พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1411-1416

 บทที่ 1411 ครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ ก็ครองใต้หล้าได้

Ink Stone_Fantasy

“ตระกูลเซี่ยโห้ว?” เหมียวอี้ค่อนข้างประหลาดใจ


“ใช่!” อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่ก่อนจะมาข้าไปสืบกับคนเก่าคนแก่ของลัทธิมารมาถึงได้รู้ ถ้าจะบอกว่าอำนาจที่อยู่ฉากหน้าล้วนอยู่ในมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะ เช่นนั้นอำนาจในที่ลับที่มีอิทธิพลมากที่สุด ที่จริงแล้วก็คือตระกูลเซี่ยโห้ว เพียงแต่ตระกูลเซี่ยโห้วค่อนข้างอยู่อย่างสงบเสงี่ยม บวกกับคนที่มีเจตนาไม่ดีก็ไม่อยากจะให้ตัวเองลำบาก ดังนั้นเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับตระกูลเซี่ยโห้ว นอกจากคนรุ่นก่อนก็มีคนรู้ไม่เยอะเท่าไร จากที่ฟังคนรุ่นก่อนพูดมาก็มีอยู่ประโยคหนึ่ง ครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ ก็ครองใต้หล้าได้!”


“ครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ ก็ครองใต้หล้าได้?” เหมียวอี้ตกใจไม่เบา ถามว่า “คำพูดนี้กล่าวเกินไปหน่อยรึเปล่า?”


“ตอนแรกที่ข้าได้ยินคำพูดนี้ ข้าก็ตกใจอยู่บ้างเหมือนกัน หนิวเอ้อร์ เจ้าเคยได้ยินเรื่องพระปีศาจหนานโปรึเปล่า?” อวิ๋นจือชิว


เหมียวอี้อึ้งไปสักครู่ จากนั้นก็ยิ้มเจื่อน “แค่เคยได้ยินเสียที่ไหนล่ะ เป็นไปได้สูงว่าตอนนี้ศีลแปดจะอยู่กับพระปีศาจหนานโปด้วย”


“…” ครั้งนี้ถึงคราวที่อวิ๋นจือชิวจะตกใจบ้างแล้ว หลังจากพูดไม่ออกไปพักใหญ่ นางก็คลายแขนสองข้างออกจากคอของเหมียวอี้อย่างช้าๆ แล้วถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ศีลแปดไปอยู่กับเขาได้ยังไง พระปีศาจหนานโปตายแล้วไม่ใช่เหรอ?”


“มีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆ ไต้ซือศีลเจ็ดก็ส่งข่าวมาให้ข้า บอกแค่ว่าพระปีศาจหนานโป…” เหมียวอี้เล่าให้ฟังไม่หยุด เล่าเรื่องที่ตัวเองเข้าใจให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง บอกว่าจนกระทั่งวันหนึ่งที่ทูตตรวจการซ้ายเกาก้วนมาถามเขาเรื่องปีศาจโลหิต เขาถึงได้รู้จากปากเกาก้วนว่าศีลแปดอยู่ที่ไหน


“ทำไมเกาก้วนถึงบอกเรื่องพวกนี้กับเจ้า มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน?” อวิ๋นจือชิวระแวงไม่หาย


เหมียวอี้บอกว่า “ข้าสงสัยว่าเป็นเรื่องจริง เจ้าไม่ค่อยรู้จักศีลแปดดีเท่าไร แต่ข้ากลับรู้จักนิสัยของเขาดี พฤติกรรมของพระหนุ่มนั่น เหมือนเป็นเรื่องที่ศีลแปดสามารถทำได้จริงๆ คนที่ไม่รู้จักศีลแปดไม่มีทางบรรยายได้เหมือนขนาดนี้แน่ การวางตัวของไต้ซือศีลเจ็ด เจ้าเองก็รู้เหมือนกัน เขาสามารถทำเรื่องที่เสียสละตนเองเพื่อคนอื่นได้จริงๆ มิหนำซ้ำข้าก็สงสัยมานานแล้วว่าศีลแปดกับปีศาจโลหิตอยู่ด้วยกัน ครั้งนี้ก็แค่ได้รับการพิสูจน์ก็เท่านั้นเอง”


อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง นำเบาะแสแต่ละอย่างที่สอดคล้องกันมารวมกัน เกรงว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเรื่องจริง นางถามว่า “แล้วตอนนี้เจ้ามีแผนที่จะทำยังไง?”


เหมียวอี้บอกว่า “ยังจะทำยังไงได้อีกล่ะ? ถ้านี่เป็นเรื่องจริง ศีลแปดกับไต้ซือศีลเจ็ดก็ต้องรออีกหนึ่งพันปีหลังถึงจะหลุดพ้นออกมาจากที่นั่น และตอนนี้ข้าก็ยังหาทางไปที่นั่นไม่ได้ ถ้าข้าเดาไม่ผิด ช่วงก่อนหน้านี้ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาดึงกำลังพลกลุ่มใหญ่ไปปฏิบัติภารกิจที่น่านฟ้าเถาะติง ก็เกรงว่าคงจะไปตามหาสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปนั่นแหละ ตอนนี้ข้าก็ไม่มีหนทางจริงๆ ทำได้เพียงดูไปทีละก้าว”


อวิ๋นจือชิวพยักหน้าถอนหายใจ “น้องชายเจ้านี่ก็จริงๆ เลย ทำให้เบาใจไม่ได้เลย”


“ไม่ต้องพูดถึงเขาแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วที่เจ้าพูดถึงเมื่อกี้ แถมยังโยงไปที่พระปีศาจหนานโปด้วย หมายความว่าอะไร?” เหมียวอี้ถาม


อวิ๋นจือชิวเล่าว่า “พระปีศาจหนานโปเป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้าในปีนั้น เรียกได้ว่าเก่งกาจไร้เทียมทาน ตระกูลเซี่ยโห้วก็ถูกอุ้มชูขึ้นมาโดยมือของพระปีศาจหนานโปนี่แหละ ในตอนนั้นใต้หล้ายังไม่มีกฎสวรรค์อะไรควบคุม มีแค่ธรรมะและอธรรม เป็นการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม ผลัดกันขึ้นผลัดกันลงซ้ำไปซ้ำมา การผงาดขึ้นของพระปีศาจหนานโปก็ยิ่งทำให้ระหว่างธรรมะและอธรรมสับสนวุ่นวาย และท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนั้น ตระกูลเซี่ยโห้วก็ได้รับการอุ้มชูจากพระปีศาจหนานโป ได้รับทรัพยากรจำนวนมาก เรียกได้ว่าในตอนนั้นเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของใต้หล้าเลย ที่จริงจนกระทั่งตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในใต้หล้าอยู่ เพียงแต่พระปีศาจหนานโปในตอนนั้น หลังจากเก่งกาจไร้เทียมทานแล้วก็ลืมตัว ตั้งตนเป็นเทพที่ครอบงำทุกอย่างในโลก ฆ่าคนตามอารมณ์ตัวเอง มองสรรพสิ่งในโลกนี้ราวกับมด และด้วยความที่หัวหน้าตระกูลคนแรกของเซี่ยโห้วพูดผิดหู ถึงได้ตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป โดนทำลายทั้งร่างและวิญญาณ ไม่มีวันกลับชาติมาเกิดได้อีก


เซี่ยโห้วท่าลูกชายของเขา หรือท่านปูของราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ในตอนนี้ เพื่อที่จะกลายเป็นหัวหน้าตระกูลคนที่สองของตระกูลเซี่ยโห้ว ภายนอกเขารับใช้พระปีศาจหนานโปอย่างระมัดระวัง แต่ในใจกลับมีเจตนาล้างแค้น แอบสนับสนุนเลี้ยงดูยอดฝีมือขึ้นมาหกคน แล้วอาศัยโอกาสยุยงให้พระปีศาจหนานโปไปสู้กับยอดฝีมืออีกสามคน ผลก็คือถึงแม้พระปีศาจหนานโปจะชนะ แต่กลับโดนโดนยอดฝีมืออีกสามคนโจมตีจนสาหัส ยอดฝีมือหกคนที่เซี่ยโห้วท่าปั้นขึ้นมาจึงฉวยโอกาสลงมือ ฉวยโอกาสตอนที่พระปีศาจหนานโปบาดเจ็บสาหัส สังหารให้ตายได้ภายในครั้งเดียว จากนั้นเซี่ยโห้วท่าก็อาศัยกำลังทรัพย์ กำลังคนและทรัพยากรมหาศาลของตระกูลเซี่ยโห้วเพื่อสนับสนุนให้ยอดฝีมือหกคนนั้นเป็นใหญ่ พวกเขาก็คือประมุขปราชญ์หกลัทธิในตอนหลังนั่นเอง”


เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “ที่จริงประมุขปราชญ์หกลัทธิก็คือลูกศิษย์ของพระปีศาจหนานโปนี่เอง”


“หา! พวกเขาเป็นศิษย์ของพระปีศาจหนานโปเหรอ?” อวิ๋นจือชิวตกตะลึงไม่หยุด ถามอีกว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”


เหมียวอี้ส่ายหน้า “ข้ารู้มาจากปากจินม่านนิดหน่อย แต่จินม่านบอกไม่ละเอียด นางไม่ได้เอ่ยเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลเซี่ยโห้ว เจ้าเล่าต่อสิ”


อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “หลังจากประมุขปราชญ์หกลัทธิครองใต้หล้าแล้ว ก็ยังหวาดกลัวอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ดี ทุกคนมีเจตนาจะลดอำนาจ กดดันให้ตระกูลเซี่ยโห้วหายใจไม่คล่อง วางแผนทำลายอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วให้หมดไปผลปรากฏว่ากดดันจนตระกูลเซี่ยโห้วต้องโต้กลับ เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ตระกูลเซี่ยโห้วจึงอุ้มชูลูกศิษย์ของยอดฝีมือสามคนที่โดนหนานโปฆ่าในปีนั้นให้มาแทนที่ประมุขปราชญ์หกลัทธิ นั่นก็คือประมุขพุทธะ ประมุขชิงและประมุขไป๋ ต้องรู้ไว้ว่าในปีนั้นประมุขปราชญ์หกลัทธิกำลังควบคุมใต้หล้า มีกำลังคนเยอะและมีอำนาจมาก มีลูกน้องเยอะมาก ถ้าฆ่าประมุขปราชญ์หกลัทธิทิ้งอย่างเดียวก็ควบคุมใต้หล้าได้ยากอยู่ดี ตระกูลเซี่ยโห้วก็เลยทุ่มเททรัพยากรจำนวนมหาศาลเพื่อสนับสนุนอีก ถึงได้ทำให้ประมุขพุทธะ ประมุขชิง ประมุขไป๋ทำให้ใต้หล้าสงบได้ กลายเป็นสามมหาราชัน


ตอนหลังมีประมุขปีศาจโผล่มาอีก กลายเป็นสี่มหาราชัน แต่ไม่นานก็เกิดขัดแย้งกันภายใน ตระกูลเซี่ยโห้วซึมซับบทเรียนมาแล้วสองครั้ง รู้ว่าถ้าคนใดคนหนึ่งได้เป็นใหญ่ก็ล้วนไม่เป็นผลดีกับตระกูลเซี่ยโห้ว ถึงได้พยายามต้อนรับขับสู้อยู่ระหว่างสี่มหาราชัน หวังว่าสี่มหาราชันจะควบคุมกันและกันเพื่อรักษาสมดุลต่อไป ส่วนตระกูลเซี่ยโห้วก็คงอยู่ในตำแหน่งเหนือข้อพิพาทระหว่างพวกเขา แต่ใครจะคิดว่าประมุขพุทธะกับประมุขชิงจะรับปากแต่ภายนอก แต่กลับแอบวางแผนกันอย่างลับๆ พอสบโอกาสก็ชิงลงมือก่อนอย่างเด็ดขาด โจมตีประมุขไป๋กับประมุขปีศาจจนพ่ายแพ้ แล้วตระกูลเซี่ยโห้วก็เลยเสี้ยมประมุขพุทธะกับประมุขชิงให้เกิดความขัดแย้งอีก หวังจะสร้างความสมดุลอีกรูปแบบหนึ่งขึ้นมา แล้วค่อยมุ่งแสวงหาผลประโยชน์อยู่ตรงกลาง


ทว่าสิ่งที่ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วคิดไม่ถึงก็คือ ประมุขพุทธะกับประมุขชิงจะหาวิธีการอยู่ร่วมกันแบบสันติ ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้า ไม่สร้างภัยคุกคามใดๆ ต่อกันและกัน อาศัยกันและกันเพื่อต่อสู้กับภายนอก จะเห็นได้ว่าระหว่างทั้งสองวางแผนกันมานานแล้ว ความฝันที่ตระกูลเซี่ยโห้ววางแผนหลายตลบถูกประมุขพุทธะกับประมุขชิงทำลายแล้ว ทว่าอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังเห็นๆ กันอยู่ กอปรกับลูกน้องเก่าที่เหลือรอดของหกลัทธิ ภัยคุกคามจากลูกน้องเก่าของประมุขไป๋กับประมุขปีศาจ ใต้หล้าสับสนวุ่นวาย มีสงครามเกิดขึ้นทุกที่ เพื่อที่ประมุขพุทธะกับประมุขชิงจะนั่งอยู่ในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง ก็ยังต้องอาศัยการสนับสนุนของตระกูลเซี่ยโห้ว ประมุขชิงถึงได้แต่งงานกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หลานสาวของเซี่ยโห้วท่าและแต่งตั้งเป็นราชินีสวรรค์ ถึงได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้วให้คุมใต้หล้าจนสงบได้อย่างรวดเร็ว


แต่หลังจากใต้หล้าสงบแล้ว ต่อให้จะแต่งตั้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นราชินี แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังหนีไม่พ้นชะตากรรมที่โดนกดดัน ประมุขชิงเป็นคนแรกที่ลงดาบกับตระกูลเซี่ยโห้ว ลดอำนาจตระกูลเซี่ยโห้วครั้งแล้วครั้งเล่า กดดันจนตระกูลเซี่ยโห้วแทบจะไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงในตำหนักสวรรค์เลย”


นี่เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้ฟังเรื่องแบบนี้ เขากล่าวอย่างตกใจว่า “นึกไม่ถึงว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะมีอดีตที่รุ่งโรจน์ขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าความเจริญและความเสื่อมโทรมของผู้เป็นใหญ่หลายรุ่นล้วนไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว สนับสนุนอุ้มชูผู้เป็นใหญ่ขึ้นหลายรุ่น หลังจากผู้เป็นใหญ่ขึ้นตำแหน่ง ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดล้วนลงดาบกับตระกูลเซี่ยโห้ว สงสัยจะเป็นไม้ใหญ่โดนลมโค่นจริงๆ แต่ในเมื่อโดนกดดันจนถึงขั้นนี้แล้ว ทำไมอำนาจลับที่ใหญ่ที่สุดยังเป็นตระกูลเซี่ยโห้วอยู่อีกล่ะ? เจ้าบอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วมีอำนาจตัดสินใจที่ตลาดผีเหรอ ทำไมประมุขชิงไม่ริดรอนสิทธิในการควบคุมของเขาซะ?”


