ยอดหญิงสกุลเสิ่น 141.1-148.2

 ตอนที่ 141-1 แผนซ้อนแผน

 


 


 สวี่โย่วเงยมองเจียงไป๋ที่ยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ “ยังมีเรื่องอะไรอีก”


 


 เจียงไป๋ขมวดติ้วลังเล เขาควรบอกคุณชายดีหรือไม่ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่แน่ว่าคุณชายของเขาอาจจะอยากรู้ก็ได้ “คุณชาย ท่านเสนาบดีฉินทาบทามคุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหวให้แก่บุตรชายคนเล็กของเขา พวกเขาส่งแม่สื่อไปทุกวัน ทั้งเมืองหลวงต่างก็รับรู้เรื่องนี้” แม้แต่ในโรงพนันก็ใช้เรื่องนี้มาพนันกัน พนันกันว่าการทาบทามครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่


 


มือของสวี่โย่วที่กำลังยกชาขึ้นจิบชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้เอ่ยคำใด เจียงไป๋รออยู่นานก็ไม่เห็นคุณชายเอ่ยคำใด จำต้องยอมถอยกลับไปแต่โดยดี


 


เจียงไป๋ที่ถอยออกประตูไป เขาลูบศีรษะอย่างกลัดกลุ้ม เขากำลังคิดว่า คุณชายเล็กแห่งตระกูลฉินจะคู่ควรกับคุณหนูสี่ได้อย่างไร ถึงแม้คุณหนูสี่จะดุร้ายอยู่บ้าง ทั้งยังแตกต่างจากคุณหนูผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง แต่ว่าเจียงไป๋ก็ประทับใจในตัวนางมาก แต่ว่านางเป็นคนที่ช่วยคุณชายของเขาไว้ คำกล่าวที่ว่า รักบ้านและอีกาที่อยู่บนหลังคาก็ง่ายดายเช่นนี้


 


ภายในห้อง สวี่โย่ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะ เขาหลับตาลง ก็ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ผ่านไปนานจึงสั่งความไปว่า “ไปจวนองค์หญิงใหญ่”


 


 


 


“เพียงเพื่อเรื่องนี้?” องค์หญิงใหญ่มองหลานชายที่เย็นชาไม่สนใจใครมาตลอด นางคิดไม่ถึงว่าจะมีสักวันที่หลานชายจะมาขอให้ช่วย ทั้งยังทำไปเพื่อแม่นางผู้หนึ่ง


 


จงรู้ไว้เถอะ แต่ไหนแต่ไรมาอาโย่วไม่ยุ่งเกี่ยวกับหญิงผู้ใด ในเรือนก็มีแค่บ่าวผู้ชายและหญิงแก่เท่านั้น เหตุใดจึงใส่ใจคุณหนูสี่ของจวนจงอู่โหวเล่า ถึงขนาดมาขอให้นางช่วยหาคู่ครองที่ดีให้แก่คุณหนูสี่ เช่นนี้จะไม่ให้นางแปลกใจได้อย่างไร


 


สวี่โย่วพยักหน้าตอบไปตามตรง “พ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จอาโปรดช่วยหลานด้วย” ช่วยหาสามีที่ดีให้นางก็ถือว่าชดใช้หนี้น้ำใจให้นางแล้ว


 


“คุณหนูสี่ผู้นี้ก็…เอ่อ…ไม่เลวทีเดียว?” องค์หญิงใหญ่ไม่แน่ใจนักจึงย้อนถามกลับไป


 


ชายหนุ่มพยักหน้า “ไม่เลวพ่ะย่ะค่ะ” มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ได้น่ารำคาญหรือใจแคบเหมือนหญิงสาวทั่วไป ครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยต่อไปว่า “นางค่อนข้างดุร้าย” ไม่ว่าเรื่องที่นางสั่งสอนฉินอิ่งอิ่งหรือตำหนิซื่อจื่อแห่งจวนหย่งหนิงโหว ทำให้รู้ว่านางมีนิสัยดุร้าย โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับกลุ่มนักฆ่า นางสามารถลงมือได้อย่างเลือดเย็น


 


 


คุณหนูใหญ่ยิ่งไม่เข้าใจ “อาโย่วไม่รู้หรือว่าท่านเสนาบดีฉินกำลังสู่ขอคุณหนูสี่ให้กับบุตรชายคนเล็กของเขา”


 


“ทราบพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มพยักหน้า ราวกับล่วงรู้ถึงความคิดของอีกฝ่าย “แต่ไม่คู่ควร”


 


           องค์หญิงใหญ่ได้ยินดังนั้นก็กระตุกมุมปาก เหลือเกินจริงๆ หลานชายของนางคนนี้ช่างเป็นคนพูดตรง ความหมายก็คือบุตรชายคนเล็กของเสนาบดีฉินไม่คู่ควรกับคุณหนูสี่


 


           มองออกว่าเขาค่อนข้างห่วงใยคุณหนูผู้นั้นมากทีเดียว แต่ไม่รู้ว่าทั้งสองคนไปรู้จักกันเมื่อได้ คิดถึงตรงนี้องค์หญิงใหญ่ก็ตาเป็นประกายขึ้นมา “ในเมื่ออาโย่วห่วงใยคุณหนูสี่มากขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่สู่ขอนางเสียเองเล่า” ถึงแม้ว่าว่าลำดับตระกูลของจวนจงอู่โหวจะต้อยไปสักนิด แต่ใครใช้ให้อาโย่วต้องตาต้องใจแม่นางผู้นั้นเล่า คู่หมายทั้งสามคนก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นเขาจะใส่ใจมากขนาดนี้


 


ถ้าหาก…องค์หญิงใหญ่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี จงรู้ไว้เถอะ เพื่อให้อาโย่วยอมแต่งงาน นางกับฮ่องเต้ต้องวุ่นวายใจไม่น้อย ถึงแม้ว่าอาโย่วจะอ้างว่าตนเองมีชะตาชีวิตที่ไม่ดี ไม่อยากทำร้ายแม่นางพวกนั้น แต่ว่าในฐานะที่เป็นอาแท้ๆ เขาก็หวังว่าข้างกายหลานชายจะมีคนรู้ใจคอยเคียงข้าง


 


เมื่อสบกับสายตาที่จับจ้องขององค์หญิงใหญ่ สวี่โย่วยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ตอบกลับไปเสียงนิ่ง “ไม่เหมาะพ่ะย่ะค่ะ”


 


           ทันใดนั้นองค์หญิงใหญ่ก็เหมือนกับลูกหนังที่ลมรั่ว แต่ยังมองหลานชายอย่างไม่ตัดใจ หวังว่าเขาจะเปลี่ยนความคิด


 


แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ “ก็ได้ อาจะช่วยเจ้า พูดมาเถอะ อยากหาคู่ครองเช่นไรให้นาง” ไม่ง่ายเลยกว่าหลานชายจะยอมเอ่ยปากขอร้องนางสักครั้ง จะไม่ช่วยได้หรือ


 


สวี่โย่วยังคงสีหน้าไร้ความรู้สึก “แล้วแต่เสด็จอาจะเห็นสมควรพ่ะย่ะค่ะ” เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “หาตระกูลที่เรียบง่ายสักหน่อย เป็นคนใจเย็น” เด็กคนนั้นนิสัยดุร้าย หากแต่งกับคนอารมณ์ร้อนไม่ยอมอ่อนข้อให้นาง คงได้ทะเลาะกันทุกวัน ยิ่งกว่านั้นวรยุทธ์ของนางก็ยอดเยี่ยมมาก อืม หรือว่าหาคนที่มีวรยุทธ์เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกนางทุบตีทุกวัน


 


องค์หญิงใหญ่แค่ถอนหายใจออกมา อาโย่วห่วงใยนางชัดเจนเพียงนี้ เด็กคนนี้นี่


 


เสิ่นเวยกำลังยืนอยู่ในห้องรับรอง นิ่งฟังกองกำลังลับรายงานข่าวที่ไปสืบมา ซีกหน้าของนางครึ่งหนึ่งจมอยู่ในความมืด ทำให้คนอื่นเห็นสีหน้าของนางไม่ชัดเจน อั้นชีคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กระดูกสันหลังเหยียดตรง เสิ่นเวยโบกมือครั้งหนึ่ง อั้นชีก็หายไปในความมืดอย่างเงียบเชียบราวกับภูตผี


 


เสิ่นเวยหันมามองโอวหยางไน่ที่อยู่อีกด้าน พึมพำว่า “โอวหยางไน่ เจ้าว่าข้าใจดีเกินไปหรือไม่ ไม่อย่างนั้น สองคนนั้นคงไม่กล้ายื่นมือมายุ่งเรื่องของข้า หึ อี๋เหนียงคนหนึ่ง หึๆ เป็นแค่อี๋เหนียงฐานะต่ำต้อยแท้ๆ แต่ช่างกำเริบเสิบสาน เจ้าว่าน่าขันหรือไม่”


 


คิดถึงข่าวที่อั้นชีมารายงานเมื่อครู่ เสิ่นเวยก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา นางไม่อยากทำให้มือของตัวเองต้องแปดเปื้อนจริงๆ


 


ไม่ว่าหนึ่งคนหรือสองคนต่างก็คิดว่านางรังแกได้ง่ายๆ ในเมื่อรนหานที่ตายแล้ว เช่นนั้นก็อย่าโทษว่านางเลือดเย็นก็แล้วกัน


 


ดวงตาคู่สวยของเสิ่นเวยวาวโรจน์


 


ใบหน้าดำมืดของโอวหยางไน่แข็งค้างไปชั่วขณะ ถ้าหากคุณหนูเรียกว่าใจดี เช่นนั้นคงไม่มีคนใจร้ายแล้ว นึกถึงวิธีการที่นางใช้ฆ่าคน แม้แต่โอวหยางไน่ก็ต้องยอมสยบ


 


คนนอก รวมถึงกองกำลังลับของจวนโหวล้วนถูกร่างกายที่บอบบางและรูปโฉมที่งดงามของคุณหนูหลอกตา คุณหนูไม่ใช่สตรีบอบบาง แต่เป็นนางมารร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดต่างหาก


 


รอดูเถอะ กองกำลังลับจะต้องชดใช้ที่กล้าดูถูกคุณหนู โอวหยางไน่กล้าพูดว่าส่วนลึกในใจของเขากำลังรอคอย นานแล้วที่ไม่ได้เห็นคุณหนูสำแดงอำนาจ คิดถึงจริงๆ


 


เสิ่นเวยมองเทียบเชิญในมือที่เพิ่งส่งมาเมื่อตอนกลางวัน มุมปากเหยียดยิ้มประชดประชัน


 


งานเลี้ยงที่จวนเสนาบดีฉิน คิดไม่ถึงว่าฉินอิ่งอิ่งที่ถูกนางสั่งสอนไปครั้งหนึ่งแล้วจะกล้าส่งเทียบเชิญมา เจ้าว่าน่าสนใจหรือไม่


 


ตอนกลางวัน ท่านป้าใหญ่ตั้งใจมาหว่านล้อมนางไม่ให้ไป เพราะเรื่องการแต่งงาน อีกฝ่ายรบเร้าจนเรื่องเลยเถิด ตอนเล่าลือกันไปทั่วทั้งเมือง เสิ่นเวยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง หลีกเลี่ยงไม่พบหน้ากันเสียดีกว่า


 


ป้าสะใภ้ใหญ่หวังดีกับนาง กลัวว่าเสิ่นเวยจะหน้าบาง ได้ยินคำเล่าลือเหล่านั้นจะพูดแก้ต่างไม่ได้


 


แต่เสิ่นเวยกลับไม่คิดเช่นนี้ นางกล่าวฮูหยินสวี่อย่างจริงจังว่า “ไปเจ้าค่ะ เหตุใดจะไม่ไป ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ข้ามีสิ่งใดต้องกลัว ถ้าหากข้าไม่ไปพวกเขาจะหลงคิดไปว่าข้ากลัว”


 


เสิ่นเวยอยากจะไปจริงๆ นางอยากไปดูว่าคนเหล่านี้จะใช้วิธีการใดมาจัดการกับนาง เหอะ หากไม่ใช่เพราะนางจงใจเปิดโอกาสให้ คนที่วางแผนเล่นงานนางได้สำเร็จจริงๆ ยังไม่มี อีกอย่างนางก็รำคาญวิธีการลอบกัดไม่ยอมเลิกราของพวกนางแล้ว รีบหักขาให้จบๆ ไปในครั้งเดียวดีกว่า ต่อไปพวกนางจะได้ไม่ทำเรื่องน่ารังเกียจอีก


 


ฮูหยินสวี่ได้ฟังความคิดของเสิ่นเวยก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่มาก จริงด้วย เวยเจี่ยเอ๋อร์ของพวกนางไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย เหตุใดต้องหลบเลี่ยงด้วย ทั้งๆ ที่จวนเสนาบดีฉินเป็นฝ่ายบีบบังคับคนอื่นแท้ๆ ไป เหล่าคุณหนูในจวนก็ไปกันหมด จะได้ทำให้จวนเสนาบดีฉินได้เห็นถึงการอบรมเลี้ยงดูและกิริยามารยาทของคุณหนูในจวนจงอู่โหว อย่าคิดว่ามีเพียงคุณหนูในจวนคุณนางฝ่ายบุ๋นเท่านั้นที่รู้มารยาท คุณหนูในจวนขุนนางฝ่ายบู๊ก็ไม่ได้ด้อยกว่าสักนิด


 


           ฮูหยินจ้าวแห่งเรือนสองเพิ่งจะมีเรื่องทะเลาะกับนายท่านรองจึงไม่มีแก่ใจจะออกไปร่วมงานเลี้ยง ส่วนฮูหยินหลิวก็บอกว่าปวดศีรษะจึงไม่สามารถไปได้ ดังนั้นฮูหยินสวี่ ภรรยาของซื่อจื่อจึงรับหน้าที่พาคุณหนูในจวนทั้งหมดไปร่วมงาน


 


           จวนเสนาบดีฉินประดับตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่า เหนือประตูใหญ่สีแดงแขวนโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ไว้ ข้างประตูทั้งสองด้านวางประดับด้วยสิงโตหิน แลดูน่าเกรงขาม เมื่อเข้ามาในจวนก็มีพ่อบ้านกับแม่นมคอยรับรอง ผู้ที่ต้อนรับพวกเสิ่นเวยก็คือฉินเจินเจิน บุตรสาวในสมรสคนรองของเรือนสอง และเฉินอิ่งอิ่ง บุตรสาวในสมรสคนโตของเรือนสาม ภายในจวนแห่งนี้พวกนางมีฐานะเป็นอันดับที่ห้าและเจ็ด


 


           ฉินเจินเจินทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเองและใจกว้างมากทีเดียว แม้แต่เสิ่นเยว่วัยสิบขวบก็ถูกนางบีบแก้มกล่าวชมอยู่หลายคำ ในขณะที่ฉินอิ่งอิ่งกลับมีท่าทีไม่ยินดี ทั้งยังกลอกตาใส่เสิ่นเวยด้วย ยังดีที่นางยังพอมีมารยาทอยู่บ้างจึงไม่ได้เอ่ยคำพูดถากถางออกมา


 


แขกยังมีอีกมาก พี่น้องตระกูลฉินจึงไม่อาจให้การต้อนรับแค่พวกเสิ่นเวยเท่านั้น หลังจากทักทายกันแล้วก็มีสาวใช้นำพวกนางไปด้านใน ก็ไม่รู้ว่าเสิ่นเวยคิดมากเกินไปหรือไม่ นางกลับรู้สึกว่าคุณหนูฉินเจินเจินดูจะใส่ใจนางมากเป็นพิเศษ


 


จางเข่อซินไม่ได้มา ครอบครัวของนางเพิ่งจะกลับมาจากด่านชายแดน ทั้งยังเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ไม่ได้ไปมาหาสู่กับขุนนางฝ่ายบุ๋น สวีเหลิ่งเหมยก็ไม่ได้มา ได้ยินว่าถูกกักบริเวณให้เรียนรู้กฎระเบียบอยู่แต่ในเรือน เพื่อนสนิทเพียงสองคนของเสิ่นเวยกลับไม่มา ความสนุกของนางลดลงครึ่งหนึ่ง


 


เสิ่นซวง พี่สาวคนรองถูกต้อนรับอย่างดี เพิ่งจะมาถึงก็ถูกลากออกไปแล้ว เสิ่นอิง เสิ่นเสวี่ย และเสิ่นเซวียนพากันแยกตัวไปหาสหายของตัวเอง เหลือแค่เสิ่นเยว่ที่ยังยืนอยู่ข้างกายเสิ่นเวย


 


“เหตุใดน้องแปดไม่ไปเล่นกับสหายเล่า” เสิ่นเวยเอ่ยถามอย่างแปลกใจ


 


เสิ่นเยว่เผยยิ้มกว้าง พูดอย่างใสซื่อว่า “ข้าอยากอยู่เป็นเพื่อพี่สี่เจ้าค่ะ” หลายวันมานี้นางคอยมองอยู่ตลอด เวลานี้พี่สี่เป็นผู้ที่มั่งคั่งมาก หากสนิทสนมกับพี่สี่ ข้าวของเล็กน้อยที่เล็ดลอดระหว่างนิ้วของนางออกมาก็เพียงพอให้ตนได้ใช้


 


เสิ่นเวยคลี่ยิ้ม ลูบดวงหน้าเล็กของน้องสาว เอ่ยว่า “ไปเล่นเถอะ ความหวังดีของเจ้า พี่สี่รับรู้แล้ว ดูสิ สหายของเจ้ากำลังรออยู่” เสิ่นเวยมองเห็นเด็กหญิงผู้หนึ่งกำลังกวักมือเรียกเสิ่นเยว่อยู่ที่หน้าซุ้มดอกไม้


 


 เสิ่นเยว่ก็มองเห็นแล้ว นั่นเป็นสหายคนใหม่ที่นางได้รู้จักเมื่อตอนที่ไปจวนองค์หญิงใหญ่ ภายหลังส่งจดหมายหากันสองครั้งก็เริ่มสนิทสนมกัน


 


ถึงแม้เสิ่นเยว่จะอยากอยู่กระชับความสัมพันธ์กับเสิ่นเวย แต่ในขณะเดียวกันก็อยากไปเล่นกับสหายจึงรู้สึกลำบากใจขึ้นมา ดวงหน้าเล็กเผยความสับสน เหมือนกับซาลาเปาสีขาวลูกใหญ่


 


เสิ่นเวยคลี่ยิ้มออกมา “ไปเถอะ พี่สี่โตขนาดนี้แล้ว จะหลงทางได้หรือ”


 


เสิ่นเยว่คลี่ยิ้มเอียงอาย วิ่งหน้าหน้าระรื่นไปหาสหาย เมื่อทั้งสองคนมาเจอกันก็คว้ามืออีกฝ่ายไว้ ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน ใบหน้าจึงแย้มยิ้มสดใส


 


อายุน้อยช่างดีจริงๆ เสิ่นเวยก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง พาสาวใช้สองคนเดินออกไปเรื่อยเปื่อย


 


สาวใช้สองคนที่เสิ่นเวยพามาด้วยวันนี้ คนหนึ่งคือเถาฮวา อีกคนคือเยว่กุ้ย หลีฮวากับเถาจือขอให้เสิ่นเวยพาพวกนางมา พวกนางไม่วางใจอย่างมากที่คุณหนูไปเป็นแขกที่จวนเสนาบดีฉิน และเถาฮวากับเยว่กุ้ยต่างก็มีวรยุทธ์ติดตัว หากมีเรื่องจริงๆ ก็พอจะช่วยเหลือคุณหนูได้


 


ปีนี้เยว่กุ้ยอายุสิบสามปีแล้ว เป็นบ่าวที่เสิ่นเวยซื้อตัวมาระหว่างที่เดินทางกลับเมืองหลวง เดิมทีนางอยู่ในคณะกายกรรม แต่เพราะหน้าตาสะสวยจึงถูกอันธพาลหมายตา คิดจะฉุดกลับไปเป็นสาวใช้ โชคดีที่เสิ่นเวยบังเอิญผ่านมา หัวหน้าคณะก็เป็นคนจิตใจดี ทนเห็นเยว่กุ้ยต้องตกนรกไม่ได้ เขาเห็นเสิ่นเวยพาบ่าวไพร่มามากมายจึงมาขอร้องนางให้รับเยว่กุ้ยไว้ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยคำใด พวกสาวใช้ข้างกายก็อดทนไม่ไหวแล้ว นางจึงต้องซื้อตัวเยว่กุ้ยไว้


 


คนที่ฝึกฝนกายกรรมย่อมต้องมีวรยุทธ์ติดตัวอยู่บ้าง วรยุทธ์ของเยว่กุ้ยนับว่าไม่เลว หากปล่อยทิ้งไว้ก็น่าเสียดายจึงหาคนคอยชี้แนะให้นางสามสี่กระบวนท่า แต่เด็กคนนี้ก็ขยันขันแข็งทีเดียว นางฝึกซ้อมทุกวัน จนก้าวหน้าไปมาก


 


จวนเสนาบดีฉินมีระเบียงยาว มีเถาวัลย์เลื้อยคลุมเต็มไปหมด ด้านบนก็มีดอกไม้ที่กำลังผลิบาน เมื่อมองไปก็เห็นในเกลียวคลื่นสีเขียวแต่งแต้มด้วยดอกไม้หลากหลายสีสัน ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งมากทีเดียว


 


เสิ่นเวยเดินไปตามระเบียงยาวอย่างเบิกบาน เงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนตลอดเวลา แสงอาทิตย์ส่องผ่านช่องว่างลงมา เกิดเป็นจุดเงาบนร่างของเสิ่นเวย ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายมาก


 


ถ้าหากไม่มีใครมารบกวนคงจะดี “คุณหนูสี่เจ้าคะ คุณหนูรองตระกูลเสิ่นไม่ระวังทำให้เท้าพลิกเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อน


 


“อยู่ที่ใด พี่รองของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ร้ายแรงมากหรือไม่ ข้างกายมีผู้ใดคอยดูแล” เสิ่นเวยเอ่ยถามด้วยสีหน้าร้อนใจ


 


สาวใช้ผู้นั้นชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง พร้อมเอ่ยว่า “อยู่ทางด้านโน้นเจ้าค่ะ บ่าวก็ไม่ทราบว่าอาการบาดเจ็บของคุณหนูรองเป็นอย่างไรบ้าง เพียงแต่ดูเหมือนนางจะเจ็บมากเจ้าค่ะ พี่สาวอาภรณ์สีชมพูที่ดูแลอยู่ข้างกายคุณหนูรองวานให้บ่าวมาตามท่านให้ไปช่วยเจ้าค่ะ”


 


วันนี้สาวใช้ข้างกายเสิ่นซวงสวมชุดสีชมพูพอดี เสิ่นเวยแววตาวูบไหว สั่งความอย่างร้อนใจว่า “รออะไรอีก ยังไม่รีบนำทางไป”


 


เสิ่นเวยรีบตามสาวใช้ระดับล่างผู้นั้นไปที่จุดที่เกิดเรื่อง เดินไปพลางก็นึกบ่นในใจไปพลาง ‘ตายจริง สาวใช้ธรรมดาในจวนเสนาบดีฉินกลับรู้จักนาง ทั้งยังสามารถตามหาตัวนางได้ในทันที รอยรั่วขนาดใหญ่เช่นนี้กลับมองไม่เห็น ใครช่างไม่มีสมองปานนี้’


ตอนที่ 141-2 แผนซ้อนแผน

 


“อีกนานแค่ไหนจึงจะถึง” เสิ่นเวยเอ่ยถามอย่างร้อนใจ นางยกมือเช็ดเหงื่อที่หน้าผากอยู่ตลอดเวลา ท่าทีอ่อนแอบอบบาง


 


“ใกล้แล้วเจ้าค่ะ ข้างหน้านี้เอง” สาวใช้ผู้นั้นชี้ไปด้านหน้า “เอ๊ะ คุณหนูรองเสิ่นเล่า เมื่อครู่ยังอยู่ที่นี่อยู่เลย หรือว่าไปก่อนแล้ว บ่าวจะไปหาในป่าทางด้านโน้นนะเจ้าคะ”


 


พูดแล้วก็คิดจะวิ่งออกไป แต่ถูกเยว่กุ้ยจับไว้ มือหนึ่งยกขึ้นปิดปาก ส่วนอีกมือก็จัดการกับทำให้นางสลบแล้วโยนเข้าไปในป่า ใครก็มองไม่เห็น


 


“สวยมาก!” เสิ่นเวยยกนิ้วชื่นชม


 


แต่เถาฮวากลับทำปากยื่น พูดอย่างไม่พอใจว่า “เยว่กุ้ย เจ้าควรจะรอข้าก่อน” น่าโมโหจริงๆ งานถูกเยว่กุ้ยเจ้าคนน่าโมโหแย่งทำจนหมด นางไม่ได้ช่วยสักนิด คุณหนูจะไม่ชอบนางแล้วหรือเปล่า


 


เสิ่นเวยหลุดขำออกมา ลูบศีรษะปลอบใจเถาฮวา “ไม่ต้องรีบร้อน นี่ก็มาทำงานไม่ใช่หรือ เถาฮวาไปเถอะ ผลักคนผู้นั้นให้ตกลงไปในสระน้ำ”


 


ในตอนนี้พวกนางกำลังยืนอยู่ข้างสระน้ำ เด็กหนุ่มผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาจากในป่าทางด้านหนึ่ง เสิ่นเวยหรี่ตามองก็รู้ว่าคือเจ้าคนไม่เอาไหนฉินมู่หราน ดูจากวัตถุประสงค์ของนางคงคิดจะผลักนางตกลงไปในสระน้ำ


 


ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าร้อน น้ำในสระไม่เย็น แต่เสิ่นเวยไม่อยากเล่นน้ำสักนิด…เช่นนั้นก็ต้องขอโทษที เจ้าลงไปอยู่ในสระน้ำสักครู่เถอะ…


 


เสิ่นเวยแอบเตะก้อนหินออกไปโดนขาของฉินมู่หรานพอดี เขาร้องอุทานด้วยความเจ็บปวด พร้อมทั้งถลาไปด้านหน้า และเถาฮวาก็พุ่งตรงมาที่ตัวเขา ก่อนจะกระแทกตัวฉินมู่หรานจนตกลงไปในสระน้ำ


 


ฉินมู่หรานเป็นเป็ดแล้งน้ำ[1]เมื่อตกลงไปในสระก็ตีน้ำด้วยความตกใจ แต่ยิ่งตีน้ำก็ยิ่งจมลงไป จนกลืนน้ำเข้าไปครึ่งท้องแล้ว


 


เสิ่นเวยที่ยืนอยู่ริมตลิ่งเหยียดยิ้มเย็น ราวกับกำลังชมเรื่องตลก แต่ในพริบตาต่อมาสีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนไป มันถูกแทนที่ด้วยความตื่นตระหนก “เร็วเข้า ใครก็ได้ช่วยด้วย มีคนตกน้ำ!”


 


เยว่กุ้ยก็หลักแหลม โผเข้ามาโอบกอดเสิ่นเวยไว้ในอ้อมแขน แสร้งร้องออกมาอย่างตื่นตระหนกบ้าง “ช่วยด้วย มีคนตกน้ำ”


ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งกลู่กันเข้ามา ในคราวแรกสีหน้ายังตื่นเต้น แต่ทันใดนั้นก็ต้องแข็งค้าง นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน บอกว่าในน้ำมีคนสองคนไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมีแค่คนเดียวที่ดำผุดดำว่ายอยู่ เมื่อมองดีๆแล้ว นั่นคือคุณชายเล็กของพวกเขาไม่ใช่หรือ


 


พวกหญิงรับใช้ รวมถึงฮูหยินฉินพลันร้อนรนขึ้นมา “หรานเกอเอ๋อร์ รีบช่วยหรานเกอเอ๋อร์เร็วเข้า”


 


มีหญิงรับใช้ผู้หนึ่งที่ว่ายน้ำเป็นรีบกระโดดลงไป เพราะฉินมู่หรานดิ้นรุนแรงเดินไป ต้องใช้เรี่ยวแรงมากจึงจะสามารถช่วยเขาขึ้นมาได้ เวลานี้ฉินมู่หรานอยู่ในสภาพกึ่งหมดสติ


 


ฮูหยินฉินร้อนใจมาก พุ่งเข้าไปใกล้ก็ตะโกนออกมา “หรานเกอเอ๋อร์ หรานเกอเอ๋อร์ เจ้ารีบตื่นขึ้นมาสิ อย่าทำให้แม่ตกใจ รีบเรียกหมอมา รีบเรียกหมอมาช่วยเร็วเข้า!” เสียงของนางทั้งแหลมบาดหูและกระวนกระวาย เหล่าฮูหยินคนอื่นๆ ที่มากับด้วยก็พากันร้อนใจตาม


 


“ฮูหยิน ท่านหลบไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ ให้บ่าวลองดูก่อน ” แม่นมคนสนิทของฮูหยินฉินก้าวออกมา กดที่หน้าอกของฉินมู่หรานเพื่อกระตุ้นให้หายใจ ทำอยู่สามสิบกว่าครั้งฉินมู่หรานจึงไอและได้สติขึ้นมา


 


“ลูกจ๋า เจ้าทำแม่ตกใจแทบแย่” ฮูหยินฉินเอ่ยปากทั้งที่สตียังไม่มั่นคง เมื่อเงยหน้าขึ้นและเห็นเสิ่นเวยกับบ่าวอีกสองคน นางก็กัดฟันแน่นเอ่ยว่า “คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่น นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดหรานเกอเอ๋อร์จึงตกน้ำได้ เจ้าผลักเขาใช่หรือไม่”


 


กลุ่มคนที่มาด้วยกันเมื่อได้ยินว่านี่คือคุณหนูสี่แห่งตระกูลเสิ่น นึกถึงความขัดแย้งระหว่างสองตระกูล แววตาก็เผยความสับสนออกมา


 


“ฮูหยินท่านนี้ ท่านเป็นใครหรือ ข้าไม่เคยพบท่านมาก่อน ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นใคร” เสิ่นเวยที่อยู่ในอ้อมอกของเยว่กุ้ยเงยหน้ามองอย่างประหลาดใจ ท่าทีเอียงอาย เมื่อสัมผัสกับสายตาชิงชังของฮูหยินฉินก็ตกใจจนรีบซุกในอ้อมแขนของเยว่กุ้ย


 


คนอื่นๆ เห็นสายตาของฮูหยินฉินก็รู้สึกแปลกใจ เมื่อครู่ฮูหยินฉินบอกกับพวกนางว่าจะพาไปดูไก่ฟ้า เมื่อเดินเข้ามาใกล้ก็ได้ยินเสียงบางอย่างจึงมาดู คิดไม่ถึงว่าจะได้ดูละครฉากใหญ่ มุมปากของทุกคนพลันเหยียดยิ้มขึ้น


 


“เรียนฮูหยินและคุณหนูทุกท่าน พวกเราเป็นคนของจวนจงอู่โหว เดิมที เดิมทีคุณหนูของเราชื่นชมดอกไม้อยู่ที่ระเบียง แต่อยู่ๆ ก็มีสาวใช้มาแจ้งว่าคุณหนูรองของพวกเราข้อเท้าแพลง คุณหนูสี่ของพวกเราจึงตามนางมา ใครจะรู้เมื่อมาถึงที่นี่กลับไม่เห็นใครสักคน สาวใช้คนนี้ก็คิดจะหนี บ่าวร้อนใจจึงผลักนาง ใครจะคิดว่านางลื่นล้มกระแทกก้อนหินจนหมดสติ เอ่อ นางยังนอนอยู่ทางด้านโน่นเจ้าค่ะ ตอนที่พวกเรากำลังจะกลับไป อยู่ๆ ก็มีใครบางคนพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ วิ่งเข้ามาเร็วมากเลยชนกับเถาฮวา เถาฮวาไม่เป็นอะไร แต่เขากลับเซถอยไปด้านหลังหลายก้าวก็ลื่นตกลงไปในสระน้ำ คุณหนูของพวกเราตกใจมากเจ้าค่ะ” เยว่กุ้ยเล่าเรื่องเกิดขึ้นอย่างหลักแหลม ทั้งยังหิ้วร่างของสาวใช้ผู้นั้นเข้ามา


 


ฮูหยินฉินโกรธจนอยากจะกินเสิ่นเวยเข้าไปเสียเดี๋ยวนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะนางตัวอัปมงคลนี่คนเดียว หากไม่ใช่เพราะมัน บุตรชายของนางจะตกน้ำได้อย่างไร


 


ก่อนหน้านี้นางตกลงกับบุตรชายก่อนแล้ว ขอเพียงชนนางเด็กสมควรตายคนนี้ลงไปในน้ำได้ก็พอ หลังจากนั้นจะมีหญิงรับใช้ช่วยนางขึ้นมาเอง ขอเพียงบุตรชายได้เห็นเรือนร่างของนางเด็กคนนี้ นางก็สามารถจับเสิ่นเวยเข้าจวนมาเป็นอนุภรรยาของบุตรชายได้ เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะทรมานอย่างไรก็ย่อมได้ ใครจะรู้ว่าเรื่องจะพลิกผันไปเช่นนี้ นางเด็กสมควรตายยืนอยู่ริมสระ แต่บุตรชายของนางกลับตกลงไปในน้ำ ทั้งยังเกือบตายด้วย นางจะทนต่อโทสะครั้งนี้ได้อย่างไร


 


“เหลวไหล เด็กตัวเล็กๆ จะทำให้หรานเกอเอ๋อร์ตกน้ำได้อย่างไร นางไม่ได้ตัวสูงใหญ่เท่ากับหรานเกอเอ๋อร์ พวกเจ้าผลักเขาตกลงไปในน้ำชัดๆ ยังจะแก้ตัวอีก” ฮูหยินฉินตะคอกเสียงกร้าว


 


           “บ่าวไม่ได้พูดเหลวไหล เถาฮวา!” เยว่กุ้ยโมโหจนสีหน้าแดงก่ำ


 


จึงเห็นเถาฮวาเดินตรงเข้ามาทางนี้ ยกเท้าขึ้นข้างหนึ่ง เปรี้ยง หินก้อนใหญ่ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ มีชิ้นหนึ่งกระเด็นมาที่เท้าของฮูหยิน


 


ทุกคนพากันตกตะลึง เด็กคนนี้มีเรี่ยวแรงมากเท่าใดกันแน่


 


“ดูเถอะ บ่าวไม่ได้พูดเหลวไหลใช่ไหมเจ้าคะ เขาวิ่งเร็วเกินไปจนไปชนกับคนอื่นแล้วก็ตกลงไปในน้ำ” เยว่กุ้ยพูดเสียงดัง “คุณหนูของพวกเราตกใจมาก บ่าวจะพานางไปหาฮูหยินของซื่อจื่อ ฮูหยินทุกท่านโปรดหลีกทางด้วย”


