ท่านเทพมาแล้ว 141-156
บทที่ 141 เป็นเซียนจากทิศไหน?
โดย
Ink Stone_Romance
ชีวิตผ่านไปอย่างสงบและสบาย แต่ละคนราวกับดำเนินไปตามเส้นทางชีวิตของตน มุ่งหน้าไปยังเป้าหมายไม่หยุด
อีกทั้งเหมือนกับน้ำที่ไหลไปข้างหน้า
มู่จิ่วยังคงทำงานตอนเช้าฝึกบำเพ็ญตนตอนค่ำ มีเวลาก็พาอาฝูไปเดินเล่น สุขสบายอย่างมาก
วันนี้พาอาฝูไปเดินเล่นกลับมา หลี่อี้ในหน่วยงานพลันเข้ามาหา เคารพนางก่อนพูด “วันนี้เช้าเปิดประตูก็ได้รับคดีมาแล้ว เขาฉีจื่อนอกประตูสวรรค์แดนใต้มีเซียนลูกท้อผู้หนึ่ง ต้นท้อผืนหนึ่งที่ปลูกไว้ถูกเหยียบย่ำจนแหลกลาน นับได้ว่าขาดทุนย่อยยับ ใต้เท้าหลิวบอกให้ใต้เท้าไปดูก่อน”
ดูสิ เรื่องที่นางดูแลอยู่คือเรื่องลักเล็กขโมยน้อยเหล่านี้
แต่หน้าที่ค้ำคออยู่ ไม่มีหนทางอื่น นางไม่อาจเรื่องมากหลังจากโชคดีได้ทำคดีใหญ่
ทางนี้เก็บกวาดเรียบร้อยจึงออกจากเรือน พาเจ้าหน้าที่สองคนมุ่งไปยังเขาฉีจื่อ
เขาฉีจื่อทิวทัศน์งดงาม ทุกที่ภูเขาเขียวน้ำใส ยังไม่ทันถึงยอดเขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้แว่วมา เมื่อไปถึงยอดเขาก็เห็นป่าท้อทั้งเนินเขาเหมือนถูกลมพายุพัดถล่ม เสียหายอย่างมาก กระท่อมเล็กด้านหลังป่ามีเซียนหญิงน้อยนั่งอยู่ นางหิ้วตะกร้าร้องไห้สะอึกสะอื้น ข้างกายยังมีพี่สาวน้องสาวรวมกลุ่มกันพูดให้กำลังใจ
ในนั้นมีคนเห็นมู่จิ่วมา จึงผลุงตัวขึ้น “มาแล้วมาแล้ว! เจ้าหน้าที่สวรรค์มาแล้ว!”
เซียนลูกท้อน้อยหยุดร้องไห้ทันทีแล้วยืนขึ้นมา เห็นมู่จิ่วในชุดทหารก็ทำความเคารพก่อน จากนั้นร้องไห้ตาบวมเปิดปากพูด “เมื่อคืนวานไม่รู้ว่าใครผ่านมา ข้าได้ยินข้างนอกมีเสียงกรีดร้องครู่หนึ่ง ตอนนั้นไม่ได้สนใจ ตอนเช้าตื่นขึ้นมาดู ไหนเลยจะรู้ว่าต้นท้อข้าล้วนถูกทำลายสิ้น นี่เป็นหยาดเหงื่อของข้าตลอดพันปี ใต้เท้าต้องออกหน้าแทนข้าด้วย!”
พูดยังไม่ทันจบน้ำตาก็ไหลรินลงมาอีก
เหล่าพี่สาวน้องสาวด้านข้างพากันล้อมรอบปลอบนาง ทั้งแย่งกันพูดว่าป่าท้อผืนนี้นางใช้หยาดเหงื่อแรงกายไปตั้งเท่าไหร่
มู่จิ่วมองดูรอบด้านที่ราวกับเกิดภัยพิบัติ ล้วนไม่มีร่องรอย นี่จะสืบได้อย่างไร?
แต่ยังไงก็พาคนเข้าไปดูในป่าเสียก่อน
เกรงว่าผืนป่าจะครอบครองพื้นที่หลายร้อยหมู่ สรุปคือเขาฉีจื่อปลูกต้นท้อไปสักสามส่วน ต้นท้อกว่าร้อยต้นถูกทำลายสิ้น ดอกท้อร่วงหล่นเต็มพื้น ใบไม้ร่วงลงกลายเป็นโคลน แต่ไม่มีรอยเท้า ดูไม่ออกว่าใครมา
แน่นอน สามารถทำลายป่าผืนใหญ่ขนาดนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา สักแปดส่วนก็ไม่แน่ว่าจะยืนทำอยู่ในป่าด้วย
“พวกเจ้าไปดูทางทิศตะวันออกกับใต้ ข้าจะไปดูทิศตะวันตกกับเหนือ” นางสั่ง จากนั้นก็หมุนตัวไปทางเหนือ เซียนลูกท้อและเหล่าเซียนน้อยเดินตามหลังนาง ยังพูดส่งเดชถึงเรื่องที่ยากจะเข้าใจนี้ เด็กสาวเหล่านี้ถึงแม้จะเป็นเซียนแล้ว แต่ก็ยังละทิ้งนิสัยของเด็กสาวไม่ได้ มีที่ผิดปกตินิดเดียวก็ใส่สีตีไข่จนเกินจริง
“จริงนะ ใต้เท้า วันก่อนตอนกลางคืนข้ายังเห็นมังกรลอยอยู่กลางอากาศด้วย ฉวัดเฉวียนอยู่ครู่เดียวก็ไม่เห็นเงาแล้ว” เซียนดอกเหมยพูดอย่างออกรสออกชาติ
“ข้าเห็นหงส์หลายตัว พวกเขาหยุดพักเท้าอยู่บนยอดเขาข้า” เซียนไผ่น้อยยิ่งพูดก็ยิ่งเห็นภาพ
เซียนลูกท้อยิ่งกังวล “หากเป็นมังกรและหงส์ทำลายป่าของข้า ข้าจะไปหาพวกเขาได้อย่างไร!”
สัตว์เทพประเภทมังกรกับหงส์ โดยพื้นฐานแล้วไม่ต้องลงมืออะไรก็จับนางไว้ได้แล้ว
“ข้าว่านะ หัวพวกเจ้าช่วยคิดเรื่องอื่นได้หรือไม่?” มู่จิ่วเหยียบหินใหญ่ก้อนหนึ่งพลางพูด “ผิดปกติแบบนี้ทำไมพวกเจ้าไม่ไปเป็นหมอผีเลยล่ะ?”
พวกแม่นางน้อยทั้งหลายถูกนางพูดย้อนจนหน้าแดงหูแดง แต่ความรู้สึกอยากซุบซิบนินทาจะดับลงง่ายๆ อย่างไร?
พวกนางพูด “แต่เดิมเป็น…อา!”
มู่จิ่วรู้สึกว่าพวกนางพูดเน้นหนักเกิน พูดก็พูดไปเถิด ยังต้องเติมคำอุทานไปอีก ไม่เพียงเท่านี้ พอเอ่ยประโยคนี้ออกมาใบหน้าพวกนางก็พลันขาวซีด…
ใบหน้าขาวซีด?
มู่จิ่วรู้สึกได้ถึงสิ่งไม่ดี จึงหมุนตัวไปตามสายตาที่อึ้งงันของพวกนาง ยังไม่ทันมองได้ชัดเจน ก็มีลมแรงขนาดล้มภูเขาพัดทะเลโจมตีเข้ามา! นางรีบชักกระบี่ออกมา แต่ยังไม่ทันออกกระบวนท่าก็ถูกพลังลมปราณพัดไปทางประตูหน้า!
ย่ามันเถอะ กลับพบศัตรูที่แข็งแกร่งเสียนี่!
เซียนลูกท้อพวกนี้ไปแหย่ศัตรูคนใดไว้?!
ตั้งแต่คลี่คลายคดีชิงชิวจนถึงวันนี้ก็ปีกว่าแล้วที่ไม่ได้ออกพละกำลัง นางรีบเรียกพลังลมปราณขึ้นมายังแขนขา ถอยหลังออกไปหลายจั้ง จากนั้นกระโดดขึ้นเมฆอย่างตื่นตัว!
ด้านหน้าเป็นกลุ่มเมฆขนาดใหญ่ที่หมุนวนอย่างรวดเร็ว เคลื่อนเข้ามาเหมือนลูกข่าง ความเร็วเร็วจนคนรับไม่ทัน เมฆวนนี้ยิ่งเข้าใกล้ แรงดึงดูดตรงกลางนั่นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ไม่นานต้นไม้และใบแห้งที่หักล้มอยู่บนพื้นก็โดนดูดเข้าไป! เหล่าเซียนหญิงน้อยพากันเรียกพลังออกมาป้องกัน แต่เมฆวนนั้นกลับยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมาก็ยิ่งแรง ราวกับต้องการดูดทั้งเขาเข้าไป!
มู่จิ่วเห็นสถานการณ์แล้ว กำลังจะหยิบนกหวีดออกมาเรียกสหายร่วมงาน ตอนนี้เมฆวนพลันเพิ่มความเร็วมุ่งมาทางนาง!
นางรีบหยิบชุดซ่อนเซียนออกมาซ่อนตัว เมฆวนนั้นหาเป้าหมายไม่เจอ ทันใดนั้นจึงหมุนวนมาในหุบเขาลึกเหมือนกับแมลงวันไร้หัวไม่รู้ทิศทาง
ด้วยความสามารถนางในตอนนี้แล้ว ต่อกรกับหัวเสินสามคนห้าคนในเวลาเดียวกันไม่ใช่ปัญหา แต่เจ้าตัวเบื้องหน้านี้ช่างอันตราย ถึงแม้เมฆวนนี้จะตรงมาอย่างรุนแรง แต่ดูไปแล้วกลับไม่เหมือนวิ่งเข้าชนทุกคน เหมือนพุ่งเข้าหานางคนเดียว!
ทำไมเป็นนาง?
ช่วงนี้นางไปมาอยู่แค่สองที่และไม่ได้ล่วงเกินใคร จู่ๆ พลันมีคนรู้สึกนางขัดตาหรือ?
ไม่นาน พลันมีเงาสีน้ำเงินพุ่งออกมาจากยอดของเมฆวน ที่แท้ก็เป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อสีน้ำเงิน! ชายคนนี้คิ้วเข้มตาโต หน้าเหลี่ยมจมูกแบน เหนือปากมีหนวดสองเส้น แต่งตัวได้อย่างโดดเด่นนัก เห็นเพียงเหนือศีรษะเขามีมงกุฎมังกรหยกสูงแปดชุ่น หน้าหลังมีพู่ ซ้ายขวาประดับอัญมณีมีค่า สวมเสื้อน้ำเงินปักดิ้นทอง ข้างเอวมีหยกแขวนไว้ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของชั้นเลว!
คิดไม่ถึงว่าจะแต่งตัวเป็นชนชั้นกษัตริย์ในโลกเทพ!
นี่ยิ่งทำให้คนงุนงง นางเป็นเพียงคนไม่สำคัญ ทำไมถึงทำให้คนสูงศักดิ์เช่นนี้ตั้งใจมุ่งเข้ามาลงมือกับนางได้?
มู่จิ่วไม่รู้จักเขาแน่นอน แต่กลับแน่ใจว่าเขาพุ่งตรงมาหาตนเอง
ขณะกำลังงุนงง คนผู้นี้พลันจ้องมาทางนาง จากนั้นเหยียบอากาศกระโดดขึ้นมา มือขวากลายเป็นกรงเล็บยาวราวฉื่อ แล้วจู่โจมเข้ามาหมายจะจับตัวนาง นางตกใจจนปล่อยกระบวนท่าออกไปต่อสู้!
นางกลับลืมไปว่าชุดซ่อนเซียนนี้ใช่ว่าจะซ่อนจากทุกคนได้ คนตรงหน้าที่มาที่ไปยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าปิดเขาไม่ได้ ทำได้เพียงมองอากาศตะโกนไป “ไม่รู้ว่าท่านคือเซียนจากทิศใด? ข้ากัวมู่จิ่วไปล่วงเกินท่านตรงไหน?”
กลางอากาศมีเสียงเฮอะเยาะเย้ยมา เซียนท่านนี้หยุดมือ มองนางเหมือนมองเนื้อบนเขียง “ในเมื่อเจ้ายืนยันจากปากเองว่าคือกัวมู่จิ่ว เช่นนั้นก็ดีแล้ว! เจ้าคืนชีวิตลูกข้ามา!”
พูดจบ ก็มีพลังลมปราณขุมหนึ่งสะบัดเข้ามา
มู่จิ่วรับมือกระบวนท่าโดยที่ยังอึ้ง ลูกของเขา? ลูกของเขาคือใคร? นางสังหารคนไปตอนไหน? อย่าใส่ความส่งเดชได้หรือไม่?!
“ท่านผู้เฒ่านี้มิใช่เข้าใจผิดหรือ? คำพูดต้องมีหลักฐาน!”
……………………………………………………………
บทที่ 142 สังหารคนชดใช้ด้วยชีวิต
โดย
Ink Stone_Romance
ไหนเลยจะรู้ว่าคนคนนี้ได้ยินนางเรียกว่าท่านผู้เฒ่าก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว ออกกระบวนท่าสิบกว่าท่าเสียงเปรี้ยงปร้าง มู่จิ่วในที่สุดก็พ่ายแพ้ ขณะที่หมุนตัวจะหนีเขากลับสะบัดแขนเสื้อใส่ใต้เท้า เท้าขวาเหยียบลงบนเอวนาง พูดว่า “ข้าถามเจ้า ครึ่งปีก่อนเจ้าสังหารมังกรไฟที่เกาะเป่ยอี๋หรือไม่?”
มังกรไฟ?
มู่จิ่วมีเสียงหึ่งๆ ดังในศีรษะ มังกรไฟเฉินผิงคือลูกชายของคนตรงหน้าหรือ? เช่นนั้นเขาก็คือราชามังกรแห่งทะเลสาบน้ำแข็ง?!
เรื่องนี้ทำให้นางอดตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาไม่ได้ สวรรค์! คิดไม่ถึงว่าราชามังกรจะมาแก้แค้นจริง?
“เรื่องนั้น…ข้าอธิบายได้…”
ตอนนั้นลู่ยาเคยเตือนนางแล้วว่าราชามังกรทะเลสาบน้ำแข็งกับหงส์เพลิงล้วนไม่ควรไปแหย่ด้วย ผ่านไปนานขนาดนี้นางยังเข้าใจว่าพวกเขาละวางเรื่องนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่ากลับมาหา! ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?
เฉินผิงเป็นนางสังหารไป ตอนนั้นหากนางไม่สังหารเขานางก็ต้องตายเอง แต่ตอนนี้อย่างไรนางก็ไม่สามารถให้เขาสังหารนางเปล่าๆ มิใช่หรือ?
อีกอย่าง ตอนนั้นใครล้วนต้องมองเฉินผิงเป็นปีศาจมาฆ่าคนจริงหรือไม่?
“ข้าไม่สนว่าเจ้าเข้าใจผิดหรือไม่ ใครก็ได้! จับกลับไปฆ่าบูชาองค์ชาย!”
ราชามังกรแห่งทะเลสาบน้ำแข็งร้องเสียงดัง ด้านหลังมีนายพลปูถือหอกยาวออกมาหลายตัว พุ่งเข้าหามู่จิ่ว มัดนางทั้งมือทั้งเท้า จากนั้นผลักนางเข้าไปในเมฆวนนั้น แล้วเคลื่อนผ่านเขาฉีจื่อ มุ่งหน้าไปทางเกาะเป่ยอี๋ แม้แต่เวลาจะเรียกสหายร่วมงาน มู่จิ่วก็ยังไม่มี!
“รีบไปรายงานสวรรค์!”
เซียนลูกท้อเห็นสถานการณ์แล้วจึงรีบเรียกเหล่าพี่สาวน้องสาวให้เคลื่อนไหว เจ้าหน้าที่เซียนที่มาช่วยนางคลี่คลายคดีกลับโดนคนร้ายจับไปแล้ว พวกนางแบกรับโทษไม่ไหว!
มู่จิ่วถูกผลักเข้าไปในกลางน้ำวน เบื้องหน้ารู้สึกได้ถึงไอเย็นขุมหนึ่ง
เมื่อครู่มองดูเมฆวนจากด้านนอกก็เป็นเพียงแค่กลุ่มเมฆเท่านั้น แต่เมื่อถูกม้วนเข้ามาแล้วถึงได้รู้ว่าที่แท้ในนี้คือหลุมน้ำแข็ง! รอบด้านเป็นน้ำเเข็งเย็นเยียบ หากไม่ใช่ตัวนางมีลูกโลหิตมังกรไฟคุ้มครองอยู่ เกรงว่ายังไม่ทันได้เห็นหน้าศัตรูก่อนก็โดนแช่แข็งตายแล้ว
หลุมน้ำแข็งนี้หมุนอยู่ตลอด นางก็หมุนด้วยไม่หยุด พลังลมปราณในนี้ทำให้นางไม่มีหนทางหยุดได้ แต่นางต้องหาวิธีออกไปให้ได้! มิฉะนั้นแล้วแม้แต่ตายอย่างไรนางก็คงไม่รู้!
นางชักกระบี่ขึ้นมาแทงผนังน้ำแข็งทันที หลุมน้ำแข็งนั้นส่งเสียงปริร้าวทีหนึ่ง แต่ห่างไกลจากการแตกออกนัก
ทิ่มแทงอีกก็เหมือนเดิม
สิ่งที่นางเป็นเลิศที่สุดคือวิชากระบี่ นอกจากนี้แล้วยังจะทำอะไรได้อีก?
ถึงแม้ภาพมายาที่มู่หรงหลิวเย่มอบให้นางจะยอดเยี่ยมมาก แต่ตอนนี้ไม่มีที่ให้ใช้!
ตอนที่นางคิดวางแผนหนีออกไปอย่างยากลำบาก หลุมน้ำแข็งพลันหยุดหมุน ทั้งร่างนางเหมือนกับตุ้มน้ำหนักร่วงลงไปกับพื้น
รอจนหายหัวหมุนตาลาย นางถึงเพิ่งค้นพบ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่นางมาถึงวังสวยงามวิจิตร รอบด้านล้วนเป็นผลึกโมราเพชร เงยหน้ามองขึ้นไปเป็นต้นซานหูสูงราวจั้ง ยังมีทหารกุ้งนายพลปูจำนวนมากยืนเฝ้าอยู่ ที่สำคัญคือยังมีน้ำ…ทั้งร่างนางกลับแช่อยู่ในน้ำ!
“องค์ราชา!”
นางเพิ่งคืนสติ เหล่าทหารนายพลรอบด้านเรียกราชามังกรทะเลสาบน้ำแข็งที่เดินมาจากด้านหลังนาง เมื่อราชามังกรทำสัญญาณมือ เหล่านายพลปูก็ลากนางเดินเข้าไปข้างใน
ที่แท้ที่นี่เป็นเพียงด้านนอกวังมังกร เดินไปตามหินแม่น้ำ เลี้ยวไปหลายโค้ง ผ่านสวนดอกไม้ที่จุดไข่มุกราตรีไว้รอบด้าน จึงค่อยมาถึงคันทวยและชายคาของวัง
ครั้นผ่านสวนดอกไม้เล็ก คิดไม่ถึงว่าจะเข้าไปในเขตพลังขนาดใหญ่ ไม่มีน้ำแล้ว!
และเข���ไม่ได้เข้าไปในวังโดยตรง แต่อ้อมไปเจ็ดแปดโค้งจึงถึงด้านหลังสวนดอกไม้
บนประตูตำหนักนี้เขียนว่า ‘ตำหนักคลื่นหยก’ ประตูสูงหกฉื่อ กว้างสามจั้ง พวกสาวรับใช้หอยกาบใต้ประตูแต่ละตัวสวยงามชดช้อย เข้าประตูไปตาก็เห็นบัลลังก์มังกรซึ่งถูกสร้างมาจากไข่มุกหินหยก ด้านข้างสองข้างคือเสาหยกม่านไหมเป็นต้น สองด้านของมันยังมีห้องลึกเข้าไปอีก ถึงแม้จะไม่หรูหราเทียมวังจิ้งจอกแห่งชิงชิว กลับมีความประณีตสละสลวย
มู่จิ่วถูกกดให้คุกเข่าลงกับพื้น
หลังราชามังกรนั่งลง มีสาวรับใช้หอยกาบขึ้นมารินชาให้ เขาดื่มไปครึ่งคำกลับทนไม่ได้ กัดฟันจ้องมาทางมู่จิ่ว “เจ้าคนสารเลว สังหารลูกชายข้า หากข้าไม่สับร่างเจ้าเป็นหมื่นชิ้นบูชาบุตร ข้าก็ไม่ใช่แซ่อ๋าวแล้ว!”
พูดจบเขากวักมือ “ส่งข่าวไปยังทิวเขาริ้วหยก พรุ่งนี้เช้า ข้าจะพาเจ้านี่ไปขอขมา!”
ขุนนางเต่ารีบรับคำแล้วถอยออกไป
ราชามังกรขมวดคิ้ว จากนั้นถลึงตามองมู่จิ่วอย่างโกรธแค้น “มัดแม่นี่ไว้ก่อน! นำไปขังไว้!”
“ช้าก่อน!” มู่จิ่วพูด “ราชามังกร ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ของทัพสวรรค์ หากท่านต้องการฆ่าข้า ก็ต้องได้รับอนุญาตจากสวรรรค์! หากท่านลงมือฆ่าข้าเอง เกรงว่าท่านก็จะรับผลที่ตามมาไม่ไหว!”
ตอนนี้มีเพียงราชามังกร พรุ่งนี้หากมีหงส์เพลิงมาด้วย จะไม่บดนางเป็นผงเลยหรือ?
ต้องคิดวิธีกลับสวรรค์ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน หลังจากกลับไปแล้ว อย่างไรหลิวจวิ้นต้องช่วยนางพูดได้แน่ ถ้าไม่ได้ลู่ยาก็ไม่ถึงกับมองดูนางตายต่อหน้าต่อตาหรอก เพียงแต่เรื่องนี้ นางสังหารมังกรร้ายไปก็ไม่รู้ว่าต้องได้รับโทษสวรรค์หรือไม่…แต่นางไม่สนมากขนาดนั้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรรั้งตัวอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่หนทาง
“เจ้าเป็นคนของสวรรค์?”
ราชามังกรยังเกิดความกลัวขึ้นบ้างดังคาด ที่จริงเขาเป็นเพียงราชามังกรอยู่ทะเลสาบ ยังเรียกว่าราชามังกรแห่งทะเลทั้งสี่ทิศก็ไม่ได้ หากลงมือสังหารเจ้าหน้าที่สวรรค์เอง ตำแหน่งราชานี้เกรงว่าจะเป็นไม่ได้แล้ว ช่วงนี้เขาเพียงตามหาเจอว่าฆาตกรที่สังหารเฉินผิงอยู่ในประตูสวรรค์แดนใต้ ดังนั้นจึงวนเวียนอยู่แถวเขาฉีจื่อหลายวัน คิดไม่ถึงว่าคนที่รอจะเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์!
“หากราชามังกรไม่เชื่อ สามารถจับข้าไปยืนยันที่สวรรค์ได้!” มู่จิ่วพูดไปพลาง มองป้ายทะเบียนเซียนที่แขวนอยู่ที่เอวไปพลาง
ราชามังกรทำหน้านิ่ง ขุนนางเต่าและสาวรับใช้หอยกาบหยิบป้ายไป
ป้ายทะเบียนเซียนนี้ทัพทหารสวรรค์สร้างขึ้นมา ด้านบนยังมีตราประทับหยกด้วย จะเป็นของปลอมไปได้อย่างไร? ราชามังกรนำมาดู สีหน้าก็แย่มากแล้ว เห็นได้ชัดว่าติดตามฆาตกรมานานถึงครึ่งปี ในที่สุดก็จับได้แล้ว แต่กลับไม่ง่ายนักที่จะสังหาร นี่ช่างทำให้คนอัดอั้นนัก
มู่จิ่วยังวางใจไม่ได้ทั้งหมด
ถึงแม้ราชามังกรแห่งทะเลสาบน้ำแข็งเป็นชายชั่วที่ก่อเรื่องลับหลังภรรยา แต่ลูกนอกสมรสก็คือลูก ถึงแม้นางสังหารเฉินผิงเพื่อปกป้องตนเอง แต่ก็คือสังหารเขาอยู่ดี หากเป็นนางถูกคนอื่นสังหาร หลิวหยางก็ต้องไม่ยอมแน่
ดังนั้นนางจึงลองพูด “ตอนนี้คนตายแล้วไม่อาจฟื้นคืน มิสู้ข้าชดใช้คืนให้ท่าน?”
สรุปคือหากสามารถเจรจาได้ก็อย่าฟ้องร้อง ไปสวรรค์ไม่มีผลดีอะไรกับนางแน่
“ชดใช้? เจ้าจะชดใช้อะไรข้าได้?!” ราชามังกรลุกขึ้นมาอย่างโกรธกริ้ว ยกกำปั้นเดินมาตรงหน้านาง เหวี่ยงหมัดอยู่กลางอากาศ สามารถปล่อยลงมาได้ทุกเมื่อ “ถึงแม้ข้ามีลูกชายห้าคน แต่เฉินผิงแต่เล็กป่วยบ่อย ชะตาชีวิตอาภัพ เป็นคนที่ข้าเอ็นดูที่สุด แต่เจ้ากลับสังหารเขาแล้ว! ความแค้นใหญ่หลวงนี้ เจ้าชดใช้คืนได้หรือ?!”
