ลำนำบุปผาพิษ 1418-1423

 บทที่ 1418 เขาผิดปกติ พูดให้น้อยหน่อย (1)


แต่หลีเมิ่งซย่าดื่มไปมากที่สุด สองตาแดงเยิ้มหรี่ปรือด้วยฤทธิ์สุรา แทบกุมจอกสุราไม่อยู่แล้ว อย่างไรเสียกู้ซีจิ่วก็มีพลังยุทธ์สูง จึงยังแจ่มใสยิ่งนักอยู่


หลีเมิ่งซย่าอึดอัดอยากอาเจียน กู้ซีจิ่วจึงพยุงนางไปที่สุขา


หลงซือเย่นั่งอยู่ตรงนั้น ดื่มจนใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำนิดๆ ในมือเขาถือจอกสุราไว้ กำลังมองจอกสุราอย่างเลื่อนลอย


หลีเมิ่งซย่าอาเจียนอยู่พักหนึ่ง อีกทั้งกู้ซีจิ่วยัดลูกกลอนสร่างเมาเม็ดหนึ่งใส่ปากนาง นางสะบัดหัว รู้สึกแจ่มใสขึ้นไม่น้อย นางกะพริบตามองกู้ซีจิ่วที่เห็นได้ชัดว่ามีสติอยู่ “เจ้าคอแข็งกว่าข้าเสียอีก…ข้าไม่เคยดื่มสุรากับผู้ใดแล้วพ่ายแพ้มาก่อนเลย!”


กู้ซีจิ่วตบไหล่นาง “พอดีเลย ข้าก็เหมือนกัน”


หลีเมิ่งซย่าไม่ยินยอม “ถ้ามีเวลาพวกเรามาดวลกันสักตา!”


“รอว่างแล้วค่อยว่ากัน”


หลีเมิ่งซย่าสะบัดหัวอีกครั้ง “นี่ก็ใช่ ยามนี้เรื่องวุ่นวายมากมาก ดื่มสุราแล้วก่อเรื่องผิดพลาดคงไม่เข้าท่า แปลกจัง เดิมทีหนนี้ข้าอยากดื่มพอหอมปากหอมคอเท่านั้น ทำไมถึงดื่มมากขนาดนี้ล่ะ?”


กู้ซีจิ่วมองนาง “การควบคุมตัวเองของเจ้าถดถอยแล้ว”


หลีมิ่งซย่าผงะไปครู่หนึ่ง ส่ายหัวอย่างสำนึกเสียใจอยู่บ้าง “อาจจะใช่ ถึงอย่างไรก็หนีหัวซุกหัวซุนอยู่นานมาก ไม่ได้กินไม่ได้ดื่ม ยามนี้พอมีสุราจึงควบคุมไม่ได้อยู่บ้าง ถ้าเผลอดื่มมากไป หากนายท่านทราบเข้า คงซัดข้าจนน่วมเป็นแน่”


ถึงลูกกลอนสร่างเมาของกู้ซีจิ่วจะได้ผลยิ่งนัก แต่ก็ค่อยๆ ทำให้สติสัมปชัญญะของนางกลับมาแจ่มใสอย่างรวดเร็วเท่านั้น ฤทธิ์สุราที่อยู่ในร่างไม่อาจขจัดได้ในชั่วขณะหนึ่ง ดังนั้นนางจึงเดินโซเซอยู่บ้าง


นางเป็นเช่นนี้ย่อมไม่สะดวกจะเดินทาง กู้ซีจิ่วจึงตัดสินใจว่าคืนนี้จะพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมนี้สักคืนแล้วค่อยเดินทาง เธอบอกกล่าวการตัดสินใจของตนแก่หลีเมิ่งซย่าหลีเมิ่งซย่าสำนึกเสียใจยิ่งกว่าเดิม “นายท่านให้เจ้ากลับไปภายในคืนนี้ กลับเป็นเพราะข้าจึงต้องโอ้เอ้ล่าช้า…”


กู้ซีจิ่วไม่เก็บมาใส่ใจ เธอมองยันต์ถ่ายทอดเสียงที่บั้นเอว ตี้ฝูอีไม่ได้ติดต่อมาหาเธอเลย เขาน่าจะยุ่งมากเช่นกัน


“ซีจิ่ว มิสู้เจ้าถ่ายทอดเสียงไปหานายท่าน บอกเล่าสถานการณ์ทางนี้ เขาจะได้สบายใจ” หลีเมิ่งซย่าเสนอ


กู้ซีจิ่วพยักหน้า เปิดใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงจริงๆ กลับนึกไม่ถึงว่าจะไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่าย


เขาเข้าไปในเขตหวงห้ามอะไรอีกแล้วเหรอ?


กู้ซีจิ่วเป็นสามีภรรยากับเขามาแปดปี ทราบนิสัยเขาดี ขอเพียงเขาเข้าในไปเขตหวงห้าม ยันต์ถ่ายทอดเสียงนี้ก็จะเชื่อมต่อไม่ได้ ครั้งนี้เขาต้องไปพบผู้คนมากมาย เรื่องที่ต้องสะสางจัดการก็มีไม่น้อยเลยเช่นกัน ไม่แน่ว่าอาจต้องเข้าไปในเขตหวงห้ามอีก ดังนั้นถึงแม้กู้ซีจิ่วจะจนปัญญากับการติดต่อไม่ชั่วคราว ทว่าไม่ได้เก็บมาใส่ใจ


เธอพยุงหลีเมิ่งซย่ากลับไปที่ห้องส่วนตัว เห็นหลงซือเย่ฟุบนิ่งอยู่บนโต๊ะ


หลับอยู่หรอ?


หลีเมิ่งซย่าใช้มือเคาะโต๊ะตรงหน้าเขา “นี่ เจ้าสำนักหลง ท่านเจ้าสำนักหลง ท่านตื่นสิ”


หลงซือเย่ขยับเล็กน้อย ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมา เขาดูงุนงงอยู่บ้าง นัยน์ตาดำขลับมองไปที่พวกกู้ซีจิ่วทั้งสอง สายตาจดจ่ออยู่ที่ร่างกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมา จอกสุราที่อยู่ข้างหน้ามือเขาถูกเขาปัดตกลงบนพื้น “ซีจิ่ว!” น้ำเสียงแฝงความประหลาดใจเอาไว้


หลีเมิ่งซย่าอดขำไม่ได้ “ตกใจขนาดนี้เชียว? คงมิใช่ว่าเมาหลับไปจนเพี้ยนแล้วกระมัง? ลืมไปแล้วหรือว่าดื่มสุรากับผู้ใด?”


หลงซือเย่หลับตาลงเล็กน้อย เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งสายตาก็แจ่มใสขึ้นมาก ยิ้มขื่นๆ แล้วเอ่ยตอบ “ดื่มมากไปหน่อยจริงๆ…”


สายตาเขากวาดมองภายในห้องนี้อย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง ยกมือนวดคลึงหว่างคิ้ว “ข้าดื่มจนเลอะเลือนไปหน่อยจริงๆ จู่ๆ ก็ลืมไปชั่วขณะว่าตัวอยู่ที่ไหน มาๆ ยากนักที่พวกเราจะได้พบปะกัน นั่งลงแล้วดื่มอีกสักจอกเถอะ”


หลีเมิ่งซย่ารีบโบกมือ “อย่าเลย ดื่มไปมากพอแล้ว ข้าเพิ่งสำรอกสุรามา ดื่มต่อไม่ได้แล้ว”


สายตาหลงซือเย่ร่อนลงบนหน้ากู้ซีจิ่ว บางทีน่าจะเกี่ยวเนื่องด้วยเขาค่อนข้างกรึ่มๆ แล้ว สายตานั้นจึงดูลุ่มลึกพร่าเลือนอยู่บ้าง “ซีจิ่ว ดื่มเป็นเพื่อนข้าอีกสองสามจอกได้หรือไม่? ไม่ได้พบเจ้ามานานถึงเพียงนี้ ข้ามีเรื่องมากมายที่อยากสนทนากับเจ้า”


————————————————————–


บทที่ 1418 เขาผิดปกติ พูดให้น้อยหน่อย (2)


กู้ซีจิ่วกล่าวไปว่า “ราตรีล่วงเข้ายามย่ำรุ่ง ดึกเกินไปแล้ว ข้าค่อนข้างเหนื่อยล้า…”


หลงซืเย่จึงยืนขึ้น เขาดื่มสุรามากไปแลวจริงๆ เพิ่งลุกขึ้นก็โซซัดโซเซเล็กน้อย สบถเสียงต่ำออกมาอย่างอดไม่อยู่


กู้ซีจิ่วยื่นยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งไปเบื้องหน้าเขา “ท่านดื่มมากไปแล้วจริงๆ นี่คือลูกกลอนสร่างเมา ท่านกินเข้าไปก่อนสักเม็ดเถอะ”


หลงซือเย่ก้มมองโอสถนั้นตามสัญชาตญาณ ยาลูกกลอนกลิ้งกลุกๆ อยู่ในฝ่ามือเขา เปล่งประกายแวววาว เจือประกายแสงจางๆ ไว้


ม่านตาเขาหดตัวเล็กน้อย “โอสถระดับเจ็ด!” สายตาที่มองกู้ซีจิ่วฉายแววประหลาดใจออกมาแวบหนึ่ง


หลีเมิ่งซย่ากล่าวยิ้มๆ “ประหลาดใจมากหรือ? ซีจิ่วในยามนี้แม้แต่โอสถระดับแปดก็สามารถหลอมออกมาได้เช่นกัน นางเป็น…”


ประโยคหลังนางไม่ได้เอ่ยออกมา เนื่องจากกู้ซีจิ่วส่งกระแสเสียงหานาง ‘เขาผิดปกติ พูดให้น้อยหน่อย’


หลีเมิ่งซย่าผงะไปเล็กน้อย ไม่พูดต่อแล้ว


หลงซือเย่สนใจในประโยคครึ่งหลังที่หลีเมิ่งซย่าไม่ได้กล่าวออกมายิ่งนัก “นางเป็นอะไร?”