อวิ๋นจือชิวอธิบายต่อ “เจ้าคิดว่าประมุขชิงไม่อยากทำเหรอ? ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ทำไม่ได้ต่างหากล่ะ มีเรื่องราวมากมายที่ไม่ใช่ว่าวรยุทธ์สูงหรือพลังเยอะแล้วจะทำได้ ตระกูลเซี่ยโห้วถูกประมุขชิงฉกฉวยเอาหลายสิ่งไปเยอะเกินไป ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่สมาคมวีรชน เดิมทีนั่นคือสิ่งที่ตระกูลเซี่ยโห้วสร้างมาเองกับมือ แต่ก็ถูกประมุขชิงขุดเอาไปเหมือนกัน ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วถอยจนไม่รู้จะถอยยังไงแล้ว พวกเขารู้ ว่าถ้าส่งอำนาจที่อยู่ใต้ดินออกมาเมื่อไร ก็จะไม่มีที่พึ่งพิงสุดท้ายแล้ว ประมุขชิงจะต้องฆ่าให้หมดเพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลมแน่นอน ดังนั้นจะเป็นจะตายยังไงตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ยอมมอบให้ ถ้าประมุขชิงจะใช้วิธีแข็งกร้าว ต่อให้สามารถฆ่าเซี่ยโห้วท่าและคนของตระกูลเซี่ยโห้วตายหมด แต่อำนาจลับที่อยู่ใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้วก็จะติดต่อกับอำนาจอิทธิพลที่ต่อต้านทางการของแต่ละฝ่ายให้ก่อกวนใต้หล้าทันที  ดำเนินการล้างแค้นไง ประมุขชิงเลยไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วง่ายๆ”


เหมียวอี้ครุ่นคิด แล้วบอกอีกว่า “ถ้าดูจากภายนอก ตระกูลเซี่ยโห้วก็เหมือนจะไม่มีอะไรที่นำออกมาอวดได้นะ อาศัยแค่พวกตลาดผีก็สามารถบ่อนทำลายใต้หล้าของประมุขชิงกับประมุขพุทธะได้แล้วเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “เรื่องบางเรื่องไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่เห็นกันภายนอกหรอก สัตว์ร้อยขาเช่นกิ้งกื้อ ต่อให้ตายแล้วแต่ร่างก็ไม่แน่นิ่งอยู่ดี มิหนำซ้ำกิ้งกือตัวนี้ก็ยังไม่ตายด้วย ตระกูลเซี่ยโห้วเฟื่องฟูอยู่ในยุคของพระปีศาจหนานโป พออุ้มชูประมุขปราชญ์หกลัทธิขึ้นมาแล้ว ก็โค่นล้มพระปีศาจหนานโปที่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าอีก กดประมุขปราชญ์หกลัทธิลงมา แล้วสนับสนุนสามมาราชัน ตอนหลังก็ช่วยประมุขพุทธะกับประมุขชิงทำให้ใต้หล้าสงบ เป็นตัวหลักที่เข้าร่วมและผ่านเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงมากมายแต่ไม่ล้ม ระดับน้ำของตระกูลเซี่ยโห้วจะลึกแค่ไหนก็ไม่มีใครคลำถึงก้น ถ้าจะพูดถึงตำหนักสวรรค์ อำนาจที่ใหญ่ที่สุดภายใต้ประมุขชิงก็ย่อมเป็นสี่อ๋องสวรรค์ แต่ในมือของตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีกำลังทหารอะไรทั้งนั้น แต่กลับอยู่ในระดับเดียวกับสี่อ๋องสวรรค์ ได้ยินว่าเมื่อสี่อ๋องสวรรค์เจอเซี่ยโห้วท่าก็ยังต้องเกรงใจ ที่เป็นแบบนี้เพราะอะไรล่ะ? เจ้าเคยได้ยินขุนนางทั้งราชสำนักสู้กันเองมั้ย เคยได้ยินมั้ยว่าขุนนางทั้งราชสำนักมีใครเป็นฝ่ายกลั่นแกล้งตระกูลเซี่ยโห้วก่อน?”


“คงไม่ใช่เพราะตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีอำนาจทางทหาร ทุกคนเลยไม่จำเป็นต้องสู้กับตระกูลเซี่ยโห้วหรอกใช่มั้ย” เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่แน่ใจ


อวิ๋นจือชิวอธิบายว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำผิดอย่างเหิมเกริม เมื่ออยู่ในตระกูลเซี่ยโห้วแล้วไม่ได้รับความสำคัญ แต่เจ้าเคยได้ยินว่าใครกล้าเล่นงานเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ถึงตายมั้ย? แน่นอนว่าเจ้าเป็นข้อยกเว้น ยังมีเรื่องปรับปรุงตลาดสวรรค์อีก ทำไมประมุขชิงถึงยกเรื่องที่ล่วงเกินผิดใจกับคนอื่นให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำล่ะ? ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ที่ตลาดผีแห่งนี้ ถูกควบคุมอยู่ในมือของตระกูลเซี่ยโห้วมานานแล้ว มีตระกูลไหนที่ไม่ทำธุรกิจผิดกฎหมายอยู่ในตลาดผีบ้าง สี่อ๋องสวรรค์ไม่ได้ทำเหรอ? มีใครกล้ารับรองมั้ยว่าจุดอ่อนของตระกูลตัวเองไม่ได้อยู่ในมือของตระกูลเซี่ยโห้ว? ยังไม่ต้องพูดถึงผู้มีอำนาจเหล่านั้นของตำหนักสวรรค์ อำนาจน้อยใหญ่ในใต้หล้าและสำนักต่างๆ มีใครบ้างที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายในตลาดผีเลย เวลาเข่นฆ่ากันก็มักจะได้ของบางอย่างที่ไม่สะดวกจะปล่อยขายบ้างแหละน่า ใครจะไปรู้ว่าผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้วในมือตระกูลเซี่ยโห้วกุมจุดอ่อนไว้เยอะขนาดไหน?


นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมตอนที่ใต้หล้าวุ่นวาย พอตระกูลเซี่ยโห้วออกโรงแก้ปัญหาก็สามารถทำให้ความเคลื่อนไหวแต่ละด้านสงบลงอย่างรวดเร็ว ก็เป็นหลักการเดียวกัน ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วต้องการจะก่อกวนสร้างความวุ่นวายขึ้นมา แค่โยนจุดอ่อนของผู้มีอำนาจในตำหนักสวรรค์ออกมาไม่หยุด ก็สามารถทำให้หน่วยงานภายในของตำหนักสวรรค์ปั่นป่วนแล้ว ถ้าใช้จุดอ่อนนี้มาขู่  ยุยงอำนาจแต่ละฝ่ายในใต้หล้าและสำนักน้อยใหญ่พวกนั้น เจ้าคิดว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไงล่ะ?


แล้วอีกอย่าง ทางลัทธิมารก็มีร้านค้าอยู่เหมือนกัน มีการไปมาหาสู่กับคนที่ควบคุมตลาดผีที่นี่ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือไปมาหาสู่กับคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ข้าว่าคงไม่ได้ทำแบบนี้กับลัทธิมารอย่างเดียวหรอก คาดว่าคนที่เหลือรอดจากหกลัทธิคงจะมีอยู่บ้าง เพียงแต่เกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นของหกลัทธิกับตระกูลเซี่ยโห้ว หกลัทธิเลยไม่สะดวกจะเปิดเผยกับภายในเท่านั้นเอง เจ้าลองถามจินม่านก็น่าจะรู้นะ เช่นเดียวกัน ตระกูลเซี่ยโห้วรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าหกลัทธิมีความแค้นต่อตัวเอง แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับหกลัทธิอยู่เหมือนเดิม ทำไมถึงไม่เปิดเผยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนที่เหลือรอดของหกลัทธิให้ตำหนักสวรรค์รู้ล่ะ? ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วไปสมคบกับคนที่เหลือรอดของหกลัทธิขึ้นมา เป็นคนกลางติดต่อกับอำนาจทุกฝ่ายที่ต่อต้านตำหนักสวรรค์ แล้วกระพือให้เรื่องลุกลามใหญ่โตอีก แบบนั้นจะมีผลที่ตามมาเป็นยังไงล่ะ?”


เหมียวอี้เอนคอไปข้างหลัง สูดหายใจอย่างตกตะลึง แล้วพูดเน้นทีละคำว่า “ใต้หล้าวุ่นวายใหญ่โตแล้ว!”


บทที่ 1412 บังเอิญเจอเข้าแล้ว

Ink Stone_Fantasy

“ใช่! ใต้หล้าวุ่นวายใหญ่โตแล้ว!” อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเห็นด้วย “ก็อย่างที่บอกไว้ สัตว์ร้อยขาเช่นกิ้งกือ ต่อให้ตายแล้วแต่ร่างก็ไม่แน่นิ่งอยู่ดี ตระกูลเซี่ยโห้วมีวิธีการมากมายที่จะโจมตีอำนาจของประมุขชิง ประมุขชิงไม่กล้ากดดันตระกูลเซี่ยโห้วมากเกินไป ทำได้เพียงวางแผนช้าๆ และเช่นเดียวกัน ตระกูลเซี่ยโห้วเองก็ไม่ได้มีต้นทุนมากมายเพื่อทำแบบเดินซ้ำๆ ได้อีก ถ้ายั่วโมโหจนประมุขชิงใช้กำลังแก้ปัญหาจริงๆ ต่อให้จะนำความยุ่งยากมากมายมาให้ประมุขชิง แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็เสียหายยับเยินเหมือนกัน ดังนั้นตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วจึงสงบเสงี่ยมมาก ในที่แจ้งก็ส่วนที่แจ้ง ในที่ลับก็ส่วนที่ลับ แตกต่างกันอย่างชัดเจน ภายนอกรักษากฎของตำหนักสวรรค์อย่างซื่อสัตย์ แต่ในที่ลับนั้นเพียงเพื่อปกป้องตัวเอง ไม่กล้าทำเกินไป และประมุขชิงก็ควบคุมอยู่ ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าทำอะไรเกินเลย”


เหมียวอี้กำลังใช้สมองคิดตามคำพูของนาง แล้วถามอีกว่า “แล้วที่ตลาดผีแห่งนี้มีใครของตระกูลเซี่ยโห้วคอยควบคุมดูแล?”


อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ไม่รู้สิ เดาว่าคู่กรณีคงจะรู้ชัดอยู่แก่ใจ ตอนนี้คนที่มีอำนาจตัดสินใจในตลาดผีก็คือเฉาหม่าน เป็นเจ้าของร้านที่ ‘ธนาคารสัตยพรต’  คนในต่างก็รู้ว่าเฉาหม่านเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่รายละเอียดว่าเป็นใครในตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่มีใครรู้ มีคนบอกว่าเป็นลูกชายลับๆ ของเซี่ยโห้วท่า ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ตลาดผีแห่งนี้บทจะไม่มีกฎระเบียบก็ไม่มีกฎระเบียบเลยจริงๆ แต่บางครั้งก็มีฎระเบียบเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นร้านค้าของที่นี่ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะหาร้านได้ ต่อให้เจ้าจะซื้อร้านมาจากมือคนอื่นได้ แต่ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารสัตยพรต เมื่ออยู่ในสถานที่แก่งแย่งผลประโยชน์กันแบบนี้ เจ้าก็จะโดนก่อกวนต่างๆ นาๆ จนเปิดร้านต่อไปไม่ได้ ต้องให้ธนาคารสัตยพรตอนุญาตก่อน ถึงจะยืนยัดอยู่ที่นี่ได้  ส่วนแม่ทัพภาคตำหนักสวรรค์ที่คุมที่นี่อยู่ก็มีไว้เฉยๆ สาเหตุที่ตระกูลเซี่ยโห้วทำให้กฎของตลาดผีไม่ชัดเจน ก็เพื่อที่จะทำให้ตำหนักสวรรค์ไม่สามารถลงมือได้โดยตรง ไม่อย่างนั้นถ้ากลายเป็นระบบขึ้นมา ตำหนักสวรรค์ก็จะควบคุมจากบนลงล่างได้ง่ายมาก ตอนนี้ตำหนักสวรรค์ทำได้เพียงมอง แต่กินไม่ได้”


“ธนาคารสัตยพรตเฉาหม่าน…ครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ ก็ครองใต้หล้าได้…” เหมียวอี้พึมพำ ทำท่าเหมือนเลิกคิดไม่ได้


อวิ๋นจือชิวชำเลืองมอง แล้วอดไม่ได้ที่จะหลุดขำ “ทำไม? เจ้าคิดจะทำอะไรกับตระกูลเซี่ยโห้วงั้นเหรอ?”


เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทหารเล็กๆ ต่ำต้อยอย่างข้าเนี่ยนะ เกรงว่าต่อให้ไปขอร้องถึงบ้าน แต่อีกฝ่ายก็คงจะไม่สนใจ อีกฝ่ายแสดงออกชัดเจนมาก ตลอดทางที่เดินมามีแต่จะร่วมงานกับผู้ที่แข็งแกร่ง ถ้าไม่มีศักยภาพที่จะแทนที่ได้ ไม่มีผลประโยชน์อะไรจะให้อีกฝ่ายได้ นอกจากอีกฝ่ายจะกินอิ่มแล้วว่างงานเท่านั้นแหละ ถึงจะยอมมาเสี่ยงอันตรายกับข้า”


อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ เรื่องเกี่ยวกับตลาดมืด ตอนนี้นางเองก็ยังรู้อะไรไม่เยอะ ตอนนี้แนะนำได้เพียงเท่านี้ สุดท้ายก็เปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ “เรื่องธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เจ้าเตรียมจะทำยังไง?” นี่คือจุดประสงค์ที่นางมาที่นี่


เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว พวกท่านปู่ของเจ้าว่ายังไงบ้าง คิดหาทางจำกัดบุรุษจัญไรหกเนตรได้หรือเปล่า? ข้าจะบอกให้ชัดเจนเอาไว้ก่อน ว่าข้าไม่มีความสามารถที่จะกำจัดบุรุษจัญไรหกเนตร ถ้าเจ้าอยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็ต้องลงมือเอง ข้าแค่เป็นคนกลางประสานงานให้เท่านั้น”


อวิ๋นจือชิวบอกว่า “เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับไป๋เฟิ่งหวง ตอนนี้ข้ายังไม่ได้บอกท่านปู่ ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะรู้สึกว่าพวกเราสามารถเจรจาเรื่องนี้กันได้”


“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้รู้สึกสนใจ


อวิ๋นจือชิวอธิบายว่า “ข้าสามารถบอกให้พวกเขาหาทางลงมือกับบุรุษจัญไรหกเนตรได้ ถ้าทำสำเร็จ ข้าคิดว่าไม่จำเป็ฯต้องนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันนั้นให้พวกเขาทั้งหมด แบ่งให้พวกเขาหนึ่งล้านคันก็น่าจะดึงดูดให้พวกเขาลงมือได้แล้ว ส่วนที่เหลืออีกแปดล้านคันพวกเราก็เก็บไว้ในมือตัวเองได้ การเลี้ยงพวกเขาให้อิ่มในตอนนี้ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเรา พวกเราต้องกุมอำนาจฝ่ายกระทำให้มากหน่อย ในอนาคตต้องมีจุดให้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าลองคิดหาทางปิดบังจำนวนแปดล้านนั่นไว้ ให้ไป๋เฟิ่งหวงนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นให้เจ้าก่อนได้หรือเปล่า?”


เหมียวอี้ตอบอย่างไม่แน่ใจ “พูดตามตรงนะ เมื่อก่อนข้าก็มีความคิดนี้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่กล้าฟันธงว่าไป๋เฟิ่งหวงจะรักษาสัญญาได้หรือเปล่า ถ้าตัวเองเข้าไปยุ่งเรื่องนี้จริงๆ ถึงตอนนั้นเมื่อจัดการเรื่องนี้สำเร็จแล้ว แต่ถ้าไป๋เฟิ่งหวงไม่ยอมมอบของให้ข้า แล้วหกลัทธิมาทวงของจากข้า ข้าจะทำยังไงดีล่ะ? ดังนั้นข้าจึงอยากให้พวกเขาเข้าไปเกี่ยวข้องเอง”


อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขา “คนที่ยามปกติสมองเฉียบแหลมมาก ทำไมกลายเป็นคนโง่ขนาดนี้ได้ เจ้าไม่รู้เหรอว่าต้องไปเอาเงินมัดจำที่ไป๋เฟิ่งหวงก่อน หลังจากทำสำเร็จแล้วค่อยมอบที่เหลือให้เจ้าก็ยังไม่สาย เจ้าเอาหนึ่งล้านคันนั่นมาไว้ในมือก่อน ถ้าทำเรื่องนี้สำเร็จ ก็นำธนูที่มีอยู่ในมือไปให้หกลัทธิได้ ส่วนจนวนที่เหลือ ถ้าไป๋เฟิ่งหวงจะเต็มใจให้ก็ให้ ถ้าไม่เต็มใจให้เจ้าก็ไม่เสียหายอะไรอยู่ดี”


เหมียวอี้ถอนหายใจ “ผู้หญิงคนนั้นวรยุทธ์สูงมาก ทั้งยังบ้าบิ่นประสาทเสียอีก ข้าไม่รู้ชัดว่านางเป็นคนยังไง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลย ข้าไม่ค่อยมั่นใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้หกลัทธิไปเกี่ยวข้องกับนางหรอก”


อวิ๋นจือชิวเงียบไปพักหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ถ้าอันตรายก็ปล่อยผ่านเถอะ”


เหมียวอี้ลองครุ่นคิด แล้วบอกวว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวกลับไปข้าจะลองดูก่อน ถ้าเป็นไปได้ก็ทำตามอย่างที่เจ้าบอก”


“งั้นเจ้าก็ต้องระวังตัวมาก ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน” อวิ๋นจือชิวทำสายตาอ่อนโยนเล็กน้อย


“รู้แล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า ไม่อยากพูคุยหัวข้อที่หนักใจแบบนี้ ทั้งสองถูกสถานการณ์บีบบังคับให้แยกจากกัน แค่ความหวั่นใจก็ทำให้ลำบากแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอหน้ากัน แล้วเหตุใดจึงต้องพูดเรื่องที่ทำให้หมดอารมณ์อีก จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เออใช่ เจ้าเตรียมจะพักอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ให้ข้าบอกให้ฮวาหูเตี๋ยเตรียมห้องให้เจ้าสักห้องดีมั้ย?”


