คัมภีร์วิถีเซียน 1416-1419
ตอนที่ 1416 หอคอยผนึกวิญญาณ
“ท่านอรหันต์โปรดตามข้าน้อยมาขอรับ!” หลังจากที่ชายหนุ่มชาววิหคสวรรค์รอหานลี่พิจารณาเมืองยักษ์จากที่ไกลๆ เสร็จแล้ว ก็เอ่ยตอบอย่างนอบน้อม
หานลี่พยักหน้า ปีกทั้งสองที่แผ่นหลังพลันกระพือ บินตามชายหนุ่มไปที่เสายักษ์ใกล้ๆ
ระหว่างทางชายหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยปากอธิบายว่า
“ท่านอรหันต์โปรดระวังด้วย อย่าออกห่างจากเสาสวรรค์มากเกินไป มีเพียงในบริเวณห้าสิบจั้งของเสาเหล่านี้ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเขตต้องห้ามของเมือง สามารถเข้าออกเมืองศักดิ์สิทธิ์ไป เขตต้องห้ามของเมืองวิหคสรรค์ มีชื่อเสียงมากในทั้งเจ็ดสิบสองสาขา ขอแค่มีเขตอาคมนี้ ก็เพียงพอจะต้านทานกับศัตรูหลายเท่าแล้ว ในอดีตกาลเผ่าของเราเคยผ่านพ้นอันตรายมาจากการถูกทำลายล้างเผ่ามาแล้วหลายครั้ง”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความถือดี
แม้ว่าหานลี่จะไม่เคยตรวจสอบเขตอาคมต้องห้ามของเมืองนี้ แต่แค่แรงกดอันน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากม่านลำแสง ก็ทำให้รู้ว่าชายหนุ่มมิได้หลอกลวง จึงอดที่เหลือบมองไปสองแวบไม่ได้
ผลคือรูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ภายใต้เนตรวิญญาณวารีกระจ่าง คาดไม่ถึงว่าจะมองจุดที่ไม่ธรรมดาออก
กลางอากาศมีลำแสงสีขาวโพลน คาดไม่ถึงว่าจะมีเส้นไหมสีเขียวเงินสองสีเปล่งแสงเรืองๆ ลอยอยู่ พวกมันดูเหมือนบางมาก แต่พลังวิญญาณที่น่ากลัวที่ส่งมาจากกลางอากาศ กลับออกมาจากเส้นไหมลำแสงนั้นกว่าครึ่ง
หลังจากที่หานลี่มองลึกเข้าไปสองสามแวบ ชายหนุ่มก็บินออกมาจากเสายักษ์ด้านข้าง
ชั่วครู่ทั้งสองก็มาปรากฎตัวในเมืองยักษ์
มองปราดเดียวบนถนนในเมืองมีสิ่งปลูกสร้างอยู่เยอะมาก แต่กลับไม่เหมือนกับเมืองของเผ่ามนุษย์
สิ่งที่เรียกว่าบ้านเรือนต่างๆ ในเมืองมีลักษณ์เป็นเสากลมๆ หลังคาเป็นรูปทรงกรวย สูงเตี้ยแตกต่างกันไป สูงหน่อยมีขนาดร้อยจั้งเศษ เตี้ยหน่อยกลับมีความสูงแค่สองสามจั้งเท่านั้น แต่ทุกแห่งล้วนมีประตูและหน้าต่างเป็นรูปพัดครึ่งวงกลม
สิ่งที่ทำให้หานลี่ประหลาดยิ่งกว่าก็คือยังมีสิ่งปลูกสร้างกว่าครึ่งที่สร้างขึ้นบนกำแพงหินด้านหนึ่งของเมืองที่อยู่ไกลออกไป บ้างก็มีถ้ำที่ดูเหมือนรังผึ้งเรียงรายกันอยู่บนกำแพงภูเขาที่สูงชัน
“ท่านอรหันต์ขอรับเรือนรับรองอยู่ต่างจุดต่างๆ ของเมือง ท่านอรหันต์ไปพักในเรือนที่ใกล้ที่สุดเป็นอย่างไร? ที่นั่นน่าจะยังว่างอยู่” ชายหนุ่มเอ่ยขอคำรับสั่งอย่างนอบน้อม
“แล้วแต่ เอาตามที่เจ้าพูดก็แล้วกัน” หานลี่มีท่าทีอย่างไรก็ได้
ชายหนุ่มตอบรับว่า “ขอรับ” แล้วพาหานลี่บินต่ำๆ ตรงไปข้างหน้า นี่จึงทำให้หานลี่ได้ชมทัศนียภาพของเมืองได้ไม่น้อย และได้บินสวนกลับบุรุษและสตรีมีปีกที่บินไปมาอยู่ต่ำๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็หยุดลงหน้าเหล่าสิ่งปลูกสร้างที่ดูไม่เล็กน้อยแห่งหนึ่ง และร่อนลงบนไปแท่นเวทีหนึ่งในนั้น
ปลายสุดของแท่นมีเรือนทรงกลมสามชั้นอยู่หลังหนึ่ง
เมื่อทั้งสองร่อนลงบนพื้น หญิงสาวที่แผ่นหลังมีปีกขนสีขาวบริสุทธิ์ก็เดินออกมาจากในเรือนในทันที คารวะให้ทั้งสองจากที่ไกลๆ
“ที่แท้ก็พี่ฮว่าอวี่นี่เอง อรหันต์ผู้นี้จะพักที่เรือนรับแขกหรือ?”
“ไป๋ชุ่ย นี่คือท่านอรหันต์หาน แขกของแม่ทัพเฟิงเสี้ยว เจ้าต้องดูแลให้ดี” คาดไม่ถึงว่าฮว่าอวี่จะรู้จักหญิงสาวที่ดูเหมือนสาวใช้ผู้นี้ จึงเอ่ยอย่างเคร่งขรึมขึ้น
“แขกของท่านแม่ทัพเฟิงเสี้ยว! ข้าจะรับใช้ท่านอรหันต์เป็นอย่างดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินชื่อของเฟิงเสี้ยว หญิงสาวหน้าตาน่ารักผู้นี้ก็ตกตะลึง ทันใดนั้นก็ตอบกลับอย่างนอบน้อม
หานลี่พิจารณาหญิงสาวสองสามแวบ เมื่อเห็นว่านางมีกลิ่นอายอ่อนแอ พลังยุทธ์อยู่แค่ระดับฝึกปราณ ก็พยักหน้าเล็กน้อยเดินเข้าไปในห้องอย่างสบายๆ
หลังจากที่หญิงสาวก้มหน้าลง ก็เดินตามเขามาติดๆ
ฮว่าอวี่กลับไม่กล้าเข้าไปในเรือน แค่รออยู่ด้านนอก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ด้านในก็มีเสียงราบเรียบของหานลี่เอ่ยออกมาว่า
“ไม่เลว ข้าพึงพอใจมาก พักที่นี่แหล่ะ เจ้าไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายลง ทันใดนั้นก็เอ่ยคำกล่าวลาแล้วถึงได้สยายปีกทั้งสองออกพลางบินออกไป
บนชั้นสามของเรือนหานลี่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่างครึ่งวงกลม สองตาหรี่ลงเล็กน้อยขณะมองชายหนุ่มค่อยๆ จากไป ด้านหลังของเขาห่างออกไปสองสาจั้ง หญิงสาวนามว่าไป๋ชุ่ยคนหนึ่งยืนเอามือประสานกันอยู่ด้านหลัง
“เมืองศักดิ์สิทธิ์มีชาวเผ่าอยู่เท่าไหร่หรือ!” ฉับพลันนั้นหานลี่พลันเอ่ยออกมาโดยไม่แม้แต่จะหันหัวกลับมา
หญิงสาวพลันตะลึงงัน แต่ปากกลับตอบกลับไปโดยไม่รู้ตัวว่า
“เมืองศักดิ์สิทธิ์กว้างใหญ่มาก แม้จะไม่เคยจัดทำสถิติอย่างละเอียด อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะสามสิบสี่สิบล้านคนกระมังเจ้าคะ”
“สามสิบสี่สิบล้าน? จำนวนคนน้อยขนาดนั้นเลยหรือ?” หานลี่เอ่ยพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อถือนัก
“ท่านอรหันต์เข้าใจผิดแล้ว ผู้ที่สามารถเข้ามาในเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้ล้วนเป็นผู้ที่บรรลุแล้ว สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้เท่านั้น พวกที่พลังยุทธ์ต่ำหน่อยหรือไม่อาจแปลงกายได้นั้นไม่มีคุณสมบัติให้เข้ามาในเมืองศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าเผ่าของข้าจะเป็นสาขาที่ค่อนข้างอ่อนแอในเผ่าวิญญาณเหาะเหิน แต่ก็มีคนเป็นพันล้านคน” หญิงสาวอธิบายอย่างรีบร้อน
“เช่นนี้นี่เอง!” หานลี่พลันถึงบางอ้อไปเล็กน้อย
“อรหันต์ท่านมาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรกหรือ?” หญิงสาวเหลือบมองหานลี่แวบหนึ่ง หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นหนึ่งประโยค
“อันใด แขกที่มาเมืองศักดิ์สิทธิ์แบบข้าเป็นครั้งแรกมีอยู่มากหรือ?” หานลี่กลับดูเหมือนจะฟังอะไรออก จึงเอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“อรหันต์ล้อเล่นแล้ว เดิมทีเรือนรับรองแขกมีคนเข้าพักน้อยมาก ทว่าคนที่เข้าพัก ไม่ใช่คนนอกเผ่าที่เข้ามาครั้งแรก ก็เป็นคนของเผ่าอื่นๆ ที่มาทำธุระในเมืองศักดิ์สิทธิ์ชั่วคราว” หญิงสาวอธิบายอย่างระมัดระวัง
