กระบี่จงมา 141.1-143.2
ตอนที่ 141
ร้อยพิสดาร (ต้น)
โดย
ProjectZyphon
แม้จะบอกว่าท้องฟ้ามืดสลัวลงแล้ว แต่อันที่จริงกลับยังไม่ถือว่าดึกนัก บวกกับที่เรือนแห่งนี้ของโรงเตี๊ยมชิวหลูมีการจัดวางที่ประณีตสง่างาม หลี่ไหวยื่นมือไปจับนู่นคลำนี่ ไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันแกะสลักปิ่นหยก เด็กชายก็รีบเอากล่องไม้ที่เทพเจ้าที่ของเขาฉีตุนมอบให้ออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบหุ่นไม้หลากสี รวมถึงหุ่นปั้นดินเหนียวรูปคนทั้งห้าที่เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะมอบให้ใส่ไว้ด้านใน จากนั้นค่อยโยน ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ที่ซื้อมาจากเมืองหงจู๋ลงไป
หลังจาก “ย้ายบ้าน” เรียบร้อยแล้ว กล่องไม้ยาวหนักอึ้งสีเหลืองอ่อนอันนี้ก็ยังคงมีพื้นที่ว่าง ขอบไม้มีสีแดงปรากฏ เว่ยป้อแห่งภูเขาฉีตุนบอกว่าเป็นเพราะฝังอยู่ในดินมานานหลายปีเกินไป สีสันจึงเริ่มเปลี่ยนกลายเป็นแดง ทว่าตัวไม้ไม่เพียงแต่ไม่เน่าเปื่อย กลับกันยังส่งกลิ่นหอมชื่น เวลานี้หลี่ไหวยื่นหน้าเข้าไปในกล่องไม้แล้วตั้งใจสูดกลิ่นดม กลิ่นหอมเย็นสดชื่นนั้นยังคงมีอยู่ดังเดิม ไม่เคยเบาบางจางลง ไม่ต่างจากตอนที่เอาออกมาดมในจุดพักม้าเจิ่นโถวเลยแม้แต่น้อย
หลี่ไหวเริ่มนับนิ้วตัวเอง เดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอน มุ่งหน้าไปขอศึกษา ณ ที่ห่างไกล นอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอดทาง เขาหลี่ไหวที่เผชิญกับความยากลำบากโดยอาศัยความอดทนก็ถือว่าพอจะมีผลเก็บเกี่ยวอยู่บ้างเล็กน้อย นอกจากกหีบหนังสือสีเขียวมรกตที่ล้ำค่าที่สุดซึ่งวางอยู่ตรงมุมกำแพงแล้ว ยังมีกล่องไม้สีเหลืองอ่อนนี้และหุ่นไม้ หุ่นดินเหนียว และอันที่จริงแล้วด้านในหนังสือ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ก็ยังเลี้ยงปลามอดที่มีมูลค่ามากไว้อีกหลายตัว รวมไปถึงปลาชิงหมิงตัวนั้นที่อาเหลียงตบด้วยฝ่ามือเดียวก็เข้ามาอยู่ในหนังสือ เพียงแต่ว่าหลี่ไหวไม่ชอบอ่านหนังสือ น้อยครั้งนักที่จะเปิดอ่านหนังสือที่เฉินผิงอันจ่ายเงินไปเกือบสิบตำลึงเงินเล่มนี้
เวลานี้มองเฉินผิงอันที่ตั้งใจแกะสลักตัวอักษรลงบนปิ่น หลี่ไหวก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองใช้เงินคนอื่นไปตั้งมากขนาดนั้น แต่กลับไม่ค่อยเปิดหนังสือออกอ่าน ตอนที่ซื้อมายังรับปากกับเฉินผิงอันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะต้องอ่านแน่ๆ นี่ทำให้เด็กชายรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง ดังนั้นจึงหยิบ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ที่ดูใหม่เอี่ยมออกมาจากในกล่องไม้แล้วพลิกเปิดหน้าหนึ่งอย่างไม่เลือกมาก ครั้นจึงเริ่มท่องตัวอักษร เพราะหลี่ไหวคิดว่าจะต้องทำให้มโนธรรมในใจของตนรู้สึกดีขึ้นมาสักนิด
หลี่ไหวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงตบหัวตัวเอง รีบยื่นมือเข้าในคอเสื้อ คลำเจอกระเป๋าตรงมุมหนึ่งที่หลี่หลิ่วพี่สาวเย็บให้เขาเองกับมือ แล้วหยิบห่อกระดาษน้ำมันห่อหนึ่งออกมาโบกตรงหน้าเฉินผิงอัน ยิ้มกว้างพูดว่า “เฉินผิงอัน รู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร?”
เฉินผิงอันวางปิ่นและมีดแกะสลักลงอย่างระมัดระวัง นวดคลึงดวงตา เอ่ยถาม “คืออะไร?”
ใบหน้าหลี่ไหวเต็มไปด้วยความลำพองใจ คีบกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับอย่างเป็นระเบียบออกมาจากในห่อกระดาษน้ำมัน อธิบายว่า “ตอนนั้นที่โรงเรียนมีแต่คนพากันจากไป สุดท้ายเหลือแค่ข้า หลี่เป่าผิง หลินโส่วอี สือชุนเจียและต่งสุ่ยจิ่งห้าคน บทเรียนคาบสุดท้ายที่ท่านอาจารย์สอน ได้มอบกระดาษตัวอักษรกับพวกเราคนละหนึ่งแผ่น ด้านบนเขียนอักษรคำว่าฉี สั่งให้พวกเราคัดลอกอย่างตั้งใจ บอกว่าเป็นการบ้าน ภายหลังท่านอาจารย์ก็ไม่ได้เก็บต้นฉบับกลับไป การเดินทางไปขอศึกษาในครั้งนี้ ท่านแม่ข้ารู้สึกว่าถึงแม้ตัวอักษรนี้ของท่านอาจารย์จะเขียนได้อย่างเป็นระเบียบ แต่ก็ไม่ได้ใช้หมึกเข้มข้น ตวัดมืออย่างทรงพลังเหมือนตัวอักษรที่เขียนบนกลอนคู่หน้าประตูของบ้านข้างๆ แต่จะอย่างไรข้ากับอาจารย์ฉีก็เคยเป็นอาจารย์และศิษย์กันมาก่อน เก็บเอาไว้ก็ถือว่าเป็นของให้ระลึกถึง จึงบอกให้พี่สาวของข้าแอบเย็บกระเป๋าไว้ข้างในเสื้อแล้วเอามันใส่ไว้ในกระดาษห่อน้ำมันอีกที ภายหลังข้าถามหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอี หลี่เป่าผิงบอกว่าไม่รู้ไปทำหายที่ไหนแล้ว หลินโส่วอีบอกว่าเก็บไว้ในบ้าน กลัวว่าหากเอามาด้วยจะหายหรือถูกทำลายได้ง่าย”
หลี่ไหวคลี่กระดาษที่พับซ้อนกันเป็นชั้นออก ลูบรอยยับย่นเบาๆ เห็นเพียงว่าตัวอักษรฉีบนกระดาษแผ่นนั้นเขียนอย่างบรรจงเป็นระเบียบ ขนาดเท่าฝ่ามือ
หลี่ไหวจ้องตัวอักษรนั้นอยู่ชั่วครู่ ก่อนเงยหน้าพูดอย่างตั้งใจว่า “เฉินผิงอัน อักษรฉีนี้ข้ามอบให้เจ้าแล้วกัน ข้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างข้าก็มักจะขี้หลงขี้ลืมด้วย”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม “หากเจ้ากลัวว่าจะทำหาย ก่อนจะไปถึงสำนักศึกษาของต้าสุย ข้าสามารถเก็บรักษาไว้ให้เจ้าก่อนชั่วคราว แต่ในเมื่อเป็นการบ้านที่อาจารย์ฉีมอบให้เจ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉีก็ควรจะเก็บรักษาไว้ให้ดี ต่อให้อาจารย์ฉีจะไม่อยู่แล้ว ไม่ต้องคัดลอกอีกต่อไปแล้ว แต่ก็เหมือนที่มารดาของเจ้าบอกไว้ เก็บกระดาษแผ่นนี้ไว้ อย่างน้อยก็ให้เป็นที่ระลึก”
หลี่ไหวพยักหน้า แล้วจึงสอดกระดาษตัวอักษรเข้าไปในระหว่างหน้าหนังสือ จากนั้นปิด ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ลงแล้วใส่ไว้ในกล่องไม้
เขาไม่รู้เลยว่าปลามอดสามตัวและปลาชิงหมิงตัวนั้นที่ต่างก็อำพรางตัวอยู่ในหน้าหนังสือต่างกันล้วนพากันออกจากตัวอักษรเดิม แล้วว่ายตะบึงไปตามช่องหว่างระหว่างบรรทัดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายบินเข้าไปในกระดาษตัวอักษรฉี ด้วยความลิงโลดสุดขีดสมกับคำว่าปลาได้น้ำอย่างแท้จริง
เมื่อเทียบกับหลี่ไหวที่ได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาลด้วยความโชคดีแล้ว อันที่จริงหลินโส่วอีก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ยันต์โบราณที่มีระดับขั้นสูงต่ำ ระดับคุณภาพดีเลวต่างกันหนึ่งปึกใหญ่ ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ หนึ่งเล่ม ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่วาดภูตผีปีศาจนับร้อยชนิดซึ่งนักพรตเฒ่าตาบอดเป็นคนมอบให้หนึ่งแผ่น เพราะเฉินผิงอันมอบหินดีงูชั้นเยี่ยมให้กับเด็กหนุ่มขาเป๋ไปหนึ่งก้อน ถือเป็นของขวัญที่ได้รู้จักกัน ผู้เฒ่าจึงมอบสมบัติที่บอกว่าสืบทอดมาจากสำนักชิ้นนี้มาให้ สุดท้ายเฉินผิงอันจึงมอบต่อให้กับหลินโส่วอี
ส่วนหลี่เป่าผิงก็ยิ่งได้ทั้งยันต์มงคลดาบที่มีชื่อเสียงและน้ำเต้ากระบี่สี่เงิน แม้ว่าจำนวนจะไม่มาก มีแค่สองชิ้นนี้เท่านั้น แต่ทั้งสองชิ้นล้วนเป็นสมบัติสำคัญของตระกูลเซียนที่เหล่าผู้ฝึกตนบนโลกมนุษย์เห็นแล้วต้องน้ำลายไหลด้วยความอยากได้
มีเพียงเฉินผิงอันที่ออกแรงมากที่สุดคนเดียวซึ่งดูเหมือนว่ามาถึงท้ายที่สุดแล้วกลับได้มาแค่เม็ดบัวสีทองอ่อนเหี่ยวแฟบเม็ดนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์อะไร แถมตอนนี้ยังติดหนี้เด็กหนุ่มชุดขาวก้อนใหญ่ด้วย
หลี่ไหวฟุบอยู่บนโต๊ะ ยกเรื่องเก่ามาพูดใหม่อีกครั้ง “บ้านของหลินโส่วอีมีเงินมาก เพียงแต่ว่าสถานะบุตรนอกสมรสของเขากระอักกระอ่วนอย่างมาก ดังนั้นเจ้าหมอนี่จึงอาจจะเป็นพวกมีความคิดละเอียดอ่อน ความรู้สึกเฉียบไวอยู่บ้าง เฉินผิงอัน เจ้าอย่าได้ถือสาเขาเลย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เดี๋ยวข้าหาเวลาไปคุยกับเขาก็ไม่มีอะไรแล้ว”
หลี่ไหวโพล่งประโยคหนึ่งออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ “คนดีกับคนซื่อสัตย์มักจะเสียเปรียบ บิดาข้าเป็นเช่นนี้ เจ้าเองก็เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอัน ไม่อย่างนั้นวันหน้าเจ้าอย่าเป็นคนดีจะดีกว่า ในอนาคตต้องคิดถึงตัวเองให้มาก ไม่ต้องคอยอดทนยอมถอยให้คนอื่นไปเสียทุกเรื่อง ไม่อย่างนั้นหลี่เป่าผิงที่รับเจ้าเป็นอาจารย์อาน้อยคงโมโหตายก่อนใครเป็นแน่”
พอพูดถึงหลี่เป่าผิง เฉินผิงอันก็อดถามยิ้มๆ ไม่ได้ “เป่าผิงชอบรังแกเจ้า ทำไมเจ้าไม่เคยตอบโต้นางเลย?”
หลี่ไหวหลุดปากพูดออกมาด้วยสีหน้าสมเหตุสมผล “ก็ข้าไม่กล้านี่นา ข้าเอาชนะนางไม่ได้ด้วย!”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า ความเหนื่อยล้าขณะที่แกะสลักปิ่นหยกอย่างยากลำบากหายวับไปทันที
หลี่ไหวเห็นเฉินผิงอันหัวเราะอย่างมีความสุข เด็กชายก็หัวเราะอารมณ์ดีตามไปด้วย เพราะเฉินผิงอันในความทรงจำของเขาไม่ค่อยจะหัวเราะแบบนี้ เฉินผิงอันในเวลาปกติไม่ว่าจะทำอะไรพูดอะไรก็มักจะสำรวมระมัดระวัง กลัวว่าจะพูดผิดทำผิดเสมอ
หลังจากนั้นหลี่ไหวก็นึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนบิดาของตนก็เป็นคนแบบนี้เหมือนกัน จึงเม้มปากเล็กน้อย ต่อให้อารมณ์ดี แต่หน้าม่อยไหล่ตก ไม่สนุกสนานเหมือนทีแรก
หลี่ไหวลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ยังตัดสินใจว่าจะพูดความในใจของตัวเองกับเฉินผิงอันสักเล็กน้อย เด็กชายที่วางศีรษะฟุบลงบนโต๊ะยื่นคอออกไป กดเสียงต่ำถามอย่างลึกลับ “รู้หรือไม่ว่าข้ามักจะยอมให้หลี่เป่าผิง?”
เฉินผิงอันพูดเย้าแหย่ “เจ้าชอบนาง?”