พูดตามจริง แรงโจมตีในการด่าคนกดดันคนของราชามังกรยังห่างไกลกับจิ้งจอกเฒ่านัก
แต่เพราะแบบนี้ ความเจ็บแปลบในใจนางจึงยิ่งหนักขึ้นเล็กน้อย
ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะทำอย่างไร?
นางชะงักไปครู่หนึ่งก็คิดขึ้นมาได้ “ลูกโลหิตมังกรไฟของเฉินผิงยังอยู่กับข้า มิสู้ข้าคืนมันให้กับท่าน?”
นางพูดแล้วก็ก้มหน้าลง ยื่นปากไปยังกระเป๋าเล็กข้างเอว
…………………………………………………………………
บทที่ 143 มาหาภรรยาแล้ว
โดย
Ink Stone_Romance
ราชามังกรใช้มือเดียวดึงกระเป๋าเล็กไป หยิบเอาลูกโลหิตมังกรไฟออกมา ทันใดนั้นนิ้วทั้งสิบก็สั่นไหว
“จับนางเข้าคุก นำวิญญาณน้ำแข็งผนึกพลังฤทธิ์และพลังหยั่งรู้ของนางไว้ พรุ่งนี้เช้ามุ่งไปทิวเขาริ้วหยก!”
มู่จิ่วคิดไม่ถึงว่าเอาลูกโลหิตนี้ให้ไปจะยิ่งโชคร้าย หากรู้เร็วกว่านี้ว่าราชามังกรเอ็นดูลูกชายถึงขั้นนี้ แม้นางจะตายก็ไม่เก็บไว้กับตัว!
นายพลปูนำคนหลายคนจับนางไป ผลักจนออกไปยังสวนดอกไม้
ช่วงนี้ลู่ยาไม่ได้ออกไปข้างนอก
ถึงแม้หลังจากที่ราชาจิ้งจอกไปแหย่กระดิ่งหุนหยวนจนโชคร้ายส่วนใหญ่ไปตกอยู่กับเขา แต่เพราะคิดไม่ถึงว่าจิ้งจอกแดงจะกล้าแอบมอบวิชายั่วยวนให้มู่จิ่ว เขาจึงตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ หลังจากมู่จิ่วเลื่อนตำแหน่ง หากนางไม่มีฝีมือคอยปกป้องชีวิตคงไม่ได้แน่ แม้แต่จิ้งจอกแดงยังรู้ จึงให้วิชานางมาป้องกันตัว แล้วเขาจะไม่ส่งเสริมนางได้อย่างไร?
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจสรรสร้างวิธีเพิ่มความเร็วการฝึกตนให้นาง เขาต้องทำให้นางแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด
และถึงแม้ในด้านความรักตั้งแต่ต้นจนจบนางจะไม่ประสีประสาเลย แต่ความเข้าใจในด้านฝึกตนกลับสูงมาก สอนไปกลับไม่ลำบาก
แต่นางไม่ประสีประสา ตัวลู่ยาก็ไม่รีบร้อน อย่างไรสิ่งที่เขามีเยอะที่สุดคือเวลา
“กริ๊ง…”
นั่งเขียนยันต์สองใบอยู่ตรงหน้าต่าง กระดิ่งรับแขกที่แขวนอยู่บนหน้าต่างพลันส่งเสียง
เขานับนิ้วทำนาย เป็นข่าวของราชาจิ้งจอก
ราชาจิ้งจอกไปสวรรค์ชั้นสามสิบเก้าที่จริงก็หนึ่งปีแล้ว แน่นอนว่ายิ่งขึ้นไปสูงเวลายิ่งสั้น หนึ่งปีของที่นั่นเท่ากับหนึ่งเดือนในสวรรค์
หนึ่งปีนี้ราชาจิ้งจอกส่งข่าวมาไม่น้อย แต่ก็รับรู้อยู่เรื่องเดียวคือยังเอามาไม่ได้เสียที!
เขาก็ไม่ได้เร่งรัด หุนคุนเป็นคนฉลาดหลักแหลมมาก เรื่องที่ราชาจิ้งจอกขึ้นไปคราวก่อนที่วังจิตกระจ่าง สักแปดส่วนต้องทำให้ฝ่ายนั้นคาดเดาได้แล้ว กระดิ่งต้องถูกซ่อนไว้อย่างดีแน่
พูดไปแล้วก็ต้องโทษที่ตอนเด็กเขาก่อเรื่องไว้เยอะ และถูกอาจารย์เอาอกเอาใจสารพัดวิธี ส่วนหุนคุนที่เขาทำให้ลำบากหนักหนาที่สุด เสียเปรียบมากที่สุด ยังไม่มีโอกาสได้เอาคืน คราวนี้ไม่ง่ายนักที่เห็นเขาพลาดท่าให้แก่กระดิ่ง จะปล่อยโอกาสมีความสุขบนทุกข์ของคนอื่นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
แต่พูดถึงตรงนี้ เขายังสงสัยเล็กน้อยว่าที่ตนทำให้กระดิ่งร้าวได้เป็นเพราะหุนคุนคนนี้ตั้งใจขุดกับดักไว้…
“ลู่หยา! ลู่หยา! แย่แล้ว! เมื่อครู่คนของทัพทหารสวรรค์มาบอกว่าจิ๋วจิ่วถูกคนประหลาดที่ไหนไม่รู้จับตัวไป!”
ตอนนี้เอง มู่เสี่ยวซิงพุ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน เอ่ยทั้งใบหน้าหวาดกลัวระคนกังวล
ถูกจับไป?
ลู่ยาผลุงตัวยืนขึ้นมา
ความคิดแรกของเขาคือเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ฝีมือของนางเทียบเท่ากับซ่านเซียนแล้ว ถึงแม้พลังบำเพ็ญจะไม่พอ มีบางวิชาเรียกออกมาไม่ได้ แต่พลังฤทธิ์ของนางและของวิเศษบนกายนางสามารถทดแทนสิ่งเหล่านี้ได้!
เขารีบทำนายดูอีก สีหน้าหนักอึ้งไป “หยกประดับที่ข้าให้ไปก่อนหน้านี้ล่ะ? นางได้นำไปด้วยหรือไม่?”
มู่เสี่ยวซิงอึ้ง คิดขึ้นมาได้ “ไม่ได้นำไป! ตอนเช้าพาอาฝูไปเดินเล่นเสร็จ กลับมาที่เรือนก็มีคนให้นางไปเขาฉีจื่อ จึงเปลี่ยนเสื้ออย่างรวดเร็ว หยกตกอยู่ที่บ้าน! หยกนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือ?”
ลู่ยาขมวดคิ้ว แน่นอนว่าเกี่ยวข้อง!
มู่จิ่วสังหารเฉินผิง ที่เกิดเหตุต้องมีกลิ่นอายของนางอยู่ ราชามังกรแห่งทะเลสาบน้ำแข็งกับหงส์เพลิงล้วนไม่ใช่คนนิ่งเฉย แน่นอนว่าต้องสามารถใช้กลิ่นอายนี้ตามหานางเจอ มีหยกประดับที่เขาให้ไปกดไว้ พวกนั้นก็หาไม่เจอ นางปลดหยกประดับออก มิใช่เป็นการให้พวกเขาจับร่องรอยได้ในพริบตาหรอกหรือ?!
“ข้าจะไปวังมังกร!”
พูดจบเขาก็ออกจากห้องไป
เสี่ยวซิงรีบตามออกไป “ข้าไปด้วย!”
ลู่ยากลับทิ้งไว้หนึ่งประโยค “เจ้าเฝ้าบ้าน!” จากนั้นก็ไม่เห็นเงาแล้ว
หลังจากมู่จิ่วถูกลากออกไป ราชามังกรเพ่งมองลูกโลหิตมังกรไฟอยู่ชั่วครู่ ก่อนกลับเข้าห้องนอนไป
ในห้องนอนมีเพียงปีศาจปลาไนคอยปรนนิบัติอยู่เท่านั้น ราชินีแยกห้องกับเขานานแล้ว ในตำหนักแม้แต่กลิ่นแป้งสักนิดก็ไม่มี
เขาเพิ่งนั่งลงรับแก้วชา ขุนนางเต่าก็รีบเดินเข้ามา “องค์ราชา! ข้างนอกมีเซียนผู้น้อยคนหนึ่งมาขอพบ”
“เซียนผู้น้อย?” ราชามังกรวางแก้วชาลง เขารู้จักเซียนผู้น้อยที่ไหน แต่ในเมื่อไม่รู้ว่าเป็นใคร จึงพูด “เชิญเข้ามา”
ขุนนางเต่าออกไป เขาก็ลุกตามเช่นกัน
เมื่อถึงตำหนักด้านหน้า เห็นขุนนางเต่ายืนข้างซ่านเซียนท่าทางสง่างาม กลิ่นอายสูงส่งยากที่จะมีคำใดเปรียบเปรย พิจารณาอย่างละเอียดกลับไม่รู้จัก จึงประสานมือพูด “ขอถามว่าท่านคือ?”
ราชามังกรทะเลสาบน้ำแข็งย่อมไม่เคยเห็นตัวจริงของลู่ยา เขาเป็นลูกของอ๋าวก่วงราชามังกรทะเลตะวันออก ชื่ออ๋าวเชิน หลังจากโตมาก็ถูกอ๋าวก่วงแต่งตั้งให้ดูแลทะเลสาบน้ำแข็ง จำนวนครั้งที่อ๋าวก่วงเห็นลู่ยาน้อยมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาเลย
“ข้าคือลู่หยาจากสวรรค์ ขอบังอาจถามราชามังกร กัวมู่จิ่วคู่หมั้นของข้าน้อยอยู่ในวังหรือไม่?”
ที่แท้ก็มาเพราะหญิงชั่วนั่น! ไม่คิดว่าเร็วขนาดนี้ก็ถูกเขาเจอแล้ว
อ๋าวเชินสีหน้านิ่ง เกรงว่าเขาจะดูพิรุธออก หันตัวเดินไปยังบัลลังก์ภายในตำหนัก จากนั้นพูดช้าๆ “คู่หมั้นของเจ้ากัวมู่จิ่ว? ข้าไม่เคยได้ยินคนชื่อนี้มาก่อน”
ลู่ยาไพล่มือพูด “ท่านราชามังกร มีคนเห็นกับตาตนเองว่าท่านจับนางมา กัวมู่จิ่วเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยลาดตระเวนแห่งทัพทหารสวรรค์ หากราชามังกรไม่ยอมรับ ข้าคงต้องไปรายงานสวรรค์ เชิญคนมาเสาะหา”
สีหน้าของอ๋าวเชินเปลี่ยนไป ลุกขึ้นพูด “เจ้ากล้า!”
“เช่นนั้นท่านไม่ลองดู” ลู่ยานิ่งสงบ สายตากลับมีความเยียบเย็น
อ๋าวเชินชะงักไป
แต่เดิมเขาได้ยินว่ามู่จิ่วเป็นคนของทัพทหารสวรรค์ จึงใช้วิญญาณน้ำแข็งผนึกพลังหยั่งรู้ของนางไว้ คิดไม่ถึงว่ายังทำให้เจ้าซ่านเซียนคนนี้ล่วงรู้ได้!
แต่คำที่เขาแย้งมาไม่มีความหมาย หากไปฟ้องสวรรค์ ยังไงเขาก็ต้องร้องหาความยุติธรรมแทนเฉินผิง!
เขานั่งลงไปอีก ทำหน้านิ่งมองลู่ยา “ลูกข้ายังเป็นถึงเผ่าพันธุ์มังกร! ได้กฎสวรรค์คุ้มครอง! กัวมู่จิ่วคนนั้นสังหารลูกข้า วันนี้ข้าจับนางมาจริง แต่หากเจ้าคิดพานางไป กลับไม่ง่ายขนาดนั้นนัก!”
“ถึงแม้มู่จิ่วสังหารเฉินผิง แต่นั่นเป็นเพราะเฉินผิงทำเรื่องชั่วช้าก่อน เขาไม่ใช่สัตว์ปีศาจที่ปกป้องดอกบัวกลีบม่วง แต่กลับออกมาทำเรื่องต่ำช้า ถึงแม้มู่จิ่วสังหารเขา นั่นก็เพราะมีเหตุอยู่ก่อนแล้ว”
“มีเหตุไม่มีเหตุอะไร!” อ๋าวเชินตบโต๊ะ “สรุปคือลูกข้าไม่ใช่สัตว์ปีศาจ สังหารคนต้องชดใช้ ติดหนี้ต้องคืนเงิน นี่คือหลักของสวรรค์ที่มีมาช้านาน!”
ลู่ยาถอนหายใจยาว “หากเจ้าต้องการยืนกรานว่าเฉินผิงเป็นเผ่าพันธุ์มังกร ได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์ มู่จิ่วเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ก็ต้องได้รับการคุ้มครองเหมือนกัน เจ้าไม่อาจวางอำนาจทำร้ายชีวิตผู้อื่น!”
“ข้าไม่คิดมากขนาดนั้น!” อ๋าวเชินเดินลงมาจากชั้นหยก กัดฟันพูด “ข้าต้องการให้นางชดใช้ด้วยชีวิต!”
ลู่ยาไม่พูดแล้ว ถกเถียงกับคนแบบนี้ชัดเจนว่าเปลืองน้ำลาย
เขานิ่งไปเล็กน้อย เดินขึ้นไปสองก้าว ก่อนพูด “เรื่องนี้หากราชามังกรไม่คิดจะประนีประนอม คงทำได้เพียงเชิญทัพทหารสวรรค์มาตัดสินแล้ว” พูดจบเขาก็หยิบนกกระเรียนกระดาษออกมาจากแขนเสื้อ ทิ้งลงไปนอกประตู นกกระเรียนนั้นกระพือปีกลอยออกไปนอกวังมังกร…
อ๋าวเชินเพิ่งเคยเห็นนกกระเรียนกระดาษที่สามารถบินในน้ำได้ครั้งแรก ตอนนี้จึงสำลักจนพูดอะไรไม่ออก
……………………………………
บทที่ 144 เชื้อสายมังกรของเจ้า?
โดย
Ink Stone_Romance
ราชามังกรกำลังเตรียมจะพูดอะไรสักหน่อย นอกประตูมีนายพลปูวิ่งเข้ามา “องค์ราชา! ใต้เท้าหลิวแห่งหน่วยลาดตระเวนนำทหารสวรรค์มาถึงวังของพวกเราแล้วพะยะค่ะ!”
อ๋าวเชินตกใจหน้าถอดสี ยังไม่ทันยืนขึ้น ด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้ามากมายดังเข้ามา จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งเดินตามทางเข้ามาในตำหนัก คนหน้าสุดสวมเกราะทองพู่แดง สง่างามแข็งแกร่ง แม้ไม่ได้โกรธก็มีความน่าเกรงขาม นั่นไม่ใช่หลิวจวิ้นแห่งหน่วยลาดตระเวนแล้วจะเป็นใครไปได้? ยังมีนายทหารนายพลกลุ่มใหญ่ตามหลังเขาอีก…นี่จะอาศัยโอกาสทลายวังมังกรทะเลสาบน้ำแข็งหรือ?!
“กัวมู่จิ่วอยู่ไหน?!”
หลิวจวิ้นเข้าตำหนักมา แลกสายตากับลู่ยาสักหน่อยก็พูดขึ้น
อ๋าวเชินคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมาเร็วขนาดนี้ ถึงแม้กระเรียนกระดาษนั่นมีพลังสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถไปกลับมาจากสวรรค์ได้แล้วหรอก? ต้องเป็นพวกเขาเฝ้าอยู่ที่ประตูวังนานแล้วแน่ ในเมื่อเตรียมการกันมา เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจมองเป็นเรื่องปกติได้ รีบกำหมัดพูด “ที่แท้เป็นใต้เท้าหลิว”
คนเราย่อมไม่ตีคนรู้ผิด หลิวจวิ้นคลายสีหน้าลง “เช้านี้ข้าได้ยินว่าท่านเชิญผู้บัญชาการกัวมู่จิ่วแห่งกลุ่มถิงเว่ยมาที่วังมังกร ไม่ทราบว่ามีเรื่องนี้หรือไม่?”
หลิวจวิ้นเหลือทางลงไว้ให้แล้ว
แต่อ๋าวเชินก็ไม่อ้อมค้อม หากเขาลงไปตามทางนี้ เขาจะยกเรื่องที่มู่จิ่วสังหารเฉินผิงขึ้นมาอย่างไร? พวกเขาต้องตั้งใจทำเป็นไม่รู้เรื่องแน่ เขาจะยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้!
ในเมื่อมาแล้ว ก็ฟ้องร้องคดีเสียเลย!
เขาพูด “ข้ารั้งกัวมู่จิ่วไว้ที่นี่จริง เพราะมีเรื่องที่ต้องถามหาความยุติธรรมกับนาง ไม่คิดว่าจะทำให้ใต้เท้าตกใจเร็วขนาดนี้ ข้าไม่ได้ออกไปต้อนรับ ขอโปรดอภัย”
หลิวจวิ้นนั่งลงบนเก้าอี้ที่ทหารกุ้งย้ายมาให้ ก่อนพูด “กัวมู่จิ่วของพวกเราแต่ไหนแต่ไรมาเข้มงวดตามกฎ ไม่มีเรื่องละทิ้งหน้าที่ ทัพทหารสวรรค์มีบันทึกคดี ไม่ทราบว่าล่วงเกินราชามังกรเรื่องใดไว้?”
ก่อนหน้านี้ลู่ยาพูดถึงเรื่องมู่จิ่วกับหลินเจี้ยนหรูสังหารเฉินผิงที่เกาะเป่ยอี๋ไปส่วนใหญ่แล้ว แน่นอนว่าหากต้องการช่วยนาง ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องให้ยุ่งยากแบบนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตคน บุญกุศลของมู่จิ่วยังขาดอีกมาก หากเขาโกรธจนทำลายวังมังกร เรื่องนี้คงจบไม่ดีเท่าไหร่นัก
ดังนั้นเขาคิดออกแต่เชิญหลิวจวิ้นมาจัดการ ไม่แน่ว่าโทษนี้ให้สวรรค์พูดก็อาจจบแล้ว?
หากหลิวจวิ้นสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ แบบนั้นมู่จิ่วก็ไม่มีอุปสรรคใหญ่
เป็นธรรมดาที่หลิวจวิ้นจะด่ามู่จิ่วในใจอย่างหนัก แต่เรื่องปกป้องพรรคพวกใครเล่าจะไม่ทำ? เจ้าอ๋าวเชินให้กำเนิดลูกนอกสมรส มังกรก็ไม่ใช่หงส์ก็ไม่เชิง ทั้งยังแบกเขาไปซ่อนถึงเกาะเป่ยอี๋ ใครจะรู้ว่านั่นเป็นเชื้อสายของราชามังกรอย่างเจ้า? ฝ่ายนั้นปกป้องลูกชายได้ เขาจะปกป้องคนใต้บังคับบัญชาไม่ได้หรือ!
อ๋าวเชินได้ยินคำพูดก็โกรธ “นางกัวมู่จิ่วสังหารลูกชายข้า นางยอมรับเองกับปาก!”
“จริงหรือ?” หลิวจวิ้นนิ่งยิ้มเยาะ “ข้ายังไม่เห็นนาง จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นนางที่ยอมรับเองหรือราชามังกรกดดันให้พูด บางทีท่านอาจสร้างเรื่องเองก็ได้? มิสู้ท่านนำนางออกมาให้ข้าถามด้วยตนเอง”
อ๋าวเชินเห็นท่าทางของพวกเขาก็พูดไม่ออก
แต่เดิมเขาเตรียมจัดการลงมือไว้นานแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ากัวมู่จิ่วจะเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ และพวกเขายังตามมาถึงที่นี่ได้รวดเร็วขนาดนี้ ราชามังกรลอบกัดฟัน รู้ว่าวันนี้คิดจะส่งพวกเขาออกไปนั้นเป็นไปไม่ได้ จึงโบกมือพูด “นำกัวมู่จิ่วมา!”
มู่จิ่วถูกขังอยู่ในคุกวารีของวังมังกรหนึ่งคืน ทั้งร่างราวกับผีตกน้ำ อารมณ์ใดๆ ล้วนไม่มีแล้ว
ช่วงนี้ไม่รู้ว่านางมีเคราะห์เรื่องคุกหรือไม่ อยู่ชิงชิวถูกจิ้งจอกเงินจับขัง ห่างไปไม่นานก็ถูกราชามังกรจับขังอีก ที่สำคัญคือทะเลสาบน้ำแข็งนี่เย็นนัก ไม่มีลูกโลหิตมังกรไฟอยู่ข้างกาย ก็เหมือนกับนางตกลงไปในหลุมน้ำแข็งอีกครั้ง อยู่ถึงพรุ่งนี้เช้าไม่รู้ว่าจะโดนแช่แข็งจนกลายเป็นแท่งน้ำแข็งหรือไม่
และราชามังกรยังทำอย่างเด็ดขาด ครอบน้ำแข็งไว้รอบตัวนาง ทำให้ไม่เพียงพลังหยั่งรู้ของนางไม่อาจออกไป แม้แต่ในรัศมีร้อยลี้ยังรู้สึกถึงตัวตนของเขาไม่ได้ คนคนนี้เพื่อลูกนอกสมรสคนเดียว กลับไม่ลังเลที่จะเสี่ยงกับการถูกถอดถอนตำแหน่งกษัตริย์ จะลากนางไปบูชายัญเฉินผิง นี่ก็กำเริบสิบสานมากพอแล้ว
นางเพิ่งรวมสมาธิเรียกพลังมาปกป้องจุดตันเถียน นอกคุกวารีมีความเคลื่อนไหว ประตูคุกเปิดออก หลายคนเดินตามกันเข้ามา
“อาจิ่ว!”
คนที่นำหน้ารีบเข้ามาตรงหน้านาง
…เป็นลู่ยา!
ดียิ่งนัก! เขาช่างเป็นดาวนำโชคของนางจริงๆ ทุกครั้งที่เจอเรื่องลำบากเขาก็มาได้รวดเร็วขนาดนั้น
“ลู่ยา เข้ามาใกล้ข้าหน่อย ข้าหนาวจะแย่แล้ว!” ถูกแช่อยู่นานทำให้ลมหายใจนางอ่อนแรง คำพูดแฝงความหมายออดอ้อนเอาใจอยู่เล็กน้อย อย่างไรลู่ยาก็เตือนนางไว้นานแล้วว่าราชามังกรกับหงส์เพลิงไม่น่าผิดใจด้วย แต่นางยังลากเขามาลำบากช่วยนางอีก ที่จริงใจรู้สึกไม่ดี ใบหน้าก็รู้สึกอับอายอยู่บ้าง
ลู่ยารีบคลายเชือกให้นาง ประคองนางไว้ในอก จากนั้นเดินออกไปพร้อมรีบให้พลังลมปราณนาง
ท้ายที่สุดเพราะพื้นฐานดี ออกจากคุกวารีนางก็ฟื้นคืนพลังขึ้นมาทันที เห็นข้างนางยังมีทหารกุ้งนายพลปูถือหอกยาวชี้มาหา นางถึงได้รู้ตัวว่าตนเองยังไม่มีอิสระ!
“เจ้าพาพวกเขามาได้อย่างไร?” นางถาม
“ออกไปก่อนค่อยพูด” ลู่ยาจูงนางขึ้นบันไดไปด้วย
ไม่นานก็มาถึงในตำหนัก มู่จิ่วเห็นพวกทหารนายพลสวรรค์แล้วอึ้งไป ครั้นเห็นหลิวจวิ้นที่จ้องมาด้วยสายตาไม่พอใจ นางก็รู้ตัวทันที จบกัน! ถึงแม้นางไม่ตายด้วยเงื้อมมือราชามังกร ทว่าก็หลีกไม่พ้นถูกหลิวจวิ้นถลกหนัง…แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกเขามาแล้วย่อมเป็นญาติของนาง!
“กัวมู่จิ่ว ข้าถามเจ้า เจ้าเป็นคนสังหารเฉินผิงใช่หรือไม่!” อ๋าวเชินรอจนนางเข้ามาในตำหนัก จึงชี้ถาม “ลูกชายข้ามีความแค้นกับเจ้าหรือ!”
มู่จิ่วไม่คิดจะโกหก ไม่ว่าราชามังกรปฏิบัติต่อนางอย่างไร นางต้องเห็นแก่ความเป็นพ่อที่รักลูก ยกโทษให้เขาสักสามส่วน
นางเอ่ย “เฉินผิงเป็นข้าสังหารเอง ข้าไม่มีความแค้นต่อเขา แต่ก่อนข้าลงมือไม่มีคนบอกว่าเขาคือเผ่าพันธุ์มังกร ไม่ใช่ปีศาจ ดังนั้นถึงแม้ข้าจะสังหารเขา แต่ก็สังหารด้วยความเข้าใจผิด”
“สังหารด้วยความเข้าใจผิด!” อ๋าวเชินยิ้มเยาะ “เจ้าจะยืนยันอย่างไรว่าเจ้าสังหารเพราะเข้าใจผิด? ใครจะยืนยันให้เจ้าได้ว่าก่อนเจ้าลงมือสังหารเจ้าไม่รู้ว่าเขาคือเผ่าพันธุ์มังกร!”