“ไม่เห็นจะแปลกอะไร ข้ากลับมายังเผ่าเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ฝึกตนอยู่นอกมหาสมุทร” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“แถวๆ นี้มีร้านขายแผนที่เมืองศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ หากมีบอกสถานที่ให้ข้าหน่อย ข้าจำต้องซื้อสักชุด”
“ท่านอรหันต์ไม่จำเป็นต้องไปซื้อแผนที่ที่ภายนอก เรือนรับแขกมีแผนที่ที่มีไว้สำหรับแขกโดยเฉพาะ ระดับความละเอียดมากกว่าที่ขายอยู่ภายนอก ข้าจะเอามาให้ท่านอรหันต์ชุดหนึ่ง” หญิงสาวเอ่ยอย่างนอบน้อม
“อ๋อ มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วย เอามาให้ข้าสักชุดเถิด” หลังจากที่หานลี่ตกตะลึงไปเล็กน้อย ก็ออกคำสั่งอย่างไม่ต้องคิด
“เจ้าค่ะท่านอรหันต์” หญิงสาวตอบรับพลันถอยหลังไปสองก้าว เดินลงไปชั้นล่างอย่างอ่อนช้อยราวกับนกนางแอ่น
หานลี่ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่ที่เดิม เริ่มขบคิดแผนการของตนเอง
เขาแฝงตัวอยู่ในเผ่าวิหคสวรรค์แล้ว แต่เดิม็มาเพื่อวัตถุดิบที่ล้ำค่าๆ ในเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ส่วนสมบัติอะไรนั้น หานลี่กลับไม่อยากคิดมาก แม้ว่าเขาจะเห็นการต่อสู้ระหว่างเผ่าเหินวิญญาณแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าเผ่าประหลาดชนิดนี้จะไม่ค่อยชอบใช้สมบัติอะไรในการต่อสู้ ไม่รู้ว่าไม่เชี่ยวชาญด้านสมบัติ หรือว่าชนชั้นสูงของเผ่าเหินวิญญาณไม่จำเป็นต้องใช้สมบัติธรรมดาคอยช่วยเหลือ สมบัติวิเศษสองชนิดที่ปรากฎออกมาคือ ‘ตาข่ายกักมาร’ และ ‘ไข่มุกเพลิงมังกร’ และมีคุณสมบัติในการช่วยเสริม ทว่าเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา หวังเพียงว่าจะหาวัตถุดิบที่เป็นประโยชน์ต่อเขาสักหน่อยพบในเผ่าวิหคสวรรค์ จะได้คุ้มค่าที่เสี่ยงเข้ามาในนี้
ส่วนเผ่าวิหคสวรรค์และเผ่าวิญญาณเหาะเหินอื่นๆ จะพบกันหรือไม่ เขาก็ขี้เกียจจะไปสนใจ
ครั้นเมื่อหานลี่ขบคิดอยู่เงียบๆ หญิงสาวก็เดินขึ้นมาชั้นบนอีกครั้ง สองมือถือกระบอกไม้ไผ่ขนาดเท่าหัวแม่มือสีเขียวมรกตเอาไว้ มีความยาวประมาณสองสามชุ่น เปล่งแสงระยิบระยับอยู่
ในใจพลันรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่เขาก็ชูมือขึ้นตวัดไปกลางอากาศด้วยสีหน้าราบเรียบ
เสียง “สวบ” ดังขึ้น ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป ถูกเขาดูดเข้ามา
จากนั้นเขาพลันโบกมือให้หญิงสาวผู้นั้นลงไปก่อน
หลังจากที่ไป๋ชุ่ยคารวะอย่างเชื่อฟังแล้ว ก็ลงไปด้านล่างอย่างว่าง่าย
ส่วนหานลี่พลันใช้มือหนึ่งควงกระบอกไม้ไผ่เล่นในมือ รู้สึกสนใจอยู่หลายส่วน เมื่อเขาแทรกจิตสัมผัสเข้าไป ก็มองเห็นแผนที่ขนาดยักษ์ในกระบอกไม้ไผ่อย่างชัดเจน
ของชนิดนี้ไม่ต่างอะไรกับคัมภีร์นัก
แต่ไม้ไผ่นี้พิเศษมาก หลังจากผ่านการหลอมมาครั้งหนึ่ง ก็มีผลเหมือนกับคัมภีร์อย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วเผ่าเหินวิญญาณคงไม่ได้มีฝีมือในการหลอมอาวุธที่แย่นัก และมีความเป็นลักษณ์เป็นของตน
ทว่าหานลี่ก็ดึงจิตสัมผัสออกจากกระบอกไม้ไผ่อย่างรวดเร็ว และสนใจแค่แผนที่
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ดึงจิตสัมผัสออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ เผยสีหน้าขบคิดออกมา
เมืองศักดิ์สิทธิ์นี้เล็กกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ แน่นอนว่านั่นก็เพราะเทียบกับคนจำนวนพันล้านคนในเผ่า ความจริงแล้วพื้นที่ของเมืองแห่งนี้ยังคงน่าตตะลึง หากบินจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งวัน
หานลี่ไม่สนใจสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ นัก แต่กลับสนใจวิหารการแลกเปลี่ยนชั้นหนึ่งในเมือง
สิ่งที่เรียกว่าวิหานรนั้น ตามสัญลักษณ์ในแผนที่นั้นน่าจะอยู่ในภูเขายักษ์แห่งหนึ่งที่อยู่ตรงเขตแดนของเมืองยักษ์ ทั้งสันเขาล้วนเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนซื้อขายโดยเฉพาะ น่าจะไม่แตกต่างอะไรกับย่านร้านค้าในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ
นอกจากสิ่งปลูกสร้างนี้แล้ว สิ่งเดียวที่หานลี่รู้สึกสนใจกลับเป็นสถานที่ที่หนึ่งเรียกว่า ‘วิหารส่งวิญญาณ’ ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกบำเพ็ญเพียรของชนชั้นสูงที่เผ่าวิหคสวรรค์จัดทำขึ้นโดยเฉพาะ
แน่นอนว่าในแผนที่ยังมีสัญลักษณ์เขตต้องห้ามที่สะดุดตาอีกสองสามแห่ง หานลี่แค่มองไปสองสามแวบ กลับไม่มีท่าทีสนใจจะตรวจสอบ
หลับตาทั้งสองข้างลงจำตำแหน่งที่สำคัญๆ ทั้งหมดในแผนที่ให้ขึ้นใจ หลังจากย้อนระลึกถึงความทรงจำอีรอบ ทันใดนั้นปีกที่แผ่นหลังของหานลี่ก็เปล่งแสงสว่างวาบ ถูกลำแสงสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้ คนเปล่งแสงสว่างวาบบินออกมาจากหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ ตรงไปยังสิ่งที่เรียกว่าวิหารการแลกเปลี่ยน
เผ่าวิหคสวรรค์ดูไม่ค่อยสงบนัก
เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่นานถึงสิบวันหรือครึ่งเดือน ทางที่ดีที่สุดรีบรวบรวมวัตถุดิบ จากนั้นก็สะบัดตูดหนีจะดีกว่า เพื่อจะได้ไม่เข้าไปอยู่ในความยุ่งยากของเผ่าประหลาด
หานลี่ไม่อยากให้ตนเองสะดุดตานัก ดังนั้นความเร็วจึงไม่ค่อยสูงนัก แต่บินด้วยระดับที่พอๆ กับชาวเผ่าวิหคสวรรค์คนอื่นๆ
เป็นเพราะวิหารแลกเปลี่ยนอยู่ตรงเขตแดน ดังนั้นหลังจากที่หานลี่บินออกมาได้หนึ่งเค่อ ก็เพิ่งจะบินไปได้แค่ครึ่งทาง และในตอนนั้นเอง ด้านข้างเบื้องหน้าไม่ไกลนัก สิ่งปลูกสร้างประหลาดๆ รูปทรงเหมือนหอคอยยักษ์สูงมากพลันปรากฎขึ้น
สิ่งปลูกสร้างนี้สูงหกร้อยเจ็ดร้อยจั้ง รูปทรงมิใช่เสาทรงกลมที่พบเห็นได้บ่อยๆ แต่เป็นรูปทรงแปดเหลี่ยม ทุกมุมล้วนเรียบเกลี้ยง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีลวดลายสัญลักษณ์ที่พิเศษสลักอยู่
สัญลักษณ์เหล่านี้แผ่ไอสีดำจางๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับหานลี่ ส่วนยอดหอคอยนั้นมีผลึกประหลาดขนาดสองสามจั้งก้อนหนึ่งฝังอยู่ แผ่ลำแสงเจ็ดออกมา ห่อหุ้มหอคอยหลังนี้เอาไว้
ไอสีดำตรงนั้นล้วนถูกลำแสงเจ็ดสีกักเอาไว้ในม่านลำแสง ไม่อาจหนีออกมาได้เลยสักนิด
หานลี่มีสีหน้าตกตะลึงฉายแวบผ่าน พลางลูบคางไปมา
หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ ที่นี่คือเขตต้องห้ามตามสัญลักษณ์บนแผนที่ของเมือง ด้านบนมีคำว่า ‘หอคอยผนึกวิญญาณ’ เขียนอยู่ และไม่มีคำอธิบายใดๆ แต่ไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไรแน่
อาณาบริเวณร้อยกว่าจั้งของม่านลำแสง ไม่มีเงาร่างคนแม้แต่คนเดียว ไม่มีชาววิหคสวรรค์ผู้ใดกล้าบินเข้ามาใกล้เขตนี้
