังนี้ก็สูญสลายไปหมดสิ้น
พื้นที่บริเวณรอบๆ นี้ อย่าว่าแต่จะมีคนโผล่มาเลย แม้แต่เสียงของวิหคอสูรก็ไม่ได้ยิน มีแค่เสียงลมพัดผ่านต้นไม้เพียงเบาๆ เท่านั้น
หลิ่วหมิงกระทืบเท้าในทันทีก่อนที่ร่างของเขาจะพุ่งขึ้นมา
ในขณะเดียวกัน ก็มีเส้นผมสีดำเกือบร้อยเส้นพุ่งยิงออกมาจากผิวหนังบริเวณลำต้นที่เขาเคยอยู่ และพุ่งไปยังตำแหน่งที่เขายืนอยู่เมื่อครู่
แต่ตอนที่หลิ่วหมิงพุ่งขึ้นฟ้านั้น พลันมีเสียงหัวเราะประหลาดดังขึ้นเหนือศีรษะ ไอดำกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งออกมา หลังจากที่พวกมันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นหัวบินอันอัปลักษณ์ มันเพียงแค่อ้าปากก็เผยให้เห็นปากสีดำขนาดใหญ่ของมัน และพุ่งลงมาเพื่อกัดด้วยสีหน้าที่ดุร้าย
หลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมาก เขาทำท่ามือโดยไม่ลังเล และลูกเปลวไฟจำนวนมากก็พุ่งยิงออกไป
แต่พอมีเสียงดังฟู่ๆ ออกมา ลูกเปลวไฟทั้งหมดเหล่านี้ก็เข้าไปอยู่ในปากของมันแล้ว ไม่คาดคิดว่ามันจะไม่ระเบิดในทันทีแต่กลับมืดดับไป
ในระหว่างนั้นเอง หลิ่วหมิงก็บิดตัวและพุ่งลงมาด้านล่างด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
เสียงดัง “เพล้ง!”
เมื่อหลิ่วหมิงยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว แสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นบนมือเขา และกระบี่สั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว…
ในขณะเดียวกัน โซ่สีเงินบนแขนก็กลายเป็นเงาโบกสะบัดหมุนวนอยู่รอบตัวเขา
ในเมื่อกระบี่จันทราหยกไม่สามารถจัดการหัวบินตนนี้ได้ เขาก็ตัดสินใจเก็บมันเข้าไป เพราะว่าอย่างไรตอนนี้เขาก็สามารถควบคุมอาวุธจิตวิญญาณได้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น
ถึงแม้โซ่ปราบปีศาจเส้นนี้จะไม่ได้ผ่านการเซ่นวิญญาณหลอมสร้างขึ้นมา ทำให้ต้องใช้พลังในการควบคุมเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ต้องลองเสี่ยงดูสักครั้ง
ขณะนี้ หัวบินอ้าปากคำรามและร่อนลงมา ขณะเดียวกันแสงสีดำบนต้นไม้ใหญ่ก็เปล่งประกายออกมา พร้อมกับเส้นผมยาวที่พุ่งยิงออกไปและจมหายเข้าไปในหัวบิน
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือทั้งสองด้วยสีหน้าที่หนักอึ้ง ในบัดดลนั้นลูกเปลวไฟยักษ์สีแดงลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ขณะเดียวกันโซ่สีเงินบนตัวก็ส่งเสียงดังกังวานออกมา จากนั้นมันก็กลายเป็นเงาโซ่จำนวนมากพุ่งยิงไปยังปากขนาดใหญ่ที่อยู่บนอากาศ
แต่หัวบินบนอากาศกลับหัวเราะแปลกๆ ออกมา ทันใดนั้นมันก็พร่ามัวและแตกตัวเป็นสองส่วน จากนั้นมันก็แตกจากสองส่วนเป็นสี่ส่วน แตกจากสี่ส่วนเป็นแปดส่วน พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นเงาหัวบินเกือบร้อยหัว
ภายใต้การโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งของโซ่สีเงิน มันสามารถทำลายหัวบินไปได้สิบกว่าหัว แต่หัวบินจำนวนที่มากยิ่งกว่ากลับล้อมตัวหลิ่วหมิงจนฟ้ามืดมัวดิน และยังแตกเงาของมันออกมามากขึ้นกว่าเดิม!
หลิ่วหมิงหน้าเขียวขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่ยังคิดไม่ออกว่าจะกำจัดหัวบินอย่างไรนั้น หัวบินทั้งหมดกลับส่ายไปมาก่อนที่จะมีเสียงดังก้องไปทั่วฟ้า!
เส้นผมสีดำจำนวนมากกลายเป็นแสงสีดำพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงจากทั่วทุกสารทิศ
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัดแล้วก็โยนลูกเปลวไฟยักษ์ออกไปในทันที จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ก่อนที่โซ่สีเงินจะโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งแล้วกลายเป็นกำแพงสีเงินจางๆ ล้อมรอบตัวเขาไว้
ครู่ต่อมากำแพงสีเงินก็สั่นสะท้าน และก็มีเสียงระเบิดดังออกมาคล้ายกับเสียงของฝนตกกระทบรั้ว
ร่างหลิ่วหมิงค่อยๆ สั่นสะเทือนจนต้องถอยไปครึ่งก้าวอย่างช่วยไม่ได้ แต่ตาทั้งสองกลับจ้องมองไปยังเงาของหัวบินที่อยู่ตรงทิศทางบางแห่งด้วยตาที่เป็นประกาย ขณะเดียวกันก็ตะโกนคำว่า “ไป” ออกมา
ในบัดดลนั้น ลูกเปลวไฟยักษ์กลางอากาศก็พุ่งไปหาเงาหัวบินตนนั้นในทันที
หัวบินตนนั้นเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวออกมา หลังจากที่มีเสียงดัง “ฟู่” มันก็กลายเป็นไอดำและหายไป
และในขณะเดียวกัน เงาหัวบินที่ลอยวนอยู่เต็มท้องฟ้าก็หายวับไปกับตา
ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกาย เขาชี้ไปยังลูกเปลวไฟยักษ์แล้วตะโกนคำว่า “ระเบิด” ออกมา จากนั้นโซ่สีเงินก็ดีดตัวออกมาก่อนที่จะกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งยิงออกไป
เสียงดัง “ตู้ม!”
ลูกเปลวไฟยักษ์ระเบิดตัวออกมากลางอากาศ และกลายเป็นกระสุนไฟขนาดเท่าลูกไข่ไก่หลายสิบลูกก่อนที่จะพุ่งยิงลงมาอย่างหนาแน่น มันปกคลุมพื้นที่รัศมีสิบกว่าจั้ง
เสียงดัง “เพล้ง!”
กระสุนไฟลูกหนึ่งระเบิดตัวออกมาในพื้นที่ที่ดูว่างเปล่า แต่ก็ทำให้หัวบินเผยตัวออกมาด้วยท่าทีที่ซวนเซ
ในขณะนั้นเองแสงสีเงินก็เปล่งประกายขึ้น!
โซ่ปราบปีศาจมาถึงด้านหน้าของมันราวกับรออยู่นานแล้ว จากนั้นมันก็พร่ามัวกลายเป็นเงาจำนวนมากพุ่งลงมารัดพันหัวบินตนนี้ไว้อย่างแน่นหนา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบดึงปลายโซ่ด้วยความดีใจ ภายใต้การตวัดตัวของโซ่ปราบปีศาจ มันสามารถรัดพันหัวบินไว้และดึงเข้ามาด้านหน้าเขาได้
จากนั้นเขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่ลังเล ยันต์สีเหลืองสามผืนปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วมือของเขา เขาเอามันไปแปะบนหน้าผากของหัวบินด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ในช่วงเวลานั้นเอง เรื่องที่คาดไม่ถึงก็บังเกิดขึ้น!