นี่กลับทำไม่ได้…
ถึงแม้หลินเจี้ยนหรูจะยืนยันได้ แต่ในเมื่อเป็นสหายร่วมงานของนาง คำยืนยันของเขาก็ไม่มีประโยชน์
ลู่ยาเดินออกมาขวางอยู่หน้ามู่จิ่ว “ในเมื่อราชามังกรพูดบ่อยครั้งว่าต้องการหลักฐาน เช่นนั้นข้าขอถาม ท่านยืนยันได้อย่างไรว่าเฉินผิงเป็นลูกของท่าน? ยืนยันได้อย่างไรว่าเขาเป็นเผ่าพันธุ์มังกร? บนทะเบียนเผ่าพันธุ์มังกรมีชื่อเขาหรือไม่? เขาได้รับการยอมรับจากตระกูลอ๋าวของท่านหรือเปล่า?”
อ๋าวเชินไร้คำพูด
เฉินผิงแม้แต่แซ่อ๋าวยังไม่ได้ใช้ ไหนเลยจะขึ้นทะเบียนเผ่าพันธุ์ได้? หลังจากเขากับอวิ๋นเฉี่ยนดีกัน ราชินีก็ขัดแย้งกับอวิ๋นเฉี่ยนตลอดเพราะเหตุนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเลือดของเฉินผิงไม่บริสุทธิ์เลย ถึงแม้บริสุทธิ์ ราชินีจะยินยอมให้ลูกนอกสมรสเข้าทะเบียนเผ่าพันธุ์ได้อย่างไร? แม้แต่พ่อของเขาอ๋าวก่วงก็ไม่เห็นด้วย!
ลู่ยาจับจุดอ่อนเขาได้ในครั้งเดียวจริงๆ
บทที่ 145 ให้คำตัดสิน
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วดีใจ เกือบจะปรบมือให้ลู่ยาที่มากความสามารถ!
ก่อนหน้านี้ตอนอ๋าวเชินหลีกเลี่ยงตำหนักใหญ่พานางมายังตำหนักคลื่นหยก นางก็ทายได้แล้วว่าชายสารเลวผู้นี้สักแปดส่วนต้องพบอุปสรรคจากการคบชู้กับหงส์เพลิงในวังมังกรแน่ ตอนนี้เห็นท่าทางเขาแบบนี้แล้ว ก็ชัดเจนอย่างมาก! หากราชินียอมรับการอยู่ร่วมกันของเขากับหงส์เพลิง เขาคงพานางเข้าวังใหญ่อย่างเปิดเผยไปแล้ว ในเมื่อไม่ยอมรับ นั่นต้องมีอะไรประหลาด
แต่คิดแล้วก็ใช่ จะมีภรรยาคนไหนยินดีที่เห็นสามีมีสัมพันธ์กับผู้อื่น? ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลูกนอกสมรสพันทางออกมาอีก! คิดไม่ถึงว่าจะไม่สนใจลูกชายของภรรยาหลัก กลับออกหน้าไปทั่วเพื่อลูกชายนอกสมรสที่ถูกสังหาร?
แต่นางก็ใคร่รู้ หงส์เพลิงนั้นพื้นเพไม่ต่ำต้อย ทำไมถึงยินยอมเป็นบ้านน้อยให้ผู้อื่น? และหน้าตาของราชามังกรผู้นี้ก็ไม่เท่าไหร่นัก
“ถึงแม้เฉินผิงจะไม่ได้ขึ้นทะเบียนเผ่าพันธุ์ แต่ก็มีสายเลือดของข้า!” อ๋าวเชินโกรธเกรี้ยว นำลูกโลหิตมังกรไฟตบลงบนโต๊ะ “ของชิ้นนี้เป็นหลักฐานได้!”
ลูกโลหิตมังกรไฟไม่ใช่บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนแล้วได้มา เหล่าสัตว์เทพโบราณจะมีจิตต้นกำเนิดมาพร้อมพลังลมปราณตั้งแต่ตอนอยู่ในครรภ์ อย่างเช่นจิตจิ้งจอกของจิ้งจอกเก้าหาง จิตหยางพิสุทธิ์ของเสือขาว จิตวิญญาณไฟของหงส์เพลิง ยังมีพลังกายของพ่อเนื้อของแม่รวมเข้าด้วยกันอีก
ลูกโลหิตมังกรไฟของเฉินผิง ถึงแม้รูปร่างเหมือนจิตวิญญาณไฟของหงส์เพลิง มีจิตไฟอยู่ในนั้นเช่นกัน แต่ตรงกลางยังมีจิตมังกรครึ่งหนึ่งของอ๋าวเชิน ดวงจิตพวกนี้เป็นของที่ใช้ตรวจสอบความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ของสายเลือดชนรุ่นหลัง
อ๋าวเชินนำลูกโลหิตมังกรไฟนี้ออกมา ลู่ยากับหลิวจวิ้นกลับไม่เหมาะจะพูดอะไรแล้ว
ที่จริงไม่มีใครตั้งกฎว่าลูกนอกสมรสของเผ่าพันธุ์เทพเป็นเผ่าปีศาจ ในเมื่อไม่ใช่เผ่าปีศาจ แบบนั้นถูกสังหารก็ต้องรับผิดชอบ
หลิวจวิ้นทนไม่ได้ ถลึงตาใส่มู่จิ่ว เด็กสาวคนนี้ช่างก่อเรื่องให้เขาเสียจริง!
แต่นี่เป็นพลทหารคนโปรดที่เขาส่งเสริมขึ้นมาเอง ถึงเขาจะร้องไห้ก็ไม่อาจไม่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย
เขาก้มหน้าคิด ยืนขึ้นมาพูด “ในเมื่อแต่ละคนยืนกรานคำพูดตนเอง หารือกันไม่ได้ ตามความเห็นข้า มิสู้เชิญราชามังกรไปยังสวรรค์เพื่อสอบถามเรื่องนี้อย่างชัดเจน ที่จริงกัวมู่จิ่วเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ควรให้สวรรค์เป็นผู้จัดการ”
อ๋าวเชินแค่นเสียงเยาะเย้ย “เช่นนั้นไม่ทราบว่าใต้เท้าหลิวคิดจะให้หน่วยของตนเองตรวจสอบคดีนี้ หรือจะให้หน่วยอื่นสอบสวน?”
หน่วยลาดตระเวนจัดการตัดสินคดี ตามเหตุผลแล้วหากต้องตัดสินคดีก็เป็นหน่วยลาดตระเวนรับผิดชอบ แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับคนของพวกเขาเอง จะแสดงออกถึงความยุติธรรมอย่างไร?
เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น แน่นอนว่าต้องทำให้ชัดเจน!
แต่หลิวจวิ้นย่อมต้องปกป้องคนจนถึงที่สุด “ราชามังกรไม่เชื่อถือการจัดการงานของตัวข้าหรือ?”
“ใต้เท้าดำเนินการแน่นอนว่าข้าวางใจ แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับลูกชายข้าได้รับความไม่เป็นธรรม ข้ากลับไม่อาจไม่รอบคอบได้”
อ๋าวเชินไม่ยอมลงให้เลยแม้แต่ก้าวเดียว “ใต้เท้าไม่เคยเป็นพ่อคนแม่คน เป็นธรรมดาที่จะไม่เข้าใจความรู้สึกของข้า แต่หากต้องการพากัวมู่จิ่วกลับสวรรค์ ต้องไปวังหลิงเซียวเชิญอวี้ตี้มาให้ความยุติธรรม ข้าถึงรับปาก มิฉะนั้นแล้วข้าจะยอมเสี่ยงโดนฟ้าผ่าอสุนีบาต วันนี้ต้องสังหารนางที่นี่!”
“อ๋าวเชิน!” หลิวจวิ้นเริ่มมีน้ำโห ชักกระบี่ขวางอยู่หน้ามู่จิ่ว “ท่านต้องการแข็งข้อหรือ?!”
“เอาละ เอาละ!” มู่จิ่วเห็นสถานการณ์แล้วจึงรีบหยุดหลิวจวิ้นไว้ “เรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดก่อน ไปวังหลิงเซียวก็ไปวังหลิงเซียว แต่อีกเดี๋ยวขอให้ใต้เท้าช่วยพูดแทนข้าต่อหน้าฝ่าบาทสักสองประโยค อย่าให้ข้าโดนถีบออกจากทัพสวรรค์ล่ะ…” ประโยคสุดท้ายกดเสียงต่ำจนมีหลิวจวิ้นได้ยินเพียงคนเดียว
หากเป็นเรื่องที่นางก่อขึ้นนางยอมรับ ไม่คู่ควรที่จะให้หลิวจวิ้นล่วงเกินผู้อื่นเพื่อนาง
เพียงไปสวรรค์นางก็รู้ว่ามีหลิวจวิ้นอยู่ ตนเองไม่น่าจะถูกตัดสินให้ชดใช้เฉินผิงด้วยชีวิต อย่างไรก็ตาม รักษาชีวิตไว้ได้ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องรับโทษ หากอวี้ตี้บอกคำเดียวว่าส่งนางออกนอกสวรรค์ น้ำพักน้ำแรงที่ผ่านมาจะสูญสลายไปมิใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นออกจากสวรรค์ยิ่งเสี่ยง คนแซ่อ๋าวซ่อนอยู่สักที่แล้วลอบทำร้ายนาง นางก็ไม่มีชีวิตรอดเหมือนกัน
“เยี่ยมจริงๆ!” หลิวจวิ้นกัดฟันด่านางประโยคหนึ่ง ผลักมือนางออก จากนั้นจ้องอ๋าวเชิน “ในเมื่อราชามังกรไม่เชื่อข้าคนแซ่หลิว เช่นนั้นขอให้ออกเดินทาง! พวกเราไปเจอกันที่วังหลิงเซียว!”
พูดจบก็ส่งสายตาไปให้มู่จิ่ว ก้าวเท้ายาวๆ ออกจากวังไป
มู่จิ่วรีบจูงมือลู่ยาตามออกไป
ความหมายจริงๆ ของสวรรค์หมายถึงวังที่อยู่ของอวี้ตี้ หวังหมู่ และองค์ชายองค์หญิงทั้งหลาย วังหลิงเซียวเป็นที่จัดการงานราชการ วังหลังเป็นที่ใช้ชีวิตส่วนตัวของอวี้ตี้และครอบครัว แต่เพราะในหกภพมีเมืองหลวงอยู่ที่สวรรค์ชั้นเก้า และคนที่อยู่ในชั้นเก้าส่วนใหญ่เป็นเซียน ดังนั้นสวรรค์ชั้นเก้าเรียกกันนานๆ ไปจึงกลายเป็นสวรรค์
พูดถึงตรงนี้ก็ต้องเอ่ยถึงอำนาจของสวรรค์ในหกภพ
ตอนแรกหลังจากเจียงจื่อหยาแต่งตั้งเทพ สวรรค์เพิ่งเริ่มก่อสร้าง อวี้ตี้เข้าคัดเลือกเป็นราชาสวรรค์เพียงเพราะหงจวินได้รับคำขอร้องจากเหล่าเทพ ทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับสำนักขงจื๊อ สำนักพุทธ และสำนักเต๋า มองไม่เห็นว่าเขาจะมีกำลังสักเท่าไหร่ ดังนั้นอิทธิพลอำนาจจึงธรรมดา แต่ในเมื่ออวี้ตี้โดดเด่นออกมาจากกลุ่มเซียนได้ แสดงว่าเขามีความสามารถเหนือผู้อื่น
หลังจากการแต่งตั้งเทพไปหลายร้อยปี อวี้ตี้เห็นตนเองค่อยๆ หมกหมุ่นกับการจัดแจงตกแต่ง จึงค่อยๆ ดำเนินการแผนต่อเนื่องเพื่อเสริมให้อำนาจการปกครองส่วนกลางแข็งแกร่งขึ้น อย่างเช่นจัดหาคนที่มีกำลังและอำนาจจากสำนักขงจื๊อ สำนักพุทธ และสำนักเต๋ามาคุมเก้าทวีปสี่ทะเล
อันดับแรก ได้ทำการยกเว้นโทษและแต่งตั้งมหาเทพตงหัวเป็นหัวหน้าเทพราชาสี่ทิศ จากนั้นรวบรวมสี่มหาราชาแห่งสวรรค์ของศาสนาพุทธ[1] และอาศัยคำสอนของสำนักขงจื๊อจัดลำดับตำแหน่งของสวรรค์ใหม่ เพื่อปลอบใจทงเทียนเจี้ยวจู่ ก็ยกเว้นโทษให้และแต่งตั้งม่อเหยี่ยนศิษย์คนโตของเขาไปเป็นราชามาร
แต่ราชามารกลับมีเงื่อนไข ตามทฤษฎีแล้วเขายอมอยู่ใต้อำนาจสวรรค์ได้ แต่กลับปฏิเสธไม่ให้สวรรค์ยื่นมือเข้ามาจัดการงานในภพมาร อีกอย่าง ทั้งภพมารล้วนเป็นเผ่าปีศาจบำเพ็ญตนมา ระหว่างสองเผ่าพันธุ์ตัดรากฐานกันไม่ขาดเหมือนมนุษย์กับเทพ ดังนั้นจึงร้องขอให้พวกเขาเป็นคนปกครองภพปีศาจทั้งหมดด้วย มิฉะนั้นแล้วจะปฏิเสธไม่รับการยกเว้นโทษและการแต่งตั้งนี้
ทงเทียนเจี้ยวจู่และไท่ซ่างเหล่าจวินแม้จะเป็นศิษย์พี่น้องกัน แต่ละคนสร้างลัทธิเจี๋ยและลัทธิฉ่าน แต่คำสอนกลับไม่เหมือนกันเลย ทงเทียนเจี้ยวจู่วิธีสอนไม่เข้มงวด ไม่ว่าปีศาจมารวิญญาณล้วนสามารถเข้าลัทธิเจี๋ยของเขาได้หมด ตอนสงครามระหว่างพวกเขาศิษย์พี่น้อง กำลังของลัทธิเจี๋ยยิ่งใหญ่แล้ว สุดท้ายถึงแม้ทงเทียนเจี้ยวจู่พ่ายแพ้ แต่ลัทธิฉ่านก็สูญเสียอย่างหนัก
ราชามารยื่นเงื่อนไขแบบนี้ อวี้ตี้ไม่อาจไม่ใคร่ครวญอย่างรอบคอบ สุดท้ายชั่งน้ำหนักดูแล้วจึงทำข้อตกลง ภพมารและภพปีศาจ แต่ละภพมีราชา ราชามารเป็นหัวหน้าปกครอง สุดท้ายให้ขึ้นต่อสวรรค์ ทั้งยังได้ทำข้อกำหนดว่า หากภพปีศาจกับภพมารไม่ทำความเดือดร้อนแก่สรรพสัตว์ สวรรค์จะไม่สอดมือเข้ายุ่ง แต่หากผิดเงื่อนไขก็จะไม่ยอมผ่อนผันให้โดยเด็ดขาด
ที่จริงก็เป็นแค่ข้อตกลงที่ดูมีเกียรติสักหน่อย ถึงแม้อวี้ตี้ไม่พูดชัดเจน แต่หากราชามารดื้อด้านไม่ยอมสยบต่อสวรรค์แล้วภพมารทำร้ายสี่ภพจริง สวรรค์มิใช่ต้องจัดการเช่นกันหรอกหรือ?
แต่ราชามารผู้นี้เป็นคนง่ายๆ สบายๆ หลังจากดูข้อตกลงนี้จบก็ไม่ต่อรองอีก มือหนึ่งตีตราประทับลงไป จากนั้นออกไปสังสรรค์กับพวกพ้อง หลายหมื่นปีมานี้สงบเงียบไร้คลื่นลมจริง ถึงแม้จะมีข่าวเล็กๆ ออกมา กลับไม่มีเรื่องหนักหนา ทว่าก็ทำให้คนไม่อาจไม่ตระหนกได้
และที่พูดถึงที่มาส่วนนี้ เพราะคดีของมู่จิ่วกับอ๋าวเชินจะต้องดูว่าตัดสินอย่างไร
………………………………………………………….
[1] มหาจตุโลกบาลทั้งสี่ ได้แก่ ท้าววิรุฬหกมหาราช ท้าวธตรฐมหาราช ท้าววิรูปักษ์มหาราช และท้าวกุเวรมหาราช
บทที่ 146 ใช้ความตายชดใช้ความผิด
โดย
Ink Stone_Romance
หากเฉินผิงได้คำตัดสินว่าเป็นเผ่าพันธุ์มังกร อย่างไรมู่จิ่วก็ต้องได้รับโทษหนัก และหากแบ่งเฉินผิงเป็นปีศาจ แบบนั้นมู่จิ่วก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
ทำไมล่ะ? เป็นเพราะตอนแรกราชามารกับอวี้ตี้มีคำสัญญาต่อกันก่อน หากปีศาจที่ก่อเหตุถูกสังหารจะไม่มีเหตุผลโทษใดสามารถเอาผิดได้
อีกอย่าง ภพมารได้แบ่งเขตแดนกับสวรรค์นานแล้ว จึงไม่สามารถออกมาสนับสนุนมังกรสี่ขาตัวหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับเผ่าเทพไม่ชัดเจน
ระหว่าทางลู่ยาเล่าเรื่องนี้ให้มู่จิ่วฟังจบ มู่จิ่วก็ตอบรับกลับมา “เจ้าหมายความว่า หากต้องการปกป้องข้าต้องทำให้เฉินผิงเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจให้ได้?”
ทำไมนางถึงรู้สึกทำใจไม่ได้นิดหน่อยนะ? ที่จริงพ่อแม่ของเขาล้วนเป็นสัตว์เทพ แบบนี้ไม่ค่อยมีมนุษยธรรม
“ดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากัน” ลู่ยาดูออกว่านางสับสน “หากสามารถพูดกับอ๋าวเชินได้ ก็ไม่จำเป็นต้องหักหน้ากัน”
มู่จิ่วพยักหน้า เงยหน้าขึ้นมองก็ถึงวังหลิงเซียวแล้ว
ลู่ยาเข้าไปในวังหลิงเซียวไม่ได้ ต้องยกเหตุผลขึ้นมาบอกว่าตนเองไม่มีหน้าที่ ไม่เหมาะเข้าไปในวัง จากนั้นหันหน้ากลับบ้านไป
หลิวจวิ้นรู้ว่าคำพูดเขาเป็นเรื่องจริง เป็นธรรมดาที่จะไม่รั้งไว้ เขาตามอ๋าวเชินเข้าไปรัวกลองสวรรค์ที่อยู่หน้าวัง
ตอนรอหลิวจวิ้นเดินไปหาทหารด้านหน้าประตูอย่างเงียบๆ พูดกับเขาหลายประโยค อีกฝ่ายก็เป็นคนของทัพทหารสวรรค์ เป็นธรรมดาที่จะเชื่อฟังอย่างมาก และเข้าไปข้างในทันที
หลายวันก่อนไท่ซ่างเหล่าจวินเสียเปรียบราชาจิ้งจอกไป และไม่สะดวกไปพูดคุยเหตุผลกับคู่กรณี จึงเก็บความอึดอัดนี้ไว้ วันถัดมาก็ยื่นคำร้องให้อวี้ตี้ แนะนำให้เข้มงวดเรื่องการปกครอง จัดการแต่ละด้านอย่างเคร่งครัด ถึงแม้อวี้ตี้อึดอัด แต่เพราะเหล่าจวินคือศิษย์ของหงจวิน ตำแหน่งสูงกว่าตนเอง อย่างน้อยก็ต้องทำท่าทางนอบน้อม ช่วงนี้จึงดูแลภพต่างๆ เป็นอย่างดี
วันนี้เห็นดอกบัวในสระหยกบานอย่างงดงาม ก็มีอารมณ์ชมดอกไม้ขึ้นมา จึงทิ้งพู่กันมาถึงสระหยก ตอนเซียนดอกบัวเซียนกระจับม่วงเดินเป็นเพื่อนเขา ได้ยินว่าด้านหน้ามีคนมาฟ้องร้องหน้าพระพักตร์ ไหนเลยจะกล้าไม่ไยดี? รีบส่งกรงนกให้เซียนดอกบัวแล้วไปตำหนักด้านหน้าทันที
หวังหมู่กำลังฟังเสียงเพลง คิดไม่ถึงว่ากลางวันแบบนี้จะมีคนมาฟ้องร้อง นางเงี่ยหูฟังทหารเข้ามาพูดหลายประโยค ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ก่อนแต่งตัวออกไปยังวัง
รอจนถึงวังแล้ว เมื่อเห็นนางก็อึ้งไป เด็กสาวคนนี้มิใช่เจ้าหน้าที่น้อยที่ก่อนหน้านี้จับหลีหังกับอู่เต๋อมาหรือ? ทหารเพียงบอกนางว่ามีคนมาฟ้องร้องเพื่อลูกนอกสมรสที่ถูกสังหารเท่านั้น นางทนไม่ได้ที่สุดกับการได้ยินเรื่องฉาวโฉ่แบบนี้ ไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้กลับถูกอ๋าวเชินลากมาถึงวังได้อย่างไร?
ดังนั้นจึงพูด “พวกเจ้ามีเรื่องอะไรกัน?”
พวกมู่จิ่วสามคนคุกเข่าร้องทำความเคารพ จากนั้นจึงยืนขึ้น อ๋าวเชินพูดอย่างอดรนทนไม่ได้ “ฝ่าบาท เหนียงเหนียง เมื่อหนึ่งปีก่อน กัวมู่จิ่วพลทหารสวรรค์ประจำหน่วยลาดตระเวนสังหารลูกชายข้าเฉินผิงที่เกาะเป่ยอี๋ วันนี้ข้ามาฟ้องร้องสวรรค์ ขอฝ่าบาทกับเหนียงเหนียงจัดการแทนข้าด้วย!”
อวี้ตี้กับหวังหมู่ล้วนตกใจ “ลูกชายเจ้า? ทำไมลูกของเจ้าถึงถูกสังหารที่เกาะเป่ยอี๋ได้?”
ชัดเจนว่าพวกเขาทั้งสองยังไม่รู้เรื่องราวความรักของอ๋าวเชินกับหงส์เพลิง
มู่จิ่วจึงพูดขึ้นมา “เฉินผิงเป็นมังกรสี่ขาที่ถือกำเนิดจากราชามังกรกับหงส์เพลิง ตอนข้าน้อยไปเก็บดอกบัวกลีบม่วงได้พบเขาเข้า ตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาคือบุตรของราชามังกรกับหงส์เพลิง ดังนั้นจึงสังหารเขาเพราะคิดว่าเป็นปีศาจ เมื่อวานข้าน้อยทำคดีอยู่ที่เขาฉีจื่อ ราชามังกรพลันปรากฏตัวต่อหน้าข้าน้อย จับข้าน้อยไป แล้วยังพูดว่าจะสังหารบูชาเฉินผิง”
“เกิดกับหงส์เพลิง? เจ้ามิใช่ว่าแต่งภรรยามีลูกนานแล้วหรือ?” หวังหมู่ขมวดคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างลึกซึ้ง
อ๋าวเชินอดหน้าแดงไม่ได้ กลับไม่มีคำพูดใดออกมา
หวังหมู่หันไปมองอวี้ตี้คราหนึ่ง จากนั้นมองลงมาข้างล่าง “เรื่องนี้ทำไมฝ่าบาทกับข้าจึงไม่รู้?”
“ตอบเหนียงเหนียง หงส์เพลิงกับราชามังกรไม่ได้สมรสกัน หงส์เพลิงไม่ได้เข้าวังมังกร ดังนั้นตระกูลอ๋าวไม่ยอมรับเขา และไม่เคยเปิดเผยต่อเบื้องบน”
หลิวจวิ้นก็ก้าวขึ้นมาพูดอธิบายพอดี
หวังหมู่แค่นเสียงหนึ่งครา อวี้ตี้เห็นสถานการณ์จึงกระแอมไอก่อนพูด “หลิวจวิ้น การสังหารคนชดใช้ด้วยชีวิตติดหนี้คืนเงินเป็นหลักสวรรค์ เจ้าเป็นผู้บัญชาการแห่งหน่วยลาดตระเวน เรื่องแบบนี้ควรจะเป็นเจ้าตัดสินใจ ทำไมเรื่องเล็กน้อยแบบนี้กลับมาถึงข้าได้?”
“ฝ่าบาท กัวมู่จิ่วเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ ราชามังกรสังหารเจ้าหน้าที่สวรรค์เองเป็นเรื่องผิดกฎ”
หลิวจวิ้นพูด “ยิ่งไปกว่านั้น กัวมู่จิ่วไม่ได้มีเจตนาสังหาร อีกทั้งได้แสดงออกต่อเขาแล้วว่าจะชดใช้คืนให้ แต่เขาไม่รับ ยืนกรานว่าต้องการสังหารคน ข้าคิดว่ามาฟ้องร้องถึงจะสามารถหยุดเรื่องนี้ได้ และเฉินผิงก็ไม่อยู่ในทะเบียนตระกูลอ๋าวด้วย จะบอกว่าเขาเป็นลูกหลานตระกูลอ๋าวได้อย่างไร ราชามังกรดื้อดึงไม่ฟังคำอธิบาย ต้องให้ฝ่าบาทตัดสิน ข้าจึงนำกัวมู่จิ่วมาที่นี่”
อวี้ตี้พูดอีก “อ๋าวเชิน แบบนั้นเรื่องนี้เป็นเจ้าที่ไม่ถูก ในเมื่อตอนแรกกัวมู่จิ่วไม่รู้ว่าเฉินผิงเป็นลูกเจ้า เรื่องนี้เหตุผลพอยอมกันได้ นางยินดีออกแรงชดใช้คืนเจ้าในเรื่องนี้ ทำไมเจ้าต้องสังหารนาง? ยิ่งไปกว่านั้นเป็นลูกชายเจ้าลงมือก่อน”
“ฝ่าบาท!” อ๋าวเชินยังไม่ได้พูด น้ำตาก็ไหลลงมา “เฉินผิงเป็นเลือดเนื้อของข้า กัวมู่จิ่วทุกคำเอาแต่บอกว่าไม่รู้ว่าลูกข้าคือลูกของใคร แต่นางกลับเก็บลูกโลหิตมังกรไฟไว้นานขนาดนั้น ถึงแม้นางไม่รู้ว่าข้าคือพ่อของเฉินผิง ก็ควรจะรู้ว่าแม่ของเขาคือใคร?”