ตอนที่ 1417 บุตรชายวิหคสวรรค์และโลหิตวิหคมัจฉาเที่ยงแท้
“หมอกยมโลกดำ”
ในหัวของหานลี่มีลำแสงสว่างวาบ ในที่สุดก็พบเหตุใดถึงรู้สึกคุ้นเคย
จากหมอกสีดำที่ผสมอยู่กับผิวของหอคอยหินนั้น เห็นได้ชัดว่าคือหมอกประหลาดในทะเลหมอกบนครึ่งเกาะที่เขาอาศัยอยู่
แต่แค่ที่นี่นั้นบางเบากว่ามาก และดูเหมือนว่าจะถูกอะไรสักอย่างพันรัดเอาไว้
หานลี่รู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ในเมื่อที่นี่ถูกคนของวิหคสวรรค์มองว่าเป็นเขตต้องห้าม แน่นอนว่าเขาก็ไม่มีทางไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรเข้า
ทันใดนั้นก็ทำเหมือนคนอื่นๆ คือบินเอียงเฉไป คิดจะอ้อมผ่านมันไป
แต่เมื่อหานลี่เปล่งแสงสว่างวาบมาอยู่อีกด้านของหอคอยยักษ์ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง ฉับพลันนั้นพลังระเบิดที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสั่นสะท้านก็ระเบิดออกมา
ทำให้เขารู้สึกเสียววาบที่แผ่นหลัง สะดุ้งตกใจพลันร่างกายแข็งค้าง
นี่คือ…
หานลี่หยุดลำแสงหลีกหนี หันหน้าไปสองตาจ้องเขม็งไปยังหอคอยยักษ์
เห็นเพียงหมอกยมโลกดำหอคอยที่แผ่ออกมาจากหอคอยยักษ์ซึ่งอยู่ไกลออกไป เปลี่ยนเป็นสีดำเข้มราวกับน้ำหมึกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แม้ว่าลวดลายบนผิวของหอคอยจะยังคงเปล่งประกายหลากสีสันไม่หยุด แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานไอสีดำที่ทะลักออกมาภายนอกได้
แต่โชคดีที่ส่วนยอดของหอคอยนี้แผ่ม่านลำแสงเจ็ดสีออกมา ห่อหุ้มไอสีดำเอาไว้ให้อยู่แค่ในอาณาเขตของหอคอยหิน แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่หมอกสีดำก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งชั้นบรรยากาศในม่านลำแสง ทำให้ม่านลำแสงเจ็ดสีสั่นเทา ท่าทางเหมือนจะถูกทำลายได้ตลอดเวลา
ชาวเผ่าวิหคสวรรค์คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง ล้วนหยุดลง มองไปยังความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับหอคอยผนึกวิญญาณอยู่กลางอากาศ
หานลี่รู้สึกว่าปีกของตนเองสั่นเทาและเปลี่ยนเป็นร้อนฉ่า ทำให้แผ่นหลังของเขารู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกแผดเผา
หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
แต่ในตอนนั้นเองในหอคอยพลันมีเสียงร้องแหลมสูงยาวๆ ดังขึ้น ชาววิหคสวรรค์ที่อยู่รอบๆ นับร้อยคนได้ยินเสียงนี้ ก็ทยอยกันหลับตาทั้งสองข้างลงแล้วร่วงลงสู่พื้น
แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้รับไม่ได้ไหวขนาดนั้น แต่เมื่อได้ยินเสียงนี้ ก็รู้สึกว่าวิงเวียน ในเวลาเดียวกันความร้อนของปีกที่แผ่นหลังก็สูญเสียประสิทธิภาพ ร่างกายสั่นเทา
แต่โชคดีที่เขาไม่ได้อาศัยปีกวายุอัสนีถึงได้ยังบินอยู่กลางอากาศได้ ทันใดนั้นร่างกายพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างกลับมามั่นคงดังเดิม แต่สายตาที่มองไปยังหอคอยยักษ์ ก็เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
เสียง “ตูม” ดังขึ้น ยอดของหอคอยมีลำแสงผลึกศิลาเปล่งประกาย ลำแสงแผ่ออกมาจากม่านลำแสงเจ็ดสีแผ่ออกมา ในเวลาเดียวกันเสียงบริกรรมคาถาที่ฟังไม่ได้สรรพก็ดังออกมาจากหอคอย ราวกับว่ากำลังมีคนร้อยคนบริกรรมคาถาขึ้นพร้อมกันอย่างไรอย่างนั้น
ชั่วขณะนั้นร่างของชาววิหคสวรรค์ที่แต่เดิมกำลังร่วงลงสู่พื้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ล้วนมีลำแสงเจ็ดสีชั้นหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ ร่างกายลอยขึ้นอีกครั้ง
แต่ทันใดนั้นในหอคอยก็มีเสียงร้องแหลมๆ ที่โหดเ**้ยมดังขึ้น หลังจากที่ไอสีดำด้านในหมุนวน กลางอากาศก็มีเงาร่างวิหคยักษ์ขนาดสองสามร้อยจั้งเศษปรากฎขึ้น เงาลวงตานี้เป็นสีดำอ่อน ปีกทั้งสองกระพือ ปกคลุมหคอยกว่าครึ่งเอาไว้ หลังจากที่เปล่งเสียงร้องยาวๆ อีกครั้ง หมอกสีดำทั้งหมดก็ขยายใหญ่ขึ้น ม่านลำแสงเจ็ดสีรอบๆ บิดเบี้ยวอย่างรุนแรงในทันที ท่าทางน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
ครั้งนี้คนของวิหคสวรรค์คนอื่นๆ ที่มีม่านลำแสงเจ็ดสีห่อหุ้มอยู่พลันร่างกายพลิ้วไหว และปลอดภัยไร้อันตราย แต่ก็แตกฮือออกหนีกันอุตลุดอย่างตื่นกลัว
เดิมทีหานลี่คิดจะบินออกจากบริเวณนี้ดังชาววิหคสวรรค์ แต่ชั่วพริบตาที่เงาวิหคยักษ์ตัวนั้นปรากฎขึ้น ปีกที่แผ่นหลังของเขาก็สั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะมีเงาวิหคยักษ์สีเขียวตัวหนึ่งปรากฎขึ้นเช่นกัน มันกู่คอร้องคำรามเช่นเดียวกัน ราวกับว่าตอบรับวิหคสีดำอย่างไรอย่างนั้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน บรรยากาศรอบๆ พลันตึงเครียด เขารู้สึกเพียงว่าร่างกายหนักอึ้งไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิด
หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึง ภายใต้ลำแสงสีทองที่เจิดจ้า พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากแขนขาทั้งสี่ คิดจะดิ้นรนหนี แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกจิตใจหนักอึ้งก็คือไม่ว่าเขาจะกระตุ้นพลังมหาศาลในร่างของเขาอย่างไร อากาศรอบๆ ก็ดูเหมือนเหล็กกล้าบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น ยังคงไม่อาจขยับได้แม้แต่นิ้วเล็กๆ
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว คราที่กำลังคิดว่าจะเรียกภาพมารเที่ยงแท้ออกมาออกแรงเต็มกำลังให้หลุดพ้นจากพันธนาการดีหรือไม่ เสียงบริกรรมคาถาในหอคอยยักษ์ก็เปลี่ยนไป ชั่วครูก็สูงขึ้นหลายเท่า ในเสียงบริกรรมคาถามีเสียงวาสีอัสนีลั่นเปรี๊ยะๆ ดังแทรกเข้ามา จากนั้นอักขระประหลาดๆ ทุกตัว ก็ปรากฎขึ้นลางอากาศรอบๆ หอคอยยักษ์ ล้วนลอยมาหาวิหคเงาสีดำ
ในเวลาเดียวกันผลึกวารียักษ์บนยอดหอคอยก็เปล่งเสียงดังสนั่น ระเบิดตัวเองออก
ดวงอาทิตย์เจ็ดดวงลอยขึ้นอย่างแช่มช้า เปล่งแสงนับหมื่นสายออกมา ปกคลุมวิหคเงาเอาไว้
วิหคเงายักษ์ตกอยู่ใต้เขตต้องห้ามอย่างอักขระและลำแสงเจ็ดสี ในที่สุดก็เปล่งเสียงร้องประหลาดอย่างจนปัญญาออกมา
อีกด้านเงาลวงตาวิหคยักษ์สีเขียวที่แผ่นหลังของหานลี่พลันสลายหายไป
เขาพลันผ่อนคลายลงฟื้นฟูกลับมาเป็นอิสระ แต่กลับยังรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัยไม่แน่นอน
นอกจากนี้เงาลวงตาที่ปรากฎขึ้นบนหอคอยหินเมื่อครู่ก็เหมือนกับวิหคเงาสีเขียวที่แผ่นหลังของเขาอย่างไรอย่างนั้น ล้วนเป็นวิหคมัจฉาในตำนาน หรือว่าในหอคอยแห่งนี้มีวิหคมัจฉาถูกผนึกอยู่ แต่จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร?