หลีเมิ่งซย่าก็มีไหวพริบเช่นกัน นวดคลึงหว่างคิ้ว “ปวดหัวจังเลย สุรานี้แรงจริงๆ…”


พลางเอนซบร่างกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว ข้าค่อนข้างเวียนหัว…”


กู้ซีจิ่วพยุงนางไว้ หันไปคุยกับหลงซือเย่ “ครูฝึกหลง ดึกดื่นแล้ว ข้าจะพยุงนางไปพักที่โรงเตี๊ยมก่อน มีเรื่องอะไรไว้คุยกันพรุ่งนี้เถอะ” แล้วพยุงหลีเมิ่งซย่าก้าวออกไป


ดวงตาของหลงซือเย่ที่อยู่ด้านหลังวูบไหวเล็กน้อย ก้าวขึ้นมาเดินเคียงเธอ “ถัดจากร้านนี้มีโรงเตี๊ยมที่ดีมากอยู่ ข้าจะไปส่งพวกเจ้าที่นั่น ข้าก็ค่อนข้างวิงเวียนเช่นกัน จะพักที่โรงเตี๊ยมสักหน่อย”


….


ถึงแม้หลงซือเย่จะดูกรึ่มสุราอยู่บ้าง แต่สติสัมปชัญญะกลับแจ่มใสยิ่ง เมื่อไปถึงโรงเตี๊ยมแห่งนั้น ก็เอ่ยว่าต้องการห้องพักสามห้อง


กู้ซีจิ่วกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องสามห้องหรอก ข้ากับเมิ่งซย่าพักห้องเดียวกันได้ จะได้ดูแลสะดวกด้วย”


หลงซือเย่แย้มยิ้มอ่อนโยน คิ้วขมวดมุ่น “ได้”


ห้องพักทั้งสองห้องอยู่ติดกัน หลงซือเย่เข้าไปในห้องของตัวเอง กู้ซีจิ่วพยุงหลีเมิ่งซย่าเข้าไปอีกห้องหนึ่ง


หลีเมิ่งซย่าพอเข้าห้องมาก็ยืดกายขึ้น นางมีคำถามที่อยากถามอยู่เต็มท้อง “ซีจิ่ว…”


กู้ซีจิ่วทาบนิ้วหนึ่งลงบนริมฝีปาก ส่งกระแสเสียงหานาง ‘กำแพงมีหูประตูมีช่อง อย่าพูดออกมา’


หลีเมิ่งซย่ากะพริบตา ในเมื่อนางดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของหอเงาราตรีได้ย่อมมีปฏิภาณไหวพริบยิ่งนักเช่นกัน เปลี่ยนถ้อยคำที่จะเอ่ยทันที “ซีจิ่ว ข้าง่วงมากเลย ขอนอนก่อนนะ”


คล้ายว่านางจะเมาสุราจนมือเท้าหนักอึ้งแล้ว นางทิ้งตัวลงบนเตียงหลังหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง เกลือกกลิ้งอยู่บนนั้น “เมื่อยจัง”


กู้ซีจิ่วหน้าล้างตาเล็กน้อย ขึ้นเตียงอีกหลังหนึ่ง


หลีเมิ่งซย่าทนไม่ไหว ส่งกระแสเสียงหาเธอ ‘สรุปแล้วเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่?’


กู้ซีจิ่วเอ่ยตอบ ‘ดูเหมือนเขาจะมีปัญหาอยู่บ้าง เขาในยามนี้เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคน’


หลีเมิ่งซย่าประหลาดใจ ‘ทำไมข้าไม่รู้สึกถึงเลยล่ะ?’


กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร อย่างไรเสียระยะเวลาที่เธอกับหลงซือเย่รู้จักกันมาก็ไม่สั้นเลย ชาติก่อนเคยคลุกคลีอยู่ด้วยกันมาเนิ่นนานปานนั้น เข้าใจเขาจนไม่อาจเข้าใจไปมากกว่านี้ได้แล้ว กับท่าทางของเขาก็คุ้นเคยจนไม่อาจคุ้นเคยไปมากกว่านี้ได้แล้วเช่นกัน หลงซือเย่ในยามนี้ถึงแม้จะดูไม่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนเท่าไหร่ แต่นั่นก็ตบตาได้เพียงคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับเขาเท่านั้น เมื่อตกอยู่ในสายตาของกู้ซีจิ่วที่คุ้นเคยกับเขาซ้ำยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้วย จึงมีพิรุธมากมายที่เปิดเผยออกมา


ยกตัวอย่างเช่นยามที่หลงซือเย่จับจอกสุรา จะติดนิสัยจับไว้ด้วยสี่นิ้ว มีเพียงนิ้วโป้งเท่านั้นที่เชิดขึ้นนิดๆ


แต่เมื่อครู่ยามที่หลงซือเย่จับจอกสุรากลับใช้สามนิ้วกุมไว้ นิ้วก้อยโค้งงอเสมือนจะกรีดกราย


ยามที่หลงซือเย่มองคนสายตาจะเยือกเย็นทรงพลัง แต่เมื่อครู่นี้ยามที่หลงซือเย่มองคนกลับค่อนข้างหยาดเยิ้ม ลวงล่อเย้ายวน


‘เจ้ารู้สึกได้ตอนไหนว่าราวกับเปลี่ยนตัวคนแล้ว?’


บทที่ 1418 เขาผิดปกติ พูดให้น้อยหน่อย (3)


‘ยามที่ข้าพยุงเจ้าออกไปอาเจียนแล้วกลับเข้ามา’


หลีเมิ่งซย่าขมวดคิ้ว ‘หรือว่าคนจะถูกเปลี่ยนตัวตั้งแต่ยามนั้นแล้ว? มีคนปลอมตัวเป็นเขารึ?’ แล้วส่ายหน้าอีกครั้ง ‘เป็นไปไม่ได้กระมัง? ข้าเห็นรูปร่างหน้าตาส่วนสูงเป็นเช่นใดก็เช่นนั้น เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นคนเดิม’


การจับสังเกตของหลีเมิ่งซย่าย่อมละเอียดลออพิถีพิถันยิ่งนัก จดจำรูปลักษณ์ผู้คนได้แม่นยำยิ่ง แม้ว่าจะเป็นฝาแฝดกันก็ไม่มีทางจำผิด หากว่าเปลี่ยนตัวคนแล้ว นางยังคงแยกแยะได้ชัดเจน อย่างไรเสียต่อให้เป็นฝาแฝดกันก็ยังมีจุดที่แตกต่างกันอยู่เล็กน้อย นับประสาอะไรกับผู้อื่นที่แปลงโฉมมา


การจับสังเกตของกู้ซีจิ่วก็ละเอียดลออยิ่งนักเช่นกัน เมื่อครู่ยามที่เธอฉุกใจสงสัย ก็ลอบสังเกตวงหน้าของหลงซือเย่อยู่เงียบๆ เช่นกัน ขนงเนตร จมูก ริมฝีปาก…


ตรงหางคิ้วของหลงซือเย่จะมีรอยแผลเป็นขนาดเท่ากุ้งยิงอยู่ บนจมูกมีไฝสีเข้มเม็ดหนึ่ง ใบหูมีรอยบากเล็กๆ รอยหนึ่ง นิ้วก้อยข้างซ้ายยาวกว่าข้างขวาเล็กน้อย…อัตลักษณ์เหล่านี้ล้วนเล็กน้อยยิ่งนัก ผู้อื่นไม่มีทางใส่ใจ หากว่ามีคนปลอมเป็นเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะลอกเลียนรายละเอียดเหล่านี้ได้ทั้งหมด


กล่าวก็คือ ร่างนั้นยังคงเป็นร่างเดิม แต่ด้านในกลับคล้ายว่าจะเปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว…


เมื่อครู่บุคลิกของหลงซือเย่ราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แต่มีไอมารจางๆ สายหนึ่งเพิ่มขึ้นมาในอากาศ และไอมารนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง


แต่ว่าเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าคนที่ดื่มสุรากับพวกเธอคือหลงซือเย่ แล้วทำไมถึงเปลี่ยนผู้ถือครองได้ล่ะ?


หรือว่าในร่างเขาจะมีดวงวิญญาณอาศัยอยู่สองดวง?


ไม่ถูกสิ ตี้ฝูอีเคยบอกเอาไว้ ที่โลกนี้การยึดร่างมิใช่เรื่องง่าย วิญญาณสองดวงไม่อาจอยู่ร่วมกันในร่างเดียวได้


เว้นแต่จะถูกสิงสู่มาตั้งแต่กำเนิด ซ้ำยังต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของร่างด้วย ดวงวิญญาณที่มาภายหลังถึงจะอยู่ร่วมกับวิญญาณเดิมได้ ยกตัวอย่างเช่นหรงเช่อในอดีต…


ครานั้นโม่เจ้าสิงสู่หรงเช่อมาตั้งแต่ถือกำเนิด ทำให้เจ้าของร่างเคยชินกับการมีอยู่ของมัน จากนั้นก็ค่อยๆ ยึดร่าง พลังยุทธ์ของโม่เจ้าแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น คิดจะช่วงชิงสังขารของเด็กน้อยคนหนึ่งยังยากเย็นถึงเพียงนั้น นับประสาอะไรกับร่างของคนแข็งแกร่งอย่างหลงซือเย่ที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบแล้วเล่า? เป็นไปได้ไม่ที่เขาจะถูกคนอื่นยึดร่าง!


เช่นนั้นสรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เป็นเธอระแวงมากไปหรือ?


สารพัดความคิดกู้ซีจิ่วคิดไม่ตก เธอหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมาอีกครั้ง ยันต์ถ่ายทอดเสียงนี้สงบเงียบยิ่งนักมาทั้งคืน ไม่ใช่แค่ตี้ฝูอีที่ไม่ติดต่อมาหาเธอ แม้แต่คนอื่นๆ ก็ไม่ติดต่อมาหาเธอเหมือนกัน…


เธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ลองติดต่อตี้ฝูอีดู เหมือนกับที่ผ่านมา ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวเลย


ครุ่นคิดแวบหนึ่ง เธอจึงติดต่อหาพี่ชายของตนอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะติดต่อไม่ได้เหมือนกัน


เธอกุมยันต์ถ่ายทอดเสียงไว้แน่น นี่ผิดปกติแล้ว!


เธอพลันตัดสินใจ ลองติดต่อกับอีกสองสามคนที่มักจะติดต่อกันอยู่เสมอดู ผลคือติดต่อไม่ได้เลยสักคน


หรือว่ายันต์ถ่ายทอดเสียงของตนจะมีปัญหาแล้ว?


เธอครุ่นคิดเล็กน้อย เรียกหลีเมิ่งซย่าขึ้นมา จากนั้นก็ลองติดต่อกับยันต์ของนางดู…


ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองคนนั่งอยู่บนเตียงมองหน้ากันเหลอหลา ยันต์ถ่ายทอดเสียงในมือของพวกเธอติดต่อกันไม่ได้!