“เฉินผิงเป็นเลือดเนื้อของข้า ไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูลอ๋าว ใจข้าก็เหมือนถูกมีดเฉือน วันนี้หญิงคนนี้ยังสังหารเขา! ถึงแม้นางบอกว่าจะชดใช้คืน แต่นางเป็นเพียงแค่หัวเสิน จะชดใช้คืนอย่างไร? มีคุณสมบัติอะไรมาพูดว่าจะชดใช้คืนให้กับข้า? นี่จะไม่ให้ข้าเจ็บปวดใจได้อย่างไร? ฝ่าบาท โปรดเห็นใจข้าที่ต้องการปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไขด้วย!”
อ๋าวเชินพูดพลางคุกเข่าลงไป ทั้งวังเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของเขา
มู่จิ่วกระอักกระอ่วนอย่างมาก แต่ตอนนี้คนที่เขาต้องการกดดันให้ตายคือนาง นางเองก็ไม่อาจมีความคิดอื่นได้
อวี้ตี้ก็รู้สึกลำบากใจ การฟ้องร้องแบบนี้ ใครพูดคนนั้นก็มีเหตุผลเสียจริง หากตัดสินให้อ๋าวเชินชนะ กัวมู่จิ่วก็ต้องถูกป้ายสี หากตัดสินให้มู่จิ่วชนะ อ๋าวเชินที่สูญเสียลูกชายไปทั้งยังแพ้การฟ้องร้องคดีก็น่าสงสารยิ่งนัก
คิดแล้วเขาก็หันไปมองภรรยา
หวังหมู่ทำตาขวางใส่เขา ก้มหน้าดื่มชา
อวี้ตี้ไร้หนทาง ทำได้เพียงกระแอมไอพูด “อ๋าวเชิน เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
อ๋าวเชินกล่าว “ข้าต้องการให้มู่จิ่วชดใช้ด้วยชีวิต!”
“ไม่ได้!”
หลิวจวิ้นกับมู่จิ่วค้านออกมาพร้อมกัน
“ฝ่าบาท กัวมู่จิ่วรับได้เพียงการชดเชยให้เท่านั้น!” หลิวจวิ้นพูด “และนางยังต้องอยู่ที่หน่วยลาดตระเวนปฏิบัติงานต่อ หากไม่ใช่นาง คดีชิงชิวกับลัทธิฉ่านคงไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร ขอให้ฝ่าบาทเห็นแก่นางที่ช่วยจัดการเรื่อง ละเว้นความไม่ตั้งใจของนาง ตัดสินให้นางชดใช้คืนเพื่อขอโทษแก่ราชามังกร จบเรื่องไปเช่นนี้!”
“ข้าไม่ยอม!” อ๋าวเชินยืนขึ้นมา “สังหารคนแค่ชดใช้คืนของก็จบไปได้ มีเหตุผลแบบนี้ด้วยหรือ!”
“พอแล้ว!”
หวังหมู่สีหน้าเย็นชา กวาดตามองมา “คิดว่าที่นี่เป็นตลาดหรือ! หลิวจวิ้น เจ้าเป็นขุนนางใหญ่ในหน่วยลาดตระเวน กลับปกปิดความผิดของพวกพ้อง เจ้ายังมียางอายอีกหรือ!” พูดจบก็ชี้อ๋าวเชิน “เจ้าเป็นราชามังกรแห่งทะเลสาบน้ำแข็ง เพื่อลูกนอกสมรสกลับก่อเรื่องวุ่นวาย ภายหลังจะเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ราษฎรได้อย่างไร? ในเมื่อเจ้าเก็บลูกไว้ที่เป่ยอี๋ ใครใช้ให้เจ้าไม่ป่าวประกาศว่านั่นคือลูกของเจ้า? ยังมีเหตุผลอีกหรือ!”
………………………………………………………………
บทที่ 147 ยังนับว่าโชคดี
โดย
Ink Stone_Romance
หลายคนค่อยๆ คุกเข่าลงไป
สายตาของหวังหมู่ที่เหมือนกระแสไฟมองไปทางมู่จิ่ว จากนั้นเคลื่อนไปมองอ๋าวเชิน “อ๋าวเชิน ถึงแม้กัวมู่จิ่วสังหารลูกชายของเจ้าจริง แต่ก็มีบทลงโทษของสวรรค์ ไม่ต้องให้ถึงมือเจ้าลงโทษเอง เรื่องนี้ข้าจัดการแล้ว ตอนนี้ลงโทษมู่จิ่วให้ย้ายไปเป็นคนคุมคุกสวรรค์ ส่วนเรื่องลูกชายของเจ้าภายหลังไม่ต้องเอ่ยขึ้นมาอีก”
“เหนียงเหนียง!”
มู่จิ่วอึ้ง พลันรู้สึกอยากเป็นลม!
นางรู้ว่าหวังหมู่ละเว้นนางแล้ว เป็นผู้คุมก็ยังเป็นทหารสวรรค์ ไม่ว่าอย่างไรชีวิตของนางก็รักษาไว้ได้แล้ว และยังรักษาหน้าที่การงานไว้ได้ด้วย! แต่ให้ไปคุกสวรรค์เป็นผู้คุม สำหรับนางแล้วมิใช่เท่ากับติดคุกหรือ? อยู่ที่คุกสวรรค์ที่น่ารังเกียจนั่นนางจะสั่งสมบุญได้อย่างไร? ต้องอยู่หน่วยงานที่มีตำแหน่งหน้าที่อย่างหน่วยลาดตระเวนสิถึงจะได้แสดงความสามารถ!
อ๋าวเชินร้อนรนจนเหงื่อออกจากหน้าผาก “เหนียงเหนียง! ข้าไม่ยอมรับ!”
“ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมรับ?” หวังหมู่ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยพลางมองเขา “หากเจ้าไม่ยอมรับ เรียกพ่อเจ้ามา ข้าจะถามเขาว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไร? จะปรึกษาเขาให้เสียหน่อย?”
อ๋าวเชินไร้คำพูดไปทันที ตั้งแต่แรกเฉินผิงไม่ได้เข้าทะเบียนเผ่าพันธุ์ อ๋าวก่วงมาจะมีคำพูดดีๆ หรือ! เขาครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนกำหมัดทันที “ไม่ชดใช้ด้วยชีวิตก็ได้ แต่นางต้องมีการชดใช้บ้าง! ข้ายินดีให้เหนียงเหนียงตัดสินส่งนางมาเป็นข้ารับใช้ที่วังมังกรห้าร้อยปี!”
เพียงให้ตัดสินส่งนางมาวังมังกรได้ ถึงแม้จะลงมือสังหารไม่ได้ แต่ห้าร้อยปีก็เพียงพอจะทรมานนาง!
หลิวจวิ้นมีหรือจะมองความตั้งใจของเขาไม่ออก? แน่นอนว่าไม่ยินยอมให้มู่จิ่วออกจากหน่วยลาดตระเวน ดังนั้นจึงรีบพูด “กัวมู่จิ่วเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ ราชามังกรกลับพูดว่าจะให้นางไปเป็นข้ารับใช้ที่วังมังกร หรือต้องการจะบอกว่าฐานะของทะเลสาบน้ำแข็งของท่านเทียบกับสวรรค์แล้วยังสูงกว่า เจ้าหน้าที่สวรรค์สามารถไปเป็นข้ารับใช้ได้ง่ายๆ”
อ๋าวเชินชี้เขาแล้วพูด “เจ้าตั้งใจอธิบายผิดๆ!”
หลิวจวิ้นแค่นเสียงเยาะเย้ยสองครา เงยหน้ามองเพดาน
หวังหมู่สายตาเย็นชามองพวกเขา ชี้หลิวจวิ้น “อ๋าวเชินยินยอมลงให้บ้างแล้ว เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาของกัวมู่จิ่ว เจ้าพูดสิว่าเจ้ามีความเห็นอะไร?”
หลิวจวิ้นก้มหน้าลง ครุ่นคิดก่อนพูด “ตอบเหนียงเหนียง ไปวังมังกรมิใช่ว่าไม่ได้ ยกเว้นแต่ราชามังกรจะเปลี่ยนจากห้าร้อยปีเป็นห้าเดือน เปลี่ยนจากข้ารับใช้เป็นขอความเมตตาเหนียงเหนียง ให้กัวมู่จิ่วไปทำหน้าที่ทหารอารักขาวังมังกรที่ทะเลสาบน้ำแข็งแทนเฉินผิง ดังนี้แล้วกัวมู่จิ่วยังคงเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ในหน่วยลาดตระเวนของข้า ราชามังกรยังสำเร็จเป้าหมายที่จะสงบความโกรธของเขาลงด้วย ความเห็นนี้ข้ายังยอมรับได้”
พูดจบเขาไม่รออ๋าวเชินตอบ ประสานมือพูดกับด้านบนทันที “ฝ่าบาท เหนียงเหนียง กัวมู่จิ่วเป็นเจ้าหน้าที่ที่สวรรค์คัดเลือกมา ควรได้รับโทษจากสวรรค์ แต่อ๋าวเชินรักเอ็นดูลูกชายก็เป็นเรื่องมีที่มาที่ไป ข้ายินยอมรับปากแทนกัวมู่จิ่วว่านางจะไปทะเลสาบน้ำแข็ง เฝ้าอารักขาวังห้าเดือนเพื่อรับการลงโทษ ขอฝ่าบาทกับเหนียงเหนียงเมตตาอนุญาตด้วย!”
“ไม่ได้! ห้าเดือนจะพอได้อย่างไร? อย่างน้อยก็ห้าสิบปี!” อ๋าวเชินดิ้นรนไปตามเหตุผล
หวังหมู่มองเขม็งไป “เจ้าไม่ต้องได้คืบเอาศอกได้หรือไม่? ทหารสวรรค์ของข้าไปรับใช้เจ้าห้าสิบปี ตำแหน่งกษัตริย์นี้มิสู้ให้เจ้ามานั่งแทนเสีย?”
อ๋าวเชินเงียบไปทันใด
หลิวจวิ้นอาศัยโอกาสพูด “ลูกนอกสมรสที่เผ่าพันธุ์มังกรไม่ยอมรับว่าเป็นสายเลือดถูกสังหาร หากตัดสินห้าสิบปี มิเท่ากับสวรรค์ยอมรับฐานะของเขาหรือ? ห้าสิบปีไม่ได้ ฝ่าบาทเหนียงเหนียงย่อมไม่อาจรับปาก! นานที่สุดคือห้าเดือน”
“ฝ่าบาท…”
“พอแล้ว!” ตอนนี้อวี้ตี้ลากเสียงยาวออกมา สีหน้าไม่น่าดูนัก “สิ่งที่หลิวจวิ้นพูดมามีเหตุผล ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์จะทำสิ่งใดเรียบร้อยได้อย่างไร? ทำตามที่เหนียงเหนียงบอก หากเจ้ารับปาก ตั้งแต่พรุ่งนี้กัวมู่จิ่วไปวังมังกรเป็นผู้อารักขา หากเจ้าไม่เห็นด้วยก็จบกัน! ไม่เห็นคนหน่วยลาดตระเวนจะขาดนางตรงไหน!”
พูดมาถึงตรงนี้ อ๋าวเชินยังจะพูดอะไรได้อีก?
ครั้นหันหน้าไปมองมู่จิ่ว เขาก็พูด “เช่นนั้นใต้เท้าหลิวต้องรับปากข้า กัวมู่จิ่วไปคราวนี้หากมีการผิดกฎ ข้ามีอำนาจลงโทษอย่างหนัก! หากสั่งสอนหลายครั้งแล้วยังไม่เปลี่ยน ข้าก็มีอำนาจยืดกำหนดเวลาไป! หากไม่แล้วละก็ นางก่อเรื่องที่วังมังกรจะมิแย่เอาหรือ?!”
หลิวจวิ้นต้องการโต้แย้ง อวี้ตี้กลับจ้องมา “เจ้าเห็นดีด้วยก็รับไปเถอะ!”
แค่ห้าเดือน พริบตาเดียวก็ผ่านไป คนของหน่วยลาดตระเวนของเขากลายเป็นของมีค่าที่แตะต้องไม่ได้แล้ว!
หลิวจวิ้นทำได้เพียงยอมรับ ฟากอ๋าวเชินก็ขอบคุณ
มู่จิ่วคุกเข่าอยู่นาน ในที่สุดก็นับว่าได้บทสรุปที่ทำให้ยอมรับกันได้ จึงรีบถอนหายใจลุกขึ้นมา
ถึงแม้ต้องไปเป็นผู้อารักขาที่ทะเลสาบจะชัดเจนว่าแย่อย่างมาก แต่ไม่ว่าจะถกเถียงอย่างไร เรื่องที่เฉินผิงเป็นลูกของอ๋าวเชินก็เป็นเรื่องจริง นางสังหารเขาเป็นเรื่องจริง แค่เปลี่ยนที่ปฏิบัติงานชั่วคราวเท่านั้น ไปก็ไป!
หลายคนออกไปยังนอกตำหนัก อ๋าวเชินสบสายตากับหลิวจวิ้นอย่างล้ำลึกก่อนจากไป
หลิวจวิ้นรอจนเขาไปไกล อดไม่ได้จ้องมู่จิ่วก่อนตะโกนขึ้นมา “เจ้าก่อเรื่องดีนัก!”
……
ฟากเรือนของมู่จิ่ว มู่เสี่ยวซิงเดินวนไปมาในบ้าน ซ่างกวนสุ่นเลือกผักไปพลาง ปลอบไปพลาง แต่เสี่ยวซิงจะวางใจได้อย่างไร สองตามองค้อนเขา กอดอาฝูพลางมองไปนอกประตูอย่างกังวลต่อไป
ถึงแม้ลู่ยาไม่กลัวอ๋าวเชินสังหารมู่จิ่ว แต่เพราะเรื่องนี้ต้องมีบทสรุป จึงไม่อาจวางใจลงเช่นกัน
มู่จิ่วถูกหลิวจวิ้นจับกลับมาหน่วยลาดตระเวน หลังจากด่าทอจบ ตอนกลับไปบ้านซ่างกวนสุ่นทำกับข้าวเสร็จแล้ว เมื่อเห็นนางกลับมาครบสมบูรณ์ ทุกคนอดไม่ได้โหวกเหวกเข้าไปล้อม
“ห้าเดือน นานขนาดนั้นเลย!”
เสี่ยวซิงรู้ว่านางไม่มีความผิดก็เบาใจ แต่ได้ยินว่านางต้องไปวังมังกรปฏิบัติงานก็ตกใจจนเบิกตากว้าง แบบนี้นางกับอาฝูต้องตามไปด้วยหรือไม่? และหลังจากนางกังวลแบบนี้ ซ่างกวนสุ่นก็เครียดตามไปด้วย หากเสี่ยวซิงกับอาฝูต้องตามไป เช่นนั้นเขาควรจะไปด้วยดีหรือไม่?
“ไม่นานเท่าไหร่ พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว” มู่จิ่วทำตัวร่าเริงปลอบใจ นางก็ไม่คิดจะแยกจากพวกเขา แต่ครั้งนี้กลับหลีกเลี่ยงไม่ได้ อ๋าวเชินต้องไม่ยอมให้นางพาคนมากมายขนาดนี้ไปด้วยแน่ “พวกเจ้าอยู่บ้านรอข้าก็พอ ใต้เท้าหลิวดูแลพวกเจ้าได้ เรื่องในบ้านซ่างกวนสุ่นเพียงดูแลอาฝูให้มากหน่อย”
พูดจบก็มองลู่ยา จริงๆ แล้วนางคิดอยากขอร้องเขาให้ดูแลพวกเสี่ยวซิง แต่เขาเป็นเทพเซียน บนสวรรค์ชั้นสามสิบเก้ามีบ้านที่แท้จริงของเขา ใครจะรู้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่อีกห้าเดือนหรือเปล่า? และร้องขอให้เทพเซียนที่สูงศักดิ์ขนาดนี้มาดูแลกระต่ายหนึ่งตัวเสือขาวหนึ่งตัว ก็ดูเหมือนไร้ยางอายไปหน่อย
ลู่ยาจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง พูดช้าๆ ว่า “ข้าไม่สามารถรั้งอยู่ต่อได้”
ไม่ผิดดังคาด มู่จิ่วใจหนักอึ้ง นางคาดเดาผลลัพธ์ได้ถูกต้อง กลับรู้สึกไม่ดีนัก
แต่ยังไม่ทันรอให้นางคิดมากไปกว่านั้น ลู่ยาก็พูดต่อ “ข้าจะไปทะเลสาบน้ำแข็งกับเจ้า ส่วนเรื่องในบ้าน ข้าจัดการให้ได้”
“เจ้าจะไปทะเลสาบน้ำแข็งกับข้า?”
มู่จิ่วกลั้นหายใจพลางเปิดปากออกมา ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นหรือเพราะอะไร ใบหน้าพลันแดงขึ้น!
ลู่ยาเท้าคาง มองสีหน้านางอย่างพอใจ สายตายิ่งเพิ่มความล้ำลึก “แน่นอนว่าข้าต้องไปด้วย เจ้าคิดหรือว่าแบบนี้จะหลีกหนีการฝึกทุกวันครึ่งชั่วยามได้? คิดได้ประเสริฐนัก”
………………………………………………………………
บทที่ 148 สามีภรรยาเข้าคู่
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่ทั้งร่างกลับผ่อนคลายขึ้นแล้ว!
มีลู่ยาอยู่ข้างกาย นางเข้าไปในบึงมังกรถ้ำเสือก็ไม่กลัว!
…เรื่องราวก็ตกลงกันไปแบบนี้
ที่จริงมู่จิ่วค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์นี้ และคิดไม่ถึงว่าแม้แต่หวังหมู่ยังพูดออกหน้าอยู่ฝั่งนาง นี่ช่างทำให้นางรู้สึกว่าได้รับความเมตตาจนน่าตกใจ แต่ท่าทางของหวังหมู่ช่างน่าสนใจ รู้สึกเหมือนกับนางมีอคติต่อเรื่องชายที่จิตใจโลเลแบบนี้ คราวก่อนเรื่องเฟยอีนางก็เห็นใจชิงผิงที่คลั่งรัก หรือจะมีเหตุผลส่วนตัวอะไร?
แต่เรื่องนี้นางไม่กล้าเดามั่ว สรุปคือนางได้ประโยชน์ ทำตัวสงบเสงี่ยมไว้ดีแล้ว
ลู่ยาพอใจกับการกระทำของหลิวจวิ้นเช่นกัน แบบนี้ทำให้มู่จิ่วได้ชดใช้อ๋าวเชิน ในขณะเดียวกันก็มีคุณสมบัติที่จะอยู่ทัพทหารสวรรค์ต่อ แน่นอนว่าปฏิบัติงานเป็นทหารสวรรค์ไม่ใช่หนทางเดียวที่นางจะฝึกประสบการณ์ แต่ในเมื่อมีโอกาสแบบนี้ และนี่เป็นสิ่งที่นางต้องการ ย่อมเป็นธรรมดาที่เขาต้องคิดแทนนาง
ด่านเคราะห์เล็กใหญ่ก่อนที่นางจะเป็นเซียนเขาล้วนไม่มีหนทางรับแทน มิฉะนั้นคงเรียกว่าการฝึกประสบการณ์ไม่ได้ แต่การปกป้องส่งให้ถึงฝั่งกลับไม่เป็นปัญหา
ส่วนเรื่องที่เขายังรอราชาจิ้งจอกนำกระดิ่งหุนหยวนมาให้ ทางด้านราชาจิ้งจอกเขาสามารถนัดหมายเวลาอื่นด้วยได้ หากเขาไม่ไปด้วย จากนั้นกระดิ่งแผลงฤทธิ์อีก นั่นถึงจะเรียกว่าลำบาก
เสี่ยวซิงบ่นอยู่ทั้งคืน ทั้งยังด่าชายสารเลวอ๋าวเชินอีกหลายร้อยรอบ ถึงตอนฟ้าสว่างยังไม่อาจไม่ตื่นแต่เช้ามาเตรียมอาหารเช้า
ยิ่งนานวันจำนวนครั้งการออกไปปฏิบัติงานของมู่จิ่วยิ่งเพิ่มขึ้น นางแค่ทำเหมือนมู่จิ่วไปปฏิบัติงานก็เท่านั้น
วันนี้อาหารเช้าอลังการอย่างมาก เมื่อบวกกับน้ำตาของเสี่ยวซิง ก็ทำเอามู่จิ่วรู้สึกเหมือนตนเองต้องไปขึ้นแท่นประหาร
หลังอาหารเช้านางส่งเสียงบอกลู่ยา หยิบห่อผ้าไปหาหลิวจวิ้นที่หน่วยลาดตระเวน จากนั้นมุ่งไปตามถนนทางเหนือ ตรงไปยังประตูสวรรค์แดนใต้
ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเขาเพิ่งถึงประตูสวรรค์แดนใต้ กลับเห็นลู่ยาท่าทางสบายๆ รออยู่ที่นั่นแล้ว มู่จิ่วเห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงอธิบายกับหลิวจวิ้น ถึงแม้หลิวจวิ้นเห็นท่าทาทางใกล้ชิดของพวกเขาแล้วขัดตามาก แต่เขาไม่เข้าใจโลกของหนุ่มสาว อยากตามไปก็ตามไป ยังไงคนเขาก็ตามมาถึงสวรรค์แล้ว
เพียงเวลากินข้าวมื้อหนึ่งก็ถึงที่หมาย ริมทะเลสาบมีทหารกุ้งนายพลปูยืนเฝ้าระวังอยู่นานแล้ว เห็นพวกเขาทั้งสองก็ดำน้ำกลับวังไปแจ้งข่าวทันที
รอจนพวกมู่จิ่วถึงวังมังกร อ๋าวเชินนั่งอยู่ที่ตำหนักใหญ่แล้ว
“ข้าพาคนมาแล้ว นี่คือพระบัญชาของอวี้ตี้ ขอให้ราชามังกรทำตามกฎ ถึงแม้ข้ารับปากว่าราชามังกรมีอำนาจลงโทษ แต่หากท่านใช้โอกาสนี้แอบทำร้ายกัวมู่จิ่ว เมื่อถึงเวลานั้นอย่าโทษว่าหน่วยลาดตระเวนของข้าไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน”
หลิวจวิ้นนำคำสั่งส่งขึ้นไป จากนั้นยื่นหนังสือไปให้อ๋าวเชินลงนามเป็นหลักฐาน
อ๋าวเชินอดกลั้นความโกรธ หันไปมองลู่ยา “เขามาทำอะไร?”
“อ้อ” มู่จิ่วคิดคำพูดไว้นานแล้ว จึงเดินหน้าไปเอ่ย “เพื่อแสดงความจริงใจ ข้ายังพาคนคนหนึ่งมาช่วยปฏิบัติงานให้ราชามังกรด้วย เขาชื่อลู่หยา”
อ๋าวเชินกัดฟัน กำลังจะพูด ลู่ยากลับกล่าวก่อน “ราชามังกรให้ตำแหน่งอารักขาแก่ข้าก็พอแล้ว ส่วนที่อยู่ ข้ากับนางเป็นคู่หมั้นกัน ดังนั้นท่านจัดเตรียมให้ห้องเดียวพอ”
อ๋าวเชินไม่ได้พูดอะไร มู่จิ่วกลับสะอึก! ห้องเดียว…ฟังไม่ผิดใช่หรือไม่!
หลิวจวิ้นผินหน้าไปทางอื่น ไม่มองพวกเขาแม้แต่น้อย
แม้อ๋าวเชินคิดอยากจะร้องออกไป แต่มาบังคับข่มเหงแยกสามีภรรยาออกจากกันนี่นับเป็นเรื่องอะไรได้? เขาไม่ถึงกับชั่วร้ายขนาดนั้น จากนี้หากหลิวจวิ้นกลับไปสวรรค์ ไม่แน่ว่าอาจมีคนไม่น้อยล้อเลียน เขาหน้านิ่งขรึมอยู่นาน ก่อนพูด “ขุนนางเต่าอยู่ไหน? พาพวกเขาไปที่หน่วยบัญชาการ!”