หานลี่ขบคิดอย่างตกตะลึง ในหัวมีความคิดหลากหลายพลางเดินถอยหลัง แต่หลังจากกวาดสายตาไปเบื้องหน้า พลันหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา สุดท้ายร่างกายก็หยุดอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
เพราะว่าหลังจากที่ลำแสงวิญญาณสิบกว่ากลุ่มบินออกมาจากหอคอยยักษ์ และเปล่งแสงกระพริบวาบแล้ว ก็อยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึงยี่สิบสามสิบจั้ง
ระยะห่างแค่นี้เพียงพอจะทำให้ชาววิหคสวรรค์ที่อยู่ในลำแสงวิญญาณมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน หากบินหนีไปในครานี้ล่ะก็ จะแสดงออกถึงพิรุธทันที
ภายใต้การขบคิดหานลี่จึงทำได้เพียงดูว่าอีกฝ่ายมีเจตนาใดแล้วค่อยว่ากัน
เขากวาดมองในลำแสงวิญญาณอย่างรวดเร็ว ด้านในมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพแปลงขั้นกลายสองคน ที่เหลือล้วนอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นต้นและกลาง ภายใต้ความหวาดกลัวของหานลี่ เขาจึงยิ่งไม่กล้ากระทำการอะไรที่สะดุดตาอีก จึงลอยอยู่ที่เดิมเงียบๆ
เสียงแหวกผ่านอากาศดัง “สวบๆ” ดังขึ้น คนทั้งสิบกว่าคนกระพือปีก ชั่วพริบตาก็มาอยู่เบื้องหน้าหานลี่ ล้อมเขาเอาไว้
สายตาสิบกว่าสายตกอยู่ที่เรือนร่างของเขา
ชายชราชาววิหคสวรรค์ที่ดูเป็นผู้นำสองคน คนหนึ่งปีกที่แผ่นหลังเป็นสีขาว อีกคนหนึ่งกลับมีปีกสีทองอ่อน
ทั้งสองคนหนึ่งมีสีหน้าอ่อนโยนมีเมตตา อีกคนหนึ่งสีหน้าเข้มงวด แต่ล้วนเหมือนกับคนอื่นๆ เมื่อมาอยู่ตรงหน้าก็จ้องเขม็งมายังหานลี่อย่างไม่วางตา สายตามีลำแสงประหลาดใจฉายแวบผ่าน
แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้กลัวชาววิหคสวรรค์เหล่านี้จริงๆ แต่อีกฝ่ายมีท่าทีเช่นนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกกังขา ทันใดนั้นก็ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า
“ทุกท่านมาล้อมข้าน้อยเอาไว้ มีธุระอันใดหรือ?”
“พี่แซ่อะไร? หน้าตาไม่คุ้นเลย เพิ่งเข้ามาในเมืองศักดิ์สิทธิ์หรือ?” เหนือความคาดหมายของหานลี่ ชายชราปีกสีขาวราวกับหิมะผู้นั้นเอ่ยปากถามอย่างมีมารยาท
“ข้าน้อยแซ่หาน ฝึกตนอยู่นอกมหาสมุทรมาโดยตลอด ครานี้ถึงได้เพิ่งเข้ามาในเมือง” ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ปากพลันตอบรับ
อีกฝ่ายยังไม่ทันเผยเจตนาร้ายออกมา เขาจึงไม่คิดว่าต้องโกหกอะไร
“นอกมหาสมุทร เข้าเมืองวันนี้!” คำตอบของหานลี่ทำให้ชายชราที่เป็นผู้นำทั้งสองตะลึงงัน แต่หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว สายตาก็เผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา
“เยี่ยม เยี่ยมมาก ไม่ว่าพี่หานจะมีต้นกำเนิดมาจากที่ใด แต่สามารถกระตุ้นวิหคมัจฉาในหอคอยได้ ก็หมายความว่าในร่างมีกลิ่นอายของวิหคสวรรค์อยู่เต็มเปี่ยม สามารถรับสมญานามบุตรชายของเผ่าเรา และสืบทอดโลหิตเที่ยงแท้ของวิหคมัจฉาได้” ชายชราอีกคนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“โลหิตวิคมัจฉาเที่ยงแท้!” หานลี่ตะลึงงัน
หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเหล่านี้ แต่ตอนนี้ในกำไลเก็บของมีโลหิตของมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์อยู่ จึงรู้ว่าของสิ่งนี้ล้ำค่าขนาดไหน
ตอนนี้คาดไม่ถึงว่ามีเรื่องดีๆ เข้ามาหาถึงที่ขนาดนี้ แน่นอนว่าหานลี่จึงตะลึงพรึงเพริด
ทว่าเมื่อคิดดูอีกที หานลี่ก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมา
เขาไม่ใช่ชาววิหคสวรรค์ที่แท้จริง ไหนเลยจะเป็นบุตรชายที่เผ่าวิหคสวรรค์กล่าวถึงได้ หากตรวจสอบอย่างละเอียด เกรงว่าก็คงถูกเปิดเผยในทันที ถึงครานั้นไม่ต้องพูดถึงการถ่ายทอดโลหิตเที่ยงแท้อะไร คงต้องถูกชาววิหคสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนที่โกรธแค้นมากไล่สังหารไปเสียก่อน
“ทั้งสองท่านเข้าใจผิดแล้วแล้วกระมัง ข้าน้อยมีต้นกำเนิดที่ธรรมดามาก จะไปมีคุณสมบัติสืบทอดโลหิตเที่ยงแท้ได้อย่างไร สิ่งมหัศจรรย์ในหอคอยคงจะไม่ใช่สิ่งที่ข้าน้อยกระตุ้นขึ้น” หานลี่หัวเราะอย่างแห้งออกมา แล้วสั่นศีรษะปฏิเสธระรัว
“เหตุใดพี่หานต้องปฏิเสธด้วย เมื่อครู่บนร่างของเจ้ามีรูปวิญญาณเที่ยงแท้ปรากฎขึ้น พวกเราที่อยู่ในหอคอยมองเห็นอย่างชัดเจน ไม่มีทางผิดแน่ พี่หานตามพวกเราไปพบท่านอาวุโสเถิด การเป็นบุตรชายของเผ่าเราได้นั้น เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก” ชายชราขนสีทองผู้นั้นไม่ฟังคำแก้ตัวของหานลี่ กลับเอ่ยแล้วหัวเราะคิกคักออกมา
หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่นกวาดสายตาไป เห็นชาววิหคสวรรค์คนอื่นๆ เผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมา เห็นได้ชัดว่ามั่นใจว่าเป็นเขาแล้ว
“ข้าน้อยไม่ใช่บุตรชายอะไรนั้นจริงๆ ทุกท่านไม่เชื่อก็ช่างเถิด แต่ผู้แซ่หานมีธุระ ต้องขอตัวลาก่อน” หานลี่ตัดสินใจ เอ่ยข้อแก้ตัวอย่ารวดเร็ว ร่างกายเลือนหาย กลายเป็นเงาลวงตาจางๆ สายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบหายไปจากตรงกลางของชาววิหคสวรรค์สองคน
ปีกที่แผ่นหลังของเขาพลันขยับคิดจะสำแดงความสามารถหนีไปให้ไกล แต่ในตอนนั้นเองฉับพลันนั้นข้างหูพลันมีเสียงราบเรียบของสตรีดังขึ้น
“ช้าก่อน คนเผ่าประหลาด! เจ้าคิดจะหนีไปอย่างนี้หรือ? หากจะไปก็ต้องเอาปีกคู่นั้นไว้ในเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเรา” เสียงไม่ดังนัก และยิ่งไปกว่านั้นยังอ่อนโยนและไพเราะ แต่เมื่อหานลี่ได้ยินลับทำให้จิตสัมผัสของเขาสั่นคลอนราวกับถูกฟ้าผ่า สีหน้าไม่สู้ดี
และในเวลาเดียวกันที่เสียงนั้นถ่ายทอดมา อากาศรอบๆ ก็เกิดระลอกคลื่นขึ้น เหนือศีรษะของหานลี่ห่างออกไปสองสามจั้ง เงาร่างอรชนอ้อนแอ้นสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบปรากฎขึ้นอย่างเงียบเชียบ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีสวมชุดขาวมีปีกสีทองคนหนึ่ง
หานลี่พินิจมองอย่างละเอียด ชั่วขณะนั้นพลันสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
หญิงสาวผู้นี้มีหน้าตาธรรมดาๆ ใบหน้ามีลำแสงแวววาวชั้นหนึ่งไหลโคจรอยู่ กลิ่นอายบนร่างไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมา คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะไม่อาจมองระดับพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายได้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมร่างขั้นกลางขึ้นไป
หางตาของหานลี่พลันกระตุกไปสองสามครั้ง!