หลี่ไหวกลอกตามองบน “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเพิ่งจะอายุเท่านี้เอง! อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่หลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิ่งที่เป็นพวกหื่นกาม ทุกครั้งที่พี่สาวข้าเอาของมาให้ที่โรงเรียน ลูกตาของเจ้าสองคนนั้นแถบจะร่วงหลุดลงบนพื้น โดยเฉพาะต่งสุ่ยจิ่งที่ทุกครั้งเวลาหาข้ออ้างไปเล่นบ้านข้า พอพี่สาวข้าไม่อยู่ก็ทำท่าเซื่องซึม แต่พอพี่สาวข้ากลับมาบ้าน ต่งสุ่ยจิ่งก็เหมือนถูกฉีดเลือดไก่ แทบจะช่วยตักน้ำใส่อ่างใหญ่สองใบในบ้านข้าจนเต็ม ท่านแม่ข้าน่ะค่อนข้างชอบต่งสุ่ยจิ่ง เพราะรู้สึกว่าเขาเป็นคนซื่อเหมือนพ่อข้า แต่พี่สาวข้าน่าจะชอบหลินโส่วอีมากกว่า ก็เขาสุภาพเรียบร้อยเหมือนปัญญาชนนี่นะ”
หลังจากนินทาหลินโส่วอีและต่งสุ่ยจิ่งเสร็จ หลี่ไหวที่สีหน้าหม่นหมองก็เปลี่ยนไปเข้าประเด็นสำคัญ “ทุกคนในโรงเรียนต่างก็หัวเราะเยาะพ่อข้า บอกว่าพ่อข้าคือผู้ชายที่ไร้ค่าที่สุดในเมืองเล็ก เป็นผู้ชายที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิง ไม่เอาถ่าน วันๆ ไม่ทำงานทำการเป็นหลักแหล่งก็ยิ่งไม่ได้ความ ทึ่มทื่อโง่เขลา มังกรให้กำเนิดมังกร หงส์ให้กำเนิดหงส์ ส่วนหนูก็ได้แต่ขุดรูอยู่ ดังนั้นลูกชายของเขา ซึ่งก็คือข้า ย่อมเรียนหนังสือไม่เก่ง ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์ทดสอบ ข้าก็มักจะเป็นที่โหล่เสมอ”
หลี่ไหวยิ้มกว้างจนตาหยี “ชาติกำเนิดของหลี่เป่าผิงดีที่สุดในโรงเรียน ทว่านางกลับไม่เคยเล่นกับใครซึ่งรวมถึงหลินโส่วอีด้วย ทุกครั้งนางจะต้องวิ่งไปวิ่งมาเหมือนกับสายลม แล้วก็มักจะเป็นคนที่มาเรียนสายที่สุด พอเลิกเรียนก็หายตัวไปเป็นคนแรก แม้นางจะรำคาญที่ข้าเอะอะเสียงดัง ไม่ว่าจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องก็ชอบจะมาทะเลาะกับข้า แต่นางไม่เคยหัวเราะเยาะพ่อข้า มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อข้ามาหาที่โรงเรียน ทุกคนต่างก็รังเกียจ มีเพียงหลี่เป่าผิงที่ยินดีนำทางให้กับพ่อของข้า แถมยังเรียกเขาว่าท่านอาหลี่ ทำให้พ่อข้าดีใจอยู่ตั้งหลายวัน ทุกครั้งที่มีคนจงใจยกเอาบิดาข้ามาพูดเย้ยหยันต่อหน้าข้า หลี่เป่าผิงมักจะห้ามพวกเขา ไม่อนุญาตให้พวกเขาพูดจาว่าร้ายพ่อข้า”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ใช่แล้ว หลี่ไหว เจ้ามีคนที่เกลียดที่สุดหรือไม่?”
หลี่ไหวอึ้งตะลึง “ไม่มีนี่ ทุกครั้งที่กลับมาถึงบ้าน ได้กินน่องไก่เหนียวนุ่มน่องใหญ่ที่เอร็ดอร่อย ฟังแม่ขาสั่งสอนพ่อและพี่สาวด้วยเรื่องยิบย่อย ความไม่สบอารมณ์ทั้งหมดของข้าก็หายสิ้น”
เฉินผิงอันใช้นิ้วคีบไส้ตะเกียงขึ้นมาโดยตรง เพื่อให้แสงไฟสว่างขึ้นมาอีกหน่อย “เจ้าเก่งมาก”
หลี่ไหวกล่าวอย่างสงสัย “ข้าเก่งตรงไหนกัน? ข้าว่าเจ้าที่ไม่กลัวไฟลวกมือต่างหากที่เก่ง เจ้าขึ้นเขาลงห้วยได้โดยไม่ต้องสวมรองเท้าแตะ ยังตัดฟืนตกปลาเป็น นั่นต่างหากที่เรียกว่าเก่ง เด็กซุกซนอย่างหลี่เป่าผิงนั่นชอบปีนต้นไม้มาตั้งแต่ยังเด็ก พอปีนได้ก็ตะโกนว่าบินแล้วๆๆ แต่พอร่วงตุ้บหล่นลงไปบนพื้นกลับไม่ร้องไห้ ลุกขึ้นยืนเอง สุดท้ายก็เดินกะเผลกๆ กลับบ้าน เพราะกลัวว่าท่าเดินที่ผิดปกติจะทำให้ผู้อาวุโสในบ้านมองออก นางยังจงใจถ่วงเวลากลับไปถึงบ้านให้เย็นมากๆ ขนาดคนที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงอย่างนางก็ยังรู้สึกว่าเจ้าคือคนที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า”
เฉินผิงอันหยิบมีดแกะสลักขึ้นมาอีกครั้ง “รอเจ้าโตขึ้นอีกหน่อยก็จะรู้เองว่าทำไมตัวเองถึงเก่ง”
หลี่ไหวไม่เข้าใจ แต่พอมองปิ่นพวกนั้นกลับยิ่งรู้สึกอยากได้ “เมื่อไหร่จะมอบปิ่นพวกนี้ให้พวกเราล่ะ?”
เฉินผิงอันหยุดมือที่กำลังแกะตัวอักษรลง “รอให้ไปถึงสำนักศึกษาต้าสุยก่อนนั่นแหละ”
หลี่ไหวถาม “ทำไมเจ้าถึงมอบ ‘ภาพค้นภูเขา’ แผ่นนั้นให้หลินโส่วอีล่ะ? ข้ามองออกว่าเจ้าเองก็ชอบมันมากเหมือนกัน”
เฉินผิงอันชูปิ่นชิ้นหนึ่งขึ้น อาศัยแสงไฟจ้องมองลวดลายเล็กละเอียดบนตัวปิ่น “ข้ากลัวว่าข้าจะรักษาของที่ดีไว้ไม่อยู่ และพวกเจ้าก็ไม่ใช่คนอื่น มอบให้พวกเจ้า ข้าไม่เสียดาย”
หลี่ไหวถามหยั่งเชิงด้วยประโยคที่ไม่สมควรถามที่สุด “จ่ายเงินคืนละสองพันตำลึงเงินก็ไม่เสียดายหรือ?”
เฉินผิงอันวางปิ่นหยกและมีดแกะสลักกลับลงไปในกล่อง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าต้องออกไปเดินเล่นสักหน่อย เดินมากจะได้เห็นทัศนียภาพมากๆ คงจะได้กำไรกลับคืนมาสักสองสามตำลึง”
หลี่ไหวหันหน้าไปมองแผ่นหลังของเฉินผิงอัน เด็กชายแอบหัวเราะขำอยู่กับตัวเอง
หลี่ไหวรอจนเฉินผิงอันปิดประตูห้องแล้วถึงบอกกับตัวเองว่า วันหน้าจะต้องหาของที่ดีที่สุดสักชิ้นมอบให้กับเฉินผิงอัน
เพราะตลอดทางมานี้เดินผ่านภูเขาและแม่น้ำมากมาย ลำพังเพียงแค่เรื่องไปอึไปฉี่ห่างจากกลุ่มคนเป็นเพื่อนคนขี้ขลาดอย่างตน จากนั้นยังยืนคุยเป็นเพื่อนตนอยู่ไกลๆ เจ้าหมอนี้ก็ทำมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง
ตอนที่ 141.2
ร้อยพิสดาร (ต้น)
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันไม่กล้าเดินเตร่มั่วซั่ว จึงตรงไปที่ศาลาพักร้อน เห็นว่าหลินโส่วอีนั่งอยู่ในนั้นอย่างที่คาดไว้ ด้วยไม่กล้าเทพเซียนบนภูเขาที่โดดเด่นที่สุดของกลุ่มผู้นี้ หลังจากมองอยู่ไกลๆ พักหนึ่งก็เตรียมจะหมุนกายจากไป แต่กลับเห็นว่าหลินโส่วอีลุกขึ้นกวักมือเรียกเขา
เฉินผิงอันจึงเดินเข้าไปในศาลาพักร้อน เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก่อนจะเข้ามาในโรงเตี๊ยมชิวหลู หลินโส่วอีในเวลานี้เหมือนจะมีบุคลิกรัศมีที่ล่องลอยมากขึ้นกว่าเดิม
หลินโส่วอีเปิดปากพูดด้วยประโยคที่คนทั้งคู่ไม่กระอักกระอ่วน “ชุยตงซานผู้นั้นยืมยันต์แผ่นหนึ่งไปจากข้าแล้วก็ทำลายกฎของโรงเตี๊ยมทันที เขาเดินออกจากศาลาแห่งนี้ กระโดดลงไปในบ่อโบราณนั้นแล้วหายตัวไปเลย”
เฉินผิงอันถามเบาๆ “ชุยตงซานจะเป็นหรือตาย ข้าสนใจไม่ได้ แล้วก็ไม่สนใจด้วย”
หลินโส่วอีหันหน้าไปมองทางบ่อแห่งนั้นแล้วเงียบไปนานกว่าจะพูดว่า “เรื่องนอนพักในโรงเตี๊ยม ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดี แต่เจ้าก็ควรจะปรึกษากับข้าก่อน”
เฉินผิงอันพยักหน้า “วันหน้าข้าจะทำ”
หลินโส่วอีหันหน้ากลับมา มองสังเกตสีหน้าและสายตาของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะอย่างระมัดระวัง “แค่นี้เองหรือ?”
เฉินผิงอันถามกลับ “ถ้าไม่อย่างนี้แล้วจะยังไง?”
หลินโส่วอีเอ่ยเยาะตัวเอง “ข้ายังนึกว่าเจ้าจะอธิบายเหตุผลกับข้า หรือไม่ก็ม้วนแขนเสื้อต่อยข้าสักทีแล้วค่อยว่ากัน อันที่จริงข้าเตรียมใจไว้แล้วด้วยว่าหากเจ้าต่อยจะไม่เอาคืน เจ้าด่าจะไม่ด่ากลับ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่พูดอะไร เอนหลังพิงเสาของศาลาพักร้อน มองไปยังบ่อน้ำของที่ตั้งเดิมศาลเทพอภิบาลเมือง แต่เขามองต้นสายปลายเหตุอะไรไม่ออก
หลินโส่วอีมองหน้าเฉินผิงอัน “ข้าขอโทษ”
เฉินผิงอันโบกมือคลี่ยิ้ม นั่งขัดสมาธิเรียบร้อยแล้วจึงจ้องไปยังบ่อน้ำโบราณตาไม่กะพริบ
หลินโส่วอีรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก จากนั้นก็ถามอย่างสงสัยว่า “เจ้ากำลังทำอะไร?”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะตอบจริงจัง “ข้าจะมองเพื่อเอากำไรกลับคืนมา!”
เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาเย็นชาที่เดินไปบนเส้นทางแห่งการฝึกตนแล้วรีบยกมือขึ้นลูบซีกหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดเสียงหัวเราะออกมา
……
จวนมหาวารี แม่น้ำหันสือ
ชายชุดดำที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานมองไปยังแขกที่อยู่กันเต็มห้องโถง มีคนลุกขึ้นชูจอกเหล้าคารวะ พูดจาสรรเสริญเยินยออยู่ตลอดเวลา สีหน้าเขาจึงเผยความลำพองใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อครู่นี้มีนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงในราชสำนักคนหนึ่งลุกขึ้นดื่มคารวะอีกครั้ง บอกว่าตลอดหลายปีมานี้ฝนตกต้องตามฤดูกาล การเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ล้วนเป็นคุณความชอบของนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีอย่างเขา ในคำพูดนั้นบอกเป็นนัยว่าความสุขความทุกข์ของประชาชนในเมืองล้วนไม่เกี่ยวข้องกับผู้พิทักษ์เมืองที่แซ่เว่ยผู้นั้นแม้แต่น้อย ประเด็นสำคัญก็คือคำพูดที่เห็นได้ชัดว่าต้องการเลียแข้งเลียขาอย่างชัดเจนนี้กลับทำให้คนผู้หนึ่งที่สวมชุดขุนนางขั้นสามชั้นโทของแคว้นหวงถิงที่นั่งอยู่ลุกขึ้นดื่มคารวะ เออออตามปัญญาชนผู้นั้นอย่างไม่ลังเล ปากก็เอื้อนเอ่ยด้วยถ้อยคำสวยงามเสนาะหู ในฐานะขุนนางขั้นสามระดับสูง ยกกระบัตรของเขตการปกครองหนึ่ง ถือว่าเป็นคนที่มีตำแหน่งขุนนางสูงที่สุดในงานพิธีเซ่นไหว้ใหญ่ครั้งนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับเขาที่นั่งอยู่สูงในตำแหน่งประธานก็ยังเรียกว่านายท่านเทพวารีไม่ขาดปาก
เมื่อไหร่ที่กลายเป็นองค์เทพผู้เสวยสุขจากควันธูป ชื่อเสียงและตระกูลตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ล้วนเป็นความลับ ส่วนคนที่สามารถเผชิญหน้ากับองค์เทพได้จะยึดกฎเคารพผู้สูงศักดิ์กว่า โดยทั่วไปแล้วจึงต้องระวังข้อนี้ ไม่มีทางเอ่ยชื่อแซ่ตามตรง
คำเรียกขานว่า “นายท่านผู้เฒ่านี้” คือคำเรียกโดยทั่วไปที่ค่อนข้างจะมั่นคง ส่วนข้อที่ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ คนมากมายพูดแตกต่างกันออกไป หนึ่งในนั้นพูดอย่างมาดมั่นเต็มไปด้วยความน่าเชื่อถือ บอกว่าในบรรดาศิษย์ใหญ่สามคนที่ได้รับการสืบทอดโดยตรงจากมรรคาจารย์ มีคนหนึ่งที่ชอบเรียกอาจารย์ผู้มีพระคุณว่านายท่านผู้เฒ่า มรรคาจารย์รับคำเรียกขานนี้ไว้ด้วยความยินดี จึงเผยแพร่สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
ชายสวมชุดดำค่อยๆ ถอนสายตากลับคืนมา สองที่นั่งฝั่งซ้ายขวามีคนรู้ใจของเขาสี่คนนั่งอยู่ คนเหล่านี้ติดตามเขากรีฑาทัพไปทั่วสารทิศ คนที่อยู่มานานหน่อยก็สามร้อยกว่าปี สั้นหน่อยก็ร้อยกว่าปี หนึ่งในนั้นก่อนจะจำแลงร่างเป็นมนุษย์มีร่างเดิมเป็นปลาหลีสีแดงสดตัวหนึ่ง เรียกพี่เรียกน้อง มีความสัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นภูตปลาปลีตนหนึ่งในแม่น้ำชงตั้นต้าหลี
แต่ว่าตอนนี้ภูตปลาหลีท่านนี้มีภารกิจต้องไปทำ ที่นั่งของเขาจึงว่างเปล่า
ผู้หนึ่งคืองูน้ำที่ฝึกตนจนมีสติปัญญา อาวุธคู่กายคือคทาเหล็ก เป็นของที่เซียนผู้หนึ่งทิ้งไว้ซึ่งเขาได้มาโดยบังเอิญ ทุกครั้งที่เข่นฆ่ากับคนอื่นมักจะชอบใช้คทาเหล็กนี้ฟาดศีรษะของคู่ต่อสู้จนแหลกเละ เขาชอบกินเด็กชายเด็กหญิง เพียงแต่ว่าถูกส่งห้ามจากชายชุดดำ มีเพียงบางครั้งที่จะออกไปหาอาหาร ไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานเกินไปนัก
และยังมีอีกคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดจากคางคก พรสวรรค์ดีที่สุด แต่มีนิสัยเกียจคร้าน ขอบเขตจึงต่ำสุด ทว่าด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่น มักจะชอบกลืนกินน้ำในแม่น้ำปริมาณมากจากทางแยกของแม่น้ำใหญ่ ขอแค่ไม่หุบปากลงก็สามารถสูบน้ำมาได้ตลอดเวลาโดยไม่หยุดมัก ไม่มีทางกินจนท้องแตก ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าใครจึงไม่กล้าหมิ่นเกียรติ ได้รับความสำคัญจากชายชุดดำอย่างมาก เคยมีเทพแม่น้ำสององค์ร่วมมือกันมาก่อความวุ่นวาย รวบรวมกองกำลังมามากมาย พยายามที่จะโค่นล้มตำแหน่งของชายชุดดำให้ได้ ขุนพลผู้เก่งกาจของเทพแม่น้ำหันสือผู้นี้จึงรับคำสั่งแอบขึ้นฝั่งแทรกตัวแฝงเข้าไปในต้นกำเนิดแม่น้ำสายหนึ่ง จากนั้นก็เผยร่างจริงที่มีเรือนกายใหญ่โตดุจขุนเขา ครั้นจึงเขมือบกลืนต้นกำเนิดของแม่น้ำสายนั้น บีบให้เทพแม่น้ำองค์นั้นพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มรบ เป็นเหตุให้เทพแม่น้ำอีกองค์หนึ่งเหลือตัวคนเดียวไร้กองหนุน สุดท้ายชายชุดดำจึงทำลายศาลและร่างทองคำของอีกฝ่ายจนแหลกละเอียด เอาเศษซากทั้งหมดไปโยนไว้มุมใดมุมหนึ่งของแม่น้ำหันสือ ไม่อาจเกิดใหม่ได้อีกตลอดกาล