“เมิ่งซย่า เจ้าลองติดต่อกับคนอื่นดูสิ”


“ได้”


หลีเมิ่งซย่ายันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อกับคนอื่นดูทันที ผลลัพธ์เป็นเดียวกับกู้ซีจิ่ว อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ว่าจะติดต่อกับใครก็ติดต่อไม่ได้ทั้งสิ้น


ยันต์ถ่ายทอดเสียงนี้เป็นสิ่งที่กู้ซีจิ่วประดิษฐ์ขึ้น เธอนำยันต์ถ่ายทอดเสียงทั้งสองแผ่นมาตรวจสอบดูอย่างละเอียดหนึ่งรอบ ไม่มีปัญหาอะไรเลย หรือว่าในโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะมีสิ่งที่มีคุณสมบัติในการตัดสัญญาณของยันต์ถ่ายทอดเสียงอยู่?


————————————————————–


บทที่ 1418 เขาผิดปกติ พูดให้น้อยหน่อย (4)


หลังจากสั่งการหลีเมิ่งซย่าแล้ว ก็ใช้วิชาเคลื่อนย้ายออกไปนอกโรงเตี๊ยม หาสถานที่เปิดโล่งแห่งหนึ่ง หยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมาแล้วลองติดต่อดูอีกครั้ง ผ่านไปสักครู่ยันต์ถ่ายทอดเสียงก็เรืองแสงขึ้น เพิ่งจะทำการติดต่อ ก็มีเสียงกระจ่างชัดดึงดูดของตี้ฝูอีแว่วมากจากด้านนั้นแล้ว “ไปอยู่ที่ไหนมา? เหตุใดติดต่อไม่ได้เลย?”


กู้ซีจิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนรูปแบบการก่อสร้างของโรงเตี๊ยมแห่งนั้นจะมีปัญหา ไม่น่าเชื่อว่าสามารถตัดสัญญาณยันต์ถ่ายทอดเสียงของเธอได้จริงๆ ขณะที่เธอกำลังจะเล่าเรื่องราวตลอดวันนี้ให้เขาฟัง หัวใจพลันเต้นแรงขึ้นมา ถ้าการที่สัญญาณของยันต์เธอถูกตัดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นั่นก็มีความเป็นไปได้ยิ่งนักว่าสัญญาณยันต์ถ่ายทอดเสียงของเธอจะถูกผู้อื่นดักฟังด้วย! หากว่ามีคนแอบฟังอยู่…


เธอหัวเราะเบาๆ “ข้ามาเยี่ยมเยือนสหายเก่า ทุกคนดีใจจึงดื่มจนเมามายเล็กน้อย เมิ่งซย่าดื่มมากไป ดังนั้นพวกเราจึงเดินทางกลับในคืนนี้ไม่ได้ ท่านนอนคนเดียวไปก่อนนะ”


ทางนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง “ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน?”


“โรงเตี๊ยมลักษณ์หงส์ที่เมืองเฟิ่งไหล”


“รอก่อน” ตี้ฝูอีกล่าวเพียงสองคำ แล้วตัดการติดต่อไป


กู้ซีจิ่วจ้องยันต์ถ่ายทอดเสียงในมือครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะนวดคลึงหว่างคิ้ว ตี้ฝูอีคงไม่ได้จะตามมากระมัง?! ระยะทางไกลถึงเพียงนี้…


เธอกลับไปที่โรงเตี๊ยม หลีเมิ่งซย่ายังรออยู่ในห้องพัก เมื่อเห็นเธอเข้ามาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “เป็นยังไง?”


กู้ซีจิ่วเอ่ยตอบ “โรงเตี๊ยมนี้มีปัญหา ออกจากบริเวณนี้ไปก็ไม่มีปัญหาแล้ว ยันต์ถ่ายทอดเสียงไม่ได้ขัดข้อง”


หลีเมิ่งซย่ายังข้องใจอยู่ “โรงเตียมแห่งนี้สามารถทำให้ยันต์ถ่ายทอดเสียงไม่มีสัญญาณได้ด้วยหรือ? อัศจรรย์ถึงเพียงนี้เชียว?”


กู้ซีจิ่วดึงผ้านวมมาห่ม “ไม่นับว่าอัศจรรย์เกินไปหรอก บางที่ก็มีระบบพิเศษที่สามารถตัดสัญญาณได้…”


กล่าวมาถึงตรงนี้ก็ฉุกใจขึ้นมา!


ยันต์ถ่ายทอดเสียงที่เธอคิดค้นขึ้นคุณสมบัติค่อนข้างคล้ายโทรศัพท์มือถือ เพียงแต่ใช้คลื่นพลังวิญญาณที่เสถียรมาเป็นสัญญาณ และอ้างอิงมาจากป้ายหยกสื่อสารชนิดนั้นของตี้ฝูอี นับว่าเป็นฉบับย่อของป้ายหยกสื่อสาร สัญญาณยังคงแข็งแกร่งยิ่งนัก เว้นแต่จะมีคนเข้าไปในเขตหวงห้ามอันใดถึงจะติดต่อไม่ได้ เนื่องจากเขตหวงห้ามเป็นเขตแดนอับสัญญาณ


และเขตแดนอับสัญญาณก็ติดตั้งได้ยากนัก ถ้าไม่มีพลังวิญญาณขั้นแปดขึ้นไปไม่มีทางสร้างได้


แต่ถ้าหากมีเขตแดนดังกล่าว เธอก็สามารถสัมผัสถึงได้ ดังนั้นประเด็นเขตแดนจึงปัดตกไป


หากว่าไม่ได้ใช้เขตแดนมาสกัดกั้น เช่นนั้นก็เป็นการใช้วิทยาการสมัยใหม่บางอย่างมาตัดสัญญาณแล้ว…


ในยุคนี้นอกจากตัวเธอที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ก็มีเพียงหลงซือเย่กับหลงฟั่นอีกสองคนที่สามารถทำได้ หรือว่าหลงซือเย่จะเล่นลูกไม้กับโรงเตี๊ยมนี้?


ถ้างั้นจุดประสงค์ที่เขาเล่นลูกไม้เช่นนี้คืออะไรกันล่ะ?


ดูเหมือนหงซือเย่จะไม่สนใจกระทำเรื่องเช่นนี้ หรือว่าจะเป็น…เป็นหลงฟั่น?!


เธอเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวจากห้องข้างๆ ห้องข้างๆ เงียบยิ่งนัก ถ้าตั้งใจฟังจะได้ยินเสียงลมหายใจที่สงบมั่นคงด้วย


โรงเตี๊ยมแห่งนี้พิกล หลงซือเย่ก็ค่อนข้างพิกลเช่นกัน เดิมทีกู้ซีจิ่ววางแผนไว้ว่าจะเดินทางกลับพรุ่งนี้ แต่ถ้าเรื่องพิกลเหล่านี้ไม่ได้รับการสะสางคลี่คลาย เธอก็ไม่อาจสงบใจจากไปได้…


เธอส่งกระแสเสียงพูดคุยกับหลีเมิ่งซย่าอีกสองสามประโยค จากนั้นก็ใช้วิชาเคลื่อนย้ายไปที่ห้องของหลงซือเย่


แน่นอนว่าหลังจากเธอเข้าไปก็เร้นกายไว้ มองไปที่บนเตียงก่อน หลงซือเย่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง สองตาปิดพริ้ม แพขนตายาวหลุบลู่ ลมหายใจสงบยืดยาว เห็นได้ชัดว่าหลับสนิทไปแล้ว


ดูเช่นนี้เขาก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลย


กู้ซีจิ่วถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก เหลือบมองใบหน้าเขาอีกแวบหนึ่ง หัวใจพลันสะท้าน!


บทที่ 1419 ดูเหมือนไอ้สารเลวนี้กำลังจะก่อเรื่องแล้ว! (1)


คืนนี้หลงซือเย่ดื่มสุราไปไม่น้อยเลย ถึงแม้จะกินลูกกลอนสร่างเมาของเธอไปแล้ว แต่ผลจากอาการเมามายสมควรยังคงอยู่ อย่างเช่นหน้าแดง หายใจหอบหนัก คลุ้งกลิ่นสุรา ยามนี้ทั้งร่างของหลีเมิ่งซย่ายังมีกลิ่นสุราอยู่เลย!


แต่หลงซือเย่ในยามนี้กลับไม่มีผลกระทบจากอาการเมามายเลย เขาดูคล้ายว่าหลับไปตามปกติ กู้ซีจิ่วเข้าใกล้เขาเล็กน้อย ไม่ได้กลิ่นสุราจากร่างเขาเลยสักนิด


เขามียาสร่างเมาสูตรพิเศษหรือ?


หากว่าหลงซือเย่มียาเช่นนี้อยู่จริง จะต้องมอบให้เธอกับหลีเมิ่งซย่าแน่นอน ไม่มีทางงกไว้คนเดียว และเมื่อเขาสร่างเมาฉับไวถึงเพียงนี้ ก็ไม่น่าจะรั้งอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้…


ยามนี้เขาคือหลงฟั่นสินะ?


หลงฟั่นกับหลงซือเย่ในยามนี้ค่อนข้างแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นหงซือเย่โหนกคิ้วกว้าง สันจมูกโด่ง หลงซือเย่จะองอาจกว่าหลงฟั่นเล็กน้อย หลงฟั่นจะค่อนข้างอ้อนแอ้นนุ่มนวล แฝงความเจ้าสำอางเล็กน้อย


ยามแปลงโฉมขอเพียงเสริมแสงเงาเล็กน้อยก็ส่งผลให้สันจมูกดูโด่งขึ้นได้ ทว่ายังคงไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ


คนที่หลับอยู่บนเตียงในยามนี้เป็นหลงซือเย่จริงๆ มิใช่ผู้อื่นแปลงโฉมปลอมตัวมา


หรือว่าในร่างเขาจะมีสองวิญญาณจริงๆ?


สำหรับสถานการณ์เช่นนี้กู้ซีจิ่วไม่สามารถตรวจสอบได้ เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง จึงหันหลังแล้วใช้วิชาเคลื่อนย้ายจากไป


สิ่งที่เธอไม่เห็นคือ หลังจากเธอจากไปได้ไม่นาน หลงซือเย่ที่อยู่ด้านหลังก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขามองตำแหน่งที่กู้ซีจิ่วเคยยืนอยู่อย่างค่อนข้างใจลอย สักพักมุมปากเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม


เสี่ยวซีจิ่ว ในที่สุดเธอก็ปรากฏตัวแล้ว!