พอหัวบินที่ดูเหมือนจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เห็นยันต์มาแปะบนหน้าผากของตนเอง มันก็แสยะปากยิ้มพร้อมกับมีเสียงดังออกมา จากนั้นมันก็กลายเป็นไอสีดำและกระโจนไปยังด้านหน้าหลิ่วหมิงอย่างพร่ามัว และหายวับเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิง
เกราะเถาวัลย์บนตัวหลิ่วหมิงชิ้นนั้นก็ดูเหมือนกับว่าไม่สามารถต้านทานหัวปีศาจตนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
ฉากอันรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบนี้ แม้แต่หลิ่วหมิงก็ไม่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงที สีหน้าเขาซีดขาวขึ้นมาเมื่อรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น
เรื่องเล่าลือเกี่ยวกับหัวปีศาจที่ชอบกลืนกินจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตผุดขึ้นมาในหัวเขาทันที
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม หลิ่วหมิงก็ไม่อาจงอมืองอเท้ารอความตายได้ เขากัดฟันในฉับพลันแล้วทำท่ามือด้วยมือเดียวอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะใช้พลังเวทย์บีบเอาหัวบินออกมาจากตัว
แต่ในขณะนั้นเอง ทะเลจิตวิญญาณของเขากลับพลันร้อนขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียงดัง “ฟู่!” ไอดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากตัวของเขา จากนั้นมันก็หมุนติ้วๆ รวมตัวกันเป็นปีศาจหัวบินอีกครั้ง
แต่ใบหน้าของหัวบินในตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด ตาทั้งสองของมันจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หล่นฟุบลงพื้นด้วยอาการที่สั่นสะท้าน และเอาใบหน้าฝังลึกลงไปในดินพร้อมกับอ้าปากส่งเสียงร้องแหบแห้งออกมาโดยที่ไม่กล้าโงหัวขึ้นมาแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นก็ยิ่งอึ้งหนักกว่าเดิม
แต่หลังจากที่เขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว ก็พลันสะบัดแขนเสื้อแล้วยันต์สีเหลืองสามผืนก็พุ่งยิงออกมา
ภายใต้การจ้องมองอย่างเคร่งขรึมของเขา ก็มีเสียง “เพล้ง!” “เพล้ง!” “เพล้ง!” ดังขึ้น และยันต์ทั้งสามผืนก็ระเบิดตัวออกมาเป็นตาข่ายแสงปกคลุมหัวบินไว้
หัวบินกลับยังคงคว่ำหน้าอยู่ด้านล่างและสั่นสะท้านอยู่ไม่หยุด โดยไม่คิดที่จะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจนั้น ก็พลันรู้สึกงงงวยไปด้วย
แต่โอกาสอันนี้อย่างนี้เขาย่อมไม่ปล่อยให้มันพลาดไปอย่างเด็ดขาด หลังจากที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาแล้ว ก็พลันกัดนิ้วมือตนเองและร่ายคาถาออกมา
ในเมื่อสาขาเก้าทารกเป็นสาขาที่มีความสามารถในการควบคุมปีศาจ และเขาก็เป็นศิษย์สาขานี้ ถึงแม้จะไม่เคยฝึกฝนวิชาที่เกี่ยวข้อง แต่เคล็ดวิชาผนึกจำกัดง่ายๆ เพื่อสยบปีศาจนั้น ยังคงหาอ่านได้จากคัมภีร์โบราณต่างๆ ได้ ซึ่งเขาเองก็จำได้ไม่น้อย
เขาใช้นิ้วที่ถูกกัดจนเป็นแผลวาดไปมาในอากาศอยู่ไม่หยุด อักขระแต่ตัวที่ถูกเขียนขึ้นโดยโลหิตของเขาก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา หลังจากที่เขากระตุ้นพลังเวทย์มันก็หมุนวนแล้วก็กลายเป็นค่ายกลอักขระสีเลือดขนาดเล็ก
หลิ่วหมิงคำรามเสียงต่ำออกมา มือทั้งสองทำท่ามือเพื่อกระตุ้นพลังเวทย์พร้อมกัน และค่ายกลอักขระสีเลือดก็ค่อยๆ ลอยไปหาหัวบิน
หัวบินเองก็ดูเหมือนกับว่าจะรับรู้ได้ถึงการมาของค่ายกลอักขระ ในที่สุดมันก็เงยหน้าขึ้นมาจากพื้นดิน แต่ยังคงอยู่นิ่งกับที่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ค่ายกลอักขระสีเลือดเปล่งประกายออกมาแล้วจมหายเข้าไปกลางหน้าผากของหัวบิน
หัวบินส่งเสียงร้องด้วยความเวทนา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จากนั้นแสงสีเลือดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าผาก นอกจากนี้ยังมีอักขระสีแดงจางๆ ที่ไม่ทราบชื่อปรากฏออกมาด้วย
และในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของพลังจิต ไม่คาดคิดว่าเขาเหมือนจะสื่อสารกับจิตของหัวปีศาจนี้ได้ลางๆ
หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจที่การแสดงวิชาของเขาประสบความสำเร็จ
ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาที่เขาแสดงเมื่อครู่จะเรียบง่าย แต่เป็นการผนึกหัวปีศาจได้ดีที่สุด พอแสดงวิชาสำเร็จแล้วต่อให้เป็นหัวปีศาจเก้าทารกก็สามารถควบคุมได้
แต่เงื่อนไขเบื้องต้นของการแสดงวิชานี้คือผู้ที่แสดงวิชาต้องทำให้มันสำเร็จในครั้งเดียว โดยที่ไม่มีการต่อต้านใดๆ จากหัวปีศาจ มิเช่นนั้นก็แทบจะไม่มีโอกาสที่จะทำสำเร็จเลย
เป็นเพราะเขาเห็นหัวบินแสดงท่าทีอันน่าแปลกประหลาดนี้จึงได้ยอมเสี่ยงดูสักครั้ง ไม่คาดคิดว่าจะสยบปีศาจตนนี้ได้จริงๆ มิเช่นนั้นล่ะก็ เขาคงได้แต่หนีไปไกลๆ ในช่วงที่ยันต์ยังสำแดงฤทธิ์อยู่
หลิ่วหมิงลองสื่อสารกับหัวบินอยู่หลายครั้งด้วยความดีใจ และเมื่อรู้สึกว่าตราประทับของหัวบินเชื่อมโยงกับจิตของเขาอย่างชัดเจน และไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว เขาถึงทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วชี้ไปกลางอากาศ
หลังจากที่มีเสียงดังขึ้น!
ตาข่ายแสงทั้งสามก็กะพริบหายไป หัวบินกะพริบตาปริบๆ แล้วค่อยๆ ทะยานขึ้นมาอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม
หลิ่วหมิงทดลองควบคุมให้หัวบินบินขึ้นบินลงอยู่หลายครั้ง และให้บินวนรอบตัวเขาอยู่หลายรอบ หลังจากที่เห็นมันทำตามอย่างไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ แล้วเขาก็รู้สึกวางใจ
เขาเองก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่นานมากนัก จึงได้พาหัวบินเหาะจากไปในทันที
ครึ่งค่อนวันผ่านไป หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่ในโพรงไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง ตอนที่เขาลืมตาทั้งสองขึ้นมาอีกครั้งนั้น พลังเวทย์ทั้งหมดของเขาก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว
ตั้งแต่เขาเริ่มเข้าฌาน หัวบินก็เฝ้าอยู่ตรงปากทางเข้าอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด ราวกับว่าไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามเขารู้สึกมีความสุขกับเรื่องที่เขาสามารถสยบหัวปีศาจตนนี้ได้
เสียดายที่เขาไม่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ใช้สำหรับสื่อสารกับหัวปีศาจโดยเฉพาะ ตอนนี้เขารู้สึกได้ลางๆ ว่าหัวปีศาจตนนี้ยำเกรงเขามาก และสามารถสั่งให้มันไปทำเรื่องง่ายๆ บางอย่างได้ แต่เขากลับไม่สามารถหาเหตุผลที่ชัดเจนในการกระทำของมันได้
ดูท่าคงต้องรอกลับไปที่นิกายแล้วหาเคล็ดวิชาสื่อสารมาฝึกฝนถึงจะหาเหตุผลที่แท้จริงได้
หลิ่วหมิงสังเกตดูหัวบินที่ว่านอนสอนง่ายไปด้วย และคิดใคร่ครวญไปด้วย
……………………………………….