“คารวะท่านอาวุโส!” ชาววิหคสวรรค์ระดับเทพแปลงเหล่านั้น เห็นหญิงสาวกลับมีท่าทางนอบน้อมมาก ทยอยกันเข้ามาคารวะยกใหญ่
สตรีผู้นี้คาดไม่ถึงว่าจะเป็นมหาอาวุโสของชาววิหคสวรรค์!
หานลี่รู้สึกเพียงว่าในปากมีแต่รสชาติขมเฝื่อน
“คนผู้นี้มอบให้ข้าจัดการเถิด พวกเจ้ากลับไปเสริมความมั่นคงของผนึกในหอคอย สยบวิหคมัจฉาตัวนั้นลงอีกครั้ง” หญิงสาวออกคำสั่งอย่างราบเรียบ
“ขอรับ!” เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้มีความน่าเกรงขามมากในสายตาของชาววิหคสวรรค์ พวกเขาจึงไม่ลังเลเลยสักนิด ทยอยกันสยายปีกบินกลับไปยังหอคอยยักษ์
สายตาของหญิงสาวพลันกลอกไปมา ในที่สุดก็ตกอยู่บนร่างของหานลี่
ตอนที่ 1418 มหาอาวุโส
“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับการพูดคุย ตามข้ามาเถิด” หญิงสาวแววตาเปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา ทันใดนั้นก็หันกาย บินไปยังทิศทางหนึ่ง
หลังจากที่หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสแล้ว ก็ตามไปอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัระดับหลอมร่างขั้นกลาง และยังอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าประหลาด เขาก็ไม่โอกาสให้หนี และดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว ก็ไม่เหมือนกับจะกลับคำลงมือในทันที มีเพียงต้องทำตามคำพูดของอีกฝ่ายก่อนเท่านั้น
ร่างของหญิงสาวดูเหมือนจะมีสีหน้าราบเรียบไม่มีความโกรธขึงเลยสักนิดราวกับวารีที่ไหลไปตามสายลม แต่ความเร็วกลับน่าตกตะลึง
หานลี่ใช้พลังลมปราณถึงเจ็ดแปดส่วนถึงจะไล่ตามนางทันได้ ในใจจึงอดที่จะตกตะลึงไม่น้อย ความคิดสองสามอย่างสุดท้ายผุดขึ้นมาในหัว แล้วฝืนระงับมันไว้
หลังจากบินมาได้เป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร หญิงสาวก็พาหานลี่ร่อนลงไปหน้าเรือนโดดเดี่ยวที่เป็นเสากลมๆ สูงยี่สิบจั้ง
“คารวะท่านมหาอาวุโส!” ทางเข้ามีหญิงสาวหน้าตาหมดจนสองคนของเผ่าวิหคสวรรค์เข้ามาต้อนรับ สีหน้าเต็มไปด้วยความนอบน้อม
หญิงสาวปีกสีทองแค่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปอย่างตามอำเภอใจ
หานลี่ตามหลังนางมาติดๆ เมื่อเข้าไปในห้อง ก็พบว่าที่นี่ดูสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ กว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
ในเรือนนอกจากเก้าอี้หินสองสามตัวและโต๊ะหินตัวหนึ่งแล้ว ทุกแห่งก็ว่างเปล่า
หญิงสาวโบกมือไปมา ไล่ให้สาวใช้ทั้งสองถอยออกไป จากนั้นก็หันกายมา นั่งลงบนเก้าอี้หินตัวหนึ่ง ปากบางๆ เอ่ยขึ้นว่า
“นั่งลงเถิด ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าสักหน่อย”
“ข้าน้อยจะมีที่นั่งต่อหน้าท่านอาวุโสได้อย่างไร ผู้แซ่หานขอฟังด้วยความเคารพและตั้งใจก็พอขอรับ” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน” หญิงสาวมีท่าทีไม่ใส่ใจเลยสักนิด
หานลี่จึงยืนตัวตรงแน่วอยู่ที่เดิม
“เจ้าคือผู้บำเพ็ญเพียรของเผ่ามนุษย์สินะ?” หลังจากที่หญิงสาวขบคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยคำพูดที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงออกมา
“ท่านอาวุโสเคยไปที่เผ่ามนุษย์ของพวกเรา?” หานลี่เอ่ยอย่างระมัดระวัง
“แน่นอนว่าเคย ข้าเคยแม้กระทั่งไปเยี่ยมฮ่องเต้ทั้งสามของเผ่าเจ้า และรู้สึกนับถือเคล็ดวิชาหุ่นเชิดที่มหัศจรรย์ของเขาเป็นอย่างมาก ความจริงแล้วไม่ใช่แค่ข้า ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งอีกสองสามคนในเผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเราที่เคยไปหาเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้า เห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งนี้ เจ้ามีอะไรสงสัยก็ซักถามมาเถิด ข้าจะบอกทั้งหมด แต่เช่นกันพอถึงตาที่ข้าถาม ก็หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง มิเช่นนั้นล่ะก็…” คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะเอ่ยภาษามนุษย์ที่คุ้นเคยออกมา
หลังจากหานลี่ได้ยินเจตนาอันคุกคามในประโยคสุดท้ายแล้ว สีหน้าก็อดที่จะเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยไม่ได้ แต่ทันใดนั้นก็มีสีหน้าปกติ
“ท่านอาวุโสมองฐานะของชนรุ่นหลังออกได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น ชนรุ่นหลังมั่นใจว่าขัดเกลาปีกวายุอัสนีจนทั่วถึงแล้ว ประกอบกับใช้เคล็ดวิชาลับเปลี่ยนกลิ่นอายของมันให้คล้ายคลึงกับเผ่าเจ้า ขอแค่ไม่พบกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับท่านอาวุโสตรวจสอบปราณแท้ ก็น่าจะไม่พบความผิดปกติอะไร มิเช่นนั้นชนรุ่นหลังจะกล้าเข้ามาในเผ่าของท่านอย่างเปิดเผยได้อย่างไร” หานลี่จ้องเขม็งไปยังหญิงสาวแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ปัญหานี้ทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก
“การแปลงกายของเจ้าประสบความสำเร็จจริงๆ แม้กระทั่งเขตอาคมป้องกันเมืองของเมืองศักดิ์สิทธิ์ยังถูกกลิ่นอายวิหคมัจฉาบนตัวของเจ้าปิดบังเอาไว้ หากไปพบกับอาวุโสคนอื่นๆ ในเผ่า ขอแค่ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด แปดเก้าส่วนก็ไม่อาจมองออกได้ แต่ข้ากลับไม่เหมือนกัน ในฐานะมหาอาวุโสอย่างข้านั้นรับหน้าที่ดูแลยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าโดยเฉพาะ และยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเราก็มองภาพลวงตาทั้งหมดของเจ้าออก และได้กวาดสายตาตรวจสอบปราณแท้ในกายของเจ้าไปด้วย แม้นว่าเคล็ดวิชาแปลงกายของนายท่ายจะยอดเยี่ยมขนาดไหน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า” หญิงสาวฉีกยิ้มจางๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าบอกความจริงออกมา
หานลี่พลันถึงบางอ้อแต่ทันใดนั้นก็รู้สึกกลัดกลุ้มอย่างสุดๆ
“เช่นนั้น หากข้าไปที่สาขาอื่นในเผ่าของท่าน ก็จะถูกพบตัวอย่างง่ายดายสินะ” เขาหัวเราะขมขื่นขณะเอ่ย
“ยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ในเจ็ดสิบสองสาขาของเผ่าข้า ยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวารียมโลกเองก็มีความสามารถที่คล้ายคลึงกัน” หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ แต่กลับหยักมุมปากเอ่ยตอบกลับ
หานลี่ได้ยินก็เงียบกริบ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้เอ่ยถามอีกว่า
“หอผนึกวิญญาณผนึกสิ่งใดอยู่ บุตรชายและโลหิตวิหคมัจฉาเที่ยงแท้หมายถึงอะไร?”