ทะเลสาบน้ำแข็งที่จริงเป็นทะเลสาบใหญ่ในผืนแผ่นดิน พูดว่ามันเป็นทะเลยังไม่เกินไป เพราะความกว้างของพื้นที่แห่งนี้มู่จิ่วไม่เคยเห็นมาก่อน
แน่นอน เพราะนางไม่เคยไปที่ไหนมามาก
ใต้ทะเลสาบน้ำแข็งนี้ นอกจากวังมังกรแล้ว ที่แท้เป็นทิวเขามากมาย และมีที่พักอาศัยด้วย ขุนนางเต่าพาพวกเขาทั้งสองออกจากวังมังกรทางด้านตะวันตก ตรงไปทางทิศเดียวกันสามถึงห้าลี้ ตามทางสูงๆ ต่ำๆ มีเรือนเรียงรายอยู่ เมื่อผ่านสะพานหินไป ก็มาถึงตีนเขาซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้
ผ่านสะพานนี้ไปแล้ว ใต้สะพานมีเสียงน้ำไหล มาถึงบนพื้นดินเหล่านี้ถึงได้เห็นต้นไม้ มู่จิ่วเพิ่งรู้ว่าจุดที่วังมังกรอยู่ถูกปกคลุมด้วยเขตพลังผืนหนึ่ง ในเขตพลังไม่มีน้ำ ดังนั้นจึงสามารถสร้างพื้นดินแบบนี้ออกมาได้
หากมีน้ำ กุ้งปลานอกวังกระทั่งศัตรูข้างนอกสามารถว่ายเข้ามาในวังได้ สำหรับการป้องกันอารักขาแล้วไม่สะดวกอย่างมาก
มู่จิ่วรู้สึกว่ามีเหตุผล แต่นางไม่รู้ว่าวังมังกรทั้งหมดเป็นแบบนี้หรือเปล่า หรือมีเพียงวังมังกรแห่งทะเลสาบน้ำแข็งที่เป็นแบบนี้ เมื่อได้ยินลู่ยาบอกดังนั้น คงมีเพียงวังมังกรทะเลสาบน้ำแข็งเท่านั้นที่เป็นอย่างที่เห็น ในหมื่นหมื่นปีนี้เขาคงไปวังมังกรของทะเลทั้งสี่ทิศมามาก หากวังมังกรทะเลล้วนเป็นเหมือนกันหมด เขาคงไม่พูดแบบนี้
แต่เดิมนางเข้าใจว่าอ๋าวเชินเจ้าเล่ห์ไม่สู้ราชาจิ้งจอก คิดไม่ถึงว่ายังมีการระแวดระวังแบบนี้ นี่เขาป้องกันใครกัน?
“นี่คือหน่วยบัญชาการ”
จากตีนเขายังต้องเดินอีกประมาณสองลี้ จึงถึงที่ๆ รอบด้านมีทหารเฝ้าอยู่หน้ากำแพงสูง บนกำแพงมีประตูใหญ่หลายบาน ขุนนางเต่ายืนอยู่หน้าประตูที่ค่อนข้างเล็กบานหนึ่ง บนประตูมีคำว่า ‘โหยวลี่’ สองตัว บนประตูที่สูงที่สุดเขียนว่า ‘ติ้งซาง’ คิดดูแล้วคงเป็นชื่อประตู
มู่จิ่วเห็นขุนนางเต่าเดินเข้าประตูโหยวลี่ จึงเรียกลู่ยาก่อนรีบเดินตามเข้าไป
มหาเทพลู่แน่นอนว่าต้องมาวังมังกรทะเลสาบน้ำแข็งเป็นครั้งแรก ถึงแม้เขาจะรู้ที่มาที่ไปของเฉินผิง แต่เขากลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวังนี้เลย ดังนั้นตลอดทางจึงมองไปอย่างสนใจ เหมือนกับคนที่ไม่เคยออกมาล่องเมฆครึ่งค่อนชีวิต
ในประตูแต่ละที่ล้วนมีเสียงนกกลิ่นบุปผา ที่นี่ไม่มีน้ำ แต่มีทางน้ำไหลจากมือคนทำ ยังมีสะพานน้อยและศาลา อีกทั้งพวกเขายังจับนกเข้ามาด้วย ตรงกลางเป็นสวนดอกไม้ใหญ่ แต่ห้องทั้งสี่ทิศนั้นกลับเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นลักษณะที่เหมาะสมกับหน่วยบัญชาการอย่างมาก
มีนายพลปูเดินเข้ามาพูดคุย ก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน จากนั้นพาพวกเขาทั้งสองเข้าประตูใหญ่ทางตะวันออก ตรงไปยังลานลำดับที่สาม นายพลปูชี้ไปยังห้องทางใต้พลางพูด “นี่คือที่พักของพวกพลอารักขา ในเมื่อพวกเจ้าต้องการอยู่ห้องเดียวกัน เช่นนั้นห้องทิศใต้ห้องนั้นก็เป็นของพวกเจ้าแล้ว”
มู่จิ่วฟังถึงตรงนี้จึงรีบพูด “หากมีห้องว่างอีกคงต้องขอให้พวกเราแยกห้อง ที่จริงก็แน่นไปหน่อย…”
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น ยังไงก็แค่ห้าเดือน เบียดๆ หน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไป” ลู่ยาไม่รอให้นางพูดจบ จูงมือนางขึ้นมาอย่างสนิทสนม และยังส่งสายตาเอ็นดูไปให้
ขุนนางเต่าอยู่มาสามหมื่นปี แต่เดิมใจนั้นนิ่งสงบแล้ว แต่เห็นคนคู่นี้ทั้งร่างก็ขนลุกชันขึ้นมา
พวกเขาคือคนที่สวรรค์ส่งมาเป็นพลอารักขา ถึงแม้อ๋าวเชินโกรธแค้นแทนเฉินผิงไปร้องหาความยุติธรรมให้ เขาจะทำอย่างไรได้? ตามที่ตัวเขาเห็น ราชามังกรได้ความยุติธรรมแทนเฉินผิงกลับมาที่ไหน ไม่มีเรื่องก็หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
………………………………………………………………
บทที่ 149 เกรงจะมีกลลวง
โดย
Ink Stone_Romance
เขายิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าให้พวกมู่จิ่ว “ที่จริงได้เตรียมห้องที่กว้างขวางไว้ให้ท่านทั้งสองแล้ว อยู่สองคนไม่มีปัญหาแน่นอน”
พูดจบก็เดินจากไป
นายพลปูยังไร้คู่ครอง เห็นท่าทางสนิทสนมของพวกเขา ก็ทิ้งกุญแจไว้ก่อนวิ่งหนีหายไปแล้ว
มู่จิ่วสะบัดออกจากอุ้งมือลู่ยาแล้วหันมาชี้เขา ตั้งใจจะพูดกับเขาอย่างจริงจังสักสองประโยค ไหนเลยจะรู้ว่าเขากลับไขกุญแจเดินเข้าประตูไปแล้ว
ห้องนั้นกว้างขวางมากตามคาด แสงยังนับว่าสว่าง ด้านตะวันออกมีเตียง ด้านตะวันตกมีตั่ง หน้าเตียงและตั่งมีฉากกั้นลม ตรงกลางมีโต๊ะกลมตัวเล็กอยู่ อยู่สองคนไม่เป็นปัญหาจริงๆ ดูออกว่าขุนนางเต่าจัดการเรื่องอย่างใส่ใจ
ดูที่มุมด้านหลังประตูยังมีถังอาบน้ำและพวกตู้เสื้อผ้า ถึงแม้จะไม่ใช่ของไม่ดีอะไร เทียบกับทัพทหารสวรรค์แล้วยังแย่กว่ามาก แต่สิ่งที่ควรมีล้วนไม่ขาด มู่จิ่วดูรอบๆ รอบหนึ่ง แล้วจึงเก็บคำพูดในคอกลับไป
“ขอบังอาจถาม ใช่พลทหารกัวที่มาจากสวรรค์หรือไม่?”
นางเพิ่งจัดวางของลง ตรวจดูรอบด้านไม่รู้ว่าน้ำชาอยู่ไหน นอกประตูมีบัณฑิตสวมเสื้อยาวนำข้ารับใช้สองคนเข้ามา
มู่จิ่วพยักหน้า “ท่านคือ?”
“ข้าคือผู้ติดตามของราชามังกรนามเฝิงโหยว มาตามบัญชาของราชาพวกเรา เพื่อแจกแจงงานทหารให้แก่พลทหารมู่จิ่ว” หลังบัณฑิตทักทายเสร็จคางก็เชิดขึ้นมา มีท่าทางอย่างจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีเสือ[1]
“ราชาของพวกเรามีคำสั่ง ให้กัวมู่จิ่วรับผิดชอบอารักขาวังเทียมบูรพานับแต่วันนี้ ลู่หยารับผิดชอบอารักขาวังประจิมไสว ทั้งสองท่านแม้เป็นเซียนของสวรรค์ แต่ได้รับคำสั่งให้มายังทะเลสาบน้ำแข็งเพื่อรับใช้ราชามังกร ดังนั้นต้องฟังคำสั่งของราชามังกร มิฉะนั้นแล้วฝ่าบาทมีอำนาจแจ้งต่อเบื้องบน ขออวี้ตี้ให้เปลี่ยนบทลงโทษ ราชาของพวกเรารักษาคำสัญญา หวังว่าท่านทั้งสองจะกระทำเรื่องราวตามกฎของวังมังกร”
ความจริงแล้ว ผู้ติดตามเป็นเพียงขันทีใหญ่ที่มีอำนาจจัดการในวังกษัตริย์แห่งโลกมนุษย์ เพียงแต่พวกเขาไม่ต้องโดนตอนเท่านั้น
มู่จิ่วคิดไม่ถึงว่าขันทีในวังมังกรเล็กๆ แห่งหนึ่งจะเย่อหยิ่งขนาดนี้ จึงยิ้มเยาะขึ้นมา “ทราบแล้ว มิใช่ปฏิบัติหน้าที่เพียงห้าเดือนเท่านั้นหรือ! เพียงแค่ราชามังกรของพวกเจ้าไม่ใช้แผนร้าย ข้าก็สามารถรักษาคำสัญญาได้อย่างสงบ”
เฝิงโหยวพยักหน้าแสร้งยิ้ม ชี้ไปทางตะวันตกพลางพูด “ในค่ายบัญชาการมีห้องอาหารและห้องดื่มชา หากหาไม่เจอสามารถถามคนได้ นอกเหนือไปจากนั้นก็แล้วแต่สองท่านแล้ว”
พูดจบก็หมุนตัว ก้าวเท้ายาวเดินจากไป
มู่จิ่วจ้องแผ่นหลังของเขาก่อนวางกาน้ำชาลง แค่นเสียงหนักๆ หนึ่งเสียง
อ๋าวเชินผู้นี้แยกนางกับลู่ยาไปทางวังตะวันออกและตะวันตก สักแปดส่วนต้องมีแผนอะไร สักพักตกกลางคืนนางต้องไปสืบดูเสียหน่อย
“ไม่ต้องสืบ” ลู่ยาที่เมื่อครู่ไม่รู้เดินไปไหน ตอนนี้ก็ไม่รู้โผล่ออกมาจากไหน นั่งลงข้างนางพลางพูด “วังเทียมบูรพาเป็นที่อยู่ขององค์ชายสามอ๋าวเจียง วังประจิมไสวเป็นวังว่างเปล่าไม่มีคนอยู่”
มู่จิ่วอึ้งพูด “เจ้ารู้ได้อย่างไร? เจ้าปล่อยพลังฤทธิ์ไปแล้ว?”
“ไม่ใช่” ลู่ยาหยิบพวงองุ่นให้นาง “เมื่อครู่ตอนคนแซ่เฝิงพูดแบบนี้ ข้าเลยไปเดินรอบๆ มา นี่ไม่ใช่ความลับอะไร ถามมาได้ง่ายมาก”
พลังฤทธิ์ของเขาไม่อาจปล่อยออกไปได้ หากปล่อยออกไปต้องกระทบเขตพลังของวังมังกรทั้งสี่ด้าน ถึงแม้อ๋าวเชินไม่เคยเห็นเขา แต่หากรับรู้ถึงแรงกดดันของเขาก็ต้องคาดเดาฐานะออกได้สักแปดเก้าในสิบส่วน แน่นอนว่าฐานะของเขาไม่มีอะไรต้องปิดบัง แต่การฝึกฝนขัดเกลาที่มู่จิ่วควรได้รับก็ต้องได้รับ เขาเปิดเผยฐานะออกไปไม่ดีต่อการฝึกประสบการณ์ของนาง
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังหวังที่จะลดฐานะของตนลงให้เทียบเท่ากับนาง อยู่เป็นเพื่อนนางผ่านประสบการณ์ทั้งหมดในอนาคต แบบนี้แล้ว บางทีนางอาจจะไม่ใส่ใจปัญหาเรื่องฐานะมากขนาดนั้น วันหนึ่งคงยอมรับเขา และไม่ปฏิเสธว่าระหว่างนางกับเขาก็มีความเป็นไปได้มาก
“เช่นนั้นเขาส่งข้าไปวังเทียมบูรพามีจุดประสงค์อะไร?” มู่จิ่วขมวดคิ้ว
ถึงแม้เป็นวังขององค์ชายสาม ตามหลักแล้วหน้าที่นี้นับว่าส่งเสริมนาง แต่สถานการณ์จะเป็นไปตามเหตุผลได้อย่างไร?
อ๋าวเชินไม่ลับมีดรอนางก็ไม่เลวแล้ว นี่ยังส่งเสริมนางอีก? หรือเจ้าคนนี้คิดแยกนางออกไปเพื่ออาศัยโอกาสลงมือ?
เช่นนั้นเขาต้องใช้ความกล้าหน่อย! หากรู้ว่านางอยู่ในวังมังกรแล้วมีอันตรายอะไร ถึงสวรรค์ไม่ออกหน้า หลิวหยางก็ต้องออกหน้ามาแน่นอน หลังจากคิดเปรียบเทียบในปีกว่ามานี้ ตอนนี้นางรู้สึกแล้วว่าพลังบำเพ็ญของหลิวหยางไม่สูงอย่างที่นางคิด เป็นเพียงแค่จินเซียนธรรมดาเท่านั้น
คืนนี้นางพักผ่อนไปพร้อมกับความสงสัย มู่จิ่วอยู่ด้านตะวันออก ลู่ยาอยู่ด้านตะวันตก
ก่อนนอนยังคงมีการฝึกตน ลู่ยายังใจจดใจจ่อเหมือนเดิม
แต่เดิมมู่จิ่วคิดจะให้เขานอนเตียง เพราะอย่างไรเขาก็เป็นมหาเทพ แต่นางเพิ่งเอ่ย เขากลับเม้มริมฝีปาก เข้ามาใกล้ตรงหน้าอย่างสนอกสนใจพลางยิ้มน้อยๆ นี่ทำให้นางขนลุกชันทั้งร่าง ทำได้เพียงช่างเถอะ ยังไงเขามีความสามารถสร้างที่ว่างรอบตัวได้ตลอด เปลี่ยนเขตพลังเป็นห้องนอนก็ทำได้โดยง่าย ไม่ต้องรอนางเสนอเตียงให้
ทั้งคืนจนถึงยามฟ้าสว่างสงบเงียบไม่มีเรื่อง
หลังจากอาบน้ำแปรงฟันไปกินข้าวเช้าที่ห้องอาหาร คนทั้งห้องมองมา ดูแล้วเป็นทหารของวังมังกรทั้งหมด มีประมาณยี่สิบสามสิบคน คงจะเป็นจำนวนทหารที่วันนี้เข้าปฏิบัติงานแล้ว แบบนั้นตามจำนวนคนที่เห็น ถึงแม้แต่ละคนรับผิดชอบคนละวัง ขนาดของวังมังกรนี้ก็ไม่นับว่าใหญ่มาก เดาว่าขนาดพื้นที่รวมกันแล้วประมาณหอวิหคแดงสองหอ
ลู่ยาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลากนางไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างอยู่ จากนั้นไปเอาอาหารมา
ฝีมือของห้องอาหารหน่วยบัญชาการนี้ไม่นับว่าดีอะไร แต่ไม่เป็นไร นางก็ไม่ใช่ว่าจะมาเสวยสุขเหมือนกัน
เมื่อกินแบบง่ายๆ ไปแล้ว ลู่ยาไปยังวังประจิมไสวอย่างสบายใจ เทพเซียนดีๆ ผู้หนึ่งตกลงมาเป็นผู้อารักขาวังรกร้างให้มังกรน้อยตัวหนึ่งยังดีใจขนาดนี้ นางช่างไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอารมณ์เขาเป็นอย่างไร สองคนเดินไปตามทางที่ขุนนางเต่าพามาเมื่อวาน ออกประตูโหยวลี่กลับถึงวังมังกร ทั้งสองบอกลากัน มู่จิ่วก็ไปทางตะวันออก
ถึงแม้ไม่มีคนนำทาง แต่ตลอดทางมีทหารอยู่ จึงหาไม่ยากนัก
การควมคุมทหารของวังมังกรกับสวรรค์ต่างกันเล็กน้อย ลาน (วัง) ใหญ่เล็กทั้งหมดยี่สิบสี่ลาน นอกจากตำหนักใหญ่ที่จัดการเรื่องประจำวันแล้ว ตำหนักมังกรหยกยังมีนายพลใหญ่คอยอารักขาอยู่เฉพาะ วังที่พักของราชามังกร ราชินี และองค์หญิงองค์ชายล้วนมีพลอารักขาสองนาย พลอารักขานำทหารผลัดเวรกันเฝ้า
ตอนมู่จิ่วมาถึงวังเทียมบูรพา นายพลเจี๋ยเจี่ยที่ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันกำลังเดินไปมาบนระเบียงทางเดิน
เจี๋ยเจี่ยเทียบกับเฝิงโหยวเมื่อวานแล้วเป็นมิตรกว่ามากนัก ไม่ว่าอย่างไรมู่จิ่วก็เป็นเจ้าหน้าที่ของสวรรค์ อ๋าวเชินล้วนต้องรับบัญชาจากสวรรค์ แล้วนับประสาอะไรกับคนตัวเล็กๆ อย่างพวกเขา? คงนึกว่าคิดมากอีกเรื่อง มิสู้คิดน้อยลงอีกเรื่อง และเฝิงโหยวชัดเจนว่าเป็นสุนัขรับใช้อ๋าวเชิน อยู่ในที่เล็กๆ อย่างนี้มานาน เป็นกบในกะลาจนชิน จึงไม่รู้ฟ้าดินสูงต่ำแค่ไหนก็เท่านั้นเอง
เจี๋ยเจี่ยส่งมอบเวรกับมู่จิ่ว พูดเรื่องขั้นตอนเล็กน้อย จากนั้นเรียกรวมเหล่าทหารกุ้งมารวมตัวกันเพื่อพบนาง แล้วจึงจากไป
วังเทียมบูรพาไม่ต่างกับรูปแบบวังองค์ชายทั่วไปนัก ประตูวังทางทิศตะวันตกมีห้องเล็กๆ เรียงรายกันอยู่ สามารถพักผ่อนได้
มู่จิ่วเห็นห้องตนเองก็เข้าไป เป็นห้องที่ ‘เล็ก’ จริงๆ วางเตียงเข้าไปก็ไม่มีพื้นที่เหลือแล้ว พวกมีดทหารกับม้วนบันทึกประจำวันทำได้เพียงแขวนไว้บนกำแพง
…………………………………………………………
[1]หมายถึง แอบอ้างอำนาจบารมีมาข่มแหงรังแกผู้อื่น
บทที่ 150 องค์ชายโรคจิต
โดย
Ink Stone_Romance
นางหยิบม้วนบันทึกขึ้นมาพลิกดูก่อน เห็นเป็นเพียงบันทึกงานของคนก่อนที่ส่งต่อมา ข้างในบันทึกไว้มากที่สุดคือเช้ากลางวันเย็นลาดตระเวนสามรอบอะไรแบบนั้น ทั้งยังบันทึกเส้นทางที่ลาดตระเวนไว้อย่างละเอียด พลอารักขาเล็กๆ คนหนึ่งแห่งวังมังกรสามารถปฏิบัติงานได้ถี่ถ้วนแบบนี้ ดูแล้วอ๋าวเชินนอกจากเลี้ยงภรรยาน้อยแล้ว ทางด้านการจัดการยังเอาใจใส่อยู่บ้าง
คิดๆ แล้วนางปิดบันทึกลง เรียกทหารมาสองคน “ข้าต้องการไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่หน่อย พวกเจ้านำทางข้าที”
ทหารกุ้งทั้งสองคน คนหนึ่งชื่อติงหูอีกคนชื่อติงไห่ พอได้ยินก็ตอบรับว่าได้ทันที แล้วนำทางไปอย่างว่าง่าย
ทั้งวังเทียมบูรพามีเพียงทางเข้าหน้าหลังสองทาง ไม่นานก็เดินหมดแล้ว มู่จิ่วหยุดอยู่หน้าปะการังสูงขนาดคนสองคน ทำท่าทางมองประเมินไปรอบๆ พลางพูด “วันนี้เหมือนไม่ได้พบองค์ชายสาม? ตามหลักเหตุผลแล้วข้าควรไปทำความเคารพเสียหน่อยนี่? ไม่ทราบว่าช่วงนี้องค์ชายสามอยู่ในวังหรือไม่?”
นางยังไม่รู้ว่าอ๋าวเชินส่งนางมาที่สำคัญขนาดนี้ แท้จริงคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ดีที่สุดนางต้องถอนรากออกมาก่อน หากมีอะไรซ่อนไว้นางจะได้เตรียมตัวไว้ก่อน
แต่เดิมติงหูติงไห่เอาใจใส่กระตือรือร้นอย่างมาก ตลอดทางมีคำถามก็ตอบเสมอ ตอนนี้สีหน้ากลับเหมือนกลืนแมลงวันลงไป ท่าทางกระอักกระอ่วนพูดไม่ออก
มู่จิ่วรู้สึกงุนงง นางยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนม้านั่งหินข้างๆ ก่อนพูด “องค์ชายสามมีอะไรไม่ดีหรือ?”
“ไม่ไม่ไม่!” ทั้งสองโบกมือปฏิเสธอย่างลนลาน “องค์ชายสามดีมาก ดีมาก”
มู่จิ่วไม่ได้ถามต่อ นางมีความกล้าที่จะพูดถึงอ๋าวเจียง แต่พวกเขากลับไม่กล้า
แต่ชัดเจนว่าเรื่องนี้มีปัญหา อ๋าวเจียงผู้นี้มีสามหัวหกกรหรือสามารถทำลายล้างฟ้าดินได้? หรือว่าเทียบกับเฉินผิงแล้วยังดุร้ายกว่า?
“พวกเจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่?”
ขณะกำลังงุนงง ตอนนี้เองพลันมีเสียงกระจ่างดังมาริมหู ราวกับน้ำพุใสในขุนเขา เหมือนกับฝนกระทบดอกบัว
มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นมา เห็นเพียงคนรุ่นเยาว์สวมเสื้อสีฟ้าอ่อนปักลายมังกรทอง ไม่รู้มาอยู่ด้านหน้าตอนไหน เขามองมาทางนี้ด้วยความสงสัย ในมือถือกระบี่กลิ่นอายเย็นเยียบกดดันคน แต่คิ้วและตามีชีวิตชีวา ผิวขาวซีด ดวงตาทั้งคู่เหมือนดาวสุกสกาวบนท้องฟ้า ขนตาทั้งดกทั้งยาว ริมฝีปากอิ่มสีสด
นางมองครอบมวยผมมังกรทองห้ากรงเล็บบนศีรษะเขาอย่างละเอียด เห็นหยกประดับที่ข้างเอว จึงรีบเก็บเท้าลงมา ประสานมืออย่างเคารพ “ข้ากัวมู่จิ่วคารวะองค์ชาย”
คนรุ่นเยาว์นี้ชัดเจนว่าแต่งกายอย่างองค์ชาย หากนางเดาไม่ผิด คนตรงหน้าต้องเป็นองค์ชายมังกรลำดับที่สามอ๋าวเจียงแน่
คิดไม่ถึงว่าอ๋าวเจียงไม่เพียงหน้าตาไม่ดุร้าย ทว่ายังรื่นหูรื่นตา แต่ในเมื่อเขาไม่ดุร้าย และยังสนิทสนมเป็นมิตรขนาดนี้ อ๋าวเชินส่งนางมาที่นี่ทำอะไร? ตอนติงหูติงไห่พูดถึงเขาแล้วทำหน้าตาแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร?
“กัวมู่จิ่ว? พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้าคือคนสังหารเฉินผิง เจ้าหน้าที่สวรรค์ที่ถูกอวี้ตี้ทำโทษส่งมาปฏิบัติงานที่นี่?!” แต่เดิมสีหน้าของอ๋าวเจียงเป็นมิตร นับได้ว่าเป็นองค์ชายปกติผู้หนึ่ง แต่ตอนนี้ดวงตากลับพลันมีประกายเย็นเยียบออกมาอย่างต่อเนื่อง “ที่แท้เป็นเจ้า!”
มู่จิ่วคิดไม่ออกว่าเขาหมายถึงอะไร จึงลองถามดู “องค์ชายต้องการบอกอะไรเจ้าคะ?”
อ๋าวเจียงกัดฟัน ราวกับมู่จิ่วแย่งภรรยาสังหารมารดาเขา บนหน้านอกจากความโกรธแล้วก็มีแต่ความโกรธ!
เขาตะโกน “เรียกคนมา! จับกัวมู่จิ่วเข้าไปในวัง!”
อะไร? จับเข้าวัง?
เขาคิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนแบบนี้ มู่จิ่วยากที่จะปรับตัวจริงๆ จึงรีบพูด “ขอบังอาจถามองค์ชาย กัวมู่จิ่วทำผิดตรงไหน?”
อ๋าวเจียงเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้นาง “เจ้าชนข้า แค่นี้ไม่พอหรอกหรือ?!”