ท่านสุดท้ายค่อนข้างจะไม่เข้าพวก เขาสวมชุดขงจื๊อไว้เครางาม ท่าทางสุภาพเรียบร้อย หากใบหน้าไม่ได้เป็นสีเขียวเข้ม แตกต่างจากมนุษย์บนโลก ไม่ว่าอย่างไรก็คงมองดูคล้ายปัญญาชนลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนผู้มีการศึกษา
แม่น้ำหันสือยาวแปดร้อยลี้ ผ่านดินแดนของสามเขตปกครองแปดเมือง ด้วยเหตุนี้ทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิงจึงจำเป็นต้องพึ่งพาการหล่อเลี้ยงจากแม่น้ำใหญ่สายนี้ แม้ว่าคนผู้นี้จะไม่ได้มีชื่อเสียงอยู่ในจวนมหาวารีแห่งนี้ด้วยพลังของการต่อสู้ แต่กลับเป็นกุนซือทางทหารผู้เป็นที่ยอมรับ เขาหลบอยู่เบื้องหลัง คอยวางแผนให้กับนายผู้เฒ่าเทพวารีอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ไม่เข้าพวกรวมกลุ่มกับใคร
สาวใช้งดงามที่คอยยกอาหารรินน้ำชาอยู่ในห้องโถงใหญ่ ครึ่งหนึ่งคือโฉมสะคราญบนโลกมนุษย์ แล้วยังมีสตรีอีกครึ่งหนึ่งที่แต่งหน้าด้วยผงประทินโฉมที่พิเศษเพื่อปกปิดกลิ่นอายแห่งความตาย คือผีพรายที่ตายเพราะจมน้ำ
ผีพรายบนโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะจมน้ำเพราะว่ายน้ำไม่เป็นหรือเพราะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถกลายเป็นผีพรายได้ ต้องเป็นพวกที่ตายไปแล้วความชั่วร้ายก็ยังไม่จางหาย รวมไปถึงต้องมีพรสวรรค์ตอนยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่เวลาที่ตายก็ยังมีความพิถีพิถัน ครบถ้วนทั้งสามข้อ และหากโชคดีดวงจิตไม่แหลกสลายก็ถึงจะมีความเป็นเป็นไปได้ในการถูกจวนมหาวารีรับมาเป็นสาวใช้ ซึ่งในบรรดานี้ยังมีผีพรายที่ถูกพายุลมกรดพัดใส่ ทำให้ดวงวิญญาณแหลกสลายไปอย่างต่อเนื่อง
ยกตัวอย่างเช่นลมฟาดจิตและลมพัดวิญญาณที่มักจะพัดโชยในช่วงฤดูใบไม้ร่วงสีทอง ซึ่งเป็นตัวสังหารธาตุทองหนึ่งในห้าธาตุ พายุลูกหนึ่งพัดตอนกลางวัน อีกลูกหนึ่งพัดตอนกลางคืน หมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน คือหนึ่งในศัตรูทางธรรมชาติของภูตผี หนึ่งในสาเหตุที่พูดกันว่าวิญญาณบินจิตสลาย (ขวัญหนีดีฝ่อ) ในโลกมนุษย์ก็มาจากสิ่งนี้ โดยทั่วไปแล้วลมพายุทั้งสองชนิดจะเกิดภัยคุกตามต่อวัตถุธาตุหยินเท่านั้น แต่หากเป็นมนุษย์ที่มีร่างกายอ่อนแอ วาสนาเบาบางก็อาจจะถูกลมพายุนี้ทำร้ายเอาได้เหมือนกัน
ส่วนคำกล่าวว่าประหารหลังใบไม้ร่วง โดยทั่วไปแล้วราชสำนักจะทำการลงโทษนักโทษในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเพื่อป้องกันไม่ให้พวกผีร้ายอาละวาด ซึ่งก็มาจากเหตุผลข้อนี้
นอกจากนี้แล้วเสียงฟ้าร้องฤดูใบไม้ผลิที่ชาวบ้านธรรมดาได้ยินกัน สำหรับวัตถุธาตุหยินที่สกปรกชั่วร้ายแล้วก็ถือเป็นกลองเร่งตายอย่างแท้จริง และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นด่านที่ยากจะข้ามผ่านไปได้ด่านหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า หากพูดว่าเป็นคนไม่ง่าย ดูเหมือนว่าเป็นผีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน
นอกจากแม่ทัพใหญ่ที่เป็นคนสนิทของจวนมหาวารีแล้ว ก็คือแขกที่มาเยี่ยมเยือนเพื่อแสดงความยินดี
บุคคลที่ชายชุดดำถูกโฉลกด้วยที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นั้น ซึ่งในอดีตเป็นแค่ซิ่วไฉยากจนที่เท้าลื่นจึงพลัดตกน้ำโดยไม่ทันระวังเท่านั้น น่าเสียดายที่คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่เหมาะกับตำแหน่งขุนนาง ต่อให้เขามีนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีผู้นี้ช่วยสนับสนุนประคับประคองก็ยังเป็นได้แค่ขุนนางผู้ทัดทานขั้นหกก็เลื่อนขั้นต่อไม่ได้แล้ว สุดท้ายจึงถือโอกาสป่าวประกาศแก่คนนอกว่าลาออกจากราชการกลับบ้านเกิด ครั้นจึงไปสร้างจวนอันหรูหราแห่งหนึ่งอยู่ในป่าบนภูเขาของเขตการปกครองเฮ้อทางทิศเหนือแคว้นหวงถิง ตั้งตนเป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งป่าเขาลำเนาไพรที่มีอิสระเสรี หลังจากลาออกจากราชการแล้ว กิจการที่ตั้งมาได้ยี่สิบกว่าปีก็ทำให้เขาถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าแห่งปัญญาชนผู้รอบรู้ทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิง ซึ่งเขาให้การสนับสนุนเทพแม่น้ำหันสือมาโดยตลอด ลำพังเพียงแค่กาพย์กลอนที่เกี่ยวกับแม่น้ำหันสือก็มีมากถึงยี่สิบกว่าบท ทุกๆ ระยะเวลาสองสามปีจะต้องเชิญนักกวีจำนวนมากมาจัดประชุมกวีนิพนธ์ที่แม่น้ำหันสือ ทุ่มเงินก้อนใหญ่ในการจัดงาน อาหารและสุราเลิศรส มีสาวงามคอยให้การปรนนิบัติ สมกับรสนิยมของปัญญาชนอย่างถึงที่สุด
ส่วนเรื่องที่ว่าบุตรของนักประพันธ์ท่านนี้เลื่อนขั้นสูงอย่างต่อเนื่องในราชสำนักแคว้นหวงถิง ส่วนหลานที่มีฐานกระดูกธรรมดาก็กลายมาเป็นผู้ฝึกตนนั้น กลับไม่มีใครอยากจะสืบสาวอย่างลึกซึ้ง หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าไม่มีความกล้าที่จะซักไซ้ให้ถึงแก่น
เจ้าแห่งวงการวรรณกรรมที่เรียกตัวเองว่านักพรตเฒ่าหวงผู้นี้ เวลานี้กำลังพูดคุยกับใต้เท้ายกกระบัตรอย่างชื่นมื่น เสียงหัวเราะดังกังวาน
ยกกระบัตรคือบุคคลอันดับที่สามในนามของเขตการปกครองแห่งนี้ ส่วนบุคคลอันดับหนึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นผู้ว่ามณฑล จากนั้นจึงเป็นแม่ทัพที่ตั้งฐานทัพอยู่ในพื้นที่ กุมอำนาจทางการทหารอยู่ในมือ ศักยภาพแม่ทัพฝ่ายบู๊ของแคว้นหวงถิงอ่อนด้อย ในราชสำนักให้ความสำคัญกับบู๊ ไม่ใส่ใจบุ๋น ดังนั้นตำแหน่งขุนนางยกกระบัตรจึงมักจะเหนือกว่าแม่ทัพของเขตการปกครองแห่งหนึ่งเสมอ ความหมายในการดำรงอยู่ของยกกระบัตรมักจะเป้นคนที่ฮ่องเต้นำมาใช้ถ่วงสมดุลกับผู้ว่ามณฑล
เวลานี้ทุกคนต่างก็หยุดพูดโดยอัตโนมัติ หันหน้าไปมองทางประตู เห็นเพียงว่ามีชายสวมเสื้อเกราะที่สองข้างแก้มเต็มไปด้วยหนวดเคราก้าวยาวๆ เข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขากุมมือประสานแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เรียนนายท่านผู้เฒ่า ผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นั้นตายแล้ว ข้าบิดศีรษะของเขาหักด้วยมือตัวเอง ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันอีกแน่นอน”
ชายสวมชุดคลุมสีดำเหลือบมองสีหน้าของผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งในห้องโถงก่อน จากนั้นพอค้นพบว่าชายร่างกำยำที่ตรงเอวพกง้าวสั้นทำท่าจะพูดแต่ก็เงียบไป จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มีลมก็รีบผาย”
คนผู้นี้ก็คือชายที่อาศัยบ่อน้ำโบราณเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมชิวหลู ร่างเดิมของเขาคือปลาหลีสีชาดตัวหนึ่ง ได้ยินประโยคนี้เขาก็ยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี “ก่อนหน้าที่เจ้าหนุ่มผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นจะตายได้แฉข่าวฉาวบางอย่าง มีทั้งของนายท่านผู้เฒ่า แล้วก็มีของตระกูลใหญ่ๆ ในเมือง แน่นอนว่าเรื่องของผู้พิทักษ์เมืองแซ่เว่ยผู้นั้นมีมากกว่าใคร ไม่น่าฟังอย่างยิ่ง บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเขาล้วนถูกขุดขึ้นมาด่าเสียหลายรอบ หากไม่เป็นเพราะข้าลงมือไว พรุ่งนี้ในเมืองคงลือแต่เรื่องน่าหัวเราะเยาะของผู้พิทักษ์เมืองเว่ยกันไปทั่ว”
ชายชุดดำแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด “โอ้?”
ภูตปลาหลีร่างกำยำกำลังจะพูด แต่ชายชุดดำกลับโบกมือบอกเป็นนัยให้เขารีบกลับไปนั่งที่ ไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระ ฝ่ายแรกจึงเดินไปนั่งแต่โดยดี มองชายที่มีมาดดั่งปัญญาชน ฝ่ายหลังคลี่ยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะบอกให้รู้ว่าไม่ต้องร้อนใจ ชายร่างกำยำถึงได้วางใจแล้วเริ่มกินเนื้อชิ้นใหญ่ ดื่มเหล้าคำโต
ได้ยินว่าผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นตายอย่างเฉียบพลันอยู่ในเมือง ในห้องโถงมีชายหนุ่มหน้าตาขี้โรคคนหนึ่งที่ไม่อาจปกปิดรอยยิ้มสาแก่ใจของตัวเองเอาไว้ได้ กระดกจอกเหล้าขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง
ในเมือง ผู้พิทักษ์เมืองแซ่เว่ยหดหู่เศร้าซึม ผู้ฝึกตนอิสระตายศพไม่ครบถ้วน
ทั้งประธานและแขกในจวนมหาวารีต่างก็เปรมปรีดิ์ถ้วนทั่ว
ความแตกต่างเห็นเด่นชัด
บุรุษชุดดำพลันเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตู ทันใดนั้นสีหน้าของเทพแม่น้ำหันสือผู้นี้ก็เปลี่ยนมาเป็นมืดทะมึน
มีเด็กหนุ่มชุดขาวเรือนกายสูงโปร่งดุจต้นไม้หยกรับลมผู้หนึ่งมายืนอยู่นอกประตูอย่างเงียบเชียบ เขากำลังยื่นมือปัดไปตามชายแขนเสื้อเพื่อดีดหยดน้ำบางส่วนทิ้งไป สุดท้ายเด็กหนุ่มเดินก้าวผ่านธรณีประตูสูงใหญ่ มองซ้ายมองขวา ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่ใช่ เทพก็ไม่เชิง แปลกจริง แปลกจริง แปลกจริงๆ”
ตอนที่ 142
ร้อยพิสดาร (กลาง)
โดย
ProjectZyphon
ทำลายบรรยากาศอย่างรุนแรง
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเด็กหนุ่มชุดขาวช่างไม่ถูกกาลเทศะซะจริง
แขกเต็มห้องโถงล้วนเป็นพวกสายตาเฉียบแหลม แต่ละคนมองเห็นสีหน้าไม่น่ามองของชายชุดดำได้อย่างรวดเร็ว ในใจพลันกระจ่างแจ้ง พอหันกลับไปเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง แต่ละคนก็พลันรู้สึกสนใจเต็มเปี่ยม
ในเขตพื้นที่ทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิง แม่น้ำและภูเขายากที่จะแบ่งแยก ใครบ้างที่ไม่คิดจะให้หน้ากรอบป้ายอักษรทองของจวนมหาวารีแห่งนี้? แต่นี่กลับมีคนกล้ามาทำลายงานเลี้ยงของเทพแม่น้ำหันสือ อีกทั้งยังเดินอาดๆ บุกเข้ามาในจวนมหาวารีอันเป็นถิ่นของเขา ไม่อยากมีชีวิตอยู่จริงๆ แล้วหรือไง?
ชายผู้มีท่วงท่าสุภาพนุ่มนวลที่ร่างเดิมคืองูน้ำซึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งแรกของปัญญาชน ตวัดนิ้วเป็นดรรชนีกล้วยไม้ (ท่านิ้วมือที่นิ้วโป้งกับนิ้วกลางแตะกัน) ค่อยๆ ยกจอกเหล้าขึ้นมา เมื่อเผชิญหน้ากับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ สายตาของบุรุษร้อนแรง เด็กชายเด็กหญิงที่มีหน้าตางดงามคือความชื่นชอบของเขามาโดยตลอด เพียงแต่อดจะเสียดายไม่ได้ เพราะมีความเป็นไปได้มากว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องตาย เขาไม่กล้าเอาตัวคนที่หักหน้านายท่านผู้เฒ่าเทพวารีกลับจวนไปเสพสุขโดยพลการ หวังแค่ว่าจะเอาศพกลับไปเป็นอาหารมื้อดึกคืนนี้ได้ บุรุษยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหลมเล็ก “เหล้าที่อยู่ในจอกนี้คือเหล้าหยกทองที่มีเฉพาะในจวนมหาวารีแม่น้ำหันสือของพวกเราเท่านั้น หากนักพรตได้ดื่มหนึ่งจอกก็เท่ากับฝึกตนอย่างยากลำบากอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลอย่างยากลำบากสิบวัน หากคนธรรมดาดื่มเข้าไป หวังให้โรคภัยหายสิ้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย ยังเหลืออีกครึ่งแก้ว เจ้าอยากจะลองชิมดูหรือไม่?”