“หอผนึกวิญญาณผนึกหม้อแห่งความมั่งคั่งของเผ่าเราเอาไว้ เสียแรงมหาศาลถึงจะรวบรวมส่วนเล็กๆ ของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์วิหคมัจฉาตัวหนึ่งมาได้ มีเพียงต้องอาศัยพลังของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเราถึงได้ดำรงมาอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้ ส่วนสาเหตุที่เป็นรูปธรรมนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ส่วนบุตรชายนั้นก็ง่ายมาก นั่นก็คือสิ่งที่เผ่าวิญญาณเหาะเหินอย่างพวกเราหวังว่าจะมีผู้ที่สืบทอดโลหิตศักดิ์สิทธิ์ได้ หากบุตรชายสามารถสืบทอดโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าต่างๆ ได้จริงๆ และผ่านการทดสอบ ก็จะกลายเป็นประมุขของเผ่า” หญิงสาวเอ่ยอธิบาย
ครั้งนี้หานลี่ไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจอะไรออกมา
เรื่องเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากที่เขาคาดเดามากนัก แม้กระทั่งประมุขคืออะไรก็ยังขี้เกียจซักถาม แค่พ่นลมหายใจออกมายาวๆ เท่านั้น
“ดูจากท่าทางแล้วเจ้าคงไม่มีคำถามอื่นแล้ว จากนี้คงถึงตาข้าถามบ้างแล้ว สมบัติปีกที่แผ่นหลังของเจ้า หลอมมาจากวิหคมัจฉาอะไร คาดไม่ถึงว่าจะทำให้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดิ้นรนหนีให้พ้นจากผนึกของหอผนึกวิญญาณ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมากตั้งแต่สร้างหอคอยนี้ขึ้นมา” หญิงสาวแววตาเปล่งประกาย เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่มีอะไรหรอก แค่หลอมขนนกของวิหคมัจฉาที่เสียหายไปเส้นหนึ่งเท่านั้น” หานลี่พลันขมวดคิ้วตอบกลับอย่างตรงๆ
“ขนของวิหคมัจฉา? เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง ต่อให้เป็นขนของวิหคมัจฉาที่ไม่สมบูรณ์เส้นหนึ่ง ก็ไม่น่าจะทำให้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กระสับกระส่ายถึงเพียงนี้” หญิงสาวมีท่าทีไม่เชื่อ
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้” หานลี่สั่นศีรษะ รู้สึกงุนงนจริงๆ
“เอาปีกสมบัติของเจ้ามาให้ข้าดูซิ!” หญิงสาวขบคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็เอ่ยอย่างคร่าวๆ ออกมา
หานลี่รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง แต่หลังจากที่ประสานสายตาที่แวววาวราวกับถูกเคลือบเอาไว้แล้ว ก็ขบคิดเล็กน้อยแล้วยักไหล่ ชั่วขณะนั้นลำแสงพลันสว่างวาบที่ปีกสีขาวตรงแผ่นหลังชั่วครู่ก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
แทบจะในเวลาเดียวกันในมือของหานลี่กลับมีปีกขนนกยาวสองสามชุ่นคู่หนึ่งปรากฎขึ้น
ชูมือขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะส่งไปให้จริงๆ
การกระทำเช่นนี้ของหานลี่เห็นได้ชัดว่าทำให้มหาอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ตกตะลึง
แววตาสดมาของนางมองไปยังใบหน้าราบเรียบของหานลี่อยู่นาน แล้วในที่สุดถึงได้รับมาพร้อมรอยยิ้ม
หานลี่ไม่มีสีหน้าแปลกประหลาดเลยสักนิด แต่ในใจกลับอดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้
หากไม่ใช่เพราะตรงหน้าคือสิ่งมีชีวิตระดับหลอมร่างขั้นกลางคนหนึ่ง ปีกวายุอัสนีที่ถูกขัดเกลามานานแล้ว แม้นว่าอีกฝ่ายจะขืนใจเอาไป เขาก็มั่นใจหกเจ็ดส่วนว่าจะกระตุ้นความสามารถของสมบัติชิ้นนี้ เรียกมันกลับมาได้ภายในพริบตา 。
เขาไม่มีทางมอบสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ให้อีกฝ่ายแน่
หญิงสาวใช้มือหนึ่งถือปีกวายุอัสนีเอาไว้ พิจารณาอย่างละเอียด ใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
นางขยับนิ้วโยนปีกขนนกในมือออกไป
คาดไม่ถึงว่าจะโยนปีกวายุอัสนีกลับคืนมาให้หานลี่
หานลี่พลันรู้สึกผ่อนคลายลง สองมือไม่เคลื่อนไหว แต่ลำแสงสีขาวพลันสว่างวาบบนปีกวายุอัสนี และหายวับไป ครู่ต่อมามันก็มาปรากฎที่แผ่นหลังของเขาอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเห็นฉากนี้หญิงสาวก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อง ปากเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า
“คิดไม่ถึงว่าสมบัติชิ้นนี้ของเจ้าไม่เพียงจะมีขนของวิหคมัจฉา ยังมีขนของหงส์สวรรค์เส้นหนึ่งด้วย ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ายังอยากรู้ว่าเจ้าได้ขนของวิหคมัจฉามาได้อย่างไร?”
หานลี่ได้ยินแล้วพลันตกตะลึง แต่เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ทันใดนั้นก็เล่าเรื่องที่ได้พบการต่อสู้ข้ามแดนของวิหคมัจฉากับหลัวโหวอย่างละเอียด
หลังจากที่หญิงสาวได้ฟังแล้ว กลับเคร่งขรึมขึ้น ชั่วครู่ถึงได้ใช้สายตาพิจารณาหานลี่อีกครั้ง ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยคำพูดที่ทำให้เขาตะลึงงันขึ้นว่า
“พี่หานสนใจเข้าร่วมเผ่าวิหคสวรรค์ เป็นบุตรชายของเผ่าเราหรือไม่”
หานลี่พลันตะลึงค้าง
“ข้าน้อยฟังผิดหรือเปล่า ท่านอาวุโสจะให้ข้าน้อยเข้าร่วมเผ่าของท่าน?” หานลี่กระพริบตารู้สึกว่าตนเองฟังผิดหรือเปล่า
“ใช่แล้ว ข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ยังต้องปรึกษารายละเอียดกับอาวุโสท่านอื่นๆ ก่อน!” หญิงสาวตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ข้าน้อยคือคนของเผ่ามนุษย์ ไม่ใช่ชาววิหคสวรรค์ที่แท้จริง” หานลี่หมดคำพูดไปชั่วครู่ แล้วถึงได้เอ่ยเช่นนี้ออกมา
“นายท่านไม่รู้สินะ ปกติแล้วขนของวิหคมัจฉาและของอื่นๆ ของวิหคมัจฉานั้นล้วนเป็นของล้ำค่าที่วิหคมัจฉาที่เพลี้ยงพล้ำทิ้งเอาไว้ และที่สหายหานหลอมขนของวิหคมัจฉา กลับเป็นขนวิหคมัจฉาที่หล่นลงมาตอนยังเป็นๆ ขนเส้นนี้มีไอวิญญาณแฝงอยู่มากกว่าขนของวิหคมัจฉาทั่วไปหลายเท่า และยิ่งไปกว่านั้นในขนน่าจะมีโลหิตบริสุทธิ์ที่เจ้าเองก็ไม่รู้แฝงอยู่ ส่วนเผ่าวิหคสวรรค์ของเรานั้นเดิมทีก็เป็นชนรุ่นหลังของราชันย์วิหคมัจฉา ในเมื่อสหายหลอมของวิหคมัจฉาในตัวแล้ว ก็อาจจะมีโลหิตของวิหคมัจฉาแฝงอยู่ จะกล่าวว่าเป็นชาวเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเราก็ไม่ผิดนัก” หญิงเอ่ยประโยคที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงจนตาค้างออกมาอย่างราบเรียบ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ถึงได้ได้สติกลับมาจากความตื่นตะลึง หรี่ตาทั้งสองข้างลงมองหญิงสาวชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ได้ยินว่าประมุขคนปัจจุบันของเผ่าวิหคสวรรค์เพลี้ยงพล้ำไปแล้ว และดูเหมือนว่าในเผ่าของท่านจะไม่มีผู้สืบทอดโลหิตวิหคมัจฉาอยู่เลย ทั้งเผ่าวิหคสวรรค์อาจจะถูกกำจัดออกจากเจ็ดสิบสองสาขาของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ข้าน้อยไม่ได้พูดผิดไปสินะ”
“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร!” ในที่สุดหญิงสาวก็หน้าเปลี่ยนสี เงาลวงตาของวิหคยักษ์สีทองตัวหนึ่งปรากฎขึ้นที่แผ่นหลัง
เงาลวงตานี้แค่กระพือปีกทั้งสอง ชั่วขณะนั้นหานลี่ก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่กดทับมาบนหัวไหล่ ร่างทั้งร่างเกิดเสียงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบ
เสียง “ตูม” ดังขึ้น สองเท้าของหานลี่จมลงไปบนพื้นศิลาสีเขียวครึ่งฉื่อ