พูดจบเขาทำหน้านิ่งทันที แล้วไพล่มือเดินขึ้นบันไดไป
มู่จิ่วอยากจะตามไปขัดขาเขาสักที!
ถึงแม้นางจะเดาได้แต่แรกว่าอ๋าวเชินส่งนางมาวังเทียมบูรพาต้องไม่ประสงค์ดีแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าปัญหานี้จะอยู่ที่ตัวอ๋าวเจียง!
นางไม่เคยเจอเขามาก่อน จะล่วงเกินเขาแล้วหรือ?
เฉินผิงที่นางสังหารเป็นลูกชายที่เกิดจากอ๋าวเชินและหญิงอื่นข้างนอก บุตรชายหญิงมังกรในวังมังกรล้วนแต่กำเนิดจากราชินี ตามเรื่องจริงที่รู้ เรื่องราวความรักนอกกรอบของเฉินผิงและอ๋าวเชินกับหงส์เพลิงไม่ได้รับความยินยอมจากราชินี มิฉะนั้นอ๋าวเชินคงไม่ต้องส่งเฉินผิงไปซ่อนที่เป่ยอี๋ และไม่ป่าวประกาศให้ใครรู้
ในเมื่อแบบนี้ อ๋าวเจียงควรเหมือนกับราชินีที่แค้นเคืองหงส์เพลิงกับเฉินผิงถึงจะถูก ตามเหตุผลแล้ว ไม่พูดถึงว่าเขามีอัธยาศัยไมตรีกับนาง อย่างน้อยควรทำตัวปกติถึงจะถูก ทำไมเมื่อได้ยินว่านางเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ที่สังหารเฉินผิง กลับยังต่อต้านนาง?
เขาโรคจิตหรือเปล่า!
แต่ไม่ว่าอย่างไร มีผู้อารักขามาจับนางไป แล้วส่งนางเข้าวัง
ที่จริงคนในวังมังกรไม่ใช่พวกไม่เอาไหนทั้งหมด นอกจากวิชาของอ๋าวเชินจะแข็งแกร่งแล้ว ผู้อารักขามังกรเสื้อม่วงสี่คนข้างกายอ๋าวเจียงก็โดดเด่นอย่างมาก หากมู่จิ่วคิดหลบหนีก็ไม่นับว่ายากนัก แต่นางถูกลงโทษถึงได้มา ตอนนี้เจ้ามังกรน้อยใช้ข้ออ้างว่าชนมาจับนาง นางดิ้นรนก็เพียงแค่ทำให้อ๋าวเชินมีข้ออ้างไปฟ้องสวรรค์มากขึ้นเท่านั้น
เจ้าคนแก่อ๋าวเชิน เล่นแผนร้ายลับหลังจนชินดังคาด
ครั้นเข้ามาในวัง อ๋าวเจียงนั่งลงแล้ว หลังจากกวาดสายตามองมู่จิ่วอย่างเย็นชา ก็โบกมือก่อนพูด “จับนางห้อยหัว บูชาเทพไฟ!”
ผู้อารักขามังกรรับคำสั่ง นำเชือกยาวแขวนไว้กับคานห้องทันที จากนั้นรัดขาทั้งสองของมู่จิ่วแล้วจับนางห้อยหัว
หากเพียงห้อยหัวแบบนี้ ไม่มีข้อดีอะไรกับนาง ดีร้ายอย่างไรนางก็ห่างจากการเป็นเซียนแค่หนึ่งก้าว เรื่องลำบากนี้ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง แต่ที่สำคัญคือนางเพิ่งเรียกวิชาตัวเบาออกมาประคองร่าง ด้านล่างก็พลันมีกระถางสามขาเพิ่มขึ้นมา อ๋าวเจียงโยนกระดาษยันต์เข้าไปข้างใน กระถางสามขานั้นมีไฟลุกโชน!
“เจ้าเป็นธาตุทองใช่หรือไม่?” อ๋าวเจียงไพล่มือเดินมาข้างหน้านาง ความเย็นเยียบในดวงตากับไฟในกระถางสามขากลายเป็นความแตกต่างที่ชัดเจน “ข้ารู้ว่าธาตุทองกลัวไฟที่สุด เจ้าอยู่ที่นี่ค่อยๆ ลนไฟไปเถอะ!”
พูดจบก็จ้องนางอย่างเย็นชา จากนั้นก้าวเท้ายาวๆ เดินไปทางประตูวัง
นางไม่ได้ว่านอนสอนง่ายขนาดนั้น ห้อยหัวทำเหมือนนางเป็นไก่ย่าง จะปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร?
มู่จิ่วยื่นมือขึ้นมา สะบัดไปทางประตูวัง ประตูไม้ทองสองข้างที่หนักอึ้งปิดลงดังตึง นางชักกระบี่ออกมาตัดเชือก กลับไม่รู้ว่าเชือกนั้นทำมาจากอะไร แม้ตัดไปหลายทีกลับไม่มีร่องรอย
อ๋าวเจียงหันกลับมาทันใด ในดวงตามีเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ เขาพลันกระโดดขึ้นมากลางอากาศ มุ่งตรงมาหานาง
มู่จิ่วจับกระบี่รับมือ สองคนไม่พูดไม่จาก็ปะทะกันในวังใหญ่นี้แล้ว
เหล่าทหารนอกประตูค่อยๆ ล้อมวงเข้ามาดู แต่เห็นข้างในมีเงามีดคมกระบี่ฟาดฟันกันดุเดือด การเคลื่อนไหวไม่น้อย จึงมีคนไปแจ้งเรื่องในทันที
ไม่นานทหารกุ้งพาขุนนางเต่ามาในสภาพตัวสั่น คนยังไม่ทันหยุดก็มีไม้เท้าด้ามหนึ่งโยนเข้าไปในประตู “หยุดมือ!”
มู่จิ่วไม่ได้ล่วงเกินอ๋าวเจียง ถูกเขารังแกแบบนี้ย่อมไม่อาจทำทีว่าอ่อนแอได้! สรุปคืออ๋าวเจียงไม่หยุดนางก็ไม่หยุด อยากสู้กันก็สู้ นางเรียกพลังปล่อยภาพมายาออกมา เห็นเพียงในเงามีดคมกระบี่ปรากฏทะเลทรายผืนหนึ่ง ทุกที่มีแสงแดดแรงกล้าแผดเผาดวงตา ทำให้ไม่อาจมองตรงๆ ได้
…………………………………………………………………
บทที่ 151 ข้าคือทหาร
โดย
Ink Stone_Romance
เหล่าเผ่าพันธุ์น้ำล้วนบำเพ็ญธาตุน้ำ หากไร้วิชาน้ำก็จะพ่ายแพ้หมดรูป ภาพมายาของจิ้งจอกเก้าหางยอดเยี่ยมตรงที่ภาพนั้นเหมือนจริงอย่างมาก จริงจนกระทั่งทุกเม็ดทรายและหินเหมือนกับย้ายฟ้าดินมา! เมื่อผืนทรายแดดแผดเผาปรากฏ บวกกับพิธีบูชายัญเทพไฟที่อ๋าวเจียงจัดขึ้นเอง จึงทำให้เขามึนงงจนไม่รู้เหนือใต้!
มู่จิ่วที่อยู่ทางทะเลทรายนี้ถือโอกาสโจมตี จู่โจมเขาจนหน้าจูบดินโดยไม่เสียพละกำลังแม้แต่น้อย!
“องค์ชาย!”
ขุนนางเต่านอกประตูนำทหารล้อมเข้ามาปกป้องอ๋าวเจียง อ๋าวเจียงกระอักเลือดออกมา มองดูภาพมายาที่หายไปและมู่จิ่วที่ถูกแขวนแกว่งไปมาอยู่กลางอากาศอย่างโกรธแค้น ทำท่าจะเข้าไปอีกที ขุนนางเต่ารีบจับเขาไว้แน่น “องค์ชาย ไม่อาจหุนหันพลันแล่น! นายทหารกัวเป็นเจ้าหน้าที่ที่สวรรค์ส่งมา พวกเราต้องปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท!”
เขาเป็นขุนนางผู้ติดตามใกล้ชิด ใจอ๋าวเชินคิดการณ์ใดเขาย่อมรู้ดี เด็กสาวแซ่กัวผู้นี้สังหารลูกรักของราชา เรื่องแบบนี้หากเกิดกับพวกเขาต้องทนไม่ได้แน่! แต่อ๋าวเจียงก็ช่างไม่ระวังผลที่ตามมา ให้นางลำบากนิดหน่อยนับว่าได้ จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร! ท่าทางแบบนี้หากเขาปล่อยต่อไปต้องเสียหายแน่!
“ยังไม่รีบปล่อยนายทหารกัวอีก?!” เขาพยุงอ๋าวเจียง พาไปยังตำหนักข้างไปพลาง เรียกคนเข้าตำหนักไปพลาง
มู่จิ่วให้พวกเขาปล่อยนางลงมา จากนั้นก็นั่งอยู่ด้านข้างอย่างไม่สนใจและไม่หลีกไป บนแขนนางบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่สำคัญ นางได้รับความโกรธแค้นก็ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมถึงได้รับ!
สักพักขุนนางเต่าประคองอ๋าวเจียงกลับมา มู่จิ่วก็ดื่มชาของเขาไปหมดแล้ว
อ๋าวเจียงโกรธจนปากเบี้ยวตาขวาง แต่กลับยังอดทนเต็มที่
ขุนนางเต่าเดินเข้ามาพูด “เมื่อครู่เกิดเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย ยังหวังว่านายทหารกัวจะไม่เก็บมาใส่ใจ”
“เข้าใจผิด?” มู่จิ่วแค่นเสียงเยาะเย้ย “ข้ากลับไม่รู้ว่าเรื่องเข้าใจผิดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร องค์ชายสามโปรดอธิบายให้ตัวข้าฟังหน่อย!”
อ๋าวเจียงกัดฟันส่งเสียงเยาะแล้วนั่งลงไป จ้องนางพลางพูด “ข้าไม่ใช่พูดแล้วหรือ? เจ้าชนข้า! และข้าเพียงลงโทษเจ้าเล็กน้อย แต่เจ้ากลับต่อกรข้า! อวี้ตี้ให้เจ้ามาที่ทะเลสาบน้ำแข็งเพื่อชดใช้โทษ ท่าทางแบบนี้ของเจ้านับได้ว่าชดใช้โทษหรือ?!”
“ไม่ทราบว่าข้าชนองค์ชายได้อย่างไร? ไม่อย่างนั้นพวกเราไปสวรรค์ให้อวี้ตี้ตัดสินอย่างยุติธรรม ดูว่าแท้จริงแล้วใครกันแน่ที่ไร้เหตุผล?” มู่จิ่วไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ส่งสายตาดุร้ายไปให้ “คนบนสวรรค์มีความสามารถมากมาย หากต้องการรู้ต้นสายปลายเหตุที่มาที่ไปก็เป็นเรื่องง่าย องค์ชายกล้าไปหรือไม่?”
ใบหน้าขาวของอ๋าวเจียงอดกลั้นจนแดงขึ้นมา ยิ่งเข้าคู่กับดวงตาแดงก่ำเหมือนกุ้งที่เพิ่งสุกจากน้ำร้อน
ขุนนางเต่าเข้ามาไกล่เกลี่ย “นายทหารกัวเพิ่งมาถึง หากไม่ระมัดระวังทำอะไรสะเพร่าก็เป็นเรื่องยากจะหลีกเลี่ยง องค์ชายของพวกเราแต่ไหนแต่ไรให้ความสำคัญกับมิตรภาพ วันนี้บางทีอาจเพราะเพิ่งกลับมาจากข้างนอก อารมณ์ไม่คงที่นัก มาชนกันพอดีเช่นนี้จึงเกิดไม่สบอารมณ์ ตามความเห็นข้า เรื่องวันนี้ก็ปล่อยผ่านไปเสีย เชิญนายทหารกัวกลับไปปฏิบัติงานเถิด”
“พูดแบบนี้ข้าก็ต้องรับโชคร้ายไปเปล่าๆ หรือ?” มู่จิ่วส่งสายตาดุร้ายพุ่งตรงไปยังหน้าชราของขุนนางเต่า
ขุนนางเต่าเหงื่อตก รีบโค้งตัวลงเล็กน้อย “ข้าขออภัยพลทหารกัวด้วย”
มู่จิ่วร้องเฮอะครั้งหนึ่ง สีหน้าดูดีขึ้นหน่อย
แต่เดิมนางก็ไม่ได้มาก่อเรื่องอย่างไร้เหตุผล พูดอย่างไรคนเขาก็เป็นลูกหลานมังกรสายตรง นางเป็นเพียงแค่หัวเสินที่ทำหน้าที่ทหารเพียงห้าร้อยปี ตอนนี้ต้องการจัดการเขากลับเป็นเรื่องง่าย แต่หากยึดติดเอาความแค้นนี้ไว้ สำหรับอนาคตนางแล้วไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
ดูจากสีหน้าของอ๋าวเจียงแล้วต้องเจ็บไปไม่น้อยกว่านางแน่ นางถือโอกาสจบเรื่องไปแบบนี้ก็พอแล้ว
ดังนั้นจึงลุกขึ้นประสานมือให้อ๋าวเจียง ก่อนพูด “ในเมื่อแบบนี้ เช่นนั้นข้าขอลา”
มือทั้งสองของอ๋าวเจียงกำแน่นขณะประคองตัวไว้ กัดฟันแน่นจ้องนางเดินออกประตูไปถึงค่อยละสายตากลับมา
วังประจิมไสวไม่เอะอะโวยวายเหมือนทางวังเทียมบูรพา
ที่นี่เป็นวังพักผ่อนแห่งหนึ่งของวังมังกร ดังนั้นจึงต้องมีคนเฝ้า เพราะในลานโล่งปลูกดอกโบตั๋นม่วงไว้หลายต้น อ๋าวเชินมักจะมาชมดอกไม้ดื่มชาที่นี่บ่อยๆ ทุกวันถึงต้องมีคนมาปัดกวาดดูแลก่อน แต่เขตพลังที่ประตูวังกลับไม่สามารถปล่อยให้ใครมายุ่มย่าม การส่งคนมาอารักขาจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง
ลู่ยานำทหารกุ้งหลายคนเดินไปรอบๆ ก็รู้ลักษณะพื้นที่คร่าวๆ แล้ว
จนกระทั่งเขาอยากเดินเข้าไปดูดอกโบตั๋นม่วงเหล่านั้นว่างดงามเพียงใด เพิ่งเดินถึงเขตพลัง เขตพลังที่แต่เดิมโปร่งใสบนผนังกลับปรากฏใบหน้าของอ๋าวเชินขึ้นมา “นายทหารลู่ ไม่มีเรื่องห้ามเข้าไปในตำหนัก!” ที่แท้เขตพลังนี้อ๋าวเชินสร้างขึ้นมาเอง เขาจะอนุญาตให้ใครเข้า ไม่ให้ใครเข้า ก็ล้วนรู้ได้ทันที!
เป็นเพียงแค่วังเปล่าที่ปลูกโบตั๋นม่วงไม่กี่ต้นเท่านั้น จัดการเข้มงวดขนาดนี้ หรือดอกไม้นั้นมีอะไรพิเศษ?
“อ๊า!”
ลู่ยากำลังเท้าคางครุ่นคิด นอกประตูก็มีเสียงตกใจเบาๆ ดังเข้ามา
เขาเดินออกไปตามเสียง เป็นสาวน้อยสวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน ไม่รู้ว่าอะไรหล่นเข้าไปในซอกหินด้านข้าง ตอนนี้มือหนึ่งกำลังจับกระโปรงพลางเอนตัวเอื้อมมือไป
ลู่ยาไม่คิดสนใจ แต่เพิ่งจะหมุนตัว สาวน้อยคนนั้นเกิดเหยียบหินเล็กๆ เข้า ลื่นไถลจะตกลงไปข้างล่าง ลู่ยาจึงยกแขนเสื้อส่งพลังลมปราณไป ตรึงร่างของนางไว้
“รบกวนแล้ว!”
สาวน้อยลงมายืนกับพื้น ตรงเข้ามาขอบคุณอย่างสุภาพ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา สายตากลับละไปช้าอยู่บ้าง นางยิ้มให้เขา จากนั้นจึงพูด “ให้ท่านเห็นเรื่องน่าหัวเราะแล้ว พัดของข้าตกลงไปในซอกหิน คิดจะเก็บ แต่ไม่นึกเลยว่าเกือบหล่นลงไป”
ลู่ยากอดอกเลิกคิ้ว ไม่คิดจะตอบคำ
สาวน้อยเพียงใช้เวทของตนดึงเอาพัดในซอกหินออกมา
ลู่ยาเห็นนางใช้นิ้วปล่อยพลังออกมา พลันพูดว่า “นี่มิใช่วิชาที่เจ้าเรียนที่เผ่าพันธุ์มังกรหรือ?”
เด็กสาวชะงักไปเล็กน้อย หมุนตัวมาหาเขา “ข้าคืออ๋าวเยวี่ยบุตรสาวคนโตของราชามังกร เจ้าคือ?”
“ลู่หยา” ลู่ยาเลิกคิ้ว “เป็นคู่หมั้นของกัวมู่จิ่วที่วันก่อนอวี้ตี้ส่งมาปฏิบัติงานที่วังมังกรห้าเดือน”
อ๋าวเยวี่ยกะพริบตา พลันปิดปากหัวเราะ
“เจ้าคนนี้ ข้าเพียงถามเจ้าว่าชื่ออะไร แม้แต่เรื่องคู่หมั้นเจ้าก็พูดออกมาหมด”
พูดจบก็เพ่งมองเขาอย่างตั้งใจ
ลู่ยาไม่อดทนให้นางจ้องเขาแบบนี้ มุมปากยกขึ้นมา จากนั้นก็กลับเข้าไปในวัง
หลังมู่จิ่วออกมาจากวัง นางหยิบเม็ดยาล้างเลือดกินเข้าไปหยุดเลือด ยารักษาบาดแผลไม่อยู่กับตัว จึงใช้ผ้าเช็ดหน้ากดแผลไว้ เลิกงานแล้วกลับไปในค่ายบัญชาการ จึงค่อยเริ่มล้างและใส่ยา
ตอนลู่ยากลับมา นางกำลังเลิกแขนเสื้อขึ้นมาครึ่งหนึ่งเพื่อใส่ยา เขาเห็นแล้วจึงขมวดคิ้วทันที “เจ้าทำอะไรมา?”
“อย่าพูดถึงเลย” มู่จิ่วพูดอย่างอารมณ์ไม่ดี และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้เขาฟัง
สายตาลู่ยาเย็นเยียบลง เขาไม่ได้ถอดเกราะก็นั่งลงไป จับแขนนางแล้วพูด “เจ้าคนชั่วช้านั่น กลับกล้าปฏิบัติต่อเจ้าแบบนี้?”
มู่จิ่วรีบเอ่ย “เขาทำอะไรข้าไม่ได้ เขาก็เสียเปรียบไปไม่น้อยภายใต้เงื้อมมือข้า”
…………………………………………………………………
บทที่ 152 เสียงคร่ำครวญประหลาด
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่ยาเหลือบมองนาง เป่าบาดแผลให้ จากนั้นลูบเบาๆ ด้วยนิ้วทั้งห้าที่ด้านข้าง ประหลาดนัก บาดแผลนั้นค่อยๆ สมาน เดิมทีเข้าใจว่าฤทธิ์การรักษาของยาหลิวหยางนั้นน่าอัศจรรย์มากที่สุด แต่ตอนนี้ดูแล้วประสิทธิผลไม่เหมือนกัน แต่มู่จิ่วรู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นมหาเทพ ถึงแม้ไม่เคยเห็นเขาออกแรงปะทะกับใคร อย่างไรเรื่องรักษาบาดแผลสำหรับเขาแล้วคงไม่ต้องเอ่ยถึง
“เบื้องหลังเฉินผิงคงจะมีเรื่องราวภายในอีก ถึงแม้ข้าไม่รู้ว่าทำไมอ๋าวเจียงทำร้ายเจ้า แต่เจ้าต้องพยายามไม่ปะทะกับเขาซึ่งหน้า ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงก็ตายด้วยเงื้อมมือเจ้า เรื่องนี้เจ้าต้องพยายามเกลี่ยให้เรียบ”
ลู่ยารินชาให้ตนเองพลางพูด
มู่จิ่วเอ่ย “รู้แล้ว ข้ารู้จักขอบเขต”
แสงในห้องค่อนข้างทึม น้ำในทะเลสาบลึกหลายสิบจั้ง ต่อให้เหม่ารื่อซิงจวิน[1]ขยันขึ้นอย่างไร แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาก็ยังจำกัดอยู่ดี ลู่ยาที่นั่งตามสบายดูแล้วเหมือนเป็นเงาของนาง ช่างทำให้คนใจสงบ ในห้องเงียบขนาดนี้ นางพลันอยากเข้าใกล้เขาอีกสักหน่อย จึงเลื่อนเก้าอี้เข้าไปใกล้เขา แล้วพูดขึ้น “เจ้าล่ะ? วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ถึงแม้นางนั่งอยู่ก็ต้องแหงนหน้าขึ้น ถึงจะสบสายตากับเขาได้
ลู่ยาหันหน้ามา “ข้าสบายดีมาก วังประจิมไสวไม่มีคนอยู่ แต่ที่นั่นใกล้กับวังวารีม่วงของราชินีมาก ข้าว่างไม่มีอะไรทำจึงเดินไปทั่ว ที่แท้เผ่าพันธุ์ของราชินีคือเผ่ามังกรทะเลเขียว หลังจากแต่งให้อ๋าวเชินแล้วมีลูกชายสี่ลูกสาวสอง นับจากอ๋าวเชินกับหงส์เพลิงคบชู้กัน ความสัมพันธ์ของอ๋าวเชินกับราชินีก็ย่ำแย่”
มู่จิ่วขมวดคิ้วพูด “ในเมื่อให้กำเนิดบุตรมากขนาดนี้ ความรู้สึกต่อกันย่อมต้องไม่เลว ทำไมอ๋าวเชินถึงได้คบชู้กับหงส์เพลิงได้? และอ๋าวเชินหน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้ อ๋าวเจียงกลับหน้าตาไม่เลวนัก ตามเหตุผลแล้วราชินีน่าจะเป็นหญิงงาม มิฉะนั้นอ๋าวเชินต้องไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายที่เครื่องหน้าสมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้ อ๋าวเชินผู้นี้ไม่ใช่ว่าศีรษะถูกลาถีบไปหรอกนะ?”
ลู่ยาชะงักไปสามวินาที หันมามองนางอย่างจริงจัง “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอ๋าวเจียงหน้าตาสมบูรณ์แบบ?”
“ใช่ เป็นคนหนุ่มที่หน้าตาสมบูรณ์พร้อมคนหนึ่ง”
ถึงแม้เจ้าคนนี้จะเหมือนโรคจิตก็ตาม มู่จิ่วก็ไม่อาจขัดต่อความรู้สึกในใจและไม่ยอมรับหน้าตาของเขา อีกทั้งนางก็ไม่รู้สึกถึงความหมายแฝงในคำพูดของลู่ยาจริงๆ จึงพูดต่อ “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเป็นปฏิปักษ์กับข้า อ๋าวเชินน่าเกลียดขนาดนั้นเขากลับไม่น่าเกลียด หรืออ๋าวเจียงไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของอ๋าวเชิน?”
ลู่ยามองนางอย่างล้ำลึก หมุนกลับมาพูด “นี่เป็นตรรกะอันใดกัน?”
มู่จิ่วยักไหล่ นางก็ไม่รู้เหมือนกัน พูดจาส่งเดชแล้ว
“ไปเถอะ” ลู่ยาดึงนางขึ้นมา “เปลี่ยนเสื้อผ้า กินข้าวเสร็จพวกเราไปสูดอากาศริมทะเลสาบกัน”
มู่จิ่วตัดสินใจทิ้งเรื่องนี้ไว้ด้านหลัง
อย่างไรนางก็เป็นเพียงคนที่เข้าเวรอารักขา หลังผ่านประสบการณ์ในวันนี้ อ๋าวเจียงคงเรียนรู้ที่จะสงบนิ่งแล้ว
ส่วนเรื่องที่เขาจะลอบคิดเรื่องแผลงๆ หรือไม่ ยังไงนางระมัดระวังมากหน่อยก็แล้วกัน
พวกนางเปลี่ยนเสื้อผ้ากินข้าว เพราะอยู่ในน้ำไม่มีฝุ่นดิน ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำทุกวัน ดังนั้นจึงใช้เวทกันน้ำของลู่ยาลอยไปยังริมทะเลสาบ
รอบด้านของทะเลสาบน้ำแข็งคือภูเขาหิมะ ตีนเขาถึงจะมีต้นไม้ดอกไม้บ้าง กลับไม่อาจเรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์ กวางเหมยฮวา (กวางซิกา) และเสือดาวเดินเล่นอย่างอิสระอยู่ริมทะเลสาบใต้แสงจันทร์ ทิวทัศน์นี้เปรียบกับสวรรค์ แผ่นดินเก้าทวีป และทะเลทั้งสี่แล้วมีเสน่ห์อีกแบบ
ลู่ยาขี่เมฆมาถึงยอดเขาใจกลางทะเลสาบ หยิบขลุ่ยหยกออกมาจากไหนไม่รู้ วางอยู่บนริมฝีปากแล้วเริ่มเป่า
มู่จิ่วนั่งอยู่ข้างเขา แหงนหน้ามองผืนดาวบนฟ้า ลมเย็นพัดผมและเสื้อผ้าขึ้น คิดๆ ดูนานก็แล้วที่ไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้ ความอึดอัดระหว่างวันค่อยๆ หายไป ถึงแม้ไม่ได้พูดอะไรเลย กลับรู้สึกสุขสบายยากจะบรรยาย
ตอนเช้าวันถัดมา มู่จิ่วไปวังเทียมบูรพาตามเวลา
เจี๋ยเจี่ยส่งเวรให้ก่อนจากไป มู่จิ่วรั้งเขาไว้ และพาเขาไปยังห้องเล็ก “พลทหารเจี่ย ไม่ทราบว่าปฏิบัติงานให้กับองค์ชายสามมานานเท่าไหร่แล้ว?”