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาแล้วก็ไม่เดินหน้าตา เขาที่ยืนอยู่ที่เดิมทำเพียงกวาดตามองไปรอบด้าน ไม่แยแสภูตน้ำที่มีชื่อเสียงด้านความเหี้ยมโหดฉาวโฉ่ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย
บุรุษท่าทางสุภาพอ่อนโยนโกรธสุดขีดจนกลายเป็นตลก เขาแลบลิ้นที่ยาวมากออกมาเลียมุมปากของตัวเอง สุดท้ายหัวเราะหึหึ “สุราคารวะไม่ดื่มจะดื่มสุราทำโทษ ตายซะเถอะ!”
เขาสะบัดข้อมือ สุราสีทองอร่ามที่เหลืออีกครึ่งแก้วก็สาดออกมา ของเหลวสีสันสะดุดตาพลันหยุดค้างอยู่กลางอากาศก่อน จากนั้นถึงแยกตัวออกเป็นหยดๆ จากนั้นของเหลวหลายสิบหยดก็พากันพุ่งแหวกความว่างเปล่ากระโจนเข้าหาเด็กหนุ่มชุดขาว ความเร็วนั้นเหนือกว่าลูกศรจากธนูทรงพลังที่พุ่งฉิวไปในระยะร้อยก้าว ก่อให้เกิดเสียงแหวกอากาศดังอื้ออึง พลังอำนาจน่ากริ่งเกรงอย่างยิ่ง
หากหลบไม่ทัน ร่างของเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นจะต้องเป็นรูพรุนแน่นอน
ลำพังเพียงแค่วิชาอภินิหารที่สามารถควบคุมน้ำได้ด้วยฝ่ามือเดียวนี้ก็ทำให้ผู้ฝึกลมปราณหนุ่มบางส่วนที่นั่งอยู่ในห้องโถงตื่นตะลึงจากใจจริง
แทบทุกคนล้วนรู้สึกว่าสถานการณ์แน่นอนไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว
ผู้เฒ่าผมขาวโพลนผู้นั้นก็เป็นหนึ่งในคนที่คิดเช่นนี้ ตอนแรกที่เขามองเห็นเด็กหนุ่มชุดขาว แววตายังเผยความประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เพียงไม่นานก็ส่ายหน้าเบาๆ ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ ทว่าบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์อย่างจวนมหาวารีแห่งนี้ ไหนเลยจะใช่สถานที่ที่เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป น่าเสียดายเหลือเกินที่เอาเรือนกายซึ่งทั้งรูปงามและมีบุคลิกเป็นเลิศนี้มาทิ้งให้เสียเปล่า
แถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปล้วนรู้ว่าการทดสอบเลือกผู้มีความสามารถของฮ่องเต้สกุลหงในราชสำนักเล็กๆ อย่างแคว้นหวงถิงแห่งนี้ จะต้องดูก่อนว่าเขียนตัวอักษรสวยหรือไม่ จากนั้นค่อยดูว่าเนื้อหาที่เขียนดีหรือไม่ดี ทั้งสองสิ่งล้วนขาดไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นกุญแจสำคัญที่สุดก็ปรากฎขึ้นแล้ว ฝ่าบาทจะดูว่าในบรรดาผู้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งนี้ ใครที่มีรูปโฉมซื่อสัตย์เที่ยงตรง หล่อเหลาสง่างามมากที่สุด!
ตอนที่อยู่บนถนนของเมือง ผู้เฒ่าก็เคยเห็นกลุ่มของเด็กหนุ่มชุดขาวมาแล้ว ผู้เฒ่าพอจะใช้คาถามองคนเป็นอยู่บ้าง เมื่อมองรูปลักษณ์กลิ่นอายของเด็กหนุ่มชุดขาวจึงคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีแค่เนื้อหนังมังสาที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น เทียบกับอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มผู้สะพายตะกร้าไม้ไผ่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มชุดเขียวที่สีหน้าสุขุมเย็นชาผู้นั้นต่างหากที่เป็นหยกงามสำหรับวิถีของการฝึกตนอย่างแท้จริง
ผู้เฒ่าไม่คิดจะมองเด็กหนุ่มที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องมีจุดจบน่าสังเวชอีก เขาหันหน้ามองไปยังนักพรตหนุ่มคนหนึ่งฝั่งที่รู้ไส้รู้พุงกันดีซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม สายตาผู้เฒ่าเต็มไปด้วยพยับเมฆอึมครึม
ฝ่ายหลังสัมผัสได้ถึงสายตาของผู้อาวุโสในสำนักเฉียบไวจึงขยับถอยไปด้านหลังเล็กน้อย เพียงแต่ไม่นานก็คิดได้ว่าตนหาที่พึ่งที่แท้จริงได้แล้ว วันนี้ไม่เหมือนในอดีตอีกแล้วจึงยืดเอวขึ้นตรง คลี่ยิ้มอย่างตรงไปตรงมาแล้วชูจอกเหล้าขึ้น ผู้เฒ่ายิ้มเสแสร้งแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น
ผู้เฒ่าได้รับการอบรมบ่มเพาะมาเป็นอย่างดี แต่พอคนหนุ่มสองคนข้างกายเขาเห็นภาพนี้แล้วกลับแค้นเคืองสุดขีดจึงถลึงตามองศิษย์ทรยศของสำนักที่หลงลำพองตัวอย่างเดือดดาล
นักพรตพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเพียงลำพังก็คือตัวการของคลื่นมรสุมก่อนหน้านี้ ช่วงสุดท้ายของการก่อคดีโหดเหี้ยมสังหารคนทั้งตระกูล ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่ผ่านทางมาเจอเขาเข้าพอดี เขาคือลูกศิษย์ฝ่ายในของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ พรสวรรค์ธรรมดา ยิ่งไม่ถนัดการเข่นฆ่าสังหาร จึงไม่เหลือกำลังให้ต่อต้านผู้ฝึกตนอิสระที่เชี่ยวชาญด้านการไล่ล่าและฆ่าผู้คน จึงเผ่นหนีกลับเข้ามาในเมืองอย่างว่องไว สุดท้ายที่ยังมีอารมณ์ไปพักผ่อนหย่อนใจอยู่ในโรงเตี๊ยมชิวหลูแห่งนั้น คาดว่าคงหวังจะใช้โรงเตี๊ยมชิวหลูและหลิวฮูหยินเป็นยันต์คุ้มกันกาย
พอค้นพบร่องรอยของเขา ผู้ฝึกตนอิสระผู้ผดุงความยุติธรรมที่แม้จะรู้ว่าอาจเสี่ยงโดนโรงเตี๊ยมชิวหลูมองเป็นศัตรู ก็ยังดึงดันจะบุกเข้าไป ครั้นจึงลงมือต่อสู้กับนักพรตพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่มีภูมิหลังสูงส่งอย่างดุเดือดอีกครั้ง
ผลกลับกลายเป็นว่าไม่เพียงแต่ทำให้ผนังบังตารูปพระจันทร์พังภินท์ ยังถูกนักพรตของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ล่อเข้าไปในตรอกที่อยู่ใกล้เคียง ฝ่ายหลังใช้สมบัติอาคมและเวทคาถามั่วซั่วไปหมด จึงทำให้ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวถูกลูกหลงบาดเจ็บไปอีกยี่สิบกว่าคน นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ตระกูลชนชั้นสูงของเมืองใช้เป็นข้ออ้างกล่าวโทษไปฟ้องที่ว่าการ ผู้ฝึกตนอิสระจึงถูกตัดสินว่าเป็นฝ่ายกระทำความผิดก่อน สังหารแล้วค่อยว่ากัน ส่วนเรื่องราวที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังเป็นอย่างไร คนก็ตายไปแล้ว ไม่มีใครพูดถึงอีก ต่อให้มีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเพียงข่าวโคมลอยเท่านั้น
พวกผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ต้องการถูกทางการลงชื่อไว้ในสมุดบันทึกมักจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีจากแคว้นต่างๆ คนของทางการอาจไม่ถึงขั้นกล้าไล่ทุบตีพวกเขาดั่งหนูสกปรก แต่ก็หวังว่าจะให้พวกเขาอยู่ห่างๆ อย่าได้มาก่อความวุ่นวายในเขตพื้นที่การรับผิดชอบของตัวเองดีที่สุด เพราะเมื่อใดที่จอกแหนไร้รากเหล่านี้เกิดขัดแย้งกับงูเจ้าที่ขึ้นมา ขอแค่ไม่ใช่มังกรข้ามนทีที่มีวิชาค้ำฟ้าเก่งกาจ ที่ว่าการของราชสำนักและกองกำลังในยุทธภพก็ย่อมต้องเลือกฝั่งคนคุ้นเคยของตัวเองอยู่แล้ว
เมื่อนักพรตหนุ่มที่เท่ากับเป็นคนทรยศของสำนักเห็นว่าผู้อาวุโสในสำนักที่เดิมทีตนให้ความเคารพเลื่อมใสอย่างถึงที่สุดไม่รับน้ำใจของตน นักพรตหนุ่มก็ยิ้มบางๆ แหงนหน้าดื่มเหล้าที่เหลือเกินครึ่งจอกรวดเดียวหมด หลังจากเช็ดมุมปากแล้วก้มหน้า กล่าวกลั้วหัวเราะอย่างสำราญใจ “ต่อให้ข้าผู้อาวุโสฝึกตนอย่างยากลำบากอยู่ในพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ตอนนี้เมื่อได้รับความโปรดปรานจากนายท่านผู้เฒ่าเทพวารี มหามรรคาจึงมีหวัง ดังนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าผู้อาวุโสเห็นหน้าแม่ทัพผู้นั้นก็ตั้งใจแล้วว่าจะก่อตั้งสำนักเป็นของตัวเอง โอกาสที่พันปียากจะพานพบ ได้แต่ปรารถนาไม่อาจได้มาครอบครอง! ยังจะต้องสนใจชื่อเสียงของสำนักที่ไร้ประโยชน์ไปเพื่ออะไร? กินอิ่มแทนข้าวได้หรือ!? ต่อให้กินแทนข้าวได้ แล้วจะอย่างไร? ข้าผู้อาวุโสไม่เคยได้กินอย่างเต็มคราบ ได้แต่รอให้พวกเจ้าทำทานมาให้เท่านั้น”
นักพรตหนุ่มผู้นี้เรอเสียงดังแล้วหัวเราะอยู่กับตัวเอง ไม่มีใครมองเห็นความจนใจในเบื้องลึกของดวงตาคนผู้นี้ เขาค่อยๆ คีบเนื้อปลาสดใหม่ชิ้นหนึ่งขึ้นมา ปลายหางตาเหลือบไปยังกุนซือสวมชุดปัญญาชนลัทธิขงจื๊อของจวนมหาวารีเล็กน้อยแล้วพึมพำกับตัวเอง “คนไม่ทำเพื่อตัวเอง ฟ้าดินย่อมไม่มีที่ให้ยืน แล้วนับประสาอะไรกับที่โอกาสครั้งใหญ่ถึงเพียงนี้มาวางอยู่ตรงหน้าข้า ข้าเป็นแค่นักพรตห้าขอบเขตล่างตัวเล็กๆ มีสักกี่ชีวิตให้ไปปฏิเสธความเมตตาที่นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีประทานให้?”
ผู้เฒ่าผมขาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็คือผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายนอกของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์แบ่งเป็นฝ่ายในและฝ่ายนอก ผู้เฒ่าเป็นผู้ดูแลฝ่ายนอก ทว่าอันที่จริงแล้วเรื่องราวมากมายในโลกมนุษย์ของฝ่ายในก็ยกให้คนผู้นี้รับผิดชอบด้วย การเข้าร่วมงานพิธีบวงสรวงเทพแม่น้ำหันสือในครั้งนี้ ผู้เฒ่าเป็นผู้นำพากลุ่มคนลงจากภูเขา หลักๆ แล้วก็เพื่อช่วยให้เหล่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายได้ขัดเกลาจิตใจ พยายามทำความเข้าใจกับขนบธรรมเนียมประเพณีของโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา รวมไปถึงอาศัยโอกาสนี้สัมผัสกับกองกำลังอื่นๆ หากสามารถผูกบุญสัมพันธ์กันได้ย่อมดีที่สุด
เด็กหนุ่มสองคนที่มาร่วมงานเลี้ยงพร้อมกับผู้เฒ่าในครั้งนี้ต่างก็เป็นบุคคลโดดเด่นในบรรดาคนหนุ่มสาวของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ ด้านหลังของคนผู้หนึ่งก็คืองูยักษ์สีชาดยาวสองจั้งตัวนั้นซึ่งกำลังขดตัวเป็นก้อนกลม ส่วนอีกคนหนึ่งข้างกายมีเสือดำตัวใหญ่นอนหมอบอยู่บนพื้น
คนทั้งสองนั่งเคียงข้างกันจึงเกิดเป็นบรรยากาศของมังกรขดพยัคฆ์มอบที่ไม่ธรรมดา
แต่ในขณะที่ทุกคนต่างก็นึกว่าเด็กหนุ่มชุดขาวต้องตายอย่างแน่นอนนั้นเอง การแสดงออกของเขากลับทำให้ทุกคนตะลึงพรึงเพริด
เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้ของเหลวสีทองอร่ามที่แตกตัวเป็นหยดเหล้าเหล่านั้นสาดยิงมาถึง
แต่พอหยดน้ำที่บุกมาด้วยพละกำลังดุดันกระทบลงบนอาภรณ์ของเด็กหนุ่มชุดขาวกลับเหมือนเกล็ดหิมะที่หล่นลงบนเตาไฟขนาดใหญ่ที่กองไฟกำลังลุกโชน เพียงพริบตาเดียวก็หายวับไปหมด
บุรุษชุดดำพยักหน้า พูดกับตัวเองว่า “อาคมวารีไม่อาจรุกราน น่าสนใจไม่น้อย มิน่าเล่าถึงกล้ามาก่อความวุ่นวาย”
ร่างของเขาโน้มมาด้านหน้าเล็กน้อย มองไปยังนักประพันธ์คนนั้นแล้วถามยิ้มๆ “เป็นเพราะชุดคลุมของเด็กหนุ่มมีความลี้ลับหรือว่าสาเหตุอย่างอื่น?”
นักประพันธ์สวมชุดขงจื๊อที่นั่งอยู่ด้านล่างถอนสายตากลับมาจากร่างของเด็กหนุ่ม หันหน้ามาตอบว่า “น่าจะไม่เกี่ยวกับเสื้อคลุม ข้าเดาเอาว่าบนร่างของคนผู้นี้มียันต์หลบน้ำชั้นเยี่ยมของลัทธิเต๋าซ่อนอยู่ อาคมวารีทั่วไปยากที่จะทำลายตราผนึกทางธรรมชาติของยันต์ชิ้นนั้นได้”
บุรุษชุดดำหลุดหัวเราะ “คงไม่เพราะคิดว่ามียันต์ชิ้นนี้ติดกาย ตุ๊กตาน้อยตัวนี้ก็จะมาทำตัวกำเริบเสิบสานอยู่ในจวนมหาวารีของข้าได้กระมัง?”