เธอรู้ไหมว่าฉันตามหาตัวเธอลำบากยากเย็นมากแค่ไหน!


ไม่ได้เจอกันแปดปี ไม่น่าเชื่อว่าพลังวิญญาณจะบรรลุขั้นสิบแล้ว ดูเหมือนว่าร่างกายเล็กที่เธอใช้อยู่จะเข้ากันมากสินะ


เขาหลับตาลงนิดๆ คล้ายจะจับสัมผัสอะไรบางอย่าง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้น


เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเธออยู่ห้องข้างๆ ทว่าเขายังคงสัมผัสถึงเธอไม่ได้อยู่ดี ดูท่าตัวจับสัมผัสในร่างเธอจะถูกเธอสลายไปแล้ว สาวน้อยสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นอีกครั้งแล้ว!


มิน่าเขาถึงจับสัมผัสเธอไม่ได้เลยมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ และหาตัวเธอไม่พบ ยังนึกอยู่ว่าเธอประสบเหตุไม่คาดฝันอันใดไปนานแล้ว ถึงขั้นที่เคยเรียกวิญญาณเธอ แต่ก็เรียกมาไม่ได้เลย


นึกว่าดวงวิญญาณนางถูกผู้อื่นทำให้แตกสลายไปเสียแล้ว ทำให้เขาเป็นกังวลอยู่เนิ่นนาน โศกเศร้าอยู่เนิ่นนาน…


เขายิ้มแวบหนึ่ง มุมปากหยักยิ้มอ่อนโยน ดวงตาคู่นั้นถึงขั้นที่เจือแววรักใคร่เอ็นดู คล้ายจะปีติยินดียิ่งนัก ท่าทางนั้นเหมือนศิลปินคนหนึ่งคนที่คิดว่าผลงานชิ้นเอกที่ตนพึงพอใจที่สุดถูกปืนใหญ่ถล่มไปแล้ว กลับคาดไม่ถึงว่าจะยังอยู่ ถึงขั้นที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิมด้วย


เสี่ยวซีจิ่ว ถึงแม้เธออยากให้ฉันตายอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนฉันจะยิ่งชอบเธอขึ้นเรื่อยๆ แล้ว! เธอควรเป็นของฉัน และเป็นแค่ของฉัน…


เพียงน่าเสียดายที่ร่างนั้นถูกผู้อื่นทำให้มีมลทินแล้ว ไม่สมบูรณ์แบบปานนั้นอีกต่อไป…


แต่ก็ไม่เป็นไร เขาสามารถสร้างร่างใหม่ที่สมบูรณ์พร้อมให้เธออีกร่างได้ แน่นอนว่าพลังวิญญาณในร่างจะถดถอยลง แต่นั่นก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ขอเพียงดวงวิญญาณนางแข็งแกร่งก็พอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือเด็กสาวจะแข็งแกร่งมากมายไปทำไมเล่า? ทำให้เชื่องยาก ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ต้องอ่อนแอสักหน่อยสิเช่นนี้ยามที่รั้งไว้ข้างกายเขา จะได้ไม่ปองร้ายเขาอยู่ตลอดเวลา…


ดูเหมือนสาวน้อยจะนึกสงสัยเขาขึ้นมาแล้ว ถึงได้เร้นกายเข้ามาแอบดูเขา…


โชคดีที่เขาไม่ได้เผยพิรุธอะไร เธอน่าจะตรวจไม่พบอะไร


สรุปแล้วเธอคุยอะไรกับหลงซือเย่กันแน่? หลายปีมานี้เธอไปอยู่ที่ไหนมา? เหตุใดจึงฝ่าทะลวงขั้นได้รวดเร็วถึงเพียงนี้? ร่างกายเธอไม่บริสุทธิ์แล้ว คงจะครองคู่กับตี้ฝูอี นึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีที่หายสาบสูญไปนานหลายปีจะครองคู่โบยบินกับเธอแล้ว…แล้วตอนนี้ตี้ฝูอีอยู่ที่ไหนกัน?


—————————————————————-


บทที่ 1419 ดูเหมือนไอ้สารเลวนี้กำลังจะก่อเรื่องแล้ว! (2)


คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในสมองเขา เขาอยากเรียกวิญญาณอีกดวงในร่างให้ตื่นมาแถลงไขยิ่งนัก แต่ก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะสัมผัสถึงเขาแล้วป้องกันอย่างสมบูรณ์ได้…


เห็นทีว่าเขาจะต้องหลอมรวมกับอีกฝ่ายให้เร็วขึ้นเสียแล้ว! มีเพียงเขาผสานเป็นหนึ่งเดียวกับอีกฝ่ายอย่างแท้จริง ถึงจะกระทำเรื่องที่ตนต้องการได้ เรื่องมากมายก็จะง่ายดายดั่งลงแรงครึ่งเดียวได้ผลเท่าตัว


เขาหลุบตาครุ่นคิดอยู่ตรองนั้น จู่ๆ มือเขาก็สั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คิ้วขมวดมุ่น ราวกับปวดใจยิ่งนัก


เขาวางมือบนทรวงอก มุมปากยกขึ้นคล้ายจะหยักยิ้ม


อาซี แกทรมานมากใช่ไหม?


นางในดวงใจกลายเป็นภรรยาของชายอื่น แกเลยเริ่มใช้เหล้าย้อมใจอีกครั้งสินะ?


ไร้ค่าจริงๆ!


ชายชาตรีอกสามศอก เมื่อชอบสิ่งใดฉกชิงมาเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว หากแกครอบครองเธอแต่แรก ไหนเลยจะมีเรื่องของตี้ฝูอีได้? แกให้เกียรติเธอเกินไป ถ้าแกบีบบังคับเธอสักนิด ก็เผด็จศึกไปแล้ว ตี้ฝูอีแข็งแกร่งกว่าแก ห้าวหาญกว่าแก ฐานะสูงกว่าแก แกถึงได้แพ้หมดรูปแบบนี้…


วางใจเถอะ ยกทุกอย่างให้ฉัน ฉันจะช่วยให้แกได้ครอบครองเธอ ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงของแก ศิโรราบให้แกไปชั่วชีวิต…


เขายกมือขึ้นแล้วมองดูมือตน ยิ้มอีกแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “อาซี ร่างนี้ของแกสมบูรณ์แบบมาก ฉันจะช่วยหล่อหลอมให้ร่างนี้ของแกไปถึงจุดสูงสุด ช่วยให้แกได้ยืนอยู่สูงเหนือปวงชน อย่าต่อต้านฉันเลย แกกับฉันเดิมทีก็เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว…”


น้ำเสียงเขาทุ้มต่ำ ดึงดูด แฝงความสั่นพร่าที่พิสดาร ราวกับกำลังสะกดจิตปลอบขวัญดวงวิญญาณที่ค่อนข้างกระสับกระส่าย…


ยามที่เขาอ้าปากดูเหมือนจะได้กลิ่นสุราเล็กน้อย จึงขมวดคิ้วนิดๆ “ภายหน้าไม่อนุญาตให้ดื่มสุราแล้ว ข้ารังเกียจกลิ่นสุรา!”


เขาหลับตาลงมือทำมุทราตรงหน้าหน้าอก ดูเหมือนจะชำระสิ่งต่างๆ ในร่างอยู่…


….


กู้ซีจิ่ววนไปทั่วทุกซอกทุกมุมภายในโรงเตี๊ยมแล้ว ในที่สุดก็พบแผ่นโลหะเล็กๆ แปลกๆ ชิ้นหนึ่งอยู่ในห้องครัว แผ่นโลหะนี้ฝังตัวอยู่ที่มุมตู้ หลอมเป็นเนื้อเดียวกับตะปูบนตู้ ถ้าไม่สังเกตให้ละเอียดไม่มีทางมองความผิดปกติของมันออก


กู้ซีจิ่วกดฝ่ามือลงบนแผ่นโลหะนั้น แผ่นโลหะแข็งๆ ที่ฝังตัวอยู่ก็ร่วงลงบนฝ่ามือเธออย่างไร้สุ้มเสียง


บนแผ่นโลหะมีตราผนึกอยู่ เธอจึงทำลายผนึกนั้นเสีย สัมผัสได้ทันทีว่าบนนั้นมีพลังวิญญาณประหลาดที่แข็งแกร่งอยู่…


เธอล้วงยันต์ถ่ายทอดเสียงของตัวเองออกมา ยันต์ถ่ายทอดสียงส่องแสงกะพริบถี่รัว ชัดเจนยิ่งนักว่าได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้


เธอมองโครงสร้างของแผ่นโลหะอย่างละเอียดอีกครั้ง หรี่ตาเล็กน้อย เป็นของที่มีวิทยาการสูงยิ่งนัก! ทั้งยังผสานเข้ากับพลังวิญญาณของยุคนี้ด้วย เห็นทีว่าสิ่งนี้จะเป็นของหลงฟั่น


เธอมองสีสันของโลหะแผ่นเล็กๆ นี้ คล้ายจะเก่าอยู่บ้าง น่าจะเป็นปีๆ แล้ว


เพียงแต่ก็ยากจะบอกได้ว่ามีคนจงใจทำให้สิ่งนี้ดูเก่าหรือไม่..


ของทุกอย่างพอเกี่ยวข้องกับตัวหลงฟั่นแล้ว เช่นนั้นก็จะเกิดเครื่องหมายคำถามนับไม่ถ้วนขึ้น ทุกอย่างดูเป็นไปได้ทั้งนั้น


หากว่าในร่างของหลงซือเย่มีวิญญาณดวงที่สองอยู่จริงๆ จะใช่หลงฟั่นไหมนะ?