ตอนที่ 147 กลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต่ถึงอย่างไรหัวบินนี้ก็เป็นของสือชวน ออกไปแล้วคงไม่สามารถให้มันปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนได้
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็ใช้จิตสื่อสารกับหัวบิน หลังจากที่พูดกำชับมันไปสองประโยคแล้วก็ตบถุงหนังบนเอวทันที
แสงสีดำจำนวนหนึ่งม้วนตัวออกมาดึงหัวบินเข้าไปในนั้น
ถึงแม้ว่าในสถานการณ์ปกติแล้ว ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณจะใช้เก็บปีศาจโดยเฉพาะ แต่ตอนนี้มันก็ยอมให้หัวบินซุกหัวอยู่ได้ชั่วคราว
รอออกไปจากแดนลึกลับก่อนแล้วค่อยหาถุงที่ใช้หล่อเลี้ยงหัวบินนี้โดยเฉพาะ
หลิ่วหมิงนั่งเข้าฌานอยู่ในโพรงไม้ต่ออีกสักพัก จนเมื่อรู้สึกว่าร่างกายไม่มีปัญหาใดๆ แล้วถึงได้ลุกเดินจากไปอย่างไม่รีบร้อน
เหลืออีกไม่กี่วันทางเข้าแดนลึกลับก็จะถูกปิด เขาเองก็ไม่กล้ายืดเยื้ออีกต่อไป ดังนั้นจึงค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนต้นไม้ จากนั้นก็พุ่งออกไปยังที่ไกลๆ ราวกับลูกธนู
เพราะว่าขากลับนี้เขาไม่ต้องไปสนใจกับวัตถุจิตวิญญาณข้างทางใดๆ ดังนั้นความเร็วของเขาจึงแตกต่างจากขามาโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่าเพื่อระมัดระวังกับดักต่างๆ เขาย่อมไม่กล้าใช้พลังทั้งหมดเพื่อเร่งเดินทาง
ถึงกระนั้นก็ตามเขาใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวก็สามารถพุ่งผ่านพื้นที่ป่ามาได้มากกว่าครึ่งหนึ่งอย่างปลอดภัย และยังไม่เจอคนดักซุ่มโจมตีหรือการขัดขวางใดๆ
ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจ แต่หลังจากคิดดูอย่างถี่ถ้วนก็พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง
สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างจากสองวันก่อนมาก เพราะเวลาที่กระชั้นชิด เกรงว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนของศิษย์ที่เหลืออยู่คงจะรวมตัวกันที่บริเวณปากทางเข้าแล้ว
ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้เป็นธรรมดาที่จะไม่มีคนซุ่มโจมตี
ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่นั่นตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ศิษย์แต่ละคนอย่างก็ลงมือกันอย่างดุเดือด หรือว่าต่างก็สงวนท่าทีกัน
ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังคิดอยู่นั้น พลันมีเสียงดังกึกก้องมาจากด้านข้าง ราวกับว่ามีสัตว์ขนาดมหึมากำลังพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
หลิ่วหมิงหยุดลงบนต้นไม้ด้วยความงงงวย และหรี่ตาต้องมองไปยังที่มาของเสียง
เขาเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งถูกผลักจนเอียง จากนั้นก็มีหุ่นวานรยักษ์สีดำสูงสามจั้งพุ่งมาจากด้านหลัง หลังจากที่มันเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็หยุดตรงใต้ต้นไม้ที่หลิ่วหมิวอยู่
ต่อมาก็มีน้ำเสียงที่ดูแปลกใจดังมาจากร่างของวานรยักษ์
“ศิษย์น้องไป๋ เจ้านั่นเอง ช่างบังเอิญเสียจริง!”
“ที่แท้ก็คือศิษย์พี่เถี่ย!” หลิ่วหมิงจ้องมองหุ่นวานรยักษ์ที่ค่อนข้างคุ้นตาแล้วพลันตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
หุ่นวานรยักษ์ก็ยิ้มตอบกลับมาในฉับพลัน และขณะนี้ประตูสี่เหลี่ยมก็ปรากฏออกมาที่บริเวณหน้าท้องของหุ่นวานรในทันที จากนั้นใบหน้ากลมๆ ของชายหนุ่มก็โผล่ออกมา
เขาก็คือเถี่ยเยวี่ย ศิษย์หุบเขาเก้าช่องที่เขาได้พบเจอเป็นคนแรกหลังจากที่เข้าไปยังใจกลางแดนลึกลับ
“ฮ่าๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลมของศิษย์น้อง จะต้องไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นในระหว่างที่อยู่ใจกลางแดนลึกลับ และสุดท้ายเจ้าก็ปลอดภัยจริงๆ ดูท่าแล้วศิษย์น้องก็กำลังคิดที่จะไปปากเข้าใช่ไหม พวกเราเดินทางไปด้วยกันเถอะ ไม่แน่ข้างหน้าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้ พวกเราจะได้คอยช่วยเหลือกันและกัน” เถี่ยเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูปกติ
“ก็ดีเหมือนกัน! ในเมื่อนิกายของพวกเราได้ร่วมมือกันแล้ว ถ้าพวกเราเดินทางไปด้วยกันย่อมปลอดภัยมากขึ้น” หลิ่วหมิงคิดไปมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตกปากรับคำโดยไม่ลังเล
“ดีมาก มีศิษย์น้องไป๋เดินทางไปด้วยล่ะก็ ข้าก็ไม่ต้องเดินทางโดยหลบซ่อนอยู่ในหุ่นตัวนี้แล้ว” ชายหนุ่มใบหน้ากลมได้ยินก็ดีใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการใดทำให้หน้าท้องของหุ่นแยกออกมาเป็นทางเดิน จากนั้นก็ไถลออกมาจากในนั้น
“อะไรนะ! ก่อนหน้านี้พี่เถี่ยใช้หุ่นตัวนี้เดินทางมาโดยตลอดหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย
ถึงแม้เขาจะไม่เคยฝึกวิชาเกี่ยวกับหุ่นมาก่อน แต่ก็รู้ว่าการควบคุมหุ่นอยู่ตลอดเวลาจะทำให้สิ้นเปลืองพลังเวทย์และพลังจิตเป็นอย่างมาก
“เป็นเช่นนี้จริงๆ! ตั้งแต่ที่ข้าถูกศิษย์หอสายธารโลหิตคนหนึ่งซุ่มโจมตีในป่า ทำให้ข้าสึกว่าการอยู่ในร่างหุ่นนี้จะปลอดภัยกว่ามาก แต่เจ้าหุ่นตัวนี้หนักเกินไป และก็เดินทางมานานแล้ว ข้าเองก็เริ่มรู้สึกรับไม่ค่อยไหว” เถี่ยเยวี่ยถอนหายใจแล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูจำใจ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูจากพลังจิตอันแข็งแกร่งของพี่เถี่ย เกรงว่าท่านคงถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของศิษย์รุ่นเดียวกันในนิกายใช่ไหม!” หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวออกไปโดยไม่ต้องคิด
“เฮ่อๆ แต่ก่อนข้าได้พบเจอกับความโชคดีบางอย่างถึงได้มีพลังจิตอย่างตอนนี้ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องอันดับล่ะก็ ข้าถูกจัดอยู่อันดับสามของบรรดาศิษย์ในหุบเขาเก้าช่องเท่านั้น” เถี่ยเยวี่ยหัวเราะกล่าวออกมา
“อันดับสาม? แล้วสองคนก่อนหน้านั้นคือ…” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
เป็นเพราะพรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังจึงทำให้พลังจิตของเขาแข็งแกร่งกว่าศิษย์ทั่วไปเท่าตัว แต่ถ้าเทียบกับฝ่ายตรงข้ามล่ะก็ เกรงว่าเขาคงไม่อาจเทียบได้ และตอนนี้ได้ยินเถี่ยเยวี่ยบอกว่าในหุบเขาเก้าช่องยังมีคนที่มีพลังจิตแข็งแกร่งกว่าเขาอีกสองคน สิ่งนี้ย่อมทำให้ใจของหลิ่วหมิงรู้สึกสั่นสะท้าน