หานลี่หน้าซีดเผือด
แต่ในตอนนั้นเองหญิงสาวพลันขมวดคิ้ว เงาลวงตาของวิหคยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
“ข้าไม่รู้ว่านายท่านไปเอาข่าวนี้มาจากไหน แต่หวังว่านายท่านจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ข้าน้อยไม่อยากเห็นเมืองศักดิ์สิทธิ์เกิดความวุ่นวาย นอกจากนี้ยังพูดผิดไปเล็กน้อย มีบุตรชายที่สามารถสืบทอบโลหิตจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ เผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเรายังซ่อนเอาไว้สองคน แค่สองคนนั้นพลังยุทธ์ต่ำเกินไป ต่อให้ทำสำเร็จ อัตราการจะผ่านทดสอบของเผ่าต่างๆ ก็ไม่มากนัก ดังนั้นข้าถึงได้อยากเชิญสหายให้เข้าร่วมเผ่าของเรา” ชั่วพริบตาหญิงสาวก็มีสีหน้ากลับมาเป็นปกติ
“ความหมายของท่านมหาอาวุโสคือให้ข้าเป็นผู้ดูแลแทนบุตรชายทั้งสองสินะ!” หานลี่มีปฏิภาณไหวพริบขนาดไหน ขณะที่กลอกตาไปมา ทันใดนั้นก็เดาเจตนาของอีกฝ่ายออก แล้วหน้าเปลี่ยนสีพลางฉีกยิ้ม
ตอนที่ 1419 วิหารการแลกเปลี่ยน
“ใช่แล้วข้าหมายถึงสิ่งนี้ แม้นว่านายท่านจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเรา แต่ถึงอย่างไรเสียก็มีต้นกำเนิดมาจากเผ่ามนุษย์ ต่อให้ผ่านการทดสอบไปได้ ก็ไม่อาจรับตำแหน่งประมุขของเผ่าเราได้ แต่สหายหานกลับสามารถใช้ฐานะบุตรชายช่วยบุตรชายทั้งสองอีกแรงให้พวกเขาผ่านการทดสอบ แน่นอนว่าหากทำเช่นนั้นล่ะก็ ข้าก็จะไม่เอาเปรียบเจ้า ไม่เพียงจะให้เจ้าดูดซึมโลหิตของวิหคมัจฉา และยังจะตอบแทนให้จงหนักด้วย” หญิงสาวไม่ได้ปฏิเสธ พลางเอ่ยอย่างไม่รีบร้อนออกมา
เรื่องดีๆ เช่นนี้มาหาถึงที่ หากเป็นคนปกติแล้วเกรงว่าคงตอบรับด้วยอารามดีใจทันที แต่หานลี่กลับแววตาเปล่งประกาย ไม่ได้ตอบกลับในทันที
หญิงสาวเองก็ไม่ได้เร่งเร้า แค่นั่งอยู่บนเก้าอี้พลางมองหานลี่อย่างเงียบๆ
หลังงจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา หานลี่ก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้งว่า
“เพื่อบุตรชาย แม้กระทั่งยอมให้คนนอกอย่างข้าเข้าร่วมเผ่าท่าน การทดสอบนี้คงอันตรายไม่น้อยสินะ ลองอธิบายมาให้ข้าน้อยฟังก่อน แล้วผู้แซ่หานค่อยตัดสินใจก็คงไม่สาย”
“การทดสอบนี้อันตรายมาก โดยปกติแล้ว บุตรชายของเผ่าต่างๆ ที่จะเข้าร่วม จะมีอัตราการเพลี้ยงพล้ำอยู่ที่หกถึงเจ็ดส่วน และปกติแล้วพลังยุทธ์ของบุตรชายก็ต้องอยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณเหาะเหิน เทียบเท่ากับระดับเทพแปลงของเผ่าเท่า ครั้งนี้เป็นเพราะประมุขของเผ่าเราเกิดอุบัติเหตุเพลี้ยงพล้ำไป บุตรชายทั้งสองก็มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณเหาะเหินขั้นต้นเท่านั้น ยังไม่พร้อมเต็มที่ หากเข้าร่วมการทดสอบ แปดเก้าส่วนคงไม่อาจผ่านได้ ความสามารถของนายท่านนั้นแม้ข้าน้อยจะรู้มาไม่ได้มาก แต่ข้ามผ่านแผ่นดินเฟิงหยวนกว่าครึ่งมาได้ กำลังก็คงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แม้นว่าเนื้อหาในการทดสอบจะอันตราย แต่น่าจะไม่เป็นปัญหากับสาย” แม้นว่าหญิงสาวจะคาดเดาผิดพลาดไปหน่อย แต่ข้อตัดสินสุดท้ายก็ไม่ผิด
“แค่ระดับแม่ทัพวิญญาณเหาะเหิน?” หานลี่หางตากระจุก เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“นายท่านโปรดวางใจ อาวุโสอย่างข้าไม่มีทางหลอกลวง” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ข้าขอเวลาคิดสักระยะ” ขบคิดเล็กน้อย หานลี่ถึงได้ตัดสินใจ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ควรจะไตร่ตรองให้รอบคอบถูกแล้ว เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน หลังจากนี้สามวันข้าจะรอคำตอบของเจ้าอยู่ที่นี่ ช่วงเวลานี้สหายก็อยู่ในเมืองได้อย่างอิสระ จะไม่มีใครไปรบกวนเจ้า อีกอย่างข้าชื่อจินเย่ว์ จำชื่อของข้าเอาไว้ให้ดี”หญิงสาวเอ่ยอย่างราบเรียบ ดูเหมือนว่าจะคาดเดาคำตอบของหานลี่เอาไว้ตั้งนานแล้ว
แน่นอนว่าหานลี่พลันเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็กล่าวลาอย่างไม่ลังเลอีก
เมื่อเห็นหานลี่เดินออกจากประตู ร่างกายก็พลิ้วไหวหายวับไป จินเย่ว์พลันฉีกยิ้มน้อยๆ ออกมา ยกมือขึ้นหยิบถ้วยชาขึ้นมาจากโต๊ะ พลางลิ้มรสชาติมันอึกหนึ่ง
“ท่านมหาอาวุโสจะปล่อยเขาไปอย่างนี้จริงๆ หรือ” กำแพงหินภายในห้องหินมีลำแสงสีเทาสว่างวาบ ฉับพลันนั้นด้านในพลันมีวิหคสวรรค์อีกสองคนร่างกายสูงคนหนึ่งเตี้ยคนหนึ่งปรากฎขึ้น
“ทำไม เจ้าจะให้ข้าจัดการเขาอย่างไร?” จินเย่ว์เหลือบตามองชายชราเคราสีแดงที่พูดแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ขนวิหคมัจฉาที่อยู่ในปีกคู่นั้น เหตุใดเราต้องให้คนเผ่าประหลาดเข้ามาเป็นบุตรชาย ไม่สู้เอาปีกนั้นมา แล้วเลือกอีกคนมาสืบทอดโลหิตเที่ยงแท้จะดีกว่าหรือ” ชายชราเคราแดงร่างกายสูงใหญ่เอ่ยพร้อมกับถูมือทั้งสองไปมาเบาๆ
“หากทำเช่นนั้นจริงๆ ข้าจะต้องยุ่งยากคุยกับคนเผ่าประหลาดหรือ ไม่สังหารเขาแล้วก็ชิงปีกมาเลยก็ได้แล้ว” มุมปากของหญิงสาวเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
“เช่นนั้นความหมายของท่านอาวุโสคือ…” สตรีร่างกายอรชนอ้อนแอ้นอีกคนหนึ่งเห็นว่าชายชราเคราแดงยังคิดจะเอ่ยอะไรอีก ก็รีบร้อนกระตุกชายเสื้อของเขา ชิงเอ่ยก่อนอย่างนอบน้อม
“จากความเข้าใจที่มีต่อเผ่ามนุษย์ ข้าว่าในเผ่าวิหคสวรรค์นั้นไม่มีผู้ใดรู้เท่าข้าแน่ เผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเรานั้นไม่เหมือนกัน พวกเขามีกำลังกายที่ธรรมดามาก กว่าครึ่งล้วนหลอมสมบัติอื่นๆ ใส่เข้าไปในร่าง ดังนั้นจึงสามารถหลอมสมบัติเหล่านั้นได้ในระยะเวลายาวนานจนถึงแก่น สมบัติเหล่านั้นไม่ใช่ว่าจะไม่อาจแย่งชิงได้ แต่หลังจากแย่งมาได้แล้ว ร่องรอยของเจ้าของเดิมนั้นไม่อาจกำจัดได้ง่ายๆ และยิ่งไปกว่านั้นอานุภาพของสมบัติก็จะลดลงเพราะเปลี่ยนเจ้านาย สมบัติปีกของคนผู้นี้ข้าได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว เป็นสมบัติประเภทนั้น และข้าก็ได้ข่าวมาแล้วว่า การทดสอบของบุตรชายใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราไม่มีเวลามาแย่งสมบัติแล้วมอบให้เผ่าอื่นหลอมมันอีกครั้งแล้ว” จินเย่ว์ขบคิดเล็กน้อย และยังอธิบายอีกสองสามประโยค
“อย่างนี้นี่เอง แต่เช่นนี้โลหิตศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้จะไม่ไหลออกไปนอกเผ่าจริงๆ หรือ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย” ชายชราเคราแดงยังคงสั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง
“ท่านอาวุโสซวีเลอะเลือนแล้ว หากครั้งนี้บุตรชายของเผ่าเราไม่ผ่านการทดสอบ ทั้งชนเผ่าก็จะถูกสาขาอื่นๆ กำจัดทิ้ง และเทียบกับเรื่องโลหิตเที่ยงแท้แล้วก็เป็นเพียงเรื่องเล็กเท่านั้น อีกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ก็ไม่มีทางวิธีการอื่นแล้ว” หญิงสาวดวงตาเปล่งประกายขณะเอ่ย