อวิ๋นจือชิวยิ้มพร้อมตอบว่า “ข้าเองก็เพิ่งมาตลาดผีที่นี่เป็นครั้งแรก ในเมื่อมาแล้วก็ต้องไปดูสักหน่อย ไม่แคล้วต้องอยู่ที่นี่สักระยะ ไม่ต้องให้ข้าอยู่ที่นี่หรอก อีกเดี๋ยวถ้าโดนตระกูลโค่วเพ่งเล็งขึ้นมาจะลำบาก ลัทธิมารก็มีที่พักอยู่ที่นี่เหมือนกัน เป็นหอนางโลมแห่งหนึ่ง ชื่อว่า ‘จันทราวายุมิเสื่อมคลาย’ ถ้ามีอะไรเจ้าก็ไปหาข้าที่นั่นได้”


“หอนางโลม?” เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ให้ฮูหยินของตัวเองไปพักที่หอนางโลมเหรอ เขารู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย


อวิ๋นจือชิวมองออกแล้วว่าเขาคิดอะไร นางยิ้มมุมปาก “เป็นแค่ที่ซ่อนตัวแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ต้องคิดมากแล้ว ขนาดข้ายังไม่กลัวเลย เจ้าจะกลัวอะไร? ข้างกายข้ามีคนคอยคุ้มครอง ยังกลัวว่าจะมีคนมาทำอะไรข้าได้เชียวเหรอ? หรือไม่อย่างนั้น เจ้าไม่วางใจข้าเหรอ?”


เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้าเองก็ระวังตัวหน่อย ทางที่ดีเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ปิดบังเรือนร่างผู้หญิง เวลาเข้าออกที่นั่น ทางที่ดีควรปลอมตัวเป็นผู้ชาย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็รีบติดต่อข้าทันที” เป็นเพราะฮูหยินของตัวเองมีเรือนร่างที่ยั่วราคะจริงๆ


“หึหึ…” อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะปิดปากขำ รู้ว่าในใจเขารู้สึกอึดอัด จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างสนิทสนม เอนกายไปข้างหน้า ยื่นนิ้วออกมาวาดวงๆ บนหน้าอกเขา พร้อมพ่นลมหายใจที่หอมสดชื่นถามว่า “เฟยหงนั่นสวยขนาดนั้น เจ้าคงจะลืมความอบอุ่นอ่อนโยนของข้าไปนานแล้วกระมัง?”


เหมียวอี้เหล่ตามอง สายตากลอกไปกลอกมาอยู่บนเรือนร่างของนาง กลืนน้ำลายอย่างรู้สึกเร่าร้อน แล้วเดินประชิดเข้าไปทีละก้าว อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปาก แววตาฉ่ำน้ำเย้ายวน ถอยหลังทีละก้าวเช่นกัน เป็นฝ่ายถอยไปอยู่ข้างเตียงก่อน…


หลังจากนั้นสองชั่วยาม อวิ๋นจือชิวที่แต่งตัวและเกล้าผมเรียบร้อยแล้วยังไม่หายหน้าแดง นางสวมหน้ากากปลอมตัวอีกครั้ง ก่อนจะจากกันก็กำชับเหมียวอี้อีกว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ข้าไม่ค่อยวางใจ เจ้าติดต่อพวกจินม่านสักหน่อยสิ ถามว่ามีคนของตัวเองอยู่ทางนี้บ้างหรือเปล่า ถ้าหากมี เจ้าก็บอกจินม่านว่ากำลังสืบหาที่อยู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้พวกเขาอยู่ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจะได้มีคนปกป้องเจ้าบ้าง


“รู้แล้ว เจ้าเองก็ระวังตัวเหมือนกัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นต้องติดต่อข้าทันที” ปากเหมียวอี้ก็พูดปลอบใจ แต่ในใจกลับไม่คิดอย่างนั้น ถ้าไม่ถูกกดดันจนถึงที่สุด เขาก็ไม่อยากให้คนของหกลัทธิรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่


และความบังเอิญก็คือ  อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะออกมาจากห้อง ก็บังเอิญเจอกับจ้านหรูอี้ที่กลับมาพอดี ผู้หญิงทั้งสองเดินเฉียดไหล่กันไป แล้วต่างฝ่ายก็ต่างหันกลับมามองแวบหนึ่ง


จ้านหรูอี้หยุดฝีเท้าอยู่ตรงหน้าห้องเหมียวอี้ แล้วหันขวับไปมองแผ่นหลังอวิ๋นจือชิวที่กำลังเดินลงตึกไป แล้วหันมาส่งสายตาให้ลูกน้องตัวเอง กาอนที่จะมีหนึ่งในนั้นตามออกไปทันที


ส่วนเหยียนซิวกับหยางเจาชิงที่เฝ้าอยู่หน้าห้องก็สบตากันแวบหนึ่ง


จ้านหรูอี้เคาะประตูห้องเหมียวอี้


“เข้ามา” เสียงที่เกียจคร้านของเหมียวอี้ดังมาจากในห้อง


พอจ้านหรูอี้ผลักประตูเข้ามา ก็ได้กลิ่นประหลาดอบอวลอยู่ในห้องทันที แล้วไม่นานสายตาก็ไปหยุดอยู่บนเตียงที่ยับยู่ยี่ สองมือเริ่มกำหมัดอย่างช้าๆ


เหมียวอี้เอามือไข้วหลังเดินเข้ามา แล้วถามกลั้วหัวเราะว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”


จ้านหรูอี้สูดหายใจแรง แล้วถามเสียงเย็นว่า “บนตัวเจ้ามีกลิ่นผู้หญิง ผู้หญิงคนเมื่อครู่นี้คือใครกัน?”


เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ขนาดนี้แล้วยังถูกเจ้าจับได้อีก หามาจากหอนางโลม ทำไมเหรอ?”


จ้านหรูอี้เม้มปากแน่น แล้วค่อยๆ หันหน้าไปมองเขา ก่อนจะกัดฟันบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่”


เหมียวอี้ไม่แยแส “ก็ผู้ชายไง อีกเดี๋ยวข้าเตรียมจะไปเดินเล่นที่หอนางโลมด้วยตัวเองสักหน่อย รับรองว่าไม่เสียงาน”


“เจ้า…” จ้านหรูอี้มองด้วยสายตาโกรธเคือง ทว่านางไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งกับอีกฝ่าย ได้แต่สะบัดแขนเสื้อแล้วหันหน้าเดินจากไป


หลังจากนางกลับมาที่ห้องของตัวเอง ก็รอประมาณเกือบหนึ่งชั่วยาม คังเต้าผิงลูกน้องของนางก็กลับมาแล้ว รายงานว่า “ข้าน้อยตามไปตลอด ผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในหอนางโลมแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘จันทราวายุมิเสื่อมคลาย’ คาดว่าคงจะเป็นผู้หญิงของหอนางโลม ไม่อย่างนั้นจะเข้าไปในหอนางโลมได้ยังไง”


เป็นคนจากหอนางโลมจริงๆ เจ้าหมอนั่นก็ซื่อสัตย์ใช้ได้เลย หน้าด้านจนถึงขั้นไม่ปิดบังด้วยซ้ำ! จ้านหรูอี้ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น โบกมือให้ลูกน้องถอยออกไป หลังจากไม่มีคนแล้ว ในที่สุดนางก็ควบคุมอารมณ์ไม่ไหว หน้าอกกระเพื่อมถี่กระชั้น บนใบหน้าใส่หน้ากากอยู่ มองไม่ออกว่ามีสีหน้าอย่างไร


ปั้ง! นางกำหมัดทุบบนกำแพงหนึ่งครั้ง หลับตา ก้มหน้า กัดริมฝีปาก…


ไม่กี่วันต่อมา จ้านหรูอี้ก็ไม่เข้าๆ ออกๆ พร้อมกับเหมียวอี้อีก พาคนของตัวเองไปทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ไปทั่ว แทบจะไม่เจอหน้ากับเหมียวอี้อีกเลย


กู่ตัวกุ้ยพูดคำไหนคำนั้น บอกว่าให้เวลาพวกเขาทำความคุ้นเคยครึ่งเดือนก็ให้ครึ่งเดือน หลังจากนั้นไม่กี่วัน ในที่สุดก็มีข่าวส่งมาแล้ว ต้องการให้คนของเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ปฏิบัติการเดี๋ยวนี้ ให้ส่งคนไปยังแต่ละจุดเพื่อจับตาดูคนพร้อมกับคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา


แบ่งกลุ่มละห้าคนเพื่อไปจับตาดูคน แค่วันแรกก็ส่งออกไปแล้วเป็นร้อยกลุ่ม หลายวันหลังจากนั้นก็ส่งออกไปอีกวันละหลายสิบกลุ่ม เหมียวอี้แอบตกใจ จะเห็นได้ว่าหน่วยตรวจการฝ่ายขวาจับตาดูคนมากมายที่ตลาดผีมาตั้งนานแล้ว


เหมียวอี้ถามว่าจับตาดูใครบ้าง แต่ฝั่งกู่ตัวกุ้ยก็ไม่เปิดเผยอะไรเลย เพียงให้พวกเขาจับตาดูแล้วคอยรายงานสถานการณ์ ทุกอย่างล้วนฟังคำสั่งหน่วยตรวจการฝ่ายขวา


เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่กู่ตัวกุ้ยพูดไว้ไม่ผิด เวลาเจอกับเรื่องมากมาย คนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาก็ไม่พอให้ใช้งานจริงๆ มีงานอยู่ในมือเยอะเกินไปแล้ว และหน่วยตรวจการฝ่ายขวาก็ใช่ว่าจะรับใครเข้ามาทำงานก็ได้


ยกตัวอย่างเช่นที่ศูนย์บัญชาการของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา ตรงประตูคุกที่ดำมืด ซ่างก่วนชิงผู้การใหญ่ของตำหนักสวรรค์กำลังยืนคู่กับเกาก้วนที่สวมชุดคลุมสีดำ


พอประตูใหญ่ของคุกเปิดออก ชายหนุ่มหลายคนที่มีรอยเลือดบนเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยก็เดินกะเผลกคล้องแขนกันออกมา พวกเขาคือคนของหน่วยองครักษ์เงาที่ถูกคุมตัวเข้าไปสืบสวนในคุกก่อนหน้านี้ เพียงแต่ฉากนี้ทำให้ซ่างก่วนชิงเห็นแล้วหนังตากระตุก ส่วนคนที่ออกมาในตอนหลังก็คือหัวหน้าของหน่วยองครักษ์เงา ชายวัยกลางคนที่มีผมขาวแซมศีรษะก็ยังมีสภาพยับเยินจนทนมองไม่ไหว ตอนนี้ตกอยู่ในสภาพสลบแล้ว ต้องให้เพื่อนร่วมงานประคองออกมา


ซ่างก่วนชิงรีบก้าวขึ้นไปข้างหน้า โน้มตัวลงใช้มือลูบขาสองข้างที่มีรอยเลือดเละเทะและหักบิดเบี้ยวผิดรูปจนเห็นกระดูก ก่อนจะหันขวับมามองเกาก้วน แล้วถามเสียงเข้มว่า “เกาก้วน เจ้ากล้าใช้วิธีการทรมานพวกเขาเหรอ?”


บทที่ 1413 ถอนตัวออกมาแล้ว

Ink Stone_Fantasy

เกาก้วนยืนเงียบสงบอยู่อย่างนั้น มุมของผ้าคลุมสีดำที่ห้อยลงมาพลิกขยับตามลมเป็นครั้งคราว ไม่ว่าเผชิญหน้ากับเรื่องอะไรก็มีท่าทางไม่สะทกสะท้านมาตลอด ทำตัวราวกับไม่ได้ยินคำตำหนิของซ่างก่วนชิง


สำหรับสิ่งนี้ ซ่างก่วนชิงค่อนข้างเดือดดาลกับท่าทีของเกาก้วน เขาพุ่งไปตรงหน้าเกาก้วนทันที เกือบจะลงไม้ลงมือแล้ว


ฝั่งหนึ่งคือซ่างก่วนชิงที่สวมชุดสีดำทั้งตัว ลักษณะเริ่มแก่ชรา ผมสีขาวเงินยาวคลุมแผ่นหลัง ตอนนี้กำลังถลึงตาอย่างเดือดดาล ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็คือเกาก้วนที่สวมหมวกสีดำทรงสูง คลุมผ้าสีดำบนบ่า มีสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา ทั้งสองกำลังยืนสบตาอยู่ตรงข้ามกัน


ทุกคนที่อยู่นอกคุกล้วนกำลังจ้องมองฉากนี่อย่างวิตกกังวล หากทั้งสองลงมือต่อสู้กันขึ้นมา ทุกคนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะยืนฝั่งไหน ถึงแม้ที่นี่จะเป็นอาณาเขตของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา แต่ซ่างก่วนชิงเป็นผู้การใหญ่ของวังสวรรค์ สามารถพูดได้ว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของประมุขชิง


ในดวงตาของเกาก้วนไม่แสดงอารมณ์ใดๆ กำลังสบตากับซ่างก่วนชิงอย่างสงบนิ่ง


ซ่างก่วนชิงกำหมัดแล้วกำหมัดอีก แม้มริมฝีปากตึงแน่น เขาเข้าใจดี ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเกาก้วน เกาก้วนก็เป็นแค่สุนัขรับใช้ที่จงรักภักดีต่อฝ่าบาท เป็นผู้ที่บังคับใช้กฎหมายก็เท่านั้นเอง ดังนั้นสุดท้ายจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วหันหลังให้


ชายวัยกลางคนจำนวนสามร้อยกว่าทยอยกันเดินออกมาจากคุก ถ้าตัดสินจากรอยเลือดบนร่างกายและเสื้อผ้าที่ฉีกขาด ก็เหมือนว่าจะมีคนเกินครึ่งที่ผ่านการทรมานมา คนพวกนี้เดินอยู่ข้างหน้า ส่วนคนอีกเกือบครึ่งที่เดินตามหลังมาก็ดูเหมือนไม่เป็นไรสักเท่าไร เพียงแต่ทุกคนสีหน้าแย่จนดูไม่ได้


ที่จริงซ่างก่วนชิงก็เป็นกังวลตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้พิพากษาหน้านิ่งอย่างเกาก้วนจะใช้วิธีการทรมานอย่างไร้ความปรานี ดังนั้นจึงกล่าวขอร้องต่อหน้าประมุขชิงมาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะเขาโน้มน้าวประมุขชิงสำเร็จ ก่อนที่จะสืบเรื่องนี้จนรู้ชัด คนของหน่วยองครักษ์เงาสามร้อยกว่าคนนี้ก็คงไม่มีทางออกมาจากคุกได้เลย


ไม่ว่าจะเป็นหรือจะตาย แต่คนออกมาหมดแล้ว


และไม่นานเกาก้วนกับซ่างก่วนชิงก็มาพบประมุขชิงตรงหน้าตำหนักดาราจักรแล้ว สามารถพูดได้ว่าเกาก้วนถูกซ่างก่วนชิงบังคับให้มาที่นี่ ซ่างก่วนชิงต้องการคำอธิบาย แต่เกาก้วนรักษาธรรมเนียมมาก ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคดี ก็จะไม่ยอมบอกอะไรเป็นการส่วนตัวกับเขาทั้งนั้น ดังนั้นซ่างก่วนชิงจึงทำได้เพียงบังคับเขาให้มาเจอประมุขชิง


ในตำหนักดาราจักร ซ่างก่วนชิงกล่าวโทษเกาก้วน ฟ้องว่าเกาก้วนใช้วิธีการทรมานคนของหน่วยองครักษ์เงาไปเกือบครึ่ง


ประมุขชิงที่นั่งสง่าอยู่เบื้องบนได้ยินแล้วหวาดระแวงกลัว นี่ก็คือเหตุผลที่ซ่างก่วนชิงโน้มน้าวให้เขาปล่อยคนของหน่วยองครักษ์เงา เขาคิดแล้วคิดอีก แต่ก็ยังกังวลว่าผู้พิพากษาหน้านิ่งลูกน้องตัวเองจะทำเกินไป นึกไม่ถึงว่าเกาก้วนจะทำแบบนี้แล้วจริงๆ


ขณะที่ฟังซ่างก่วนชิงฟ้องร้องอย่างกระฟัดกระเฟียด ประมุขชิงก็เอียงหน้ามองไปทางเกาก้วน เห็นเพียงเกาก้วนยืนตัวตรงเงียบๆ ไม่แก้ตัวใดๆ ทั้งนั้น


พูดมาเป็นชุดแล้วแต่เกาก้วนก็ยังไม่ตอบโต้อะไร ซ่างก่วนชิงจึงข่มไฟโกรธไม่ไหว ชี้หน้าเกาก้วนพร้อมตะคอกว่า “เกาก้วน หน่วยองครักษ์เงาเป็นหน่วยกล้าตายของฝ่าบาท เจ้าใช้วิธีทรมานพวกเขาแบบนี้ เจ้ารู้รึเปล่าว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง? เข้ามีเจตนาแอบแฝง จงใจเสี้ยมให้หน่วยองครักษ์เงาไม่ภักดีต่อฝ่าบาท!”