นักประพันธ์ชุดขงจื๊อยิ้มตอบ “น่าจะยังมีที่พึ่งอย่างอื่นอีก”
บุรุษชุดดำที่มีท่าทางเกียจคร้านเบื่อหน่ายมาโดยตลอดยืดตัวขึ้นตรง “มิน่าเล่า”
จากนั้นเขาก็หันไปสั่งภูตงูน้ำตนนั้นยิ้มๆ ในถ้อยคำไร้เจตนาตำหนิ “ขายหน้าแล้วไหมล่ะ อนุญาตให้เจ้าเป็นผู้สังหารได้ แต่ห้ามใช้คทาเหล็กชิ้นนั้นเด็ดขาด จะได้ไม่ต้องเห็นภาพคนหัวระเบิด เจ้าสะใจ แต่แขกจะสะอิดสะเอียนเอาได้ ห้ามเจ้าล่วงเกินทุกคน”
บุรุษท่าทางนุ่มนวลสุภาพยิ้มตาหยีพลางลุกขึ้นยืน “ขอบพระคุณนายท่านผู้เฒ่าที่มอบรางวัล”
เด็กหนุ่มชุดขาวถอยหลังไปหลายก้าว ที่แท้ก็คิดจะนั่งพักบนธรณีประตู พอนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็โบกมือให้กับภูตงูน้ำที่ลุกเดินอ้อมโต๊ะมา “ไม่ต้องรีบร้อนๆ อย่าเพิ่งรีบร้อนเลย รอฟังข้าพูดให้จบก่อน”
นักประพันธ์และขุนนางยกกระบัตรที่นั่งอยู่ในห้องโถงหันมามองหน้ากัน
บุรุษชุดดำก็ยิ่งกุมท้องหัวเราะเสียงดัง ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างอารมณ์ดี
ในบรรดาแขกทั้งหลายมีคนสองคนที่นั่งอยู่บนตำแหน่งแรกของศิษย์ทรยศของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์อย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง คนทั้งสองต่างก็อายุประมาณสามสิบปี เปี่ยมไปด้วยพละกำลังห้าวเหิม สาดประกายรัศมีคมกริบ
พอเห็นท่าทางเช่นนี้ของเด็กหนุ่มชุดขาว พวกเขาก็ยังคงไม่ยี่หระ
คนหนึ่งในนั้นที่ต่อให้จะกำลังดื่มเหล้าก็ยังคงสะพายกระบี่ยาวไว้ด้านหลัง อีกคนหนึ่งวางกระบี่พาดลงบนโต๊ะ มือขวาอยู่ห่างจากด้ามกระบี่ไกลสุดก็แค่ไม่กี่ฉื่อเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียง แม้จะมองไม่ออกว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของพวกเขาถูกเลี้ยงบำรุงด้วยความอบอุ่นจนสำเร็จผลแล้วหรือไม่ แต่ผู้ฝึกกระบี่ได้รับการยอมรับจากทุกคนว่าเป็นผู้ที่มีพลังการทำลายล้างสูงสุด มีการสะสมตบะไว้ได้ลึกล้ำมากที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนทั้งหมด ต่อให้เป็นนักพรตห้าขอบเขตกลางก็ยังไม่กล้าดูถูกผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างคนใด
เพราะทุกครั้งที่ผู้ฝึกกระบี่เลื่อนขอบเขตหนึ่งครั้ง พลานุภาพของกระบี่บินก็จะทับซ้อนเพิ่มพูน ตบะเพิ่มสูงจนเหนือกว่าผู้ฝึกลมปราณทั่วไป
โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในห้าขอบเขตล่าง หากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เปราะบางทำให้ผู้ฝึกกระบี่สามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางได้สำเร็จก็จะได้พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน
ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่เลื่อนขั้นแล้วหรือมีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน โดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่ที่อายุยังน้อยล้วนถูกยกให้เป็นแขกผู้ทรงเกียรติของกองกำลังฝ่ายต่างๆ บนภูเขามีวลีหนึ่งที่ติดปากผู้คน กล่าวว่า “ในบรรดาห้าขอบเขตกลาง หกสิบปีฝึกลมปราณจนแก่ ร้อยปีฝึกกระบี่ยังเด็ก”
ความหมายก็คือเทพเซียนห้าขอบเขตกลางอายุหกสิบปีถือว่าไม่ใช่บุคคลที่มีพรสวรรค์อะไรแล้ว แต่ห้าเป็นผู้ฝึกกระบี่อายุร้อยปีกลับยังคงเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ!
ผู้ฝึกกระบี่สองคนนี้ที่พร้อมกันใจมาเยี่ยมเยือนจวนมหาวารี คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนอิสระ เล่าลือกันว่าเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของยอดฝีมือพเนจรท่านหนึ่ง ถือเป็นคนของสายลัทธิเต๋า ได้รับมอบอาวุธวิเศษที่ตัดเหล็กได้ราวกับตัดโคลน มีชื่อเรียกว่า ‘คมหัตถ์’
อีกผู้หนึ่งคือศิษย์คนสุดท้ายของเจินเหรินเจ้าประมุขศาลมังกรซุ่ม ระบบของศาลมุงกรซุ่มถือเป็นสายโอสถนอกของพรรคกระถางโอสถลัทธิเต๋า รวบรวมวัตถุวิเศษในฟ้าดิน สร้างเตาหลอมยา ดื่มยาน้ำกินยาเม็ด ช่วยในการฝึกตน
สมบัติสยบขุนเขาคือแท่นฝนหมกโบราณชิ้นหนึ่งที่มีนามว่าแท่นฝนหมึกเจียวเฒ่า เป็นหนึ่งในสิบแท่นฝนหมึกขนาดใหญ่ของแจกันสมบัติทวีป ขอบของแท่นฝนหมึกมีเจียวตัวผอมเล็กบางแต่อายุมากตัวหนึ่งนอนขดจำศีลส่งเสียงกรนเบาๆ
เล่าลือกันว่าแคว้นสู่ในสมัยโบราณเป็นสถานที่ที่มีเจียวและมังกรซุ่มซ่อนอยู่ทั่วสารทิศ คอยก่อเรื่องก่อราว แต่ละพื้นที่ต่างก็ต้องทิ้งเหล่าเซียนให้คอยสังหารมังกรปีศาจ เจียวชั่วร้าย
ว่ากันว่าเจียวเฒ่าตัวน้อยที่นอนหลับสนิทอยู่บนแท่นฝนหมึกโบราณชิ้นนี้ก็คือหนึ่งในสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่หลบพ้นหายนะมาได้
ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของเจ้าประมุขศาลมังกรซุ่ม ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่วางกระบี่พาดอยู่บนโต๊ะมาเยือนในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นตัวแทนของสำนักมาลองปรึกษากับเทพวารีแม่น้ำหันสือที่มีสายอยู่ในราชสำนัก พยายามจะเลื่อน “ศาล” ของชื่อศาลมังกรซุ่มให้กลายเป็น “ตำหนัก”
สำนักเซียนลัทธิเต๋าที่หากคิดจะใช้คำว่า “ตำหนัก” ในชื่อของสำนักไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ก็เหมือนการที่กษัตริย์ของแคว้นหนึ่งแต่งตั้งเจินจวินที่ต้องอยู่ในจำนวนที่แน่นอน ไม่อาจแต่งตั้งพร่ำเพื่อจนกลายเป็นหายนะ ไม่ใช่ว่ากษัตริย์ต้องการให้มีเจินจวินกี่คนก็มีได้มากเท่านั้น แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเลือกสุ่มเลือกนักพรตคนใดคนหนึ่งมาก็ได้ เพราะเมื่อได้รับการยอมรับจากกษัตริย์ก็จะได้รับยศตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ สำนักของลัทธิเต๋าในแจกันสมบัติทวีปจะส่งคนมาตรวจสอบการพิจารณาและตัดสินใจว่าเจินเหรินคนไหนที่มีหรือไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ชิงตำแหน่งเจินจวินของแคว้น
เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีพฤติกรรมแปลกประหลาดมาตั้งแต่ต้นกระแอมหนึ่งที เขาที่นั่งอยู่บนธรณีประตูเอ่ยเสียงดังกังวาน “ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพราะต้องการจะสอนพวกเจ้าว่าเป็นคนควรทำตัวอย่างไร อืม ถือโอกาสสอนพวกเจ้าทำตัวให้สมเป็นเทพเป็นผีไปด้วยเลยแล้วกัน เฮ้อ เหนื่อยเหมือนกันนะนี่”
เด็กหนุ่มเพิ่งจะพูดเกริ่นนำก็ทำสีหน้าท้อแท้เสียแล้ว เพียงแค่เริ่มต้นก็รู้สึกเบื่อ เป็นเหตุให้สามประโยคต่อมา น้ำเสียงของเขาฟังดูแล้วค่อนข้างจะมีแรงแต่ไร้กำลัง
“เป็นคน ต้องซื่อสัตย์เที่ยงธรรม สมกับคำว่าชายชาตรีสามารถค้ำฟ้ายันดิน”
“เป็นเทพ ในเมื่อต้องช่วงชิงก้านธูปก็ต้องประทานความเมตตาแก่สรรพชีวิต ต่อให้วิถีแห่งเทพจะแหลกสลายไปแล้ว ก็ต้องทำให้แน่ใจว่าควันธูปจะสืบเนื่องไม่ขาดสาย ไม่เดินอย่างเดียวดายอยู่บนเส้นทาง”
“เป็นผี ฟ้าดินไม่ต้องการให้ข้ามีชีวิต แต่ข้าจะพิสูจน์ให้เห็นถึงชีวิตอมตะท่ามกลางลมพายุและสายฟ้าวสันตฤดู”
พอคำพูดห้าวหาญสวยหรูที่เดิมทียังพอจะมีความนัยลึกซึ้งให้คนขบคิดอยู่บ้างออกมาจากปากของเด็กหนุ่มชุดขาวกลับเปลี่ยนอรรถรสไปอย่างสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าเป็นคำโอดครวญที่ไร้ซึ่งความจริงใจ
เด็กหนุ่มชุดขาวถอนหายใจ เบ้ปาก พูดกับตัวเองว่า “พี่ใหญ่อาเหลียง คำพูดพวกนี้เจ้าพูดน่ะได้ แต่ข้าไม่ได้จริงๆ”
เด็กหนุ่มชุดขาวถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “ช่างเถอะ ไม่เล่นแล้วๆ มาทำธุระสำคัญของข้าดีกว่า”
จากนั้นเขาก็หันไปมองมุมหนึ่งที่ไม่มีคนแล้วพูดว่า “มีความสามารถนักหนาแค่ไหนกันเชียวถึงได้กล้าทำตัวผดุงคุณธรรมเลียนแบบคนอื่น? คิดว่าตัวเองคืออาเหลียงจริงๆ หรือ? คราวนี้ล่ะดีนัก จิตวิญญาณแหลกสลาย แสงไฟแกว่งไกว หากไม่เป็นเพราะมาเจอข้าที่เชี่ยวชาญเวทแห่งจิตวิญญาณแล้วล่ะก็ ตอนนี้เจ้าจะได้ไปเป็นผีเร่ร่อนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ จะได้เห็นแสงอาทิตย์ตอนกลางวันหรือไม่ แล้วยังจะได้เห็นควันผุดออกจากหลุมศพบรรพบุรุษ (เป็นประโยคในทางฮวงจุ้ย ซึ่งถือเป็นลางดี ลางมหามงคล) ของเจ้าหรือไม่ก็ไม่มีทางรู้ได้ แล้วจะหาเรื่องให้ตัวเองลำบากไปทำไม?”
หลังจากเด็กหนุ่มชุดขาวยกก้นขึ้นจากธรณีประตูก็ชี้นิ้วกราดใส่ทุกคนที่อยู่เบื้องหน้า “บอกตามตรงนะ ในสายตาของข้า พวกเจ้าทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นแค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น”
บรรยากาศเงียบสงัด
เด็กหนุ่มถาม “ไม่เชื่อหรือ?”
ครู่หนึ่งต่อมา จอกเหล้ากลางมือของชายชุดดำก็ระเบิดแตกดังปัง
คนทั่วทั้งจวนมหาวารีมีเพียงเทพแม่น้ำท่านนี้ที่เห็นว่าด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาวคล้ายจะมีเทวรูปอริยะสูงใหญ่หลายจั้งองค์หนึ่งยืนตระหง่าน พลังอำนาจแห่งความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่อัดแน่นอยู่ทั่วฟ้าดิน เทวรูปที่ตั้งอยู่เหนือแท่นบูชาอันกำลังหลุบตามองลงมายังสรรพชีวิตที่เป็นดั่งมดตัวเล็กใต้ฝ่าเท้า
ริมฝีปากของบุรุษชุดเขียวสั่นระริก กลืนน้ำลายลงคอ
ขอบเขตสิบเอ็ด?
หรือว่าขอบเขตสิบสอง?
ตอนที่ 143.1
ร้อยพิสดาร (ท้าย)
โดย
ProjectZyphon
หรือว่าอริยะลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งมาเยือนจวนมหาวารีจริงๆ?
อีกทั้งอริยะขงจื๊อท่านนี้ยังไม่ใช่พวกเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาทั่วไปด้วย?