เจี๋ยเจี่ยนิ่งไปสักครู่ ค้อมตัวก่อนพูด “ตอบพลทหาร ตั้งแต่องค์ชายสามมาที่วังเทียมบูรพา ข้าน้อยก็อยู่ที่นี่แล้ว”
มู่จิ่วพยักหน้าแล้วพูดอีก “เช่นนั้นไม่ทราบว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายสามกับเฉินผิงเป็นอย่างไรบ้าง?”
เจี๋ยเจี่ยแต่เดิมก้มหัวนอบน้อม ได้ยินประโยคนี้สีหน้าพลันเปลี่ยน! หลังจากเขาเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างรวดเร็ว ก็ก้มหน้าลงแล้วพูด “ข้าน้อยไม่คุ้นชินกับองค์ชายเฉินผิง คำถามของพลทหารเกรงว่าไม่มีอะไรจะตอบ”
มู่จิ่วไม่เปลี่ยนสีหน้า เก็บปฏิกิริยาของเขาไว้ในสายตา นางยิ้มๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นเดินออกไปกับเขา
ชัดเจนมาก ระหว่างอ๋าวเจียงกับเฉินผิงต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ และเรื่องนี้ยังสำคัญมาก เป็นไปได้ว่าอ๋าวเจียงไม่ให้คนพูดถึง หรือไม่ก็ใครบางคนไม่ให้พูดถึง อย่างไรเป็นเพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้น อ๋าวเจียงจึงมองนางขัดหูขัดตา
แต่นางเข้าใจเหตุผล สิ่งสำคัญคือระหว่างอ๋าวเจียงกับเฉินผิงเกิดอะไรขึ้นถึงลากนางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย?
ทั้งสองคนนี้แม้จะเป็นพี่น้องคนละแม่กัน แต่ดูจากจุดยืนของแม่เขา ควรเป็นน้ำไฟที่ไม่ยอมกันสิ!
วันนี้อ๋าวเจียงไม่ได้มาหานาง
ช่วงเช้านางลาดตระเวนสองที่โดยพื้นฐาน จากนั้นนอนในห้องเล็กนั้น
ตอนบ่ายตอนออกมาลาดตระเวนครั้งสุดท้าย บังเอิญเจอเขาที่ประตูวัง เขาหยุดเท้ามองนางอย่างโกรธแค้น หมุนตัวไปคุยกับองค์หญิงรองที่เดินมาด้วยกันทันที
องค์หญิงรองอ๋าวเจียวมองมู่จิ่วคราหนึ่ง สายตาเรียบเฉยเจือไปด้วยการสืบค้นเล็กน้อย จากนั้นก้มหัวให้นางแสดงความจริงใจ ก่อนเดินไป นี่สิควรจะเป็นท่าทีที่บุตรสาวบุตรชายของราชินีพึงมี ที่จริงสำหรับพวกเขาแล้ว มู่จิ่วเป็นคนช่วยพวกเขากำจัดลูกนอกสมรสของบิดาให้
ผ่านไปแบบนี้สี่ห้าวัน ทางนี้มู่จิ่วไม่มีอะไรคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงอ๋าวเจียงท่าทางเหมือนคนที่ยอมเลิกราแล้วไม่สนใจนาง แม้แต่อ๋าวเชินก็ไม่โผล่หน้าออกมาแม้แต่ครั้งเดียว กลับกัน ทุกวันลู่ยานำพวกผลไม้ขนมกลับมาจนท้องนางใกล้แตกแล้ว นอกจากนั้นขุนนางเต่านานๆ ครั้งยังเดินไปยังวังเทียมบูรพา
วันนี้หลังจากลาดตระเวนหนึ่งรอบก็เห็นพระอาทิตย์ใกล้เที่ยงแล้ว กลับไปถึงห้องเล็ก กำลังคิดจะนอนสักหน่อย ช่วงสะลึมสะลือนั้นกลับได้ยินเสียงของตกจากไหน ชัดเจนแต่ไม่ดังนัก นางเงยหน้ามองหน้าต่าง เหล่าทหารกุ้งกำลังเดินไปมา เข้าใจไปว่าเป็นเสียงเกิดจากการเคลื่อนไหวของพวกเขา จึงปิดตาต่อ
ไหนเลยจะรู้ว่าปิดตาไม่ถึงสามวินาที เสียงคร่ำครวญกลับดังเข้าหูมา!
นางเด้งตัวนั่งขึ้นมาทันที ครั้งนี้นางฟังไม่ผิด เป็นเสียงครวญคราง และเป็นเสียงคร่ำครวญต่ำอย่างอดกลั้นต่อความเจ็บปวดประเภทนั้นด้วย!
…มีคนบาดเจ็บ?
นางรีบเร่งฝีเท้าไป รอบด้านสงบเงียบ ไม่มีอะไรผิดปกติ
ครั้นตั้งใจฟังอีก การเคลื่อนไหวนี้มาจากตำหนักด้านหลัง!
อ๋าวเจียงออกไปแต่เช้าแล้ว ตำหนักด้านหลังควรไม่มีคน ใครจะร้องคร่ำครวญอยู่ในนั้น?
นางชะงักไปนิดหน่อย จากนั้นก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในนั้นเงียบๆ
ในตำหนักหลังประตูโถงเปิดอยู่ แต่ห้องอื่นกลับปิด มู่จิ่วเข้าไปตรวจสอบ สุดท้ายไปถึงหน้าฉากกั้นลมตรงโถงหลัก
ตอนนี้ถึงแม้จะเป็นกลางวัน ภายใต้ฉากกั้นลมและเหล่าของบดบังแสงแดดทั้งหลายจึงมืดทึมอย่างมาก มืดจนหากไม่ใช้พลังเพ่งจริงๆ แม้แต่ลายบนฉากกั้นลมก็มองไม่ชัด
………………………………………………………
[1] เหม่ารื่อซิงจวิน คือ เทพประจำดาวลูกไก่ หนึ่งในยี่สิบแปดกลุ่มดาวบนท้องฟ้า ร่างเดิมคือไก่ตัวผู้สูงราวหกเจ็ดฉื่อ
บทที่ 153 ก่อเรื่องใหญ่แล้ว?
โดย
Ink Stone_Romance
แต่เสียงร้องอดกลั้นนั้นกลับดังเข้ามาในหูอย่างชัดเจน!
นางชักกระบี่ออกมา กระโดดเข้าไปหลังฉากกั้นลมทันที จุดที่ปลายกระบี่ชี้ไปกลับมีคนกุมท้องนอนนิ่งอยู่บนพื้น ใบหน้าซีดขาวเป็นสีหน้าตื่นตกใจ เสื้อขาวบนร่างกับช่วงอกด้านขวากลับเปื้อนเลือดสีแดงไปแถบหนึ่ง…
“อ๋าวเจียง?!” มู่จิ่วตกตะลึงจนแม้แต่ทักทายยังไม่สนใจ!
อ๋าวเจียงบนพื้นก็ตกใจจนหน้าถอดสี ร่างกายแข็งทื่อเหมือนเห็นผี
“เจ้ามาได้อย่างไร!”
เขาพูดพลางมองไปด้านหลังนาง ด้านหนึ่งดึงผ้าม่านมาปิดช่วงเอว ชัดเจนว่าท่าทางไม่อยากให้นางเข้ามาใกล้
มู่จิ่วก็ไม่อยากถาม แต่นางเป็นพลอารักขาของวังเทียมบูรพา เจ้านี่ได้รับบาดเจ็บ ต่อไปอ๋าวเชินถามขึ้นมานางคงพูดได้ไม่เต็มปาก! โชคดีที่นางสังเกตเห็นและเข้ามาพอดี เข้าใจหรือไม่? วันนั้นนางไม่ได้ยุแหย่เขา เขาก็สามารถมอบโทษชนเขาให้นางได้ หากนางไม่เข้าไป เขากลับคำกัดฟันพูดว่านางอารักขาไม่ดี หรือพูดตรงๆ ว่านางลงมือทำร้ายเขาจะทำอย่างไร?
คบค้าสมาคมกับคนเหล่านี้ ไม่อาจไม่ระมัดระวังได้
คิดถึงตรงนี้นางไม่พูดพร่ำทำเพลง ฉีกผ้าม่านบนร่างเขาออกมา อ๋าวเจียงตกใจจนกลิ้งเข้าไปใต้เตียง คิดจะตะโกนด่าแต่กลับไม่กล้า คิดจะด่าทอก็มีท่าทางไม่กล้าส่งเสียง เหมือนภรรยาน้อยที่ถูกลักพาเข้าไปยังถ้ำลมทมิฬ[1]!
มู่จิ่วไม่รู้สึกว่าตนเองเหมือนคนชั่ว เจ้าคนหน้าตางดงามหลายส่วนผู้นี้ไม่เข้าตานาง!
แต่ยุ่งกับเรื่องมากมายไม่ไหว นางต้องรักษาบาดแผลของเขาก่อนจะมีคนเข้ามา ไม่อาจให้เขามีโอกาสใส่ร้าย!
“เจ้าบาดเจ็บได้อย่างไร?” นางนั่งยองลงดูบาดแผลของเขา
“ไม่ต้องให้เจ้ายุ่ง!” อ๋าวเจียงถลึงตาใส่นาง พลิกตัวดิ้นรนไปปีนโต๊ะข้างหัวเตียง
แต่ในเมื่อถึงขนาดตะเกียกตะกาย แสดงว่าบาดแผลต้องไม่เบาแล้ว
มู่จิ่วเดินเข้าไปช่วยเขาเปิดลิ้นชัก หยิบขวดข้างในทั้งหมดมาวางไว้ตรงหน้าเขา “อันไหนเป็นยาห้ามเลือด?”
ถึงแม้นางมียาติดตัวอยู่ แต่บางทียารักษาแผลของพวกเขาวังมังกรอาจจะยอดเยี่ยมกว่า? และยารักษาแผลของนางล้วนเป็นหลิวหยางทำขึ้นเอง ก่อนนางกลับไปหงชางใช้เม็ดหนึ่งก็น้อยไปเม็ดหนึ่ง ไม่คู่ควรที่นางจะใช้กับร่างเจ้าปีศาจชั่วช้าไม่มีมารยาทนี่
อ๋าวเจียงอ้าปากกว้างสูดลมหายใจเข้าไป ยื่นมือไปทางขวดสีน้ำเงินขณะนิ้วมือสั่นเทา ยังไม่ทันพูดออกมาก็อ่อนแรงไปแล้ว
มู่จิ่วคว้ามันมา หยิบยาออกมาให้เขากิน
นางไม่รู้ว่าเลือดหยุดหรือไม่ เสื้อของเขาบังบาดแผลไว้ และมู่จิ่วก็ไม่อาจให้เขาถอดเสื้อเพื่อรักษาบาดแผลให้
แต่สีหน้าของเขาผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ทั้งร่างจากที่ต่อต้านมู่จิ่วก็ค่อยๆ ปรับตัว เขาพูด “ข้าอยากดื่มชา”
มู่จิ่วอดกลั้นรินให้เขาแก้วหนึ่ง จากนั้นหยิบอ่างทองแดงที่มุมห้องใส่น้ำส่งให้เขา
บาดแผลอยู่บนซี่โครงด้านบน ไม่แปลกที่เจ็บจนร้องออกมา
มู่จิ่วเปิดเสื้อตรงบาดแผลดู เห็นเลือดไม่ไหลแล้ว แต่ปากแผลกลับยังไม่สมาน
ดูแล้วยารักษาบาดแผลของวังมังกรก็ไม่เท่าไหร่!
“หากเจ้ากล้าพูดออกไป ข้าจะฆ่าเจ้า!”
นางกำลังขมวดคิ้วสำรวจอยู่ อ๋าวเจียงที่ฟื้นคืนกำลังขึ้นหน่อยพลันพูดกับนางอย่างดุดัน
มู่จิ่วมองเขาตาขวางอย่างเย็นชา วางเสื้อลงไป
“เจ้าทำเรื่องอะไรที่ให้คนรู้ไม่ได้หรือ?”
ช่างเป็นสุนัขแว้งกัดเสียจริง นางช่วยเขานู่นนี่ กลับได้รับคำข่มขู่ของเขากลับมา!
“เจ้าไม่ต้องรู้!” เขาก็จ้องกลับมาอย่างเย็นชา งอตัวลงไปบรรเทาอาการเจ็บปวดของร่างกาย
มู่จิ่วไม่ได้ชอบหาเรื่องใส่ตัว ไม่มีอะไรทำจะไปนินทาว่ามังกรน้อยทะเลาะกับคนเขาอย่างไรหรือ?
แต่พูดตามเหตุผลแล้ว ไปต่อสู้ข้างนอกอย่างไรต้องนำยารักษาบาดแผลไปด้วย เจ้านี่อะไรก็ไม่เอาไป ดูแล้วคงไม่ได้ออกไปก่อเรื่องบ่อย แต่ในเมื่อไม่ชอบก่อเรื่อง ทำไมเขาถึงทำร่างกายบาดเจ็บกลับมาได้? และเขายังพูดว่ากลัวถูกคนเห็นด้วย เขาไปทะเลาะกับใคร? หรือปกป้องใคร?
เรื่องนี้ถึงแม้ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง แต่ความปลอดภัยของเขาคือภารกิจของนางในตอนนี้ นางต้องรู้ให้ชัดเจน
“หากเจ้าไม่พูดถึงคนที่ทำร้ายเจ้า เช่นนั้นข้าจะไปรายงานพ่อเจ้า” นางทำหน้าเคร่งขรึม ทั้งร่างล้วนดูจริงจังขึ้นมา
“พูดแล้วว่าไม่เกี่ยว…”
พูดยังไม่จบ มู่จิ่วก็ลุกขึ้นเดินจากไป
เขารีบตามไป “เจ้ากลับมา!”
มู่จิ่วหมุนตัว เขาจ้องนางอย่างแค้นเคือง ทำลมหายใจให้นิ่งก่อนพูด “ข้าพูดไปเจ้าก็ไม่รู้จัก”
“ข้าเพียงรู้ชื่อก็พอแล้ว” มู่จิ่วไม่ปล่อยไปง่ายๆ
เขากัดฟัน ถลึงตาใส่นาง “อวิ๋นซี”
มู่จิ่วฟังไม่ชัด “อะไรนะ?”
“ข้าบอกว่าอวิ๋นซี! คนที่สี่แห่งตระกูลอวิ๋นบนทิวเขาริ้วหยก!” หน้าของอ๋าวเจียงดูบิดเบี้ยวเพราะกัดฟันจนแน่นเกินไป “เคยได้ยินชื่อตระกูลอวิ๋นมาก่อนหรือไม่? เจ้าเป็นเพียงหัวเสินที่อยู่มาได้สองพันปี ต้องไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่!”
มู่จิ่วอึ้งไป
คนที่สี่ของตระกูลอวิ๋นแห่งทิวเขาริ้วหยก ทิวเขาริ้วหยกนี้ ไม่ใช่ที่อยู่ของตระกูลหงส์เพลิงชู้รักของอ๋าวเชินหรือ? นางแซ่อวิ๋น? อ๋าวเจียงไปมีเรื่องกับคนของเขาแล้ว? แต่นี่สิถึงจะปกติ อ๋าวเจียงเป็นบุตรชายของราชินี มีเหตุผลที่จะเข้าหน้าไม่ติดกับพวกตระกูลอวิ๋น มิน่าละเขาถึงไม่อยากให้คนรู้เรื่องที่ทะเลาะกับคนที่สี่แห่งตระกูลอวิ๋น
แต่ที่สำคัญคือแม้แต่นางที่สังหารเฉินผิง อ๋าวเจียงก็มองอย่างเคียดแค้น นี่ทำให้คนไม่เข้าใจ!
หากอ๋าวเจียงมีจุดยืนเหมือนราชินี ทำไมเขาต้องแค้นนางด้วย?
หากเขาอยู่ข้างอ๋าวเชิน โกรธแค้นตระกูลอวิ๋นก็ไม่สมเหตุผล
ไม่สิ…ตระกูลอวิ๋นหงส์เพลิง?
หลายคำนี้ทำไมคุ้นหูขนาดนี้?
ใช่แล้ว นางนึกออกแล้ว!
งานเลี้ยงของนางวันนั้นที่เชิญหลิวจวิ้นกับสหายร่วมงานไป เคยได้ยินเถ้าแก่หงส์กำลังนินทาถึงตระกูลอวิ๋นอยู่ที่ภัตตาคารหงส์ระบำ หรือว่าจะเป็นชู้รักหงส์เพลิงของอ๋าวเชิน? นางจำได้ เถ้าแก่หงส์พูดว่าตระกูลอวิ๋นจำต้องผ่านเคราะห์สวรรค์เพื่อให้ได้นิพพาน ดังนั้นถึงตอนนี้จำนวนคนในเผ่ายังคงไม่มาก ยังมีแม่นางที่เป็นภรรยาน้อยเขาอีก หรือกำลังพูดถึงแม่ของเฉินผิง?
“เจ้าจะเปิดเผยความลับหรือไม่?”
อ๋าวเจียงเห็นนางไม่พูดอะไรอยู่นาน จึงอดถามไม่ได้
มู่จิ่วก้มหน้ามองเขา เห็นเพียงหน้าเขายังคงดุร้าย แต่กลับเจือไปด้วยความกังวล แสดงว่าไม่อยากให้อ๋าวเชินรู้จริง
นางพูด “ข้าไม่สนใจเรื่องเจ้า เพียงเจ้าไม่เปลี่ยนวิธีมาจัดการข้าก็พอแล้ว”
อ๋าวเจียงถลึงตาใส่นาง แต่กลับปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้
มู่จิ่วประเมินเขาอยู่ครู่ ก่อนพูดอีก “ข้าสามารถช่วยเจ้าปกปิด แต่เจ้าจะปิดบังแผลนี้ไว้อย่างไร?”
เขาจ้องผ้าม่านที่ฉีกขาดอย่างเหม่อลอยอยู่สักครู่ แล้วเอ่ย “ข้าบอกได้ว่ามีเรื่องไม่เหมาะ ตอนนี้ไม่ออกหน้า”
มู่จิ่วยิ้มเยาะ เขาทำเหมือนพ่อเขากับหมอในวังมังกรโง่? เหตุผลพื้นๆ แบบนี้กลับคิดออกมาได้
ช่างเถอะ เพื่อไม่ให้อ๋าวเจียงถือเอาเรื่องนี้เป็นปฏิปักษ์กับนาง นางก็อดกลั้นส่งยาเซียนให้เขาเม็ดหนึ่งแล้วกัน
นางหยิบยาสร้างเนื้อมาวางบนโต๊ะสองเม็ด “กินเถอะ”
อ๋าวเจียงจ้องยาสีขาวสองเม็ดพลางขมวดคิ้ว “นี่คืออะไร?”
………………………………………………………………
[1] เป็นถ้ำของปีศาจหมีดำในเรื่องไซอิ๋ว
บทที่ 154 หึงหรือไม่?
โดย
Ink Stone_Romance
“ยาดีรักษาอาการเน่าเสริมสร้างเนื้อ กินไปบาดแผลยาวเป็นฉื่อสามารถตกสะเก็ดภายในสามวัน” มู่จิ่วมองเขาอย่างดุดัน เชิดคางขึ้นสูง
ทั้งที่นางเป็นเพียงหัวเสิน แต่ต่อหน้าเขาที่เป็นมังกรทะเลสาบน้ำแข็งยังไม่เกรงกลัวเลย?
อ๋าวเจียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหยิบยาขึ้นมา ดมตรงหน้าจมูก จากนั้นมองมู่จิ่ว ก่อนพลีชีพใส่เข้าปากกินลงไป
ความเป็นไปได้ที่นางหยิบยาพิษให้เขากินมีไม่มากนัก นอกเสียจากนางจะสร้างปัญหาให้กับตัวนางเอง
ในเมื่อไม่มีพิษ ทดสอบว่านางโอ้อวดหรือไม่ก็ดีเหมือนกัน
คิดไม่ถึงหลังจากกินยานี้ลงไป ความรู้สึกเย็นสบายก็แผ่มาตรงบาดแผลทันที อาการแสบร้อนก่อนหน้านี้ไม่มีแล้ว และขณะเดียวกัน ในความเย็นสบายก็ตามมาด้วยความรู้สึกคันเล็กน้อย เขาเลิกเสื้อขึ้นมา เห็นเพียงบาดแผลยาวสามฉื่อกำลังค่อยๆ เกิดเนื้อใหม่ขึ้น ส่วนที่เลือดซึมออกมาก็แข็งตัวกลายเป็นสะเก็ด!
มู่จิ่วเห็นใบหน้าตกใจของเขาก็พอใจอย่างมาก
เพียงแค่ยาเซียนของหลิวหยางก็ทำให้เขาตกใจจนเป็นแบบนี้แล้ว นี่ยังไม่ให้เขาเห็นอิทธิฤทธิ์ของลู่ยาเลยนะ!
“นับว่าข้ารับน้ำใจเจ้าแล้ว” อ๋าวเจียงเงียบไปนาน ก่อนพูดออกมาอย่างอึดอัด
มู่จิ่วไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับ โค้งกายให้ก่อนเดินออกจากประตูไป
ท่าทางตกใจของอ๋าวเจียงต่อหน้านางช่างทำให้รู้สึกมีความสุข หลังจากออกเวรมุ่งกลับไปยังหน่วยบัญชาการ ลู่ยาก็กลับมาพอดีเช่นกัน
นางเล่าเรื่องที่อ๋าวเจียงได้รับบาดเจ็บให้ลู่ยาฟัง เท้าเขาเหยียบเก้าอี้ยาว นิ่งอยู่นานก่อนพูด “อ๋าวเจียงคนนี้ช่างมีปัญหานัก”
“ไม่ผิด ข้าก็คิดแบบนั้น!” นางพูดอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม “ข้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปได้หลายอย่าง ข้อแรก เขากับคนสี่ของตระกูลอวิ๋นมีความแค้นส่วนตัวกัน แต่ไม่เกี่ยวกับอ๋าวเชิน ข้อสอง เขาเคียดแค้นเฉินผิง อยากกำจัดอีกฝ่าย ใครจะรู้ว่าโดนข้าตัดหน้าสังหารเฉินผิงไปก่อนแล้ว เขาโกรธมาก ดังนั้นจึงแค้นข้า ยังมีข้อสาม…”
พูดถึงตรงนี้นางหยุดลง มองลู่ยานิ่งๆ
“ข้อสามคืออะไร?” ลู่ยาอดใคร่รู้มิได้
นางหัวเราะแล้วเอ่ย “ข้อสามคือ เป็นไปได้ว่าอ๋าวเชินพ่อลูกคู่นี้ชอบพอหญิงคนเดียวกัน แต่อ๋าวเชินใช้ความเป็นพ่อชิงตัวหงส์เพลิงจากมือลูกชายมา ลูกชายไม่สามารถชิงมาได้ในที่แจ้ง ทำได้เพียงชิงมาอย่างลับๆ ตระกูลอวิ๋นนับว่ามีหน้ามีตา แน่นอนว่าไม่ยอมให้เขาก่อเรื่องแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงขัดแย้งกับตระกูลอวิ๋น”
ลู่ยาฟังจบก็มองนางอย่างล้ำลึกอยู่นาน ก่อนพูด “เจ้าไม่ไปเขียนบทละคร ช่างน่าเสียดายความสามารถ”
“น่าละอาย น่าละอาย” มู่จิ่วนั่งลงข้างเขาอย่างดีใจ “พูดกับเจ้าไม่ปิดบัง โลกมนุษย์มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อย พวกเราผู้บำเพ็ญไม่ได้ใส่ใจเรื่องความรู้สึกทั้งเจ็ดอารมณ์ทั้งหก เรื่องอะไรก็เป็นไปได้มากทั้งนั้น”
ลู่ยาไม่รู้จะพูดอะไรดี
รู้สึกว่าบางครั้งสิ่งที่นางนินทา เทียบกับเขามหาเทพผู้ลอยชายไปมาหลายสิบหมื่นปีแล้วยังสูงส่งกว่า
“ลู่หยา เจ้าอยู่ในห้องหรือไม่?”