 


เถาฮวาเปิดทางให้อยู่ด้านหน้า เยว่กุ้ยประคองเสิ่นเวยตามไปด้านหลัง ทุกที่ที่เถาฮวาเดินไปถึง ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะถอยไปด้านข้าง เปิดทางให้นาง


 


เสิ่นเวยฝังศีรษะในอ้อมแขนของเยว่กุ้ย มุมปากเหยียดยิ้ม คลี่ยิ้มอย่างเบิกบาน


 


ฮ่ะๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เยว่กุ้ยคนนี้จะเป็นคนมีความสามารถที่เหมาะจะบ่มเพาะขึ้นมา ฮ่าๆ นาง เสิ่นเวยฉลาดหลักแหลมที่สุด ดูเอาเถอะ การแสดงออกของเยว่กุ้ยเมื่อครู่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่เห็นฮูหยินฉินที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงหรือ


 


ฮ่ะๆ ฮ่ะๆ เสิ่นเวยสุขใจจนอยากจะกระโดดโลดเต้นนัก


 


เพียงไม่นาน ฮูหยินของซื่อจื่อแห่งจวนจงอู่โหวก็พาเหล่าคุณหนูกลับจวนด้วยโทสะ มื้อค่ำก็ไม่กิน …นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ…แต่ละคนพึมพำออกมา แต่เพียงไม่นานทุกคนก็ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้น


 


ตอนที่เสิ่นเวยขึ้นรถม้า นางมองไปด้านหลังเหมือนไม่ใส่ใจ ในกลุ่มมีบ่าวที่ไม่โดดเด่นสะดุดตาผู้หนึ่งพยักหน้าให้เสิ่นเวยเบาๆ จนแทบมองไม่เห็น สัญญาณนั้นทำให้เสิ่นเวยวางใจลงได้


 


รอก่อนเถอะ ทุกคนที่วางแผนเล่นงานนาง ครั้งนี้พี่สาวจะไม่ใจดีอีกแล้ว


 


ปัง


 


เถาฮวาถีบประตูห้องโถงเรือนซงเฮ่อให้เปิดออก ทุกคนที่กำลังทานข้าวกันอยู่ด้านในพร้อมใจกันหันมามอง ก็เห็นเสิ่นเวยค่อยๆ ก้าวเข้ามา โดยมีพวกหญิงรับใช้รายล้อม


 


 


 


[1] เป็ดแล้งน้ำ (旱鸭子) คือ คนที่ว่ายน้ำไม่เป็น


ตอนที่ 142-1 สุดแล้วแต่ท่านจะเลือก

 


 


 


ภายในห้องโถงมีโต๊ะขนาดใหญ่สองตัววางอยู่ เหล่าเจ้านายของจวนจงอู่โหวกำลังกินอาหารค่ำด้วยกัน โดยแบ่งแยกชายหญิง อ้อ จริงสิ คืนนี้เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ภายในครอบครัวที่จะจัดขึ้นทุกเดือน มีสองคนที่ไม่ได้มาร่วมงานก็คือเสิ่นเวยและเสิ่นเจวี๋ยสองพี่น้อง 


 


“ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดเลยหรือ ผู้อาวุโสและพี่น้องทุกท่าน มื้อค่ำรสชาติดีหรือไม่” มุมปากของเสิ่นเวยเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม กวาดตามองทุกคนอย่างไม่รีบร้อน 


 


เหล่าผู้อาวุโสต่างรู้สึกกระอักกระอ่วน “เวยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าไม่สบายไม่ใช่หรือ ตอนนี้ทุเลาลงบ้างหรือไม่” เหล่าไท่จวินชิงเอ่ยปากขึ้นก่อนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ความหมายนั้นชัดเจนมาก ไม่ใช่พวกเราไม่ได้เรียกเจ้า แต่ว่าร่างกายของเจ้าไม่แข็งแรง พวกเราทำไปเพราะหวังดีกับเจ้า 


 


เสิ่นเวยมองเหล่าไท่จวินเหมือนจะยิ้มให้ ก่อนจะส่งเสียงตอบรับไปหนึ่งคำเท่านั้น 


 


ฮูหยินสวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อครู่ก่อนที่จะเริ่มกิน นางยังถามอยู่เลยว่าเหตุใดเวยเจี่ยเอ๋อร์ไม่มา เหล่าไท่จวินบอกกับนางว่าร่างกายของเวยเจี่ยเอ๋อร์ไม่แข็งแรงจึงไม่ร่วมด้วย เท่าที่ดูในตอนนี้ เหล่าไท่จวินไม่อยากเรียกเวยเจี่ยเอ๋อร์มากินอาหารด้วยมากกว่า 


 


ฮูหยินสวี่ไม่พอใจต่อการกระทำของเหล่าไท่จวิน….ท่านลำเอียงจนถึงที่สุดแล้ว เหตุใดยังไม่พอใจอีก ทำให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ต้องลำบากใจอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ หรือว่าจะให้นางทำให้ท่านลำบากใจด้วยเล่า 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์ มานี่ มานั่งข้างป้าสะใภ้ใหญ่ ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบต้มจืดมากที่สุด ลั่วเสีย ตักข้าวให้คุณหนูสี่” ฮูหยินสวี่ทักทายเสิ่นเวยด้วยรอยยิ้ม สาวใช้สองคนด้านหลัง คนหนึ่งรีบตักต้มจืดเพิ่ม ส่วนอีกคนก็ยกเก้าอี้เข้ามาเพิ่มข้างฮูหยินสวี่ 


 


แต่เสิ่นเวยไม่ยอมขยับ สีหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มบาง  


 


เสิ่นหงเซวียนนึกโมโหขึ้นมา ผู้อาวุโสยอมอ่อนข้อให้นางแล้ว นางยังจะเอาอะไรอีก เขากระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะ ระงับโทสะก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “เจ้าไม่สบายก็ควรจะพักผ่อนอยู่ในเรือน เจ้าถ่อมาทำตัวอันธพาลอะไรที่นี่” เมื่อมองไปเห็นหญิงรับใช้กลุ่มใหญ่ติดตามมาด้านหลัง สีหน้าของเขาก็ยิ่งดุดันขึ้น พาคนกลุ่มใหญ่ขนาดนี้มาแสดงอำนาจต่อหน้าผู้อาวุโส นางคิดจะทำอะไร ช่างไม่รู้กฎระเบียบ 


 


“หืม ท่านพ่อได้ยินใครบอกหรือเจ้าคะว่าข้าไม่สบาย ฮูหยินหลิวหรือ คำพูดของนาง ท่านก็กล้าเชื่อด้วยหรือ” มุมปากของเสิ่นเวยเหยียดยิ้มประชดประชัน คนผู้นี้ช่างความจำสั้นจริงๆ เพิ่งจะผ่านไปสามสี่วันก็ยอมอภัยให้ฮูหยินหลิวแล้ว เฮ้อ พวกผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้ร่างกายท่อนล่างไตร่ตรอง เจ้าจะหวังอะไรในตัวของเขาได้ 


 


เสิ่นเวยไม่สนใจสีหน้าถมึงทึงของบิดา แต่หันไปทางฮูหยินสวี่ พูดอย่างมีมารยาทว่า “ขอบคุณความเมตตาของท่านป้าเจ้าค่ะ อาหารมื้อนี้หลานไม่กินแล้วเจ้าค่ะ หลานมีเรื่องบางอย่าง สะสางเสร็จแล้วจะกลับเลยเจ้าค่ะ” 


 


เสิ่นเวยกล่าวจบก็ชี้ไปที่ฮูหยินหลิว พลางเอ่ยว่า “ฮูหยิน ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกท่านแล้ว หากท่านล่วงเกินข้าอีก ข้าจะไม่เห็นแก่หน้าท่านพ่อกับท่านย่า และให้โอกาสท่านอีก คำพูดนี้ท่านจำได้หรือไม่” 


 


ฮูหยินหลิวยังไม่ทันได้เอ่ยคำใด เสิ่นเสวี่ยก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว “พี่สี่ ท่านแม่ของข้ามีศักดิ์เป็นมารดาของท่าน ท่านพูดจากับผู้อาวุโสเช่นนี้หรือ ท่านยังมีกฎระเบียบอยู่บ้างหรือไม่” 


 


เสิ่นเวยมองเสิ่นเสวี่ยอย่างดูแคลน รู้สึกสนใจขึ้นมา “เจ้าพูดเรื่องกฎระเบียบกับข้า เจ้าที่ลอบกับนัดพบกับบุรุษ แย่งชิงคู่หมายของพี่สาว หญิงเช่นเจ้ากล้าพูดเรื่องกฎระเบียบกับข้าหรือ เจ้ารู้หรือว่ากฎระเบียบเขียนอย่างไร ดูแล้วการอบรมของแม่นมฉินคงไม่ได้ผลกระมัง” เสิ่นเวยชายตามองแม่นมฉิน พลางพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย 


 


สีหน้าของเสิ่นเสวี่ยเผือดสีในทันที นางกัดริมฝีปากของอย่างคับแค้นใจ น้ำตาเอ่อคลอดในดวงตา “เจ้า เจ้า” 


 


เสิ่นอิงที่อยู่ข้างๆ กันเหยียดยิ้มมุมปาก แสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากดูเรื่องสนุก ในขณะที่เสิ่นเยว่ก้มหน้าลงแทบจะมุดลงไปในด้วย ในขณะที่ฮูหยินจ้าวแห่งเรือนสองไม่เอ่ยคำใด แต่สีหน้าสุขใจที่ได้เห็นความอับโชคของคนอื่น มีเพียงเสิ่นซวงที่ขมวดคิ้ว คิดจะลุกขึ้นมาพูดบางอย่าง แต่ถูกฮูหยินสวี่รั้งตัวไว้ พลางส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อปรามบุตรสาว 


 


“พอที เวยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าทำเกินไปแล้ว” เหล่าไท่จวินตะคอกออกมา “เจ้าพูดกับผู้อาวุโสอย่างนี้หรือ” จะโทษนางที่ไม่เรียกเวยเจี่ยเอ๋อร์มาร่วมงานไม่ได้ มีเด็กคนนี้คอยพูดจาทิ่มแทง นางจะกินข้าวลงได้อย่างไร 


 


“ผู้อาวุโส มีผู้อาวุโสที่ลงมือทำร้ายลูกเลี้ยงหลายต่อหลายครั้งเช่นนี้หรือ” เสิ่นเวยจับจ้องไปที่ฮูหยินหลิว แววตาเย็นชาขึ้นมา “ฮูหยิน สิ่งที่ข้าพูดหมายความว่าอย่างไร ท่านคงรู้ดีแก่ใจใช่หรือไม่” 


 


ตั้งแต่เสิ่นเวยเข้ามา ฮูหยินหลิวก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาแล้ว นางกินปูนร้อนท้อง นางไม่รู้ว่าเสิ่นเวยรู้เรื่องที่ตนเองทำมากน้อยแค่ไหน แต่เวลานี้เสิ่นเวยเอ่ยนามจองนาง นางจะหนีไปที่ใดได้เล่า “เวยเจี่ยเอ๋อร์พูดเข้า  ข้าเก็บตัวอยู่ในเรือนหลังทุกวัน จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร เวยเจี่ยเอ๋อร์อย่าได้ฟังคำยุยงของคนอื่นและมาปรักปรำข้าเลย” นางร้องว่าถูกปรักปรำก่อน  


 


 “วางใจเถอะ ข้าคงปรักปรำท่านไม่ได้ เถาฮวา พาตัวคนเข้ามาให้ฮูหยินดู” เสิ่นเวยยกมือกอดอกท่าทีสงบนิ่ง “ข้านับถือวิธีการของฮูหยินจริงๆ ตั้งแต่เรื่องการทาบทามของจวนเสนาบดีฉิน จนกระทั่งถึงเรื่องงานเลี้ยงของพวกเขา เหตุใดที่ไหนๆ ก็มีเงาของฮูหยินอยู่ทั้งนั้น ฮูหยินช่างมือยืดยาวเสียจริง ยาวไปถึงเรือนหลังของจวนเสนาบดีฉินได้ ว่าอย่างไร คิดจะบงการงานแต่งงานของข้าหรือ ท่านคิดว่าตัวเองหน้าใหญ่ปานนั้นเชียวหรือ” 


 


คำพูดนี้ของเสิ่นเวยราวกับโยนก้อนหินก้อนใหญ่ลงไปในน้ำ ทุกคนต่างตกตะลึง 


 


อะไร เรื่องที่จวนเสนาบดีฉินบีบบังคับสู่ขอเวยเจี่ยเอ๋อร์เกี่ยวข้องกับฮูหยินหลิวหรือ เป็นไปไม่ได้กระมัง ฮูหยินหลิวเป็นแค่หญิงในจวนของขุนนางเท่านั้น จะบงการความคิดของเสนาบดีฉินได้อย่างไร แต่ว่าเสิ่นเวยก็พูดอย่างมั่นใจ ดูเหมือนแม้แต่พยานนางก็มี ดูไม่เหมือนปั้นน้ำเป็นตัว 


 


           เสิ่นเวยสังเกตท่าทีของทุกคน นางพอจะคาดเดาความคิดของพวกเขาได้ นางเหยียดยิ้มมุมปาก ส่งสัญญาณให้เถาฮวา “ให้นางบอกกับเหล่านายท่านไปว่าฮูหยินทำอะไรไว้” 


 


เถาฮวาพาตัวหญิงรับใช้วัยกลางคนเข้ามา ปากของนางถูกยัดเศษผ้าเอาไว้ เด็กหญิงออกแรงผลักนาง “พูดความจริง ไม่อย่างนั้นจะตีให้ตาย” 


 


           หญิงรับใช้ผู้นั้นถลาไปกองที่พื้นทันที เนื้อตัวสั่นเทาขึ้นมา “ฮูหยินช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าค่ะ” คุณหนูสี่น่ากลัวมาก แต่สาวใช้ข้างกายคุณหนูน่ากลัวกว่า แค่ครั้งเดียวก็เตะอ่างน้ำขนาดใหญ่เป็นรูได้ 


 


 ฮูหยินหลิวได้ยินดังนั้น ดวงตาพลันเบิกกว้าง นี่ หญิงรับใช้ที่ถูกต่อยจนหน้าพังยับเยินผู้นี้คือคนที่นางสั่งให้นำจดหมายไปส่งไม่ใช่หรือ  เหตุใดจึงตกอยู่ในกำมือเสิ่นเวยได้เล่า นางลนลานขึ้นมา 


 


“นี่เป็นหญิงรับใช้จากที่ใด เหตุใดจึงมาพูดจาเหลวไหลต่อหน้าเจ้านายเช่นนี้ ยังไม่รีบไล่ออกไปอีก” ฮูหยินหลิวตำหนิเสียงกร้าว ดูแล้วคงเตรียมจะปากแข็งไม่ยอมรับจนถึงที่สุด 


 


เสิ่นเวยเหยียดยิ้มเย็น ปรายตามองหญิงรับใช้ที่ล้มอยู่บนพื้น เอ่ยว่า “คงจะเห็นแล้ว นี่ก็คือเจ้านายของเจ้า เจ้าจงรักภักดียอมแลกชีวิตเพื่อนาง แต่นางกลับเห็นเจ้าเป็นภาระที่คิดจะผลักออกไป” 


 


หญิงรับใช้ผู้นั้นทั้งตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัว เงยหน้าจ้องเขม็งไปที่ฮูหยินหลิว ตะโกนเรียกเหมือนไม่กล้าเชื่อ “ฮูหยินเจ้าค่ะ ท่านให้บ่าวส่งจดหมายไปให้หลิวอี๋เหนียงของจวนเสนาบดีฉินไม่ใช่หรือเจ้าคะ ยังบอกอีกว่าขอเพียงหลิวอี๋เหนียงช่วยท่านทำเรื่องนี้สำเร็จ ท่านจะช่วยหาคู่ครองที่ดีให้แก่บุตรสาวของนาง ฮูหยิน บ่าวทำเพื่อท่านนะเจ้าคะ ท่านจะไม่สนใจบ่าวไม่ได้นะเจ้าคะ” 


 


หลิวอี๋เหนียงของจวนเสนาบดีฉินหรือ แซ่หลิว สายตาของทุกคนมองไปยังฮูหยินหลิวก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจขึ้นมา 


 


“หลิวอี๋เหนียงอะไร หลี่อี๋เหนียงอะไร ข้าไม่รู้ว่านางกำลังพูดเรื่องอะไร เวยเจี่ยเอ๋อร์พาตัวหญิงรับใช้ผู้นี้มาพูดจาเหลวไหล คิดจะทำสิ่งใดกันแน่ เป็นแค่บ่าวแต่คิดจะแว้งกัดเจ้านาย รีบพูดมา ใครเป็นคนบงการเจ้า” ความลนลานฉายชัดในแววตาของฮูหยินหลิว นางกัดฟัน รู้ว่าเรื่องในวันนี้จะยอมรับไม่ได้เด็ดขาด ก็แค่บ่าวคนหนึ่งเท่านั้น คำพูดของบ่าวเชื่อได้หรือ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฮูหยินหลิวก็หนักแน่นขึ้นมา 


 


แปะ แปะ แปะ เสิ่นเวยตบมือให้กับฮูหยินหลิวสำหรับวิธีการแก้ต่างทั้งยังสามารถย้อนกลับมาเล่นงานนางได้ด้วย “เป็นตายอย่างไรฮูหยินก็คงไม่ยอมรับสินะ” ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ ถ้าหากยอมรับแต่โดยดี บางทีเสิ่นเวยอาจจะให้นางรับโทษสถานเบาสักหน่อย แต่เวลานี้ฮูหยินหลิวกลับพูดแก้ต่างเสียมากมาย น้ำลายที่เสียไปใครจะรับผิดชอบ 


 


ฮูหยินหลิวแสร้งทำหน้าเศร้า “ยอมรับอะไร ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย เวยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าจะไม่ยอมปล่อยข้าเลยใช่หรือไม่ แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยละเลยเจ้า ดูแลเจ้าเหมือนกับที่ดูแลเสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ แต่วันนี้เจ้า เจ้ากลับ…” นางปิดหน้าร้องไห้ 


 


 ในใจของเสิ่นเวยนึกขบขัน สีหน้าเผยความประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่ได้ละเลยนาง ฮูหยินหลิวยังมีหน้ามาพูด หน้าหนาเท่ากำแพงเมืองจริงๆ 


 


“ฮูหยินอย่าแสร้งทำหน้าซื่อดีกว่า หญิงสาวสิบห้าสิบหกยังพอทำให้คนอื่นสงสารได้ แต่ท่านอายุปูนนี้แล้ว น่าเกลียด ท่านคงไม่ได้คิดว่าแค่ร้องไห้ออกมา พูดจาเล่นลิ้นไม่กี่คำ ก็สามารถเอาตัวรอดจากเรื่องนี้ได้ หากข้าไม่มีพยานหลักฐานมากพอคงไม่มาหาท่านหรอก” เสียงเยือกเย็นของเสิ่นเวยดังขึ้นในห้องโถง “มาๆ หาได้ยากที่ผู้อาวุโสทุกท่านจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ข้าก็ถือโอกาสนี้ขอให้ผู้อาวุโสทุกท่านให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วย พี่น้องทุกคนก็ไม่ต้องออกไป อยู่ฟังกันก่อน ฟังวิธีการที่ร้ายกาจของคนในจวน ไม่แน่ว่าอาจจะได้ใช้ในการแต่งงานของพวกท่าน แน่นอนว่าท่านไม่ไปทำร้ายใคร แต่ก็สามารถป้องกันไม่ให้คนอื่นทำร้ายท่านได้” 


 


เดิมทีเสิ่นซวง เสิ่นเชียน พี่น้องคนอื่นคิดจะปลีกตัวออกไปก็ไปไม่ได้แล้ว จำต้องก้มหน้าลงอย่างกระอักกระอ่วน ทำราวกับว่าตนเองไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย 


ตอนที่ 142-2 สุดแล้วแต่ท่านจะเลือก

 


มุมปากของเสิ่นเวยเหยียดขึ้น “เรื่องอะไรน่ะหรือ ง่ายมาก ฮูหยินหลิวรู้สึกขัดใจในตัวข้าจึงฉวยโอกาสตอนที่ข้าต้องหาคู่ครองเกิดความคิดที่ร้ายกาจนี้ขึ้นมา นางรู้อยู่แก่ใจว่าคุณชายเล็กของจวนเสนาบดีฉินเป็นคนไม่เอาไหน ทั้งยังมีความแค้นกับเจวี๋ยเกอเอ๋อร์ เหล่าไท่จวินตระกูลฉินกับสะใภ้ก็ถือหางหลานชายอย่างกับอะไรดีจึงมีความคิดจะส่งข้าเข้าไปในตระกูลฉิน อย่างแรกคือเพื่อกำจัดข้าที่นางเห็นเป็นหอกข้างแคร่ อย่างที่สองคือการได้เห็นข้ามีชีวิตที่ยากลำบากในจวนเสนาบดีฉิน นางจึงจะสะใจ” 


 


 เสียงเอื่อยเฉื่อยของเสิ่นเวยดังขึ้น พูดพลางก็ปรายตามองอีกฝ่าย “ฮูหยินทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ผู้อาวุโสทุกท่านคงไม่ทราบว่าหลิวอี๋เหนียงของจวนเสนาบดีฉินเป็นญาติผู้น้องของฮูหยิน นางจึงสั่งให้หญิงรับใช้ผู้นั้นไปส่งจดหมายให้กับหลิวอี๋เหนียง เสนอผลประโยชน์หลอกล่อ  หลิวอี๋เหนียงสนใจขึ้นมาจึงร่วมมือด้วย คอยเป่าหูเสนาบดีฉินให้คล้อยตาม ภายหลังจวนเสนาบดีฉินจึงมาสู่ขอข้าถึงจวน” 


 


เห็นฮูหยินหลิวคิดจะแก้ตัว เสิ่นเวยก็รีบขัดคำพูดของนางทันที “ฮูหยินคิดจะพูดอะไร จะบอกว่าข้าปรักปรำท่านหรือ ท่านมีสิ่งใดคู่ควรที่ข้าจะปรักปรำหรือ อ้อ จริงสิ นอกจากหญิงรับใช้ในเรือนของท่านแล้ว  ข้ายังนำตัวสาวใช้ของหลิวอี๋เหนียงที่คอยติดต่อกับหญิงรับใช้ผู้นี้มาด้วย เถาฮวา คนล่ะ” 


 


เถาฮวาผลักสาวใช้วัยสิบหกสิบเจ็ดปีเข้ามา สองมือของนางถูกมัดไว้ด้านหลัง แต่ไม่ได้ปิดปาก หรือทุบตี ถึงอย่างไรนางก็เป็นสาวใช้ในจวนของคนอื่น แค่ยืมตัวมาใช้งานเท่านั้น อีกเดี๋ยวยังต้องนำกลับไปคืน หากซ้อมจนมีสภาพสะบักสะบอมก็คงไม่ดีนัก 


 


“นี่ ชื่อจินเกอใช่ไหม อธิบายให้เหล่านายท่านได้ฟังเถอะ” เสิ่นเวยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนสักนิด 


 


           จินเกอตกใจจนเสียขวัญ ตอนนั้นนางกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนมาตบหน้านาง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองอยู่ในสถานที่แปลกตา นางจึงตกใจจนกรีดร้องออกมา 


 


คุณหนูสี่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ไม่ทุบตีหรือก่นด่านาง เพียงแค่บอกนางอย่างอ่อนโยนว่า ‘ชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือของข้า อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะพูดความจริงหรือไม่’ 


 


จินเกอนึกถึงเรื่องที่คนผู้นี้สามารถพาตัวนางมาจากจวนเสนาบดีฉินได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว นางยังจะกล้าข้องใจในคำพูดของอีกฝ่ายหรือ ถูกถามสิ่งใดนางย่อมต้องตอบสิ่งนั้น เพื่อให้สามารถรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ 


 


“ประมาณครึ่งเดือนก่อน ฮูหยินเรือนสามของพวกท่านให้คนนำจดหมายไปส่งแก่อี๋เหนียงของพวกเรา ต้องการให้อี๋เหนียงคิดหาทางทำให้คุณหนูสี่แห่งจวนโหวได้แต่งงานกับคุณชายเล็กของพวกเรา ในจดหมายยังเขียนไว้ด้วยว่าขอเพียงอี๋เหนียงทำเรื่องนี้สำเร็จก็จะช่วยหาคู่ครองที่ดีให้กับคุณหนูของพวกเรา” จินเกอพูดความจริงทุกคำ “เจ้า เจ้าพูดเหลวไหล” ฮูหยินหลิวสีหน้าเผือดสี ตะคอกอย่างกราดเกรี้ยว แต่ภายในใจกำลังหวาดหวั่น 


 


จินเกอรีบร้องออกขอความเป็นธรรม “คุณหนูสี่ สิ่งที่บ่าวพูดล้วนเป็นความจริง ต่อมาจวนของท่านไม่ได้ตอบตกลง ฮูหยินสามจึงช่วยออกความคิดให้กับอี๋เหนียงของเรา บอกว่าให้อาศัยโอกาสในงานเลี้ยงของจวนเสนาบดีฉิน ล่อลวงคุณหนูสี่กับคุณชายเล็กของเราให้มาพบกัน หลังจากนั้นก็ให้พาแขกในงานไปเห็นเหตุการณ์นั้น ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าทั้งสองคนแอบนัดพบกันตามลำพัง คุณหนูสี่ บ่าวไม่ได้พูดเหลวไหล ท่านต้องเชื่อบ่าวนะเจ้าคะ” 


 


เสิ่นเวยปรายตามองฮูหยินหลิว ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ปากก็เอ่ยคำพูดเย็นขาออกมา “ฮูหยินยังคิดจะแก้ตัวหรือไม่ จดหมายสองฉบับของท่านก็อยู่ที่ข้าแล้ว ท่านพ่อ เห็นท่านมีท่าทีตกใจเช่นนั้น ยังไม่เชื่อข้าใช่หรือไม่ ข้าจะให้ท่านดู งูพิษตัวนี้นอนอยู่ข้างกายท่านทุกคืน ไม่กลัวหรือเจ้าคะ” เสิ่นเวยเอ่ยถามอย่างจริงจัง ทั้งยังแสร้งทำหวาดกลัว ก่อนจะโยนจดหมายไปตรงหน้าเขาโดยไม่แยแสต่อสีหน้าถมึงทึงของเขา 


 


 เสิ่นหงเซวียนจะเก็บขึ้นมาก็ไม่ได้ จะไม่เก็บไม่ได้จึงก้มหน้าลงเหลือบมอง เขาแน่ใจว่านั่นคือลายมือของฮูหยินหลิวจริงๆ “ฮูหยินหลิว เจ้า” เสิ่นหงเซวียนมองภรรยาอย่างเย็นชาและชิงชัง เขา เขามีภรรยาเช่นนี้ได้อย่างไร 


 


เสิ่นเวยนึกแค่นเสียงเยาะอยู่ภายในใจ คิดว่าชีวิตนี้ของบิดาช่างน่าขัน แต่จะโทษใครได้เล่า สิ่งที่ห่อหุ้มเท้าของเขาทำให้เดินด้วยตัวเองไม่ได้ อ้อไม่ใช่ ยังมีมารดาของเขาคอยผลักดันอีกแรง 


 


“ดูมันรัดตัวทีละรอบๆ ไม่เพียงมีพิษร้ายเท่านั้น ทั้งยังชาญฉลาดอีกด้วย ฮูหยิน ท่านมีความสามารถมากมายเช่นนี้ ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ เรือนหลังของจวนจงอู่โหวเล็กเกินไป ท่านไม่คิดว่าน่าคับข้องใจเกินไปหน่อยหรือ ด้วยวิธีการที่วางแผนอย่างแยบยลนี้ของท่าน ถึงอย่างไรฝ่าบาทต้องแต่งตั้งให้ท่านเป็นกุนซือแน่” เสิ่นเวยเอ่ยประชดประชัน 


 


ฮูหยินหลิวสีหน้าเ**้ยมโหด หัวเราะออกมาเสียงดัง เสิ่นเวยหันมามองนางอย่างสนใจ ราวกับกำลังมองคนตาย ไม่ได้รู้สึกโกรธสักนิด 


 


“ใช่ เวยเจี่ยเอ๋อร์พูดถูก เรื่องนี้ล้วนเป็นฝีมือของข้า แล้วอย่างไรล่ะ” ฮูหยินหลิวเผยธาตุแท้ออกมา เหยียดยิ้มท้าทายเสิ่นเวย นางไม่เชื่อว่านางเด็กเหลือขอคนนี้จะสังหารนางได้ 


 


เสิ่นเวยคลี่ยิ้มจนตาหยี ท่าทีไร้เดียงสา “ใช่ ข้าจะสังหารท่านไม่ได้ หากสังหารท่าน ข้ายังต้องไว้ทุกข์ให้ท่านอีก คิดๆ แล้วก็น่ารำคาญ” เสิ่นเวยถอนหายใจออกมา ราวกับรู้สึกลำบากใจจริงๆ “ท่านย่า ท่านคิดว่าอย่างไร ท่านว่าควรจะลงโทษอย่างไรดี” 


 


เหล่าไท่จวินสีหน้าไม่ดี นางนึกโกรธฮูหยินหลิว มิน่าเล่าหลายวันก่อนหน้านี้ นางมาบอกกับตนว่าคุณชายเล็กแห่งตระกูลฉินเป็นคนที่เหมาะสมมาก โชคดีที่ตนไม่เห็นด้วย หญิงชราหลงลืมไปหมดแล้วว่าตนเองเคยคล้อยตามกับเรื่องนี้ 


 


แต่เหล่าไท่จวินโกรธเสิ่นเวยมากกว่า มีเรื่องอะไรพูดกันส่วนตัวไม่ได้หรือ เหตุใดต้องโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่โตด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่หักหน้าผู้อาวุโสต่อหน้าลูกหลานคนอื่น ฮูหยินหลิวทำผิดอย่างไรแต่ก็เป็นผู้อาวุโส มีศักดิ์เป็นมารดาของเสิ่นเวย 


 


“กักบริเวณก็แล้วกัน กักบริเวณสักครึ่งปี” เหล่าไท่จวินเม้มปากพูด  


 


ฮูหยินหลิวเป็นหลานสาวของนาง เหล่าไท่จวินย่อมต้องเอ่ยปากปกป้องบ้าง 


 


เสิ่นเวยส่ายหน้า “เบาเกินไป” ฝันไปเถอะ กักบริเวณถือเป็นการลงโทษหรือ นางทุ่มเทไปตั้งมากมายเพื่อหาพยานและหลักฐานไม่ได้ทำเพื่อให้ฮูหยินหลิวแค่ถูกกักบริเวณเท่านั้น อีกอย่าง กักบริเวณแค่ครึ่งปีเท่านั้น ฮูหยินหลิวสบายเกินไป  


 


“ท่านพ่อว่าอย่างไรเจ้าคะ” เสิ่นเวยเคลื่อนสายตามาหยุดที่เสิ่นหงเซวียน 


 


“กักบริเวณหนึ่งปี ให้คุกเข่าหน้าป้ายเซ่นวิญญาณของฮูหยินหร่วนครึ่งเดือน” เสิ่นหงเซวียนกัดฟันพูด 


 


ฮูหยินหลิวได้ยินสีหน้าพลันขาวซีด ให้นางไปคุกเข่าหน้าป้ายเซ่นวิญญาณของฮูหยินหร่วน สำหรับนางแล้วเป็นความอัปยศเพียงใด สายตาที่นางมองไปยังเสิ่นเวยเต็มไปด้วยความอำมหิต ชิงชังจนอยากจะกลืนนางลงท้องไปเสียให้ได้ 


 


ถึงแม้เสิ่นเวยจะชอบใจที่ฮูหยินหร่วนไปคุกเข่าหน้าป้ายเซ่นวิญญาณของมารดา แต่นางก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ยังเบาเกินไป” เหตุใดคนเหล่านี้จึงไม่เข้าใจสถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่ลงโทษคนก็ทำไม่ได้ ต้องให้ผู้น้อยอย่างนางสอนหรือ 


 


“เจ้าอย่าทำเกินไปนัก” เสิ่นเสวี่ยตบโต๊ะ ก่อนจะชี้หน้าเสิ่นเวยพลางตะคอกออกมา ให้ไปคุกเข่าอยู่หน้าป้ายเซ่นวิญญาณแล้ว นางยังต้องการอะไรอีก 


 


เสิ่นเวยมองเสิ่นเสวี่ยอย่างเย็นชา อยู่ๆ ก็คลี่ยิ้มออกมา “พรุ่งนี้ข้าจะเปลื้องผ้าเจ้าแล้วจับไปโยนบนเตียงผู้ชาย แล้วให้คนมาขืนใจเจ้า น้องสาวไม่ต้องกังวล ข้าไม่กลัวการกักบริเวณ และไม่กลัวต้องไปคุกเข่าในศาลบรรพชนด้วย” 


 


“เจ้า” เสิ่นเสวี่ยโกรธจนน้ำตาไหล ทั้งอายทั้งโกรธ นางทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงปิดหน้าวิ่งไปที่ประตู แต่ถูกหลีฮวาขวางไว้ทันท่วงที “คุณหนูห้า ท่านรอสักครู่ รอคุณหนูของพวกเราสะสางธุระเสร็จ ท่านค่อยไป” คุณหนูได้สั่งไว้ก่อนแล้วห้ามให้ใครออกไปแม้แต่คนเดียว เมื่อนึกถึงแผนการที่ฮูหยินใช้เล่นงานของคุณหนู ในหัวของหลีฮวาก็เต็มไปด้วยโทสะ 


 


เสิ่นเสวี่ยออกไปไม่ได้ แต่ก็ไม่มีหน้าจะกลับมาจึงถลึงตาใส่หลีฮวา ดวงตาของนางราวกับจะพ่นไฟออกมาได้ ในขณะที่หลีฮซายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว 


 


 เสิ่นเสวี่ยไม่กล้าใช้กำลังในตอนนี้ เคยได้ยินว่าสาวใช้คนสนิทของนางแพศยาเสิ่นเวยมีวรยุทธ์ สุดท้ายเสิ่นเสวี่ยก็กระทืบเท้า เชิดหน้ากลับเข้าไปในห้อง 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์คิดจะทำอย่างไร” เสิ่นหงเหวินเอ่ยปากขึ้นบ้าง เขาขมวดคิ้ว สายตาที่มองไปยังหลานสาวแสดงความไม่เห็นด้วยอยู่หลายส่วน  