“หนึ่งในสองคนนั้นคือศิษย์พี่อวิ๋น ตอนที่ศิษย์พี่อวิ๋นเลือกฝึกฝนวิชานั้น นอกจากจะฝึกฝนวิชาหลักแล้ว ยังฝึกฝนเคล็ดวิชาระดับสูงของนิกายเราที่สามารถเสริมพลังจิตให้แข็งแกร่งขึ้น ในแต่ละขั้นที่ฝึกสำเร็จจะทำให้พลังจิตของเขาแข็งแกร่งมากขึ้น ที่น่าเสียดายก็คือ เงื่อนไขของการฝึกฝนวิชานี้โหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก เกรงว่าบรรดาศิษย์ในนิกายทั้งหมด ก็มีเพียงแค่สองสามคนเท่านั้นที่พอจะสามารถรับเงื่อนไขเหล่านี้ได้ ส่วนอีกคนนั้นสถานะของเขาค่อนข้างพิเศษ ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้” เถี่ยเยวี่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเองก็เคยเจอศิษย์พี่อวิ๋นที่ใจกลางแดนลึกลับแล้ว แต่ก็ดูไม่ออกว่าพลังจิตของเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้” คิ้วของหลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน
“ศิษย์พี่อวิ๋นชอบวิชาฝึกร่าง ใครก็ตามที่เห็นวิธีการต่อสู้ของเขา ต่างก็คิดว่าพลังจิตของเขาไม่แข็งแกร่ง” เถี่ยเยวี่ยตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ” หลิ่วหมิงพยักหน้า ประจักษ์ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับคำพูดนี้
ขณะนี้ เถี่ยเยวี่ยทำท่ามือด้วยมือข้างเดียวเพื่อทำให้หุ่นวานรยักษ์กลายเป็นลูกกลมๆ สีดำและเก็บเข้าไป จากนั้นก็ปล่อยหุ่นตั๊กแตนที่ดูอ่อนช้อยออกมา และเขาก็ขึ้นไปขี่อยู่บนหลังของมัน
หลิ่วหมิงจ้องมองหุ่นตั๊กแตนที่ดูคุ้นตาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดคุยกับเถี่ยเยวี่ยอีกไม่กี่ประโยค จากนั้นทั้งสองก็ออกเดินทางไปต่อ
คนหนึ่งกระโดดไปตามกิ่งไม้ราวกับปีศาจ อีกคนหนึ่งขี่หุ่นตั๊กแตนวิ่งไปตามพื้น
……
หนึ่งวันผ่านไป ถ้ำใต้ดินที่อยู่นอกแดนลึกลับ ผู้อาวุโสระดับผลึกทั้งหกคนยังคงนั่งขัดสมาธิบนแท่นหินเพื่อกระตุ้นวัตถุที่อยู่ด้านหน้าอย่างเงียบๆ
แต่ผู้อาวุโสระดับของเหลวสิบกว่าคนต่างก็จ้องมองกลุ่มแสงสีขาวที่เปล่งแสงออกมาเพียงเล็กน้อยด้วยความกระวนกระวายใจ
นับดูเวลาแล้ว วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของเวลาที่กำหนด แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีศิษย์คนใดออกมาเลย เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่วางใจขึ้นมา
ผ่านไปสักพัก กลุ่มแสงสีขาวที่ดูนิ่งสงบก็พลันเปล่งแสงออกมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันก็มีเสียงครึกโครมดังแว่วๆ มาจากในนั้น
“มีคนออกมาแล้ว!” ใครบางคนกล่าวด้วยความดีใจ ทำให้คนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองไปยังแสงสีเขียว
ผู้อาวุโสระดับผลึกหลายคนที่เดิมทีนั่งหลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาในทันที
แสงหลากสีจำนวนหนึ่งม้วนตัวออกมาพร้อมกับเงาร่างของคนหกคนปรากฏขึ้นบนพื้น
หลังจากที่ทุกคนกวาดสายตามองไป ก็ค้นพบว่าคนทั้งหกเป็นศิษย์ที่เข้าไปแดนลึกลับในก่อนหน้านั้น เหมือนว่าแต่ละนิกายต่างก็มีศิษย์หนึ่งคนอยู่ในนั้น
“ฮุ่ยเหนียง เกิดอะไรขึ้น หรือคนอื่นๆ จะรวมตัวอยู่ที่นั่น ยังมีอีกประมาณเท่าไหร่” ประมุขนิกายปีศาจอดไม่ได้ที่จะก้าวออกไปถามศิษย์หญิงผู้หนึ่งด้วยความรีบร้อน
“เรียนอาจารย์อาท่านประมุข คนอื่นๆ ต่างก็รวมตัวกันแล้ว มีประมาณยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าคน” เฉียนฮุ่ยเหนียงรีบโค้งคารวะแล้วตอบกลับไป
“ยี่สิบกว่าคน อย่างนี้ก็กลับมาแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น สถานที่นี้ก็เป็นเพียงแค่แดนลึกลับตามธรรมชาติ แต่ทำไมถึงมีคนเสียชีวิตมากมายถึงเพียงนี้” ประมุขนิกายวาตอัคคีได้ยินสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“ดูเหมือนว่าแดนลึกลับแห่งนี้จะไม่ใช่แดนลึกลับตามธรรมชาติที่แท้จริง พวกเราได้เจอกับเรื่องที่ไม่คาดคิดในนั้น” เฉียนฮุ่ยเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับไปตามความเป็นจริง
“เรื่องที่ไม่คาดคิด?”
คำพูดนี้ทำให้ประมุขนิกายปีศาจและคนอื่นๆ ต่างก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
เวลาต่อมาผู้อาวุโสแต่ละนิกายต่างก็เรียกศิษย์ตนเองมาเพื่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ผลลัพธ์ที่ออกมามีทั้งดีและไม่ดี
เมื่อประมุขนิกายปีศาจรู้เรื่องที่เหลยเจิ้น เฟิงฉาน และคนอื่นๆ หายไป สีหน้าก็หม่นหมองลงไปมาก แต่พอได้ยินว่าเกาชงไม่เป็นอะไร ทั้งยังมีคนที่รอดชีวิตอีกครึ่งหนึ่ง สีหน้าก็ค่อยๆ ดีขึ้นมา
ในขณะนั้นเอง กลุ่มแสงสีขาวกลางอากาศก็ส่งเสียงดังอีกครั้ง และศิษย์กลุ่มต่อมาก็ถูกส่งออกมา
……
เมื่อหลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองอีกครั้ง และหายจากอาการวิงเวียนศีรษะแล้ว ก็ค้นพบว่าตนเองปรากฏตัวกลางถ้ำขนาดใหญ่อีกครั้ง
และประมุขนิกายปีศาจ นักพรตจาง และผู้อาวุโสนิกายต่างๆ ก็มารวมกันด้านหน้าของศิษย์ที่ถูกส่งกลับมด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวยาวๆ ไปหาประมุขนิกายปีศาจ
สองวันก่อน เมื่อเขากับเถี่ยเยวี่ยรีบเดินทางมาถึงบริเเวณปากทางเข้า สถานการณ์ ณ ที่นั้นดูสงบกว่าที่คาดคิดไว้
หนึ่งถึงสองวันก่อนศิษย์หลายนิกายต่างก็เกาะตัวกันเป็นกลุ่มก้อนรออยู่ที่ปากทางเข้าแล้ว
ด้วยเหตุนี้ศิษย์แต่ละนิกายต่างก็หวาดกลัวซึ่งกันและกัน และไม่มีใครกล้าลงมือ มิเช่นนั้นคนอื่นๆ ก็จะร่วมมือกันชั่วคราวเพื่รักษาความสงบ
ดังนั้นหลิ่วหมิงกับเถี่ยเยวี่ยจึงกลับมารวมตัวกับคนในนิกายได้อย่างง่ายดาย และเมื่อรอจนถึงวันสุดท้ายแล้วไม่มีใครกลับมาอีก แต่ละนิกายก็จะส่งศิษย์กลับไปนิกายละหนึ่งคนเหมือนกับตอนที่มา
แต่ละขั้นตอนดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีปัญหาใดๆ
ขณะนี้ หลังจากที่หลิ่วหมิงคารวะประมุขนิกายปีศาจ และนักพรตจางแล้ว เขาก็ไปยืนเก็บมืออยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม
หยางเฉียน เฉียนฮุ่ยเหนียง ต่างก็ยืนอยู่ที่นั่นแล้ว
“ดีมาก! ทำได้ไม่เลว พวกเจ้ากลับมาจากแดนลึกลับได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าสร้างคุณูปการให้กับนิกายเป็นอย่างมาก ครั้งนี้นิกายของเรามีคนรอดชีวิตห้าคน ซึ่งนับว่าแข็งแกร่งกว่านิกายอื่นมาก” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้าให้กับหลิ่วหมิง จากนั้นก็กล่าวกับทุกคนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
……………………………………….