ชายชุดดำที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานกัดฟันแน่นจนฟันแทบแตก
ท่านั่งของเขาแข็งทื่อ ร่างขึงเกร็ง เทพแม่น้ำหันสือที่วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ทางทิศเหนือแคว้นหวงถิงมาหลายร้อยปีผู้นี้ เวลานี้จำเป็นต้องกำหมัดทั้งคู่แน่นแล้วทุบลงบนที่เท้าแขนบนเก้าอี้แรงๆ ถึงจะฝืนควบคุมอารมณ์วู่วามที่อยากจะลุกขึ้นยืนแล้วลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัววิงวอนอีกฝ่าย
แคว้นหวงถิงก็แค่หนึ่งในแคว้นหัวเมืองใต้อาณัติของต้าสุยเท่านั้น แขกไม่ได้รับเชิญที่อยู่ในเนื้อหนังมังสาของเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ไม่มีทางใช่บุคคลที่เกิดและเติบโตมาในที่แห่งนี้แน่นอน เพราะเขารู้จักผู้ฝึกลมปราณตัวเป้งของแคว้นหวงถิงทุกคนมานานแล้ว ใครที่สามารถหาเรื่องใด ใครที่ควรเอาใจแสดงเจตนาดี การนั่งอยู่บนตำแหน่งอย่างยากลำบากมานานหลายปี บุรุษชุดดำจึงมีความมั่นใจกับเรื่องทุกอย่างนี้อย่างมาก
เจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาทุกแห่ง อย่างน้อยก็ต้องมีตบะขอบเขตที่สิบถึงจะมีคุณสมบัติในการดูแลสำนักศึกษาได้
ส่วนผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่ก็มักจะเป็นดั่งเทพมังกรที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหาง ดังนั้นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบซึ่งค่อนข้างจะใกล้ชิดกับราชวงศ์ในโลกมนุษย์มากกว่าจึงมีคุณสมบัติที่จะได้รับการเรียกขานว่าอริยะลัทธิขงจื๊อ นอกจากนี้อรหันต์ร่างทองของลัทธิพุทธและเทพเซียนพสุธาของลัทธิเต๋าต่างก็ได้รับการเรียกขานอย่างให้เกียรติจากราชสำนักเช่นเดียวกัน
สุดยอดผู้ฝึกลมปราณจำนวนน้อยเหล่านี้ก็เหมือนเทวรูปในศาลเจ้า ตำแหน่งเทพสูงพอ แต่ก็ไม่ถือว่าห่างไกลเกินไปนัก ผู้คนล้วนจุดธูปกราบไหว้ได้ทั่วถึง หาไม่แล้วเหล่าเทพเซียนเฒ่าห้าขอบเขตบนก็คงเหมือนไปหลบซ่อนเร้นกายอยู่กลางเมฆหมอก ต่อให้เจ้าถือหัวหมูมาก็คงหาศาลให้กราบไหว้ไม่เจอ
ดวงตาของบุรุษชุดดำเริ่มแดงก่ำด้วยเส้นเลือดฝอย แสงสีทองอ่อนจางเสี้ยวหนึ่งปรากฏวูบขึ้นมา เขายังคงพยายามอย่างสุดกำลังที่จะไม่กะพริบตา เอาแต่จ้องเขม็งไปยังเทวรูปอริยะด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาว ในการมองเห็นของเขา เหนือแท่นบูชาคือผู้เฒ่าที่เปี่ยมไปด้วยบารมีน่าเกรงขาม เขาสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะส่องแสงเรืองรอง เส้นแสงเป็นเส้นๆ ที่ทอประกายนั้นราวกับแฝงเร้นสัจธรรมแห่งมหามรรคาเอาไว้
เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าเส้นแสงทุกเส้นเกิดจากการร้อยเรียงต่อกันของตัวอักษรสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนที่เปล่งประกายวาววับ เขียนเป็นกฎระเบียบมารยาทพิธีการของลัทธิขงจื๊อไว้หลายข้อ กายธรรมอริยะองค์นี้สวมกวานสูงเข็มขัดกว้าง ชายแขนเสื้อกว้างดั่งปีกวิหคที่ส่ายสะบัดด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีลม ตรงเอวห้อยหยกประดับส่องแสงสุกสว่างพร่างพราว สะดุดตามากเป็นพิเศษ ประหนึ่งดวงจันทร์ดวงจิ๋วที่ลอยอยู่ในโลกมนุษย์
ไม่มีทางเป็นของปลอมได้แน่ คือภาพบรรยากาศของอริยะจริงแท้แน่นอน!
อันที่จริงชาติกำเนิดของชายชุดดำมีที่มาที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่ ได้รับอิทธิพลจากการได้ยินและได้เห็นมาตั้งแต่เด็ก รู้เรื่องวงในที่เป็นความลับมากมาย จึงเป็นคนที่มองคนและเรื่องราวออกพอดี ดังนั้นพอเห็นภาพเหตุการณ์นี้เขาจึงยิ่งหวาดหวั่นพรั่นพรึง หากเปลี่ยนมาเป็นนักพรตห้าขอบเขตกลางบนภูเขาทั่วไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมองเป็นเวทอำพรางตาบางอย่างที่ใช้ตบตา
ในที่สุดชายร่างสูงใหญ่ที่ชุดคลุมสีดำปักภาพมังกรทองขดตัวก็กะพริบตา จำต้องย้ายสายตาออกห่าง น้ำตาที่เกิดขึ้นเพราะความเจ็บแสบดวงตาค่อยๆ กลิ้งไหลออกมาจากกรอบดวงตา แต่ไม่นานก็สลายหายไป เขาย่อมไม่ต้องการเผยความขลาดตัวต่อหน้าแขกมากหน้าหลายตาเหล่านี้ ชีวิตการฝึกตนที่ยาวนาน เขาสามารถเดินมาได้ถึงก้าวนี้ ได้นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงส่งอันทรงเกียรตินี้ ลำพังอาศัยแค่ฐานกระดูกที่ดี โชควาสนาที่ดี ไม่มีจิตใจที่ยึดมั่นหนักแน่นมาประคับประคอง เกรงว่าเมื่อเผชิญกับคลื่นมรสมทั้งหลายแหล่ก็คงถูกคลื่นเชี่ยวกรากของแม่น้ำหันสือพัดหายไปนานแล้ว
ในอดีตเคยมีคนสอนเขาว่า ความรู้ของอริยะ ยิ่งศึกษายิ่งล้ำลึก เทวรูปของอริยะ ยิ่งแหงนมองยิ่งเลื่อมใส
ปัจจุบันกฎเกณฑ์ที่อริยะของลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ในใต้หล้าแห่งนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งยิบย่อยซับซ้อน ระเบียบและพิธีการมั่นคงมากขึ้นทุกที ไม่ได้เหมือนแคว้นสู่สมัยบรรพกาลที่ห่างไกลจนมิอาจหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้อีกแล้ว แผ่นดินของแคว้นสู่ในช่วงเวลานั้นมีเจียวและมังกรอยู่เป็นจำนวนมาก พวกมันไม่ได้รับพันธนาการจากฟ้าดิน เล่าลือกันว่ามีเพียงเซียนกระบี่บุพกาลที่พลังสังหารน่าครั่นคร้ามเท่านั้นถึงจะชอบมาลับคมกระบี่ในที่แห่งนี้ พวกเขาจะขี่กระบี่ข้ามแม่น้ำลำธาร สังหารเจียวและมังกรสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเอง
ฉีจิ้งชุนตายไปแล้วไม่ใช่หรือ? อริยะที่ดูแลถ้ำสวรรค์หลีจูในเวลานี้น่าจะเป็นหร่วนฉงแห่งสำนักการทหารที่หลุดพ้นจากศาลลมหิมะแล้ว
ถ้าอย่างนั้นเขาคืออริยะของฝ่ายไหนกันแน่?
ดูทรงแล้วน่าจะมาร้ายมากกว่ามาดี
ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อให้ผู้เฒ่าราชาสวรรค์ที่มาเยือนถิ่นของตน ตนก็ไม่มีเหตุผลให้ยื่นคอไปให้อีกฝ่ายฟันทิ้ง
บุรุษชุดดำฝืนขับไล่พยับเมฆมืดทะมึนในใจตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กำปั้นมือซ้ายตวัดขึ้นเล็กน้อย แล้วเคาะลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ มองดูคล้ายผ่อนคลายสบายอารมณ์ แต่กลับทำให้จวนมหาวารีทั้งหลังสั่นสะเทือนตามไปด้วย ส่วนแม่น้ำหันสือช่วงที่อยู่ใกล้กับจวนก็เกิดคลื่นลูกยักษ์อย่างไม่มีลางบอกเหตุ ลูกคลื่นทับซ้อนกันเป็นชั้นโหมกระแทกชายฝั่งสองด้านอย่างรุนแรง
บุรุษชุดดำเคาะหนึ่งครั้ง
เรือนกายของทุกคนที่อยู่ในห้องโถงก็โยกคลอนตามไปด้วย กระบี่เล่มยาวที่อยู่ในฝักของผู้ฝึกกระบี่สองคนก็ยิ่งไม่อาจแบกรับแรงกดดันรุนแรงนี้จึงดิ้นรนจนเกิดเสียงกึกกักไม่หยุดคล้ายสัตว์ติดกับที่ดิ้นสะบัด
มีเพียงเด็กหนุ่มชุดขาวเท่านั้นที่ยังคงนิ่งเฉยไม่ขยับ กายธรรมเทวรูปด้านหลังก็ยิ่งมั่นคงดุจขุนเขา
เด็กหนุ่มเงยหน้าเล็กน้อยมองไปยังบุรุษชุดดำที่นั่งอยู่ทางทิศเหนือหันหน้าเข้าหาทิศใต้ มุมปากยกยิ้มดูแคลน
แม้ว่าจวนมหาวารีจะตั้งอยู่ริมแม่น้ำ แต่อันที่จริงแล้วใต้จวนกลับยังมีความลึกลับอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือได้ถูกขุดเจาะเป็นทางน้ำลึกและกว้างไว้นานแล้ว มีการเชื่อมโยงกับโชคชะตาของแม่น้ำหันสือไว้อย่างแน่นหนา อีกทั้งตัวจวนเองยังมีค่ายกลขนาดใหญ่ แม้จะสู้ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของตระกูลเซียนอันดับต้นๆ หรือค่ายกลใหญ่พิทักษ์นครของเมืองหลวงราชวงศ์ไม่ได้ แต่บุรุษชุดคลุมดำมีตบะลึกล้ำ ขอแค่เขาอยู่ที่นี่ ไม่ออกจากพื้นที่แถบนี้โดยพลการก็สามารถมีพลังลี้ลับมาเพิ่มเติมคล้ายได้ครอบครองฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
สามารถฉีกกฎทำได้ถึงขั้นนี้ นอกจากโชควาสนาแล้วยังมีความเกี่ยวข้องกับสายเลือดที่พิเศษของชายชุดดำอย่างมาก
ผู้ฝึกลมปราณโดยทั่วไปขอแค่เลื่อนสู่ขอบเขตสิบ ยกตัวอย่างเช่นสามลัทธิอย่างขงจื๊อ พุทธ เต๋า บวกกับสำนักการทหารอีกหนึ่ง สามลัทธิหนึ่งสำนักสี่ฝ่ายนี้ สำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ วัดวาของลัทธิพุทธ อารามตำหนักของลัทธิเต๋า รวมไปถึงซากปรักสมรภูมิรบโบราณของสำนักการทหาร หากบัญชาการณ์อยู่ในถิ่นของตัวเองก็จะได้ครอบครองฟ้าอำนวยดินอวยชัยและคนสามัคคี เท่ากับเป็นเจ้านายของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง นักพรตคนอื่นๆ ที่เข้ามาในถิ่นของพวกเขาก็ต้องมาพึ่งพา จำเป็นต้องเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ต้องทำตามกฎระเบียบของเจ้าบ้าน
ในห้องโถงใหญ่เงียบสงัดจนกระทั่งหากเข็มตกคงได้ยิน บรรยากาศประหลาดอย่างถึงที่สุด
เทพแม่น้ำหันสือท่านนี้สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์อัศจรรย์ตรงหน้าประตู แต่คนอื่นกลับยังงมโข่ง ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมหลังจากที่เด็กหนุ่มชุดขาวเปล่งวาจาสามหาวแล้ว นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีของพวกเขาถึงเริ่มเหม่อลอย หรือว่าเจ้าเด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนสูงศักดิ์ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจวนมหาวารีมาทุกยุคทุกสมัย? เขาถึงได้กำเริบโอหังถึงเพียงนี้?
แม้ชายผู้มีบุคลิกอ่อนโยนนุ่มนวลจะเดินออกมาจากโต๊ะที่จัดวางอาหารล้ำค่าสุราเลิศรสไว้จนเต็มแล้ว เดิมทีเขาควรจะจับตัวเด็กหนุ่มมาแล้ว ทว่าตอนนี้กลับหยุดฝีเท้า หากไม่รู้จักสังเกตสีหน้าท่าทางผู้คน จะเป็นลูกน้องทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของชายชุดดำได้อย่างไร ภูตงูน้ำที่เจ้าเล่ห์เพทุบายผู้นี้ตระหนักได้แล้วว่าเหตุการณ์ไม่ใคร่จะปกตินัก
ชายชุดดำที่เป็นนายไม่ยอมเอ่ยปากเสียที แม้ว่าการเคาะที่เท้าแขนเก้าอี้ก่อนหน้านี้จะมีพลานุภาพยิ่งใหญ่ มองดูแล้วเป็นการเคาะภูเขากระเทือนเสือ แต่ก็ดูคล้ายจะเป็นแค่การวางมาดเพื่อตบตาผู้คนเท่านั้น
ส่วนเด็กหนุ่มชุดขาวก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา วางท่าว่าเจ้ามีความความสามารถก็มาเตะข้าได้เลย นั่นจึงยิ่งขับให้สถานการณ์พิลึกพิลั่นของจวนมหาวารีเด่นชัดมากกว่าเดิม
ในที่สุดบุรุษชุดดำก็เอ่ยกลั้วยิ้มว่า “ผู้มาเยือนล้วนเป็นแขก ไม่ทราบว่ามีอะไรจะชี้แนะ?”
เขาแอบดึงพลังอำนาจของแม่น้ำส่วนหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในแม่น้ำหันสือมาสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับทั้งจวน พยายามจะใช้สิ่งนี้มาหยั่งเชิงว่าเทวรูปองค์นั้นเป็นของจริงหรือของปลอม เพราะต่อให้มองเหมือนของจริงมากแค่ไหน แต่หากไม่ทดสอบด้วยตัวเองก็ยอมก้มหัวให้คนนอกในบ้านของตัวเองแล้ว บุรุษชุดดำผู้หยิ่งทระนงในตัวเองไม่มีทางทำแน่นอน
หากกายธรรมของเทวรูปองค์นั้นเกิดริ้วกระเพื่อมสักเล็กน้อย บุรุษชุดดำก็ไม่ถือสาหากจะให้ตบกะโหลกเด็กหนุ่มแหลกเละด้วยมือตัวเอง บังอาจมาแกล้งหลอกผีหลอกเจ้าในจวนมหาวารี กล้ามาโกหกต่อหน้าเขา ไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ?
น่าเสียดายก็แต่เทวรูปองค์นั้นมั่นคงดุจภูผา นี่ทำให้นอกเหนือจากจะตื่นตะลึงแล้ว เขายังต้องเก็บความคิดบังเอิญว่าจะโชคดีทั้งหมดลงไปทันที
บนเส้นทางของการฝึกตน ทวนกระแสขึ้นสู่เบื้องบน ควรจะกล้าหาญบุกรุกขึ้นหน้าไปนั้นไม่ผิด ยิ่งเจอศัตรูที่แข็งแกร่งก็ยิ่งต้องกล้าต้องแกร่ง คือหลักการที่ถูกต้องก็จริง แต่บนเส้นทางการฝึกตนก็ไม่ควรดื้อดึงไม่รู้จักพลิกแพลง ห้ามไม่รู้จักยืดหยุ่นตามสถานการณ์เด็ดขาด
เด็กหนุ่มชุดขาวเอามือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งกำหลวมๆ วางไว้ตรงหน้าท้อง ยังคงเป็นท่าทางจองหองกวนโอ๊ยอย่างถึงที่สุด เขากระตุกมุมปาก กล่าวเสียงหยัน “เจ้าลงมือไปแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้คงถึงทีข้าบ้างแล้วกระมัง?”
สีหน้าของบุรุษชุดดำไม่น่ามองอย่างยิ่ง
ภูตงูน้ำตนนั้นทนมองสีหน้าและฟังวาจาระคายหูของเด็กหนุ่มไม่ไหวจริงๆ จึงเดินก้าวยาวๆ ขึ้นหน้า หันหลังให้กับนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีของตน ชายผู้อ่อนโยนสุภาพยกมือข้างหนึ่งขึ้น คทาเหล็กชิ้นหนึ่งก็บินทะยานเข้าหา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหลมเล็ก “ทนไม่ไหวแล้ว สุดจะทนแล้ว! ต่อให้หลังจบเรื่องนายท่านผู้เฒ่าจะลงโทษอย่างหนัก ข้าน้อยก็ต้องทุบหัวของเจ้าเด็กนี่ให้เละก่อนให้ได้ แล้วค่อยเก็บมันสมองของเขาเอามารวมกับน้ำหยกทองในแก้วเหล้า จะได้ให้สมกับคำว่ายอดสุรา”
บุรุษชุดดำสีหน้ามืดทะมึน “ชิง ห้ามไร้มารยาทต่อแข รีบกลับมานั่งที่ซะ”
ชายบุคลิกสุภาพอ่อนโยนที่ถือคทาเหล็กในมือไม่เพียงแต่ไม่ฟังคำสั่ง กลับยังสาวเท้าเดินเร็วขึ้นว่าเดิม “นายท่านผู้เฒ่าอย่ามีเมตตาอีกเลย แขกต่ำทรามมาเยือนบ้าน ไม่รู้มารยาทแบบนี้ก็ให้ข้าน้อยเป็นคนบอกเจ้าเด็กนี่เองว่า เป็นแขกของจวนมหาวารีของพวกเราควรจะทำตัวอย่างไร!”