 


ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ฮูหยินหลิวจะทำไม่ถูก แต่ว่าวิธีการของเวยเจี่ยเอ๋อร์ทำให้เขาไม่สบายใจนัก ในยุคสมัยที่พิถีพิถัน ทำอะไรอ้อมค้อม วิธีการจัดการที่เฉียบขาดรุนแรงของเสิ่นเวยทำให้เขารับไม่ได้ 


 


เสิ่นเวยเหลือบมองท่านลุงใหญ่ แน่นอนว่านางมองเห็นความไม่พอใจในสายตาของเขา แต่นางไม่ใส่ใจ “หอธรรม วัดของตระกูล หรือหมู่บ้านในปกครองของตระกูล ฮูหยิน ท่านเลือกด้วยตัวเองเถอะ” เสิ่นเวยเอ่ยคำตอบของนางออกไป 


 


เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกไปก็เหมือนได้ยินเสียงสูดลมหายใจของใครหลายคน คนอื่นๆ ต่างรู้ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้ฮูหยินหลิวอย่าหวังว่าจะได้ออกมาอีก ฮูหยินสวี่มองเสิ่นเวยที่มีท่าทีสุขุมเยือกเย็น ในใจรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา เวยเจี่ยเอ๋อร์ช่างมีวิธีการเลือดเย็นนัก 


 


“ว่าอย่างไร ไม่ยอมหรือ เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะส่งมองพยานและหลักฐานให้กับจวนซุ่นเทียน” เสิ่นเวยเลิกคิ้ว หมายจะหมุนกายเดินจากไป 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์” ฮูหยินสวี่ตะโกนเรียกอย่างร้อนใจ “น้องสะใภ้สามเลือกสักอย่างเถอะ” คนอื่นอาจจะไม่เชื่อว่าเสิ่นเวยจะทำเช่นนั้นจริงๆ แต่นางเชื่อ นางจะปล่อยให้สามีและบุตรชายต้องกลายเป็นตัวตลกเพียงเพราะฮูหยินหลิวเพียงคนเดียวไม่ได้  


 


ฮูหยินหลิวส่งสายตาอ้อนวอนไปยังเหล่าไท่จวิน แต่หญิงชรากลับเบนสายตาลง นางจึงเข้าใจสถานการณ์ “หอธรรม” 


 


คำพูดเพียงไม่กี่คำนี้ราวกับเค้นลอดไรฟันออกมา นางเลือกหอธรรมเพราะว่าสถานที่นั้นตั้งอยู่ในจวน ไม่ต้องออกไปข้างนอก หากไปที่วัดหรือหมู่บ้านในการดูแลของตระกูล ใครจะรู้ว่านางจะมีชีวิตรอดหรือไม่ 


 


 เสิ่นเวยพยักหน้า “ได้ ในเมื่อฮูหยินเลือกหอธรรมแล้ว ฤกษ์ดีไม่สู้ฤกษ์สะดวก ไปตอนนี้เลยเถอะ เดิมทีก็ไปเพื่อปฏิบัติธรรมคงไม่จำเป็นต้องเก็บข้าวของ ให้พระพุทธองค์ดูความจริงใจของท่านเถอะ เถาฮวาเยว่กุ้ย ส่งฮูหยินไปสักการะพระพุทธองค์ที่หอธรรม” 


 


ทั้งสองคนขยับทันทีที่ได้ยิน พวกนางเข้าไปคุมตัวฮูหยินหลิวเดินออกไปข้างนอก ฮูหยินหลิวคิดจะร้องแต่ถูกเถาฮวาปิดปากไว้ 


 


เสิ่นเวยเห็นดังนั้นก็พูดอย่างรื่นรมย์ว่า “ผู้อาวุโสและพี่น้องทุกท่านกินข้าวกันต่อเถอะ ข้าไม่รบกวนแล้ว” เสิ่นเวยพาเหล่าหญิงรับใช้หมุนกายจากไปอย่างเบิกบาน  


 


คนที่เหลือในห้องโถงจะมีแก่ใจกินข้าวได้อย่างไร 


ตอนที่ 143 ท่านจะหลอกข้าเช่นนี้ไม่ได้

 


ค่ำคืนนี้อบอุ่นราวกับถูกโอบอุ้มด้วยมือของคนรัก


เวลาล่วงเข้าสู่ยามไฮ่ [1]อยู่ๆ เสนาบดีฉินก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบไปที่ห้องหนังสือที่เรือนนอก


บรรยากาศภายนอกถูกปกคลุมด้วยความมืด คนติดตามใช้โคมไฟส่องแสงนำทาง บนท้องฟ้ามีดวงดาวสุกสกาว ดวงจันทร์เสี้ยววับแวม ทั่วจวนถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงบ


คนดูแลตะโกนเรียกหญิงรับใช้ให้มาเปิดประตูกลาง หญิงรับใช้ผู้นั้นกำลังหลับฝันดีก็ไม่อยากตื่นขึ้นมา แต่เมื่อได้เห็นชัดๆ ว่าคนที่เรียกนางคือคนติดตามของท่านเสนาบดี ความง่วงงุนก็หายไปจนหมด


เมื่อเดินผ่านประตูกลางไปไม่ไกลก็มาถึงห้องหนังสือในเรือนนอก นี่เป็นสถานที่สะสางงานของเสนาบดีฉินจึงมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา คนรับใช้ทั่วไปไม่อนุญาตให้เข้ามาใกล้ บ่าวรับใช้สามสี่คนที่คอยปรนนิบัติอยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนสนิทของท่านเสนาบดี


           เมื่อเข้ามาในเรือน เสนาบดีฉินก็ขมวดคิ้วแน่น ไม่ใช่เพราะสิ่งใด หากแต่เป็นเพราะภายในเรือนนอกมีแต่ความมืด ไร้ซึ่งแสงสว่าง แต่ไหนแต่ไรมาห้องหนังสือของเขาจะมีคนคอยเฝ้าตอนกลางคืน เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน


“พวกเหลือขอเหล่านี้ ทั้งเกียจคร้านทั้งไม่เอาไหน เสียนิสัยกันหมดแล้ว” ในใจของคนติดตามนึกบ่นบ่าวรับใช้เหล่านั้น แต่เขาจำต้องช่วยพูดแก้ต่างให้ เพราะบุตรชายคนเล็กของเขาก็เป็นหนึ่งในคนดูแลห้องหนังสือ


“เจ้าไปตามคนมาเถอะ” เสนาบดีฉินสั่งความจบก็เดินตรงเข้าไปในห้องหนังสือ เมื่อเขาผลักประตูเข้าไป แสงจากเปลวเทียนก็สว่างขึ้น


 เสนาบดีฉินสะดุ้งตกใจ เมื่อสายตาของเขาคุ้นชินแล้วจึงมองเห็นว่าบนเก้าอี้ไท่ซือที่เขานั่งเป็นประจำมีหญิงงามผู้หนึ่งนั่งอยู่ ในตอนนี้นางกำลังแย้มยิ้มหวานมาให้เขา


           เสนาบดีฉินควบคุมท่าทีเป็นปกติ แต่ความตื่นตัวไม่ได้หายไป เขาไพล่มือไปด้านหลัง ก้าวไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “แม่นางมาเยือนจวนเสนาบดีฉินดึกดื่น ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดให้ข้าช่วยหรือ” ดวงตาเฉียบแหลมกลับกวาดตามองหญิงสาวลึกลับอย่างสำรวจ เขามองข้ามรูปลักษณ์ของนาง แม้นางจะมีท่าผ่อนคลาย แต่เสนาบดีฉินก็ไม่กล้าประมาท ผู้ที่สามารถลอบเข้ามาในห้องหนังสือของจวนเสนาบดีได้ง่ายดายราวกับเข้าห้องส่วนตัวของตนเอง จะเป็นเพียงหญิงธรรมดาได้หรือ ถึงแม้ว่าผู้ที่ลอบเข้ามา เป็นหญิงงามวัยสิบห้าสิบหกปี เสนาบดีฉินก็ไม่กล้าดูถูก


ใครจะรู้ แม้นางผู้นั้นกลับหัวเราะขบขัน ภายใต้แสงเทียนสาดส่อง รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกไม้นับหมื่นนับพันพร้อมใจกันเบ่งบาน เสนาบดีฉินได้ยินเสียงใสรื่นหู “ท่านเสนาบดีหาพวกเขาอยู่หรือ โน่น พวกเขาอยู่ตรงนั้น”


ชายวัยกลางคนมองตามทิศทางที่มือของนางชี้ไป เกลียวคลื่นถาโถมอยู่ภายใจใจ บ่าวรับใช้ในห้องหนังสือของเขาทุกคนถูกมัดกองรวมกันอยู่ที่มุมห้อง ปากถูกปิดไว้ ดูแล้วคนติดตามของเขาที่ออกไปตามคนเหล่านี้มากคงจะเสียแรงเปล่าแล้ว


“แม่นาง แท้ที่จริงแล้วเจ้าเป็นเทพเซียนจากที่ใดกันแน่ ลอบเข้ามาในจวนเสนาบดีด้วยเหตุใด” น้ำเสียงของเขาเย็นชาขึ้น ในใจนึกก่นด่าเหล่าทหารยามในจวน…เศษสวะ เศษสวะทั้งนั้น มีคนลอบเข้ามาในห้องหนังสือยังไม่รู้ตัวอีก หากวันใดข้าถูกศัตรูลอบเข้ามาตัดหัว พวกมันคงไม่รู้ตัว…


แม่นางผูู้นั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “ผู้น้อย เสิ่นเวย คุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหวคารวะท่านเสนาบดีฉิน” อากัปกิริยานอบน้อมทำให้เสนาบดีฉินรู้สึกประทับใจมากจริงๆ


เสิ่นเวยก็กำลังกวาดตามองเสนาบดีฉินอย่างสำรวจ ภายนอกมีสีหน้าแย้มยิ้ม ท่าทีสุภาพเรียบร้อย ดูไร้พิษสง แต่เสิ่นเวยก็รู้ว่านี่ก็คือจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากเขาบางเฉียบ คนส่วนใหญ่ที่ริมฝีปากบางมักจะเป็นคนเย็นชา ถึงแม้ดวงตาของเขากำลังแย้มยิ้ม แต่ส่วนลึกของนัยน์ตากลับไม่ได้ยิ้มด้วย


อ้อ ที่แท้ก็คือเสิ่นเวย คุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหวนี่เอง ในใจของเสนาบดีฉินรู้สึกประหลาดใจ สีหน้ายิ่งเผยความอ่อนโยน “ที่แท้ก็คือหลานสาวเสิ่นนี่เอง ไม่ทราบว่าเจ้ามาเยือนดึกดื่นด้วยเหตุใดหรือ”


ช่างเป็นคัมภีร์สีดำเล่มหนาผู้คร่ำหวอดในราชสำนัก ไม่เสียแรงที่เป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายบุ๋นของราชวงศ์ต้ายง เพียงไม่นานก็ถือโอกาสเรียกขานนางว่าหลานสาวแล้ว ในใจของเสิ่นเวยรู้สึกหนักใจ คิดอย่างเสียดายว่า ท่านลุงทั้งสองกับบิดาของนางเป็นคนรุ่นเดียวกับเสนาบดีฉิน แต่ไม่มีใครสักคนที่มีความสามารถจนถึงขนาดได้ครองจวน ยิ่งกว่านั้นคนผู้คนนี้ก็สามารถเทียบเคียงกับท่านปู่ของนางได้


           เหตุใดจึงรู้สึกว่ามีอำนาจมากเทียบการมีคนมีความสามารถไม่ได้ แต่ว่าเมื่อนึกถึงคนรุ่นหลัง เสิ่นเวยก็รู้สึกว่าทั้งสองตระกูลเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าเหล่าหลานชายของจวนจงอู่โหว ส่วนใหญ่จะธรรมดา ไม่โดดเด่นอะไร แต่อย่างน้อยก็ไม่มีคนใดที่เลวระยำเหมือนฉินมู่หราน


“หลานสาวมีเรื่องบางอย่างอยากของคำชี้แนะจากท่านลุง กลางวันมีสายตาผู้คนมากมาย หลานสาวจำต้องเลือกตอนกลางคืน ท่านลุงโปรดอภัย” เสิ่นเวยย่อกายคารวะ มองตรงไปที่เสนาบดีฉิน “ได้ยินว่าเรื่องที่คุณชายเล็ก บุตรชายของท่านส่งคนมาเจรจาสู่หลานสาว เป็นความคิดของท่านลุง”


เสนาบดีฉินกระตุกมุมปาก แววตาเผยความชื่นชม เมื่อครู่เขาเพิ่งเรียกนางว่าหลานสาว นางก็เรียกเขาว่าท่านลุง ช่างเป็นแม่นางที่เฉลียวฉลาดและสายตาแหลมคมจริงๆ ถ้าหากสู่ขอนางให้หรานเกอเอ๋อร์ได้จริงๆ เขายังมีสิ่งใดต้องเป็นกังวลอีก


           เมื่อคิดได้อย่างนี้ เขาก็พยักหน้าไม่หยุด “เจตนาดีของภรรยาของลุงทำเสียเรื่องเสียแล้ว ทำให้หลานสาวเห็นเรื่องน่าอายแล้ว”


แต่เสิ่นเวยไม่ได้หลอกได้ง่ายเช่นนั้น “เช่นนั้นท่านลุงคิดว่าคุณชายเล็กคู่ควรกับข้าหรือ” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบคำถาม ยกนิ้วขึ้นนับ “ไม่ว่าเรื่องรูปโฉม เขารูปโฉมงดงามเหมือนข้าหรือ ด้านการศึกษา เขารู้อักษรเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น แต่ข้าร่ำเรียนมาตั้งสามสี่ปีแล้ว ด้านคุณธรรม เขามีคุณธรรมด้วยหรือ ทั้งเมืองหลวง นามของเขาเป็นเหมือนสัญญาณร้าย และเรื่องของชาติตระกูล ถึงแม้ว่าพวกเราทั้งสองตระกูลจะเหมาะสมกัน แต่ท่านลุงทราบหรือไม่ว่า ภรรยาของท่านไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ท่านลุง หลานลองถามตัวเองว่าเคยทำอะไรที่ผิดต่อท่านหรือไม่ เหตุใดท่านจึงหลอกลวงข้าเช่นนี้”


เสิ่นเวยแสดงท่าทีใสซื่อ ดวงตาแดงก่ำราวกับเด็กที่ถูกรังแก


ใบหน้าของเสนาบดีฉินเผยความกระอักกระอวน แม่นางผู้นี้เฉลียวฉลาดหรือโง่เขลากันแน่ เหตุใดคำพูดใดๆ ก็กล้าพูดออกมาทั้งหมด เขารู้ดีแก่ใจว่าบุตรชายคนเล็กของเขาไม่คู่ควรกับอีกฝ่าย แต่ว่าหลังจากที่ได้พบคุณหนูสี่ผู้นี้ เขาก็ยิ่งไม่อยากยอมแพ้


“หลานสาวไม่ต้องกังวล เป็นความผิดของลุงที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก แต่ว่าลุงสู่ขอเจ้าด้วยความจริงใจ ลุงให้คำมั่นกับเจ้าได้ ขอเพียงเจ้ายอมแต่งเข้ามา ทุกเรื่องภายในเรือนของพวกเจ้า เจ้าจะได้เป็นคนตัดสินใจ และทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดของลุงจะยกให้พวกเจ้า” เสนาบดีฉินกล่าวอย่างจริงใจ


 ในใจของเสิ่นเวยนึกโกรธเคืองขึ้นมา แต่ไม่ได้แสงดออกมาทางสีหน้า ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ กำลังเกลี้ยกล่อมนางเพราะคิดว่านางเป็นคนโง่อย่างนั้นหรือ…สิ่งที่ข้าไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือเงิน ใครอยากได้ทรัพย์สินของเจ้ากัน เหอะ เกลี้ยกล่อมข้าให้ตกนรก ต้องไปช่วยเจ้าเลี้ยงลูกชายอย่างนั้นหรือ นางไม่ได้จิตใจดีเช่นนั้น


“ท่านลุง ท่านอย่าเกลี้ยกล่อมข้าเลย พูดด้วยความสัตย์จริง บุตรชายคนเล็กของท่านเป็นคนดีหรือ อายุจะย่างเข้าสิบสองปีก็ทำลายร่างกายตัวเองเสียแล้ว สองปีมานี้ ผู้หญิงที่เขาหลับนอนด้วยไม่ถึงร้อยก็หลายสิบ ผ่านมือคนอื่นมาหลายคนแล้วก็โยนมาให้ข้า ข้าเป็นคนเก็บของเหลือหรือ ท่านหลอกลวงข้าเช่นนี้ ถ้าหากเป็นบุตรสาวของท่าน ท่านจะไม่ปวดใจหรือ” เสิ่นเวยตำหนิอย่างโกรธเคือง ทำปากยื่นปากยาว พร้อมกระทืบเท้า “ยังมีภรรยาของท่านอีกคน นางชิงชังข้าอย่างกับอะไรดี ท่านคงยังไม่รู้ เมื่อวันก่อนข้ามาเป็นแขกที่จวนของท่าน นางใช้ให้สาวใช้มาล่อข้าไปที่สระน้ำวางแผนจะให้ข้าตกน้ำ ทำให้คุณชายเห็นร่างกายของข้า หลังจากนั้นก็จะบังคับข้าแต่งเข้าจวนเป็นอนุภรรยาให้คุณชายเล็ก ท่านลุงเจ้าคะ ท่านดูเถอะว่านางหน้าใหญ่เพียงใด มีแม่สามีที่สมองปราดเปรื่องเพียงนี้ หลานจะมีชีวิตที่สงบสุขได้อย่างไร”


เสนาบดีฉินพลันตกตะลึง เขาไม่รู้จริงๆ ว่ามีเรื่องเช่นนี้ นี่ฮูหยินต่งก่อเรื่องวุ่นวายอีกแล้วหรือ บุตรสาวในสมรสของจวนจงอู่โหวให้มาเป็นอนุภรรยาแก่บุตรชายของนาง นางช่างหน้าใหญ่เสียจริง ในใจของเสนาบดีฉินมีโทสะปะทุขึ้นมา


“หลานสาว เจ้าดูเถอะ เรื่องนี้ ลุงไม่รู้จริงๆ หากรู้ ลุงจะปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรือ” ใบหน้าของเสนาบดีฉินร้อนผ่าว บุตรชายของตนถูกหญิงสาวรังเกียจปานนี้ เขารู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อย แต่ว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง ถึงแม้ตอนที่อยู่ในราชสำนักเขาวางตัวสุขุม ฉลาดหลักแหลม แต่ในตอนนี้กลับแก้ต่างไม่ได้แม้แต่คำเดียว


เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างใจกว้าง “อืม หลานก็เชื่อว่าท่านลุงไม่ทราบเรื่องนี้ ถึงอย่างไรท่านก็เป็นเสนาบดีของราชสำนัก จะทำตามเล่ห์อุบายของสตรีได้อย่างไร ท่านก็น่าจะเป็นคนจิตใจสูงส่ง สง่างามน่าเกรงขาม จะใช้แผนการของเรือนหลังได้อย่างไร” เสิ่นเวยกล่าวประชดประชัน แต่สีหน้ายังตรงไปตรงมา


 โทสะอัดแน่นอยู่ในหัวของเสนาบดีฉิน แม่นางผู้นี้ช่างกล้าพูดจริงๆ นี่กำลังชื่นชมหรือก่นด่าเขากันแน่ จะโกรธก็ทำไม่ได้อีก น่าอึดอัดจริงๆ


เสิ่นเวยเอ่ยอีกว่า “เวลานี้ท่านลุงก็ทราบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ เช่นนั้นท่านลุงคงเลิกหมายตาหลานสาวแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”


           เห็นความลังเลบนใบหน้าของเสนาบดีฉิน เสิ่นเวยคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถึงแม้ข้าแต่งเข้ามาแล้วอย่างไรเล่า ข้าเป็นคนอารมณ์ร้อน ท่านไม่กลัวว่าข้าจะก่อเรื่องวุ่นวายจนทำให้พวกท่านไม่ได้มีชีวิตที่สงบสุขหรือ ท่านคิดว่าสามารถควบคุมข้าได้หรือ หากข้าออกเรือนจะใช้คนคุ้มกันเป็นสินเดิม ทุกคนล้วนเป็นเหล่าทหารที่ข้าเลือกมาจากกองกำลังทหารของท่านปู่ ร้ายกาจมากเลยนะเจ้าคะ และท่านก็ไม่ต้องคิดจะไปขอให้ผู้อาวุโสในตระกูลของข้าช่วย พวกเขาทำอะไรข้าไม่ได้ ท่านคงยังไม่ทราบ เมื่อวานข้าเพิ่งจะส่งฮูหยินของพวกเราเข้าไปกักตัวในหอธรรม เพราะเหตุใดน่ะหรือ เพราะนางล่วงเกินข้าน่ะสิเจ้าคะ ล่วงเกินอย่างไร พูดขึ้นมาแล้วก็น่าเศร้านัก”


เสิ่นเวยใช้ทั้งลูกล่อลูกชน ท่าทีเช่นนั้นต้องแสดงความไร้เดียงสาเท่าใด นางก็แสดงออกมาเท่านั้น “ฮูหยินของพวกเรามือยาวเกินไป ถึงขนาดยื่นมาถึงเรือนหลังของท่านลุงได้ นางกับหลิวอี๋เหนียงในจวนของท่านรวมหัวกันจับคู่ข้ากับคุณชายเล็ก อ้อ จริงสิ เหตุการณ์ตกน้ำเมื่อวันก่อนเกี่ยวข้องกับฮูหยินของเรากับหลิวอี๋เหนียง ท่านว่านางต้องใส่ใจมากมายปานนั้นไม่เหนื่อยบ้างหรือ ดังนั้นข้าจึงเชิญนางไปพักผ่อนที่ศาลของบรรพชนสามสี่ปี” นางอาศัยโอกาสที่ต้องการทดสอบความสามารถของกองกำลังลับ ยังดีที่สามารถหาพยานและหลักฐานมาได้ นางพึงพอใจมาก


ในตอนนี้เสนาบดีตกตะลึงจริงๆ แล้ว มิน่าเล่าหลิวอี๋เหนียงจึงพูดถึงคุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหวขึ้นมา ที่แท้เพราะมีแผนการเช่นนี้ เมื่อคิดถึงฐานะของตนเองที่เป็นถึงเสนาบดีของราชสำนัก กลับถูกหญิงในเรือนหลังหลอก ช่างน่าขายหน้าจริงๆ


ม่านตาของเขาหดเกร็ง ดวงตาเผยความดุดัน แต่เสิ่นเวยกลับสบตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว “ท่านลุง หากท่านยังคิดจะสู่ขอข้า เช่นนั้นก็ต้องหารือกับท่านปู่ของข้าก่อน ท่านปู่ลั่นวาจาไว้ว่า เรื่องของข้า ท่านเป็นคนตัดสินใจ หรือท่านจะลองเจรจากับเขาดูเจ้าคะ” เสิ่นเวยเสนอขึ้นอย่างหวังดี หลังจากนั้นดวงตาเป็นประกาย เหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “อ้อ จริงสิ ได้ยินว่าท่านลุงมีความสัมพันธ์บางอย่างกับขุนนางแซ่จางทางใต้ สถานการณ์ของเขาไม่ค่อยดีนัก ท่านลุงต้องรีบเตรียมพร้อมไว้นะเจ้าคะ” เสิ่นเวยคลี่ยิ้ม ท่าทีมีเลศนัย


ครั้งนี้เสนาบดีฉินสีหน้าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เขากล่าวด้วยสีหน้าถมึงทึงว่า “หลานสาวกำลังข่มขู่ข้าหรือ” ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนผู้นั้น แม้แต่บุตรชายคนโตที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดก็ไม่รู้เรื่องนี้ แม้นางน้อยผู้นี้รู้ได้อย่างไร เสิ่นผิงยวน ตาเฒ่าคนนั้นช่างมีความสามารถจริงๆ เสนาบดีฉินหรี่ตามอง แววตาเผยความอันตราย


แต่เสิ่นเวยกลับไม่เกรงกลัวสักนิด หากแต่แย้มยิ้มเอียงอาย พูดอย่างขัดเขินว่า “ดูท่านลุงพูดสิ หลานจะกล้าข่มขู่ท่านได้อย่างไรเล่า เพียงเตือนท่านเท่านั้น ความสัมพันธ์ของพวกเราดีปานนี้เชียวนะเจ้าคะ ท่านให้ความสำคัญกับข้าขนาดนี้ ข้าจะทำร้ายท่านได้อย่างไร” เสิ่นเวยกระพริบตาคู่สวย ก่อนจะยกมือปิดปากหาว “ท่านลุง พวกเราตกลงกันแล้วนะเจ้าคะ เรื่องนี้ก็จบเพียงเท่านี้ อย่าส่งใครไปจวนโหวอีก ทำให้วุ่นวายกันไปหมด น่าอายจริงๆ ดึกมากแล้ว ท่านพักผ่อนเถอะ หลานไม่รบกวนแล้ว ไปก่อนนะเจ้าคะ” นางผลักหน้าต่างด้านหลังให้เปิดออก ก่อนจะกระโดดออกไป ยังไม่ลืมหันกลับคลี่ยิ้มเกียจคร้านให้อีกฝ่ายทิ้งท้าย


ท่าทีหยิ่งผยองนั่นช่างน่าโมโหจริงๆ น่าแปลกที่เสนาบดีฉินกลับโกรธนางไม่ลง


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คนติดตามก็รีบร้อนเข้ามา กำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่างก็ถูกเจ้านายยกมือห้ามไว้ “แก้มัดให้พวกเขาก่อนเถอะ”


           คนติดตามเพิ่งจะมองเห็นกลุ่มคนที่ถูกมัดไว้ในห้อง สีหน้าพลันเผือดสี ก่อนจะแก้เชือกอย่างรวดเร็ว “เสี่ยวซื่อ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เมื่อครู่ ไม่ทันรู้ตัวเขาก็ถูกใครบางคนคุมตัวไว้ ยังคิดว่าจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นกลับปล่อยตัวเขาโดยไม่ทำอะไรเขา เมื่อเห็นสถานการณ์ภายในห้อง เขาก็รู้ว่ามีคนลอบเข้ามาในจวน


เมื่อคิดได้ดังนี้คนติดตามก็รีบพุ่งออกไปทันที แต่เมื่อวนครบหนึ่งรอบกลับไม่พบอะไร


เมื่อกลับมาที่จวน เสี่ยวซื่อกับบ่าวอีกสามสี่คนพากันส่ายหน้า พวกเขากำลังสับสนมึนงง รู้แต่เพียงว่าไม่ทันรู้ตัวก็ถูกใครบางคนจับมัดเสียแล้ว


           เสนาบดีฉินส่ายหน้า สั่งความไปว่า “เพิ่่มการตรวจตรา” จากนั้นก็ให้พวกเขาออกไป


ชายวัยกลางคนนั่งอยู่ใต้แสงตะเกียงเพียงลำพัง น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเขาก็มีวันที่ต้องปล่อยให้สิ่งที่หมายตาหลุดมือไป คุณหนูสี่ผู้นี้ เฮ้อ นึกขึ้นมาแล้วเขารู้สึกเสียดาย


ส่วนลึกของนัยน์ตาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่


[1] ยามไฮ่ (亥时) คือช่วงเวลาตั้งแต่สามทุ่มถึงห้าทุ่ม


144.1 หนีตามกัน


สวี่โย่วฟังเจียงเฮยรายงานด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก มุมปากกระดุกเล็กน้อยจนยากจะสังเกต เจียงเฮยสีหน้าไร้ความรู้สึกเช่นเดียวกับเจ้านายของเขา เมื่อรายงานจบแล้วก็ยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้น ในขณะที่เจียงไป๋กลับตกตะลึงตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ท่านพี่พูดถึงใคร คุณหนูสี่แห่งตระกูลเสิ่นที่เขารู้จักหรือ เป็นไปได้หรือ เป็นไปได้หรือ


 


สวี่โย่วโบกมือ เจียงเฮยจึงถอยออกไป เห็นเจียงไป๋ยืนนิ่งอยู่กับที่ก็เผลอถอนหายใจออกมา ก่อนจะออกแรงลากน้องชายออกไปด้วยกัน


 


เมื่อมาถึงประตู เจียงไป๋เพิ่งจะดึงสติกลับมา ดึงเสื้อของพี่ชายไว้ พร้อมเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่านพี่ คุณหนูสี่ผู้นั้นบุกไปด่าเสนาบดีฉินถึงจวนกลางดึก แล้วก็กลับออกไปอย่างปลอดภัยหรือ”


 


เป็นไปไม่ได้ คุณหนูสี่ผู้นั้นแม้จะนิสัยดุร้ายไปสักหน่อย แต่จะมีความสามารถปานนั้นเชียวหรือ อีกอย่างการป้องกันของจวนเสนาบดีฉินหละหลวมเหมือนตลาดที่ใครจะเข้าก็ได้อย่างนั้นหรือ ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียหน่อย เมื่อสองเดือนก่อนเขาเคยลอบเข้าไปครั้งหนึ่งก็เกือบจะถูกจับได้เชียวนะ


 


 หรือว่า วรยุทธ์ของคุณหนูสี่แข็งแกร่งกว่าเขา ไม่ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ชายหนุ่มรีบส่ายหน้า ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป


 


เมื่อเผชิญกับสายตาจดจ่อของน้องชาย เจียงเฮยจึงพยักหน้าหนักๆ มองท่าทีแปลกประหลาดของน้องชาย เขาก็รู้สึกเห็นใจ


 


 เขากลับมาจากทำภารกิจข้างนอก คุณชายก็มอบหมายงานนี้ให้เขา ถึงแม้เขาจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิบัติตามคำสั่ง คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นละครฉากเด็ด คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าเสนาบดีฉินจะตกอยู่ในกำมือของแม่นางน้อยผู้หนึ่ง หากพูดออกไปใครจะเชื่อ


 


เจียงไป๋ร้องออกมาเสียงดัง “อะไร แม่นางที่ดุร้ายคนนั้นมีวรยุทธ์ร้ายกาจกว่าข้าอีกหรือ” สีหน้าของเขาตกตะลึงเหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรง


 


เจียงเฮยพยักหน้าอีกครั้ง “วรยุทธ์ของนางเหนือกว่าข้าด้วย” และดูเหมือนข้างกายของนางมีคนคุ้มกันที่เป็นยอดฝีมืออยู่หลายคน ดังนั้นตอนที่เขาซุ่มอยู่บนหลังคาจึงไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว


 


 วรยุทธ์เหนือกว่าท่านพี่? เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นความคิดที่ปรากฏขึ้นในหัวของเจียงไป๋ แต่เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของพี่ชาย เขาจำต้องยอมรับความจริงเรื่องนี้ มิน่าเล่า มิน่าเล่าคุณชายจึงใส่ใจคุณหนูสี่เพียงนี้


 


   เมื่อคิดได้อย่างนี้ ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในใจ ดวงตาเป็นประกาย “ท่านพี่ ท่านว่าคุณหนูสี่ผู้นี้จะกลายเป็นนายหญิงของพวกเราหรือไม่ ข้าจะบอกท่าน คุณชายใส่ใจคุณหนูสี่มาก ครั้งก่อนเพียงเพราะเรื่องคำเล่าลือ คุณชายถึงขนาดขอให้องค์หญิงใหญ่ช่วย ครั้งนี้ก็ส่งท่านพี่ไปดูว่านางถูกรังแกหรือไม่ แต่ไหนแต่ไรมาคุณชายไม่เคยดีกับแม่นางคนใดเช่นนี้มาก่อนเลย”


 


   คุณชายจะต้องมีใจให้คุณหนูสี่แน่ๆ เจียงไป๋ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอย่างนั้น อืม อย่านึกว่าเขามองไม่ออก ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวของคุณหนูสี่ คุณชายจะอารมณ์ดีมาก ถ้าหากคุณชายมีใครสักคนเคียงข้าง ท่านคงไม่เย็นชาเช่นนี้


 


  แต่คำพูดของเจียงเฮยเป็นเหมือนน้ำเย็นที่สาดเข้ามา “ความคิดของเจ้านายเป็นสิ่งที่เจ้ากับข้าคาดเดาได้หรือ”


 


    เจียงไป๋พลันก้มหน้าอย่างเศร้าใจ จริงด้วย ใครจะรู้ว่าในใจของคุณชายคิดอย่างไร คุณชายยังคิดจะช่วยหาคู่ครองที่ดีให้คุณหนูสี่อยู่เลย ในความคิดของเขา บรรดาคุณชายทุกคนในเมือง คุณชายของเขาโดดเด่นที่สุดแล้ว


 


สวี่โย่วที่อยู่ในห้องกำลังลูบคางด้วยรอยยิ้ม ช่างเป็นแมวน้อยที่ร้ายกาจจริงๆ แต่ว่าไม่ถูกเอาเปรียบก็ดีแล้ว ดูแล้วไม่ต้องให้เขาช่วยนางก็สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเชี่ยวชาญ เช่นนั้นเขาก็วางใจ


 


  สวี่โย่วคิดมาตลอดว่าเสิ่นเวยเหมือนกับแมวน้อยที่เขาเลี้ยงไว้ตอนเด็ก สายตาที่ใช้มองคนอื่นทอแววสดใส ชวนให้รู้สึกเอ็นดู จนอยากจะยื่นมือไปสัมผัส แต่มันจะกางกงเล็บคมกริบ ไม่ยอมให้คนอื่นเข้าใกล้


 


เสิ่นเวยกำลังนอนอย่างสุขใจอยู่บนเตียงใหญ่ในเรือนเฟิงหวา ดีจริงๆ เรื่องวุ่นวายใจก็สะสางเสร็จแล้ว ก็จะได้สำราญกับวันเวลาที่มีความสุขต่อไป นางเอนกายนอน มีคนพัดลมให้ มีคนนวดขาให้ มีคนอ่านนวนิยายให้ฟัง และมีคนคอยบอกองุ่นป้อนให้ถึงปาก ช่างเป็นชีวิตที่สุขสำราญจริงๆ


 


แต่น่าเสียดายความสำราญอยู่ได้ไม่นาน วันเวลาที่สุขสบายของเสิ่นเวยเพิ่งจะผ่านไปสามวันก็ถูกทำลายลง ผู้ที่ทำลายวันเวลาที่สงบสุขก็คือคนที่นางคิดไม่ถึงอย่าง จืออี๋เหนียง


 