ถึงแม้จะกล่าวไว้ว่าในยุคนี้วิญญาณสองดวงไม่อาจอยู่ร่วมกันในร่างเดียวได้ แต่อย่างไรเสียชาติก่อนหลงซือเย่ก็เป็นร่างโคลนนิ่งของหลงฟั่น สนามพลังของดวงวิญญาณคนทั้งสองย่อมใกล้เคียงกันยิ่งนัก เช่นนั้นร่างกายของหลงซือเย่ก็น่าจะเข้ากับสนามพลังของหลงฟั่นได้ดียิ่งนัก เรื่องที่เขาสิงร่างหลงซือเย่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้


ยิ่งไปกว่านั้นคือหลงฟั่นผู้นี้เป็นพวกคลั่งชีววิทยามีความรู้บางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ บางทีเขาอาจจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้…


กู้ซีจิ่วมองแผ่นโลหะชิ้นเล็กๆ ในมือปฏิกิริยาแรกคืออยากทำลายมันทิ้ง ขณะที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ก็ชะงักไปอีกครั้ง ถ้าเธอทำลายสิ่งนี้ทิ้งในยามนี้เกรงว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้…


บทที่ 1419 ดูเหมือนไอ้สารเลวนี้กำลังจะก่อเรื่องแล้ว! (3)


ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าจะหยุดมือไว้ก่อน ขณะที่กำลังจะฝังแผ่นโลหะเข้าไปอีกครั้ง จู่ๆ ก็สัมผัสถึงบางอย่างได้ หันกลับไปทันที แผ่นโลหะในมือร่วงลงพื้นจนเกิดเสียงดังเคร้ง


หลงซือเย่ยืนอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังเธอกำลังมองเธออยู่


ทั้งสองสบตากัน หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นกระหน่ำ เธอใช้มือลูบอก “ครูฝึกหลง คุณรู้ไหมว่าทำให้คนอื่นตกใจแทบตายแล้วนะ! จู่ๆ ก็โผล่มาทำฉันตกใจหมดเลย!”


ภายใต้แสงจันทร์ สายตาหลงซือเย่ก็มอมเมาผู้คนได้ดั่งแสงจันทร์ เขาค่อยๆ ก้าวเข้ามา “ซีจิ่ว เธอกำลังทำอะไรอยู่?”


กู้ซีจิ่วก้มตัวหยิบแผ่นโลหะนั้นขึ้นมา แบมือให้เขาดู “รู้จักสิ่งนี้ไหม?”


สายตาหลงซือเย่หันเหไปที่แผ่นโลหะ จากนั้นก็วกกลับมามองหน้าเธอ คล้ายจะพิจารณาปฏิกิริยาของเธออยู่ “นี่คือ?”


กู้ซีจิ่วเอ่ยตอบ “เป็นสิ่งที่ขัดขวางการส่งสัญญาณ! นึกไม่ถึงว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะมีของแบบนี้อยู่ด้วย! โชคดีที่ฉันหาเจอ ไม่งั้นคงนึกว่ายันต์ถ่ายทอดเสียงของฉันพังซะแล้ว! คุณว่าสิ่งนี้จะใช่ของที่หลงฟั่นติดไว้เมื่อปีนั้นหรือเปล่า?”


หลงซือเย่รับแผ่นโลหะมาแล้วมองดู “ดูค่อนข้างเก่าแล้ว…”


กู้ซีจิ่วตอบรับ “ใช่ไง นี่จะต้องเป็นของที่หลงฟั่นแอบมาติดตั้งไว้เมื่อครั้งก่อนแน่นอน ดูเหมือนไอ้สารเลวคนนี้จะระแวงคุณมาก แอบสอดแนมคุณนานแล้ว ของสิ่งนี้ต้องเตรียมไว้เพื่อคุณแน่ๆ”


หลงซือเย่เงียบงัน


กู้ซีจิ่วเก็บแผ่นโลหะมาจากมือเขา “ของชิ้นนี้ฉันจะเอากลับไปศึกษาค้นคว้าดู…”


พลางเก็บแผ่นโลหะนั้นใส่เข้าไปในแขนเสื้อตน ยามที่จะหันหลังก้าวจากไป ก็คล้ายว่าจะนึกอะไรได้ เพ่งพิศหลงซือเย่แวบหนึ่ง “ใช่แล้ว คุณสร่างแล้วเหรอ? ดูเหมือนจะไม่มีกลิ่นสุราสักนิดแล้วนะ”


หลงซือเย่ยิ้มนิดๆ แล้วตอบ “ระยะนี้ฉันมักจะเมามายอยู่บ่อยๆ…เพียงแต่ฉันเองก็รู้ว่าแบบนี้ไม่ดีต่อร่างกาย ดังนั้นจึงฝึกฝนวรยุทธ์แขนงหนึ่ง สามารถสลายสุราภายในร่างอย่างรวดเร็วได้ ทำให้ไม่ถึงกับทำลายสุขภาพตัวเอง”


กู้ซีจิ่วพยักหน้า ถอนหายใจอย่างโล่งอก “มิน่าล่ะ! เมื่อกี้ฉันไม่วางใจ กลัวว่าเมาแล้วคุณจะอยากดื่มน้ำหรือว่าอะไร เลยแวบเข้าไปดูคุณเป็นการเฉพาะ พอเห็นคุณนอนหลับสงบมากก็เลยออกมา”


นัยน์ตาหลงซือเย่สาดแสงเล็กน้อย “ซีจิ่ว ที่แท้เธอก็เป็นห่วงฉันขนาดนี้…”


กู้ซีจิ่วตบไหล่เขาเบาๆ “แน่นอนสิ คุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันนะ แถมฉันยังพบสิ่งผิดปกติในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ด้วย ย่อมไม่วางใจคุณ กลัวว่าคุณจะโดนผีห่าซานตานอะไรแอบเล่นงานเอา”


จากนั้นก็มองสีหน้าเขา เห็นสีหน้าบนใบหน้าหล่อเหล่าค่อนข้างแช่มชื่น “สีหน้าคุณดูไม่เลวเลย ดีแล้วล่ะ ยังเช้าอยู่เลย ฉันจะไปนอนแล้ว คุณก็ไปพักผ่อนต่อเถอะ” หาวออกมาทีหนึ่ง แล้วหันหลังหมายจะจากไป


“ซีจิ่ว!” เรือนกายหลงซือเย่วูบไหว ตรงไปขวางทางเธอไว้


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “หือ?”


หลงซือเย่ยิ้มน้อยๆ “ฉันอยากคุยกับเธอเรื่องหลงฟั่น”


กู้ซีจิ่วแปลกใจ “ไอ้สารเลวนั่นมีอะไรให้คุยกัน? เขาตายไปเมื่อแปดปีก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ? แถมยังถูกลาวาผลาญตายด้วย สภาพการตายคงจะอนาถมาก”


หลงซือเย่แทบจะคงรอยยิ้มไว้ตรงมุมปากไว้ไม่อยู่แล้ว ดวงตาจับจ้องเธอ “ถ้าหากเขายังไม่ตายล่ะ? คนอย่างเขาไม่ตายง่ายๆ หรอก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสละร่างแล้วกลายเป็นคนใกล้ตัวเธอ…”


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ “ที่คุณจะสื่อคือ? เมิ่งซย่าเหรอ? เป็นไปไม่ได้น่า! เมิ่งซย่าเป็นผู้หญิงนะ ต่อให้เขาอยากคืนชีพก็น่าจะสร้างสังขารใหม่เพื่อคืนชีพกระมัง? เป็นไปไม่ได้ที่จะมาสิงสู่ร่างเมิ่งซย่า”


หลงซือเย่ถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าว “บางทีเขาอาจจะสิงร่างฉันล่ะมั้ง?”


———————————————————–


บทที่ 1419 ดูเหมือนไอ้สารเลวนี้กำลังจะก่อเรื่องแล้ว! (4)


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองเขาครู่หนึ่ง ยื่นมามานวดขมับเขา “ครูฝึกหลง คุณเมามากไปแล้ว ความคิดพิสดารอะไรล้วนมีหมด ตอนนี้คุณบรรลุขั้นสิบแล้วนะ ถ้าหลงฟั่นต้อการยึดร่างคุณไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว! หากว่าเขามีความสามารถแบบนี้ ปีนั้นคงยึดร่างคุณแล้วสวมรอยเป็นคุณไปแล้ว ยังไงซะคุณก็เป็นเจ้าสำนักถามสวรรค์ ร้องหนึ่งคราขานรับนับร้อย ยอดเยี่ยมกว่าการที่เขาเป็นสุนัขรับใช้ให้โม่เจ้าตั้งเยอะ คุณว่าใช่ไหมล่ะ?”


หลงซือเย่เงียบงัน


เขามองเธอโดยไม่พูดอะไร กู้ซีจิ่วไม่คิดจะพัวพันกับเขาต่ออีก จึงลากเขาออกเดิน “ฉันว่านะถึงแม้คุณจะสร่างเมา แต่วิธีนี้ของคุณบางทีอาจมีผลข้างเคียงอะไรตามมา ทำให้คุณคิดวุ่นวายเพ้อเจ้อ เอาล่ะๆ กลับไปนอนกัน”


หลงซือเย่หลุบตามองมือน้อยๆ ที่จับจูงเขาอยู่หลายครา เชื่อฟังคำพูด เดินตามเธอออกมา


“บางทีวิธีนี้อาจมีผลข้างเคียงอย่างที่เธอว่าจริงๆ ใช่แล้ว ซีจิ่ว เธอมาหาฉันครั้งนี้มีเรื่องอะไรใช่ไหม? ฉันนึกไม่ออกไปชั่วขณะจริงๆ” หลงซือเย่นวดหว่างคิ้ว


กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างเหลืออด “โง่งม! แม้เรื่องนี้ก็ยังนึกไม่ออก รีบกลับไปนอนสักตื่นเลยนะ นอนตื่นมาคุณน่าจะนึกออกทั้งหมด”


หลงซือเย่เงียบไป


ภายในแสงจันทร์ดวงตาเขาสาดแสงเล็กน้อย มือที่ซ่อนอยู่แข็งทื่อนิดๆ คล้ายว่าอยากทำบางอย่างทว่าตัดสินใจไม่ได้ชั่วขณะ


เขามองใบหน้าด้านข้างของกู้ซีจิ่ว ภายใต้แสงจันทร์ผิวพรรณเธอใสกระจ่างดั่งหยก แพขนตายาวกระพือเป็นครั้งคราวมีเสน่ห์เย้ายวนชวนลุ่มหลง


ร่างกายนี้เขาเป็นผู้สร้างขึ้นมาชัดๆ คุ้นเคยยิ่งนักทุกสัดส่วน ยามที่นอนอยู่ในนั้น เขารู้สึกเพียงว่ามันเป็นเพียงผลงานที่สมบูรณ์แบบยิ่งนักชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้พอมีดวงวิญญาณของเธออยู่ในร่าง กลับทำให้ร่างนี้คล้ายจะเปล่งความงดงามเจิดจรัสที่ยากจะพรรณนาได้ออกมา ทำให้หัวใจเขาเต้นระรัว เลือดลมพลุ่งพล่าน ปรารถนาจะครอบครองเธอโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดยิ่งนัก!