“เกาก้วน เจ้าจะอธิบายอย่างไร?” ประมุขชิงกล่าวถามอย่างเนิบนาบ


“ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่าบาทออกคำสั่งให้ปล่อยคน ข้าน้อยก็ไม่มีทางปล่อยพวกเขาออกมาเด็ดขาด” เกาก้วนตอบ


ซ่างก่วนชิงได้ยินแล้วมองด้วยสายตาโกรธเคืองทันที ประมุขชิงขมวดคิ้วถามว่า “หรือว่าตรวจสอบแล้วเจออะไร?”


เกาก้วนตอบว่า “พอนำตัวไปถึงคุกใหญ่ของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา พวกเราก็ทำการสืบสวนแยกทันที ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะใช้วิธีการทรมานกับพวกเขา เมื่อสืบรายละเอียดตอนที่พวกเขาต่างคนต่างออกไปข้างนอก บางเรื่องไปปฏิบัติการด้วยกันเป็นกลุ่มแท้ๆ บางคนก็บอกว่าเพื่อนที่ร่วมเดินทางไปด้วยคือใคร แต่บางคน…บางทีก็อาจจะพูดได้ว่าลืมแล้ว หลังจากนำคำให้การมาเปรียบเทียบกัน เนื่องจากฝ่าบาทมอบอำนาจให้ข้าน้อยสืบทุกเรื่องที่สามารถสืบได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบางคนปิดบังเส้นทางการเคลื่อนไหวของตัวเอง”


เมื่อได้ยินแบบนี้ ซ่างก่วนชิงก็แอบร้องในใจว่าท่าไม่ดีแล้ว เขาเรีบมองไปที่ประมุขชิง เป็นอย่างที่คาดไว้ ประมุขชิงเริ่มหรี่ตาสองข้างแล้ว แววตาเปลี่ยนแปลงหลากหลายอารมณ์


ซ่างก่วนชิงรีบบอกทันทีว่า “บางทีพวกเขาก็อาจจะลืมจริงๆ ก็ได้”


เกาก้วนหันไปมองเขา “ผู้การใหญ่ซ่างก่วน เจ้ากล้ารับประกันต่อหน้าฝ่าบาทหรือเปล่าว่าพวกเขาไม่มีปัญหาเลย?”


“เอ่อ…” ซ่างก่วนชิงพูดไม่ออก อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายสืบเจออะไรหรือไม่ ถ้าสืบเจอเบาะแสอะไรขึ้นมาจริงๆ ตัวเองจะรับประกันในเวลาแบบนี้ได้อย่างไร


ประมุขชิงชำเลืองมองซ่างก่วนชิงแวบหนึ่ง แล้วถามเกาก้วนต่อว่า “เรียกคนที่ปิดบังเส้นทางการเคลื่อนไหวมาแล้วหรือยัง?”


เกาก้วนตอบว่า “กับคนพวกนี้ ย่อมต้องใช้วิธีการทรมานอยู่แล้ว มีบางคนที่พอใช้วิธีการทรมานแล้วเริ่มนึกขึ้นได้ มีบางคนที่เพื่อนร่วมงานเห็นแล้วแท้ๆ ว่าไปไหน แต่กลับปากแข็งไม่ยอมรับ ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยงจง หัวหน้าหน่วยองครักษ์เงา” เขาพลิกฝ่ามือนำแผ่นหยกยื่นให้ “ในนี้คือบันทึกคำให้การ สืบสวนได้ผู้ต้องสงสัยยี่สิบเจ็ดคนขอรับ”


ประมุขชิงกางนิ้วทั้งห้า ดูดแผ่นหยกกองหนึ่งเข้ามา แล้วอ่านคำให้การที่เรียบเรียงเสร็จแล้วตรงนั้นเลย


การอ่านครั้งนี้ใช้เวลาไปเกือบครึ่งวัน อ่านคำให้การทุกฉบับ ไม่ปล่อยผ่านเลย จะเห็นได้ว่าให้ความสำคัญขนาดไหน


ในระหว่างนั้นเกาก้วนมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่ซ่างก่วนชิงกลับเริ่มยืนไม่ติดที่แล้ว สังเกตเห็นว่าประมุขชิงเริ่มสีหน้าแย่ลงทีละนิด


จะไม่ให้ประมุขชิงสีหน้าแย่ก็คงไม่ได้ มีคำให้การฉบับหนึ่งเขียนไว้ว่าเซี่ยงจงหัวหน้าหน่วยองครักษ์เงานำคนทั้งหมดหกคนออกไปข้างนอก อีกห้าคนที่เหลือล้วนยืนยันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่อยู่โลกมนุษย์ เซี่ยงจงเคยออกจากกลุ่มแล้วไปเดินที่ตรอกแห่งหนึ่งเพียงลำพัง แต่ตอนที่เซี่ยงจงถูกถามถึงเส้นทางการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องที่ไปเดินตรอกนั้นเพียงลำพังเลย


ไม่ใช่แค่เซี่ยงจง เรื่องราวประมาณนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเซี่ยงจงคนเดียวเท่านั้น คนอื่นๆ ก็มีสถานการณ์แตกต่างกันไป


ประมุขชิงวางแผ่นหยกไว้ด้านข้าง แล้วถามเกาก้วนว่า “เจ้าเตรียมจะทำอย่างไรกับยี่สิบเจ็ดคนนี้?”


“เรื่องนี้หน่วยตรวจการฝ่ายขวาไม่คิดจะเข้าไปแทรกแซงอีกขอรับ” เกาก้วนตอบ


ซ่างก่วนชิงมองไปที่เกาก้วนอย่างงุนงง พบว่าการกระทำแบบนี้ไม่เหมือนลักษณะการทำงานของเกาก้วน มีจุดที่น่าสงสัยแต่ไม่สืบต่อแล้วเหรอ?


“เพราะอะไร?” ประมุขชิงก็ถามเช่นกัน


เกาก้วนตอบว่า “เดี๋ยวจะโดนว่าว่าข้าน้อยยุยงหน่วยองครักษ์เงากับฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม ผู้การใหญ่ซ่างก่วนยัดข้อหาใหญ่เกินไปแล้ว ข้าน้อยรับผิดชอบไม่ไหว ข้าน้อยแนะนำให้ส่งต่อเรื่องสืบสวนให้ผู้การใหญ่ซ่างก่วน ให้หน่วยองครักษ์เงาสืบสวนกันเองขอรับ”


“เจ้าไปเรียนรู้การผลักความรับผิดชอบมาตั้งแต่เมื่อไร?” ประมุขชิงถามเสียงต่ำ


เกาก้วนกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยไม่ได้ผลักความรับผิดชอบขอรับ เพียงแต่ปล่อยวางแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนสมคบกันให้การเท็จแล้วก็ได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าความพยายามก่อนหน้านี้ของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาจะสูญเปล่า ดาบในมือฝ่าบาทนั้นแหลมคม หากข้าน้อยทำเกินไป เกรงว่าจะส่งผลกระทบอะไร ดังนั้นข้าน้อยจึงแนะนำให้หน่วยองครักษ์เงาตรวจสอบกันเอง สาเหตุก็เพราะว่าผู้การใหญ่ซ่างก่วนคุ้นเคยกับหน่วยองครักษ์เงามากกว่าข้าน้อย บางทีอาจจะใช้วิธีการที่อ่อนโยนกว่าแล้วแก้ไขปัญหาได้โดยไม่ส่งผลกระทบอะไร”


ซ่างก่วนชิงจ้องเกาก้วนอย่างเดือดดาลเล็กน้อย นี่กำลังตำหนิตนว่าทำผิดที่ปล่อยหน่วยองครักษ์เงาออกมางั้นเหรอ?


ประมุขชิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าที่เกาก้วนพูดก็มีเหตุผล จึงพยักหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “ซ่างก่วน ส่งคำให้การทั้งหมดให้เจ้า พวกเจ้าไปตรวบสอบหน่วยองครักษ์เงากันเอาเองเถอะ”


“ขอรับ!” ซ่างก่วนชิงเอ่ยรับคำสั่ง ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพราะถ้าปล่อยให้เกาก้วนทำต่อไป ก็จะทำให้หน่วยองครักษ์เงาพังแน่นอน


เกาก้วนหันตัวกลับมาแนะนำว่า “ผู้การใหญ่ซ่างก่วน นี่เป็นคำแนะนำเล็กน้อยของข้า ไม่ว่ายี่สิบเจ็ดคนนั้นจะมีปัญหาหรือไม่ ก่อนที่ความจริงจะปรากฏ ข้าแนะนำให้เจ้าสืบสวนแยกยี่สิบเจ็ดคนนั้น สำหรับการสืบคดีประเภทนี้ ทางที่ดีอย่าให้ถูกควบคุมด้วยความรู้สึกของใครคนใดคนหนึ่ง”


ประโยคสุดท้ายทำให้ประมุขชิงยกมือลูบหนวด นี่คือจุดที่เขาชื่นชมเกาก้วนที่สุด ไม่ว่าจะจัดการคดีไหน ตราบใดที่เขาไม่ได้เสนอแนะอะไรเป็นพิเศษ แต่ไหนแต่ไรมาเกาก้วนก็ไม่สนใจฐานะภูมิหลังของคนที่ถูกสืบสวนเลย ไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ใดๆ ทั้งนั้น!


ซ่างก่วนชิงพ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ข้าจะจดจำความคิดเห็นอันเหนือชั้นของทูตขวาเกาเอาไว้”


ณ หน่วยตรวจการฝ่ายขวา เกาก้วนกลับมาแล้ว จุยหย่วนที่กำลังรออยู่รีบเดินลงจากบันไดตำหนักใหญ่มาต้อย แล้วเดินตามเข้ามาในตำหนักใหญ่


จุยหย่วนเดินตามหลังพร้อมกล่าวเสียงเบาว่า “นายท่าน ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยองครักษ์เงากับฝ่าบาท…พวกเราใช้การทรมานจนหน่วยองครักษ์เงากลายเป็นแบบนั้น ฝ่าบาทไม่ได้โมโหใช่มั้ยขอรับ?”


เกาก้วนเหล่ตามอง “ฝ่าบาทไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลเสียหน่อย พวกเราก็ไม่ได้มีใจเห็นแก่ตัว ทำตามกฎตั้งแต่ต้นจนจบ พอตรวจสอบออกมาแล้วว่ามีปัญหาจริงๆ ทำไมจะใช้การทรมานไม่ได้? อย่าบอกนะว่าจะต้องจัดสุราอาหารชั้นเลิศมาประเคนเพื่อขอให้พวกเขาสารภาพ?”


จุยหย่วนแอบปาดเหงื่อในใจ คนอื่นอาจจะไม่รู้ถึงลับลมคมในของเรื่องนี้ แต่พวกเขาเป็นคนที่ทำงานด้านการสืบคดีมานานหลายปี ผ่านคดีต่างๆ มามากมายเรียกได้ว่าทั้งใต้หล้านี้ไม่มีใครรู้จักอาชีพนี้ดีกว่าพวกเขาแล้ว การใช้วิธีสืบสวนคนจำนวนนับร้อยแบบนี้ ต่อให้เดิมทีจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็จะเกิดปัญหาเรื่องความน่าสงสัยได้อยู่ดี ยกตัวอย่างเช่นให้คนนับร้อยพูดถึงเรื่องเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ก็จะต้องมีคำให้การของใครบางคนตกหล่นแน่นอน


“แล้วฝ่าบาทได้พูดอะไรหรือเปล่าขอรับ?” จุยหย่วนถามหยั่งเชิง


เกาก้วนเดินมาตรงหน้าบัลลังก์ หันตัวสะบัดชุดคลุมนั่งลง แล้วบอกว่า “จะพูดอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ตอนนี้เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว ฝ่าบาทส่งต่อให้ผู้การใหญ่ซ่างก่วนไปสืบเองแล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดมาก ตอนนี้เอาสมาธิไปใช้กับเรื่องตลาดผีเถอะ ถ้าเกิกดเหตุการณ์อะไรก็แจ้งให้ข้ารู้ให้ทันเวลา”


“ขอรับ!” จุยหย่วนเอ่ยรับคำสั่ง เขาแอบรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เรื่องราวกลายเป็นแบบนี้แล้ว เขายังกังวลอยู่เลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงอย่างไรหน่วยองครักษ์เงากับฝ่าบาทก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน นึกไม่ถึงว่าทูตขวาเกาจะดึงหน่วยตรวจการฝ่ายขวาออกมาจากเรื่องนี้ได้อย่างราบรื่น เขาเองก็โล่งใจขึ้นบ้างแล้ว แต่คิดว่าผู้การใหญ่ซ่างก่วนจะต้องปวดหัวแล้วแน่ๆ


ซ่างก่วนชิงปวดหัวแล้วจริงๆ กำลังถอนหายใจเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักสวรรค์


เขาเป็นคนควบคุมหน่วยองครักษ์เงาด้วยมือตัวเอง เขารู้จักหน่วยองครักษ์เงาดีมาก เดิมทีนึกว่าหน่วยองครักษ์เงาจะไม่มีปัญหาอะไร แต่หลังจากได้อ่านบันทึกการสอบสวนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา เขาก็พูดไม่ออกมาก นึกมถึงว่าสมาชิกของหน่วยองครักษ์เงาจะมีจุดที่น่าสงสัยมากขนาดนี้


เขาอ่านบันทึกการสอบสวนอย่างละเอียดแล้ว หน่วยตรวจการฝ่ายขวาไม่ได้ทำอะไรที่ไม่เหมาะสม เกาก้วนไม่ได้ทำงานอย่างซี้ซั้วไร้ระเบียบ นอกจากนี้เมื่อดูจากกระบวนการสอบสวน กลับมองออกด้วยซ้ำว่าหน่วยตรวจการฝ่ายขวามีประสบการณ์ในการสืบคดีมาก ที่จริงแล้วคำให้การของคนในหน่วยองครักษ์เงาไม่ตรงกัน ภายใต้สถานการณ์ที่คนกลุ่มใหญ่ล้วนมองออกและชี้ให้เห็นได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนไม่ยอมรับสารภาพ แล้วหน่วยตรวจการฝ่ายขวาจะไม่ใช่วิธีการทรมานได้อย่างไร?


เมื่อครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ่างก่วนชิงก็จำต้องเรียกกำลังพลกลุ่มหนึ่งให้มายังสถานที่ควบคุมหน่วยองครักษ์เงาชั่วคราว


พอเขาเข้ามาในลานบ้าน ก็มีพี่น้องของหน่วยองครักษ์เงาเข้ามาล้อมทันที แล้วถามอย่างกระวนกระวายว่า “ผู้การใหญ่ เป็นยังไงบ้างขอรับ?”