ตอนที่สาวใช้เข้ามารายงานว่าจืออี๋เหนียงมาขอพบ เสิ่นเวยรู้สึกแปลกใจมาก ถึงอย่างไรเสีย นางกับจืออี๋เหนียงไม่ได้ข้องเกี่ยวกัน นางกลับจวนมานานขนาดนี้เคยบังเอิญพบหน้าอีกฝ่ายในสวนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อีกอย่างนางกับเสิ่นอิง พี่สาวคนที่สามก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถึงแม้ว่าไม่ได้ชิงชังกันเหมือนอย่างเสิ่นเสวี่ย แต่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ชอบหน้ากันเท่าใดนัก จืออี๋เหนียงมาเยือนถึงเรือนด้วยเหตุใด


 


“คุณหนูสี่” ถึงแม้ว่าจืออี๋เหนียงจะพยายามสงบสติอารมณ์ แต่เสิ่นเวยก็มองเห็นความร้อนรนของนางจากฝีเท้าที่เร่งรีบ


 


“จืออี๋เหนียง” เสิ่นเวยทักทายเสียงเรียบ “หลีฮวา ยังไม่รีบยกชาของเรือนเฟิงหวาของเรามาให้จืออี๋เหนียงอีก”


 


  จืออี๋เหนียงกล่าวขอบคุณ เห็นเสิ่นเวยไม่ได้ถามไถ่ถึงการมาของนาง ในใจของสงบลงบ้าง ฝืนดื่มชาได้สามสี่อึกก็ทนต่อไปไม่ไหวอีก “คุณหนูสี่ อี๋เหนียงของพูดกับท่านเพียงลำพังได้หรือไม่” ใบหน้าของนางแสดงความอ้อนวอน


 


เสิ่นเวยรู้สึกใจขึ้นมาจึงโบกมือสั่ง หลีฮวาจึงพาเหล่าสาวใช้ถอยออกไป เสิ่นเวยมองไปที่แขกของเรือน จืออี๋เหนียงกัดฟัน ก่อนจะคุกเข่าลง “คุณหนูสี่โปรดช่วยชีวิตด้วย”


 


การกระทำของอีกฝ่ายทำให้เสิ่นเวยสะดุ้งตกใจ “อี๋เหนียงทำอะไร รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า”


 


นางลุกไปประคองอีกฝ่ายขึ้นมา แต่จืออี๋เหนียงกลับไม่ยอม “คุณหนูสี่ อี๋เหนียงขอร้องท่านล่ะ ท่านโปรดช่วยคุณหนูสามด้วยเถอะ” ใบหน้าของนางเผยความเสียใจ


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น พี่สามเป็นอะไรไปหรือ” เสิ่นเวยยิ่งรู้สึกแปลกใจ “อี๋เหนียงลุกขึ้นมาพูดกันก่อนเถอะ”


 


ในหัวของเสิ่นเวยใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ที่ไม่ไปคารวะเหล่าผู้อาวุโสของเรือนหลังในตอนเช้า จำนวนครั้งที่นางพบหน้าเสิ่นอิงแทบนับครั้งได้ นางรู้แต่เพียงว่าการแต่งงานของอีกฝ่ายกำหนดลงมาแล้ว สินสอดทองหมั้นของฝ่ายเจ้าบ่าวก็ไม่เลวทีเดียว ส่วนเรื่องอื่นนั้นนางไม่รู้แล้ว


 


จืออี๋เหนียงยอมลุกขึ้นมาตามแรงประคอง เอ่ยว่า “คุณหนูสามหายตัวไปเจ้าค่ะ” กล่าวจบดังนี้ นางก็รู้สึกเหน็บหนาวไปทั้งตัว นางไม่รู้ว่ามาขอร้องคุณหนูสี่เป็นเรื่องที่ถูกหรือไม่ แต่ในวินาทีที่รู้ว่าบุตรสาวหายตัวไป ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาก็คือมาขอร้องที่เรือนเฟิงหวา ส่วนสามีของนางหรือ หึๆ อย่ามองว่าทุกวันนางแสดงท่าทีรักลึกซึ่งต่อสามี แต่ในใจรู้ดีว่าสามีเป็นคนไร้ประโยชน์


 


“หายตัวไป หายตัวไปเมื่อไหร่ หาในจวนแล้วหรือยัง หรือไม่พี่สามอาจจะไปชมดอกไม้ในสวนก็ได้” เสิ่นเวยไม่ค่อยเชื่อนัก เรือนหลังที่มีการดูแลเข้มงวด หญิงสาวบอบบางคนหนึ่งจะหายตัวไปได้อย่างไร


 


 จืออี๋เหนียงส่ายหน้า “หาแล้ว หาหมดแล้วเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่มี” นางร้อนใจจนน้ำตาแทบไหล แต่ไหนแต่ไรมานางพยายามเข้มแข็งมาตลอด ครั้งนี้เพื่อบุตรสาวของตัวเอง นางจำต้องบากหน้ามาขอร้องคนอื่น


 


“ตอนเที่ยงของวันนี้ นางยังนักปักชุดแต่งงานในห้องอยู่เลย ข้ากลัวว่านางจะเหนื่อยยังบอกให้นางรีบพักผ่อนอยู่เลย เมื่อข้าตื่นจากนอนกลางวัน ไปหานางอีกครั้ง ก็ไม่เห็นแล้ว เฝิ่นหง สาวใช้ใหญ่ข้างกายของนางถูกปิดปากมัดมือมัดเท้ายัดไว้ในตู้เสื้อผ้า เครื่องประดับกับเงินในกล่องของคุณหนูสามหายไปหมด” จืออี๋เหนียงกำมือแน่น สงบสติอารมณ์ “ข้าสอบส่วนเฝิ่นหงจึงได้รู้ว่า เมื่อหลายวันก่อนหน้านี้คุณหนูสามได้รู้จักกับคุณชายผู้หนึ่งนอกจวน นาง เหตุใดนางจึงโง่เขลาเช่นนี้ คุณหนูสามไม่พอใจกับการแต่งงานที่กำหนดขึ้น แต่ว่าคุณชายตระกูลเหวินเป็นคนดีจริงๆ หลายวันมานี้นางเก็บตัวปักชุดแต่งงานอยู่ ข้านึกว่านางคิดตกแล้ว ใครจะคิดว่านางจะกล้า กล้า…”


 


จืออี๋เหนียงน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย หญิงที่หนีตามผู้ชายไปจะมีจุดจบที่ดีได้หรือ ตนมีบุตรสาวเพียงคนเดียว หากเสิ่นอิงเป็นอะไรไปแล้วนางจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เหตุใดชีวิตของนางจึงลำบากปานนี้


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จืออี๋เหนียงคุกเข่าขอร้องอีกครั้ง “คุณหนูสี่ อี๋เหนียงรู้ว่าคุณหนูสามไม่รู้ความ มักจะคิดชิงดีชิงเด่นกับท่าน ดังนั้นอี๋เหนียงมักจะห้ามปรามนาง คุณหนูสี่มีอำนาจมาก อย่าได้ถือสาพี่สาวผู้โง่เขลาคนนั้นเลย ได้หรือไม่เจ้าคะ อี๋เหนียงขอร้องท่าน ท่านช่วยคุณหนูสามสักครั้งเถอะเจ้าค่ะ จะให้อี๋เหนียงเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านก็ได้” หญิงสาวแม้จะปราดเปรื่องเพียงใด แต่เมื่อเกิดเรื่องกับบุตรของตนเอง หญิงผู้นั้นย่อมต้องร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก


 


เสิ่นเวยอิจฉาเสิ่นอิงมากจริงๆ แม้พี่สาวผู้นั้นจะดื้อรั้นไม่รู้ความอย่างไร จืออี๋เหนียงก็คิดถึงนางอยู่เสมอ


 


ในขณะที่ตัวนาง ไม่มีอะไรทั้งนั้น จำต้องพึ่งตัวเอง


 


เห็นแก่ความรักของแม่ที่จืออี๋เหนียงมีต่อบุตรสาว เสิ่นเวยไม่อาจนิ่งดูดาย อีกอย่างถึงอย่างไรนางกับเสิ่นอิงก็เป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน ไม่มีความแค้นใดที่ไม่อาจอภัยให้ได้ ช่วยได้ก็ช่วยแล้วกัน อีกทั้งจืออี๋เหนียงก็รู้จักวางตัว ตอนที่ฮูหยินหร่วน มารดาของนางยังมีชีวิตอยู่ อี๋เหนียงผู้นี้ก็ไม่เคยมาระราน ทั้งยังให้ความเคารพนางมาตลอด เป็นคนรู้ความที่หาได้ยาก


 


เสิ่นเวยพยักหน้า “อี๋เหนียงใจวางใจเถอะ พี่สามเป็นพี่สาวของข้า ข้าไม่สนใจนางไม่ได้” ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “พี่สามรู้จักคุณชายแปลกหน้าผู้นั้นได้อย่างไร เขามีความเป็นมาอย่างไร อี๋เหนียงรู้ได้อย่างไรว่าการหายตัวไปของพี่สามเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น” ก่อนอื่นต้องสอบถามเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อน


 


จืออี๋เหนียงเห็นเสิ่นเวยยอมตกปากรับคำ ก็โล่งใจลงครึ่งหนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด


 


จิตใต้สำนึกของนางรู้สึกว่าคุณหนูสี่มีความสามารถมาก


 


นางเช็ดน้ำตา เอ่ยว่า “เฝิ่นหงบอกว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้ครึ่งเดือนแล้ว เมื่อครึ่งเดือนก่อนคุณหนูสามออกจากจวนไปสั่งทำเครื่องประดับศีรษะ ระหว่างทางบังเอิญพบกับอันธพาลคนหนึ่ง และได้คุณชายผู้นั้นได้ช่วยเหลือไว้ เฝิ่นหงบอกว่าคุณชายผู้นั้นแต่งกายงดงามหรูหรา ต่อมาคุณหนูสามออกจากจวนไปหาซื้อรูปภาพบางอย่าง และบังเอิญพบกับคุณชายผู้นั้นอีกครั้ง เฝิ่นหงบอกว่าเขาเชิญคุณหนูสามไปนั่งเล่นที่เรือนชั่วคราวของเขา ทั้งสองคนพูดคุยกันถูกคอ หลังจากที่กลับมาที่จวน คุณหนูสามมีท่าทีผิดปกติ บางครั้งก็นั่งไม่สงบ บางครั้งก็แอบยิ้มคนเดียว มีบางคราที่ถอนหายใจโดยไม่มีเหตุผล เฝิ่นหงเคยรายงานข้าแล้ว ข้ายังคิดว่านางตื่นเต้นเพราะกำลังจะแต่งงาน ยังเคยปลอบใจนางตั้งหลายครั้ง ใครจะคิดว่านางจะทำเรื่องที่โง่เขลาเช่นนี้” จืออี๋เหนียงรู้สึกเสียใจยิ่ง เหตุใดนางจึงมองความผิดปกติของบุตรสาวไม่ออก ท่าทีเช่นนั้นเป็นเพราะความตื่นเต้นเสียที่ไหนเล่า เป็นเพราะหญิงสาวกำลังมีความรักชัดๆ


 


เสิ่นเวยพยักหน้าอีกครั้ง และถามต่อไปว่า “เรือนที่คนผู้นั้นพักอยู่ เฝิ่นหงจำได้หรือไม่ เอาอย่างนี้ ให้เฝิ่นหงแอบมาที่นี่ อีกอย่าง จะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปไม่ได้ อี๋เหนียงกลับไปดูแลคนในเรือนให้ดีเถอะ บอกไปว่าพี่สามป่วย หากมีใครมาก็ถ่วงเวลาไว้ก่อน ข้าจะส่งคนออกตามหาเดี๋ยวนี้”


 


จืออี๋เหนียงฟังแล้วน้ำตาไหลอีกครั้ง กุมมือเสิ่นเวยเอาไว้ ละล่ำละลักพูดว่า “อี๋เหนียง อี๋เหนียงคำนับเจ้าแล้ว” นางรู้สึกโชคดีที่ยามเมื่อคุณหนูสี่กำลังย่ำแย่ ตนเองไม่ได้ซ้ำเติมอีกฝ่าย


144.2 หนีตามกัน


เสิ่นเวยส่งจืออี๋เหนียงกลับไป หลังจากผ่านไปครึ่งถ้วยชา เฝิ่นหงก็แอบมาที่เรือนเฟิงหวา หลังจากที่เสิ่นเวยซักถามนางสามสี่คำก็คาดเดาว่าเสิ่นอิงน่าจะอาศัยตอนที่ทุกคนกำลังหลับพักผ่อนตอนกลางวัน แอบออกไปนอกจวน ตอนนี้เป็นยามเซิน [1]เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ แล้ว นางน่าจะยังไปได้ไม่ไกล


 


 


เสิ่นเวยจึงสั่งให้คนส่งข่าวให้พวกชวีไห่ จางสงกับเฉียนเป้า ในขณะเดียวกันนางก็พาพวกโอวหยางไน่บุกไปที่เรือนหลังนั้น แต่น่าเสียดายตอนที่พวกนางไปถึง เรือนก็ว่างเสียแล้ว ลุงที่เฝ้าประตูบอกว่าคุณชายผู้นั้นเป็นคนที่มาขอเช่าที่นี่ ตอนเช้าหลังจากที่เขาได้รับจดหมายจากที่บ้านก็รีบเก็บข้าวของกลับบ้านเกิดไปแล้ว


 


 


ทันใดนั้นเสิ่นเวยรู้สึกผิดหวังลงครึ่งหนึ่ง สถานการณ์ย่ำแย่ลงทุกที หรือว่าพี่สามไม่ได้ไปกับคนผู้นี้ แล้วนางไปที่ใด เสิ่นเวยครุ่นคิด ในขณะที่เฝิ่นหงหดตัวอยู่ตรงมุมหนึ่งในรถม้าอย่างหวาดกลัว ถ้าหากตามหาคุณหนูไม่พบ หรือเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนู นางคงต้องตายแน่ๆ จืออี๋เหนียงจะต้องฉีกนางเป็นชิ้นๆ แน่


 


 


เมืองหลวงที่กว้างใหญ่เช่นนี้จะไปหาสองคนนั้นที่ไหน หากวันนี้ตามหาไม่พบ ความหวังที่วันต่อไปจะหาพบก็ยิ่งน้อยลง อีกอย่างเรื่องการหายตัวไปของพี่สามก็ปิดไว้ได้ไม่นาน หากเรื่องที่พี่สามป่วยความแตก แม้จะพาตัวกลับมาได้ก็จะมีจุดจบเหมือนกัน จวนจงอู่โหวจะมีบุตรสาวที่หนีตามผู้ชายไปไม่ได้ จวนโหวจะเสียหน้าเพราะเรื่องนี้ไม่ได้


 


 


ข่าวคราวที่ได้มา ความผิดหวังบนใบหน้าของเสิ่นเวยยิ่งฉายชัดขึ้น จิตใจก็ยิ่งเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ทันใดนั้น ของบางอย่างถูกโยนผ่านหน้าต่างของรถม้าเข้ามา เสิ่นเวยตื่นตัวขึ้นมา ยื่นมือไปรับไว้ ในขณะที่นางกำลังตรวจดูอย่างละเอียด เฝิ่นหงก็ถลาเข้ามาด้วยความตื่นเต้น “ปิ่นหยกของคุณหนู” นางน้ำตาไหล แต่ดวงตากลับเป็นประกาย


 


 


เสิ่นเวยหยิบม้วนกระดาษที่สอดอยู่กับปิ่นหยก เมื่อเปิดออกดู ด้านในเขียนอักษรไว้เพียงสองคำ …ท่าเรือ… จะบอกนางว่าคนที่นางกำลังตามหาอยู่ที่ท่าเรืออย่างนั้นหรือ แล้วใครส่งจดหมายนี้ให้กับนาง เสิ่นเวยไม่มีเวลาให้คิดมาก และไม่มีเวลาสนใจด้วยว่านี่จะเป็นกลอุบายหรือไม่ นางรีบสั่งความกับโอวหยางไน่ “ไปท่าเรือ เร็วเข้า” หากไปช้าไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะนั่งเรือออกไปแล้ว


 


 


เจียงไป๋ที่หลบอยู่อีกด้านเห็นรถม้าไปแล้วก็ตบหน้าอกผ่อนลมหายใจ โชคยังดีๆ ถือว่าจดหมายส่งไปให้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าคุณชายคิดอย่างไร ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีเสียหน่อย เหตุใดต้องลับๆ ล่อๆ ด้วย บอกคุณหนูสี่ไปตามตรงไม่ดีกว่าหรือ ไม่แน่ว่าคุณหนูสี่อาจจะซาบซึ้งจนยอมมอบกายแทนคุณก็เป็นได้ เจียงไป๋ไม่เข้าใจสักนิดว่าแท้ที่จริงแล้วคุณชายของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่


 


 


           โอวหยางไน่เร่งรถม้าให้เคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงท่าเรือ


 


 


ท่าเรือคึกคักอย่างมาก มีผู้คนสัญจรไปมามากมาย พ่อค้าเร่ถือตะกร้าก็มีมากเช่นกัน ในแม่น้ำก็เรือหลายลำทอดสมออยู่ เสิ่นอิงอยู่ที่ใดเล่า เสิ่นเวยสั่งให้คนจับตามองเรือที่เทียบฝั่งอยู่


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่เข้าไปตรวจดูบนเรือก็กลับมารายงาน พวกเขายังหาไม่พบ เสิ่นเวยไม่ยอมตัดใจ นางมีลางสังหรณ์รุนแรงบางอย่าง เสิ่นอิงอยู่ที่นี่ หากวันนี้นางไม่อาจพาตัวอีกฝ่ายกลับไปได้ ต่อไปวันหน้าพวกนางก็จะไม่ได้พบหน้ากันอีกแล้ว


 


 


ในตอนที่เสิ่นเวยกำลังร้อนใจอยู่นั่นๆ อยู่ๆ นางก็มองเห็นร่างคุ้นตา เฝิ่นหงก็มองเห็นแล้วเช่นกัน นางเกาะขอบหน้าต่างพูดอย่างตื่นเต้นว่า “คุณหนูสี่รีบดูเร็วเจ้าค่ะ นั่นคือคุณหนูของข้า เสื้อผ้าที่สวมก็เป็นของบ่าว” พูดพลางก็คิดจะลงจากรถม้าไปตาม แต่ถูกเสิ่นเวยดึงกลับมา “เจ้าอยู่บนรถเฉยๆ ข้าจะไปเอง”


 


 


           โชคดีที่ตอนที่ออกมาเสิ่นเวยแต่งเป็นผู้ชาย ไม่อย่างนั้นแม่นางน้อยที่สะสวยอย่างนางมาอยู่ที่ท่าเรือเวลานี้จะต้องสะดุดตามากแน่


 


 


ใช่แล้ว นั่นก็คือเสิ่นอิง เพียงแต่แต่งกายด้วยชุดสาวใช้เท่านั้น นางหิ้วห่อผ้าไว้ในมือ กำลังนั่งพักอยู่ในร้านชาข้างทางที่มีไม้เลื้อยเกาะเกี่ยวอยู่ด้านบน ข้างกายของนางมีคุณชายที่แต่งตัวหรูหราผู้หนึ่งอยู่ด้วย ก็ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับนาง เสิ่นอิงจึงก้มหน้าแย้มยิ้มเอียงอาย แต่เสิ่นเวยกลับรู้สึกถึงความแปลกประหลาดจากตัวชายผู้นั้น


 


 


เสิ่นเวยก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีบเร่ง นางย่อตัวลงหน้าแผงลอย แสร้งทำเป็นดูสินค้า ผ่านไปครู่หนึ่ง คุณชายผู้นั้นแยกตัวออกไป เสิ่นเวยจึงลุกขึ้น ค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งข้างๆ เสิ่นอิงอย่างเงียบเชียบ “อย่าร้อง ตามข้ามา”


 


 


เสิ่นอิงตื่นตระหนกขึ้น ในตอนที่กำลังจะส่งเสียงร้องก็เห็นมีดสั้นคมกริบจ่อมาที่สะโพกของตัวเอง ถึงอย่างไรนางก็เป็นหญิงสาวฐานะสูงส่ง เมื่อประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ก็ตกใจจนสีหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ ลุกขึ้นมาอย่างตื่นกลัว เสิ่นเวยดึงนางให้เดินออกมาจากร้านน้ำชา


 


 


เสิ่นเวยผลักเสิ่นอิงขึ้นไปบนรถม้าแล้วจึงปีนตามขึ้นไปทีหลัง


 


 


เสิ่นอิงถูกผลักจนถลาเข้าไปด้านใน เกือบจะกระแทกกับผนังรถ ยังดีที่เฝิ่นหงประคองไว้ได้ทัน “คุณหนู ในที่สุดบ่าวก็หาตัวท่านเจอเสียที” นางจับแขนเสิ่นอิงไม่ยอมปล่อย ราวกับว่าหากปล่อยมือแล้วจะไม่ได้พบหน้านายสาวอีก


 


 


           เสิ่นอิงเมื่อเห็นเฝิ่นหง สาวใช้ของตนก็ตกตะลึงจนเบิกตากว้าง เมื่อหันกลับมาก็พบว่าชายหนุ่มที่ใช้มีดสั้นข่มขู่นางเมื่อครู่ก็คือเสิ่นเวย น้องสาวร่วมบิดาของนาง ทันใดนั้นก็รู้สึกอับอายขึ้นมา อ้าปากหมายจะร้องออกมา แต่ถูกเสิ่นเวยปิดปากไว้


 


 


เสิ่นอิงดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย สายตาโกรธเคืองราวกับสามารถแทงทะลุร่างของเสิ่นเวยได้


 


 


เสิ่นเวยคว้าผ้าเช็ดหน้าในมือของเฝิ่นหงมายัดใส่ปากของเสิ่นอิง ส่วนอีกมือก็ชักมีดสั้นออกมาอีกครั้ง “อย่าขยับ อยู่นิ่งๆ หากขยับอีก ข้าก็ไม่รังเกียจหากต้องกรีดหน้าเจ้าสักแผล”


 


 


เสิ่นอิงรู้สึกถึงมีดสั้นที่เย็นเฉียบกำลังแนบอยู่กับใบหน้าของนางจึงไม่กล้าขยับอีก มีเพียงสายตากราดเกรี้ยวที่จับจ้องอยู่ที่เสิ่นเวย หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว


 


 


อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวนางกับถันหลางก็จะหนีไปได้ไกลแล้ว ทั้งหมดต้องพังทลายในเงื้อมมือของหญิงน่าชังผู้นี้ นางมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับตน เหตุใดนางไม่ตายๆ ไปเสีย


 


 


           เพียงอึดใจเดียวเสิ่นเวยก็มองความคิดของนางออกจึงเหยียดยิ้มออกมา ใช้มีดสั้นที่คมวาวตบใบหน้าของเสิ่นอิง เมื่อมองเห็นความหวาดกลัวในแววตาของอีกฝ่ายจึงรู้สึกพึงพอใจขึ้นมา


 


 


“พี่สาม ท่านคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ มีสิ่งใดที่ข้าไม่กล้าทำบ้าง ในเมื่อท่านหนีตามผู้ชายมาโดยไม่แยแสต่อความอัปยศ ข้ายังมีสิ่งใดต้องห่วงอีก นับตั้งแต่ท่านทิ้งจวนโหวที่เลี้ยงดูท่านมาสิบกว่าปีเพียงเพื่อชายผู้หนึ่ง ท่านก็ไม่ใช่พี่สาวของข้าอีกแล้ว ตอนที่ท่านตัดสินใจก็ไม่ได้คิดถึงน้องสาวอย่างข้า ข้ายังไม่มีคู่หมาย ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของท่านจะทำให้ข้ากับจวนโหวเสื่อมเสียไปด้วยไม่ได้ ท่านว่าข้าควรชิงชังท่านหรือไม่” เสิ่นเวยขยับไปใกล้นางพร้อมเอ่ยเสียงเบา


 


 


เสิ่นอิงรู้สึกเหมือนถูกงูพิษจับจ้อง รู้สึกขนลุกขนพองไปหมด จนเผลอขดตัวหนีไปด้านหลัง


 


 


นางยังไม่ลืมว่าน้องสาวคนนี้เลือดเย็นเพียงใด แม้แต่ฮูหยินก็ถูกนางส่งเข้าไปในหอธรรม


 


 


เสิ่นเวยแค่นเสียงเยาะ พูดถากถางว่า “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วหรือ ท่านกล้าหาญมากไม่ใช่หรือ ถึงขนาดหนีตามผู้ชายมา ข้าวปลาอาหารของจวนโหวเลี้ยงคนไร้จิตสำนึกเช่นท่านออกมาหรือ ท่านหนีมาโดยไร้ความรับผิดชอบ เคยนึกถึงจืออี๋เหนียงบ้างหรือไม่ วันนี้หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้านาง ข้าคงไม่สนใจว่าท่านจะไปตายที่ใด”


 


 


เสิ่นเวยไม่ได้รู้สึกดีกับเสิ่นอิงสักนิด…เจ้าอยากไปตามหาชีวิตที่มีความสุขก็ย่อมได้ แต่ก่อนไปเจ้าจะทำให้คนอื่นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยไม่ได้ อ้อ เมื่อเจ้าไปแล้ว จะทิ้งเรื่องยุ่งเหยิงไว้ให้คนอื่นเก็บกวาดหรือ มียางอายบ้างหรือไม่…


 


 


เสิ่นอิงถลึงตาใส่เสิ่นเวย แค่นเสียงเยาะอย่างไม่ยอมแพ้


 


 


เสิ่นเวยเลิกคิ้วขึ้น “ว่าอย่างไร ยังไม่ยอมรับอีกหรือ พูดมาเถอะ ข้าอยากจะรู้นักว่าท่านจะพูดอะไรได้” นางยื่นมือไปดึงผ้าเช็ดหน้าในปากของเสิ่นอิงออกมา…ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะโต้แย้งอะไรได้อีก…


 


 


“เสิ่นเวย เจ้าไม่อยากเห็นข้ามีความสุขใช่หรือไม่ ข้ากับถันหลางรักกัน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องของพวกเรา เจ้า เจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้” เสิ่นอิงตะคอกออกมาอย่างร้อนรน ถันหลางกำลังจะกลับมาแล้ว นางจะตามเขานั่งเรือกลับบ้านเกิดด้วยกัน


 


 


เสิ่นเวยโมโหจนเหยียดยิ้มออกมา มองเสิ่นอิงราวกับคนโง่


 


 


“เจ้าที่มีคู่หมายแล้วยังพูดว่ารักกับใครได้อีก ยังมีถันหลางผู้นั้น เจ้ารู้หรือว่าเขาเป็นคนที่ใด เจ้าตามเขาไปเช่นนี้ไม่กลัวหรือว่าในเรือนของเขาจะมีภรรยาอยู่แล้ว” ดูเหมือนฉลาด เหตุใดจึงไร้หัวคิดเช่นนี้ เพิ่งจะรู้จักกันแค่ครึ่งเดือน เคยพบหน้ากันสองสามครั้งก็กล้าหนีตามอีกฝ่ายไปแล้ว ในสมองของนางบรรจุอุจจาระไว้หรือ ชายที่พาผู้หญิงแอบหนีไปด้วยกันจะเป็นคนดีได้อย่างไร รวมถึงชายที่พาหญิงหนีตามกันไปคนนั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไร


 


 


เสิ่นอิงสีหน้าพลันเปลี่ยนไป “ไม่ ถันหลางไม่ได้หลอกข้า ถันหลางรักข้า” นางพูดอย่างหนักแน่น สายตาที่ถันหลางมองนางอ่อนโยนปานนั้น เขาพูดกับนางอย่างรักใคร่ว่า ‘อาอิง เจ้าอ่อนโยนงดงามปานนี้ เป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดที่ข้าเคยพบมา’ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครรักและทะนุถนอมนางมาก่อนเลย ในดวงตาของเขา ในหัวใจของเขามีแต่นางเท่านั้น นางหลงใหลแววตาที่เต็มไปด้วยความเอื้ออาทรนั้น


 


 


เสิ่นเวยคร้านจะโต้แย้ง ปรายตามองพี่สาวพลางเอ่ยว่า “ได้ เช่นนั้นพวกเรามาลองดูกัน ดูว่าถันหลางของท่านเป็นคนเช่นไร”


 


 


ให้เสิ่นอิงได้เห็นธาตุแท้ของเจ้าอัปลักษณ์นั้นจะดีกว่า ไม่อย่างนั้น แม้นำตัวนางกลับไปได้ก็คงไม่ได้อยู่อย่างสงบ หากแอบหนีออกมา เสิ่นเวยคงต้องออกแรงตามหาอีกรอบ นางไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น


 


 


เสิ่นอิงแค่นเสียเยาะอย่างมั่นอกมั่นใจ ลองดูก็ได้ ถันหลางของนางเป็นผู้ชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า นางยังต้องกลัวการทดสอบอีกหรือ เสิ่นเวยจะต้องอิจฉาที่นางมีถันหลางเป็นแน่


145.1 หัวขโมย

เสิ่นเวยออกไปสั่งความเสียงต่ำกับโอวหยางไน่ที่กำลังบังคับรถม้าอยู่แล้วจึงกลับมานั่งด้านในเหมือนเดิม เอ่ยกับเสิ่นอิงว่า “ท่านเชื่อมั่นไม่ใช่หรือว่าถันหลางผู้นั้นจะเป็นสามีที่ดีของเข้า ก็ได้ วันนี้ข้าจะยอมทนกับความวุ่นวายสักครั้ง สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เช่นนั้นพวกเราก็ไปดูกันว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนดีหรือไม่ หากเขาเป็นชายที่ดีมีคุณธรรม ท่านก็ไม่ต้องหนีตามเขาไปแล้ว ข้าจะช่วยท่านยกเลิกการแต่งงาน ให้ท่านได้แต่งกับเขาอย่างถูกต้อง แต่ถ้าหากเขาเป็นเพียงคนเลวที่หลอกลวงคนอื่น ท่านจงยอมกลับจวนกับข้าเพื่อเตรียมตัวแต่งงานแต่โดยดี ห้ามทำเรื่องเหลวไหลอีก”


 


 


           “จริงหรือ” ดวงตาของเสิ่นอิงเป็นประกายในทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ถ้าหากสามารถแต่งงานกับถันหลางได้อย่างถูกต้องจริงๆ เหตุใดนางต้องลำบากหนีตามเขามาเล่า


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้าเป็นจริงเป็นจริง “แน่นอน! แต่ว่าตอนนี้ท่านต้องเชื่อฟังที่ข้าบอกก่อน”


 


 


เสิ่นอิงรับปากอย่างสุขใจ “ได้ จะทำตามที่เจ้าว่า” ขอเพียงได้แต่งงานกับถันหลาง ให้นางทำอะไรก็ย่อมได้ ใบหน้าของนางเกลื่อนไปด้วยความเขินอาย ยิ่งขับให้ดวงหน้าแดงก่ำขึ้นมา หัวใจเต้นกระหน่ำ ในดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความคาดหวังในอนาคต


 


 


แววตาของเสิ่นเวยเผยความเวทนา นึกเอือมระอาอยู่ในใจ ในความคิดของนาง เป็นไปได้มากว่าถันหลางผู้นั้นจะเป็นนักต้มตุ๋น เชี่ยวชาญการหลอกลวงหญิงสาวที่อ่อนต่อโลกอย่างพี่สาม หญิงสาวเหล่านี้เติมโตอยู่ในคฤหาสน์มาตั้งแต่เล็ก เมื่อเติบโตขึ้นมาอีกหน่อย แม้แต่หน้าบิดาหรือพี่ชายของตนเองก็ไม่ค่อยได้พบหน้าบ่อยนัก โอกาสที่จะได้พบหน้าชายหนุ่มข้างนอกก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ดังนั้นเมื่อบังเอิญได้พบกับชายหนุ่มที่รูปโฉมหล่อเหลาสง่างามก็ง่ายที่จะเกิดความรู้สึกดี ยิ่งชายผู้นั้นพูดบทกวีเพียงสามสี่ประโยค พูดคำพูดหวานหูสักหน่อย เหล่าคุณหนูผู้ไม่รู้ถึงความน่ากลัวของโลกย่อมต้องหลงในมารยาของชายผู้นั้นจนต้องรีบควักหัวใจให้อีกฝ่ายไป


 


 


อาจเป็นเพราะเสิ่นเวยก็มีบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้ภายในซึ่งแตกต่างจากที่เห็นภายนอก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต่างจากเสิ่นอิง ถึงแม้ว่านางจะด่าเสิ่นอิงว่าไม่มีสมอง แต่ที่จริงแล้วไม่ได้โมโหพี่สาวเหมือนที่แสดงออกมา


 


 


เสิ่นเวยกับเสิ่นอิงมองลอดผ่านผ้าม่านออกไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นถันหลางผู้นั้นกลับมาที่ร้านน้ำชาอีกครั้ง มีชายหญิงคู่หนึ่งตามเขามาด้วย ผู้ชายอายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี แต่งกายเหมือนบัณฑิต ส่วนอีกคนเป็นหญิงวัยกลางคนอวบอ้วน เหมือนกับเถ้าแก่เนี้ย


 


 


“ดูสิ สองคนนั้นเป็นบ่าวรับใช้ของถันหลาง เหตุที่ถันหลังแยกตัวออกไปก่อนหน้านี้ก็เพื่อไปตามพวกเขา ถันหลางไม่ได้หลอกข้า เขากลับมาข้าแล้ว ข้าจะไปหาเขา” เสิ่นอิงบอกเสียงเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและความยินดี


 


 


เสิ่นเวยยื่นมือไปคว้าตัวเสิ่นอิงที่กำลังจะลงจากรถไว้และเอ่ยว่า “รีบร้อนไปไย อดทนดูไปก่อน” คนผู้นี้ต้องใจกว้างเพียงใดจึงเห็นสองคนนี้เป็นบ่าว มีบ่าวที่ใดต้องให้เจ้านายไปตามหาด้วยหรือ


 


 


           เสิ่นอิงแค่นเสียงเยาะอย่างไม่พอใจ ข่มความร้อนใจ แล้วมองเหตุการณ์ข้างนอกต่อไป


 


 


ถันหลางผู้นั้นไม่เห็นหญิงสาวจึงไปถามกับเจ้าของร้านน้ำชา เสิ่นเวยเห็นเจ้าของร้านส่ายหน้า ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นั้นจะกลับไปพูดบางอย่างกับชายหญิงคู่นั้นด้วยสีหน้าผิดหวัง


 


 