ยากนักที่เธอจะอยู่เพียงลำพังเหมือนในยามนี้ ซ้ำยังอยู่ข้างกายตน…


ถ้าเขาเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาในยามนี้จู่โจมเธอกะทันหันจะหน่วงเหนี่ยวเธอได้ไหมนะ?


หรือจะใช้ฐานะของหลงซือเย่ติดตามอยู่ข้างกายเธอแล้วหาโอกาสเล่นงานตี้ฝูอีดี? กำจัดศัตรูหัวใจผู้นั้นไปเสีย?


แบบแรกสามารถครอบครองเธอได้ทันที ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงของเขา แบบหลังจะเป็นประโยชน์ต่อการครองโลกของเขา…


เพียงแต่แบบแรกก็สามารถสร้างปัญหาวุ่นวายระหว่างเธอกับตี้ฝูอีได้กระมัง? ไม่แน่ว่าอาจทำให้ตี้ฝูอีเสียหลักไปเลย ร่วงลงสู่กับดักของเขา


ดวงตาเขาฉายแววดำมืด ปลายนิ้วในแขนเสื้อลอบทำมุทรา…


สีหน้ากู้ซีจิ่วสงบราบเรียบ ทว่ากำลังจับสัมผัสปฏิกิริยาของเขาอย่างละเอียดยิ่งนัก เธอสัมผัสได้ว่ากล้ามเนื้อเขาหดเกร็ง สัมผัสได้ว่ามือเขาเริ่มทำมุทราแล้ว…


ดูเหมือนไอ้สารเลวนี้กำลังจะก่อเรื่องแล้ว!


มือข้างหนึ่งของเธอจับเขาไว้ ส่วนอีกข้างเรียกกริชเล่มหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่า…


กริชเล่มนี้ช่วยสร้างให้เธอตอนที่อยู่ในตาค่ายแห่งนั้น วัสดุพิเศษยิ่งนัก สร้างมาจากรากของต้นถันภังคี บรรจุพลังวิญญาณไว้ภายใน ภายนอกดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าแทงถูกร่างคน พลังวิญญาณนั้นจะปะทุทะลักทลาย ใช้กำราบมารปีศาจโดยเฉพาะ ร้ายกาจว่ากระบี่ไม้ท้อของลัทธิเต๋าเป็นหมื่นเท่า


หลงฟั่นน่าจะเข้าสู่สายมารแล้ว หากว่าเธอแทงเขาสักทีได้สำเร็จ คาดว่าจะสามารถทำให้ดวงวิญญาณของเขาบาดเจ็บได้ ผลเสียเพียงอย่างเดียวคือทำให้หลงซือเย่บาดเจ็บสาหัสไปด้วย แถมอาการบาดเจ็บนี้ยังไม่อาจฟื้นฟูได้อีกด้วย


ถ้าไม่ถูกบีบคั้นจนหมดหนทางถอย กู้ซีจิ่วก็ไม่คิดจะใช้กระบวนท่านี้…


ทั้งสองต่างมีแผนการของตน แขนเสื้อของหลงซือเย่ไหวนิดๆ ดูเหมือนมุทรากำลังจะก่อร่างแล้ว ในอากาศมีลมกรรโชกเล็กน้อย คนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง แยกคนทั้งสองที่จับจูงกันอยู่ออก เข้าไปแทรกอยู่ตรงกลางทันที หลงซือเย่ถูกเขาเบียดให้ถอยไปด้านหลัง “ตี้ฝูอี!”


ผู้ที่มาสวมชุดสีม่วง เกศาดำดุจธารหมึก ดวงตาเยียบเย็นปานธารน้ำแข็ง มุมปากคล้ายจะยิ้มทว่ามิเชิงยิ้ม ผู้มาก็คือตี้ฝูอี


บทที่ 1420 เป็นกู้ซีจิ่วที่จูงเขาอยู่ตลอดไม่ใช่หรือไง?!


เขายื่นมือไปดึงกู้ซีจิ่วเข้าสู่อ้อมแขนของตนก่อน จากนั้นก็เหลือบมองหลงซือเย่แวบหนึ่ง “นางเป็นภรรยาของข้าแล้ว เจ้าไม่ควรมาจับจูงถือแขนนาง! ไม่ต้องการอุ้งเท้าหน้าแล้วกระมัง?”


หลงซือเย่พูดไม่ออก เป็นกู้ซีจิ่วที่จูงเขาอยู่ตลอดไม่ใช่หรือไง?!


เมื่อตี้ฝูอีมา เขาย่อมลอบจู่โจมต่อไม่ได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ไม่ได้พบกันเสียนาน!”


ตี้ฝูอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “นานมากแล้วจริงๆ!”


เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นก็มองหลงซือเย่ “ดึกดื่นค่อนข้างเช่นนี้ กลางดึกเจ้าไยไม่นอน วิ่งมาจับมือถือแขนพูดคุยกับภรรยาข้าถึงที่นี่ด้วยเหตุใด?”


หลงซือเย่นิ่งงัน


เขากระแอมเบาๆ คราหนึ่ง “ข้ากับนางไม่ได้พบกันเสียนาน ดังนั้นจึงพูดคุยกันมากไปหน่อย…ท่านมาก็ดีแล้ว พวกเรากำลังคุยกันเรื่องหลงฟั่น บางทีท่านอาจจะออกความเห็นของท่านได้…”


ตี้ฝูอียิ้มมิเชิงยิ้ม “สวะผู้นั้นมีอันใดให้พูดถึงกัน? เอาล่ะ ดึกมากแล้ว เจ้าควรไสหัวไปพักผ่อนซะ มีเรื่องอะไรรอเช้าแล้วค่อยว่ากัน!”


พลางโอบกู้ซีจิ่วออกเดิน “ซีจิ่ว ตอนนี้เป็นภรรยาผู้อื่นแล้ว ไม่ว่ามีเรื่องสำคัญอันใดก็ไม่อาจมาจับมือถือแขนกับชายอื่นยามดึกดื่นเช่นนี้ได้ ข้าจะไม่พอใจ เข้าใจไหม?”


เขามาแล้วจากไปปานสายลมหอบหนึ่ง โอบกู้ซีจิ่วเดินตรงไปยังห้องพักทันที


กู้ซีจิ่วไม่นึกว่าเขาจะมาอย่างรวดเร็วปานนี้! ถอนหายใจอย่างโล่งอก ซบอยู่ในอกเขา ไม่ลืมที่จะชี้แจง “ข้ากับเขาเป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไร”


ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ “ข้าย่อมทราบว่าระหว่างพวกเจ้าไม่มีอะไร ข้าแค่ไม่อยากให้คนอื่นติฉินเอาเท่านั้น พวกเรากลับห้องแล้วค่อยคุยกัน”


กู้ซีจิ่วนึกถึงหลีเมิ่งซย่าที่ยังอยู่ในห้อง “ตอนนี้ข้าร่วมห้องกับเมิ่งซย่า…”


“เมื่อข้ามาแล้วเจ้าก็ต้องร่วมห้องกับข้า” ตี้ฝูอีโอบเธอเข้าไปในห้องพักอีกห้องหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องที่เธอเคยพัก…


หลงซือเย่ยืนอยู่ที่เดิม มองเงาหลังของสองคนนั้นเข้าสู่อาคารไป มือค่อยๆ กำแน่น หัวใจพลันปวดแปลบขึ้นมา!


เขายกแขนเสื้อดึงไว้เบาๆ สบถด่าอยู่ในใจ ‘ไอ้ขี้ขลาด’


เขาหันหลังกลับห้องพักเช่นกัน นั่งบนเตียงหลุบตาปรับลมปราณเงียบๆ พยายามอ่านความทรงจำของวิญญาณอีกดวงที่หลับใหลอยู่ในร่างดูอีกครั้ง แต่วิญญาณดวงนั้นผนึกตัวเองไว้แน่นหนายิ่งนัก เขายังคงอ่านไม่ได้เช่นเดิม


ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ร่างของเขา และวิญญาณอีกดวงก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน เขาไม่อาจกลืนกลินอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์ได้ในชั่วขณะ ทำได้เพียงใช้วิธีค่อยๆ แฝงเร้นแทรกซึมเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ส่งผลอย่างช้าๆ…


….


หลังจากตี้ฝูอีโอบกู้ซีจิ่วเข้าห้องแล้วก็ลงมือกางเขตแดนทันที ใช้คาถาชำระล้างกับร่างกายเธอต่อเนื่องกันหลายครั้งก่อน ถึงค่อยดึงเธอนั่งลงข้างเตียง ยื่นมือไปจับชีพจรเธอก่อน พลางเอ่ยถามเธอ “สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ตอนนี้สามารถบอกข้ามาตามจริงได้แล้ว”


กู้ซีจิ่วอิงแอบอยู่ในอ้อมอกเขา อ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ทำให้เธอละโมบนัก เธอยังคงฉงนอยู่ “ท่านรู้หรือยังว่ามีเรื่องที่อาจคุยผ่านยันต์ถ่ายทอดเสียงอย่างละเอียดได้?”


ตี้ฝูอีจับชีพจรให้เธอเสร็จแล้ว ดึงเธอขึ้นมานอนบนเตียง ให้เธอหนุนท่อนแขนตน “ยันต์ถ่ายทอดเสียงของเจ้าติดต่อไม่ได้อยู่ตลอด ข้าจึงสงสัยว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น ตอนที่เจ้าติดต่อมาหาข้า ข้าอยู่ระหว่างเดินทางแล้ว ภายหลังไม่ง่ายเลยกว่าจะติดต่อได้ อีกทั้งเจ้าก็เอาแต่พูดจาคลุมเครือ ข้าเองก็ไม่ได้โง่ ย่อมไม่ถามซักไซ้อีก มาพบเจ้าเลยดีกว่า สนทนากันซึ่งๆ หน้า มา บอกมาสิ วันนี้เจ้าได้อะไรมาบ้าง? เหตุใดดึกดื่นค่อนคืนแล้วยังไปจับมือถือแขนกับหลงซือเย่อยู่ในสวนอีก?”