ซ่างก่วนชิงทำหน้าตึงพร้อมบอกว่า “ฝ่าบาทให้พวกเราตรวจสอบกันเอง” ทุกคนเพิ่งจะโล่งใจ แต่เขาก็ถามอีกว่า “เซี่ยงจงฟื้นหรือยัง?”


หนึ่งในนั้นตอบว่า “พี่ใหญ่ฟื้นแล้วขอรับ เพียงแต่ถูกหน่วยตรวจการฝ่ายขวาทรมานหนักเกินไป เกรงว่าจะต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะฟื้นตัวได้”


ซ่างก่วนชิงแยกออกจากกลุ่มคน เดินตรงไปยังห้องพักชั่วคราวของเซี่ยงจง


เซี่ยงจงกำลังลืมตานอนมองเพดานอยู่บนเตียงขยับลูกตา พอเห็นว่าเขามาแล้ว ก็ยันตัวลุกขึ้นทันที “ผู้การใหญ่!”


ซ่างก่วนชิงยกมือบอกใบ้ไม่ให้เขาลุก แล้วโบกมือให้ผู้ติดตามข้างหลัง หลังจากบอกใบ้ให้พวกเขาถอยออกไปหมดแล้ว ถึงได้จ้องเซี่ยงจงพร้อมถามว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย ตอนที่เจ้าโดนสอบสวนอยู่ในคุกของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา เจ้ามีเรื่องปิดบังอะไรที่ไม่ได้บอกไป?”


บทที่ 1414 เศร้าโศกคับแค้น

Ink Stone_Fantasy

เซี่ยงจงไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร พยายามออกแรงตะแคงข้าง เอามือยันตัวให้ลุกขึ้น แล้วบอกอย่างตกใจว่า “ก็ต้องไม่มีอยู่แล้ว อย่าบอกนะว่าผู้การใหญ่ก็ไม่เชื่อเซี่ยงจงเหมือนกัน?”


ซ่างก่วนชิงสีหน้าคร่ำเครียดเล็กน้อย “ก็เพราะข้าเชื่อเจ้าไง ข้าถึงได้ให้โอกาสเจ้า ถ้าเจ้ายอมรับตอนนี้ก็ยังไม่สาย ข้ายังอยากจะปกป้องเจ้าสักครั้ง แต่ถ้าเจ้าอดทนไว้จนถึงที่สุด ถึงตอนนั้นข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้เหมือนกัน เจ้าต้องคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยพูดออกมา!”


ถึงแม้เขาจะควบคุมหน่วยองครักษ์เงามาตลอด แต่ในฐานะที่เขาเป็นผู้การใหญ่ของตำหนักสวรรค์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะดูแลเรื่องของหน่วยองครักษ์เงาอย่างเดียว เบื้องล่างย่อมมีคนช่วยเขาแบ่งเบา คนที่ช่วยเขาแบ่งเขาได้ก็ย่อมเป็นคนที่เขาเชื่อใจ คนคนนั้นก็คือเซี่ยงจง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับคนที่ตัวเองเชื่อใจ


ใครจะคิดว่าเซี่ยงจงจะทำตัวราวกับได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวง ยืดคอพร้อมกล่าวอย่างคับแค้นใจว่า “คนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาจะไม่เชื่อข้าก็ได้ แต่ผู้การใหญ่ก็คิดว่าเซี่ยงจงกำลังโกหกเหมมือนกันเหรอ?”


“จนป่านนี้แล้วยังปิดบังข้าอีกเหรอ?” ซ่างก่วนชิงก็โมโหแล้วเช่นกัน ทุ่มแผ่นหยกเป็นกองลงตรงหน้าเขา “งั้นนี่คืออะไร อย่าบอกนะว่าพวกลูกน้องกำลังรวมตัวกันวางกับดักเจ้า?”


เซี่ยงจงรีบหยิบแผ่นหยกขึ้นมาอ่านดูว่าคืออะไรกันแน่ พบว่าเป็นคำให้การของกำลังพลเบื้องล่าง เขายิ่งอ่านก็ยิ่งมึน ทำสีหน้างุนงงแล้ว


“นี่เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่ากำลังแกล้งโง่ ต้องให้ข้าเรียกคนอื่นมายืนยันต่อหน้าจนหัวหน้าอย่างเจ้าเถียงไม่ออกใช่มั้ยเจ้าถึงจะพอใจ?” ซ่างก่วนชิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม ให้ความรู้สึกเหมือนเข้มงวดเพราะหวังดี


หลังจากเซี่ยงจงงงงวยอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็อุทาน ‘”อ๋า” เหมือนเข้าใจในฉับพลัน เอามือตบหน้าผากตัวเอง “ข้านึกออกแล้ว ครั้งนั้นพวกเราหกคนไปดื่มที่ภัตตาคาร ในระหว่างนั้นมีผู้เฒ่าพาหลานสาวมาร้องเพลงหาเงิน ข้าสังเกตเห็นว่ามีอันธพาลคนหนึ่งเหมือนจะเพ่งเล็งหลานสาวของผู้เฒ่าคนนั้น มองจากหน้าต่างภัตตาคารเห็นตากับหลานสาวเดินออกจากภัตตาคารเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงข้าม อันธพาลเลยตามหลังไปติดๆ ข้าเดาว่าอันธพาลนั่นมีเจตนาไม่ดี ก็เลยแยกตัวออกไปตามลำพังประเดี๋ยวเดียว ออกจากภัตตาคารเข้าไปในซอยนั้นแหละ แล้วก็เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้ อันธพาลนั่นก่อคดีจริงๆ ด้วย ทำร้ายชายชราแล้วลักพาตัวแม่นางที่ร้องเพลงหาเงินคนนั้นหนี ตอนนั้นข้าเลยลงมือจัดการอันธพาลคนนั้น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงหรอก หลังจากกลับมาข้าก็ไม่ได้เอ่ยกับพวกลูกน้องเช่นกัน เรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละ”


ซ่างก่วนชิงก็ยังนึกว่าเขาทำเรื่องส่วนตัวที่น่าอับอายอะไร ใครจะไปรู้ว่าเป็นเรื่องประเภทนี้ จึงถามเสียงต่ำทันทีว่า “แล้วตอนที่เจ้าอยู่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา ทำไมบอกตั้งแต่แรก?”


เซี่ยงจงกล่าวด้วยสีหน้าขื่นขม “ตอนไอ้พวกคนโหดของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาสอบสวน ก็บอกแค่เวลากับสถานที่ให้ข้าคิดว่าตัวเองทำอะไร เรื่องราวผ่านไปหนึ่งพันปีกว่าแล้ว เรื่องเล็กแค่นี้ใครจะไปจำได้ล่ะ?”


ซ่างก่วนชิงแสยะยิ้ม “งั้นตอนนี้เจ้าจำได้แล้วเหรอ?”


เซี่ยงจงตอบว่า “ก็ผู้การใหญ่ให้ข้าอ่านคำให้การของพวกลูกน้องไง ในนี้บรรยายเหตุการณ์ตอนนั้นไว้ละเอียด เลยช่วยให้ข้าจำได้ เซี่ยงจงกล่าวความจริงทุกประโยค ไม่มีจุดไหนปิดบังผู้การใหญ่!”


ซ่างก่วนชิงบอกว่า “ข้าเชื่อเจ้าได้ แต่คนอื่นจะเชื่อเจ้าได้เหรอ? ขนาดก่อนหน้านี้เจ้าโดนหน่วยตรวจการฝ่ายขวาทรมานอย่างหนักยังไม่บอกเลย ยังร้องขอความยุติธรรมอีก พอปล่อยกลับมาเจ้าก็นึกออกแล้ว ใครจะไปเชื่อล่ะ? เจ้าหาพยานบุคคลหรือพยานวัตถุมาพิสูจน์สิ่งที่เจ้าทำตอนนั้นได้มั้ยล่ะ?”


เซี่ยงจงตกใจ “ผ่านไปหนึ่งพันปีกว่าแล้ว แม้แต่กระดูกของตาหลานคู่นั้นคงกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้วมั้ง ข้าจะไปหาพยานมาจากไหนล่ะ?”


“เจ้าไม่มีพยานแล้วใครจะเชื่อเจ้าล่ะ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ฝ่าบาทตรวจอ่านแล้ว อ่านบันทึกการสอบสวนของเจ้าด้วยตัวเองเลย ตอนนี้เจ้าอ้างเหตุลอะไรสักอย่างออกมา เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะเชื่อเหรอ?” ซ่างก่วนชิงถาม


“จิตใจอันจงรักภักดีที่เซี่ยงจงมีต่อฝ่าบาท ฟ้าดินเป็นพยานได้!” เซี่ยงจงกล่าว


คำพูดแบบนี้ใครก็พูดได้ทั้งนั้น แต่มีประโยชน์เหรอ? ซ่างก่วนชิงส่ายหน้า


คำพูดบางอย่างเขาไม่สะดวกจะพูดกับเซี่ยงจง ราชันสวรรค์เป็นคนขี้ระแวงสงสัยมามาตลอด คนคนเดียวปกครองใต้หล้าก็มักจะมีจุดที่มองไม่เห็นและดูแลไม่ทั่วถึงอยู่แล้ว มีเรื่องราวมากมายที่กำลังพลเบื้องล่างพูดอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาราชันสวรรค์จึงกลัวคนหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นราชันบนสวรรค์หรือในโลกมนุษย์ก็เหมือนกันหมด ขี้ระแวงสงสัยโดยธรรมชาติ!


นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมตอนแรกเขาไม่ดันทุรังขัดขวางไม่ให้ส่งตัวหน่วยองครักษ์เงาไปที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา ถ้าตอนนั้นดันทุรังขัดขวาง ฝ่าบาทจะต้องสงสัยว่าเขามีเจตนาแอบแฝงแน่นอน ว่าทำไมถึงไม่ให้ตรวจสอบหน่วยองครักษ์เงาล่ะ? ดังนั้นเขาจึงรอให้สถานการณ์ผ่านไปก่อน รอให้ฝ่าบาทใจเย็นลงก่อนแล้วค่อยอธิบายส่วนที่เป็นประโยชน์และส่วนที่เสียประโยชน์ เพื่อขอร้องให้ฝ่าบาทปล่อยหน่วยองครักษ์เงาออกมา แต่ใครจะคิดว่าหน่วยองครักษ์เงาที่ตนคิดว่าสะอาดบริสุทธิ์จะโดนเกาก้วนตรวจสอบจนเจอจุดที่น่าสงสัยแล้วใครจะกล้ารับประกันว่าจุดที่น่าสงสัยเหล่านี้ไม่มีปัญหา?


ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างร้อนมือ ประเด็นสำคัญคือเจ้าไม่มีทางกลบจุดที่น่าสงสัยพวกนี้ให้ฝ่าบาทเลิกสงสัยได้ เรื่องราววุ่นวายแล้วจริงๆ ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเขาก็จะขัดขวางฝ่าบาทไม่ให้ส่งคนไปถูกสอบสวนที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา


“เฮ้อ!” ซ่างก่วนชิงถอนหายใจฮือกหนึ่ง ก่อนจะเก็บแผ่นหยกแล้วหันตัวเดินออกไป


เซี่ยงจงพยายามออกแรงตะแคงข้าง แล้วตะโกนว่า “ผู้การใหญ่!”


“เจ้าตั้งใจพักฟื้นอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ!” ซ่างก่วนชิงโบกมือพลางเดินออกไป


พอมาถึงลานบ้านก็เห็นชายวันกลางคนกลุ่มหนึ่งกำลังมองตาละห้อย ซ่างก่วนชิงเม้มริมฝีปากแน่น แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “หูจื้อสิง จั่วฉางอัน…”


เขาเรียกชื่อคนยี่สิบหกคนในอึดใจเดียว คนที่ถูกเรียกชื่อล้วนดึงร่างกายให้ยืนขึ้นทั้งๆ ที่ยังไม่หายดี ต่างก็กำลังรอฟังว่าผู้การใหญ่จะพูดอะไร แต่ใครจะคิดว่าซ่างก่วนชิงจะพูดสิ่งที่ทำให้ตกใจออกมา “ทหาร มานำตัวพวกเขาไปคุมตัวแยก”


พอพูดจบ ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งที่นำตัวมาด้วยก็พุ่งเข้ามา สี่คนคุมตัวหนึ่งคน คุมตัวเดินออกไปข้างนอก


ทุกคนของหน่วยองครักษ์เงาตกตะลึงและสะเทือนใจมาก มีคนขวางตรงประตูไม่ให้เอาตัวคนไป มีคนตะโกนบอกว่า “ผู้การใหญ่ ทำไมทำแบบนี้?”


ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าขวางทาง ซ่างก่วนชิงตะคอกเสียงต่ำ “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร อยากจะก่อกบฏเหรอ?”


มีคนตะโกนถามทันทีว่า “ผู้การใหญ่ ท่านก็ต้องอธิบายสักหน่อยสิ?”


ซ่างก่วนชิงจึงบอกว่า “อธิบายอะไร? คนบริสุทธิ์ก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้าง บนตัวมีจุดที่น่าสงสัย ถ้าในใจไม่มีอะไรแอบแฝง ก็ไปรับการตรวจสอบอย่างใจกว้าง เพียงแต่แยกกันควบคุมตรวจสอบก็เท่านั้นเอง จะกลัวอะไร? ยังไม่หลีกทางให้ข้าอีก!”


ที่แท้การถูกปล่อยออกมาจากหน่วยตรวจการฝ่ายขวาแล้วก็ไม่ได้แปลว่าเรื่องจะจบ…กลุ่มคนที่อุดขวางตรงประตูหลีกทางให้อย่างช้าๆ เพียงแต่ทุกคนทำสีหน้าเหมือนได้รับความไม่ยุติธรรม


คนยี่สิบหกคนถูกคุมตัวไปแบบนี้แล้ว ซ่างก่วนชิงที่เดินอยู่ข้างหลังสุดหยุดฝีเท้าและหันกลับมามองแวบหนึ่ง มองกลุ่มคนของหน่วยองครักษ์เงา และมองไปทางที่พักชั่วคราวของเซี่ยงจง


ตามรายชื่อสอบสวนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา มีสมาชิกผู้ต้องสงสัยทั้งหมดยี่สิบเจ็ดคน เซี่ยงจงหัวหน้าหน่วยองครักษ์เงาก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เขาพาไปเพียงยี่สิบหกคน ไม่ได้พาเซี่ยงจงไปด้วย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ไม่สะดวกจะคุมตัวเซี่ยงจงไป เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับหน่วยองครักษ์เงา เขาเชื่อว่าเซี่ยงจงอ่านสถานการณ์โดยรวมออก สามารถช่วยเขาทำให้คนของหน่วยองครักษ์เงาสงบลงได้ ถ้าจับตัวหัวหน้าของหน่วยองครักษ์เงาไปด้วยจริงๆ เช่นนั้นหน่วยองครักษ์เงาก็จะผิดหวังท้อใจถึงที่สุด ฝูงมังกรที่ไร้หัว ถ้าสูญเสียการควบคุมขึ้นมาก็จะเกิดปัญหาแล้ว


ซ่างก่วนชิงเดินออกไปอย่างค่อนข้างจนใจ เขายังต้องคิดหาทางอธิบายเรื่องนี้กับประมุขชิงอีก


พอเข้าไปแล้ว กลุ่มคนของหน่วยองครักษ์เงาก็วิ่งไปที่ห้องของเซี่ยงจงทันที ในห้องมีคนเบียดกัน นอกห้องก็มีคนเบียดกัน แย่งกันพูดเรื่องที่สหายยี่สิบหกคนถูกควบคุมตัวไป


เซี่ยงจงมองดูร่างกายอันยับเยินที่นอนอยู่บนเตียงของตัวเอง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ทุกคนไม่ต้องเอะอะเสียงดังแล้ว ผู้การใหญ่ทำแบบนี้เพราะมีจุดประสงค์ของเขาแน่นอน”


แต่บางคนกลับโมโหไม่หยุด “พี่ใหญ่ ท่านจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ส่งพวกเราเข้าไปรับการสอบสวนในคุกของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา พวกเราก็ยอมให้จับแต่โดยดี พวกเขาตบตีทรมานพวกเรา พวกเราก็ยอมให้ทำแล้ว ตอนนี้จะเอาตัวเหล่าพี่น้องไปสืบสวนแยกอีก ไม่รู้จักจบจักสิ้นแบบนี้ แปลว่าไม่เชื่อใจพวกเราขนาดไหนกัน ฝ่าบาทคิดจะทำอะไรกันแน่?”