จึงได้เห็นหญิงวัยกลางคนแสดงโทสะออกมา ถลึงตาใส่ถันหลางแล้วก็หมุนกายเดินจากไป ถันหลางหันไปฝืนยิ้มให้บัณฑิตหนุ่ม หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินตามไปด้านหลัง


 


 


เสิ่นเวยเห็นพวกเขาขึ้นรถม้าไปด้วยหันจึงหันไปมองเสิ่นอิง พูดอย่างฉุนเฉียวว่า “เห็นหรือยัง ท่านเห็นหรือยัง ถันหลางของท่านไม่ได้ออกตามหาท่านสักนิด คนเช่นนี้จะเป็นคนดีได้อย่างไร”


 


 


เสิ่นอิงสีหน้าเจ็บปวด กัดริมฝีปาก ตอบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ข้าไม่เชื่อ ถันหลางเคยบอกว่ารักข้า เขาจะพาข้ากลับบ้านเกิดไปแต่งงาน เขาไม่มีทางทอดทิ้งข้า เขา บางทีเขาอาจจะกลับไปตามคนมาช่วยออกตามหาข้า” เมื่อคิดได้เช่นนี้ แววตาห่อเ**่ยวของเสิ่นอิงพลันเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง “ใช่ เขาจะต้องไปตามคนมาแน่ๆ”


 


 


เสิ่นเวยหัวเราะเยาะ สะบัดแขนที่ถูกเสิ่นอิงจับไว้ “ไม่เห็นโลกศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ ท่านไม่เชื่อ เช่นนั้นพวกเราก็ตามไปดูกัน ตามพวกเขาไป อย่าให้คลาดสายตาล่ะ” คำพูดสุดท้ายนางหันไปสั่งกับโอวหยางไน่


 


 


โอวหยางไน่รับคำเสียงเบา ตอนที่คุณหนูสามเอ่ยปาก เขาก็รู้แล้วว่าคุณหนูสี่จะต้องสั่งให้ตามไปด้วย ดังนั้นเขาจึงสั่งความกับคนที่ซ่อนตัวอยู่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว


 


 


ในรถม้า เสิ่นอิงเผลอกัดปาก ท่าทีลุกลี้ลุกลน เมื่อเทียบกับนางแล้ว เสิ่นเวยกลับมีท่าทีผ่อนคลายไม่รีบร้อน นางกวาดตามองเสิ่นอิง อยู่ๆ ในหัวก็มีคำพูดหนึ่งผุดขึ้นมา…ผู้หญิง นามของเจ้าก็คือคนอ่อนแอ ควรจะแก้สักหน่อย แม่นาง นามของเจ้าก็คือคนโง่ อืม แล้วก็พูดได้อีกว่า แม่นาง นามของเจ้าคือคนตาบอด…


 


 


ระหว่างทางเสิ่นเวยครุ่นคิดไปมากมาย


 


 


รถม้าเคลื่อนเข้ามาในเมืองหลวง ผ่านถนนเส้นแล้วเส้นเล่า สุดท้ายก็หยุดลง เสิ่นเวยมองเห็นพวกถันหลางลงจากรถม้า เข้าไปในอาคารหรูหราข้างถนน


 


 


เสิ่นเวยเงยหน้าขึ้นมอง มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘หนานเฟิงก่วน’ ทันใดนั้นเสิ่นเวยก็นึกสนุกขึ้นมา นี่มิใช่หอโคมเขียวที่เล่าลือกันไม่ใช่หรือ เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าถันหลางผู้นั้นจึงได้ให้ความรู้สึกแปลกๆ ที่แท้เขาก็เป็นคณิกาชายนี่เอง ก็เพราะทำงานเป็นคณิกาชายจึงจำเป็นต้องมีรูปโฉมหล่อเหลากิริยาสง่างาม ไม่อย่างนั้นใครจะเลือกซื้อตัว


 


 


ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกขบขัน พี่สามของนาง คนที่หัวสูงยิ่งกว่าใคร คิดไม่ถึงว่าจะมาหลงชอบคณิกาชาย ฮ่าๆ น่าขันเสียจริง


 


 


เพราะอยู่ต่อหน้าเสิ่นอิง เสิ่นเวยจึงจำต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้ ใบหน้าจึงดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง


 


 


“ว่าอย่างไร มีอะไรแปลกหรือ” เหตุใดแววตาของนางเด็กน่าตายคนนี้ช่างประหลาดนัก หรือใบหน้าของนางมีอะไรผิดปกติ เสิ่นอิงรู้สึกมึนงง


 


 


“ไม่มีอะไร” เสิ่นเวยไอออกมา วางสีหน้าเคร่งครึม ก่อนจะควานหาเสื้อผ้าชุดผู้ชายที่นางเตรียมสำรองไว้ออกมา ก่อนจะเอ่ยว่า “รีบเปลี่ยนเถอะ” รูปร่างของทั้งสองคนใกล้เคียงกันจึงน่าจะสวมได้


 


 


เสิ่นอิงยิ่งมึนงง “เพราะเหตุใด”


 


 


เสิ่นเวยกลอกตาอย่างเอือมระอา พูดอย่างรำคาญว่า “ท่านอยากตามไปดูถันหลางของท่านไม่ใช่หรือ เห็นหรือไม่ เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะเข้าไปในหนานเฟิงก่วน รู้หรือไม่ว่าหนานเฟิงก่วนเอาไว้ทำอะไร”


 


 


เสิ่นอิงส่ายหน้า เสิ่นเวยจึงกล่าวต่อไปว่า “รู้หรือไม่ว่าซ่องเอาไว้ทำอะไร หนานเฟิงก่วนเป็นซ่องผู้ชาย ผู้ชายที่อยู่ข้างในถูกเรียกว่าคณิกาชาย สามี แมงดา หากพวกเราจะเข้าไปข้างในแล้วไม่แต่งตัวเป็นผู้ชายจะได้อย่างไร” คำอธิบายของเสิ่นเวยทั้งง่าย ทั้งหยาบคายและตรงไปตรงมา


 


 


เสิ่นอิงสีหน้าซีดเซียว แต่ก็ใช้มือสั่นๆ รับเสื้อผ้ามา นางแค่ใสซื่อไม่ได้โง่ จะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของน้องสาวได้อย่างไร เพียงแต่นางยังไม่ยอมตัดใจ อยากจะไปเห็นด้วยตาตัวเอง


 


 


เสิ่นเวยดึงเสิ่นอิงลงจากรถม้า ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังหนานเฟิงก่วน เสิ่นเวยการคุ้นชินกับแต่งกายด้วยชุดบุรุษนานแล้ว นางก้าวเดินอย่างสง่างาม มือก็ขยับโบกพัดขนนก วางท่าสุขุมน่าเกรงขาม นางดึงดูดความสนใจของคนรอบข้างด้านหน้าจึงไม่มีใครสนใจกับเสิ่นอิงมากนัก อีกทั้งชายหนุ่มที่คอยรับรองแขกที่นี่ส่วนใหญ่ก็ร่างกายผอมบางเป็นปกติอยู่แล้วจึงไม่มีใครสงสัยอะไร


 


 


เมื่อเข้ามายังห้องโถงก็มีบ่าวรับใช้หน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งเข้ามานำทาง “คุณชาย เชิญชั้นสองขอรับ” เขาผายมือเชิญ เสิ่นเวยจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ


 


 


เป็นครั้งแรกที่เสิ่นอิงทำเรื่องนอกกรอบเช่นนี้ นางมือเท้าเกร็งไปหมด เสิ่นเวยจำต้องโอบสะโพกของพี่สาวเอาไว้ แสร้งทำราวกับว่ารักใคร่กันมาก “ผ่อนคลาย เป็นธรรมชาติหน่อย ท่านเป็นเช่นนี้ช้าเร็วจะต้องเผยพิรุธออกไปแน่”


 


 


เสิ่นเวยไม่พูดยังจะดีเสียกว่า เมื่อเสิ่นเวยพูดออกไปอย่างนั้น เสิ่นอิงก็ยิ่งตื่นเต้นจนก้าวไม่ออก โชคดีที่เสิ่นเวยคอยพยุงไว้ ไม่อย่างนั้นนางคงล้มไปกองกับพื้นแล้ว ทำอย่างไรได้ เสิ่นเวยจำต้องพยุงนางก้าวไปเบื้องหน้าทั้งอย่างนี้ เหอะ กล้าหนีตามผู้ชายไม่ใช่หรือ แต่เวลานี้กลับรู้จักกลัว


 


 


บ่าวรับใช้นำทางไปอย่างนอบน้อม เมื่อขึ้นมาบนชั้นสองก็เลี้ยวไปทางขวา ผ่านทางเดิน เขาก็ผลักประตูห้องรับรองห้องหนึ่งเข้าไป “เชิญคุณชายทั้งสองด้านในขอรับ”


 


 


เสิ่นเวยและเสิ่นอิงเข้าไปยังห้องรับรอง บ่าวผู้นั้นก็ตามเข้ามาด้านหลัง ทั้งยังปิดประตูให้อย่างใส่ใจ ในตอนที่เสิ่นเวยกวาดตามองรอบๆ อย่างสำรวจก็เห็นบ่าวผู้นั้นเดินมาหยุดที่ผนังทางด้านขวา ไม่รู้ว่าเขาแตะนิ้วไปที่ใด ภาพวาดบนผนังก็ม้วนขึ้นไปเผยให้เห็นรูเล็กๆ บนผนังห้อง


 


 


“คุณชาย บ่าวจะคอยปรนนิบัติอยู่ด้านนอก หากต้องการสิ่งใดเชิญสั่งมาได้เลยขอรับ” บ่าวรับใช้พูดกับเสิ่นเวยอย่างนอบน้อม ก่อนจะถอยออกไป


 


 


ในใจของเสิ่นอิงรู้สึกปั่นป่วนไปหมด ในหัวของนางมีแต่ความสับสน ความคิดต่างๆ ประเดประดังเข้ามา


 


 


เสิ่นเวยหรี่ตามมองผ่านรู ทำให้ได้เห็นภาพเหตุการณ์ในห้องข้างๆ พอดี อืม สองคนที่กำลังดื่มสุรากันในห้องข้างๆ ก็คือถันหลางกับชายที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตผู้นั้น เสิ่นเวยพยักหน้า นึกชื่นชมการทำงานของหน่วยลับ อืม กลับไปต้องเพิ่มเงินเดือนให้พวกเขาเสียหน่อยแล้ว


 


 


“มานี่ ยืนนิ่งอยู่ทำไม” เสิ่นเวยหันมาเรียกพี่สาว “เร็วเข้า พวกเขาอยู่ห้องข้างๆ จากในนี้มองเห็นได้”


 


 


เสิ่นอิงเดินไปด้วยท่าทีมึนงง คิดไม่ถึงว่าจะมองเห็นถันหลางของนางจริงๆ ทั้งสองแนบหูกับผนังห้อง บทสนทนาจะห้องข้างๆ ก็ดังลอดเข้ามา


 


 


“น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ สินค้าชั้นดีเสียด้วย หากส่งไปทางใต้จะต้องได้ราคาตั้งเท่านี้” ถันหลางกางมือออกมาบอกจำนวน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดาย “หากรู้แต่แรกข้าจะไม่แยกตัวออกไปหรอก พวกท่านก็เหลือเกิน เหตุใดจึงช้านักเล่า ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงอยู่บนเรือแล้ว”


 


 


“อารุ่ย เจ้าช่างกล้าเสียจริง แม้แต่บุตรสาวของขุนนางก็กล้าหลอก เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นหรือ” ชายหนุ่มผู้ที่แต่งกายด้วยชุดบัณฑิตพูด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า


 


 


ถันหลางกลับไม่แยแส “พี่เยี่ย หลายปีมานี้ในที่สุดข้าก็เข้าใจ คนที่กล้าได้กล้าเสียเท่านั้นจึงจะมีกินมีใช้ หากขี้ขลาดก็ต้องอดตาย ข้าหลอกอะไรพวกนาง พวกนางพาตัวเองมาให้ข้าเองต่างหาก เข้าใจหรือไม่ ใครใช้ให้พ่อแม่ของข้ามอบใบหน้านี้ให้ข้าเล่า ฮ่ะ ฮ่าๆ” น้ำเสียงเกลื่อนไปด้วยความพอใจและหยิ่งผยองอย่างแปลกประหลาด


 


 


บัณฑิตผู้นั้นยิ้มตาม “เจ้าหลบหน้าไปก่อนดีกว่า หลอกลวงพวกคุณหนูในตระกูลเศรษฐียังพอว่า ข้าได้ยินว่าครั้งนี้เหยื่อเป็นบุตรสาวนอกสมรสของจวนโหว เหตุใดเจ้าจึงอาจหาญเกินตัวเช่นนี้ หากนางชี้มาที่เจ้าก็ไม่รู้แล้วว่าเจ้าจะตายอย่างไร อารุ่ย ข้าว่าเจ้าซ่อนตัวสักระยะดีกว่า”


 


 


“กลัวอะไรเล่า พี่เยี่ยวางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะบอกท่านให้ ยิ่งเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ก็ยิ่งรักหน้าของตัวเอง คุณหนูในเรือนต้องอับอายก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร สุดท้ายก็แสร้งป่วย” ถันหลางพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “แต่น่าเสียดายที่นางหนีไปเสียแล้ว ครั้งนี้รูปโฉมถือว่าชั้นหนึ่ง ทั้งยังหัวอ่อนเชื่อคนง่าย ทางใต้ชื่นชอบสินค้าเช่นนี้ที่สุด น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ” เขาส่ายหน้ายังรู้สึกเสียดาย


 


 


เสิ่นเวยมองไปที่เสิ่นอิง เห็นใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด หญิงสาวกำลังสั่นเทาไปทั้งร่าง ราวกับกำลังอดทนกับอะไรบางอย่าง เสิ่นเวยรีบดึงนางเข้ามาหา บอกเสียงเบาว่า “ไปกันเถอะ”


 


 


สิ่งที่ควรเห็นก็ได้เห็นแล้ว สิ่งที่ควรได้ยินก็ได้ยินแล้ว รีบกลับจะดีกว่า นางเห็นสภาพของเสิ่นอิงในตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยวางใจนัก ส่วนชายหนุ่มสองคนนั้นเดี๋ยวก็มีคนจัดการเอง


 


 


เสิ่นอิงเซื่องซึมราวกับหุ่นไม้ นางถูกเสิ่นเวยพาตัวออกมาจากหนานเฟิงก่วนทั้งอย่างนั้น หญิงสาวไม่รู้ตัวเช่นนั้นว่าตนเองกลับออกมาอย่างไร นางรู้แต่เพียงว่าตนเองถูกหลอก ถันหลางของนาง ถันหลางที่เคยมองนางอย่างอ่อนโยนเป็นแค่นักต้มตุ๋นเท่านั้น เขาหลอกนาง ที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คุณชายผู้สูงศักดิ์ที่ออกท่องยุทธภพอะไรทั้งนั้น เขาเป็นเพียงคณิกาชายที่ขายตัวแลกเงินเท่านั้น เขาคิดจะหลอกนางไปขายที่ทางใต้ ขายให้กับสถานที่สกปรกอย่างนั้น


 


 


แค่คิดถึงเรื่องนี้ เสิ่นอิงก็อดตัวสั่นไม่ได้ เกือบไปแล้ว อีกนิดเดียวนางก็จะถูกทำลายแล้ว!


145.2 หัวขโมย

 


 


 


 


“พี่สาม ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม” เสิ่นเวยเอ่ยถามอย่างไม่วางใจ 


 


 


เสิ่นอิงเงยหน้าขึ้นทันที ถลึงตาแดงก่ำกลับมา “ข้าโง่มากใช่ไหม เห็นข้าเป็นเช่นนี้เจ้าคงสะใจมากใช่หรือไม่” 


 


 


ชิ เสิ่นเวยกลอกตามอง ช่างไม่รู้จักสำนึกในความหวังดีของคนอื่นจริงๆ “ท่านรู้ถึงความโง่ของตัวเองแล้วหรือ รู้ว่าตัวเองโง่ก็หัดฟังความเห็นของคนอื่นมากๆ ต่อไปจะทำอะไรก็เชื่อฟังอี๋เหนียงของท่านให้มาก ไม่อย่างนั้นท่านจะตายโดยไม่รู้ตัว ส่วนข้า ออกมาตามหาท่านตลอดทั้งบ่าย ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย มีอะไรให้สะใจกัน เหอะ หากไม่ใช่เพราะอี๋เหนียงของท่านขอร้องข้า ข้าก็คร้านจะสนใจเรื่องของท่านหรอก” 


 


 


เสิ่นอิงน้ำตาไหลในทันที นางถลึงตาใส่น้องสาวราวกับมีความแค้นต่อกันมากมาย 


 


 


เสิ่นเวยจึงโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว นางทำคุณบูชาโทษจริงๆ แม่นางผู้นี้สติไม่ดีหรืออย่างไร “อย่าคิดแต่จะแสดงท่าทีโกรธเคืองข้า ทั้งวันคิดแต่จะเปรียบเทียบตัวเองกับข้า ท่านจะเอาอะไรมาเทียบกับข้า ท่านเหนือกว่าข้าได้หรือ แม้แต่ฮูหยินหลิวก็ถูกข้าส่งตัวเข้าไปในหอธรรมแล้ว ข้ายังต้องกลัวท่านหรือ ข้าคร้านจะสนใจท่านต่างหาก บอกว่าท่านโง่ ท่านยังไม่ยอมรับ เรียนรู้จากท่านอี๋เหนียงของท่านให้มาก ต่อไปประจบข้าให้มาก หากทำเช่นนั้น เวลาที่ท่านแต่งงานออกเรือนไปแล้วข้ากับเจวี๋ยเกอเอ๋อร์จะได้เป็นที่พึ่งพาแก่ท่าน ท่านพ่อของพวกเราก็พึ่งพาไม่ได้ เข้าใจไหม การแต่งงานครั้งนี้ท่านไม่ขาดทุนสักนิด เมื่อกลับไปถึงเรือนแล้วก็ตั้งใจปักชุดแต่งงานของท่านให้ดี ผิดเป็นครู อย่าได้ทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้อีก วัยสาวจะพบเจอกับผู้ชายเลวๆ บ้างจะเป็นไรไป เก็บไว้เป็นบทเรียนต่างหากจึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ได้ยินหรือยัง” 


 


 


ยิ่งพูดเสิ่นเวยก็อดไม่ได้ที่จะชี้แนะอีกฝ่าย ดูเอาเถอะ เมื่อเผชิญหน้ากับแม่นางน้อย นางก็ต้องใจอ่อนอยู่ร่ำไป 


 


 


น้ำตาของเสิ่นอิงยิ่งพรั่งพรูออกมามากกวาเดิม นางสะอื้นไห้ราวกับถูกรังแกอย่างสาหัส “ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าดูแคลนข้า” 


 


 


“ท่านอยากให้ข้ายกย่องท่านไปเพื่ออะไร ทำให้ท่านตัวใหญ่ขึ้นได้หรือ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเถอะ หรือท่านมีชีวิตอยู่เพื่อให้คนอื่นยอมรับกัน” เสิ่นเวยหงุดหงิดมาก นางยึดถือในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเป็นอิสระ ไม่สนใจว่าภายนอกจะกล่าวกันไปว่าอย่างไร แต่ไหนแต่ไรมาพวกนางทั้งสองก็มีความคิดแตกต่างกันอยู่แล้ว “ท่านวางใจเถอะ จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้” 


 


 


เสิ่นอิงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก นางทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ลงไป กลับมีจุดจบเป็นความโดดเดี่ยว แต่นางไม่ยอมแพ้ เวลานี้น้องสาวรับปากแล้วว่าจะปกปิดเรื่องนี้ไว้ เช่นนั้นนางก็วางใจแล้ว ถึงแม้หญิงสาวทั้งสองดูเหมือนต่างฝ่ายต่างชิงชังกัน แต่เสิ่นอิงรู้ว่าน้องสาวเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ไม่เหมือนฮูหยินหลิวที่พูดอย่างทำอย่าง 


 


 


เรื่องที่เสิ่นอิงหนีตามผู้ชายมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่อง ฝ่ายเสิ่นเวยไม่มีปัญหาอะไร จืออี๋เหนียงก็มีวิธีการจัดการกับคนอื่น ด้วยความพยายามของทั้งสองคน เรื่องนี้จึงเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 


 


 


ความรู้สึกซาบซึ้งที่จืออี๋เหนียงมีต่อเสิ่นเวยไม่อาจใช้คำพูดมาบรรยายได้ ค่ำวันนั้นนางได้ส่งขนมที่ทำด้วยตัวเองมาให้เสิ่นเวย หลังจากนั้นจืออี๋เหนียงก็มักจะส่งของอร่อยมาให้นางได้ลิ้มลองเสมอ วันที่สามเสิ่นอิงก็มอบผ้าเช็ดหน้าที่นางปักเองกับมือให้เสิ่นเวยด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน ถึงแม้จะยังพูดจาไม่ค่อยน่าฟังเหมือนเดิม แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว 


 


 


ในคืนนี้ เสิ่นเวยกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง แต่อยู่ๆ หญิงสาวก็ลืมตาขึ้นมา นางนิ่งเงียบตั้งใจฟังเสียงบางอย่าง ใช่จริงๆ บนหลังคามีคนอยู่จริงๆ นางนึกโมโหขึ้นมา ลอบเข้ามาสืบข่าวกลางดึกก็ไปที่เรือนของท่านลุงใหญ่สิ มาที่เรือนเฟิงหวาของนางด้วยเหตุใด 


 


 


เสิ่นเวยลุกจากเตียงอย่างระมัดระวัง นางไม่ได้เปิดประตูออก หากแต่กระโดดออกไปทางหน้าต่างขึ้นไปบนหลังคา ทอดมองออกไปไกล รอบกายเงียบสงบไม่มีเสียงอะไร 


 


 


เสิ่นเวยอดทนมาก นางทิ้งกายลงนั่งบนหลังคา ถึงอย่างไรก็ออกมาแล้ว ชื่นชมบรรยากาศยามค่ำสักหน่อยก็แล้วกัน ขอเพียงอีกฝ่ายไม่ลอบเข้ามาในเรือนเฟิงหวา เช่นนั้นนางก็จะไม่สนใจเรื่องของพวกมัน ถึงอย่างไรเสียในจวนก็เลี้ยงกำลังทหารไว้กลุ่มหนึ่ง ไม่จำเป็นที่คุณหนูตัวเล็กๆ อย่างนางต้องออกไปจับโจรด้วยตัวเอง 


 


 


ในตอนที่กำลังคิดเช่นนี้ก็เห็นร่างทะมึนของใครบางคนบุกเข้ามาจากทางตะวันตก เมื่อมองดีๆ ก็เห็นว่า เหมือนด้านหลังจะมีใครอีกคนตามมาด้วย 


 


 


ทันใดนั้นเสิ่นเวยก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา ก็ดี ในเมื่อรนหาที่ตายแล้วนางก็จะสงเคราะห์ให้อย่างสาสม ตอนที่ร่างดำทะมึนเข้ามาใกล้ นางก็กระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว กระบี่อ่อนถูกใช้โจมตีจุดตายของผู้บุกรุก “หัวขโมยจะหนีไปที่ใด!” 


 


 


ร่างทะมึนกำลังสนใจกับการวิ่งหนี ไม่ทันสังเกตว่าระหว่างทางมีคนดักรออยู่ ผู้บุกรุกมองปลายกระบี่ที่จ่อมาที่หัวใจของตน คนผู้นี้หลักแหลมไม่น้อย เขาฝืนกลับตัวกลางอากาศ หลบไม่ให้ปลายกระบี่โดนจุดสำคัญ กระบี่อ่อนของเสิ่นเวยจึงฟันถูกแขนของเขาแทน 


 


 


เสิ่นเวยเห็นว่ากระบวนท่านี้คว้าน้ำเหลวก็รีบตวัดกระบี่ขึ้นจู่โจมอีกครั้ง ใครจะรู้ว่าคนผู้นั้นไม่ตั้งรับสักนิด แต่พยายามสับเท้าวิ่งหนีไปทางตะวันออกต่อไป และผู้บุกรุกอีกคนที่ตามมาด้านหลังก็กำลังจะมาถึงตัวเสิ่นเวยแล้ว หญิงสาวอับจนหนทางจำต้องหันไปรับศึกด้านหลังแทน 


 


 


เพลงกระบี่ของเสิ่นเวยจู่โจมรวดเร็วมาก แต่คนด้านหลังกลับเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งกว่า กระบวนท่าทั้งสองของเสิ่นเวยคว้าน้ำเหลวทั้งหมด หญิงสาวจึงตั้งใจบุกโจมตีอีกฝ่าย 


 


 


“ข้าเอง!” เมื่อถูกเสิ่นเวยโจมตีใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้บุกรุกที่ตามเข้ามาทีหลังจำต้องเอ่ยปากอย่างอับจนหนทาง 


 


 


เอ๊ะ คนรู้จักหรือ เสิ่นเวยหยุดโจมตี นางก็นึกแปลกใจว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงหลบการโจมตีได้ ที่แท้ก็คนคุ้นเคยกันนี่เอง “ใคร?” เสิ่นเวยยังคงจับกระบี่ไว้ ท่าทีระแวดระวังไม่ได้ลดลงเลย 


 


 


ร่างทะมึนเห็นท่าทีของเสิ่นเวยก็กระตุกยิ้มมุมปาก เด็กคนนี้ระวังตัวมากจริงๆ “สวี่โย่ว” เขาบอกนามของตนเองออกไป 


 


 


“เป็นท่านเองหรือ” เสิ่นเวยขยับเข้าไปมองใกล้ๆ ก่อนจะเก็บกระบี่อ่อนในทันที ร่างของคุณชายใหญ่แห่งจวนจิ้นอ๋องดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่ที่ทำให้นางหลงใหลโดยไม่รู้ตัว มันช่างสุกสกาวยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก  


 


 


เสิ่นเวยลูบจมูกของตัวเองแล้วเอ่ยว่า “ดึกดื่นเช่นนี้ท่านไม่หลับไม่นอน มาเดินเล่นในจวนของพวกเราหรือ” รบกวนนางพักผ่อน เหลือเกินจริงๆ 


 


 


สวี่โย่วกระตุกยิ้มมุมปากอีกครั้ง “ตามคนมา” เขาบอกไปได้หรือว่านอนไม่หลับมาเดินเล่นที่นี่ ตอนที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่นอกเรือนของนางอยู่ๆ ก็พบว่ามีคนลอบเข้ามาในจวนโหว เขาจึงติดตามคนผู้นั้นมา 


 


 


เสิ่นเวยเข้าใจในทันที…อ้อ ที่แท้เขาก็ติดตามคนชุดดำก่อนหน้านี้มา โชคยังดีที่เพียงแค่ผ่านมาเท่านั้น ไม่ได้มุ่งร้ายต่อจวนโหว ไม่อย่างนั้นหากมีคนลอบเข้ามาบ่อยครั้ง เช่นนั้นคงน่ารำคาญใจไม่น้อย… 


 


 


ดูเอาเถอะ เป็นเรื่องเข้าใจผิดแท้ๆ หากพูดกันดีๆ ก็จะเข้าใจกันแล้ว ว่าแต่คนร้ายหนีไปที่ใดแล้ว 


 


 


“เช่นนั้นท่านก็ไล่ตามต่อไปเถอะ ข้าจะกลับห้องไปนอนแล้ว” เสิ่นเวยเมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรก็เตรียมจะไล่ชายหนุ่มไป 


 


 


มองตามร่างบางที่กระโดดลงไปอย่างคล่องแคล้ว สวี่โย่วก็รู้สึกปวดฟันขึ้นมา รู้อยู่แล้วว่าเด็กคนนี้เป็นคนกล้าหาญ แต่คิดไม่ถึงว่าจะกล้าหาญถึงเพียงนี้ เมื่อรู้ว่ามีคนลอบเข้าในจวนกลางดึกก็ควรจะขดตัวสั่นอยู่ในผ้าห่มไม่ใช่หรือ เด็กคนนี้ไม่เพียงวิ่งออกมาตรวจดูเท่านั้น ทั้งยังเข้าไปประมือกับคนร้ายอย่างตื่นเต้นอีก นางไม่รู้หรือว่าทำเช่นนี้อันตรายมาก ช่างเป็นเด็กน้อยที่ชวนให้คนอื่นเป็นห่วงเสียจริง


146.1 ความชิงชังที่เพิ่มพูน

 


 


 


 


บนเส้นทางสายอันห่างไกลผู้คนในจวนจงอู่โหว เสิ่นเสวี่ยพาอี่ชุ่ย สาวใช้เดินไปอย่างรีบร้อน 


 


 


“ถึงหรือยัง อีกไกลแค่ไหน” หญิงสาวหยับผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ พลางเอ่ยถามอย่างร้อนใจ โดยปกติภายในจวน นางเดินไกลที่สุดก็แค่ไปยังเรือนซงเฮ่อของท่านย่าเท่านั้น หรือไม่ก็ไปชมดอกไม้ในสวนเท่านั้น เคยมายังสถานที่เปล่าเปลี่ยวเช่นนี้เมื่อไหร่กัน 


 


 


ในตอนนี้นางรู้สึกหวาดหวั่นยิ่ง เมื่อคิดว่ามารดาต้องมารับโทษในสถานที่เช่นนี้ นางก็รู้สึกปวดใจมาก ผนวกกับความคับข้องใจที่ได้รับตลอดหลายวันมานี้ นางยิ่งอยากพบหน้ามารดาโดยเร็ว 


 


 


“ใกล้แล้วเจ้าค่ะ คุณหนู เลี้ยวด้านหน้าก็ถึงแล้วเจ้าค่ะ” อี่ชุ่ยก็รู้สึกขาล้าแล้ว ถึงแม้นางเป็นบ่าว แต่สาวใช้ใหญ่ข้างกายคุณหนูต่างก็ได้รับการปฏิบัติอย่างดี เป็นรองแค่คุณหนูเท่านั้น  


 


 


เมื่อเดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงหอธรรมที่ฮูหยินหลิวใช้ปฏิบัติธรรม แต่ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ แม่นมชราผู้หนึ่งก้าวออกมาจากในห้องเล็ก มองนายบ่าวทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉย 


 


 


“แม่นมม่าย คุณหนูของเราจะมาเยี่ยมฮูหยิน” อี่ซุ่ยกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม 


 


 


หญิงชรายืนนิ่งไม่ขยับ แต่กระตุกมุมปาก เผยยิ้มแข็งกร้าว “ฮูหยินสามกำลังตั้งใจปฏิบัติธรรม คุณหนูห้ากลับไปเสียเถอะ อย่าได้รบกวนความสงบของฮูหยินสามเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


เสิ่นเสวี่ยพลันเดือดดาลขึ้นมา เมื่อไหร่กันที่แม้แต่บ่าวรับใช้ฐานะต่ำต้อยกล้าหักหน้านางเช่นนี้ “ยายเฒ่าเหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนี้กับเจ้านาย หลีกไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะเข้าไป” 


 


 


แต่แม่นมม่ายกลับไม่ยอมขยับ “คุณหนูห้าโปรดระงับโทสะด้วยเจ้าค่ะ บ่าวแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ขอคุณหนูห้าอย่าทำให้บ่าวต้องลำบากใจ้เลยเจ้าค่ะ” แม้ปากจะเอ่ยออกไปเช่นนี้แต่ในใจกลับรู้สึกเย้ยหยัน ฮูหยินสามทำตัวเองจนต้องมารับโทษในหอธรรม คุณหนูห้ายังจะมีใครให้พี่งพิงอีก 


 


 


เสิ่นเสวี่ยพลันเดือดดาลขึ้นมา ขยับไปเบื้องหน้าหมายจะตบหน้าอีกฝ่าย ฝ่ายอี่ชุ่ยเห็นอย่างนั้นก็รีบรั้งไว้ บอกเสียงเบาว่า “คุณหนู ไม่ได้นะเจ้าคะ แม่นมม่านเป็นคนในเรือนของเหล่าไท่จวิน” หากก่อเรื่องขึ้นมาจะต้องล่วงรู้ถึงหูเหล่าไท่จวินกับนายท่านแน่ๆ คุณหนูห้าคงไม่เป็นไร แต่นางคงถูกลงโทษแน่ 


 


 


เสิ่นเสวี่ยก็รู้ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้จึงสะบัดผ้าเช็ดหน้า กัดฟันแน่นอย่างเคืองแค้น นางบ่าวสมควรตาย อาศัยอำนาจเจ้านายทำตัวกร่าง รอดูเถอะว่าหลังจากนี้นางจะจัดการมันอย่างไร 


 


 


อี่ชุ่ยปลอบคุณหนูให้คลายโทสะ ก่อนจะเดินไปหาแม่นมม่ายด้วยรอยยิ้ม ปลดกำไลทองที่ข้อมือยัดใส่มืออีกฝ่าย “คุณหนูของเราอารมณ์ไม่ดี แม่นม ท่านอย่าได้ถือสาเลย ท่านดูเถอะ พวกเราเดินทางมาไกลก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านก็ผ่อนปรนให้สักหน่อยเถอะ” อี่ชุ่ยกล่าวขอร้อง 


 


 


กำไลทองที่สวมที่มือมีน้ำหนักมาก สีหน้าของแม่นมม่ายเผยความละโมบ สายตากวาดมองดวงหน้าของอี่ชุ่ย ก่อนจะเอ่ยอย่างมีเลศนัย “เข้าไปเถอะ” 


 


 


“ขอบคุณแม่นมม่าย” อี่ชุ่ยดึงคุณหนูของนางเจ้าไปในหอธรรม และไม่ลืมกล่าวขอบคุณ 


 


 


แม่นมม่ายมองตามแผ่นหลังของคนทั้งสอง ก่อนจะก้มหน้ามองกำไลทองในมือ ก่อนจะขยับมือคาดเดาน้ำหนัก ใบหน้าชราเผยรอยยิ้มพอใจ ถึงอย่างไรเสียข้างบนก็สั่งให้นางเฝ้าฮูหยินสามไว้ แต่ไม่ได้ห้ามไม่ให้ใครมาเยี่ยม 


 


 


แต่ว่าสาวใช้คนสนิทของคุณหนูช่างใช้จ่ายมือเติบ ต้องขอบคุณฮูหยินสามจริงๆ นับตั้งแต่นางย้ายมาที่หอธรรม ตนก็ทำเงินได้หลายตำลึงแล้ว 


 


 


“ท่านแม่ ท่านแม่” เมื่อเสิ่นเสวี่ยเข้ามาด้านในก็ตะโกนเรียก 


 


 