กู้ซีจิ่วไม่ได้ถือสาอะไรกับคำพูดของเขา ด้วยเหตุนี้จึงเล่าเรื่องราววันนี้ให้เขาฟังตามจริง


————————————————————————————-


บทที่ 1421 เด็กน้อย รีบร้อนปานนี้ไปทำไม


สุดท้ายกู้ซีจิ่วก็กล่าวว่า “หากไม่คิดไปจากที่คาดไว้ ครูฝึกหลงคงถูกหลงฟั่นสิงร่างแล้ว และดูเหมือนว่าครูฝึกหลงเองก็ไม่รู้ตัวด้วย และหลงฟั่นคงควบคุมร่างเข้าได้แค่หลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป ตอนนี้เรื่องที่ข้าค่อนข้างกังวลคือตอนอยู่เขาถามสวรรค์ข้าคุยธุระกับครูฝึกหลงไปไม่น้อยเลย หลงฟั่นใช้ร่างเดียวกับเขา ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับความทรงจำของเขาด้วย เช่นนั้นก็เท่ากับแผนการของพวกเราถูกเปิดเผยล่วงหน้าแล้ว…”


ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง “ตามปกติแล้ว หากว่าวิญญาณสองดวงอยู่ในร่างเดียวกัน จะไม่มีความทรงจำร่วมกัน อย่างเช่นหลงซือเย่ เขาก็ไม่รู้ว่าในร่างมีหลงฟั่นอยู่ และจากถ้อยคำที่หลงฟั่นคุยกับเจ้าเห็นได้ชัดว่าเป็นหยั่งเชิงหลอกถาม เมื่อดูจากจุดนี้แล้วหลงฟั่นคงไม่ทราบแผนการของพวกเรา เพียงแต่คนผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ยากจะรับประกันได้ว่าเขาเล่นละครหรือไม่ ต้องการลดความระแวงของเจ้า การมาถึงของข้าคงทำให้เขาร้อนรน หากว่าเขาไม่รู้แผนการของพวกเราจริงๆ คืนนี้เขาน่าจะไปลงมือกับหลีเมิ่งซย่า ใช้วิชาควบคุมจิตใจให้หลีเมิ่งซย่าบอกทุกเรื่องราวที่เขาอยากรู้…”


กู้ซีจิ่วลุกขึ้นนั่งทันที “เช่นนั้นพวกเรายังอยู่ที่นี่กันอีกทำไม? รีบไปคอยที่ห้องพักของหลีเมิ่งซย่าสิ! เมิ่งซย่าทราบความภายในบางอย่าง ถ้านางเผยออกมาคงไม่ดี…”


ตี้ฝูอียกมือกดเธอไว้ “เด็กน้อย รีบร้อนปานนี้ไปทำไม? เพิ่งได้พบข้าก็คิดจะไปแล้วหรือ? ไม่คิดถึงข้าหรือไง?”


ลมหายใจเขาอุ่นร้อน มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน


ทั้งสองไม่ได้ชิดใกล้กันมาหลายวันแล้ว กู้ซีจิ่วย่อมทราบว่าท่าทางเช่นนี้ของเขาสื่อถึงอะไร หัวใจพลันอุ่นวาบ ยกแขนกอดเขาแล้วจุมพิตหน้าผากเขาทีหนึ่ง “ต้องคิดถึงท่านอยู่แล้ว เพียงแต่ยามนี้พวกเรายังมีธุระเร่งด่วนอยู่ ไม่อาจให้เมิ่งซย่าติดกับเขาได้…”


แล้วดันร่างเขา ลุกขึ้นมานั่ง


ตี้ฝูอีนอนอยู่ตรงนั้น เขากลับไม่อนาทรร้อนใจเลย “ไม่จำเป็นต้องร้อนรน หลงฟั่นไม่กล้าลงมือในเวลานี้หรอก”


“หือ?” กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองเขา


“หลงฟั่นมีนิสัยขี้ระแวง ปกติแล้วถ้าไม่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเขาจะไม่ยอมเสี่ยง เขาหวาดระแวงข้ายิ่งนัก เจ้ากับข้าเพิ่งเข้าห้องได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ต่อให้เขาจะเคลื่อนไหว ก็ต้องรอพวกเราหลับกันหมดถึงจะไปลงมือ”


ตี้ฝูอีมองนาฬิกาทรายบนโต๊ะ “หากว่าเขาจะลงมือ น่าจะเป็นอีกครึ่งชั่วยามให้หลัง ตอนนี้ไปที่นั่นก่อนก็ไม่มีประโยชน์”


กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วนิดๆ “ไม่กลัวหนึ่งหมื่นแต่กลัวหนึ่งในหมื่น[1] ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่ายามนี้เขาใจกล้ายิ่งนัก บางทีเขาอาจจะนึกว่าข้ากับท่านแนบชิดเร่าร้อนกัน แล้วฉวยโอกาสนี้…”


ตี้ฝูอีเอ่ยยิ้มๆ “เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราไม่ได้แนบชิดกันมานานมากแล้ว?”


กู้ซีจิ่วชะงักไป


เธอไม่คิดจะถกเถียงกับเขาให้เสียเวลา ร่างกายเปล่งแสงวาบ “ข้าจะล่วงหน้าไปดูก่อน!” ใช้วิชาเคลื่อนย้ายหนีไปทันที


อ้อมแขนของตี้ฝูอีว่างเปล่า เขาตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มฝืดๆ แล้วส่ายหน้า ก่อนนั่งสมาธิอยู่ที่เดิมเสียเลย


กู้ซีจิ่วใช้วิชาเคลื่อนย้ายเข้าไปในห้องพักของหลีเมิ่งซย่า จากนั้นก็ได้เห็นฉากที่ตนคาดคะเนไว้


หลงซือเย่อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย! ส่วนหลีเมิ่งซย่าก็เห็นได้ชัดว่าถูกเขาควบคุมไว้แล้ว…


หลีเมิ่งซย่านั่งทึ่มทื่ออยู่บนเตียง หลงซือเย่ยืนอยู่หน้าเตียง กำลังมองนางอย่างอ่อนโยน “ประมุขเมิ่ง ทราบหรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด?”


“ทราบ เจ้าสำนักหลง”


“ซีจิ่วกับเจ้ามาหาข้าด้วยเหตุใด?”


“ซีจิ่วไม่ได้พบท่านนานแล้ว จึงมาเยี่ยมเยือนรำลึกความหลังและถือโอกาสเชิญท่านลงเขา”


“อ่อ เชิญข้าลงเขาไปทำอะไร?”


หลีเมิ่งซย่าตาโต “ท่านโง่หรือไง? ด้านนอกวุ่นวายถึงเพียงนี้ ภูตผีปีศาจเดินเพ่นพ่านไปหมด ท่านเป็นหมอ มีเรื่องให้ช่วยตั้งเยอะแยะ หน้าที่ของหมอคือเยียวยารักษาคน เจ้าไม่คิดจะรักษาหรืออย่างไร?”


————————————————————————–


[1]  ไม่กลัวหนึ่งหมื่นแต่กลัวหนึ่งในหมื่น ความหมายคือ ไม่ควรประมาทเพราะอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้


บทที่ 1422 พอหรือยัง? พวกเรากลับกันเถอะ


หลงซือเย่พูดไม่ออกแล้ว


เขาสังเกตแววตาของหลีเมิ่งซย่าอย่างละเอียด ยืนยันนางยังคงถูกตนควบคุมอยู่จริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงค่อยๆ ถามอีก “เช่นนั้นพวกเจ้างแผนอะไรไว้?”


หลีเมิ่งซย่าจ้องมองเขา ดูงงงวยยิ่งกว่าเขาเสียอีก “จะเอาแผนอะไรล่ะ? เชิญท่านลงเขาก่อนแล้วค่อยว่ากันไง อ้อ ใช่แล้ว สี่ผู้คุ้มกันคนสนิทของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคล้ายจะถูกยาบางอย่างควบคุมไว้ ซีจิ่วกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายล้วนจนปัญญา คงจะมาเชิญท่านไปตรวจดูอย่างละเอียดกระมัง”


นัยน์ตาหลงซือเย่วูบไหวเล็กน้อย “หลายปีมานี้พวกตี้ฝูอีไปอยู่ที่ไหนมา? เหตุใดจึงปรากฏตัวขึ้นในยามนี้?”


หลีเมิ่งซย่าส่ายหน้า “ไม่รู้ พวกเขาไม่ได้บอก”


หลงซือเย่พูดไม่ออกอีกครั้งแล้ว…


เขาถามต่อเนื่องกันอีกหลายคำถาม ยิ่งถามก็ยิ่งเข้าใกล้ประเด็นสำคัญ แต่หลีเมิ่งซย่ากลับเสมือนเสียความทรงจำเรื่องพวกนี้ไปจนหมดสิ้น ส่วนใหญ่ล้วนไม่ทราบเลย หลงซือเย่ถามอยู่นานสองนาน ไม่ได้ถามคำถามสำคัญออกมาสักคำถาม


หลงซือเย่มองดูหลีเมิ่งซย่า เกือบสงสัยแล้วนางไม่ได้ถูกตนควบคุมไว้ เจตนามาปั่นหัวเขา!


แต่เมื่อมองดูดวงตาของหลีเมิ่งซย่าก็เห็นได้ชัดว่าเลื่อนลอยอีกทั้งในม่านตานางก็มีจุดสีม่วงหมุนวนอยู่ เป็นหลักฐานว่านางถูกควบคุมไว้แล้วจริงๆ…


ดูท่าพวกตี้ฝูอีทั้งสองจะรักษาความลับในการทำงานได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก หลีเมิ่งซย่าจึงไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ยามที่เขาจะจากไปได้เอ่ยถามคำถามสำคัญอีกข้อหนึ่ง “ซีจิ่วสงสัยอะไรข้าหรือไม่? นางพูดอะไรกับเจ้าหรือเปล่า?”