มีคนกล่าวอย่างคับแค้นใจอีกว่า “เคล็ดวิชาที่พวกเราฝึกได้กำหนดแล้วว่าไม่ให้พวกเรามีใจเป็นอื่น ไร้ครอบครัวไร้อาชีพ ไร้อิทธิพลอำนาจ ถูกล้อมคอกเลี้ยงเหมือนหมู ฝ่าบาทจะให้พวกเราทำอะไรพวกเราก็ไม่บ่นสักคำ พวกพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายเพื่อฝ่าบาท ตั้งใจทุ่มเทชีวิตเพื่อทำงาน แต่ตอนนี้กลับถูกปฏิบัติด้วยแบบนี้ ช่างทำให้คนผิดหวังท้อใจ…”


“หุบปาก!” เซี่ยงจงหันกลับมาตะคอกอย่างเดือดดาล “เจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่มั้ย พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า?”


ถึงแม้ทุกคนจะหุบปากแล้ว แต่สีหน้าเศร้าโศกคับแค้นกลับปิดบังได้ยาก…


วังสวรรค์ ในอุทยานสายัณห์ ประมุขชิงกันหญิงรับใช้ที่ติดตามออกไป แล้วเดินเล่นช้าๆ อยู่ในสวนเพียงลำพัง


ย่อมไม่ต้องพูดถึงว่าในสวนมีพืชพรรณดอกไม้แปลกตานานาชนิด เขาเดินช้าๆ มาถึงหน้ากำแพงที่มีพืชสีเขียวปกคลุม ใช้มือลูบคลำดอกไม้สีม่วงที่อยู่ในกำแพงสีเขียวดอกหนึ่ง พลางถามเสียงเรียบว่า “ทางหน่วยตรวจการฝ่ายขวาสืบสวนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”


รอบข้างไม่มีใคร ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังพูดอยู่กับใคร


ทว่ามองไม่เห็นว่าอีกด้านของกำแพงสีเขียวมีคนกำลังพูดอยู่ เสียงเบามาก ได้ยินแว่วๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าใครกำลังพูดอยู่ทางนั้น “ทางหน่วยตรวจการฝ่ายขวา ตั้งแต่ต้นจนจบของการสืบสวนหน่วยองครักษ์เงาในคุกใหญ่ ไม่มีจุดไหนที่เขียนขึ้นมาซี้ซั้ว ไม่มีการดูแลดีเป็นพิเศษเพราะเป็นหน่วยองครักษ์เงา และไม่มีการใส่สีตีไข่เพราะเป็นหน่วยองครักษ์เงาด้วย ควรจะสืบสวนอย่างไรก็สืบสวนไปตามธรรมเนียมเดิม ไม่มีจุดไหนที่ออกนอกลู่นอกทาง คำให้การที่ได้มาก็ไม่มีจุดที่ปลอมแปลงเช่นกัน”


ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ ถามอีกว่า “สถานการณ์ทางซ่างก่วนเป็นอย่างไรบ้าง ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้หมดแล้วใช่มั้ย?”


เสียงที่แผ่วเบาดังมาจากอีกด้านของกำแพงเขียว “หลังจากซ่างก่วนชิงไปแล้ว ก็ไม่ได้ควบคุมคนในทันที แต่กันคนอื่นออกไปแล้วคุยกับเซี่ยงจงหัวหน้าหน่วยองครักษ์เงาในห้องตามลำพังพักหนึ่ง คนนอกไม่ทางเข้าใกล้ได้ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างในเป็นยังไง หลังจากซ่างก่วนชิงออกมาจากห้องของเซี่ยงจงแลว ถึงได้ออกคำสั่งให้คุมตัวยี่สิบหกคนนั้นแยกไปสอบสวน ส่วนเซี่ยงจง ซ่างก่วนชิงไม่ได้แตะต้องเขา หลังจากซ่างก่วนชิงไปแล้ว คนกลุ่มนั้นก็พุ่งเข้ามาพูดจาเหลวไหลในห้องของเซี่ยงจง…”


ไม่รู้เหมือนกันว่าบุคคลลึกลับรู้ข่าวนี้ได้อย่างไร ปฏิกิริยาของกลุ่มคนหน่วยองครักษ์เงาตอนอยู่ในห้องของเซี่ยงจง ทั้งยังมีคำพูดระบายแสดงความไม่พอใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะบรรยายออกมาได้อย่างไม่มีตกหล่น


ประมุขชิงพลันหรี่ตาที่เรียวเล็ก ในดวงตาฉายแววดุดัน ดอกไม้สีม่วงบนกำแพงถูกเด็ดมาไว้ในมือ แล้วถูกบดขยี้จนเละอยู่ระหว่างนิ้ว เขาไม่ได้พูดอะไรมากอีก หันตัวเดินออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ทางด้านตลาดผี เหมียวอี้ก็ไม่มีงานอะไรให้ทำเช่นกัน เบื้องบนให้เขามา ก็เพียงเพื่อให้ประสานงานกับกำลังพลของเขาได้สะดวก เรื่องจับตาดูไม่จำเป็นต้องให้เขาออกโรงด้วยตัวเอง กอปรกับวันนี้จ้านหรูอี้ทำตัวราวกับเป็นคนแปลกหน้าของเขา แทบจะไม่ได้เจอหน้าเขาเลย เหมียวอี้ดีใจที่ได้เป็นอิสระ ส่งต่อเรื่องประสานงานให้หยางเจาชิงจัดการ ส่วนตัวเองก็พาเหยียนซิวไปเดินเล่นที่ตลาดผีทั้งวัน


ส่วนทางด้านหอนางโลมจันทราวายุมิเสื่อมคลาย เหมียวก็ไปที่นั่นทุกๆ สามวันห้าวัน แน่นอนว่าไม่ได้มาอุดหนุนใช้บริการผู้หญิงที่หอนางโลม แต่ไปอุดหนุนใช้บริการจากอวิ๋นจือชิว


อวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้อยู่ที่ตลาดผีนานเช่นกัน อยู่ไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ออกไปแล้ว


หลังจากอวิ๋นจือชิวออกไปได้ไม่กี่วัน จู่ๆ กู่ตัวกุ้ยก็ส่งข่าวมาให้เหมียวอี้ ให้เขานำคนจำนวนหนึ่งไปที่ร้านประมูลแห่งหนึ่งด้วยตัวเอง


บทที่ 1415 เจ้ากำลังก่อกวนอะไรของเจ้า

Ink Stone_Fantasy

แค่ไปร้านประมูลก็ยังไม่เท่าไร แต่ไม่น่าเชื่อว่าเบื้องบนจะต้องการให้เขาฟังคำสั่งของจ้านหรูอี้ชั่วคราว


กำลังทำบ้าอะไรกันอยู่? ขณะที่เหมียวอี้กำลังครุ่นคิด จู่ๆ เหยียนซิวก็บอกว่า : มีผู้ชายคนหนึ่งเข้าไปในห้องของจ้านหรูอี้ ดูแล้วไม่เหมือนลูกน้องของจ้านหรูอี้ขอรับ


เหมียวอี้เดินไปเดินมาในห้องครู่หนึ่ง แล้วเปิดประตูออก เดินไปที่ห้องของจ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างกัน ผลก็คือโดนลูกน้องสองคนของจ้านหรูอี้ขวางไว้ที่ประตู “คุณหนูฮว๋ากำลังพบแขก ไม่สะดวกให้คนรบกวน”


จ้านหรูอี้ก็เปลี่ยนชื่อแล้วเช่นกัน เป็นชื่อที่ธรรมดาสามัญมาก ฮว๋าเหม่ย


เหมียวอี้พึมพำในใจว่าชายหญิงเข้าไปทำอะไรกันสองต่อสอง จู่ๆ ประตูก็เปิดออก ชายหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งเดินออกมา มองเขาแวบหนึ่ง แล้วเดินออกไปอย่างไม่รีบร้อน


จ้านหรูอี้ยืนจ้องเขาอยู่ในประตู แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เข้ามาสิ”


พอเข้ามาข้างในแล้วปิดประตู เหมียวอี้ยังไม่ทันพูดอะไร จ้านหรูอี้ก็เอ่ยปากถามก่อนแล้ว “กู่ตัวกุ้ยบอกเจ้าหมดแล้วใช่มั้ย?”


“ให้ข้าให้ความร่วมมือกับเจ้า” เหมียวอี้พยักหน้า บิดเบือนคำพูดของกู่ตัวกุ้ยนิดหน่อย เปลี่ยนจากฟังคำสั่งกลายเป็นให้ความร่วมมือ ถามอีกว่า “ไปทำอะไรที่ร้านประมูล?”


จ้านหรูอี้พูดอย่างรักษาระยะห่างมากว่า “เจ้าไม่ต้องยุ่งเรื่องอะไรทั้งนั้น เหลืออีกห้าชั่วยามก็จะถึงเวลาประมูลแล้ว เจ้านำลูกน้องของเจ้าทุกคนที่ว่างไปรวมตัวใกล้ๆ ‘ตึกศาลาสัตยพรต’ ก่อน เจ้ายังมีเวลาเตรียมตัวครึ่งชั่วยาม”


ตั้งแต่ครั้งก่อนที่จับได้ว่าท่านขุนนางเหมียวไปหาผู้หญิงจากหอนางโลม ท่าทีของผู้หญิงคนนี้ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชามาก


“กำลังพลที่ว่างงานทั้งหมดเหรอ?” เหมียวอี้สงสัย


“ใช่! ทั้งหมด! ไปเตรียมตัวเถอะ” พอจ้านหรูอี้โบกมือ ประตูห้องก็เปิดออก ส่งแขกแล้ว


เหมียวอี้งงนิดหน่อย ทำได้เพียงเดินออกมา


ลูกน้องของเขาที่ว่างอยู่ในตลาดผี ตอนนี้มีประมาณหนึ่งพันคนเท่านั้น ก่อนหน้านี้ส่งคนมาเท่าไร เบื้องบนก็นับไว้แล้ว เขาเองก็ปลอมแปลงจำนวนไม่สะดวก ทำได้เพียงดึงกำลังพลไปใกล้ๆ ร้านประมูล


ถึงแม้จะบอกว่ามีเวลาเตรียมตัวห้าชั่วยาม แต่กลับออกเดินทางล่วงหน้าหนึ่งชั่วยาม คงไม่อาจรอให้การประมูลเริ่มแล้วค่อยออกเดินทาง


เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันมาช่วงหนึ่ง ในที่สุดก็ได้มาร่วมเดินทางกันอีกครั้ง ครั้งนี้ต้องเดินทางทางน้ำ เรือที่เช่าไว้แล้วมาจอดอยู่ริมฝั่งที่ไกลจากโรงเตี๊ยมพระจันทร์เสี้ยวมาก สาเหตุที่ไม่ขึ้นเรือนอกโรงเตี๊ยม เห็นได้ชัดว่าทำไปเพื่อปิดบังเส้นทางการเคลื่อนไหว หลังจากทั้งสี่ขึ้นเรือแล้วก็เข้าไปซ่อนตัวในห้องโดยสารเรือ ทั้งสองคนพาคนมาด้วยได้เพียงคนเดียว เหมียวอี้พาเหยียนซิวมา ส่วนจ้านหรูอี้ก็พาคังเต้าผิงมา


คนขับเรือร่ายอิทธิฤทธิ์บังคับให้เรือแล่นฝ่าคลื่นไปอย่างเงียบๆ


ในห้องโดยสารเรือ เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ท่ามกลางแสงขมุกขมัวมีม่านไข่มุกกั้นเพื่อให้ชื่นชมแสงของโคมไฟริมสองฝั่ง จ้านหรูอี้หันหน้าเล็กน้อยมาสบตากับเขาเป็นระยะ


ตึกศาลาสัตยพรตห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล อยู่บริเวณชายขอบของตลาดผี พื้นที่โดยส่วนใหญ่เรียกได้ว่าเป็นทะเลสาบ เป็นตึกหินที่สร้างจากแร่ธาตุผสมหลังหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่บนผิวน้ำ รูปร่างเป็นเสาทรงกลม เชื่อมต่อไปด้านบนจนถึงหลังคา รอบข้างไม่มีสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น อยู่โดดเดี่ยวบนผิวน้ำราวกับเป็นเสาต้นหนึ่ง


ในตึกศาลาสัตยพรตทำธุรกิจสองอย่าง ตั้งแต่ใต้ทะเลสาบลงมาคือร้านประมูล ตั้งแต่บนทะเลสาบขึ้นไปคือ ‘ธนาคารสัตยพรต’ อันโด่งดัง เถ้าแก่ของที่นี่คือคนที่ชื่อว่าเฉาม่าน ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางอำนาจของตลาดผี


บนทะเลสาบโดยรอบมีเรือมากมายสัญจรไปมาที่ตึกศาลาสัตยพรต ที่จริงไม่จำเป็นต้องนั่งเรือ แต่คนพวกนี้มีจุดประสงค์คือหลบสายตาคนอื่น


เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ เขาพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว จึงเดินกลับไปนั่งลงข้างจ้านหรูอี้ แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าคงไม่ได้คิดจะจับตาดูคนที่ออกมาจากร้านประมูลหรอกใช่มั้ย?”


“ไม่ใช่ว่าข้าอยากดู แต่เป็นประสงค์ของเบื้องบน” จ้านหรูอี้ตอบ


เหมียวอี้จึงบอกว่า “ทะเลสาบรอบๆ ห่างจากฝั่งเกือบหลายร้อยจั้งเลยนะ ถ้ามีคนออกไปโดยการดำน้ำจะทำยังไง? นี่คงเป็นสาเหตุที่ธนาคารกับร้านประมูลสร้างไว้ที่นี่ ไม่ให้คนเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวได้ง่ายๆ!”


“อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะเข้าใจเอง” จ้านหรูอี้กล่าว


เมื่อเห็นนางไม่ยอมบอกให้ชัดเจน เหมียวอี้ก็ขี้เกียจถามแล้วเช่นกัน


เรือที่สัญจรไปมาไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้ฝั่ง รอบฐานของตึกศาลาสัตยพรตที่โผล่พ้นน้ำขุดสร้างปากโพรงเอาไว้ไม่น้อย เพียงพอที่จะจุให้เรือแล่นเข้าออกได้ เรือที่พวกเขาโดยสารก็เข้าไปในโพรงเช่นกัน ข้างในมีฟ้าดิน รอบข้างมีบันไดขึ้นไปหลายชั้น มีประตูทางเข้า


ตอนที่ลงเรือพวกเขาทั้งหมดสวมชุดคลุมสีดำ สวมหมวกมุ้งสีดำ เรือที่จอดอยู่ข้างๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าใครเป็นใคร


พวกเขาเดินขึ้นบันไดไป เดินเข้าไปตามประตู เข้าไปในโถงเล็กๆ แห่งหนึ่งแล้ว ในนั้นมีโต๊ะคิดเงินที่มีคนเฝ้า ด้านหลังโต๊ะคิดเงินเป็นประตูบานใหญ่หนึ่งบาน


ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ถ้าอยากจะเข้าไปที่ร้านประมูล แค่จ่ายเงินค่ารับป้ายลำดับมาก็พอ ถ้าไม่มีป้ายลำดับก็เลิกคิดที่จะเข้าไปได้เลย ราคาก็ไม่ใช่น้อยๆ ราคาต่อหนึ่งหมายเลขก็คือสิบล้านผลึกแดง คนที่อยากจะเข้าไปดูเอาสนุกเฉยๆ ก็ต้องจ่ายราคานี้เช่นกัน


ทั้งสี่คนได้รับป้ายลำดับที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ ในมือเหมียวอี้คือ ‘สองร้อยยี่สิบสาม’ เขามองป้ายในมือจ้านหรูอี้แวบหนึ่ง เป็นเลข ‘สองร้อยยี่สิบสอง’


หลังจากถือป้ายลำดับแสดงให้คนเฝ้าประตูตรวจสอบแล้ว ทั้งสี่ก็เข้าประตูแล้วเดินตามบันไดที่คดเคี้ยวลงมา ระยะทางที่ทอดลงไปสูงประมาณสิบจั้ง จากนั้นก็เข้าไปที่ประตูอีกบานหนึ่ง สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือเวทีการแสดง สถานที่ไม่เล็กเลย ตรงหน้าคือเวทีเวที ข้างล่างคือสนามที่นั่งหลายแถว มีคนมาถึงก่อนแล้วหลายร้อยคน แต่ละคนปิดบังใบหน้าและนิ่งเงียบไม่พูดจา ทำท่าเหมือนกำลังทำเรื่องน่าอับอายที่บอกใครไม่ได้ ในนั้นมีบนตัวบางคนปล่อยคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาเป็นบางครั้ง


หน้าประตูยังมีคนเฝ้า เมื่อดูป้ายลำดับและอนุญาตแล้ว ก็ตะโกนสั่งไม่หยุดว่า “เข้าประจำที่ตามหมายเลข!”