หลังจากที่เทพวารีแม่น้ำหันสือเอ่ยห้ามปราม ภูตงูน้ำก็รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของนายท่านผู้เฒ่าตัวเองแล้ว หากไม่ต้องการให้ตนล่วงเกินแขกผู้ทรงเกียรติจริงๆ ด้วยนิสัยที่มองดูเหมือนสำรวมถ่อมตัว แต่แท้จริงกลับดุร้ายอำมหิตของนายท่านผู้เฒ่า คงสะบัดชายแขนเสื้อโยนตนออกไปนอกประตูใหญ่แล้ว ไหนเลยจะยังแสร้งพูดจามีมารยาทจอมปลอมอยู่อีก
ในใจภูตงูน้ำคิดว่าคืนนี้โชคไม่เลวเลย ถูกเจ้าปลาหลีตัวนั้นแย่งคุณความชอบครั้งใหญ่ไป แต่หากตนสามารถทวงศักดิ์ศรีให้กับนายท่านผู้เฒ่าต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ด้วยนิสัยมือใหญ่ใจกว้างต่อหน้าคนนอกของนายท่านผู้เฒ่าตน สุราหยกทองที่มีเฉพาะในจวนมหาวารีย่อมหนีไม่พ้นมือเขาแน่
ภูตเผ่าน้ำที่กว่าจะฝึกตนจนกลายร่างเป็นคนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องไม่รู้แน่ว่า คราวนี้นายท่านผู้เฒ่าเทพแม่น้ำที่แบ่งแยกของรางวัลและการลงโทษอย่างชัดเจนของตนคิดจะให้เขาเอาตัวไปตาย เพียงเพื่อพยายามที่จะหยั่งเชิงอีกฝ่ายอีกครั้งด้วยข้ออ้างที่สมเหตุสมผลเท่านั้น
คราวนี้แขกเต็มห้องโถงต่างก็เต็มไปด้วยความรอคอยและคาดหวัง ความรู้สึกที่มึนงงเหมือนเดินในดงหมอกอย่างก่อนหน้านี้ไม่อาจดึงความสนใจของผู้คนได้จริงๆ
ต่อให้เด็กหนุ่มชุดขาวจะเป็นแค่หมอนปักลายดอกไม้ ไม่มีทางหนีทีไหล่ แต่ได้เห็นภาพแม่ทัพใหญ่ลูกน้องของนายท่านผู้เฒ่าเทพแม่น้ำฆ่าคนก็ไม่แล้วเลย
“ดินทับถมเป็นภูเขาสูง ลมฝนเกิดขึ้นที่นี่”
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้แค่จะเหลือบมองไปยังภูตงูน้ำตัวนั้น เด็กหนุ่มชุดขาวยังคร้านจะทำ เขายิ้มตาหยีเอ่ยประโยคที่คล้ายท่องคำภีร์ซึ่งอาจารย์ในโรงเรียนสอนอย่างลวกๆ เห็นได้ชัดว่าเกียจคร้านเอาแต่ใจอย่างถึงที่สุด ทว่าหลังจากเอ่ยประโยคไร้ต้นสายปลายเหตุนี้จบ สีหน้าของเด็กหนุ่มก็พลันเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด เพียงสะบัดร่างก็เปลี่ยนจากคุณชายเสเพลผู้ถากถางสังคมมาเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อผู้คร่ำครึสุดโต่ง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายแห่งเด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผาย
สุดท้ายเด็กหนุ่มยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งแล้วกระทืบอย่างแรงพร้อมตวาดกร้าว “น้ำสั่งสมเป็นหุบเหว เจียวและมังกรถือกำเนิด!”
กายธรรมเทวรูปด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาวก็ยกเท้าขึ้นสูงพร้อมกับเด็กหนุ่มแล้วกระทืบลงมาอย่างรวดเร็ว
บัดนี้บุรุษชุดดำไม่อาจกระดุกกระดิกได้ แค่หายใจยังยากลำบาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา ลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย อยากจะเอ่ยถ้อยคำอ่อนน้อมเพื่อวิงวอน แต่กลับไม่อาจพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว
ประหนึ่งพบเจอกับศัตรูทางธรรมชาติ
ไม่ว่าเจ้าจะตบะลึกล้ำแค่ไหน ขอบเขตสูงไกลเท่าไหร่ หากเจอกับศัตรูทางธรรมชาติก็ยังคงไร้เรี่ยวแรงให้เอาคืน ได้แต่ยืนกุมมือรอความตายแต่โดยดี
มังกรสีทองที่ขดตัวอยู่ตรงหน้าอกของบุรุษชุดดำคล้ายถูกเซียนแต้มนัยน์ตา ถึงขั้นเริ่มว่ายวนอย่างรวดเร็วราวกับมีชีวิตจริง ส่วนชุดคลุมยาวสีเข้มนั้นก็คล้ายทะเลสาบ แต่มังกรสีทองกลับว่ายสะเปะสะปะอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีความผ่อนคลายอิสระเสรีเหมือนเวลาที่เจียวและมังกรอยู่ในน้ำเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความวิปลาสและเจ็บปวด
ระหว่างที่มังกรสีทองยาวครึ่งแขนว่ายชนกระเจิงไปสี่ทิศ แสงสีทองที่เดิมทีสว่างไสวกลับค่อยๆ หม่นมัวหมดความสว่าง อีกทั้งยังมีเส้นแสงสีทองเหมือนขนนกบางๆ หลุดลอกออกมาจากชุดคลุมสีดำ หล่นร่วงลงพื้นแล้วสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
เด็กหนุ่มชุดขาวคลี่ยิ้มพลางเดินออกไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นอีกครั้ง “กะอีแค่สัตว์เลื้อยคลานในบ่อตัวเล็กๆ ก็กล้ามาหยั่งเชิงนายท่านใหญ่อย่างข้าครั้งแล้วครั้งเล่า? การหยั่งเชิงสองครั้งของเจ้าก่อนหน้านี้ ข้าก็จะกระทืบสองทีให้แม่น้ำหันสือของเจ้าแยกออกเป็นสามส่วน ดูสิว่าวันหน้าเจ้าจะควบคุมแม่น้ำใหญ่น้อยสิบหกสายได้อย่างไร”
วินาทีที่เด็กหนุ่มจะกระทืบเท้าลงพื้นเป็นครั้งที่สอง เก้าอี้ใต้ก้นของชายชุดดำก็ระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ เทพแม่น้ำหันสือผู้ยโสโอหังโซเซลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งกุมขย้ำมังกรสีทองตรงหน้าอกตัวนั้นเอาไว้แน่น ไม่ให้มันพุ่งชนมั่วซั่วดุจแมลงวันไร้หัวต่อไป ส่วนมืออีกข้างตบลงอย่างยากลำลาก เพราะเลือดไหลที่ลงมาตรงมุมปาก น้ำเสียงที่เอ่ยจึงแหบพร่าคลุมเครือ “ละเมิดคำสั่ง ล่วงเกินแขกผู้มีเกียรติ สมควรตาย!”
เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว
ตอนที่ 143.2
ศีรษะของภูตงูน้ำจึงระเบิดคาที่
พอศพหงายตึงลงพื้นจึงกลับคืนสู่ร่างจริง กลายเป็นงูน้ำร่างเรียวยาวสีสันสดใสงดงาม
เมื่ออยู่ในห้องโถงใหญ่ที่ว่างเปล่า ยามที่เสียงคทาเหล็กสมบัติอาคมซึ่งเซียนท่านหนึ่งทิ้งไว้ชิ้นนั้นร่วงกระทบลงบนพื้นจึงกังวานและเสียดหูมากเป็นพิเศษ
ฝ่าเท้าของเด็กหนุ่มชุดขาวอยู่ห่างจากพื้นดินไม่ถึงครึ่งชุ่นแล้ว
บุรุษชุดดำไม่มีเวลามามัวเช็ดคราบเลือด เขายืดตัวขึ้นตรง เตรียมจะค้อมเอวขออภัย
เด็กหนุ่มชุดขาวที่เดิมทีหยุดท่ากระทืบเท้าเอาไว้แล้วดวงตาเป็นประกาย ครั้นจึงทำท่ายกฝ่าเท้ากลับอย่างเชื่องช้า
ทว่าจู่ๆ เด็กหนุ่มกลับท่องขึ้นมาอีกว่า “เจียวและมังกรถือกำเนิด”
ฝ่าเท้าเหยียบลงบนพื้น!
คล่องแคล่วว่องไว
เท้าของเทวรูปก็เหยียบตามลงมาด้วยโดยอัตโนมัติ
ฝ่าเท้าของเด็กหนุ่มเหยียบลงบนพื้นหินสีเขียวของจวนมหาวารี
ทว่าเท้าของเทวรูปด้านหลังกลับเหยียบลงบนปราณโชคชะตาของแม่น้ำหันสือ
นิ้วทั้งห้าของชายชุดดำที่กุมจับมังกรสีทองได้แทงทะลุเข้าไปในผิวหนังตรงหน้าอกแล้ว ต่อให้เจ็บปวดทรมานเพียงใดก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ
สิ่งนี้คือแสงสว่างแห่งการพิสูจน์มรรคาของเขา เป็นทั้งการรวบตัวกันของปณิธานแห่งจิตใจ และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นปมในใจ ให้ตายก็ไม่อาจปล่อยมือ!
เด็กหนุ่มชุดขาวคลายหมัดสองข้างที่กำแน่น สะบัดชายแขนเสื้อ ท่วงท่าสง่างามล่องลอยเกินจะเปรียบ เขาเดินขึ้นหน้ามาช้าๆ อ้อมศพของภูตงูน้ำที่น่าสงสาร เงยหน้ามองไปทางตำแหน่งประธาน ยกเท้าเหยียบลงบนคทาเหล็กชิ้นนั้นจนอาวุธตระกูลเซียนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้นพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “นายผู้เฒ่าเทพวารีท่านนี้ รู้สึกแปลกใจมากเลยใช่ไหม?”
เลือดสดหลั่งออกจากทวารทั้งเจ็ด
ชายชุดดำที่สีหน้าซีดเผือดประคองร่างกายที่ส่ายโอนเอนให้มั่นคง เอียงศีรษะพ่นเลือดออกมาหนึ่งคำ จากนั้นก็ก้มหน้าลงมองงูสีทองหม่นที่ร้องโอดครวญอยู่ตรงหน้าอก หลังจากเงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตาของนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีที่ไม่เคยลงมือสังหารศัตรูด้วยตัวเองเป็นเวลาเกือบสองร้อยปีเปลี่ยนมาเป็นเลื่อนลอย พูดเสียงแผ่ว “ท่านเซียนท่านนี้ จะไม่ปล่อยข้าไปสักครั้งจริงๆ หรือ? เซียนซือกระทืบอีกครั้ง ข้าก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
ทุกคนในห้องโถงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ละคนอึ้งงันเป็นไก่ไม้
เทพแม่น้ำที่แทบจะไร้ผู้ใดทัดเทียมในสายตาของพวกเขาถูกคนปั่นหัวเล่นอยู่ในกำมือแบบนี้น่ะหรือ?
เด็กหนุ่มชุดขาวเริ่มมองซ้ายมองขวาอย่างเบื่อหน่ายอีกครั้ง ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่บนร่างของนักประพันธ์ผู้สวมชุดขงจื๊อ ฝ่ายหลังรีบลุกขึ้นกุมมือคารวะ ซ้ำยังค้อมตัวค้างเป็นนานด้วยไม่กล้ายืดเอวขึ้นตรง ไม่เสียแรงที่มีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิต รู้จักกาลเทศะรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ ถ่อมตัวประจบคนอื่นเป็น
เด็กหนุ่มมองไปยังเจ้าอ้วนที่ร่างจริงคือคางคกขวางนที ฝ่ายหลังไม่พูดไม่จาก็ลงไปนั่งคุกเข่า โขกหัวอย่างแรงพลางตะเบ็งเสียงดัง “คารวะท่านเซียน!”
มีเพียงภูตปลาหลีร่างกายกำยำสวมเสื้อเกราะเท่านั้นที่ถลึงตาจ้องตาเด็กหนุ่มชุดขาวเขม็ง
เด็กหนุ่มชุดขาวไม่รอให้ชายชุดดำตวาดสั่งสอนลูกน้องตัวเองก็ชิงพูดกลั้วยิ้มขึ้นเสียก่อน “ฆ่าซะ”
“ข้าจะนับถึงสาม สาม หนึ่ง”
แม้เด็กหนุ่มชุดขาวจะจงใจเล่นแง่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเตรียมจะกระทืบเท้าอีกครั้ง
ข้อนี้เขาเรียนรู้มาจากคนบางคน
คาดไม่ถึงว่าชายชุดดำผู้นั้นจะตัดสินใจเฉียบขาดมากกว่า ขุนพลผู้กล้าผู้ใต้บังคับบัญชาอันดับหนึ่งของตน คิดจะฆ่าก็ฆ่าได้ง่ายๆ
เห็นเพียงว่าชั่วกะพริบตา เขาก็มายืนอยู่ด้านหลังภูตปลาหลี ฝ่ามือข้างเดียวที่เหลืออยู่เพราะอีกข้างใช้กุมหน้าอกทะลวงจากด้านหลังจนทะลุหน้าอกด้านหน้าของขุนพลเอก ก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนที่เต็มไปด้วยเลือดสดกลับคืน กดศีรษะชายร่างกำยำที่ตายตาไม่หลับเอาไว้ เพียงผลักเบาๆ ศพของอีกฝ่ายก็พ้นทาง เพียงไม่นานหัวใจดวงนั้นกลายมาเป็นโอสถสีแดงสดขนาดเท่าไข่ห่าน ชายชุดดำจึงโยนใส่ปากแล้วกลืนลงท้องไปอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มชุดขาวยังรักษาคำพูดจึงเก็บเท้าข้างนั้นกลับคืนอย่างไม่เต็มใจนัก
เขามองไปยังหนึ่งผู้เฒ่าสองเด็กหนุ่มของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ยิ้มๆ “รู้จักข้าหรือไม่?”