ดุเหมือนคำถามนี้จะค่อนข้างยากเย็นสำหรับหลีเมิ่งซย่า นางชะงักไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยตอบ “จะสงสัยอะไรท่านได้ล่ะ? นางค่อนข้างเชื่อใจครูฝึกหลงเสมอมา ระหว่างทางก็พูดถึงท่านในแง่ดีตลอด บอกว่าท่านเป็นเพื่อนตายของนาง…”


หลงซือเย่นิ่งไป


เขาถอนหายใจเบาๆ “แต่นางก็รู้ว่าเขาไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนของนาง…”


หลีเมิ่งซย่าเบิกตามองเขา เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้


หลงซือเย่ส่ายหัวนิดๆ โบกแขนเสื้อไปทางหลีเมิ่งซย่าคราหนึ่ง หลีเมิ่งซย่าเอนกายนอนบนเตียงอีกครั้ง หลงซือเย่หลุบตามองนางอยู่ครู่หนึ่ง สะบัดแขนเสื้ออีกครา ผ้านวมข้างกายหลีเมิ่งซย่าเหินขึ้นมาอย่างสงบ ห่มร่างนางไว้ สุ้มเสียงเขาอ่อนโยนยิ่งกว่าสายน้ำ “นอนเถอะ เมื่อตื่นขึ้นมาเจ้าจะจำเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้ว”


หลีเมิ่งซย่าหลับตาลงแล้วหลับใหลไปจริงๆ หลงซือเย่จึงหมุนกายจากไป


กู้ซีจิ่วซ่อนอยู่ในจุดอับ ฝ่ามือเปียกชื้น ตอนที่เธอเพิ่งมาถึงเกือบจะพุ่งออกไปยับยั้งหลีเมิ่งซย่าไม่ให้พูดความจริงแล้ว และแน่นอนว่าเตรียมป้องกันอยู่ทุกเมื่อหากว่าหลงซือเย่จะลงมือสังหารหลีเมิ่งซย่า คาดไม่ถึงเลยว่าต่อให้หลีเมิ่งซย่าถูกควบคุมไว้แล้วก็สามารถปกปิดได้อย่างไร้ช่องโหว่…


กู้ซีจิ่วถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก ดูเหมือนจะนึกอะไรได้ ขณะที่คิดจะเคลื่อนย้ายกลับไป จู่ๆ เอวก็ถูกแขนข้างหนึ่งคล้องไว้ คนผู้หนึ่งโอบเธอไว้ในวงแขน “ดูพอหรือยัง? พวกเรากลับกันเถอะ”


จากนั้นกู้ซีจิ่วก็กลับมาอยู่ที่ห้องพักของตนอีกครั้ง เธอมองตี้ฝูอีที่อยู่ด้านหลัง “ท่านวางลูกไม้ไว้บนร่างเมิ่งซย่าก่อนแล้วใช่ไหม?!”


ตี้ฝูอีวางเธอลงบนเตียง “อืม”


“ท่านยังไม่ได้เจอข้าก็ทราบแล้วหรือว่าหลงซือเย่มีปัญหา?”


ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “ยันต์ถ่ายทอดเสียงขอเจ้าติดต่อไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าโดนลูกไม้แล้ว อีกทั้งเจ้าไม่สะดวกจะคุยผ่านยันต์ถ่ายทอดเสียง ยืนยันได้ว่าเจ้าจะเกรงคนอื่นจะได้ยิน อีกทั้งในยันต์ถ่ายทอดเสียงน้ำเสียงของเจ้าผิดปกติ…ข้าย่อมจับสังเกตได้ว่าหลงซือเย่มีปัญหาแล้ว พอข้ามาถึงห้องพักตามที่เจ้าบอกไว้ก็ได้พบหลีเมิ่งซย่าก่อน จึงถือโอกาสปรับเปลี่ยนความทรงจำบางส่วนของนาง แล้วถึงออกไปหาเจ้า…“


เจ้าคนผู้นี้ประหนึ่งจูเก๋อเลี่ยงกลับชาติมาเกิดโดยแท้ กลยุทธ์ล้นเหลือ!


“ที่แท้ท่านก็คิดอะไรเผื่อไว้หมดแล้ว…”


—————————————————————


บทที 1423 เจ้าอย่าได้ขัดความอยากข้าเลย…


“ที่แท้ท่านก็คิดอะไรเผื่อไว้หมดแล้ว…” กู้ซีจิ่วขึ้นไปนอนบนเตียง ถอนหายใจอย่างโล่งอก “มิน่าล่ะเมื่อกี้ท่านถึงสงบนิ่งปานนั้น”


“ไม่ หนนี้ข้าก็คิดไม่เหมือนกันว่าหลงฟั่นจะไปหลอกถามหลีเมิ่งซย่าในยามนี้ ซีจิ่ว เจ้าเดาถูก เข้าใจกล้าไม่น้อยเลยจริงๆ โชคดีที่ข้าเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว มิเช่นนั้นแผนการทั้งหมดคงต้องปรับเปลี่ยน…”


ตี้ฝูอีก็ขึ้นไปนอนบนเตียงแล้ว รั้งนางเข้าสู่อ้อมแขนตน “ซีจิ่ว เจ้ามีความชอบแล้ว”


“หือ?”


“อันที่จริงข้าคิดมาตลอดว่าว่าหลงฟั่นไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่ ติดตรงที่ไม่มีเบาะแสเลย นึกไม่ถึงว่าการที่เจ้ามาหาหลงซือเย่จะบังเอิญค้นพบเขาเข้าพอดี”


กู้ซีจิ่วเพียงฟังเขาพูด “ทีแรกข้านึกว่าไอ้ตัวปลอมนั่นคือหลงฟั่นที่ปลอมตัวมา อย่างไรเสียก็มีเพียงไอ้สวะคนนี้ที่สามารถสร้างร่างโคลนนิ่งของข้าได้ แต่หลังจากได้พบไอ้ตัวปลอมผู้นั้น ข้าถึงพบว่าไม่ใช่เขา หลงฟั่นวิชาแพทย์น่าตะลึง แต่ไอ้ตัวปลอมผู้นั้นแม้แต่อาการบาดเจ็บของเมิ่งซย่าก็ตรวจไม่ได้ ซ้ำยังให้มู่เฟิงมาตรวจดูอีก บุคลิกก็ไม่เหมือน เขามีแต่ร่างกลวงๆ ทว่าไม่มีรัศมีเช่นนั้น ถ้าหลงฟั่นสอดมือเข้าแทรกแซงร่องรอยจะชัดเจนมาก ในเมื่อตัวปลอมผู้นั้นไม่ใช่เขา เช่นนั้นเขาจะแอบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งแล้วแอบบงการทุกสิ่งกระมัง? ข้าคาดเดาไว้หลายคนนัก และแอบตรวจสอบไปหลายคนแล้ว ล้วนมิใช่เขา ตกหล่นไปเพียงหลงซือเย่…”


กู้ซีจิ่วมองเขา “ว่าต่อสิ”


ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “หลงฟั่นมีใจทะเยอทะยานยิ่งนัก เมื่อก่อนเขาอยู่ภายใต้โม่เจ้าก็ไม่พอใจแล้ว ในใจมีแผนการของตนอยู่มากมายนัก ศึกนั้นเมื่อแปดปีก่อน โม่เจ้าปางตาย จะฟื้นฟูต้องการเวลาอีกหลายสิบปี ส่วนหลงฟั่นก็ฟื้นตัวเร็วกว่าที่ข้าคาดกรณ์ไว้สามสี่ปี ที่เขาฟื้นฟูได้ก่อนเวลาน่าเกี่ยวข้องกับเซียนหญิงลี่หวางผู้นั้น ในมือของลี่หวางน่าจะถือครองวิชาลับบางอย่างที่ไม่มีบนโลกนี้ไว้ ระหว่างพวกเขาทั้งสองจะต้องบรรลุสนธิสัญญาอันใดแล้วแน่นอน ลี่หวางช่วยเขาให้สิงสู่ร่างของหลงซือเย่ และเขาก็รับปากเงื่อนไขลับบางประการกับลี่หวางไว้ หลังจากหลงฟั่นฟื้นฟูได้ และสืบทราบแน่ชัดว่าข้าหายตัวไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงดำเนินแผนโยนไอ้ตัวปลอมออกมา ให้ไอ้ตัวปลอมนั่นสวมรอยเป็นข้าทำเรื่องชั่วช้าไร้คุณธรรม ประการแรกคือเพื่อดูว่าข้าหายตัวไปจริงหรือเปล่า ประการที่สองคือทำลายชื่อเสียงของข้าด้วย ทำให้ชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายฉาวโฉ่อย่างสิ้นเชิง จากนั้นเขาก็จะใช้ฐานะของผู้กอบกู้โลกมาปราบปรามตัวปลอมผู้นี้ เอาชนะใจคนทั้งแผ่นดิน สุดท้ายจะกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของทวีปนี้…”


แผนการนี้ค่อนข้างน่าตะลึง กู้ซีจิ่วรู้แจ้งในทันใด ทอดถอนใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “แผนนี้ช่างแนบเนียนไร้ที่ติดยิ่งนัก!”


ตี้ฝูอีพยักหน้า “ใช่ สมบูรณ์แบบมาก หากว่าข้าไม่โผล่ออกมาเลย ผ่านไปอีกปีสองปีแผนนี้ของเขาน่าจะประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์ไปแล้ว โชคดีที่พวกเราไม่นับว่าออกมาสายเกินไป ซ้ำยังมาทันทำลายแผนการของเขาด้วย”


“เช่นนั้นขั้นต่อไปจะเอาอย่างไร? ท่านมีแผนการไหม?” กู้ซีจิ่วมองเขาด้วยดวงตาเปล่งประกาย


“มี!” นิ้วของตี้ฝูอีเกี่ยวสายรัดเอวเธอ จุมพิตริมฝีปากเธอทีหนึ่ง ”ตอนนี้พวกเรามาทำเรื่องสำคัญกันก่อน เรื่องวุ่นวายพวกนั้นไว้คุยกันทีหลัง…”


“นี่ มายั่วให้อยากรู้ มันบาปนะ ดีร้ายอย่างไรท่านก็พูดให้จบก่อนสิ…” กู้ซีจิ่วจับอุ้งเท้าจิ้งจอกของเขาไว้


นัยน์ตาตี้ฝูอีใสกระจ่างดั่งสายธารฤดูใบไม้ผลิ มองเธออย่างน่าสงสาร “เด็กน้อย ข้าอดยากมานานแล้ว หิวมาก เจ้าอย่าได้ขัดความอยากข้าเลย…”


เขาพูดอย่างอ่อนโยนน่าสงสาร ทว่าการเคลื่อนไหวกลับรุนแรงยิ่ง ทาบทับเธอทันที แสงสีขาวผุดออกมาจากปลายนิ้ว ด้วยเหตุนี้อาภรณ์บนร่างกู้ซีจิ่วจึงหายไป…


….


หนึ่งชั่วยามให้หลัง ทั้งสองคนนอนกอดกันอยู่ในผ้านวมเสมือนยวนยางเคล้าคลอ ตี้ฝูอีกอดเธออย่างอิ่มเอม “เด็กน้อย เจ้ามีอะไรอยากถามไหม?”


—————————————————————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)