ที่นั่งของทั้งสี่อยู่ตรงแถวที่สอง นับว่าค่อนข้างชิดขอบ ราละเอียดที่นั่งอยู่ลำดับท้าย บนเก้าอี้ที่จัดวางไว้ก็มีเลขที่สอดคล้องกัน ทั้งสี่นั่งใกล้กัน


สำหรับทั้งสี่คนที่มาเป็นครั้งแรก ก็ไม่แคล้วต้องมองสำรวจไปรอบๆ ถึงแม้ในงานจะมีคนไม่น้อย แต่กลับเงียบสงบมาก ถ้ามีอะไรจะสื่อสารกันก็ล้วนใช้วิธีการถ่ายทอดเสียง


ตอนหลังก็ยังมีคนเข้ามาในงานอีก ไม่นับว่านั่งรอนานเกินไป จู่ๆ คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดในงานก็เงียบลงแล้ว บนเวทีที่อยู่ตรงหน้าทุกคนมีสตรีที่สวมชุดสีเขียวอมฟ้าเดินเนิบนาบออกมา มองจากด้านข้างไม่เห็นใบหน้าชัดเจน แต่เรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งนั้นทำให้คนรู้สึกเร่าร้อนมาก


เรือนร่างอันร้อนแรงถูกตู้สินค้าตรงหน้าเวทีปิดบังอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงคนนั้นหันตัวมา หน้าตาทำให้คนผิดหวังอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางมีหน้าตาธรรมดา แต่ก็ไม่นับว่าขี้เหร่ ยังถือว่าสง่าภูมิฐาน เพียงแต่เหมียวอี้อึ้งนิดหน่อย หันหน้าไปมองจ้านหรูอี้โดยจิตใต้สำนึก ผลปรากกฏว่าจ้านหรูอี้ก็มองมาที่เขาเช่นกัน


ทั้งสองเรียกได้ว่าเข้าใจบางอย่างพร้อมกัน ต่างก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของผู้หญิงบนเวทีคล้ายกับคนคนหนึ่ง เซี่ยโห้วหลงเฉิง!


แน่นอน ไม่ได้หน้าตาหยาบกระด้างเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิงขนาดนั้น เพียงแต่บนใบหน้ายากที่จะกลบความเหมือนได้


ก่อนหน้านี้ยังได้ยินอวิ๋นจือชิวบอกอยู่เลยว่าที่นี่คืออาณาเขตของตระกูลเซี่ยโห้ว ตอนนี้จู่ๆ ก็มีคนคนนี้โผล่มาอีก เหมียวอี้แทบจะแน่ใจได้ ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ใครๆ ก็บอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีสาวงาม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายเลือดของตระกูลเซี่ยโห้วเข้มข้นเกินไปจนกลบสายเลือดอื่นๆ หมดหรือเปล่า เพราะได้ยินว่าผู้หญิงที่แต่งงานเข้าตระกูลเซี่ยโห้วมีแต่ยอดหญิงงามทั้งนั้น ด้วยกำลังทรัพย์ของตระกูลนี้ จะต้องมีเรื่องแบบนี้แน่นอน แต่ลูกหลานที่คลอดออกมาไม่มีใครที่อาศัยบารมีได้สักคน


เหมียวอี้ไม่เคยเจอราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่เคยได้ยินว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็หน้าตาไม่สวยเหมือนกัน คนที่อยู่ตรงหน้าก็คงจะเป็นตัวอย่างหนึ่งเหมือนกัน


ไม่ได้มีการอุ่นเครื่องใดๆ บนโต๊ะคิดเงินมีเชือกเส้นหนึ่งแขวนอยู่ ผู้หญิงคนนั้นกวาดสายตามองกลุ่มคนที่นั่งอยู่เบื้องล่าง ยกมือคว้าเชือกขึ้นมาเขย่า บนนั้นมีเสียงระฆังดัง “ติ๊ง” การประมูลได้เริ่มขึ้นแล้ว


ม่านที่อยู่ด้านซ้ายและขวาด้านหลังเวทีแหวกทางออกมาเส้นทางหนึ่ง มีสตรีผู้ชำนาญอีกคนเดินออกมา ในมือถือถาดหนึ่งใบ  บนผ้าขนสัตว์ที่รองถาดวางลูกท้อสีเหลืองขนาดใหญ่ไว้ลูกหนึ่ง ใต้ผิวท้อมีแสงสีอันแวววับให้เห็นรางๆ ผู้หญิงที่ถือถาดกำลังยกไปทางซ้ายและขวาอยู่บนเวทีเพื่อแสดงให้ผู้ชมได้ดู


“ท้อเซียน…” ในที่สุดกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างเวทีก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว เริ่มเสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ ที่มากกว่านั้นคือคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ใช้ถ่ายทอดเสียงสื่อสารกัน


เหมียวอี้เองก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามจ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างๆ “นี่คือท้อเซียนเหรอ?”


ถ้าเป็นบ๊วยเซียน ไม่ว่าจะดิบจะสุกหรือจะห่าม เขาเคยกินมาแล้วไม่น้อย แต่ท้อเซียนนี้กลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ว่ากันว่าในท้อเซียนหนึ่งผลแฝงพลังจิตวิญญาณเท่ากับบ๊วยเซียนสิบผล เพียงแต่ของสิ่งนี้ถูกตำหนักสวรรค์ผูกขาดไว้ ทำไมถึงมาโผล่ที่ร้านประมูลในตลาดผีได้ล่ะ?


“อืม!” จ้านหรูอี้ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ


เหมียวอี้ถามอีกว่า “เจ้าเคยกินหรือเปล่า?”


“ถ้าเป็นขุนนางในราชสำนัก ตราบใดที่ไม่ได้ทำผิดอะไร ในแต่ละปีฝ่าบาทก็จะประทานเป็นรางวัลให้” จ้านหรูอี้ตอบ


เหมียวอี้เข้าใจแล้ว อย่าว่าแต่ท่านปู่ของนางเลย บิดาของนางก็เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ เกรงว่าถ้าอยากกินก็คงจะได้กินทุกปี จากสิ่งนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจเช่นกัน ถึงแม้ผลไม้เซียนประเภทนี้จะถูกราชันสวรรค์ผูกขาด แต่ราชันสวรรค์ก็ไม่ได้เก็บไว้ใช้คนเดียว สิ่งที่ราชันสวรรค์ต้องการก็คือการกุมอำนาจเท่านั้นเอง


เหมียวอี้จ้องท้อเซียนแล้วถามอีกว่า “อร่อยมั้ย?”


จ้านหรูอี้ไม่สนใจเขา


ในที่สุดพิธีกรหญิงบนเวทีก็เอ่ยปากพูดแล้ว หน้าตานางก็ไม่ได้ดีเท่าไร แต่เสียงกลับไพเราะน่าฟัง ไม่ด้เสียงแหบหยาบเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง “ท้อเซียนหนึ่งร้อยผล ราคาเริ่มต้นสองพันล้านผลึกแดง ป้ายราคาหนึ่งร้อยล้านผลึกแดง ผู้ที่ต้องการได้โปรดแสดงป้าย” นางเขย่าเชือกในมือ มีเสียงระฆังดัง “ติ๊ง” อีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าการประมูลเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ไม่ได้พูดมากอะไร รวดเร็วฉับไวมาก


ด้านล่างเวทีมีคนชูป้ายแล้ว ทำให้มีคนทำตามต่อเนื่องเป็นระลอกทันที หมายความว่าทุกครั้งที่ชูป้ายราคาจะเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยล้านผลึกแดง


พิธีกรหญิงกวาดสายตามองกลุ่มคนตรงที่นั่งไม่หยุด นางเขย่าระฆังเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เขย่าระฆังจะหมายความว่าราคาเพิ่มขึ้นหนึ่งครั้ง


ที่จริงในใจเหมียวอี้ก็เข้าใจดี ท้อเซียนหนึ่งผลเทียบเท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ด ท้อเซียนหนึ่งร้อยผลก็เท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งหมื่นเม็ด ราคาที่แท้จริงก็แค่หนึ่งพันผลึกแดงเท่านั้น ราคาเริ่มต้นสองพันล้าน นับว่าราคาเพิ่มเป็นหนึ่งเท่าตัวแล้ว แต่ประเด็นก็คือของสิ่งนี้ไม่ใช่ว่าใครอยากกินแล้วก็กินได้ ยกตัวอย่างเช่นผู้บัญชาการใหญ่ที่เคยคุมตลาดสวรรค์และตอนนี้คุมธงพยคัฆ์ดำอย่างเขา ก็ไม่เคยกินอยู่ดี และถ้านำของแบบนี้มามอบเป็นของขวัญ ก็จะมีหน้ามีตามาก


ประกอบกับเสียงระฆังนี้ก็เร่งให้คนแข่งกัน เหมียวอี้หันกลับไปมองคนข้างหลังที่ชูป้ายไม่หยุด เขาเองก็เริ่มคันไม้คันมือแล้วนิดหน่อย อยากจะซื้อกลับให้พวกอวิ๋นจือชิวชิมรสชาติเหมือนกัน ราคาหลายพันล้านผลึกแดง สำหรับนักพรตทั่วไปอาจจะเป็นทรัพยากรมหาศาล แต่สำหรับคนที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์มาหลายปีอย่างเขา ราคานี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ที่สำคัญคือซื้อกลับไปเป็นของขวัญเอาใจกลุ่มภรรยาในบ้าน ท้อเซียนนี้เหมาะจะทำเป็นของขวัญมากจริงๆ


ดังนั้นท่านขุนนางเหมียวจึงชูป้ายอย่างไม่ลังเล สายตาของพิธีกรหญิงบนเวทีมองมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็รีบเขย่าระฆัง


จ้านหรูอี้ คังเต้าผิงและเหยียนซิวที่อยู่ทางซ้ายและขวาเอียงหน้ามองมาทันที โดยเฉพาะจ้านหรูอี้ สีหน้าที่อยู่ใต้ม่านมุ้งเครียดขรึมลงเล็กน้อย ในดวงตาสองข้างแทบจะมีไฟลุกออกมา แต่น่าเสียดายที่มีผ้ามุ้งดำกั้น ทำให้เหมียวอี้มองไม่เห็น


เพราะของที่มีราคาจริงหนึ่งพันล้านสูงถึงสามพันล้านกว่าแล้ว พอเหมียวอี้ยกป้ายหนึ่งครั้ง ก็มีคนอื่นเพิ่มราคากลบอย่างรวดเร็ว


ในวันนี้ เหมียวอี้มีความปรารถนาต่อของสิ่งนี้มาก จึงชูป้ายต่อเนื่องกันอีกสามครั้ง


ในที่สุดจ้านหรูอี้ที่นั่งอยู่ข้างกันก็ข่มไฟโกรธไม่ไหว ถ่ายทอดเสียงตะคอกถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ากำลังทำอะไร?”


“กำลังแข่งประมูลไง! ยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ?” เหมียวอี้ตอบ


“เจ้าจะแข่งประมูลสิ่งนี้ไปทำไม? เป็นประสงค์ของเบื้องบนเหรอ?” จ้านหรูอี้ถาม


“เปล่านี่ ไม่เกี่ยวกับเบื้องบนหรอก ข้าไม่เคยชิมรสชาติของท้อเซียน อยากจะซื้อกลับไปชิมสักหน่อย” เหมียวอี้กล่าว


“เจ้ารู้รึเปล่าว่าวันนี้เจ้ามาทำอะไร? พวกเรากำลังปฏิบัติภารกิจนะ เจ้ากำลังก่อกวนอะไรของเจ้า?” จ้านหรูอี้โมโหแล้ว


…………………………


บทที่ 1416 สินค้าประมูลรั้งท้าย

Ink Stone_Fantasy

“ข้าใช้เงินของตัวเองซื้อของ แล้วคนอื่นก็ไม่รู้ด้วยว่าข้าคือใคร ทำไมกลายเป็นข้าก่อกวนแล้วล่ะ?” ปากเหมียวอี้ก็ถามอย่างแปลกจ แต่มือกลับไม่หยุดทำงาน ชูป้ายเพิ่มราคาอีกครั้ง


“จ่ายหลายพันล้านเพื่อซื้อท้อเซียนร้อยผล เจ้าไม่รู้เหรอว่าขาดทุน?” จ้านหรูอี้ถาม


เหมียวอี้มองไปรอบๆ ราคาถูกข่มอีกแล้ว สงสัยคนที่ไม่กลัวขาดทุนจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว จึงตอบทันทีว่า “ก็ข้าไม่เคยชิม อยากจะลองชิมอะไรใหม่ๆ สักหน่อย”


จ้านหรูอี้โมโหแทบแย่ เดี๋ยวต่อไปพอได้แต่งงานกับข้า เจ้ายังกลัวจะไม่ได้กินของพวกนี้อีกเหรอ? จึงบอกอย่างหงุดหงิดว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ ถ้าอยากชิมเดี๋ยวกลับไปข้าจะแบ่งให้เจ้านิดหน่อย”


ในความคิดของนาง เจตจำนงของอิ๋งจิ่งกวงท่านตาของนางนั้นขัดขืนได้ยาก เกรงว่าท่านตาคงจะไม่มองว่าการที่หนิวโหย่วเต๋อไปมั่วกับผู้หญิงที่หอนางโลมเป็นเรื่องใหญ่โตด้วย ในสายตาผู้ชายเรื่องแบบนี้คงไม่สำคัญอะไร สุดท้ายตัวเองก็จะต้องแต่งงานกับไอ้คนระยำคนนี้


เหมียวอี้วางป้ายในมือที่กำลังจะชูขึ้นลงมา “จริงเหรอ? จะให้เท่าไร?”


“บนตัวข้าไม่มี รอให้ภารกิจจบแล้วข้าจะให้เจ้าสองผล” จ้านหรูอี้ตอบ


“แค่สองผลเองเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างตกใจ “จ้านคนสวย นี่เจ้าขี้งกเกินไปรึเปล่า?”


จ้านหรูอี้ตอบว่า “แค่ชิมนิดหน่อยก็พอ เจ้ายังอยากได้เท่าไร จะเอามากินแทนข้าวรึไง? ในแต่ละปีครอบครัวข้าได้รับเป็นรางวัลไปกี่สิบผลเท่านั้น”


เหมียวอี้ไม่เอาด้วยแล้ว แค่สองผลจะมีประโยชน์อะไร ขนาดตัวเองกินคนเดียวยังไม่พอเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแบ่งให้กลุ่มภรรยาที่บ้าน เขาชูป้ายในมือทันที เพิ่มราคาอีกครั้งแล้ว “ช่างเถอะ ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้าแล้ว ข้าซื้อเอาเองดีกว่า”


“เจ้าไม่รู้เหรอว่าพวกเรามาปฏิบัติภารกิจ?” จ้านหรูอี้ตะคอก


เหมียวอี้กลอกตา “หรือว่าเบื้องบนเป็นคนนำท้อเซียนนี้ออกมาขาย?”


“ไม่ใช่” จ้านหรูอี้ตอบ


“แล้วท้อเซียนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับภารกิจ?” เหมียวอี้ถาม


“ไม่เกี่ยว” จ้านหรูอี้ตอบอีก


“งั้นข้าซื้อไว้แล้วจะเป็นไรไป?” พอเหมียวอี้ชูป้ายในมือ ก็เค้นเสียงให้แหบพร่าเสียเลย ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนออกมาว่า “ห้าพันล้านผลึกแดง!”