ผู้อาวุโสฝ่ายนอกของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน กุมมือก้มหน้ากล่าวว่า “ก่อนหน้านี้พวกเรามีตาแต่ไม่มีแวว หวังว่าเซียนซือจะให้อภัย ข้าขอเชิญเซียนซือไปเป็นแขกที่พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา…”
ไม่รอให้ผู้เฒ่าผมขาวกล่าวจบ เด็กหนุ่มก็เริ่มออกคำสั่งอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็ควักลูกตาออกมา”
นาทีถัดมาในมือของชายชุดดำก็มีดวงตาเพิ่มมาอีกคู่หนึ่ง ผู้เฒ่ายกสองมือกุมใบหน้า ระหว่างร่องนิ้วมีเลือดสดทะลักอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้เฒ่ากลับกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างแรง พยายามสุดชีวิตที่จะไม่ให้ตัวเองแผดเสียงออกมา
เด็กหนุ่มชุดขาวปรายตามองเด็กหนุ่มของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์สองคนที่สีหน้าซีดขาว “ถือว่าลูกหมาอย่างพวกเจ้าโชคดีที่ที่นี่คือแคว้นหวงถิง ไม่ใช่แผ่นดินของต้าหลี”
นักพรตหนุ่มสองคนที่มีอนาคตกว้างไกลโล่งอกได้เล็กน้อย
แต่เด็กหนุ่มกลับพูดอีกว่า “แต่พวกเจ้าก็ไม่ได้โชคดีถึงขนาดไหน พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เจ้าประมุขยันผู้อาวุโสทุกคนเป็นพวกโง่เง่ากันแทบทั้งหมด ยืนกรานที่จะจงรักภักดีต่อสกุลหงแคว้นหวงถิง ดังนั้นพวกเจ้าก็ตายไปด้วยกันให้หมดนั่นแหละ”
เป็นครั้งแรกที่ชายชุดดำลังเลที่จะลงมือ
เด็กหนุ่มยืนสองมือไพล่หลัง หัวเราะพรืด “จวนมหาวารีของพวกเจ้าสร้างสถานการณ์ครั้งนี้ขึ้นมา นอกจากจะหยั่งเชิงว่าผู้พิทักษ์เมืองฉลาดพอหรือไม่ ยังเป็นเพราะเจ้าแน่ใจมานานแล้วว่าพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับฮ่องเต้สกุลหงแคว้นหวงถิง ถือเป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน (คล้ายสำนวนไทยลงเรือลำเดียวกัน) แต่เจ้ากลับไม่ยอมฝังร่างอยู่ใต้กีบเท้าม้าเหล็กของกองทัพต้าหลีไปพร้อมกับพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์และสกุลหงแคว้นต้าหลีที่โง่เขลาเบาปัญญา ถึงได้จงใจใช้โอกาสนี้ตัดขาดผลบุญควันธูปน้อยนิดที่มีร่วมกันในอดีตทิ้ง ยามที่กองทัพต้าหลีบุกลงใต้ สกุลหงถูกฆ่าล้างพินาศวอดวายแล้ว จวนมหาวารีของเจ้าจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนโดนลูกหลงของไฟสงครามไปด้วย”
เด็กหนุ่มจุ๊ปากพูด “วิธีการที่ชั่วร้ายต่ำทรามเช่นนี้ก็มีแค่พรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่โง่เง่าเต่าตุนเท่านั้นถึงมองไม่ออก มีตาแต่ไร้แวว มีตาแต่ไร้แววจริงๆ พูดได้ดี แต่ก็ยังต้องตายอยู่ดี”
สีหน้าของชายชุดดำเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่หยุดนิ่ง แต่แล้วเขาก็หัวเราะร่าเสียงดัง อารมณ์เบิกบานกว่าเดิมเยอะมาก หันไปตบคนทั้งสามของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์คนละหนึ่งฝ่ามือ เพียงชั่วพริบตาหัวกะโหลกของพวกเขาก็แหลกเละ ถึงขั้นคนทั้งสามไม่ทันได้ร่ายเวทอภินิหารเลยด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มชุดขาวเดินช้าๆ มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งประธานของห้องโถงใหญ่ ระหว่างนี้ตอนที่เดินเฉียดไปใกล้กับผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสองคน เขายังหันหน้ามาเอ่ยยิ้มๆ โดยไม่หยุดชะงักฝีเท้า “คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนอิสระที่มีที่มาไม่ถูกทำนองคลองธรรม ควรจะเป็นหรือตาย ยังไม่ต้องรีบร้อน ค่อยดูว่าหลังจากนี้ข้าจะอารมณ์ดีหรือร้าย ส่วนอีกคนหนึ่งคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจินเหรินเจ้าประมุขศาลมังกรซุ่ม ฐานะพอจะมีน้ำหนักอยู่บ้าง ขอข้าคิดดูก่อน ที่เจ้ามาที่นี่คงเพื่อเพราะคำว่า ‘ตำหนัก’ สินะ? ข้าเดาคำตอบได้ถูกเป็นเรื่องแปลกนักหรือ เจ้าเลิกทำหน้าเหมือนคนกินขี้ได้หรือไม่? หากเจ้ายังทำอย่างนี้ นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีอาจจะทำให้มีบุปผาเบ่งบานจากหัวกะโหลกของเจ้าก็เป็นได้”
ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองคนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม ไหนเลยจะเคยพบเจอกับเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้ ตอนนี้พวกเขาถึงขั้นคิดอยากตายแล้วด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มชุดขาวเดินหน้าต่อ แต่แล้วจู่ๆ ก็หยุดเดิน มองไปยังนักประพันธ์ที่รูปลักษณ์ภายนอกแสดงถึงคำว่าประจบสอพลอเด่นหรา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในคดีลับลำดับที่สามของศาลาใบไผ่ ชื่อจริงของเจ้าน่าจะเป็นถังเจียง ใช่ไหม? ลองคำนวณดูแล้ว เจ้าก็น่าจะซ่อนตัวอยู่ในแคว้นหวงถิงมานานหลายปีแล้ว ลำบากแล้วจริงๆ ไม่มีคุณความชอบอะไร แต่ก็พอจะมีคุณความเหนื่อยยากที่มีก็เหมือนไม่มีอยู่บ้างเล็กน้อย อืม ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองเล่าภารกิจที่หัวหน้าของเจ้าสั่งให้ทำซึ่งเขียนไว้ในรายงานลับที่เจ้าเพิ่งได้รับมาให้นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีฟังสักหน่อยสิ คราวนี้พวกเจ้าสองสหายจะได้ถือว่าเป็นพี่น้องที่ลงเรือลำเดียวกันอย่างแท้จริงแล้ว”
เวลานี้ฝ่ายหลังไม่เหลือท่าทางประจบสอพลออีกแล้ว บุคลิกพลันเปลี่ยนมาเป็นสุขุมไม่ยินดียินร้ายกับลาภยศสรรเสริญ กุมมือคารวะกล่าวว่า “ถังเจียงนักรบเดนตายลำดับสามแห่งศาลาไผ่เขียวคารวะ…”
กล่าวมาถึงช่วงท้าย หน่วยกล้าตายของศาลาไผ่เขียวต้าหลีผู้นี้ก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย ด้วยไม่รู้ว่าควรจะเรียกบุคคลยิ่งใหญ่ที่แฉตัวตนของตนตรงหน้านี้อย่างไร
คนที่สามารถรู้ถึงองค์กรลับในระดับของศาลาไผ่เขียวนี้ ในราชสำนักต้าหลีมีน้อยจนนับนิ้วได้ ดังนั้นถังเจียงจึงไม่ปิดบังอำพรางตัวอีกต่อไป นับประสาอะไรกับที่หากถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว หากเด็กหนุ่มชุดขาวคือศัตรูคู่อาฆาตของต้าหลีจริงๆ ตัวตนของเขาถังเจียงรั่วไหลไปแล้วก็ยิ่งมีแต่ความตายรออยู่เบื้องหน้า ต่างกันแค่ว่าจะตายเร็วหรือตายด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น
เด็กหนุ่มชุดขาวโบกมืออย่างห่อเหี่ยว “ช่างเถอะ ตอนนี้เรียกข้าว่าอะไรก็ไม่มีความหมายทั้งนั้น”
เด็กหนุ่มจ้องเขม็งไปยังใต้เท้ายกกระบัตรที่สองขาสั่นสะท้านนิ่งๆ ไม่เอ่ยคำใด
ขุนนางยกกระบัตรส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ของแต่ละพื้นที่ ฮ่องเต้สกุลหงรู้สึกว่าทำเช่นนี้ถึงจะสามารถควบคุมผู้ว่าการมณฑลจากต่างถิ่นที่มาเป็นขุนนางได้ ทั้งสองฝ่ายต่างคานอำนาจกันเอง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถก่อให้เกิดสถานการณ์อย่างการแบ่งแยกดินแดนตั้งตนเป็นอิสระ และนี่ก็คือเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งของแคว้นหวงถิง
เด็กหนุ่มชุดขาวใคร่ครวญเล็กน้อยก็ชี้ไปที่ใต้เท้ายกกระบัตร
ฝ่ายหลังทรุดตัวนั่งคุกเข่าโขกศีรษะเรียบร้อยแล้ว “ขอท่านเซียนซือแห่งต้าหลีโปรดเมตตา ข้าน้อยยินดีเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่าน หากพูดปดเพียงครึ่งคำก็ขอให้ฟ้าผ่าไม่ตายดี!”
เด็กหนุ่มชุยฉานชี้ไปยังคนผู้นั้น “ลุกขึ้นมาเถอะ เจ้าไม่ต้องตาย หลังออกจากจวนมหาวารีแห่งนี้ไปแล้ว เจ้าจงไปหาผู้ว่าการมณฑลเฒ่าที่อายุมากผู้นั้นแล้วถามเขาตรงๆ ว่ายังอยากจะเป็นใต้เท้าผู้ว่าฯ ต่อหรือไม่ แค่เปลี่ยนจากผู้ว่าฯ แคว้นหวงถิงมาเป็นผู้ว่าฯ ของราชวงศ์ต้าหลีข้า หากพยักหน้ารับปากย่อมดีที่สุด วันหน้าพวกเจ้ายังเป็นเพื่อนร่วมงานกันได้ แต่หากไม่ยอม ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สังหารเขาซะ จำไว้ว่าถึงเวลานั้นให้เอาศีรษะของผู้ว่าฯ เฒ่าคนนี้ส่งไปยังโรงเตี๊ยมชิวหลูที่อยู่ในมือ ไปหาหลิวเจียฮุ่ยนักพรตของทำเนียบตะวันม่วง เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น นางจะเข้าใจทุกอย่างได้เอง”
ทุกคนต่างก็รู้ว่าการยกทัพบุกลงใต้ของต้าหลีเป็นสถานการณ์ที่แน่นอนแล้ว
เพียงแต่ว่าตอนนี้เพิ่มความเร็วขึ้นจากเดิมเล็กน้อยก็เท่านั้น
เด็กหนุ่มชุยฉานมองใต้เท้ายกกระบัตรที่น้ำมูกน้ำตาไหลนองเต็มหน้าแล้วก็ส่ายหน้า “น่าสงสารจริงๆ รีบไสหัวไปเถอะ อย่ามาอยู่ขวางหูขวางตาตรงนี้เลย”
บุรุษที่สวมชุดขุนนางรีบลุกขึ้นยืนทันใด
เด็กหนุ่มพลันถามว่า “ดีใจหรือไม่?”
บุรุษตกใจจนหน้าไร้สีเลือด ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มโบกมือบอกเป็นนัยให้เจ้าหมอนี่รีบไสหัวไป จากนั้นก็ไม่มองเขาอีก ตัวเองเดินตรงไปยังตำแหน่งประธาน หลังจากนั่งลงบนโต๊ะตัวใหญ่เรียบร้อยถึงสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เก้าอี้หยกขาวลักษณะโบราณเรียบง่ายตัวหนึ่งก็ปรากฎขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า
เด็กหนุ่มชุดขาวจึงนั่งลงบนเก้าอี้หยกขาว
เทพแม่น้ำหันสือที่ถูกยึดบ้านยืนอย่างนอบน้อมอยู่ในห้องโถง
เด็กหนุ่มชุยฉานมองไปนอกประตูใหญ่ กล่าวอย่างเกียจคร้าน “นอกจากนักพรตพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่รังแกอาจารย์ลบล้างบรรพชนผู้นั้นแล้ว คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องจะเทียบกับมดสักตัวก็ยังไม่ได้ รบกวนนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีฆ่าให้หมด ให้พวกเขาไปอยู่เป็นเพื่อนกันบนเส้นทางน้ำพุเหลือง”
เด็กหนุ่มชุดขาวยกกาเหล้าขึ้นมาแกว่ง “ใช่แล้ว พวกเจ้าอยากจะดื่มสุราหยกทองสักจอกหนึ่งก่อนออกเดินทางหรือไม่?”
ในที่สุดพวกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ก็เริ่มผรุสวาทด่าทอเสียงดัง บางคนก็ตกใจจนตัวอ่อนลงไปนอนกองกับพื้น บางคนเริ่มเผ่นหนีอย่างบ้าคลั่ง
เด็กหนุ่มชุยฉานเริ่มเงยหน้าขึ้นกรอกเหล้าเข้าปาก
มือข้างหนึ่งจับกาเหล้า
มืออีกข้างหนึ่งกำแน่น ความเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้านส่งมาจากกลางฝ่ามือเป็นระลอก
การเฆี่ยนตีแต่ละครั้งล้วนฟาดลงบนจิตวิญญาณ
เด็กหนุ่มปล่อยให้สุรากระจอกเลอะเทอะ เพราะอย่างไรซะบนร่างของเขายังมียันต์หลบน้ำแผ่นนั้นอยู่ หยดสุราจึงกลิ้งผ่านชุดสีขาวหล่นลงบนพื้นคล้ายหยาดฝนที่กลิ้งบนใบบัวที่เอนเอียง
เด็กหนุ่มชุยฉานโยนกาเหล้าไปเบื้องหน้าเบาๆ เอนหลังพิงเก้าอี้หยกขาว ใบหน้าที่แหงนเงยขึ้นบิดเบี้ยวเล็กน้อย เขาพร่ำท่องในใจว่า “ตาเฒ่า เจ้าซิ่วไฉตัวเหม็น ตาแก่หนังเหนียวตายยาก! ต่อให้จิตวิญญาณของข้าผู้อาวุโสแยกจากกัน แต่ก็ยังคงเป็นข้าชุยฉาน เจ้าแน่จริงก็ตีข้าให้ตายเลยสิ! ใครกันที่บอกว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นชั่วร้าย? ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ?!”
เขาบิดลำคอคล้ายกำลังคุยกับใครบางคนเหมือนตอนแรกที่เผยตัวนอกธรณีประตู “ข้าไม่ฆ่าศัตรูของเจ้า เจ้าผิดหวังมากเลยใช่หรือไม่? เจ้านึกว่าข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้า คิดไม่ถึงว่าข้าจะเลวทรามไม่สมควรได้รับการอภัยยิ่งกว่าพวกเขาก็เลยผิดหวังมากกว่าเดิมใช่หรือไม่?”
เด็กหนุ่มชุดขาวไม่รอฟังคำตอบจากดวงวิญญาณนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อ สลายเศษซากจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของอีกฝ่ายให้แหลกลาญ
นับตั้งแต่ที่เขาเผยกายตรงจุดพักม้าด่านเหย่ฟูชายแดนต้าหลี ตลอดทางที่เดินทางมา ไหนเลยจะเป็นแค่การเดินเที่ยวชมทัศนียภาพเป็นเพื่อนเด็กๆ กลุ่มหนึ่ง
การเข่นฆ่าเกิดขึ้นทั่วทุกมุมในห้องโถง
เด็กหนุ่มวางมือข้างที่เจ็บปวดไว้ตรงหน้าท้อง มืออีกข้างที่สบายดียกขึ้นปิดปากที่อ้ากว้างเพราะหาว
ภูเขาและแม่น้ำเปลี่ยนง่าย สันดานมนุษย์เปลี่ยนยาก
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น