ฮูหยินสามที่กำลังนั่งหันหลังให้ประตูอยู่บนหมอนรองนั่งหันมามองในทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ริมฝีปากสั่นระริก เหมือนกับไม่อยากเชื่อ “เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ เป็นเจ้าใช่ไหม” นางยื่นมืออกไป แต่ลังเลไม่กล้าสัมผัส 


 


 


เสิ่นเสวี่ยมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนก็ปิดปากอุทานอย่างตกตะลึง “ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงกลายเป็นเช่นนี้เจ้าคะ” 


 


 


 หญิงชราตรงหน้าจะใช่มารดาที่สูงส่งและสง่างามของนางได้อย่างไร ช่วงเวลาสั้นๆ มารดาแก่ชราลงสิบปี ใบหน้าใสสะอาดเต็มไปด้วยริ้วรอย ซูบผอมลงมาก แต่งกายด้วยชุดสีดำ บนศีรษะแม้แต่ปิ่นปักผมก็ไม่มี 


 


 


“ท่านแม่ พวกมันทรมานท่านใช่หรือไม่ ไป พวกเราไปขอความเป็นธรรมจากท่านย่ากัน” เสิ่นเสวี่ยเดือดดาลมาก ถึงอย่างไรท่านแม่ของนางก็เป็นฮูหยินสามของเรือน จะปล่อยให้บ่าวรังแกได้อย่างไร 


 


 


“เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ทำเช่นนั้นไม่ได้” ฮูหยินหลิวรั้งตัวบุตรสาว “ท่านย่าของเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง พวกเราอย่าสร้างเรื่องวุ่นวายให้ท่านอีกเลย” 


 


 


จะพูดความจริงกับบุตรสาวได้อย่างไรเล่า แม้นางจะตกต่ำอย่างไรก็เป็นฮูหยินสาม บ่าวอย่างแม่นมม่ายไม่กล้ารังแกนาง เพียงแต่ว่าถูกบ่าวผู้นั้นคอยเฝ้าให้ปฏิบัติธรรมทั้งวัน เรื่องนี้ทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเกิดกว่านางจะทนไหวแล้ว ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นางต้องนั่งคุกเข่าจนหัวเข่าแดงช้ำไปหมด ไม่มีทางอื่น เพื่อให้พักผ่อนสักครู่ เพื่อให้มียาทาแก้ปวดเมื่อย เครื่องประดับบนศีรษะของนางทั้งหมดจึงต้องยกให้แม่นมม่ายเป็นสินน้ำใจ 


 


 


“ท่านแม่!” เสิ่นเสวี่ยร้องออกมาอย่างไม่พอใจ “เหตุใดเวลานี้ท่านจึงได้ขี้ขลาดนัก ยังต้องกลัวแค่สาวใช้คนเดียวหรือเจ้าคะ” 


 


 


ฮูหยินหลิวรีบปิดปากบุตรสาวไว้ นางที่ไม่อาจออกไปจากที่นี่ได้ในเร็ววัน หากขัดแย้งกับแม่นมม่าย นางจะยังมีชีวิตที่สงบสุขได้หรือ หลายวันมานี้เพียงพอที่จะทำให้นางยอมรับความจริงได้แล้ว ไม่ว่าเหล่าไท่จวิน หรือสามีของนางต่างก็พึ่งพาไม่ได้ 


 


 


“เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์อย่าได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เลย แม่ไม่เป็นไร รีบบอกแม่มาเร็ว เจ้าสบายดีหรือไม่ น้องชายของเจ้าสบายดีหรือไม่ ถูกรังแกบ้างหรือไม่” ฮูหยินหลิวรับมือบุตรสาวเอ่ยถามอย่างห่วงใย 


 


 


เสิ่นเสวี่ยน้ำตาไหลพรากในทันที ร่างบางถลาเข้าไปในอกมารดา บอกอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ไม่ดี ไม่ดีสักนิด นับตั้งแต่ท่านแม่ต้องมาอยู่ในหอธรรม ลูกก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง แม้แต่อาหารที่ถูกปากก็ไม่ได้กิน” เมื่อก่อนพวกพ่อบ้านแม่นมเห็นนางก็ยิ้มต้อนรับมาจากที่ไกลๆ เวลานี้มองเห็นนางก็ทำเหมือนมองไม่เห็น เมื่อวันก่อนนางให้คนไปเอาผ้าจากห้องเย็บปักเพื่อทำกระเป๋าเงิน กลับถูกคนดูแลบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ วางท่ายกตนข่มคนของนาง 


 


 


ฮูหยินหลิวร้อนใจขึ้นมา “น้องชายของเจ้าล่ะ เขาถูกรังแกหรือไม่” เมื่อเทียบกับบุตรสาวแล้ว นางห่วงบุตรชายที่อายุยังน้อยมากกว่า เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์แม้จะถูกรังแกอย่างไร แต่ปลายปีนี้ก็จะออกเรือนแล้ว แต่อี้เกอเอ๋อร์อายุยังน้อย 


 


 


“ถูกรังแกเจ้าค่ะ บ่าวในเรือนปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจเขา เสื้อผ้าของเขารอยขาดก็ไม่มีใครสนใจ” เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์พูดเสียงเครือ 


 


 


ฮูหยินหลิวทรุดนั่งลงบนพื้น สีหน้าทั้งเจ็บปวดทั้งโกรธแค้น ปิดปากน้ำตาไหล “เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์กับอี้เกอเอ๋อร์ที่น่าสงสารของข้า” ตลอดเวลาที่อยู่ในหอธรรมแห่งนี้นางกังวลอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าบุตรชายและบุตรสาวจะถูกระรังแก ในที่สุด เวลานี้เรื่องที่นางกังวลที่สุดก็เป็นจริง 


 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์!” แววตาของฮูหยินหลิวเผยความอำมหิต ทั้งหมดเป็นเพราะแผนร้ายของนางแพศยานั่น หากไม่ใช่เพราะมัน ตนคงไม่ต้องมารับโทษในหอธรรมแห่งนี้ เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์และอี้เกอเอ๋อร์คงไม่ถูกพวกบ่าวละเลย 


 


 


“ใช่ ทั้งหมดเป็นเพราะมัน! ท่านแม่ เหตุใดครั้งนั้นท่านไม่ฆ่ามันให้ตาย” เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์เช็ดน้ำตา แววตาเผยความเคียดแค้น ยิ่งเห็นพวกคนดูแลจวนน้อยใหญ่คอยประจบประแจงเรือนเฟิงฮวานางก็ยิ่งแค้น 


 


 


เหตุใดครั้งนั้นนางไม่ฆ่ามันให้ตาย ไม่อย่างนั้น ท่านแม่คงไม่ต้องมาทนลำบากในหอธรรมแห่งนี้ นางก็จะมีสินเดิมที่ทำให้หญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวงต้องอิจฉา ไปที่ใดต่างก็เป็นที่ชื่นชมของผู้คน เหตุใดนางไม่ฆ่ามันให้ตาย 


 


 


สองแม่ลูกจมอยู่ในภวังค์ความแค้นที่มีแต่เสิ่นเวย ในขณะที่อี่ชุ่ยที่อยู่ข้างๆ กันอดไม่ได้ที่จะร้อนใจขึ้นมาจึงเอ่ยเตือนว่า “ฮูหยิน คุณหนู มีเรื่องอะไรก็รีบพูดกันเถอะเจ้าค่ะ เวลาผ่านไปนานแล้ว” คิดว่าอีกเดี๋ยวแม่นมม่ายคงจะมาไล่พวกนางกลับไป 


 


 


ฮูหยินหลิวรีบเช็ดน้ำตา รั้งมือของบุตรสาวไว้ สั่งความอย่างกังวลว่า “เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าจะต้องดูแลน้องชายของเจ้าให้ดี ต่อไปเขาจะเป็นที่พึ่งพิงของเจ้า หากเขาเจริญรุ่งเรือง เจ้าก็จะรุ่งเรืองไปด้วย เจ้าต้องใส่ใจเขาให้มาก อย่าให้พวกบ่าวรังแกเขา และอย่าปล่อยให้พวกบ่าวทำให้เขาเสียคน หากมีเรื่องเช่นนี้เจ้าจะต้องบอกท่านพ่อกับท่านย่า รู้หรือไม่” 


 


 


เสิ่นเสวี่ยพยักหน้าตอบ “ท่านแม่ ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


เห็นบุตรสาวยอมเชื่อฟัง ในใจของฮูหยินหลิวรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้างง “อย่ามาพบแม่บ่อย สิบวันหรือครึ่งเดือนค่อยมาสักครั้ง และไม่ต้องนำข้าวของอะไรมา นำยาทาแผลภายนอกมาสักเล็กน้อยก็พอแล้ว แม่จะคิดหาทางออกไปโดยเร็ว” หากส่งเงินมาให้นาง คนที่ได้ประโยชน์ก็คือแม่นมม่าย 


 


 


“เจ้าค่ะ” เสิ่นเสวี่ยพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น หยาดน้ำตาบดบังการมองเห็น 


 


 


สุดท้ายฮูหยินหลิวก็ตัดใจผลักนางออกไป พร้อมเอ่ยว่า “ไปเถอะ รีบไปได้แล้ว” 


 


 


“ท่านแม่” เสิ่นเสวี่ยถูกอี่ชุ่ยดึงกลับไปทั้งน้ำตา ในขณะที่ฮูหยินหลิวนั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่บนพื้น ผ่านไปนานจึงลุกขึ้นคุกเข่าบนหมอนรองนั่งอีกครั้ง ในใจกำลังใคร่ครวญ…ยังมีเวลาอีกสามเดือนกว่าก็จะถึงวันมงคลของเสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ นั่นเป็นโอกาสของนาง นางจะต้องไขว่คว้าไว้ให้จงได้! 


 


 


เพียงไม่นานบทสนทนาของฮูหยินหลิวและบุตรสาวก็ล่วงรู้ถึงหูของเสิ่นเวย นางเหยียดยิ้มหยันก่อนจะละความสนใจจากเรื่องนี้ สำหรับความกังวลของฮูหยินหลิว นางพอจะเข้าใจ กลัวว่านางจะวางแผนร้าย เลี้ยงดูอี้เกอเอ๋อร์ให้เสียคนเหมือนที่ฮูหยินผู้นั้นเคยทำกับเจวี๋ยเกอเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ 


 


 


ช่างโง่งมเสียจริง คิดว่านางมีสติปัญญาเท่าเด็กเหมือนนางหรือ ต่อไปผู้ที่จะปกครองเรือนสามก็คอเจวี๋ยเกอเอ๋อร์ หากอี้เกอเอ๋อร์ไม่เอาไหน เช่นนั้นจะไม่นำความเดือดร้อนมาให้เจวี๋ยเกอเอ๋อร์หรือ นางหวังให้อี้เกอเอ๋อร์มีความก้าวหน้ามากกว่า ต่อไปเมื่อแต่งงานแยกไปมีครอบครัวแล้วจะได้ไม่เป็นภาระของเจวี๋ยเกอเอ๋อร์ 


 


 


แผนการที่เสิ่นเวยวางไว้นานแล้ว ในที่สุดก็ฤกษ์ออกเดินทางเสียที นางพาเจวี๋ยเกอเอ๋อร์กับครอบครัวของท่านตาไปเที่ยวเล่นที่หมู่บ้านแถบชานเมืองสามสี่วัน คนที่ดีใจที่สุดก็คือหร่วนเหมียนเหมียน ญาติผู้น้อง นับตั้งแต่นางรู้เรื่องนี้ก็แย้มยิ้มไม่ขาด 


 


 


ในคราวแรกท่านตาไม่ยอมไป ชายชราไม่ได้ออกจากจวนสิบกว่าปีแล้ว และไม่มีความคิดนั้นด้วย  


 


 


ภายหลังอดทนต่อการออดอ้อนของเสิ่นเวยไม่ไหว จึงยอมตกลง 


 


 


ตอนเช้าตรู่ รถม้าสิบกว่าคันเดินทางออกจากเมืองอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อได้สูดอากาศบริสุทธิ์ เสิ่นเวยรู้สึกปลอดโปร่งไปทั้งตัว ได้ระบายความอึดอัดที่ต้องเก็บตัวอยู่ในเรือนหลัง มองเรือกสวนไร่นาระหว่างทาง อยากจะตะโกนออกไปดังๆ จริงๆ 


 


 


“พี่เวย ในหมู่บ้านสนุกมากหรือเจ้าคะ” แววตาของหร่วนเหมียนเหมียนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง เด็กน้อยน่าสงสารคนนี้ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยออกจากเมืองเลย จวนก็เคยออกไปไม่กี่ครั้งเท่านั้น 


 


 


เอ่อ? ที่จริงเสิ่นเวยก็ไม่เคยไปที่หมู่บ้านแห่งนั้น แต่ว่านางเคยไปหมู่บ้านตระกูลเสิ่น หมู่บ้านแถวชานเมืองคงจะคล้ายกับหมู่บ้านตระกูลเสิ่นกระมัง 


 


 


“สนุกสิ! ที่หมู่บ้านสามารถจับปลาได้ ขึ้นเขาไปเก็บผลไม้หรือล่าสัตว์ก็ได้ น่าตื่นเต้นมาก” เสิ่นเวยเล่าประสบการณ์ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นให้นางฟัง 


 


 


“จริงหรือ ข้ายังไม่เคยจับปลามาก่อนเลย และไม่เคยเก็บผลไม้ด้วย พี่เวย ผลไม้นั้นอร่อยหรือไม่” หร่วนเหมียนเหมียนจับแขนเสิ่นเวยไว้ เด็กสาวตื่นเต้นมากๆ 


 


 


“ตอนนี้คงไม่อร่อย ผ่านไปอีกสักสามสี่วันผลไม้บนเขาจึงจะสุกทั้งหมด ตอนนี้คงกึ่งสุกแล้ว” เรื่องนี้เสิ่นเวยมีประสบการณ์ ตอนที่อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่น พวกเด็กรับใช้ของนางมักจะไปวิ่งเล่นบนเขา ทุกครั้งจะนำผลไม้ป่ากลับมาฝากนางอยู่เสมอ ถึงแม้จะลูกไม่ใหญ่ แต่เมื่อสุกแล้วรสชาติไม่เลว 


 


 


นางเห็นหร่วนเหมียนเหมียนมีท่าทีผิดหวังอยู่บ้างจึงรีบเอ่ยว่า “พวกเราจับปลาได้ด้วย ได้ยินว่าในหมู่บ้านมีแม่น้ำสายเล็กๆ อยู่ด้วย พวกเราไปจับปลากันแล้วข้าจะย่างปลาให้เจ้ากิน รสมือของข้าไม่เลว” เสิ่นเวยหลอกล่อนาง  


 


 


“ดีเลย ดี ข้าอยากกิน” หร่วนเหมียนเหมียนตบมืออย่างดีใจ เหล่าสาวใช้ที่ติดตามมาด้วยก็พลอยมีสีหน้าตื่นเต้นไปด้วย


146.2 ความชิงชังที่เพิ่มพูน

 


 


 


 


เดินทางไปประมาณหนึ่งชั่วยามจึงมาถึงหมู่บ้าน หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหนึ่งในสินเดิมของฮูหยินหร่วนที่อยู่ใกล้เมืองหลวงที่สุด ถึงแม้มีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่เล็ก ประมาณห้าร้อยหมู่ มีชาวนาชาวไร่ประมาณห้าถึงหกสิบครัวเรือน 


 


 


“นายท่านผู้เฒ่า คุณหนู บ่าวเฉินก่วงฝูคารวะทุกท่าน” เฉินก่วงฝูกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามา เขาเป็นคนที่เสิ่นเวยส่งตัวมาอยู่ที่นี่ เป็นคนจากเขาด้านหลังของเขาหัวไก่ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำไร่ทำนา เสิ่นเวยไว้วางใจในตัวเขามาก 


 


 


หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนจะสั่งว่า “เข้าไปพักด้านในกันก่อนเถอะแล้วค่อยว่ากัน” 


 


 


เฉินก่วงฝูพยักหน้า นำขบวนรถเข้าไปในจวน แน่นอนว่าสิ่งอำนวยความสะดวกในหมู่บ้านย่อมเทียบในจวนไม่ได้ แต่ภายในห้องก็เก็บกวาดสะอาดสะอ้าน หญิงสาวและหญิงวัยกลางคนสิบกว่าคนกำลังรอรับคำสั่งอยู่ในเรือน  


 


 


ฝ่ายเสิ่นเวยมีหลีฮวากับโอวหยางไน่  ฝ่ายท่านตามีหร่วนฟู่กับแม่นมเจียง เสิ่นเวยเข็นท่านตา พาเสิ่นเจวี๋ยน้องชาย หร่วนเหิงญาติผู้พี่ หร่วนเหมียนเหมียนให้เข้ามาพักผ่อนในห้องโถงด้วยกัน 


 


 


เหอฮวาพาสาวใช้สาวใช้ระดับล่างไปเตรียมน้ำร้อนต้มชาอย่างถูกธรรมเนียม หร่วนเจิ้นเทียนมองหลานสาวสั่งความพวกบ่าวอย่างไม่ขัดเขิน ดวงตาฝ้าฟางเต็มไปด้วยความชื่นชม ช่างเป็นเด็กที่มีความสามารถจริงๆ อืม เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ก็รู้ความ อายุยังน้อยก็มีความสุขุมเช่นนี้ เหิงเกอเอ๋อร์กับเหมี่ยนเจี่ยเอ๋อร์ก็ไม่เลว กตัญญู รู้จักพัฒนาตัวเอง สายตาของเขากวาดมองหลานทั้งหมด รู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก 


 


 


“พี่เวย พวกเราจะไปจับปลากันเมื่อไหร่เจ้าคะ” หร่วนเหมียนเหมียนรีบยกชาขึ้นดื่ม เอ่ยถามอย่างร้อนใจ 


 


 


“ดูเจ้าเถอะ รีบร้อนเสียจริง เจ้าก็ให้พี่เวยของเจ้าได้พักเหนื่อยก่อน” หร่วนเหิงปรามน้องสาว 


 


 


หร่วนเหมียนเหมียนกลับไม่ใส่ใจสักนิด แลบลิ้นพร้อมตอบกลับไปว่า “ข้ายังไม่เคยจับปลา ก็ต้องอยากไปสิ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านพี่จะไม่อยากไป” 


 


 


หร่วนเหิงเหลือบมองน้องสาวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าคิดว่าคนอื่นเขาจะสนใจแต่เล่นสนุกเหมือนเจ้าหรือ” ก่อนจะหันหน้ามาพูดกับเสิ่นเวยว่า “ทำตามที่ญาติผู้น้องเห็นสมควรเถอะ อย่าตามใจเด็กคนนี้เลย” 


 


 


เสิ่นเวยคลี่ยิ้ม “ญาติผู้พี่เกรงใจไปแล้ว เหมียนเหมียนก็เป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของข้า หากพวกท่านไม่เหนื่อย เช่นนั้นพวกเราก็ไปที่แม่น้ำกันเถอะ ดูกันว่าวันนี้ใครจะจับปลาได้มากกว่ากัน” 


 


 


“ได้ๆ ดีเลยเจ้าคะ” หร่วนเหมียนเหมียนตบมืออย่างดีใจ 


 


 


หร่วนเจิ้นเทียนกลับเอ่ยว่า “พวกเจ้าไปเถอะ ข้าจะให้อาฟู่เข็นไปดูรอบๆ หมู่บ้าน เหิงเกอเอ๋อร์ เจ้าเป็นพี่ใหญ่ ต้องดูแลน้องๆ ให้ดี” เขากำชับกับหร่วนเหิง 


 


 


หร่วนเหิงรับคำ 


 


 


เฉินก่วงฝูได้เตรียมอุปกรณ์ไว้ก่อนแล้ว เขานำกลุ่มของเสิ่นเวยไปที่ริมแม่น้ำด้วยตัวเอง 


 


 


เสิ่นเวยหยิบเบ็ดตกปลามาทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เสิ่นเจวี๋ย หร่วนเหิงและหร่วนเหมียนเหมียนก็หยิบเบ็ดตกปลาขึ้นมาทำตาม แล้วไปหาทำเลตกปลาของตัวเอง 


 


 


ตอนที่อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่น หญิงสาวเคยตกปลาอยู่บ่อยๆ นางมีประสบการณ์มาก เวลาเพียงครึ่งก้านธูปก็ตกปลาขนาดเท่าฝ่ามือได้แล้ว หร่วนเหมียนเหมียนปล่อยคันเบ็ดของตัวเองแล้ววิ่งมาหาเสิ่นเวยในทันที “พี่เวย ท่านเก่งกาจจริงๆ” ความนับถือเด่นชัดอยู่บนดวงหน้า ในใจของนางพี่เวยสามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่เพียงช่วยนางจัดการกับคนชั่วเท่านั้น แม้แต่ตกปลาก็เก่งกาจเช่นนี้ แม้แต่การตกปลาก็ร้ายกาจเช่นนี้ 


 


 


“ตกปลาก็เป็นงานที่ต้องใช้แรง ขอเพียงมีความอดทนจะต้องตกได้อย่างแน่นอน” เสิ่นเวยเกี่ยวเหยื่อและเหวี่ยงสายเบ็ดลงไปในน้ำ 


 


 


หร่วนเหมียนเหมียนได้ยินดังนั้นก็หันไปตกปลาต่อ 


 


 


ผ่านไปอีกครู่หนึ่งเสิ่นเวยก็ตกปลาได้อีกหนึ่งตัว ตอนที่นางโยนปลาลงไปในถังก็เห็นเสิ่นเจวี๋ยกับหร่วนเหิงต่างก็ตวัดเบ็ดขึ้น พวกเขาต่างก็ตกปลาได้คนละตัว เสิ่นเจวี๋ยตัวใหญ่กว่าสักหน่อย ขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือ หร่วนเหิงเล็กกว่าสักหน่อย ขนาดประมาณสามนิ้ว 


 


 


หร่วนเหมียนเหมียนร้อนใจขึ้นมา “พี่เวย พี่เวย เหตุใดข้าจึงตกปลาไม่ได้ล่ะเจ้าคะ” 


 


 


เสิ่นเวยยังไม่ทันได้เอ่ยคำใดออกมา หร่วนเหิงก็พูดเยาะเย้ยออกมาว่า “เจ้าขยับไปขยับมาเหมือนกับลิง ทั้งยังใจร้อน ตกปลาได้ก็แปลกแล้ว อีกอย่างเจ้าก็ทำให้ปลาของข้าตกใจหนีไปหมดแล้วด้วย” 


 


 


หร่วนเหิงทนมองต่อไปไม่ไหวจริงๆ น้องสาวตกปลาอยู่ข้างๆ เบ็ดยังไม่ทันตกลงไปในน้ำก็ยกขึ้นมาดูแล้ว แค่ครู่เดียวก็ยกขึ้นมาเจ็ดแปดครั้งแล้ว ปลาฝั่งเขาก็ตกใจหนีไปหมด 


 


 


หร่วนเหมียนเหมียนไม่ยอมแพ้ “ท่านต่างหากที่เป็นลิง ตกปลาไม่ได้ยังจะมาโทษคนอื่นอีก เหอะ หากมีความสามารถท่านก็ลองตกให้ได้ตัวใหญ่ดูสิ ตัวเล็กๆ แค่นี้ไม่พอยาไส้หรอก” 


 


 


“อย่างน้อยก็ดีกว่าเจ้าที่ตกไม่ได้สักตัว” หร่วนเหิงพูดด้วยท่าทีสบายอารมณ์ แต่ทำให้น้องสาวโมโหขนพองขึ้นมาในทันที “คอยดูเถอะ ข้าจะต้องตกปลาตัวใหญ่ให้ท่านดูให้ได้” 


 


 


“ได้ ข้าจะคอยดู” หร่วนเหิงไม่เชื่อสักนิดว่าน้องสาวของเขาที่ทำอะไรลวกๆ จะตกปลาได้ ปลาหลอกกินเหยื่อของนางไปหมดน่าจะเป็นไปได้มากกว่า  


 


 


เสิ่นเวยกับเสิ่นเจวี๋ยมองพวกเขาฟาดฝีปากกันอยู่ด้านข้างๆ ไม่ได้มีความคิดที่จะสอดมือเข้าไปยุ่งสักนิด และพวกเขาก็คุ้นชินแล้วด้วย ถึงแม้สองพี่น้องคู่นี้จะปะทะฝีปากกันบ่อยครั้ง แต่ก็รักใคร่กันมาก พึ่งพากันมาตั้งแต่เล็กจะไม่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นได้อย่างไร 


 


 


หนึ่งชั่วยามผ่านไป ดวงอาทิตย์ลอยตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ เสิ่นเวยสานกิ่งหลิวเป็นหมวกสวมศีรษะ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ในหมู่บ้าน ไม่ต้องใส่ใจกฎระเบียบมากมายนัก ตนเองมีความสุขก็พอแล้ว อีกอย่างสาวใช้ข้างกายนางล้วนเป็นคนที่นางพามาจากหมู่บ้านตระกูลเสิ่น พวกนางคุ้นชินกับการกระทำแปลกๆ ของนางแล้ว มีเพียงเถาจือเท่านั้นที่แสดงสีหน้าลังเลอยากจะเอ่ยปากห้าม แต่เห็นทุกคนนิ่งเงียบ นางจึงเลือกที่จะปิดปากอย่างเฉลียวฉลาด 


 


 


พวกหร่วนเหมียนเหมียนเห็นหมวกของเสิ่นเวยก็รู้สึกสนใจขึ้นมา นึกอยากจะสานบ้าง แต่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน จะทำเป็นได้อย่างไร จำต้องขอคำชี้แนะจากพวกสาวใช้และคนในหมู่บ้าน 


 


 


เวลาล่วงจนถึงเกือบเที่ยง เสิ่นเวยก็ตกปลาได้สิบกว่าตัว หร่วนเหิงกับเสิ่นเจวี๋ยรวมกันได้สิบตัว มีเพียงหร่วนเหมียนเหมียนเท่านั้นที่ตกไม่ได้สักตัว นางร้อนใจจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ 


 


 


เสิ่นเวยเห็นอย่างนั้นก็กลัวว่านางจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไม่ได้จึงเรียกเฉินก่วงฝูมาสั่งความสามสี่คำ ผ่านไปครู่หนึ่งเฉินก่วงฝูที่ปลีกตัวออกไปก็ย้อนกลับมา ในมือของเขามีพลองมาด้วยสามสี่อัน 


 


 


“เหมียนเหมียนมานี่ ข้าจะสอนวิธีจับปลาแบบใหม่ให้เจ้า” เสิ่นเวยตะโกนเรียก 


 


 


“คืออะไรหรือเจ้าคะ” หร่วนเหมียนเหมียนรีบวิ่งมาทันที 


 


 


เสิ่นเวยหยับไม้พลองขึ้นมา ใช้มีดสั้นเหลาปลายไม้ให้แหลม ขยับโยนเบาๆ ในมือเพื่อกะน้ำหนัก “ดูให้ดีล่ะ” สายตาของนางจับจ้องไปในน้ำ ทันใดนั้นนางก็เหวี่ยงพลองในมือออกไปรวดเร็วราวกับฟ้าแลบ ตอนที่หยิบขึ้นมาอีกครั้ง ปลายแหลมของพลองก็มีปลาปักไว้ตัวหนึ่ง 


 


 


 “ตายจริง พี่เวยท่านเก่งจริงๆ! ข้าอยากเรียน อยากเรียน!” หร่วนเหมียนเหมียนจับแขนเสิ่นเวย กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ 


 


 


“ได้ๆ ได้ ข้าจะสอนเจ้า” เสิ่นเวยคลี่ยิ้ม 


 


 


 หร่วนเหิงกับเสิ่นเจวี๋ยก็สนใจขึ้นมาเช่นกัน “พวกเราจะลองดู” เสิ่นเวยจึงเหลาปลายไม้อีกสองอันให้พวกเขา 


 


 


“สายตาต้องมองให้แม่น ลงมือต้องรวดเร็ว” เสิ่นเวยชี้แนะ พลางจับมือหร่วนเหมียนเหมียน “ดูเร็ว ตรงนั้นมีหนึ่งตัว” 


 


 


 เมื่อเหวี่ยงพองออกไป ปลาตัวใหญ่ก็ถูกเสียบขึ้นมา “ฮ่าๆ ข้าจับปลาได้แล้ว ปลาตัวใหญ่ด้วย” หร่วนเหมียนเหมียนร้องตะโกนอย่างดีใจ 


 


 


 เสิ่นเจวี๋ยกับหร่วนเหิงกระตุกมุมปากพร้อมกัน นั่นเป็นปลาที่เจ้าจับได้หรือ 


 


 


พวกเขาใช้ฉมวกที่ทำขึ้นอย่างง่ายแทงปลา เสิ่นเวยก็แทงปาขึ้นมาได้อีกสองตัว 


 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์ฝีมือไม่เลวทีเดียว” หร่วนเจิ้นเทียนไม่รู้ว่ามาที่ริมแม่น้ำเมื่อไหร่ ชายชราลูบเครา ดูเหมือนจิตใจเบิกบานไม่น้อย 


 


 


เสิ่นเวยยักไหล่ “ฝึกบ่อยๆ เลยใช้ได้น่ะเจ้าค่ะ” 


 


 


“ฮ่ะๆ คงไม่ใช่แค่นี้หรอกกระมัง” หร่วนเจิ้นเทียนคลี่ยิ้มมีเลศนัย แค่ฝึกฝนบ่อยๆ ง่ายดายอย่างนั้นเสียที่ไหนกันเล่า เหิงเกอเอ๋อร์ฝึกฝนมาสิบกว่าปียังคงมือรวดเร็วไม่เท่าเวยเจี่ยเอ๋อร์ แต่ว่านางเป็นผู้หญิง เรื่องนี้คงทำให้นางลำบากไม่น้อย 


 


 


“คุณหนู คอแห้งหรือยังเจ้าคะ ดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวสักหน่อยเถอะเจ้าคะ” เถาจือรีบยกถ้วยน้ำบ๊วยเปรี้ยวมาให้อย่างห่วงใย นางทำมันระหว่างที่เดินทางมายังหมู่บ้าน 


 


 


เสิ่นเวยรับมาส่งให้หร่วนเจิ้นเทียน “ท่านตาลองชิมสักหน่อยเจ้าค่ะ รสชาติไม่เลวเลย” ก่อนจะตะโกนเรียกคนที่อยู่ในน้ำ “รีบขึ้นมาเร็ว ดื่มน้ำบ๊วยสักหน่อย หากชักช้าจะไม่เหลือแล้วนะ” 


 


 


พวกหร่วนเหิงก็เล่นสนุกกันพอสมควรแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเสิ่นเวยก็รีบวิ่งขึ้นมาทันที 


 


 


พวกเขานั่งดื่มน้ำบ๊วยอยู่ใต้ต้นไม้ บรรยากาศเย็นสบาย พูดคุยเรื่องจับปลากันอย่างสนุกสนาน 


 


 


เสิ่นเวยมองปลาในถัง เลือกตัวใหญ่ๆ มาสิบตัวก่อนจะมอบให้เฉินก่วงฝูไปจัดการต่อ จากนั้นก็ใช้เกลือทาทั้งนอกและในตัวปลาที่เลือกไว้ 


 


 


หร่วนเหมียนเหมียนเอ่ยถามอย่างสนใจ “พี่เวย ท่านทาเกลือทำไมหรือเจ้าคะ” 


 


 


“เพื่อให้มีรสชาติ ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้ครึ่งชั่วยาม รสเกลือจะซึมเข้าไปในเนื้อ ปลาที่ย่างออกมาจะมียิ่งมีรสชาติดีมากขึ้น” เสิ่นเวยอธิบาย พลางสั่งให้สาวใช้นำที่ย่างและถ่านมาวาง  


 


 


อุปกรณ์ที่ต้องใช้เตรียมเสร็จแล้ว ปลาก็ชุ่มฉ่ำดีแล้ว “ท่านตา วันนี้เชิญท่านลิ้มลองรสมือของข้าสักครั้ง” 


 


 


เสิ่นเวยนำปลาที่เสียบไม้มาวางบนราวสำหรับใช้ย่าง นางพลิกอย่างชำนาญ พร้อมโรยเครื่องเทศนานาชนิดลงไป ผ่านไปครู่หนึ่งเนื้อปลาก็ส่งกลิ่นอกมา 


 


 


หร่วนเหมียนเหมียนจับจ้องอยู่ข้างๆ ปากขยับกลืนน้ำลาย เอ่ยถามอยู่ตลอดเวลาว่าเสร็จหรือยัง 


 


 


แม้แต่หร่วนเหิงและเสิ่นเจวี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะเข้ามาล้อมรอบ เสิ่นเวยภูมิใจมาก ความเชี่ยวชาญในการย่างปลาของนางสั่งสมประสบการณ์มาเป็นร้อยเป็นพันครั้งเชียวนะ 


 


 


“ท่านตา ท่านลองชิมสักหน่อยเจ้าค่ะ” เสิ่นเวยยื่นปลาที่เผาสุกแล้วไปให้หร่วนเจิ้นเทียน ก่อนจะยื่นอีกตัวไปให้หร่วนเหมียนเหมียน “เจ้าแมวจอมตะกละรีบกินเถอะ” 


 


 


เสิ่นเจวี๋ยกับหร่วนเหิงหยิบมากินก่อนแล้ว พวกเขาไม่กลัวร้อน ใช้ปากกัดเนื้อทันที 


 


 


“อร่อย อร่อยจริงๆ! ข้าไม่เคยกินปลาที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย” หร่วนเหมียนเหมียนบอกเสียงดัง พลางกินไม่หยุดปาก เสิ่นเจวี๋ยกับหร่วนเหิงก็พยักหน้าไม่หยุด 


 


 


หร่วนเจิ้นเทียนชิมปลาย่างในมือ สีหน้าเกลื่อนไปด้วยความชื่นชม “ไม่เลว รสชาติไม่ธรรมดาจริงๆ” 


 


 


เพียงไม่นานปลาย่างสิบกว่าตัวก็ถูกพวกเขากินจนหมด ทั้งยังแสดงสีหน้าไม่หายอยาก จนกระทั่งเสิ่นเวยรับปากว่าครั้งหน้าจะย่างให้มากกว่านี้อีก พวกเขาจึงพอใจ


147.1 ข้าไม่อยากแต่งงานสักนิด

 


 


 


 