ราคาขายประมูลถูกผลักขึ้นไปถึงสี่พันล้านแล้ว จำนวนคนที่ชูป้ายน้อยลงเยอะ เหลืออยู่จำนวนหร็อมแหรม เขาเองก็ขี้เกียจจะพูดมากอีก เพิ่มไปอีกหนึ่งพันล้านเสียเลย จะได้ไม่ต้องยกไปยกมา เขาเองก็ไม่ขาดแคลนเงินแค่เท่านี้เหรอ


พอเสียงนี้ดังขึ้น เหยียนซิว คังเต้าผิงก็พูดไม่ออก จ้านหรูอี้จ้องเขา มือสองข้างกำหมัดแน่น เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะซ้อมคน


การชูป้ายในงานหยุดลงแล้ว ของที่มีราคาที่แท้จริงหนึ่งพันล้านบาทกลายเป็นห้าพันล้านแล้ว ดูเกินจริงไปหน่อย ต่อให้เพิ่มราคาอีกนิดเดียวก็ไม่คุ้มเลยจริงๆ ถึงอย่างไรก็ยังไม่รู้ว่าตอนหลังยังจะมีของอะไรโผล่มาอีก การขายประมูลของที่นี่ แต่ไหนแต่ไรมาล้วนไม่เปิดเผยล่วงหน้าว่าจะประมูลขายอะไร ไม่จำเป็นต้องสู้ตายเพื่อท้อเซียนไม่กี่ผล


พิธีกรหญิงกวาดสายมามองด้านล่างเวที เมื่อเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาอะไรแล้ว ก็กล่าวเสียงดังว่า “มีคนเสนอราคาห้าพันล้านผลึกแดง ยังมีใครจะเพิ่มเพิ่มราคาอีกมั้ย…” พอถามสามครั้งติดต่อกันแล้วไม่มีใครตอบ เชือกก็ถูกเขย่าซ้ำๆ “ติ๊งๆๆ” เสียงระฆังดังต่อเนื่องสามครั้ง “หมายเลขสองร้อยยี่สิบสามเสนอห้าพันล้านผลึกแดง ประมูลซื้อท้อเซียนหนึ่งร้อยผลแรกไป”


จ้านหรูอี้จ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวเน้นย้ำว่า “ถ้าเจ้าทำภารกิจพัง ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะรายงานกับเบื้องบนยังไง”


“ก็เจ้าบอกแล้วว่าท้อเซียนไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจครั้งนี้” เหมียวอี้เถียง


“…” จ้านหรูอี้พูดไม่ออก


ผู้หญิงที่ถือถาดผลไม้หันตัวเดินออกจากหน้าเวที หลังจากหายเข้าไปหลังม่าน ก็มีผู้หญิงอีกคนเดินออกจากหลังม่านมา ในมือถือถาดเช่นเดียวกัน บนถาดมีสมุนไพรเซียนซิงหัวต้นหนึ่ง ดูจากขนาดของลำต้น คาดว่าอายุคงไม่ต่ำกว่าหลายพันปี กำลังถือแสดงไปทางซ้ายและขวาให้ทุกคนได้เห็น


พิธีกรหญิงที่อยู่บนเวทีกล่าวว่า “สมุนไพรเซียนซิงหัวสิบต้น แต่ละต้นอายุประมาณห้าพันปี ราคาขั้นต่ำหนึ่งหมื่นห้าพันล้านผลึกแดง ป้ายราคาหนึ่งร้อยล้านผลึกแดง ผู้ที่ต้องการกรุณาแสดงแผ่นป้าย” พูดจบก็เขย่าเชือกในมือ “ติ๊ง” การขายประมูลรอบที่สองเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ


ครั้งนี้เหมียวอี้ไม่ได้วู่วามชูป้ายอีก เขามีสมุนไพรเซียนซิงหัวเยอะจนใช้ไม่หมด สะสมไว้สำรองใช้กองใหญ่แล้ว และราคานี้ก็ค่อนข้างสูงสำหรับเขา ถึงแม้ที่พิภพใหญ่จะมีสมุนไพรเซียนซิงหัวเยอะกว่าพิภพเล็ก แต่เมื่อดูจากอัตราส่วนของนักพรต พิภพใหญ่ก็ขาดแคลนยิ่งกว่า ดังนั้นจึงมีราคาแพงกว่าที่พิภพเล็กมาก ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่การขายประมูลครั้งนี้ก็ยังแพงกว่าราคาตลาดปกติเกือบหนึ่งในสามเท่า แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ร้านขายประมูลที่ตลาดผีหักส่วนแบ่งสูงมาก นั่นก็คือหนึ่งในสามส่วนของราคาสินค้าประมูลที่ผู้ขายกำหนดไ


การเสนอราคาครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเหมือนรอบแรก ผู้เข้าร่วมประมูลมีน้อยมาก ถึงแม้สมุนไพรเซียนซิงหัวจะราคาสูงกว่าท้อเซียน ถึงแม้จะถูกตำหนักสวรรค์ควบคุม แต่เมื่อเทียบกับท้อเซียนแล้วถือว่าได้มาง่ายกว่ามาก ไม่เหมือนท้อเซียนที่โดยทั่วไปมอบให้แต่บุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ ถ้าประมูลซื้อเอาไว้ส่งให้ใครเป็นของขวัญก็จะดูมีหน้ามีตามาก ถ้าในกระประมูลรอบบนี้จะมีคนเข้าร่วม ก็คงจะเป็นเพราะสมุนไพรเซียนสิบต้นนี้มีอายุถึงห้าพันปีแล้ว


หลังจากชูป้ายไม่กี่ครั้ง สมุนไพรเซียนซิงหัวสิบต้นก็ถูกขายให้ใครบางคนในราคาประมาณหนึ่งหมื่นหกพันล้าน สูงกว่าราคาเริ่มต้นพันกว่าล้านเท่านั้น ราคายังไม่เพิ่มสูงเท่าท้อเซียนรอบก่อบ


ราคาของสินค้าที่เข้าร่วมประมูลในตอนหลังก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เหมียวอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่ง มาดูเอาสนุกล้วนๆ เพียงแต่พอดูไปจนถึงตอนท้ายสุด ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกนิดหน่อย


การขายประมูลแต่ละรอบของที่นี่จะขายประมูลสินค้าเพียงสิบอย่างเท่านั้น เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงรายการสุดท้ายแล้ว แต่ยังไม่เห็นจ้านหรูอี้ประกาศภารกิจอะไร เหมียวอี้ก็แปลกใจว่าผู้หญิงคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่


ถึงแม้จะเหลือแค่การขายประมูลรายการสุดท้าย แต่บรรยากาศในงานแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด มีคนไม่น้อยนั่งตัวตรง เหมียวอี้สังเกตได้ว่าจ้านหรูอี้ก็นั่งด้วยท่าทางเรียบร้อยภูมิฐานแล้วเช่นกัน


ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน โดยทั่วไปรายการสุดท้ายจะเป็นสินค้าประมูลที่รั้งท้ายงาน การขายประมูลครั้งนี้ไม่ใช่การเตรียมไว้ล่วงหน้า แต่เป้นสินค้าที่ได้มาจากผู้เข้าร่วมประมูลในงาน ถ้ามีคนเข้าร่วมเยอะ ก็จะตัดสินจากมูลค่าสินค้านั้นว่าจะนำมาเป็นรั้งท้ายได้หรือไม่


สาเหตุที่ทำแบบนี้ก็เพราะมีบางคนกลัวว่าของของตัวเองจะสำคัญเกินไป กลัวว่าจะส่งให้ร้านขายประมูลเป็นการส่วนตัวแล้วจะโดนเอาเปรียบ แต่ถ้าแสดงให้ทุกคนเห็นในงาน ร้านขายประมูลก็จะคำนึงถึงคำว่า ‘สัตยพรต’ และไม่ทำอะไรซี้ซั้ว


“ไม่ทราบว่าสหายท่านไหนอยากจะมอบสิ่งของเพื่อนำมาเป็นสินค้าแข่งประมูลรั้งท้าย?” พิธีกรหญิงบนเวทียิ้มพร้อมเอ่ยถาม


ทุกคนในงานเริ่มเหลียวซ้ายแลขวา มีสามคนยืนขึ้นติดต่อกัน เดินขึ้นไปบนเวทีแล้ว เหมียวอี้กำลังจ้องอย่างสนใจ ไม่รู้ว่าสามคนนั้นนำสมบัติล้ำค่าอะไรมา แต่ใครจะคิดว่าข้างกายจะมีการเคลื่อนไหว พอเอียงหน้ามอง เหมียวอี้ก็รู้สึกงงงวยเล็กน้อย


จ้านหรูอี้ยืนขึ้นแล้ว เดินออกไปแล้ว กลายเป็นผู้เสนอสินค้าคนที่สี่


เหมียวอี้ เหยียนซิว คังเต้าผิงมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าจ้านหรูอี้กำลังมีแผนอะไร เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงถามคังเต้าผิงทันที “จ้านหรูอี้ทำแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”


“ข้าไม่รู้” คังเต้าผิงตอบอย่างสงสัยเช่นกัน


เขาไม่ได้โกหก เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ในการมาครั้งนี้จ้านหรูอี้รักษาความลับอย่างเข้มงวด ไม่เปิดเผยให้เขารู้เลย


ทั้งสามได้แต่ถลึงตาจ้องจ้านหรูอี้ที่อยู่บนเวที อยากจะดูว่าจะทำอะไรกันแน่


ผู้เสนอสินค้าสามคนที่เดินขึ้นไปก่อนหยิบกำไลเก็บสมบัติออกมา ให้พิธีกรหญิงตรวจสอบดูของที่อยู่ข้างใน แล้วทั้งสองฝ่ายก็ถ่ายทอดเสียงสื่อการกัน พิธีกรหญิงยิ้มให้ทุกคน พยักหน้ายิ้มบางๆ เป็นระยะ เหมือนกำลังบอกว่าเข้าใจแล้ว


หลังจากรับของในมือผู้เสนอสินค้าที่ขึ้นเวทีมาคนสุดท้ายแล้ว พิธีกรหญิงก็สั่นไปทั้งตัวทันที พลันเงยหน้ามองจ้านหรูอี้ บนใบหน้าฉายแววตกตะลึงปนเหลือเชื่อ


ผู้แข่งประมูลในงานกำลังใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องมอง ปฏิกิริยาที่ผิดปกติของพิธีกรหญิงทำให้ทุกคนกระปรี้กระเปร่าทันที ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นสมบัติล้ำค่าอะไร พิธีกรหญิงที่มีประสบการณ์ความรู้กว้างขวาง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเยอะขนาดนี้ สงสัยครั้งนี้จะได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้ว


พวกเหมียวอี้มองหน้ากันไปมองหน้ากันมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจ้านหรูอี้กำลังเล่นบ้าอะไร กำลังหยิบสมบัติล้ำค่าอะไรออกมากันแน่


ทั้งสามพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับภารกิจในครั้งนี้แน่นอน


พิธีกรหญิงมีปฏิกิริยาตอบสนองเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น หลังจากรีบเก็บสำรวจอาการแล้ว ก็เอียงหน้าขออภัยอีกสามคนที่เหลือ “กำหนดให้สมบัติของหมายเลขสองร้อยยี่สิบสองเป็นสินค้าประมูลรั้งท้าย” น้ำเสียงสื่อความหมายว่าไม่ให้ปฏิเสธ


ถึงแม้ผู้เสนอสินค้าอีกสามคนจะทำท่าไม่เต็มใจนิดหน่อย แต่ที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาก่อเรื่องก็ได้ อีกสักครู่เมื่อได้เห็นสินค้าแล้วก็ย่อมรู้ว่ายุติธรรมหรือไม่ จะสอดคล้องกับความหมายของคำว่า ‘สัตยพรต’ ของตึกศาลาสัตยพรตหรือไม่


รอจนทั้งสามลงมานั่งประจำที่ พิธีกรหญิงก็หันหน้ามาหาจ้านหรูอี้ แล้วถามยืนยันต่อหน้าทุกคนว่า “หมายเลขสองร้อยยี่สิบสองยืนยันที่จะนำสมบัติของตัวเองมาแข่งประมูลใช่มั้ย?”


จ้านหรูอี้เปลี่ยนเสียงเป็นแหบพร่าแล้วตอบว่า “ข้าเต็มใจ!”


“ไม่ทราบว่าจะตั้งราคาประมูลเท่าไร?” พิธีกรหญิงถาม


“สองหมื่นล้านล้านผลึกแดง!” จ้านหรูอี้ถาม


“สองหมื่นล้านล้าน…” มีบางคนหลุดอุทานออกมา


คนในงานฮือฮากันเป็นแถบ มีความเคลื่อนไหวไม่น้อย พวกเหมียวอี้ก็ตกใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าจ้านหรูอี้นของอะไรออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะตั้งราคาต่อหน่วยหลักล้าน ทั้งยังเป็นสองหมื่นล้านล้านด้วย!


สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ พิธีกรหญิงพยักหน้าบอกว่า “ไม่สูง เป็นราคาที่ยุติธรรม แน่ใจใช่มั้ย?”


แบบนี้หมายความว่าอะไร? หมายความว่าสินค้าที่นำมาประมูลรั้งท้ายมีราคาเท่านี้ ในงานมีคนไม่น้อยที่สูดหายใจอย่างตกตะลึง


เหมียวอี้แอบพึมพำในใจ มันคือสมบัติล้ำค่าอะไรกันแน่?


“แน่ใจ!” จ้านหรูอี้ที่อยู่บนเวทีพยักหน้าตอบ


พิธีกรหญิงพูดต่อว่า “ข้าต้องตรวจสอบสินค้าต่อหน้าทุกคน สุดท้ายเมื่อรับของและจ่ายเงินหมดแล้ว ถ้าหากมีปัญหาอะไรแล้วส่งผลกระทบไม่ดีต่อร้านขายประมูล ร้านขายประมูลของเราก็มีอำนาจที่จะเก็บเงินหนึ่งในสามส่วนของราคาประมูลของเจ้าเพื่อเป็นค่าชดเชย เจ้ายินดีมั้ย?”


“ไม่มีปัญหา” จ้านหรูอี้พยักหน้า พลิกมือหยิบธนูหนึ่งคัน ลูกธนูสามดอกออกมายื่นให้อีกฝ่าย ธนูกับลูกศรล้วนเป็นสีแดง ทำมาจากผลึกแดง


“หา!”


“ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”


เมื่อแสดงสินค้านี้ออกมา คนในงานก็ตกใจมาก เหมือนควบคุมตัวเองไม่อยู่นิดหน่อย มีคนไม่น้อยที่ตกใจจนลุกขึ้นยืน


ถ้าคำนวณตามราคาตลาด ราคาของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งคันควรจะมีราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านผลึกแดง การตั้งราคาเริ่มต้นสองหมื่นล้านล้านแบบนี้ ก็หมายความว่าในมืออีกฝ่ายมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อย่างน้อยหนึ่งแสนคัน จำนวนนี้เพียงพอให้ตั้งทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งทัพหนึ่งได้เลย


พวกเหมียวอี้ตะลึงค้างอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ทั้งสามเข้าใจอย่างรวดเร็ว ว่านี่ก็คือภารกิจของครั้งนี้ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้เป็นสิ่งที่ตำหนักสวรรค์ให้จ้านหรูอี้นำออกมาขายประมูลแน่นอน ไม่อย่างนั้นต่อให้จ้านหรูอี้จะกล้าหาญกว่านี้อีกหมื่นเท่า แต่ก็ไม่มีทางนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาลขนาดนี้มาขายประมูลต่อหน้าฝูงชนแน่นอน


เหมียวอี้รู้สึกจะบ้าตาย นี่มันเวลาไหนแล้ว ที่ตลาดผีมีคนตั้งไม่รู้เท่าไรกำลังสืบหาที่อยู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันนั่น ไม่แน่ว่าที่นี่ก็อาจจะสืบด้วยเหมือนกัน จู่ๆ จ้านหรูอี้ก็โยนออกมาหนึ่งแสนคัน แบบนี้ผลที่ตามมาจะเป็นยังไงล่ะ? อีกประเดี๋ยวพวกภูตผีมารปีศาจจะไม่โผขึ้นมาเหรอ


นางตัวแสบนี่อยากรนหาที่ตายแล้วจะลากข้ามาเกี่ยวด้วยทำไม? เหมียวอี้ร่ำร้องในใจอย่างเศร้าโศก เขามากับจ้านหรูอี้ ทั้งยังนั่งด้วยกัน ในระหว่างนั้นก็ถ่ายทอดเสียงคุยกันอีก ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน


เขามีลางสังหรณ์ว่าอันตรายใหญ่หลวงกำลังจะมาเยือนแล้ว!


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)