“หึๆ ท่านมหาอาวุโสพูดมีเหตุผล หลังจากที่เผ่าประหลาดผู้นี้ช่วยพวกเราผ่านเคราะห์ร้ายไปแล้ว แค่ระดับแม่ทัพวิญญาณเหาะเหินคนหนึ่ง ถึงครานั้นจะสังหารหรือเก็บไว้ มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้ว” หลังจากที่หญิงสาวหน้าตางดงามวัยกลางคนตกตะลึงแล้ว ทันใดนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“สังหารนั้นเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นคนของเผ่าประหลาด หากมีโลหิตวิหคมัจฉาเที่ยงแท้ผสมเข้าไปแล้ว ก็นับว่าเป็นคนของเผ่าเราครึ่งหนึ่ง พวกเราจะถูกจำกัดด้วยคำสาบานของวิหคสวรรค์ และยิ่งไปกว่านั้นด้วยเหตุนี้หากผ่านภัยพิบัติของเผ่าในครั้งนี้ไปได้ เขาก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อเผ่าเรา หากไม่มีความจำเป็นล่ะ อย่าคร่าชีวิตของเขาเลย มากสุดก็แค่กักบริเวณเขาเอาไว้ ไม่ให้ออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์อีก” จินเย่ว์เหลือบตามองหญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก
“เช่นนั้นก็ได้ ต้องรายงานเหล่าผู้รักษาประตู และส่งคนสะกดรอยตามคนเผ่าประหลาดผู้นั้น อย่าให้เขาหนีออกไปหรือไม่” ชายชราเคราะแดงกลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ท่านอาวุโสซวีไม่ต้องกังวล เมื่อครู่ข้าได้ทำอะไรกับปีกของเขาไปแล้ว หากเขาออกจากเมือง ข้าจะรู้ได้ในทันที” จินเย่ว์กลับเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“ดูแล้วเราสองคนคงกังวลมากไป ท่านมหาอาวุโสขบคิดได้อย่างรอบคอบมาก” สตรีผู้งดงามแววตาเปล่งประกายพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“กังวลมากหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ในอาวุโสทั้งห้าของเผ่าเรามีแค่พวกเราสามคนที่อยู่ในเผ่า และเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเผ่าเรา เราสามจำต้องปรึกษากันก่อนค่อยลงมือ มิเช่นนั้นข้าก็คงไม่มีทางถ่ายทอดเสียงเรียกให้พวกเจ้าสองคนมาระหว่างทาง อาวุโสซวีพวกเจ้ามีข้อคิดเห็นอะไรหรือไม่” หญิงสาวจ้องเขม็งไปที่ทั้งสองคน แล้วเอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า
“ไม่มีขอรับ วิธีของท่านมหาอาวุโสนั้นปลอดภัยสุดแล้วขอรับ” ครั้งนี้หญิงงามและชายชราล้วนเอ่ยสนับสนุน
หญิงสาวได้ยินแล้วพลันหยักหน้า
ตั้งแต่ต้นจนจบอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ทั้งสามต่างไม่เอ่ยถึงเรื่องที่หานลี่จะปฏิเสธเลยสักนิด
นั่นก็ไม่แปลก ในสายตาของท่านมหาอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้หรือแม้ว่าจะเป็นในสายตาของชายชราและสตรีผู้งดงาม แค่เผ่าประหลาดระดับเทพ
และครานี้ห่างจากที่หญิงสาวและพวกอยู่ออกไปสองสามร้อยลี้ หานลี่กำลังกระพือปีกบินอยู่กลางอากาศต่ำๆ
ดูจากสีหน้าแล้วดูปกติมาก กำลังพิจารณาสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่อยู่ด้านล่างอย่างสนอกสนใจ แต่ในใจกลับมีความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมาไม่หยุด กำลังขบคิดถึงสถานการณ์ติดกับของตนเอง
การเผยฐานะของตนเองออกมาอย่างสับสนในครั้งนี้ สถานการณ์จึงไม่ค่อยสู้ดีนัก
จากประสบการณ์ที่เฟื่องฟูในอดีตของเขา จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าไม่ว่าคำขอของหญิงสาวนั้นจะสำเร็จหรือไม่ จุดจบของเขาก็ไม่มีทางดีแน่
การปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมานั้น ไม่มีทางเป็นไปได้
ส่วนหนีไปในทันทีนั้น คราที่เพิ่งจะออกจากที่พักของหญิงสาว ก็วนเวียนอยู่ในหัวของเขานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
แต่หลังจากที่แผ่จิตสัมผัสไปที่ปีกวายุอัสนีที่แผ่นหลังตามความรู้สึกแล้ว หานลี่ก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาเท่านั้น
คาดไม่ถึงว่ามหาอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้จะทำเครื่องหมายไว้ในปีกของเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ หากอยู่ในอาณาเขตตำแหน่งของเขาจะตกอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่าย
จากพลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อาจกำจัดร่องรอยนี้ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาสองสามวันถึงจะทำได้ และระยะเวลานานขนาดนั้นคงถูกท่านมหาอาวุโสพบเข้าตั้งไม่รู้กี่รอบแล้ว
ดูแล้ววิธีเดียวก็คือมีเพียงต้องชิงเสนอเงื่อนไขที่ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าลงมือถึงจะได้
มิเช่นนั้นหากเขายอมเสี่ยงใช้ลำแสงหลีกหนี ก็ไม่มีทางเป็นบุตรชายอะไรของเผ่าประหลาดนี่ได้จริงๆ
ส่วนเงื่อนไขอะไรนั้น ก็ต้องดูสถานการณ์ของเผ่าวิหคสวรรค์คร่าวๆ ก่อน ถึงจะค่อยๆ ขบคิดอย่างดีๆ ได้
โชคดีที่เขาฝึกฝนจนมาถึงทุกวันนี้มีประสบการณ์เสี่ยงตายมานับครั้งไม่ถ้วน ครั้งนี้ตกมาอยู่ในสถานการณ์จำทน ก็ไม่ได้ตกตะลึงนัก
หานลี่่แค่บินไปเรื่อยๆ ขบคิดอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าไปด้วย
ดังนั้นเวลาต่อมาหานลี่จึงไปที่เรือนหินสูงใหญ่ที่ดูเหมือนกับหอคัมภีร์
หลังจากที่เขาอ่านหนังสือตำรากว่าครึ่งไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ถึงได้ออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
กลับมายังที่พัก หานลี่ปิดประตูเรือนรับแขกโดยไม่ออกมาอีกครั้ง จนถึงเช้าตรู่วันที่สาม เขาถึงได้ออกมาอีกครั้งด้วยสีหน้าราบเรียบ ครั้งนี้เป้าหมายก็คือวิหาคการแลกเปลี่ยนที่ิอยากไปตั้งแต่แรก
ระหว่างทางครั้งนี้ไม่พบความยุ่งยากอะไร
หลังจากที่หานลี่บินมาได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงชายแดนของเมืองศักดิ์สิทธิ์ ยืนอยู่หน้าสิ่งปลูกสร้างประหลาดๆ ที่อยู่ใกล้ภูเขา
สิ่งปลูกสร้างนี้อยู่ติดกับกำแพงภูเขาที่สูงชันประมาณพันจั้ง และในกำแพงภูเขาก็มีจัตุรัสขนาดยักษ์รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายืนออกมา และมุมหนึ่งของจัตุรัสนั้นก็มีประตูหินรูปทรงโค้งสูงประมาณร้อยจั้งเปิดบนอยู่กำแพงภูเขา
ทั้งสองฝั่งของประตูยักษ์มีผู้คุ้มกันติดอาวุธสิบกว่าคนยืนเรียงแถวอยู่ ตรงกลางมีวิหคสวรรค์จำนวนมากเข้าๆ ออกๆ ท่าทางคึกคักไม่ธรรมดา
หานลี่แค่หรี่ตาทั้งสองข้างลงพิจารณาจุดที่ไกลออกไป ปีกที่แผ่นหลังขยับ คนที่มีลำแสงสีเขียวห่อหุ้มอยู่พลันบินไปข้างหน้า
ผู้คุ้มกันที่อยู่หน้าประตูคนหนึ่งกวาดสายตามาบนเรือนร่างของหานลี่ แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี รีบร้อนกันทำความเคารพหานลี่
หานลี่พยักหน้าไปทางนั้นเล็กน้อย แล้วเปล่งแสงสว่างวาบบินเข้าไปในประตูยักษ์อย่างเปิดเผย
เบื้องหน้าเปล่งแสงเจิดจ้า เป็นพื้นที่ว่างที่กว้างใหญ่มาก
ด้านหลังประตูเหมือนมีอีกโลกหนึ่งปรากฎขึ้น
มองทางเดียวยาวๆ ที่มองปราดเดียวก็ไม่สุดลูกหูลูกตา ทั้งสองฝั่งล้วนเป็นสิ่งปลูกสร้างวิหารสูงใหญ่เป็นชั้นๆ
หากพิจารณาอย่างละเอียดสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้แบ่งออกเป็นสิบชั้นเศษ ทุกชั้นมีความสูงสามสิบจั้ง และในทุกๆ ร้อยจั้งของชั้นแต่ละชั้นจะมีประตูวิหารสูงสิบกว่าจั้งปรากฎขึ้น
คนของวิหคสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนบินไปบินมาระหว่างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ บินขึ้นบินลง ดูแล้วในประตูวิหารคงจะเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนกันของชาววิหคสวรรค์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น