หลังจากตื่นนอนกลางวัน เสิ่นเวยก็ฟังเฉินก่วงฝูรายงานสถานการณ์ต่างๆ ในหมู่บ้านมีผู้เช่าที่ดินทำนากี่ครัวเรือน สถานการณ์ของแต่ละครัวเรือน ไร่นาเพาะปลูกอะไรบ้าง การคาดการณ์ผลผลิตในปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง ถึงแม้จะเป็นเรื่องปลีกย่อย แต่เสิ่นเวยก็มองเห็นความใส่ใจของเฉินก่วงฝูจากสิ่งเหล่านั้น เขาเพิ่งจะมารับช่วงดูแลหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่สามารถเข้าใจเรื่องราวในหมู่บ้านมากขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย 


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า นางพอใจกับเรื่องนี้มาก “ค่าเช่าที่ดินของพวกเราจ่ายอย่างไร” 


 


 


“เหมือนกับหมู่บ้านใกล้เคียง หกต่อสี่ขอรับ” เฉินก่วงฝูตอบ 


 


 


เสิ่นเวยขมวดคิ้ว “เพียงพอที่พวกเขาจะเลี้ยงปากท้องในครัวเรือนหรือ” ช่างเป็นสังคมศักดินาที่ชั่วร้ายจริงๆ ชาวนาเพาะปลูกด้วยความยากลำบาก แต่สุดท้ายตนเองกลับได้รับส่วนแบ่งเพียงน้อยนิด ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี 


 


 


 เฉินก่วงฝูลังเลอยู่ครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “หากเก็บเกี่ยวได้มากก็ได้กินอิ่มขอรับ แต่ถ้าหากมีภัยพิบัติก็ไม่พอขอรับ หมู่บ้านของเรามีไร่นาที่ดีมาก ขอเพียงขยันขันแข็งสักหน่อย ก็จะมีชีวิตที่ดีขอรับ” 


 


 


เสิ่นเวยลูบคาง ไม่กล่าวคำใด ถึงแม้เฉินก่วงฝูจะพูดว่าชาวนาผู้เช่าเหลือข้าวเพียงพอจะประทังชีวิต แต่นางก็เคยพำนักอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นสามสี่ปี ค่อนช้างเข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของชาวนา ถ้าหากในครอบครัวมีกำลังคนมากหรือขยันขันแข็งสักหน่อยก็พอจะช่วยประคับประคองครอบครัวไปได้ แต่ถ้าหากในครอบครัวมีคนชรา เด็กหรือคนป่วย เกรงว่าผ่านไปแค่ครึ่งปีครอบครัวนั้นก็ขัดสนแล้ว 


 


 


“เอาอย่างนี้เถอะ ข้าไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ประกาศออกไป นับจากฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ค่าเช่าที่ดินของหมู่บ้านจะลดลงส่วน เหลือเพียงห้าต่อห้าเท่านั้น” เสิ่นเวยกล่าวกับเฉินก่วงฝู 


 


 


 นางเกิดในยุคสมัยนี้ เช่นนั้นก็ต้องเคารพกฎของยุคสมัย นางไม่อยากสวนกระแสสังคม หากยกเว้นค่าเช่าทั้งหมด นั่นเป็นเรื่องน่าขัน แต่เหมือนอย่างที่เสิ่นเวยกล่าว นางไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ในขอบเขตความสามารถของตน นางอยากทำอะไรเพื่อเหล่าชาวนาที่ต้องทนลำบากเหล่านี้ บางทีความใจกว้างของนางอาจจะช่วยต่อลมหายใจให้กับครอบครัวที่กำลังจะสิ้นหวัง นางไม่ได้คิดอะไรมากมาย ต้องการเพียงความสบายใจเท่านั้น เมื่อสบายใจก็จะมีเหตุผลเพียงพอ 


 


 


พูดได้ว่า เสียอะไรก็ได้แต่ต้องไม่เสียความรู้สึก 


 


 


ถึงแม้เฉินก่วงฝูจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้สึกดีใจแทนชาวนาเหล่านี้ เดิมทีตัวเขาก็มาจากครอบครัวชาวนา รู้ถึงความลำบากของชาวนา ไม่ใช่เพราะไม่มีข้าวเลี้ยงปากท้องหรือ เขาจึงได้ไปอยู่ที่เขาหัวไก่ 


 


 


“ขอบคุณของรับคุณหนู คุณหนูช่างจิตใจดีจริงๆ บ่าวจะนำข่าวนี้ไปแจ้งให้ทุกคนรู้เดี๋ยวนี้ขอรับ” เฉินก่วงฝูถอยออกไปอย่างดีใจ 


 


 


เสิ่นเวยคลี่ยิ้ม ก่อนจะสั่งความอีกคำ “สั่งทุกคนไม่ให้พูดเรื่องนี้ออกไป” 


 


 


ในละแวกนี้ไม่ได้มีแค่ที่ดินของนางเท่านั้น และคนอื่นเรียกเก็บค่าเช่าหกต่อสี่ หากพวกเขารู้ว่านางเก็บแค่ครึ่งเดียวอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งต่อกัน เรื่องนี้เสิ่นเวยไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว 


 


 


หลังจากนั้นเสิ่นเวยก็สั่งให้หลีฮวาไปดูว่าพวกเสิ่นเจวี๋ยตื่นหรือยัง ตอนมื้อเที่ยงตกลงกันไว้ว่าตอนบ่ายจะขึ้นเขาด้วยกัน 


 


 


หลังหมู่บ้านมีภูเขาตั้งอยู่ไม่ไกล ประมาณสองสามลี้เท่านั้น 


 


 


เหล่าสาวรับใช้ของเสิ่นเวยรู้สึกเบื่อหน่ายมานานแล้ว เวลานี้เมื่อได้ยินว่าสามารถขึ้นเขาไปเที่ยวเล่นได้ แต่ละคนก็อยากไป 


 


 


ด้วยเหตุนี้เจ้านายสี่คนจึงพาบ่าวรับใช้กลุ่มใหญ่ขึ้นเขาไปอย่างเบิกบาน เพราะมีคนมาก ทั้งยังอยู่ในเขตของหมู่บ้าน ขี่ม้าหรือนั่งรถไปจึงไม่สะดวกนัก ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกวิถีดั้งเดิมที่สุดนั่นคือ…เดินเท้า 


 


 


ระหว่างทางได้พบกับผู้เช่าหลายคนกำลังทำนากันอยู่ พวกเขาทำความเคารพเสิ่นเวยด้วยท่าทีนอบน้อมผิดปกติ ทั้งยังกล่าวขอบคุณอีกเล็กน้อย ที่มากกว่านั้นคือสีหน้าตื่นเต้นยินดีที่ไม่อาจพูดออกมาได้ แต่ความซาบซึ้งบนใบหน้าของพวกเขาแสดงออกมาอย่างจริงใจ ซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้าบ้านวัยเยาว์ผู้มีน้ำใจกว้างขวาง บางทีค่าเช่าส่วนหนึ่งก็มากพอจะทำให้ภรรยาที่กำลังตั้งท้องมีข้าวกินเพิ่มขึ้นอีกสองมื้อ ทำให้บิดาผู้ป่วยไข้ติดเตียงมียากินกินเพิ่มขึ้นอีกสามสี่มื้อ พอให้บุตรชายผู้ไร้เดียงสามีขนมกินอีกสามสี่ห่อ ทำให้ชีวิตเหนื่อยยากมาแรมปีพอได้เห็นแสงสว่าง 


 


 


“พี่เวย เถาฮวานำคันธนูมาด้วย บนภูเขาสามารถล่าสัตว์ได้จริงหรือ ข้ายังไม่เคยล่าสัตว์มาก่อนเลย” หร่วนเหมียนเหมียนดึงมือเสิ่นเวยเอ่ยถามอย่างร่าเริง 


 


 


หร่วนเหิงและเสิ่นเจวี๋ยได้ยินคำถามของน้องสาวก็ล้อมกันเข้ามามองนาง เสิ่นเวยจึงเอ่ยว่า “ข้าก็เหมือนกับพวกเขา เพิ่งจะเคยมาที่นี่ รู้เสียที่ไหนเล่าว่าบนภูเขามีสัตว์ป่าหรือไม่ คำถามนี้คงต้องขอคำชี้แนะจากหัวหน้าหมู่บ้านเฉินจึงจะถูก” 


 


 


เฉินก่วงฝูรับตอบรับ “เหมือนอย่างที่ทุกท่านทราบขอรับ บนภูเขาของเรามีสัตว์ป่าให้ล่า แต่เป็นพวกกระต่ายป่าหรือไม่ก็ไก่ป่า ไม่มีพวกสัตว์ใหญ่ ไม่อย่างนั้นบ่าวคงไม่กล้าพาพวกท่านมาที่นี่” หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายจะทำอย่างไรเล่า 


 


 


ใบหน้าของเสิ่นเจวี๋ยและหร่วนเหิงเผยความผิดหวังออกมา วันนี้สองหนุ่มเตรียมจะมาแสดงความสามารถ แต่หร่วนเหมียนเหมียนยังคงตื่นเต้น สำหรับเด็กสาวอย่างนาง แค่ยิงกระต่ายหรือไก่ป่าได้สักตัวก็พอแล้ว  


 


 


พูดไปพลางเดินไปพลาง ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็มาถึงตีนเขาแล้ว เสิ่นเวยกลัวว่าจะพลัดหลงกันจึงสั่งไปว่า “อย่างน้อยต้องมีสามคนอยู่ด้วยกัน อย่าไปไหนมาไหนคนเดียวเด็ดขาด เมื่อเข้าไปในภูเขาจะต้องระวังให้มาก ระวังแมลงกับงูในพุ่มไม้ด้วย หากพบผลไม้ที่ไม่รู้จักก็อย่ากินมั่ว เผื่อมีพิษ” 


 


 


เสิ่นเวยเพิ่งจะกล่าวจบ เสิ่นเจวี๋ยกับหร่วนเหิงนำบ่าวรับใช้วิ่งออกไป เสิ่นเจวี๋ยยังไม่ลืมให้คำมั่นกับพี่สาวว่า “ท่านพี่ ท่านรอก่อนนะ ข้าจะหาวัตถุดิบมาทำมื้อค่ำให้ท่าน” 


 


 


เหล่าสาวใช้ข้างกายเสิ่นเวยยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ คนที่ทำให้นางแปลกใจคือเถาฮวาที่ยังคงยืนนิ่งอยู่เหมือนกัน เสิ่นเวยจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดจึงไม่ไปเล่นสนุก เจ้ารอแทบไม่ไหวแล้วไม่ใช่หรือ” ไม่อย่างนั้นจะพกคันธนูมาด้วยเหตุใด 


 


 


เถาฮวาย่นปาก “ข้าจะอยู่กับคุณหนู” ตอนที่อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นได้ล่าสัตว์กับคุณหนูสนุกมาก คุณหนูไม่ต้องใช้ธนูก็สามารถล่าไก่ป่ากับกระต่ายได้ นางฝึกอยู่นานก็ยังทำไม่ได้  


 


 


เสิ่นเวยนึกสนุกขึ้นมาบ้าง “ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” 


 


 


เด็กสาวจึงนำทางไปเบื้องหน้า ใช้พลองฟาดพุ่มไม้ ไม้ก็หักกิ่งไม้ออกเพื่อเปิดทาง อย่ามองว่าพวกหลีฮวาเหอฮวาวางตัวสง่าอยู่ภายในจวน แต่ถึงอย่างไรก็เคยผ่านความยากลำบากมาก่อน สำหรับเรื่องเช่นนี้ พวกนางเชี่ยวชาญอยู่มาก ภาพนี้ทำให้หร่วนเหมียนเหมียนกับบ่าวของนางและเถาจือและเยวี่ยกุ้ยพากันตกตะลึง เดิมทีเถาจือคิดว่าตนเองทำดีมากแล้ว แต่เท่าที่เห็นในตอนนี้ นางกับพวกหลีฮวาเหอฮวายังห่างไกลกันอยู่มาก นางรู้สึกถึงวิกฤตของตัวเอง 


 


 


เดินมานานก็ยังไม่พบสัตว์ป่าสักตัว หร่วนเหมียนเหมียนทำปากยาวปากยื่น “พี่เวย เหตุใดจึงไม่มีสัตว์สักตัวล่ะเจ้าคะ หัวหน้าเฉินคงไม่ได้หลอกพวกเราหรอกใช่ไหมเจ้าคะ” นางเดินจนปวดฝ่าเท้าแล้ว นอกจาเสียงนกร้องไก่ป่ากับกระต่ายที่บอกไว้ไม่เห็นมีสักตัว 


 


 


“มีน่ะมีแน่ เพียงแต่ยังไม่พบเท่านั้น พวกเราลองหาอีกครั้งเถอะ” เสิ่นเวยเอ่ยปลอบ ที่จริงนางอยากจะพูดว่า พวกเจ้าเอะอะกันขนาดนี้ ถึงแม้จะมีไก่ป่าหรือกระต่ายป่าก็ตกใจจนไม่กล้าออกมา 


 


 


เสิ่นเวยยังไม่ทันเอ่ยออกมาก็เห็นกระต่ายป่าตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ 


 


 


“เร็ว เร็วๆ เข้า กระต่ายป่า จับมันไว้” หร่วนเหมียนเหมียนตะโกนอย่างตื่นเต้น สาวใช้คนอื่นพากันตื่นเต้นตามไปด้วย 


 


 


เถาฮวาง้างคันธนู ลูกธนูพุ่งออกไปก่อนตามด้วยก้อนหิน ลูกธนูของเถาฮวามีแรงไม่พอจึงยิงไม่โดน แต่ก้อนหินของเสิ่นเวยกลับโดนท้องของกระต่าย จนมันกระเด็นออกไปด้านหนึ่ง มันยังไม่ทันได้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ลูกธนูดอกที่สองของเถาฮวาก็มาถึงแล้ว ครั้งนี้นางยิงได้แม่นยำ มันปักเข้าที่ตัวของกระต่ายตัวนั้น 


 


 


“โดนแล้วๆ” ทุกคนตบมืออย่างยินดี เถาฮวากับหร่วนเหมียนเหมียนวิ่งเข้าไปอย่างใจร้อน ก่อนจะหิ้วกระต่ายที่ตายแล้วกลับมาอย่างดีใจ “พี่เวย เถาฮวายิงธนูแม่นมาก เหอะ ท่านปู่กับท่านพี่ไม่ยอมสอนข้า” 


 


 


หร่วนเหมียนเหมียนสีหน้าอิจฉา นางก็อยากยิงกระต่ายได้เหมือนกับเถาฮวา แต่นางยิงไม่เป็น ทั้งหมดเป็นเพราะท่านปู่ บอกว่านางเป็นสตรี หากฝึกแล้วมือเท้าจะหยาบไม่น่ามอง พี่ชายก็เหมือนกัน นางออดอ้อนเขาตั้งหลายครั้งก็ไม่ยอมแอบสอนให้นาง พี่เวยกับเถาฮวาก็เป็นสตรีเหมือนกันไม่ใช่หรือ แต่ก็มีวรยุทธติดตัว 


 


 


ฉาฮวากลับไม่เห็นด้วย “คุณหนูต่างหากที่เขวี้ยงหินไปโดน” ทั้งๆ ที่คุณหนูเขวี้ยงโดนก่อนแล้วเถาฮวาจึงยิงโดนทีหลัง ถึงแม้นางจะสนิทสนมกับเถาฮวาก็ไม่ควรพูดโกหกกันซึ่งหน้า 


 


 


หร่วนเหมียนเหมียนจึงพูดสำทับไปทันที “ใช่ๆ พี่เวยร้ายกาจมาก” 


 


 


เสิ่นเวยคลี่ยิ้ม หันมองเถาฮวาจึงเห็นดวงตาดับขลับกำลังเงยมองมาที่นาง หญิงสาวจึงลูบศีรษะทุย กล่าวชมไปว่า “เถาฮวาเก่งมาก ฝีมือธนูก็ก้าวหน้า” 


 


 


เด็กหญิงจึงยิ้มออก นางไม่เข้าใจพวกเขากำลังพูดอะไร แต่นางรู้เพียงว่าแค่คุณหนูชมนางก็พอแล้ว ขอเพียงคุณหนูชมนาง นั่นหมายความว่าคุณหนูยังคงชอบนาง คุณหนูเคยพูดว่า คนที่ท่านชอบที่สุดก็คือเถาฮวา ที่จริงในใจของเถาฮวาก็ชอบคุณหนูมากที่สุดเช่นกัน ชอบมาก ชอบมากๆ ชอบที่สุด 


 


 


ยิ่งเดินไปนานเท่าไหร่ก็ไม่พบสัตว์ป่าเลย กลับเห็นเพียงลำธารสายหนึ่งเท่านั้น น้ำในลำธารใสมาก ทั้งยังมีปลาตัวเล็กๆ แหวกว่ายอยู่ในน้ำ 


 


 


ปลาเล็กเช่นนี้หากต้มเป็นน้ำแกงจะรสชาติดีที่สุด เพียงไม่นานเสิ่นเวยนึกสนใจขึ้นมา คิดจะจับพวกมันขึ้นมา แต่ไม่มีตาข่ายจับปลา แต่พวกนางนำตะกร้ามาด้วย นี่ก็ถือเป็นเครื่องมือที่ดี 


 


 


เสิ่นเวยหยิบตะกร้าขึ้นมาจะลงน้ำ กลับถูกพวกหลีฮวาเถาจือขวางไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย “คุณหนู พวกบ่าวทำเองเจ้าค่ะ” น่าขัน เวลานี้ฐานะของคุณหนูไม่เหมือนเดิมแล้ว จะถอดรองเท้าลงน้ำตามใจชอบได้อย่างไร 


 


 


เสิ่นเวยอับจนหนทาง จำต้องยืนชี้นิ้วสั่งพวกสาวใช้จับปลาอยู่บนฝั่ง เหล่าสาวใช้ทำได้ดีไม่น้อย จับปลาตัวเล็กได้สองสามจิน มากพอให้พวกเขาต้มน้ำแกงคืนนี้ 


 


 


นอกจากปลาเล็กแล้ว พวกนางยังได้องุ่นมาไม่น้อย เนินแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยองุ่นป่า ลูกเล็กๆ หลายพวง มีสีม่วงเข้มจนออกดำ 


 


 


เสิ่นเวยลองชิมดูหนึ่งลูก แม้ไม้หวานอย่างองุ่นในจวน แต่น่าจะใช้ทำเหล้าองุ่นได้ พวกนางเก็บองุ่นบนเนินมาทั้งหมด เก็บจนเต็มแล้วก็ยัดใส่เพิ่มลงไป 


 


 


 เดิมทีตกลงกันไว้ว่าครึ่งชั่วยามก็จะออกไป เสิ่นเวยเห็นเวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว จึงพาทุกคนกลับ 


147.2 ข้าไม่อยากแต่งงานสักนิด

 


 


 


จนกระทั่งพวกนางออกมาจากภูเขาก็พบว่าหร่วนเหิงกับเสิ่นเจวี๋ยมารออยู่ก่อนแล้ว หร่วนเหมียนเหมียนวิ่งไปหาทันที “พี่ชาย ญาติผู้น้อง พวกท่านได้อะไรมา พวกข้าได้กระต่ายมาหนึ่งตัว จับปลาตัวเล็กมาได้ด้วย ยังมีองุ่นภูเขาด้วย” สีหน้าของนางแจ่มใสด้วยความตื่นเต้น


 


 


“นี่ อยู่นี่ พวกท่านดูเองเถอะ” เสิ่นเจวี๋ยสีหน้าสมใจ


 


 


 “ตายจริง สัตว์ป่ามากขนาดนี้เชียวหรือ” หร่วนเหมียนเหมียนร้องออกมาอย่างตกใจ นางลองนับดู พบว่ามีกระต่ายห้าตัว ไก่ป่าเจ็ดตัว อืม แล้วก็เห็ดป่าหนึ่งตะกร้า


 


 


เสิ่นเวยก็รู้สึกแปลกใจ คิดแล้วก็เข้าใจ พวกโอวหยางไน่  จางจู้จื่อ หลู่โถวมีฝีมือในการล่าสัตว์ พวกเขาล่าสัตว์ได้มากขนาดนี้ก็ไม่มีอะไรแปลก


 


 


กลุ่มคนกลับมาอย่างพร้อมเพรียงด้วยสีหน้าแช่มชื่น ร่าเริงกว่าตอนขามาเสียอีก


 


 


ในคืนนั้น เสิ่นเวยได้ดื่มน้ำแกงปลารสเลิศ ทั้งยังได้กินเนื้อกระต่ายน้ำแดงกับไก่ตุ๋นเห็ด ถึงแม้จะเป็นอาหารพื้นบ้าน แต่ทั้งห้าคนก็กินอาหารอย่างเพลิดเพลิน แม้แต่หร่วนเจิ้นเทียนก็กินได้มากกว่าปกติ


 


 


หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จแล้ว เสิ่นเจวี๋ยก็ถูกไล่ให้ไปพักผ่อน เขามีเวลาพักแค่วันเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้ต้องกลับไปเรียนที่สำนักศึกษาแต่เช้า เมื่อหร่วนเหิงกับน้องสาวถูกหร่วนเจิ้นเทียนไล่กลับไปแล้ว ทั้งห้องรับรองก็เหลือแค่เสิ่นเวยกับท่านตาเพียงสองคน


 


 


“ท่านตา ข้อเสนอของข้าเมื่อครั้งก่อน ท่านไตร่ตรองดูหรือยังเจ้าคะ” หลานสาวเอ่ยถามไปตามตรง


 


 


ชายชราคลี่ยิ้ม ส่ายหน้าตอบ “เวยเจี่ยเอ๋อร์ เรื่องในราชสำนักไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด ตาปิดประตูไม่ข้องเกี่ยวกับโลกภายนอกมาสิบกว่าปี ฝ่าบาทมีพระทัยเมตตาจึงไม่ได้ริบจวนแม่ทัพใหญ่กลับไป แต่ในใจของทุกคนจ่างรู้ดีว่าข้าเป็นแม่ทัพใหญ่เพียงแค่ในนามเท่านั้น คิดจะเข้าไปในราชสำนักอีกครั้ง จะง่ายได้ได้อย่างไร ราชสำนักไม่ต้องการแม่ทัพที่ขาเสีย ทำสงครามไม่ได้”


 


 


เสิ่นเวยตาเป็นประกาย รู้ว่าว่าความคิดของตัวเองก่อนหน้านี้ง่ายเกินไป แต่ยังไม่ยอมแพ้ “แล้วเรื่องเมื่อตอนนั้นจะไม่สืบแล้วหรือเจ้าคะ เหตุใดอยู่ๆ ก็เกิดข่าวลือขึ้นมา หมิ่นหนานอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ ท่านที่ประจำการอยู่ที่นั่นหายตัวไป ในเมืองหลวงก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมา ในเมืองหลวงจะต้องมีคนรวมหัวกับทางนั้นเพื่อให้ร้ายจวนแม้ทัพใหญ่” นางไม่เชื่อเด็ดขาดว่านี่เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ


 


 


หร่วนเจิ้นเทียนคลี่ยิ้มอย่างปวดร้าว “จะสืบอย่างไร เวลาก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ร่องรอยถูกลบไปแล้วไปนานแล้ว ดังนั้นเบาะแสไม่หลงเหลืออยู่แล้ว จะสืบจากสิ่งใดเล่า อีกอย่างตาก็แก่แล้ว ไม่มีความมุ่งมั่นอยู่แล้ว ถึงแม้จะสืบจนรู้ความจริงแล้วอย่างไรเล่า คนที่ตายไปแล้วจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาหรือ” ชายชราถอนหายใจยืดยาว ใบหน้ามีแต่ความสิ้นหวัง


 


 


ได้ฟังคำพูดของท่านตา ในใจของเสิ่นเวยยังไม่ยอมแพ้ สิ่งที่โศกนาฏกรรมของจวนแม่ทัพใหญ่พรากไปในครั้งนั้นไม่ใช่แค่ชีวิตคนเท่านั้น ยังมีความห้าวหาญและความมุ่งมั่นของท่านตาด้วย นางพอจะเข้าใจความรู้สึกของท่านตาในตอนนี้ แต่ไม่อยากรามือเพียงเท่านั้น พวกศัตรูกับเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นไม่ได้ละเว้นท่านเพียงเพราะท่านยอมถอยให้


 


 


“แล้วท่านตาเคยนึกถึงอนาคตของญาติผู้พี่กับญาติผู้น้องบ้างหรือไม่เจ้าคะ” หญิงสาวกล่าวถามต่อไปอีก “ญาติผู้พี่อายุสิบหกปีแล้ว ถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว สถานการณ์ในจวนแม่ทัพใหญ่เป็นเช่นนี้ ตระกูลใดจะยอมยกบุตรสาวให้แต่งกับเขา ท่านคงไม่คิดจะให้เขาแต่งกับครอบครัวที่ฐานะยากจนหรอกใช่ไหมเจ้าคะ อีกอย่างเขาก็ร่ำเรียนหนังสือฝึกฝนวรยุทธ์มาตั้งแต่เล็ก ท่านจะทนได้หรือเจ้าคะ ยังมีเหมียนเหมียนก็ถึงวัยที่จะมองหาคู่ครองแล้ว ท่านคิดจะให้นางแต่งเข้าตระกูลใด ในเมื่อครอบครัวของมารดาไม่มีอำนาจ ครอบครัวของสามีจะทำดีกับนางหรือเจ้าคะ”


 


 


หร่วนเจิ้นเทียนรู้สึกแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าหลานสาวที่อายุน้อยกว่าเหิงเกอเอ๋อร์หนึ่งปีกลับสามารถพูดจาเช่นนี้ออกมาได้ ใช่แล้ว สิ่งที่เวยเจี่ยเอ๋อร์พูดล้วนเป็นความจริง เขาอายุมากแล้ว จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกกี่ปี แค่เขาสิ้นลมก็จะหลุดพ้นแล้ว แต่เหิงเกอเอ๋อร์กับเหมี่ยนเจี่ยเอ๋อร์จะทำอย่างไร ยิ่งเด็กทั้งสองมีอายุมากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น


 


 


“พูดถึงคนอื่นได้คล่องแคล้ว แล้วเจ้าล่ะ” ชายชรามองหญิงสาวพร้อมเอ่ยถามออกไป


 


 


“ข้ามีอะไรหรือเจ้าคะ” เสิ่นเวยนิ่งชะงักไป


 


 


“การแต่งงานของเจ้าล่ะ” หร่วนเจิ้นเทียนกล่าว “การหมั้นหมายกับจวนหย่งหนิงโหวก็ยกเลิกไปแล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไรกับอนาคตของตัวเอง” เขารู้ว่าหลานสาวคนนี้มีแผนการอยู่ภายในใจแล้ว จึงเอ่ยถามเรื่องการแต่งงานของนางไปตามตรง


 


 


“แน่นอนว่าผู้อาวุโสในจวนเป็นคนดูแลเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบพลางยักไหล่


 


 


เห็นท่านตาคลี่ยิ้มไม่พูดจา นางก็ลูบจมูกพลางเอ่ยว่า “พูดตามจริง ข้าไม่อยากแต่งงานสักนิด” ราวกับกลัวว่าชายชราจะคัดค้าน จึงอธิบายต่อไปว่า “โบราณว่า เมื่อออกเรือนไปแล้ว ชีวิตก็จะมีแค่การแต่งตัวและกินข้าวเท่านั้น เห็นได้ว่าผู้หญิงแต่งงานออกไปก็เพื่อหาคนเลี้ยงดูตัวเอง แต่ตัวข้าก็มีเงิน นอกจากสินเดิมที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ ตัวข้าก็ยังมีกิจการอยู่ไม่น้อย มากพอให้ข้าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหตุใดต้องแต่งเข้าเรือนของคนอื่น ได้แต่ทนรับอารมณ์ของเขาไปวันๆ”


 


 


นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงกล่าวต่อไปว่า “อีกอย่าง การแต่งงานในยุคสมัยนี้มีความเสี่ยงอยู่มาก หากโชคดีสักหน่อยก็รักใคร่ให้เกียรติกัน หากโชคร้ายสักหน่อย แม้จะแก่ตายในเรือนก็กลายเป็นความขัดแย้งได้ หรือถ้าได้แต่งกับชายที่ร้ายกาจมาก เขาก็จะใช้สินเดิมหรือเงินทองของภรรยาไปเลี้ยงดูอนุภรรยากับบุตรนอกสมรส ทั้งยังจะให้นางเป็นบ่าวไพร่คอยปรนนิบัติและใจกว้างต่ออนุภรรยาเหล่านั้น ท่านว่าน่าขยะแขยงหรือไม่ อีกอย่างหลานเป็นคนใจร้อน และไม่มีความอดทน ถ้าหากต้องพบกับเรื่องนั้น ไม่แน่ว่าข้าอาจจะทำลายพวกเขาทั้งตระกูลก็เป็นได้ ท่านว่าทำเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร ไม่สู้ไม่แต่ง อยู่ตัวคนเดียวเป็นอิสระดีกว่า”


 


 


หร่วนเจิ้นเทียนหลุดยิ้มออกมา “เจ้าช่างเหลือเกินจริงๆ เหตุใดจึงมีความคิดเหลวไหลเช่นนี้ เจ้าไม่แต่งงาน เมื่อแก่ชราลงจะทำอย่างไร ร้อยปีผ่านไปไม่มีใครคอยเซ่นไหว้”


 


 


เสิ่นเวยไม่แยแส “แก่แล้วอย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้ามีเงินเสียอย่าง จะขาดคนปรนนิบัติได้หรือเจ้าคะ แม้ข้าจะแต่งงานมีลูกชาย ใครสามารถรับรองได้ว่าลูกชายของข้าจะมีความสามารถและกตัญญู ลูกอกตัญญูที่ขับไล่พ่อแม่ออกจากตระกูลก็มีอยู่มากไม่ใช่หรือเจ้าคะ ตัวข้าไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการเซ่นไหว้เท่าใดนัก หากพูดให้ฟังยากสักหน่อยคือ หลังจากข้าตายไปแล้ว แม้น้ำจะท่วมถึงฟ้า ข้าตายไปแล้วก็ไม่รับรู้อะไรอีก ยังจะต้องใส่ใจเรื่องคนเซ่นไหว้ด้วยหรือเจ้าคะ”


 


 


“เจ้านี่นะ อายุยังน้อยก็มองโลกในแง่ร้ายอย่างนี้แล้ว เส้นทางของเจ้าหลังจากนี้ยังอีกยาวไกล” หร่วนเจิ้นเทียนเกลี้ยกล่อม “ถึงแม้ปล่อยวางในชีวิตได้จะเป็นเรื่องดี แต่ปล่อยวางเกินไป ปลงตกเกินไปเหมือนเจ้าจะไม่ดี ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่งดงามมากมายรอให้เจ้าไปสัมผัส”


 


 


“แต่สิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง ใครใช้ให้โลกนี้โหดร้ายกับผู้หญิงขนาดนี้เล่า” เสิ่นเวยโต้แย้ง


 


 


“ผู้อาวุโสในจวนจะยอมให้เจ้าไม่แต่งงานหรือ บิดาของเจ้าไม่ใช่คนหลักแหลม” ชายชราย้อนถามกลับมา


 


 


 เสิ่นเวยย่นจมูก “เวลานี้เขาบงการข้าไม่ได้แล้ว ท่านปู่โหวของเราลั่นวาจาไว้แล้วว่า เรื่องของข้ากับเจวี๋ยเกอเอ๋อร์ ท่านจะเป็นผู้ตัดสินใจ คนอื่นห้ามสอดมือเข้ามายุ่ง”


 


 


“ท่านปู่ของเจ้าให้ความสำคัญกับเจ้ามากขนาดนี้หรือ เกรงว่าเขาจะยิ่งไม่ยอมให้เจ้าครองตนเป็นโสด” หร่วนเจิ้นเทียนเอ่ยเตือน


 


 


“ไม่ปิดบังท่านตา ท่านปู่ของข้าเป็นคนหลักแหลม พึ่งพาได้มากกว่าท่านพ่อของข้าเสียอีก เขาฉลาดปราดเปรื่องมาก แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่ทำการค้าที่ขาดทุน ขอเพียงท่านมีประโยชน์ เขาก็จะให้อิสระกับท่าน ข้าคิดว่าข้าต้องมีประโยชน์กว่านี้ มีประโยชน์มากกว่าผู้ชายในจวนทั้งหมด เขาก็จะไม่บีบบังคับข้าให้แต่งงาน ใครใช้ให้หลานชายของเขาไม่เอาไหนเล่า” เสิ่นเวยพูดด้วยท่าทีจริงจัง


 


 


เรื่องนี้ เสิ่นเวยยอมแลกเปลี่ยนกับท่านปู่ของนาง หญิงสาวรู้ว่าทำเช่นนี้อาจจะต้องเผชิญกับสายตาแปลกประหลาดและคำติฉินนินทาของผู้คน แต่ว่านางยอมทนกับเรื่องนี้ แต่จะไม่ยอมถูกกักขังไว้ในเรือนหลังชั่วชีวิต ไม่อยากคอยเสแสร้งแกล้งทำ ชิงดีชิงเด่นกับพวกอี๋เหนียง


 


 


“หากจำต้องแต่งงานจริงๆ เช่นนั้นก็เลือกแต่งกับคนหัวอ่อน บงการได้ง่าย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยอมเชื่อฟังข้าเช่นนี้ก็สมบูรณ์พูนสุขแล้วไม่ใช่หรือ” เสิ่นเวยกล่าวขึ้นอีกครั้ง


 


 


แต่หร่วนเจิ้นเทียนกลับเห็นด้วยมาก “นี่ถือว่าเป็นวิธีการที่ดี เวยเจี่ยเอ๋อร์เจ้าเป็นคนมองการไกล แต่ถึงอย่างไรเสียเจ้าก็อายุยังน้อย ตาแก่ชราแล้ว แต่ก็ผ่านการใช้ชีวิตมาหลายสิบปีแล้ว ก่อนที่เจ้าจะตัดสินใจก็มาหารือกับตาก่อน ตาไม่มีทางทำร้ายเจ้าแน่” เขาบอกอย่างหนักแน่นและจริงใจ


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา “หลานจะจำไว้เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าไม่รบกวนท่านพักผ่อนแล้ว ท่านก็รีบเข้านอนเถอะเจ้าค่ะ” นางลุกขึ้นพร้อมกล่าวลา ตอนที่เดินไปถึงประตูก็หันหลับมาบอกทิ้งท้าย “ท่านตาเจ้าคะ สิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่ท่านลองไตร่ตรองดูเถอะเจ้าค่ะ ญาติผู้พี่จะก้าวเดินอย่างไรต่อไป เช่นนี้ข้าจะได้ช่วยเหลือได้ถูก”


 


 


หร่วนเจิ้นเทียนคลี่ยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะนึกอย่างสะท้อนใจ…ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ…


148.1 ลอบสังหารและได้รับบาดเจ็บ

 