ตอนที่ 148 ปีศาจยักษ์โบราณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เฉียนฮุ่ยเหนียง และคนอื่นๆ ต่างก็ตอบกลับว่า “มิกล้า”
และขณะนี้ ทางเข้าแดนลึกลับก็ดังขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดศิษย์กลุ่มสุดท้ายก็ปรากฏตัวขึ้นในถ้ำ
ชายหนุ่มทระนงองอาจที่สวมชุดนิกายปีศาจก็คือเกาชงนั่นเอง
พอหลิ่วหมิงเห็นใบหน้าเกาชงชัดเจน แววตาเขาก็เปล่งประกายเย็นชาออกมาในทันที
และพอประมุขนิกายปีศาจเห็นเกาชง ความกังวลของเขาก็คลายลงในทันที จากนั้นจึงกวักมือเรียกเกาชงเข้ามาหา
“คารวะอาจารย์ อาจารย์อาจาง!” เกาชงก้าวออกไปสองสามก้าวแล้วโค้งตัวคารวะ
“ลุกขึ้นเถอะ! เจ้าไม่เป็นไรอาจารย์ก็วางใจแล้ว” ประมุขนิกายปีศาจโบกมือแล้วกล่าวด้วยความดีใจ
“เรื่องนี้ต้องขอบคุณอาจารย์ที่สั่งสอน มิเช่นนั้นศิษย์คงไม่มีชีวิตรอดกลับมา” เกาชงกล่าวอย่างนอบน้อม
ประมุขนิกายปีศาจได้ยินคำพูดที่น่าเอ็นดูเช่นนี้ก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ให้เขาไปยืนอยู่ด้านข้าง
เกาชงเคลื่อนไหวทีเดียวก็มายืนอยู่กับศิษย์คนอื่นๆ แล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ทำเป็นจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ตั้งใจ
แต่ตอนนี้เกาชงก้มหน้าหลุบตาราวกับมองไม่เห็นหลิ่วหมิง
คิ้วหลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดขึ้นมา เขาถอนสายตากลับมาโดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ บนใบหน้า
ตอนที่อยู่ปากทางเข้าแดนลึกลับ เกาชงมารวมตัวกับคนอื่นก่อนเขาวันหนึ่ง
แต่พอเขาเห็นหลิ่วหมิงปรากฏตัวออกมาอย่างปลอดภัย สีหน้าเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมา
เวลานี้ ต่อให้ทั้งสองอยากจะกำจัดฝ่ายตรงข้ามใจจะขาด แต่ก็ไม่สามารถลงมือต่อหน้าศิษย์ร่วมนิกายคนอื่นๆ ได้
ในใจทั้งสองรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เจอกันในแดนลึกลับ มิเช่นนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่หายไปจากโลกนี้ ผู้อาวุโสในนิกายต่างก็ไม่มีใครสืบหามูลเหตุแต่อย่างใด
และพอออกจากแดนลึกลับแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะกำจัดอีกฝ่าย ก็ล้วนเป็นเรื่องยากแล้ว
ขณะนี้ นักพรตจางก็ถามหาคนอื่นๆ ด้วยความเป็นห่วง
แต่เมื่อหยางเฉียน เจียหลาย และคนอื่นๆ ได้ยินแล้วต่างก็มองหน้ากันโดยไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี
สีหน้าหลิ่วหมิงไม่เปลี่ยนไปเลย และก็ไม่คิดที่จะพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย
แต่เกาชงกลับลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะเล่าเรื่องที่เฟิงฉานถูกสัตว์ประหลาดที่ดูคล้าย ‘สือชวน’ ฆ่าต่อหน้าต่อตา
“อะไรนะ! เจ้าบอกว่าเฟิงฉานถูกสัตว์ประหลาดฆ่าต่อหน้าต่อตา และเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ก็หน้าตาเหมือนกับสือชวนไม่มีผิด เจ้าดูชัดเจนหรือยังว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้นคือสือชวนจริงๆ?” ประมุขนิกายปีศาจขมวดคิ้วขึ้นมา
“เรียนท่านอาจารย์ ศิษย์เองก็เห็นไม่ค่อยชัด ถ้าจะบอกว่าสัตว์ประหลาดตนนี้คือศิษย์พี่สือชวน แต่พลังมันก็แข็งแกร่งมาก ทั้งยังลงมือว่องไวราวกับสายฟ้าแลบ ซึ่งไม่เหมือนกับพลังที่สือชวนมีเลย ถ้าจะบอกว่าไม่ใช่ แต่รูปร่างหน้าตาของมันก็เหมือนกับศิษย์พี่สือชวนเป็นอย่างมาก” เกาชงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์น้องจาง เจ้ามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?” ประมุขนิกายปีศาจหันหน้าไปถามนักพรตจาง
“ฟังจากที่ศิษย์หลานเกาชงพูดมาทั้งหมด ประการแรกข้าคิดว่าผู้ที่ฆ่าศิษย์หลานเฟิงคงเป็นปีศาจอสูรที่ชำนาญในวิชาแปลงร่างมาก และศิษย์หลานสือชวนที่หายไปอาจจะตายด้วยน้ำมือของมัน ดังนั้นมันถึงแปลงร่างเป็นสือชวนได้ ประการที่สองคือ หลังจากเข้าไปในแดนลึกลับแล้วศิษย์หลานสือได้เผชิญกับเรื่องบางอย่างที่ทำให้พลังแข็งแกร่งขึ้น และสูญเสียการควบคุมจิตใจ ถึงได้ลงมือกับศิษย์นิกายเดียวกันอย่างบ้าคลั่ง และข้าคิดว่าประการหลังน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด อย่าลืมสิว่าศิษย์หลานสือยังพกหัวบินติดตัวด้วย เป็นไปได้ไหมว่าหัวปีศาจตนนี้หลุดจากการควบคุมจนมันแว้งกลับมากลืนกินจิตวิญญาณ และทำให้เขาเสียสติ” นักพรตจางคิดลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม
“อืม มันเป็นไปได้ทั้งสองแบบนี้เท่านั้น เดิมทีข้าไม่เห็นด้วยกับการที่ศิษย์น้องกุยมอบหัวบินให้กับศิษย์จิตวิญญาณใช้ ต่อให้จะมีโซ่ปราบปีศาจที่ทำมาจากเหล็กแสงเย็นทะเลลึกคอยช่วย แต่มันก็ไม่เพียงพอ” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้ากล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม
“ช่างเถอะ อย่างไรซะพวกเราก็แน่ใจแล้วว่าเรื่องที่สือชวนกับเฟิงฉานถูกฆ่าเป็นเรื่องจริง ถึงแม้เราจะไม่รู้เบาะแสของต้วนฉานจู่ หมิ่นโซ่ว และเหลยเจิ้น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ส่วนใหญ่จะปลอดภัย ไม่รู้ว่าภายในระยะเวลาที่เหลือยังจะมีคนออกมาจากแดนลึกลับหรือไม่” นักพรตจางกล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจ
“แน่นอนสิ! โดยเฉพาะศิษย์หลานเหลยเป็นถึงร่างเก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนี และยังเป็นญาติของศิษย์น้องเหลย ถ้าครั้งนี้เขาเสียชีวิตอยู่ข้างในจริงๆ ข้ายังไม่รู้เลยว่าจะกลับไปอธิบายกับเขาอย่างไรดี” ประมุขนิกายปีศาจถอนหายใจกล่าวออกมา
“ขอศิษย์พี่ท่านประมุขอย่าได้ใส่ใจมากนัก ตอนนี้นิกายของพวกเรามีศิษย์ออกจากแดนลึกลับได้ครึ่งหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวแล้ว แม้กระทั่งลำดับของการทดสอบในครั้งนี้ก็อาจจะได้ลำดับที่ดีด้วย” นักพรตจางกล่าวด้วยความรู้สึกสบายใจ”
“หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ยังมีเวลาอีกครึ่งวันก่อนที่ปากทางเข้าถ้ำจะปิด พวกเจ้าจงพักผ่อนอยู่ในบริเวณนี้สักพัก รอจนเมื่อทางเข้าแดนลึกลับปิดแล้ว แต่ละนิกายก็จะมาตรวจสอบผลการเก็บเกี่ยวที่ได้แดนลึกลับ” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้า และกล่าวกับบรรดาศิษย์ด้วยสีหน้าปกติ
หลิ่วหมิงโค้งคารวะแล้วตอบกลับไปว่า “รับทราบ!” จากนั้นพวกเขาต่างก็หาที่นั่งเพื่อทำสมาธิเข้าฌาน
และหยางเฉียนกลับถูกประมุขนิกายปีศาจเรียกตัวไว้ จากนั้นก็เดินไปหามุมอีกมุมกับนักพรตจางแล้วเริ่มทำการสอบถามเรื่องในแดนลึกลับอย่างละเอียด