 


 


“อ๊า อ๊า อ๊า ข้าขี่ม้าเป็นแล้ว ในที่สุดข้าก็ขี่ม้าได้แล้ว!” หร่วนเหมียนเหมียนนั่งอยู่บนหลังม้า กุมบังเ**ยนไว้แน่น พลางตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น เมื่อวันก่อน นางเห็นเถาฮวา เด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่สามารถขี่ม้าได้อย่างคล่องแคล้ว จึงมาออดอ้อนเสิ่นเวยจะเรียนให้จงได้ เสิ่นเวยสอนนางอยู่สองวัน ในที่สุดนางก็สามารถบังคับม้าให้วิ่งเหยาะๆ ด้วยตัวเองได้แล้ว


 


 


คนที่เรียนขี่ม้าพร้อมกับหร่วนเหมียนเหมียนยังมีสาวใช้คนสนิทของเสิ่นเวยอีกสามสี่คน เยวี่ยกุ้ยเรียนได้เร็วที่สุด แค่สองสามชั่วยามก็สามารถควบม้าได้แล้ว เหอฮวากับเถาจือเป็นอันดับต่อมา เวลาสองวันพอจะฝืนขี่ไปได้ระยะหนึ่ง มีแค่หลีฮวาเท่านั้นทำอย่างไรก็ขี่ไม่ได้เสียที แค่ขึ้นมานั่งบนรถม้าก็ตัวสั่นงกๆแล้ว ตื่นเต้นจนไม่กล้าขยับ ทำให้ทุกคนพากันตลกขบขัน เสิ่นเวยคิดว่านางคงไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องนี้จริงๆ จึงไม่ได้บังคับนาง


 


 


เมื่อพวกนางขี่ม้าเป็นแล้วก็รู้สึกเพลิดเพลินมาก หร่วนเหมียนเหมียนออดอ้อนเสิ่นเวยอยากจะไปขี่ม้านอกหมู่บ้าน ลานตากข้าวไม่เพียงพอสำหรับนางแล้ว หลังจากที่เสิ่นเวยแจ้งให้ท่านตาทราบก็พาหร่วนเหิง หร่วนเหมียนเหมียนกับสาวใช้กลุ่มหนึ่งไปขี่ม้านอกหมู่บ้าน


 


 


 


 


ในเรือนอวิ๋นหยวน จวนอ๋องจิ้น


 


 


อยู่ๆ เจียงเฮยก็รีบร้อนเข้ามาในห้องหนังสือ “คุณชายใหญ่ บ่าวมีเรื่องสำคัญจะรายงานขอรับ”


 


 


สวี่โย่ววางตำราพิชัยยุทธ์ในมือลง “เรื่องอะไร”


 


 


“บ่าวเพิ่งจะได้ข่าวว่า นักฆ่าระดับเทียนสามสิบคนของหอมือสังหารออกเคลื่อนไหว พวกมันมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง” เจียงเฮยรายงาน


 


 


สวี่โย่วแปลกใจ “จำนวนมากขนาดนี้ ดูแล้วคงมีคนกำลังจะโชคร้าย” มือสังหารของหอมือสังหารแบ่งเป็นสี่ระดับ คือเทียน ตี้ เสวียน หวง ระดับยิ่งสูงเท่าใดก็ยิ่งร้ายกาจมากเท่านั้น สามารถส่งมือสังหารระดับเทียนสามสิบคนออกไปได้ในคราวเดียว เห็นได้ว่าผู้ว่าจ้างมีกำลังเงินมากจริงๆ


 


 


“รู้หรือไม่ว่านายจ้างเป็นใคร” ในใจของสวี่โย่วรู้สึกฉงน มีเงินมากมายเช่นนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา


 


 


เจียงเฮยส่ายหน้า “ในตอนนี้ยังสืบไม่ได้ คุณชายก็ทราบว่า การค้าขนาดใหญ่เช่นนี้หอมือสังหารจะต้องเก็บเป็นความลับระดับสูง มีเพียงหัวหน้าหอเท่านั้นที่รู้ว่าผู้จ้างวานเป็นใคร” ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรายงานอีกข่าวหนึ่งออกไป “คุณชายใหญ่ เมื่อสามวันก่อนคุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหวพาครอบครัวของท่านตาของนางไปท่องเที่ยวที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่แห่งนั้นก็ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง”


 


 


สวี่โย่วสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ลุกยืนในทันที ก่อนจะสั่งความออกไปโดยไม่ใคร่ครวญสิ่งใด “เตรียมม้า เดินทางออกจากเมือง”


 


 


เจียงเฮยตกใจในท่าทีร้อนรนของอีกฝ่าย ชายหนุ่มรีบออกไปเรียกรวมกำลังพล ในใจแอบคิดว่า…ในใจของคุณชาย คุณหนูสี่ผู้นี้มีฐานะไม่ธรรมดาเลย ดูแล้วต่อไปตนจะต้องใส่ใจนางให้มาก


 


 


เสิ่นเวยกับหร่วนเหิงคอยประกบหร่วนเหมียนเหมียนและสาวใช้สามคนที่เพิ่งขี่ม้าเป็น เถาฮวาหน่ายใจกับขบวนที่เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า นางบังคับม้าควบทยานออกไปไกลแล้ว เวลานี้แม้แต่เงาก็มองไม่เห็น


 


 


“ญาติผู้พี่ ท่านนำไปก่อนเถอะ ข้าคอยดูพวกนางเอง” เสิ่นเวยกล่าวกับหร่วนเหิงอย่างเข้าใจ ชายหนุ่มวัยสิบห้าสิบหกปีจะไม่ชอบเล่นสนุกได้อย่างไร ยอมอดทนขี่ม้าไปช้าๆ เป็นเพื่อนพวกนางก็หาได้ยากแล้ว


 


 


หร่วนเหิงส่ายหน้า “จะทิ้งให้ญาติผู้น้องคอยดูแลอยู่คนเดียวได้อย่างไรเล่า” ขี่ม้าจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ พลาดครั้งนี้ไปก็ไม่เป็นไร ญาติผู้น้องคนเดียวต้องดูแลสาวใช้สี่คน เขาอยู่ช่วยจะดีกว่า โดยเฉพาะน้องสาวของเขา ซุกซนเป็นที่สุด มีเขาคอยดูอยู่ นางจะได้ไม่ก่อเรื่อง


 


 


เสิ่นเวยเห็นดังนั้น จำต้องตอบตกลง ญาติผู้พี่ช่างเป็นชายหนุ่มที่ดีจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ แต่เขายังเป็นคนที่มีความอดทนและรอบคอบมาก ต่อไปจะต้องเติบโตเป็นคุณชายผู้สุภาพอ่อนโยน


 


 


ระหว่างทางเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยสนุกสนาน เสิ่นเวยก็มีความสุขมาก เมื่ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องร่าเริงสดใส นางรู้สึกว่าวันเวลาทั้งหมดในจวนโหวยังไม่สบายใจเท่ากับการได้อยู่ที่นี่เพียงสามวัน


 


 


แต่ทันใดนั้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ตอนที่กลุ่มคนเคลื่อนผ่านชายป่าแห่งหนึ่ง คนชุดดำปิดหน้ากลุ่มหนึ่งกระโดดออกมา ล้อมพวกนางไว้ตรงกลาง


 


 


“พวกเจ้าเป็นใคร” เสิ่นเวยหยุดม้าอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเย็น


 


 


“คนที่ต้องการชีวิตของเจ้า” หนึ่งในกลุ่มนั้นตอบอย่างดุดัน เมื่อมันยกมือขึ้น พรรคพวกคนอื่นๆ ก็ตวัดดาบและกระบี่ขึ้นมา พร้อมกับก้าวเข้ามาประชิด


 


 


เสิ่นเวยแค่นเสียงเยาะ “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถหรือไม่” คนที่ต้องการชีวิตนางมีตั้งมากมาย แต่นางก็ยังอยู่รอดปลอดภัยดี ในขณะที่คนที่ต้องการชีวิตของนางกลับไปเข้าเฝ้ายมบาลเสียหมดแล้ว


 


 


“ญาติผู้น้อง เจ้าคุ้มกันพวกนางหนีไปก่อน ข้ากับโอวหยางไน่จะขวางไว้” หร่วนเหิงตะโกนบอกเสียงดัง เขามองออกว่า คนชุดดำเหล่านี้ล้วนมีฝีมือร้ายกาจ จะปล่อยให้ญาติผู้น้องกับน้องสาวมีอันตรายไม่ได้เด็ดขาด


 


 


“คิดจะหนี? ไม่ง่ายดายขนาดนั้น” หนึ่งในคนชุดดำเผยรอยยิ้มกระหายเลือด ร่างของเขามาถึงเบื้องหน้าของเสิ่นเวยแล้ว


 


 


“คุ้มครองพวกเหมียนเหมียน” เสิ่นเวยสั่งความดังนั้น ก็กระโดดลงจากหลังม้า กระบี่อ่อนตรงสะโพกถืออยู่ในมือนานแล้ว มันสะท้อนบนกระบี่หยกของศัตรู ร่างบางพลิกตัวเตะ ในขณะเดียวกันก็ใช้กระบี่อ่อนพุ่งโจมตี


 


 


หลังจากที่ประมืออยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นเวยตื่นตัวจนถึงระดับสูงสุด คนเหล่านี้เป็นมือสังหาร ทั้งยังเป็นมือสังหารระดับสูง ในยุคปัจจุบันเสิ่นเวยใกล้ชิดกับคนจำพวกนี้มากที่สุด ดังนั้นเพียงไม่นานก็มองออกแล้ว


 


 


เมื่อกวาดตามองก็พบว่าคนชุดดำที่บุกล้อมพวกนางมีเกือบสามสิบคน ใครอยากได้ชีวิตของนางขนาดนี้ ดูเหมือนนางยังไม่เคยสร้างศัตรูที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ หรือว่าเป้าหมายของคนเหล่านี้ก็คือท่านตา เช่นนั้นฝั่งท่านตามีมือสังหารบุกไปหรือไม่ เสิ่นเวยใจหายวาบเหมือนฟ้าผ่าลงมา ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้นางก็ยิ่งร้อนใจ


 


 


ฝ่ายของนาง คนที่เป็นวรยุทธ์มีแค่นาง ญาติผู้พี่ โอวหยางไน่และเยวี่ยกุ้ยเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นคือวิชาหมัดบุปผาของเยวี่ยกุ้ยกลับไร้พิษสงกับคนเหล่านี้


 


 


ญาติผู้พี่กับโอวหยางไน่ไม่มีอาวุธในมือสักชิ้น จะรับมือกับพวกมือสังหารที่ฝึกฝนจนชำนาญได้อย่างไร กำลังเสริมที่แข็งแกร่งอย่างเถาฮวาก็วิ่งหายไปแล้ว


 


 


ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดีล่ะ หรือว่าชีวิตนี้จะต้องทิ้งไว้ที่นี่ หากตัวคนเดียว นางสามารถเอาตัวรอดได้อย่างง่ายดาย แต่เวลานี้นางต้องปกป้องหร่วนเหมียนเหมียน เหอฮวาและเถาจือที่ไม่มีวรยุทธ์ นางอับจนหนทางแล้ว


 


 


พวกเสิ่นเวยคุ้มครองสามคนที่ไม่เป็นวรยุทธ์ไว้ตรงกลาง หันหลังชนกันเผชิญหน้ามือสังหารที่ล้อมพวกเขาไว้ กระบวนท่าของเสิ่นเวยร้ายกาจมาก โจมตีศัตรูไปสองคนและชิงกระบี่หยกมาแล้วโยนให้หร่วนเหิงและเยวี่ยกุ้ย ในขณะที่โอวหยางไน่แย่งดาบใหญ่มาได้ เมื่อได้อาวุธมาไว้ในมือก็โล่งใจลงมาก


 


 


เพราะต้องปกป้องพรรคพวกไว้ตรงกลาง ทำให้พวกเสิ่นเวยต้องสังหารและถอยกลับมาในตำแหน่งเดิม ไม่กล้าบุกโจมตี ด้วยกลัวว่าพวกมันจะอาศัยโอกาสนั้นทำร้ายพวกเหมียนเหมียน


 


 


 กลุ่มคนชุดดำค้นพบจุดอ่อนนี้อย่างรวดเร็ว พวกมันสามสี่คนรุมโจมตีหนึ่งคน พยายามแยกพวกเสิ่นเวยออกจากกัน


 


 


เพียงไม่นานเยวี่ยกุ้ยก็ได้รับบาดเจ็บ ใบหน้าของนางขวาซีด แต่ยังฝืนสู้ต่อไป


 


 


“ญาติผู้พี่ เปลี่ยนตำแหน่ง” เสิ่นเวยตะโกนบอกหร่วนเหิง ในบรรดาคนทั้งสี่ เสิ่นเวยมีวรยุทธ์สูงที่สุด ให้นางดูแลเยวี่ยกุ้ยเหมาะสมที่สุด “เยวี่ยกุ้ยเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” เสิ่นเวยปรายตามองสาวใช้อย่างรีบร้อน กระบี่อ่อนในมือกวัดแกว่งไปมาไม่หยุด


 


 


 “คุณหนู ข้าไม่เป็นไร” เยวี่ยกุ้ยกัดฟันอดทนเอาไว้ นางจะเป็นตัวถ่วงไม่ได้ ชีวิตของนางได้คุณหนูช่วยไว้ หากไม่มีคุณหนู นางคงตายไปนานแล้ว ได้มีชีวิตมาหลายวันนี้ก็คุ้มค่าแล้ว


 


 


 สามคนที่ถูกล้อมไว้ตรงกลาง ถึงแม้จะตื่นกลัวจนหน้าซีดตัวสั่น แต่ยังกัดปากกลั้นเสียงของตนเองเอาไว้ พวกนางช่วยอะไรไม่ได้ แต่จะไม่ทำให้พวกเสิ่นเวยต้องพะวงหน้าพะวงหลัง


 


 


กระบี่อีกเล่มพุ่งโจมตีใส่เยวี่ยกุ้ย มือที่ถือกระบี่หนักอึ้งจนยกไม่ขึ้นแล้ว เมื่อเห็นกระบี่ของศัตรูกำลังจะแทงที่หัวใจของเยวี่ยกุ้ย ด้วยความร้อนใจ เสิ่นเวยรามือจากศัตรูของตนเองแล้วหันไปช่วยสาวใช้คนสนิทแทน


 


 


โชคยังดีที่ตั้งรับกระบี่นั้นไว้ได้ทัน แต่ก็ทำให้แขนของเสิ่นเวยถูกฟัน หยาดเลือดเปื้อนเสื้อผ้าของนางในทันที


 


 


เสิ่นเวยปรายตามอง แววตายิ่งแข็งกร้าวมากขึ้น


 


 


“คุณหนู ท่านพาคุณหนูเหมียนเหมียนหนีไปเถอะเจ้าค่ะ ไม่ต้องสนใจบ่าว ท่านไปเถอะ บ่าวขอร้องเจ้าค่ะ” เหอฮวากับเถาจือร้องอ้อนวอน โดยเฉพาะเหอฮวา นางรู้ว่าหากไม่ใช่เพราะต้องคอยปกป้องพวกนาง คุณหนูจะต้องเอาตัวรอดได้แน่ “คุณหนู บ่าวไม่กลัวตาย บ่าวไม่กลัว ท่านรีบหนีไปเถอะเจ้าค่ะ”


 


 


“หุบปาก” เสิ่นเวยตะคอกอย่างดุดัน “ในเมื่อข้าพาพวกเจ้าออกมาก็ต้องพาพวกเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัย ตายอะไรกัน อัปมงคลสิ้นดี!”


 


 


เสิ่นเวยเช็ดเลือดที่มุมปาก คาวจริงๆ ในเวลานี้ร่างกายของนางได้รับบาดเจ็บสามจุดแล้ว ถึงแม้ไม่ได้สาหัส แต่ก็เจ็บมาก ในขณะเดียวกัน บนพื้นก็มีร่างของศัตรูล้มอยู่เกือบสิบคน นางคนเดียวกำจัดพวกมันได้ห้าคน


 


 


ในเวลานี้เสิ่นเวยเลือดขึ้นหน้าแล้ว กระบวนท่าต่างๆ กระหน่ำโจมตีใส่ศัตรู แม้แต่ความปลอดภัยของตัวเองก็ไม่สนใจ นางเหมือนกับเทพแห่งความตายที่หลุดออกมาจากขุมนรก บุกโจมตีศัตรูโดยไม่คิดชีวิต จนศัตรูของนางรู้สึกหวาดหวั่น และถอยหนีไปด้านหลัง เยวี่ยกุ้ยจึงได้มีเวลาหายใจบ้าง


 


 


“เยวี่ยกุ้ย เจ้าเข้าไป คุ้มครองพวกนางสามคนให้ดี เผื่อพวกมันลอบโจมตีเข้ามา” เสิ่นเวยเห็นเยวี่ยกุ้ยเริ่มทรงตัวไม่อยู่ รู้ว่านางฝืนจนถึงที่สุดแล้ว


 


 


เยวี่ยกุ้ยกัดฟันถอยกลังไป นางรู้สึกหน้ามืดจนแทบยืนไม่ไหว พวกเถาจือรีบช่วยประคองนางไว้ “เยวี่ยกุ้ย เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”


 


 


 หญิงสาวฝืนส่ายหน้า “ไม่เป็นไร” นางพยายามยืนให้มั่นคง กวาดตามองรอบๆ อย่างระแวดระวัง ป้องกันไม่ให้พวกมันลอบโจมตีเข้ามา


 


 


 เหอฮวามองเสื้อผ้าสีเลือดบนตัวคุณหนูก็นึกคับแค้นจนตาแดง นางเกลียดตัวเอง เหตุใดไม่คิดจะเรียนวรยุทธ์มาจากเยวี่ยกุ้ยบ้าง ถ้าหากนางเป็นวรยุทธ์ก็จะช่วยคุณหนูได้ ได้แต่ทนมองเฉยๆ มันทำให้นางคับแค้นใจจนแทบคลั่ง


 


 


 “เจ้าโจรโอหังกล้ารังแกคุณหนูของข้า รับพลอง” เถาฮวาที่ย้อนกลับมาเห็นกลุ่มคนชุดดำล้อมโจมตีคุณหนูจากที่ไกลๆ ก็โกรธจนควันออกหู


 


 


คิดไม่ถึงว่าพวกไร้ยางอายฉวยโอกาสตอนที่นางไม่อยู่รังแกคุณหนู นางจะตีพวกมันให้ตาย


 


 


เถาฮวาใช้มือหนึ่งบังคับม้า อีกมือกวัดแกว่งไม้พลองขึ้นสูง พุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็ว พลองใหญ่นี้เป็นต้นไม้เล็กที่นางใช้เท้าถีบจนหักโค่นลงมา


 


 


ในคราวแรกคนชุดดำสะดุ้งตกใจ แต่เมื่อมองเห็นชัดเจนว่าคนที่มาเป็นเพียงแค่เด็กหญิงวัยสิบปีเท่านั้น พวกมันก็วางใจ ก็แค่เด็กตัวเล็กๆ จะร้ายกาจสักเท่าไหร่


 


 


เพียงไม่นานพวกมันก็ต้องชดใช้ต่อความประมาทของตัวเอง ศัตรูสองคนเบื้องหน้าเสิ่นเวยถูกเถาฮวาฟาดจนไขสมองพุ่งทะลักออกมา


 


 


“คุณหนู ท่านได้รับบาดเจ็บ” เถาฮวากระโดดลงจากหลังม้า เมื่อเห็นรอยเลือดบนร่างของนายสาวก็เดือดดาลขึ้นมา นางหมุนกายยกไม้พลองขึ้นกวัดแกว่ง “พวกเจ้าบังอาจรังแกคุณหนู จะตีพวกเจ้าให้ตาย ตีให้ตาย”


 


 


เดิมทีเด็กหญิงก็เป็นคนซื่อบื้ออยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นคุณหนูบาดเจ็บ เวลานี้ในหัวของนางมีเพียงความคิดเดียว…คนพวกนี้รังแกคุณหนู สมควรตาย สมควรตายทั้งหมด นางจะตีพวกมันให้ตาย ต้องตายทุกคน…


 


 


นางเหมือนกับม้าป่าที่คลุ้มคลั่ง บุกเข้าไปอยู่กลางวงล้อมของคนชุดดำโดยไม่แยแสต่อสิ่งใด เห็นพวกมันสักคนก็จะฟาดให้ตาย เด็กหญิงมีพละกำลังมหาศาล ทั้งยังโจมตีโดยไม่ห่วงชีวิตของตน มีศัตรูหลายคนถูกนางจัดการได้ ความกดดันของพวกเสิ่นเวยจึงเบาบางลงมาก


148.2 ลอบสังหารและได้รับบาดเจ็บ

 


 


 


คนชุดดำเห็นสถานการณ์ย่ำแย่ นางเด็กบ้าผู้นี้ฝีมือร้ายกาจไม่น้อยจึงรีบสั่งพรรคพวกสี่คนให้ล้อมเถาฮวาไว้


 


 


ถึงแม้เถาฮวามีเรี่ยวแรงมหาศาล แต่อาวุธไม่ถนัดมือ ไม่กี่กระบวนท่าก็ถูกคนชุดดำฟันพลองไม้จนเหลือแค่หนึ่งฉื่อ[1]เท่านั้น


 


 


“เถาฮวา ระวัง” เสิ่นเวยเห็นดาบใหญ่กำลังจะฟันลงที่ศีรษะของเด็กหญิงก็ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง นางไม่สนว่าตัวเองอาจจะได้รับบาดเจ็บ รีบถีบศัตรูตรงหน้าออกไป ก่อนจะพุ่งทะยานออกไป


 


 


คมดาบพาดผ่านหน้าผากของเถาฮวาไป นั่นเป็นเพราะเสิ่นเวยดึงนางกลับมา หญิงสาวเป็นคนสนิทปลอดภัยดีก็รู้สึกโล่งใจ แต่สะโพกด้านหลังกลับรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง กระบี่เล่มหนึ่งฟันถูกสะโพกของนาง


 


 


“คุณหนู!”


 


 


“พี่เวย!”


 


 


“ญาติผู้น้อง!”


 


 


“ย้าก!” เถาฮวาดวงตาแดงก่ำ ขว้างท่อนพลองไม้ที่เหลือออกไป มันกระแทกคนชุดดำผู้หนึ่งกระเด็นออกไปไกล แต่ยังไม่สาแก่ใจ นางขึ้นคร่อมบนร่างของมัน ยกหินก้อนใหญ่กระแทกใส่ศีรษะของมัน จนกระทั่งศีรษะของมันแตกออกเป็นชิ้นๆ


 


 


พวกหร่วนเหมียนเหมียนไม่สนว่าตนเองจะไม่มีวรยุทธ์ พวกนางหยิบอาวุธบนพื้นขึ้นมาพุ่งเข้าไปฟันใส่ศัตรูมั่วๆ น้ำตานองจนแทบจะบดบังการมองเห็น ทุกคนคลุ้มคลั่งขึ้นมา แต่ละคนมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น…สับร่างพวกมันเป็นชิ้นๆ…


 


 


“คุณหนูสี่!” ภาพเหตุการณ์นี้ปรากฏแก่สายตาของสวี่โย่วที่รีบร้อนตามมา นัยน์ตาของเขาทอแววอำมหิตจนน่ากลัว เขาควบม้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพลิกตัวลงจากหลังม้ามาประคองเสิ่นเวยไว้ จึงได้เห็นสีหน้าขาวซีดไร้สีเลือด


 


 


ริมฝีปากปิดแน่น ก่อนจะสั่งการอย่างเลือดเย็น “อย่าปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”


 


 


สิบกว่าคนที่สวี่โย่วพามาล้วนเป็นองครักษ์ประจำตัวของเขา คนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือ เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยามก็สังหารนักฆ่าที่เหลืออยู่จนหมด


 


 


“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” สวี่โย่วจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าไร้สีเลือดของหญิงสาว แววตาเกลื่อนไปด้วยความห่วงใยที่ปิดไม่มิด


 


 


เสิ่นเวยฝืนขยับมุมปากเผยรอยยิ้มอ่อนแรง “ไม่เป็นไร” ก่อนจะหลับตา จมดิ่งลงไปในความมืดมิดอย่างวางใจ


 


 


สวี่โย่วพลันร้อนใจขึ้นมา เขาอุ้มนางกระโดดขึ้นหลังม้า ควบทะยานออกไป “กลับหมู่บ้าน”


 


 


หร่วนเหิงคิดจะขวางไว้ กลับถูกโอวหยางไน่ขวางไว้ “เป็นคนรู้จักของคุณหนูขอรับ พวกเราก็รีบกลับกันเถอะขอรับ” เขาเองก็เป็นห่วงคุณหนูเหมือนกัน


 


 


 ศพคนชุดดำที่เกลื่อนอยู่เต็มพื้น คนติดตามของคุณชายสวี่จะจัดการเอง


 


 


เป็นดังคาด เจียงเฮยสั่งความจบก็ควบม้าไล่ตามคุณชายของเขาไป


 


 


หร่วนเจิ้นเทียนได้ยินความเคลื่อนไหว เมื่อออกมาดูก็เห็นคุณชายหนุ่มแปลกหน้าอุ้มหลานสาวที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดเข้ามา ชายชราจึงร้องถามอย่างตื่นตระหนก “นี่ นี่เกิดอะไรขึ้น”


 


 


สวี่โย่วไม่ตอบคำใด แต่พุ่งตรงเข้าไปด้านใน เจียงไป๋ที่พาหมอเทวดาหลี่เข้ามา จึงเอ่ยปากอย่างรีบร้อน “แม่ทัพหร่วน หลานสาวของท่านถูกลอบสังหาร คุณชายของพวกเราตามมาช่วยขอรับ”


 


 


 หร่วนเจิ้นเทียนเมื่อได้ยินว่าถูกลอบสังหารก็ยิ่งร้อนใจ “เวยเจี่ยเอ๋อร์ไม่เป็นไรใช่ไหม คนอื่นล่ะ ได้รับบาดเจ็บหรือไม่” แม้แต่เวยเจี่ยเอ๋อร์ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เหิงเกอเอ๋อร์กับเหมี่ยนเจี่ยเอ๋อร์จะปลอดภัยได้อย่างไร “ยังไม่ทราบขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่อย่าร้อนใจไปเลยขอรับ หมอเทวดาหลี่เข้าไปแล้ว ไม่เป็นไรหรอกขอรับ” เจียงไป๋ปลอบใจ เขานึกภาวนาอยู่ในใจ คุณหนูสี่จะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด หากเป็นเช่นนั้น ไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่ของพวกเขาจะทำอะไรลงไปบ้าง


 


 


“อาฟู่ รีบเข็นข้าเข้าไปดูเวยเจี่ยเอ๋อร์” หร่วนเจิ้นเทียนไม่มีใจจะรอดหลานอีกสองคนแล้ว


 


 


ทันใดนั้นพวกหร่วนเหิงก็กลับมาถึง “ท่านปู่” หร่วนเหมียนเหมียนพุ่งเข้ามาหา


 


 


“เหมี่ยนเจี่ยเอ๋อร์ไม่เป็นไรใช่ไหม เหิงเกอเอ๋อร์ล่ะ” ชายชราจับมือหลานสาวไว้ เมื่อเห็นว่านอกจากสภาพมอมแมมก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร เขาก็รู้สึกเบาใจขึ้นมา


 


 


“ท่านปู่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พี่เวยกับท่านพี่ปกป้องข้าไว้ พี่ชายก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ มีแค่พี่เวยเท่านั้นที่บาดเจ็บสาหัส” เด็กหญิงรีบบอกออกมา


 


 


เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้นางตกใจจนเสียขวัญ แต่เมื่อคิดถึงอาการบาดเจ็บของพี่เวย นางก็ไม่กลัวอีก “ท่านปู่ ข้าจะไปดูพี่เวย เพราะต้องคอยปกป้องข้า นางจึงได้รับบาดเจ็บ” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เด็กหญิงก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา


 


 


“ได้” หร่วนเจิ้นเทียนลูบศีรษะของหลานสาว ในใจรู้สึกเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเสิ่นเวยมาก ดูจากเลือดบนเสื้อผ้า นางจะต้องบาดเจ็บสาหัสแน่


 


 


เพิ่งจะไปถึงประตู สวี่โย่วก็ออกมา “แม่ทัพหร่วนโปรดรอสักครู่ หมอเทวดาหลี่กำลังดูอาการให้คุณหนูสี่อยู่”


 


 


หร่วนเจิ้นเทียนพยักหน้ารับ เขาก็รู้ว่าเวลานี้ไม่ควรเข้าไปรบกวน เพราะเห็นว่าคุณชายผู้นี้น่าจะเป็นผู้มีพระคุณช่วยเหลือชีวิตของเวยเจี่ยเอ๋อร์ เขาจึงประสานมือคารวะ พร้อมกล่าวไปว่า “คุณชายช่วยเวยเจี่ยเอ๋อร์ไว้ ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของท่านจริงๆ”


 


 


สวี่โย่วสีหน้าเรียบเฉย พรางตอบกลับไปอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็นขอรับ คุณหนูสี่ก็เคยช่วยชีวิตผู้น้อยไว้เช่นกัน” สายตาของเขาจับจ้องไปที่ประตู ราวกับว่าสามารถมองทะลุบานประตูเข้าไปได้ ในใจรู้สึกร้อนใจมาก


 


 


หร่วนเจิ้นเทียนถอนหายใจ ไม่เข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วคนผู้นี้มีเจตนาใดกันแน่


 


 


เจียงไป๋รีบอธิบายว่า “แม่ทัพหร่วนไม่ต้องแปลกใจ คุณชายของพวกเรามีนิสัยเช่นนี้ อ้อ จริงสิ คุณชายของเราคือคุณชายใหญ่ของจวนจิ้นอ๋อง เป็นสหายของคุณหนูสี่ หลานสาวของท่าน ก่อนหน้านี้คุณหนูสี่ก็เคยช่วยเหลือคุณชายของพวกเรา ท่านวางใจได้ขอรับ หมอเทวดาหลี่มีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ คุณหนูสี่จะต้องไม่เป็นไรขอรับ” ก็ไม่รู้ว่าคำพูดสุดท้าย พูดให้ใครฟัง


 


 


ภายในห้อง หลีฮวามองบาดแผลบนร่างของคุณหนู รู้สึกปวดใจจนน้ำตาไหล นึกตำหนิเหอฮวากับเถาจืออยู่ภายในใจ สองคนนั้นมัวแต่ทำอะไรกันอยู่ ไม่รู้จักกันคุณหนูไว้ ทั้งยังนึกชังตัวเองที่ทำอย่างไรก็ขี่ม้าไม่เป็น ถ้าหากวันนี้นางติดตามไปด้วย แม้ต้องตายนางก็จะขอตายก่อนคุณหนู ถึงแม้ในใจจะนึกตำหนิเหอฮวาและเถาจือ แต่รู้ดีแก่ใจว่า ในยามคับขันคุณหนูจะต้องปกป้องพวกนางไว้ด้านหลัง


 


 


…แต่ว่าคุณหนู บ่าวก็อยากปกป้องท่านเช่นกัน…


 


 


ถังน้ำเลือดถูกยกออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า คนที่รออยู่ด้านนอกก็ยิ่งร้อนใจ หร่วนเหมียนเหมียนกับสาวใช้อีกสามสี่คนร้องไห้สะอึกสะอื้น ในใจภาวนากับสวรรค์…จะต้องคุ้มครองคุณหนูให้ปลอดภัยนะเจ้าคะ…


 


 


เถาฮวาพิงร่างกับผนังห้องอย่างตกตะลึง แม้แขนจะมีเลือดไหลนางก็ไม่สนใจ ในใจมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น…คุณหนูบาดเจ็บเพราะช่วยนาง นางมองเห็น กระบี่เล่มนั้นเสียบร่างของคุณหนู แต่ท่านก็ยังยิ้มให้นาง


 


 


นางกลัวมาก หากคุณหนูตายจะทำอย่างไร ถ้าคุณหนูตาย ก็จะไม่มีใครดีกับนางอีกแล้ว จะไม่มีใครลูบศีรษะของนางและชมว่านางฉลาดอีก จะไม่มีใครให้เนื้อนางกินอีก จะไม่มีอีกแล้ว


 


 


หน้าอกปวดร้าวราวกับถูกฉีกกระชาก เถาฮวากดตรงตำแหน่งนั้นไว้ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว


 


 


ก่อนที่นางจะลุกพรวดพราดขึ้นมาและพุ่งเข้าไปในห้อง คุกเข่าลงข้างเตียง ยื่นไปจับมือของเสิ่นเวยเอาไว้ “คุณหนู ท่านห้ามตาย ท่านอย่าตายนะเจ้าคะ เถาฮวาเจ็บ เถาฮวาเจ็บตรงนี้” นางกดลงที่หน้าอกของตัวเอง


 


 


หมอเทวดาหลี่กลอกตามอง ก่อนจะถลึงตาใส่อย่างขุ่นเคือง “คร่ำครวญอะไร คุณหนูของเจ้ายังปลอดภัยดี จะพูดเรื่องตายเพื่ออะไร” เด็กโง่ที่ไหน ช่างเบาปัญญาเสียจริง เขา หลี่เฟิงไท่รักษาด้วยตัวเอง นางจะตายได้หรือ


 


 


“คุณหนูจะไม่ตายหรือ” เถาฮวามองหมอเทวดาหลี่อย่างตกตะลึง


 


 


อีกฝ่ายแค่นเสียงเยาะ ก่อนจะทำแผลให้เสิ่นเวยต่อไป จุ๊ จุ๊ จุ๊ เด็กน้อยคนนี้อดทนได้ดี ถึงแม้ไม่ได้บาดเจ็บสาหัส แต่ว่าบาดแผลที่ยาวและลึกเช่นนี้คงเจ็บมาก


 


 


“คุณหนูจะไม่ตาย” เถาฮวามองเขาอย่างดื้อดึง นางจะต้องได้คำยืนยัน


 


 


หลีฮวากลัวว่านางจะทำให้หมอเทวดาหลี่โมโหจึงรีบรั้งตัวเด็กหญิงมาอีกด้าน “เถาฮวา อย่ารบกวนหมอเทวดาหลี่รักษาแผลให้คุณหนู คุณหนูไม่เป็นไร”


 


 


“อ้อ” เถาฮวาอยากจะยิ้ม แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมาร่างเล็กก็ล้มหงายไปด้านหลัง


 


 


 


 


[1] ฉื่อ (尺) หน่วยวัดความยาวของจีน หนึ่งฉื่อประมาณสามสิบเซนติเมตร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)