ครั้งนี้พวกเขาทั้งสามใช้วิชากระซิบเสียงในการพูดคุย คนอื่นๆ ย่อมไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกัน เห็นเพียงแต่ดวงตาใต้หน้ากากของหยางเฉียนที่เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และสีหน้าของประมุขนิกายปีศาจกับอาจารย์อาจางก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมาเป็นอย่างมาก
ผ่านไปไม่นาน ประมุขนิกายปีศาจถึงโบกมือให้หยางเฉียนออกไปก่อน จากนั้นเขากับนักพรตจางก็พูดคุยกันต่อ
แต่ครั้งนี้ทั้งสองพูดคุยกันแค่ไม่กี่ประโยค
จากนั้นประมุขนิกายปีศาจก็เดินไปหาอาจารย์อาเยี่ยนที่อยู่บนแท่นหิน และพูดอะไรบางอย่างกับเขาด้วยน้ำเสียงอันเบา
ผู้อาวุโสชุดคลุมฟังจบแล้วสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
และสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับนิกายอื่นๆ ด้วย
ด้านหน้าของมู่หรงเซวี่ยนเองก็มีศิษย์นิกายเอกะที่เข้าไปแดนลึกลับในก่อนหน้านั้น เดินเข้าไปรายงานอะไรบางอย่างรวดเร็ว
เมื่อผู้อาวุโสระดับผลึกของนิกายเอกะผู้นี้ฟังจบ สีหน้าเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมาทันที
แววตาเขาเป็นประกายก่อนที่จะกล่าวออกมา
“สหายทุกท่าน พวกท่านเองก็คงจะได้ยินเรื่องฝ่ามือปีศาจยักษ์โบราณที่ปรากฏในแดนลึกลับแล้ว ถ้าหากว่าข้าคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่แดนลึกลับตามธรรมชาติแต่อย่างใด แต่เป็นสถาณที่ที่ผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณใช้เป็นพื้นที่ปิดผนึกร่างที่แตกร้าวของปีศาจยักษ์โบราณโดยเฉพาะ แม้ว่ากันตามหลักการแล้วมือของปีศาจยักษ์จะไม่สามารถหนีออกมาจากพื้นที่นี้ได้ แต่เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ข้าแนะนำให้รีบปิดปากทางเข้าแดนลึกลับตั้งแต่บัดนี้ มิเช่นนั้นถ้าหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องที่แต่ละนิกาย หรือแต่ละแคว้นสามารถรับมือได้ แต่แผ่นดินอวิ๋นชวนทั้งหมดจะต้องประสบกับเคราะห์ครั้งใหญ่”
เสียงของมู่หรงเซวี่ยนไม่ดัง แต่ทุกคนในถ้ำกลับได้ยินอย่างชัดเจน
เมื่อแต่ละนิกายได้ยินเช่นนี้ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ศิษย์ทั่วไปกว่าครึ่งหนึ่งต่างก็จับต้นชนปลายไม่ถูก พวกเขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าปีศาจยักษ์โบราณที่เขากล่าวถึงคืออะไร
หลิ่วหมิงกลับใจเต้นขึ้นมา และก็ได้จารึกคำว่า “ปีศาจยักษ์โบราณ” ไว้ในใจโดยไม่รู้ตัว
“แต่ว่าอาจจะมีศิษย์อยู่ข้างในที่ยังไม่ได้ออกมา พวกเราสัญญากันว่าจะให้เวลาเดือนครึ่ง ตอนนี้ยังเหลืออีกครึ่งวัน” หลวงจีนหลิงอวี้ขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“สหายหลิงอวี้ กะอีแค่ศิษย์จิตวิญญาณไม่กี่คนเมื่อเทียบกับปีศาจยักษ์โบราณแล้วอะไรสำคัญกว่ากัน เรื่องนี้ยังต้องให้ข้าพูดด้วยเหรอ? อีกอย่างสองพี่น้องตระกูลหลานที่เป็นศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายข้าก็ยังไม่ได้ออกมาเหมือนกัน ข้าเองก็ต้องยอมสละด้วยเช่นกัน สหายเหลิ่งเยวี่ย เจ้าว่าอย่างไร?” มู่หรงเซวี่ยนทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมาก่อนที่จะหันไปถามเหลิ่งเยวี่ยซือไท่
“ในเมื่อเรื่องมันเกี่ยวพันกับการปิดผนึกปีศาจยักษ์โบราณก็ต้องระมัดระวังให้มาก ถึงแม้จะมีศิษย์ที่ยังไม่ได้ออกมา คิดว่าพวกเขาจะต้องเข้าใจในสิ่งที่พวกเราทำ ข้าเองก็เห็นด้วยกับการปิดปากทางเข้าตั้งแต่ตอนนี้!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่หรี่ตาทั้งสองลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
คนที่เหลือทั้งสี่ต่างก็มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นชายชุดคลุมสีเลือดกับชื่อหยางก็พยักหน้าเห็นด้วย ส่วนอีกสองท่านถึงแม้จะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่ก็ประจักษ์ชัดว่ายอมรับโดยปริยาย
มู่หรงเซวี่ยนเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็ผ่อนคลายขึ้นมาในทันที เขาทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ส่วนมืออีกข้างก็ยื่นไปยังเตาหลอมยักษ์สีทอง
เสียงดัง “หวึ่งๆ!”
เตาหลอมยักษ์ลดขนาดลงมาอย่างรวดเร็วจนมีขนาดไม่กี่ชุ่น จากนั้นมันก็พุ่งกลับเข้ามาในแขนเสื้อของมู่หรงเซวี่ยน
เหลิ่งเยวี่ยซือไท่และคนอื่นๆ อีกสี่คนก็หยุดปล่อยพลังเวทย์ทันที ทันใดนั้นแผ่นกลมๆ ตรงหน้าก็สั่นสะเทือนจนแตกกระจายออกมา และการส่งพลังเวทย์เข้าไปประคองทางเข้าแดนลึกลับก็สิ้นสุดลง
ด้วยเหตุนี้ทางเข้าแดนลึกลับกลางอากาศเพียงแค่สั่นไหวไม่กี่ทีก็เลือนหายไปทามกลางคลื่นอากาศที่ส่งเสียงดังกึกก้อง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็เริ่มรู้สึกเย็นสะท้าน
โชคดีที่เขามาถึงปากทางเข้าก่อนหนึ่งวัน ถ้าหากรอจนถึงเวลาสุดท้ายแล้วค่อยมาล่ะก็ คงถูกขังตายอยู่ในนั้นแล้ว ดูท่าต่อไปถ้าใครให้สัญญาอะไรไว้ก็ควรจะเชื่อหูไว้หู แต่ห้ามเชื่อทั้งหมดเด็ดขาด
ศิษย์แต่ละนิกายต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป
“เอาล่ะ! ในเมื่อทางเข้าแดนลึกลับได้ถูกปิดแล้ว ตอนนี้ให้ศิษย์ทั้งหลายนำสิ่งที่เก็บเกี่ยวออกมาได้แล้ว จะได้จัดอันดับของการทดสอบครั้งนี้ไปในตัว” เมื่อเหลิ่งเยวี่ยซือไท่เห็นว่าทางเข้าแดนลึกลับได้หายไปแล้ว ถึงได้ค่อยๆ กล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! นิกายเอกะของพวกเราไม่ต้องเข้าร่วมการจัดอันดับ ข้ายังมีเรื่องบางอย่างต้องทำ ต้องขอพาศิษย์ไปก่อนแล้ว” ดวงตามู่หรงเซวี่ยนค่อยๆ เป็นประกาย และลุกขึ้นกล่าวในฉับพลัน
“ช้าก่อน! สหายมู่หรงใยต้องไปอย่างเร่งรีบเช่นนี้เล่า ถึงแม้ว่าศิษย์ในนิกายท่านไม่จำเป็นต้องร่วมจัดอันดับการทดสอบในแคว้นต้าเสวียนเรา แต่ทำไมไม่ให้พวกเราดูว่าศิษย์นิกายท่านเก็บเกี่ยวได้อะไรมาบ้าง” หางตาทั้งสองของหลวงจีนหลิงอวี้ยกขึ้นมาก่อนที่เขาจะส่งเสียงห้ามไว้
“สหายหลิงอวี้ ท่านหมายความว่าอย่างไร? สิ่งที่ข้าควรทำข้าก็ทำไปแล้ว หรือว่าสถานะอย่างท่านยังคิดที่กลับคำพูดหรือ!” มู่หรงเซวี่ยนได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
“สหายมู่หรงเข้าใจผิดแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเราแต่ละนิกายนี้จะไม่สามารถเทียบกับนิกายเอกะได้ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องทำเรื่องผิดสัญญาหรอก ว่าแต่สหายไม่คิดหรือว่าอย่างน้อยก็ควรจะดูให้ชัดเจนว่ามังกรแดงตนนั้นตกอยู่ในมือศิษย์ของนิกายใด จากนั้นค่อยไปก็ไม่สาย” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กลับพูดสอดแทรกเข้ามาอย่างไม่สะทกสะท้าน
……………………………………….
ตอนที่ 149 ผลการเก็บเกี่ยวของแต่ละนิกาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ที่แท้สหายทั้งหลายก็สงสัยว่าศิษย์นิกายข้าได้มังกรแดงตนนั้นไป ช่างเป็นเรื่องตลกเสียจริง! ไม่ต้องพูดแล้ว เมื่อครู่ข้าได้ถามศิษย์ในนิกายไปแล้ว และมังกรแดงตนนั้นไม่ได้ตกอยู่ในมือของพวกเขา ต่อให้จะตกอยู่ในมือของพวกเขาจริง สหายทั้งหลายก็คิดที่จะคัดค้านหรืออย่างไร?” มู่หรงเซวี่ยนทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“ถ้าหากมังกรแดงตนนั้นตกอยู่ในมือศิษย์นิกายท่าน พวกเราย่อมกล่าวแสดงความยินดีก่อนเป็นอันดับแรก แต่โลหิตของมังกรแดงระดับผลึกตนนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสำหรับพวกเรามาก ไม่ว่านิกายไหนได้ไปผู้อาวุโสอย่างพวกข้าก็ยอมที่จะใช้สิ่งของที่ทีค่าเท่ากันมาแลก” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ตาเป็นประกายก่อนที่จะกล่าวด้วยสีหน้าเรียบสงบ
“เฮ่อๆ! พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า หากมังกรแดงตนนั้นตกอยู่ในมือศิษย์ของนิกายพวกท่าน ข้าเองก็สามารถใช้สิ่งของที่มีค่าเท่ากันมาแลกเอาโลหิตมังกรแดงไปได้” พอมู่หรงเซวี่ยนได้ยินคำพูดนี้ก็ใช้มือลูบคางไปมา จากนั้นก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
ชื่อหยางกลับแสดงท่าทีราวกับคิดอะไรอยู่ และไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมา
“มันย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ศิษย์ในนิกายท่านต้องได้รับการตรวจสอบอย่างชะเอียด” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กับหลิงอวี้ และคนอื่นๆ ต่างก็แอบใช้วิชากระซิบเสียงคุยกันอยู่ไม่กี่ประโยค จากนั้นก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ดี! งั้นตกลงตามนี้” มู่หรงเซวี่ยนตอบรับด้วยความเต็มใจ
ดังนั้นเวลาต่อมาผู้อาวุโสแต่ละนิกายก็พาศิษย์ที่ออกมาจากแดนลึกลับ เดินไปหน้าแท่นหินที่ผู้อาวุโสระดับผลึกอยู่
“แต่ละนิกายตรวจนับของที่เก็บเกี่ยวได้จากแดนลึกลับเถอะ! ซิ่วเหนียง นิกายจันทราสวรรค์ของเรานับก่อน เพื่อจะได้ไม่เสียเวลา” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กวาดสายตามองดูศิษย์ทั้งหกที่เหลือของนิกายตนเองแล้วก็กล่าวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
นิกายจันทราสวรรค์เป็นนิกายเดียวที่มีศิษย์เหลือเยอะกว่านิกายปีศาจ ช่างสมกับเป็นนิกายอันดับหนึ่งในแคว้นต้าเสวียนที่แข็งแกร่งกว่านิกายอื่นๆ จริงๆ
ส่วนนิกายอื่นๆ นั้น นิกายเอกะมีจำนวนศิษย์ที่เหลือเท่ากับนิกายปีศาจคือห้าคนเท่ากัน หุบเขาเก้าช่องมีศิษย์เหลืออยู่สี่คน และหอสายธารโลหิตกับนิกายวาตอัคคีต่างก็มีศิษย์ที่ออกมาจากแดนลึกลับเพียงแค่สามคนเท่านั้น
ไม่แปลกที่เป็นเช่นนี้!
หอสายธารโลหิตกับนิกายวาตอัคคีต่างก็เป็นนิกายที่ฝึกฝนการโจมตีเป็นหลัก ขณะที่ความสามารถในการป้องกันตัวค่อนข้างน้อย ประกอบกับช่วงที่มือยักษ์ค้ำฟ้าแสดงอานุภาพออกมานั้น ทั้งสองนิกายนี้ต่างก็มีศิษย์เสียชีวิตมากที่สุด
ด้วยเหตุนี้จำนวนผู้ที่รอดชีวิตจึงมีน้อย
ผู้อาวุโสของทั้งสองนิกายนี้ต่างก็แสดงสีหน้าหม่นหมองออกมา ประจักษ์ชัดว่าไม่พอใจกับผลลัพธ์ของศิษย์ในนิกายเป็นอย่างมาก
“ทราบ ท่านปรมาจารย์!”
ซิ่วเหนียงที่เหลิ่งเยวี่ยพูดถึงก็คือหญิงสาวแซ่จางที่มีบุคลิกองอาจห้าวหาญผู้นั้น
นางเดินไปยังพื้นที่ว่างด้านหน้าเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ แล้วหยิบผ้าย่อส่วนออกที่ถูกห่อกลมๆ ออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นก็ร่ายคาถาแล้วค่อยๆ สะบัดลงพื้น
เสียงดัง “ฟู่!”
กล่องหยก และหินแร่ขนาดต่างๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นในทันที แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือไข่จิตวิญญาณขนาดใหญ่สองใบที่กลิ้งอยู่บนพื้น
“เอ๋! นี่คือไข่ของวิหคปีศาจใด?” พอเหลิ่งเยวี่ยซือไท่เห็นไข่เหล่านี้ก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา
“เรียนอาจารย์ย่า นี่คือไข่จิตวิญญาณของเหยี่ยวขนเหล็ก กว่าจะได้มันมาศิษย์ต้องใช้พลังค่อนข้างมาก” จางซิ่วเหนียงโค้งตัวกล่าว
“เหยี่ยวขนเหล็ก นั่นเป็นวิหคปีศาจที่มีพลังในการฝึกฝนถึงระดับของเหลวได้ เจ้าทำได้ดีมาก ไข่ทั้งสองใบนี้มอบให้เจ้านำมันไปฟักก่อนแล้วข้าจะสั่งให้คนในนิกายช่วยเจ้าเลี้ยงมันอย่างดี” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป
“สหายเหลิ่งเยวี่ย ท่านเอ็นดูศิษย์ผู้นี้ถึงเพียงนี้ หรือว่านางคือศิษย์ที่มีร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ผู้นั้น” ชื่อหยางหรี่ตามองซิ่วเหนียงครู่หนึ่งแล้วพลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ผิด ซิ่วเหนียงไม่เพียงแต่มีร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่เท่านั้น แต่ยังมีพรสวรรค์ในเส้นทางการฝึกกระบี่ที่หาตัวจับได้ยาก แม้กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์น้องเทียนเหมยในตอนนั้น ศิษย์เช่นนี้จะถูกรักใคร่มากหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินก็ตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
“อะไรนะ เช่นนี้ก็หมายความว่าต่อไปนางก็อาจจะมาอยู่ระดับเดียวกับพวกเราได้” ผู้อาวุโสระดับผลึกของหอสายธารโลหิตรู้สึกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย
แม้เขาจะทราบเรื่องเกี่ยวกับร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ แต่คิดไม่ถึงว่าคนระดับเหลิ่งเยวี่ยซือไท่จะให้ความสำคัญกับศิษย์จิตวิญญาณเช่นนี้
“พวกเราทั้งหลายต้องลำบากมาไม่น้อยกว่าจะมาถึงระดับผลึกได้ แม้กระทั่งถ้าเหลือแค่ด่านเดียวแต่ไม่สามารถทะลวงผ่านได้ ก็อาจจะเสียชีวิตไปนานแล้ว ข้าเพียงแค่พูดว่าเจ้าเด็กนี้มีความหวังเท่านั้น” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“นี่ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว ดูท่านิกายท่านคงจะมีผู้ที่มีความสามารถเป็นจำนวนมาก นิกายของพวกข้าทั้งหลายสู้นิกายท่านไม่ได้เลย” หลวงจีนหลิงอวี้จุ๊ปากกล่าวออกมา
“ท่านทั้งหลายพูดล้อข้าเล่นแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ข้าดูจากศิษย์ที่ยืนอยู่ในนี้ แล้ว เกรงว่าคงมีไม่น้อยที่มีคุณสมบัติไม่ด้อยไปกว่าซิ่วเหนียงเลย ยกตัวอย่างเช่นศิษย์จิตวิญญาณพสุธาของนิกายปีศาจผู้นี้ เขาฝึกฝนได้รวดเร็วมาก เกรงว่าพวกข้าในสมัยนั้นก็ไม่อาจเทียบเขาได้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ต่อไปคงจะเข้าสู่ระดับของเหลวได้อย่างแน่นอน” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ดูเหมือนจะชายตามองเกาชงทีหนึ่ง
ประจักษ์ชัดว่าเกาชงที่มีชีพจรจิตวิญญาณพสุธาได้ตกอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสในนิกายอื่นๆ แล้ว
“เจ้าเด็กเกาชงนี่อย่างมากก็แค่ฝึกฝนเร็วกว่าศิษย์ทั่วไปเท่านั้น ถ้าพูดถึงพลังการต่อสู้จริงๆ ไหนเลยจะเทียบกับผู้ฝึกฝนกระบี่ในนิกายท่านที่อยู่ในระดับเดียวกันได้” พออาจารย์ปู่เยี่ยนได้ยินเช่นนี้ กลับไม่สามารถนั่งนิ่งได้ เขารีบหาวแล้วตอบกลับไปทันที
เหลื่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มบางๆ โดยไม่กล่าวอะไรออกมา
แต่ผู้อาวุโสระดับผลึกคนอื่นได้ยินแล้ว ต่างก็หันไปมองเกาชงอยู่พักหนึ่ง
ขณะนี้ ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์คนอื่นๆ ต่างก็เดินหน้าหยิบสิ่งของที่ตนเองเก็บเกี่ยวได้ออกมา เห็นได้ชัดว่ากองสิ่งของน้อยกว่าของซิ่วเหนียงเล็กน้อย
เวลานี้แต่ละนิกายต่างก็ส่งผู้ฝึกฝนระดับของเหลวออกมาหนึ่งคน เพื่อช่วยกันนับพืชจิตวิญญาณที่อยู่ในกล่องหยกเหล่านี้ และยังแปลงมูลค่าเป็นหินจิตวิญญาณตามกฎเกณฑ์บางอย่าง
ผลลัพธ์คือมูลค่าสิ่งของที่ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ทั้งหกเก็บเกี่ยวมาได้ มีมูลค่าเท่ากับหินจิตวิญญาณยักษ์หนึ่งล้านแปดแสนก้อน ลำพังแค่ไข่จิตวิญญาณทั้งสองก็สามารถแลกหินจิตวิญญาณได้สี่แสนก้อน
สำหรับนิกายนิกายหนึ่งแล้วการดำรงอยู่ของระดับของเหลวย่อมเป็นพลังที่สำคัญมาก
และอายุขัยของวิหคจิตวิญญาณก็ยืนยาวกว่าผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปมาก ถ้าหากฝึกฝนมันให้ดีอาจจะปกป้องนิกายได้เกือบพันปีเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นพอวิหคจิตวิญญาณเติบโตเต็มวัย ระดับความเร็วในการบินของมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เรือจิตวิญญาณทั่วไปสามารถเทียบได้ มันสามารถทำภารกิจที่ผู้ฝึกฝนทั่วไปจำนวนมากไม่สามารถทำได้
ดังนั้นจึงเกือบจะพูดได้ว่าไม่เคยมีไข่จิตวิญญาณของวิหคปีศาจปรากฏในแคว้นต้าเสวียนเลย ราคาประเมินเท่ากับหินจิตวิญญาณสี่แสนก้อนยังนับว่าถูกไปด้วยซ้ำ
ถ้าไม่อย่างนั้น จางซิ่วเหนียงที่รู้ทั้งรู้ว่าเหยี่ยวขนเหล็กเหล่านั้นรับมือได้ยาก ก็คงไม่เสี่ยงอันตรายร่วมมือกับเซวี่ยชื่อเพื่อฆ่าวิหคปีศาจเหล่านั้น
ศิษย์นิกายอื่นๆ ได้ทราบถึงมูลค่าแลกเปลี่ยนของหินจิตวิญญาณในตอนท้ายต่างก็สูดลมหายใจเข้าไปด้วยความเย็นสะท้าน
มูลค่าสูงถึงเพียงนี้ สำหรับนิกายจันทราสวรรค์แล้วมันเพียงพอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายในนิกายได้ถึงสามปีเลยทีเดียว พืชสมุนไพรจิตวิญญาณเหล่านี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง บางอย่างมีมูลค่าในโลกภายนอกมาก แต่ไม่มีขายตามตลาด ถึงอยากซื้อก็ไม่สามารถหาซื้อได้
แต่เมื่อผู้อาวุโสระดับผลึกหลายคนได้ยินถึงมูลค่าจำนวนนี้ ต่างก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา
มูลค่าจำนวนนี้เมื่อเทียบกับการเก็บเกี่ยวที่ได้จากแดนลึกลับในครั้งก่อน มันไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาดีใจได้
เหลิ่งเยวี่ยซือไท่เห็นเช่นนี้ก็ตาเป็นประกาย จากนั้นก็ถามจางซิ่วเหนียง หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ
“อะไรกัน พวกเจ้าทั้งหมดไม่มีใครพบมังกรแดงตนนั้นหรือ?”
“เรียนท่านปรมาจารย์เหลิ่งเยวี่ย ไม่รู้ว่ามังกรแดงตนนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ถึงแม้ข้าจะตั้งใจหามันเป็นพิเศษแต่ก็ไม่พบร่องรอยของมันเลย” ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ต่างก็มองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจางซิ่วเหนียงก็ตอบแทนทุกคนอย่างนอบน้อม
“ช่างเถอะ ในเมื่อหาไม่เจอก็แสดงว่าพวกเจ้าไม่มีวาสนาที่จะได้เจอ เอาของทั้งหมดออกมาเถอะ! ถ้าสหายทุกท่านไม่วางใจล่ะก็ สามารถใช้พลังจิตกวาดดูตามตัวของพวกเขาว่ามีผ้าย่อส่วนห่ออื่นๆ หรือยันต์เก็บของอื่นๆ อยู่หรือไม่” ถึงแม้เหลิ่งเยวี่ยซือซือไท่จะรู้สึกผิดหวังเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่ก็ไม่แสดงออกทางสีหน้า และจ้องมองจางซิ่วเหนียงและศิษย์คนอื่นๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หลับตาแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่หรงเซวี่ยน และผู้อาวุโสระดับผลึกหลายคนต่างก็ใช้พลังจิตกวาดดูตามตัวจางซิ่วเหนียง และศิษย์นิกายจันทราสวรรค์คนอื่นๆ อย่างไม่เกรงใจ จากนั้นต่างก็ค่อยๆ พยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
หลวงจีนหลิงอวี้แสดงเจตนาให้ทราบว่านิกายต่อไปที่จะมาแสดงสิ่งของที่เก็บเกี่ยวมาได้คือหุบเขาเก้าช่อง
เห็นได้ชัดว่าพืชสมุนไพรจิตวิญญาณที่โผล่ออกมาต่อหน้าคนทั้งสามนั้นมีน้อยกว่าศิษย์นิกายจันทราสวรรค์มาก แน่นอนว่ามันไม่สามารถเทียบกับของจางซิ่วเหนียงได้เลย
แต่พอผู้อาวุโสระดับของเหลวของหอสายธารโลหิตผู้หนึ่งหยิบน้ำเต้าสีเหลืองอ่อนขึ้นมาจากกองสิ่งของที่ศิษย์พี่อวิ๋นผู้นั้นเก็บเกี่ยวมาได้ด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ และดึงจุกมันออกแล้วดมเบาๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
“นี่คือสุราจิตวิญญาณ ทั้งยังเป็นสุราจิตวิญญาณธรรมชาติที่มีคุณภาพไม่น้อยเลย ศิษย์หลานอวิ๋น เจ้าไปได้มันมาจากไหน?” ชายวัยกลางคนของหอสายธารโลหิตผู้นี้รีบถามออกไป
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็ฮือฮาขึ้นมาในทันที ผู้อาวุโสนิกายต่างๆ ที่รับผิดชอบการตรวจสอบต่างก็เข้ามาล้อมดู และตรวจสอบสุราจิตวิญญาณในน้ำเต้าด้วยความประหลาดใจ
“เรียนอาจารย์อาทุกท่าน นี่คือสิ่งที่ศิษย์ได้มาจากรังของปีศาจวานรตนหนึ่ง คิดว่าเป็นสุราที่พวกมันกลั่นกันเอง” ชายหนุ่มหน้าดำโค้งตัวตอบด้วยสีหน้าสงบ
“มิน่าเล่า! มันเป็นเรื่องจริงที่อสูรปีศาจประเภทวานรชอบกลั่นสุราจิตวิญญาณมาดื่มเอง สุราจิตวิญญาณเหล่านี้บริสุทธิ์มาก เมื่อดื่มเข้าไปแล้วไม่เพียงแต่จะฟื้นฟูพลังเวทย์ได้รวดเร็วเท่านั้น แต่ยังมีผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงรูปร่างกล้ามเนื้ออย่างคาดไม่ถึง มันแตกต่างจากสุราจิตวิญญาณทั่วไปที่ขายตามท้องตลาดเป็นอย่างมาก ส่วนมูลค่า…” ผู้ฝึกฝนระดับของเหลววัยกลางคนของหอสายธารโลหิตกล่าวชมเชย และปรึกษากับคนอื่นเบาๆ ไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ประเมินราคาออกมาที่หินจิตวิญญาณห้าแสนก้อน
สุราจิตวิญญาณที่สามารถฟื้นฟูพลังเวทย์ได้ในทันทีนี้มีประโยชน์ต่อผู้ฝึกฝนระดับผลึกไม่น้อย
ไม่ว่าใครก็ตามที่เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจแล้วใช้พลังเวทย์จนหมดนั้นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ และผู้ที่เสียชีวิตจากสาเหตุเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกเลยแม้แต่น้อย
และถ้าหากมีสุราจิตวิญญาณสักหนึ่งน้ำเต้าติดตัวไว้ล่ะ เทียบเท่ากับว่ามีชีวิตเพิ่มมาอีกหนึ่งชีวิต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลลัพธ์เสริมอื่นๆ ที่สุราจิตวิญญาณนี้มีอยู่เลย
ดังนั้นมูลค่าเท่ากับหินจิตวิญญาณห้าแสนก้อนก็นับว่ายุติธรรมแล้ว
แต่เมื่อหลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกลออกไปได้ยินเช่นนี้ก็นึกได้ในฉับพลัน
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น