กำลังฟังนางคุยโม้ ตอนนี้เองนอกประตูมีเสียงอ่อนโยนดังเข้ามา
มู่จิ่วรีบโผล่หัวออกไป เห็นเพียงใต้ภูเขาจำลองในลานบ้านที่เต็มไปด้วยจื่อเถิง ไม่รู้ตอนไหนมีสาวน้อยสวมเสื้อสีเหลืองอ่อนยืนอยู่ สาวน้อยผมดำยาวถึงข้อเท้า งดงามอย่างมาก ดวงตาก็สว่างเหมือนหินขัดเงา บนร่างประดับไปด้วยหินมีค่ามากมาย แต่สำคัญคือรูปลักษณ์ตาโตปากอิ่ม ดูไปแล้วอ่อนโยน
“นี่คือใคร?” นางถาม
ตอนเห็นอ๋าวเยวี่ย คิ้วลู่ยาก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย
ตั้งแต่หลายวันก่อนที่พบนอกวังประจิมไสว จากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีก แต่นางกลับมาหาถึงที่นี่
“องค์หญิงใหญ่ของพวกเขา” ตอนพูดคำนี้ดวงตาของเขาไม่ได้มองอ๋าวเยวี่ย แต่จ้องมองมาทางนาง
“ทำไมนางมาหาเจ้า?”
มู่จิ่วมององค์หญิงอ๋าวเยวี่ยที่อ่อนโยน แล้วมองเขาที่งดงามเหนือผู้คน ใจพลันเต้นตึกตักขึ้นมา พ่อหนุ่มคนนี้ช่างมีวาสนาเรื่องหญิงสาว ไปชิงชิวมู่หรงเสวี่ยจีถูกใจ มาถึงวังมังกรก็มีองค์หญิงของพวกเขามาหาถึงประตู มิน่าละเขาถึงไม่รับศิษย์ กลัวว่าแค่เผยหน้าตาออกไปข้างนอกก็สร้างลัทธิขึ้นมาได้แล้ว ยังต้องรับศิษย์อะไรอีก?
“อ้อ วันนั้นที่นอกวังประจิมไสว นางเกือบล้มลงไป ข้าผ่านไปพอดีจึงช่วยนางไว้” ลู่ยาถูๆ จมูก ตอบอย่างส่งเดชและสบายๆ “บางทีนางอาจมาแค่ขอบคุณ”
มู่จิ่วตอบรับคำหนึ่ง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
นางมองข้างนอกพลางพูด “เจ้าไม่เชิญนางเข้ามาพูดคุยล่ะ?”
“จำเป็นด้วยหรือ?” เขาถาม
“ก็ยังคงจำเป็น” มู่จิ่วเกาหัวพูดแบบนี้
ลู่ยายิ้ม จากนั้นเดินออกไปนอกประตูจริง
อ๋าวเยวี่ยเห็นเขาปรากฏตัว ใบหน้าก็เหมือนกับดอกไม้บาน ยิ่งเพิ่มความอ่อนโยนน่าหลงใหล หญิงสาวท่าทางสง่างามช่างทำให้คนนึกชอบ คนทั้งสองยืนมองตายิ้มให้กันอยู่กลางลาน เห็นแล้วบาดตานัก
ช่างเป็นชายสง่าหญิงงาม
มู่จิ่วหมอบอยู่ตรงหน้าต่างพลางมองดู ในใจพลันฝาดเฝื่อน
ในลาน อ๋าวเยวี่ยพูดคุยสัพเพเหระกับลู่ยาหลายประโยค นางมองมู่จิ่วที่ถอยไปจากหน้าต่างก่อนเอ่ย “เซียนหญิงที่อยู่ด้วยกันนั้น ได้ยินว่าเป็นคู่หมั้นของเจ้า?”
ลู่ยากอดอก “ใช่แล้ว เจ้าไม่ได้เข้าใจผิด”
อ๋าวเยวี่ยยิ้มพูด “ข้ายังคิดว่าเจ้าที่มั่นคงน่าสนใจแบบนี้ ควรชอบหญิงผู้มีคุณธรรมและหนักแน่น”
“ไม่ ข้าบังเอิญชอบแบบนี้ เปลี่ยนให้แปลกจากนี้สักเล็กน้อยข้าก็ไม่ต้องการ”
สีหน้าลู่ยายังคงสบายๆ
อ๋าวเยวี่ยมองหน้าต่างอีก ครั้นหมุนกายไปจึงยกมือลูบริมฝีปากที่คลี่รอยยิ้มออกมา
มู่จิ่วเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จออกมา ลู่ยาก็เข้ามาแล้ว นางวิ่งไปดูตรงหน้าต่าง อ๋าวเยวี่ยจากไปเรียบร้อย
คิดไม่ถึงว่าจะไปเร็วแบบนี้
นางถาม “ทำไมเจ้าไม่ไปส่งคนเขา?”
“เพราะวันนี้ข้าเหนื่อยเล็กน้อย” ลู่ยานั่งลง สองเท้าพาดไว้บนเก้าอี้
มู่จิ่วเข้าใจว่าเขาอยากดื่มชา จึงถือกาน้ำชาเข้ามา “ที่แท้องค์ชายองค์หญิงของวังมังกรแต่ละคนล้วนหน้าตางดงาม เห็นอ๋าวเจียวแล้วก็งดงามมากเมือนกัน”
นางก็บอกไม่ถูกว่าตนเองเป็นอะไรไป รู้สึกอิจฉาอ๋าวเยวี่ยอยู่หลายส่วน
แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเห็นเด็กผู้ชายคนไหนสามารถแหย่นางให้มีความสุขแบบนี้ได้
แต่บางทีตอนที่นางไม่มีความสุขอาจจะมีน้อยมาก ง่ายๆ สบายๆ ดีใจก็ยิ้มกว้าง ไม่ดีใจก็โกรธ ไม่ต้องการให้คนอื่นมาทำดีด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนางมักเซ่อซ่าอยู่บ่อยๆ ไหนเลยจะคู่ควรให้ผู้อื่นใส่ใจปฏิบัติด้วย
“งดงามงั้นหรือ? ยังดีเท่านั้นแหละ” ลู่ยารับชามา สายตามองใบหน้าของนางไปมาอยู่ตลอด
ในที่สุดมู่จิ่วถูกจ้องจนไปไม่เป็น จึงถามเขา “ทำไมเจ้ามองข้าอยู่ได้?”
ลู่ยาดึงนางนั่งลงบนตัก ก่อนพูด “เจ้าหึงบ้างสักเล็กน้อยหรือไม่?”
ใบหน้ามู่จิ่วแดงก่ำ จากนั้นผลุงตัวขึ้นมา “นี่เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ข้าหึงอะไร? ถึงเจ้าอยู่กับผู้หญิงสักร้อยคนก็ไม่เกี่ยวกับข้าเข้าใจหรือไม่?”
“เช่นนั้นเจ้าทำไมหน้าแดง?” เขาถามอีก
มู่จิ่วอับอาย “ข้าเป็นหญิงใสซื่อที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี เจ้าพูดจากระเซ้าเย้าแหย่กับข้า ยังหวังให้ข้าเหมือนเจ้าหรือ? ข้าไม่ได้ขายรอยยิ้มนะ!”
………………………………………………
บทที่ 155 เขาไม่หัดทำตัวดีๆ
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่ยาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง พลันยื่นมือทั้งสองดึงนางลงมานั่งบนตักอีก “เอาละ ไม่หึงก็ไม่หึง พวกเราเป็นสหายกันเท่านั้น ดีหรือไม่?”
มู่จิ่วไม่มีคำพูด ผลักเขาออกแล้ววิ่งหนีไป
ลู่ยามองแผ่นหลังของนาง มุมปากยกยิ้มขึ้นน้อยๆ มีความอ่อนโยนที่คนลุ่มหลงจนตายได้
อ๋าวเจียงกินยาเซียนของมู่จิ่ว คืนนั้นสามารถทนต่อความเจ็บจนตัวงอได้ แต่สองวันถัดมาไม่ได้ออกมาข้างนอกเลย
มู่จิ่วรู้อยู่ในใจ ตอนมีคนขอพบเขาจึงช่วยรับหน้าให้และบอกว่าเขาไม่อยู่ หากต้านไว้ไม่อยู่ก็เดินเข้าไปถามความเห็นเขา เขาให้เหตุผลอะไรมา นางก็ใช้เหตุผลนั้นหลีกเลี่ยง เช่นนี้จึงสงบไม่มีเรื่องอะไร
แต่แม้แต่หน้าของเขามู่จิ่วยังไม่เห็น เพียงแค่ตอนผ่านหน้าประตูตำหนักเห็นเขาแอบมองอยู่ที่หน้าต่าง จากที่นางคาดเดา เจ้าคนนี้สักแปดส่วนต้องถอดเสื้อออกจนหมดเพื่อรักษาบาดแผล ที่จริงไม่มีการเสียดสีจากเสื้อผ้า บาดแผลจะยิ่งฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
ส่วนสมาชิกคนอื่นในวังมังกร มู่จิ่วไม่เห็นมาตั้งแต่ต้น อ๋าวเชินก็ไม่ได้ถามนางอีก ราวกับแน่ใจว่าอ๋าวเจียงต้องอดทนยอมนางไม่ได้ จากนั้นนางต้องไม่มีผลดีอะไร
อ๋าวเยวี่ยกลับมาอีกสองครั้ง มีครั้งหนึ่งมู่จิ่วกลับมาจากปฏิบัติงาน นางกำลังพูดคุยกับลู่ยาหน้าประตูพอดี ยังมีอีกครั้งหนึ่ง มู่จิ่วกับลู่ยากินข้าวเสร็จกลับมา บังเอิญเจอนางกำลังเดินเล่นบนถนน
แต่เรื่องบังเอิญเจออะไรพวกนั้นนางไม่เชื่อ ทำไมองค์หญิงคนหนึ่งไม่มีเรื่องก็มาเดินเล่นอยู่ที่หน่วยบัญชาการ?
ทว่านางไม่คิดติดตามต่อ เพื่อป้องกันไม่ให้ลู่ยาคิดมาก
พูดจริงๆ แล้ว ทุกครั้งยามเขาพูดเล่นกับนางแบบนี้ นางล้วนรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เขาเป็นมหาเทพที่น่าเคารพขนาดนั้น และนางคือหัวเสินที่แม้แต่เซียนยังนับว่าเป็นไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะเจอกันที่หงชางครั้งนั้น พวกเขาห่างกันด้วยสวรรค์หลายสิบชั้น จะสามารถมาเกี่ยวพันกันถึงเรื่องหึงไม่หึงได้อย่างไร?
เขาสูงส่งเกินนางจะเอื้อมถึง นี่ไม่ใช่การดูแคลนตนเอง แต่คือรู้จักตนเอง
นางยังไม่รู้ว่าอายุของตนเองยืนยาวเท่าไร ส่วนเขาอายุเท่ากับฟ้า ข้อแตกต่างเช่นนี้ คำว่าดูแคลนตนเองไม่สามารถแบกรับเรื่องทั้งหมดได้ไหว
ดังนั้นจิตใต้สำนึกนางจึงปฏิเสธ
และตัวเขาเองน่าจะรู้ระยะห่างระหว่างพวกเขา แต่ยังพัวพันไม่เลิกแบบนี้ นี่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
ตอนนี้มู่จิ่วย้ายไปอยู่กะดึกกับเจี๋ยเจี่ย
ทุกวันนางเข้างานลู่ยาเพิ่งกลับมา นางเลิกงานลู่ยาไปปฏิบัติงาน ดังนั้นไม่ว่าตอนกลางคืนเขาจะพาอ๋าวเยวี่ยไปล่องภูเขาเล่นน้ำก็ดี พูดคุยความในใจอย่างใกล้ชิดก็ดี ล้วนไม่เกี่ยวกับนางแล้ว
แน่นอน นางไม่รู้สึกว่าอ๋าวเยวี่ยกับลู่ยาจะพัฒนาความสัมพันธ์อะไรได้ หากเขาหวั่นไหวง่ายเพียงนั้น หลายหมื่นปีขนาดนี้คงไม่หาคนมาแต่งงานด้วยไม่ได้ แต่อยู่กับมหาเทพผู้นี้ ดีที่สุดนางต้องรู้จักวางตัว เหมือนแต่ก่อนตอนปฏิบัติงาน นางก็เรียนรู้ว่าจะรุกหรือถอยอย่างไร
เวลาที่นางอยู่วังเทียมบูรพาก็เพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
วันนี้เข้างานได้ไม่นาน หลังกลับจากลาดตระเวน นางกำลังนั่งเหม่ออยู่ข้างระเบียงทางเดิน อ๋าวเจียงพลันกลับมา
แต่เดิมฝีเท้าเร็วนักราวกับรีบไปทำอะไร หลังจากเห็นมู่จิ่วที่นั่งอยู่หลังต้นฉา (ต้นดอกคามีเลีย) เขาพลันหยุดลง มองซ้ายขวาเดินไปถึงตรงหน้านาง กดเสียงต่ำพูดว่า “ตามข้าเข้าไปในตำหนัก!”
มู่จิ่วไม่รู้ว่าเรื่องอะไร รีบยืนขึ้นเข้าไปในตำหนักกับเขา
มาถึงตำหนักหลังที่เขาได้รับบาดเจ็บ อ๋าวเจียงพลันปิดประตูลง แล้วพูดกับนาง “ตอนนี้เจ้าออกไปทำเรื่องหนึ่งกับข้าหน่อย”
“เรื่องอะไร?”
“อย่าถามมาก! ในเมื่อเจ้าเป็นพลอารักขาของข้า สรุปคือตามข้าไปก็พอแล้ว” อ๋าวเจียงถลึงตาใส่นาง ด้านหนึ่งหยิบกระบี่ล้ำค่าจากหัวเตียง จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าไปหลังฉากกั้นลม
มู่จิ่วรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มน้อยนี้แปลกประหลาดนัก ในเมื่อเขายกคำพูดนี้มา นางก็ไม่มีคำใดให้เอ่ย ตอนนี้นางเป็นข้ารับใช้ของวังมังกร จะทำอะไรต้องฟังเขา
หลังฉากกั้นลมมีเสียงเสียดสีกันอย่างถี่เร็วของเสื้อผ้า อ๋าวเจียงเปลี่ยนชุดลายมังกรสีน้ำเงินเข้มออกมา ผิวเขาขาว สวมสีนี้ทำให้เขายิ่งดูยิ่งใหญ่สง่างาม ช่างเป็นองค์ชายที่หล่อเหลาดีผู้หนึ่ง
มู่จิ่วไม่เข้าใจว่ามีเรื่องอะไรต้องแอบออกไป และยังต้องแต่งตัวแบบนี้ แต่ความคิดของเขาครึ่งเซียนอย่างนางไม่สามารถคาดเดาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จึงเลือกปิดปาก ตามหลังเขาที่ใช้คาถาอำพรางร่าง ตัดสินใจไปดูว่าเขาเล่นอะไรค่อยว่ากัน
ทั้งสองเดินทางเร็วมาก ตลอดทางพร่าเลือนไม่ชัดเจน ตอนถึงที่แล้ว พวกเขาหยุดลงที่ถนนสายหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้าง คนบนถนนที่เดินมาล้วนเป็นคนธรรมดา สองข้างทางเป็นโรงเตี๊ยมหอโคมเขียวอันเสเพล…เจ้านี่ กลับพานางมายังโลกมนุษย์!
อ๋าวเจียงไม่พูดอะไร เดินอย่างไม่เร็วไม่ช้าไปข้างหน้า ครั้นมาถึงหน้าประตูที่ปลูกต้นเหมยของอาคารสองชั้น เขามองดูป้ายบนประตู จากนั้นก้าวเท้าเข้าไป
มู่จิ่วก็ดูป้ายนั้น ข้างบนยังมีเหล่าแม่นางยิ้มหวานหยอกล้อไม่หยุด เหงื่อบนหลังผุดขึ้นมาแล้ว!
เจ้านี่ไม่เพียงหลอกนางมาโลกมนุษย์ ยังพานางมาหอโคมเขียว?
ไม่ใช่ว่าพยาธิเข้าหัวเขาไปแล้วนะ? แผลเพิ่งหายไม่กี่วันก็ทนไม่ได้แล้ว!
แต่เขาเข้าไปแล้ว นางก็ไม่มีหนทาง ทำได้เพียงรีบเปลี่ยนร่างตนเอง แต่งตัวเป็นชายรุ่นเยาว์ตามเข้าประตูไป
อ๋าวเจียงเข้าประตูแล้วให้เงินแม่เล้าไปก้อนหนึ่ง แม่เล้าคิ้วคลายตายิ้มพาพวกเขาขึ้นไปยังห้องทางใต้ ในห้องรอบด้านมีแต่กลิ่นแป้ง มู่จิ่วเข้าไปก็จามหลายครั้ง
รอจนแม่เล้าปิดประตูออกไป ในที่สุดมู่จิ่วก็ทนไม่ได้ พูดว่า “ข้าว่าข้าคงไม่อาจหาเรื่องอะไรทำได้? ต้องเรียนรู้การเล่นกับหญิงนางโลมหรือ?”
“หุบปาก!” อ๋าวเจียงหน้านิ่งถลึงตาใส่นาง ใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นแดงทันที “ข้าไม่ได้ลามกอย่างที่เจ้าคิด!”
มู่จิ่วพูดเชื่องช้า “เช่นนั้นเจ้ามาทำอะไร?”
เขากัดฟัน ยกกระบี่เปิดหน้าต่างเล็กน้อย ชี้ไปทางกลุ่มคนที่ล้อมวงดื่มเหล้าฝั่งตรงข้าม ก่อนพูด “เห็นคนตรงนั้นที่สวมเสื้อดำหรือไม่? เจ้าจับตาดูเขาให้ดี! หน้าที่ของวันนี้คือจับเขากลับวังมังกร!”
มู่จิ่วเงยหน้ามองไป เห็นเพียงตรงข้ามในห้องเปิดโล่งมีคนแต่งกายไม่ธรรมดานั่งอยู่สี่คน ที่เหลือสามคนล้วนเป็นมนุษย์ แต่คนสวมเสื้อดำนั้นกลับเป็นเซียนอย่างชัดเจนมาก คนผู้นี้หน้าตาอายุประมาณยี่สิบกว่า ตาหงส์สมบูรณ์แบบ รอยยิ้มดึงดูดคนยิ่ง แต่กลับไม่ไร้เดียงสาเหมือนอ๋าวเจียง ยกมือขยับเท้ายังมีความหนักแน่นหลายส่วน
มู่จิ่วใจเต้นเล็กน้อย “นี่คือใคร?”
เสียงของอ๋าวเจียงลอดไรฟันออกมา “ลำดับที่สี่ของตระกูลอวิ๋น!”
นี่คืออวิ๋นซี? น้องชายของหงส์เพลิงอวิ๋นเฉี่ยน?
“เขามาที่โลกมนุษย์ได้อย่างไรกัน?” มู่จิ่วสูดลมหายใจเย็นเข้าไป เปิดปากถามขึ้นมาหนึ่งประโยค แล้วหันหน้ามองไปทางอวิ๋นซี หน้าตาแท้จริงก็ไม่เลว ดังนั้นตามความจริงแล้วพี่สาวของเขาต้องเป็นคนงาม แต่นี่อ๋าวเจียงหมายความว่าอย่างไร?!
“เขาไม่ออกมา ข้าจะจับเขาได้อย่างไร?!” อ๋าวเจียงยิ้มเยาะ จับกระบี่ในมือแน่น
มู่จิ่วฟังสิ่งผิดปกติออก “พูดแบบนี้แสดงว่าเขาถูกเจ้าหลอกออกมา?!”
…………………………………………………
บทที่ 156 ไปไหนไม่ได้แล้ว
โดย
Ink Stone_Romance
อ๋าวเจียงไม่ได้พูด ในเสียงร้องเยาะเย้ยเจือความได้ใจไว้ จากนั้นสองตาจ้องไปยังฝั่งตรงข้ามแน่นิ่ง
มู่จิ่วจามอีก ใจเหมือนร่วงตรงดิ่งไปยังสถานที่หลังความตาย
เจ้านี่ตามมาเพื่อล้างแค้น นางกลับโดนเขาหลอก!
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดจมูก หมุนตัวเลิกม่านเตรียมจากไป
อ๋าวเจียงเข้ามาขวางนางไว้ “เจ้าจะไปไหน!”
“แน่นอนว่าต้องกลับไป!” มู่จิ่วแหงนหน้าพูด นางจะไม่เข้าร่วมเรื่องเวรนี่ของเขา แต่เดิมเข้าใจว่าเขาออกมาเที่ยวนารี นางก็กล้ำกลืนอยู่เป็นเพื่อน แต่เขากลับเอาเรื่องเที่ยวนารีมาบังหน้าเพื่อจับลำดับที่สี่ของตระกูลอวิ๋น นางจะหาเรื่องใส่ตัวแบบนี้ได้อย่างไร?
“หากเจ้ากล้ากลับไป ข้าจะแทงตัวเองหนึ่งกระบี่ทันทีแล้วบอกว่าเจ้าเป็นคนทำ!” อ๋าวเจียงรีบร้อนจนชักกระบี่ออกมาแล้ว
มู่จิ่วอยากกระอักเลือด
แต่ถึงเขาข่มขู่อีกก็ต้องไป
อย่างไรก็ตาม ครั้นเดินถึงประตูนางกลับออกไปไม่ได้! เจ้าคนชั่วนี่กลับสร้างแรงกดดันขังนางไว้ พลังบำเพ็ญนางสู้เขาไม่ได้ จะออกไปได้อย่างไร?
“คุณชายทั้งสอง เหล้าอาหารมาแล้ว!”
ฟากนี้กำลังพูด แม่เล้าพลันเปิดประตูเข้ามา คิ้วคลายตายิ้มส่งอาหารมาให้ เห็นสองคนชักกระบี่คุมเชิงอยู่ที่ประตู ก็อดอึ้งไม่ได้ “ท่านทั้งสอง นี่คือ?” มู่จิ่วเกรงว่าจะเกิดปัญหาใหม่ขึ้น รีบคลายสีหน้าก่อนพูด “ไม่มีเรื่องอะไร” ด้านหนึ่งถลึงตาใส่อ๋าวเจียง อ๋าวเจียงเข้าใจจึงเก็บพลัง ให้นางเดินกลับเข้าห้องไป
เข้ามาข้างในแบบนี้ ตอนนี้ก็ไปไหนไม่ได้แล้ว
แม่เล้าเรียกหญิงนางโลมถือพิณเข้ามา สองคนเหมือนเป็นพระโพธิสัตว์ในอาราม นั่งอึดอัดไม่ออกเสียงอยู่ชั่วยาม พิณยังเล่นต่อเนื่อง เสียงเครื่องสายเครื่องเป่าทางฝั่งตรงข้ามกลับหยุดลงในที่สุด คนในห้องจัดเลี้ยงทยอยกันลุกขึ้นมา พวกเขาสร่างเมาแล้ว อ๋าวเจียงพลันลุกขึ้นพูด “ตามข้ามา!” พูดจบก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ออกจากหน้าต่างไปดังผลุบ
ถึงแม้มู่จิ่วไม่เคยก่อเรื่องผิดทำนองคลองธรรมมาก่อน แต่เรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว ก็กลัวว่าเขาจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จึงทำได้เพียงกระโดดตามออกไป
ออกจากหอโคมเขียวตรงไปทางทิศตะวันตกจนถึงเนินเขาเตี้ยแห่งหนึ่ง มู่จิ่วตามเขาไป ยังไม่ทันพูด อ๋าวเจียงก็หยุดลงแล้วเอ่ย “ที่นี่เป็นจุดที่ลำดับที่สี่ตระกูลอวิ๋นต้องผ่าน เจ้าวางใจได้ พลังบำเพ็ญเขาไม่สูงเท่าข้า พวกเราสองคนลงมือพร้อมกันก็พอแล้ว เพียงแค่ต้องระวังขวานอาทิตย์เพลิงของเขาเท่านั้น รอสักครู่พออวิ๋นซีผ่านมาทางนี้ เจ้าส่งกระบวนท่าออกไปต่อกรกับเขา จากนั้นข้าจะอาศัยตอนเขาไม่รู้ตัวไปจับเขา!”
มู่จิ่วอดไม่ได้ค้อนเขาทีหนึ่ง พลังบำเพ็ญสูงไม่เท่ายังโดนเขาทำร้ายบาดเจ็บกลับมาเลย? กลับยังกล้าพูด และรู้ชัดเจนว่านางธาตุทอง ยังส่งนางไปต่อกรกับธาตุไฟ? หากเจ้าคนนี้ไม่ได้จงใจ ก็ตัดเอาศีรษะนางไปเลย!
อ๋าวเจียงมองความรู้สึกนางออก ใบหน้าแดง แต่ยังพูดหน้าตาย “คราวก่อนข้าก็ทำเขาบาดเจ็บเช่นกัน”
มู่จิ่วทำได้เพียงไม่มองเขาต่อ แต่นางก็ไม่อาจช่วยคนร้ายทำชั่วได้
ที่นี่กว้างใหญ่ขนาดนี้ หันหัววิ่งหนีไปคงไม่ง่ายนัก
นางเงียบไม่ส่งเสียง หยิบชุดซ่อนเซียนมาไว้ในมือ อาศัยตอนเขาไม่ระวังพลิกมือใส่เข้าไปบนร่าง
อ๋าวเจียงยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ก็ไม่เห็นเงานางแล้ว!
“นี่! เจ้าออกมานะ!”
เขาร้อนรนหันไปรอบๆ หาร่องรอยนาง แต่รอบด้านนอกจากลมแล้ว ไหนเลยจะยังมีร่องรอยของนางแม้สักเล็กน้อย?
ที่จริงมู่จิ่วยังเดินไปได้ไม่ไกล นางเลือกหมอบอยู่บนเนินด้านหลังที่ห่างจากเขาไปครึ่งลี้ ฟังเสียงยุงบินหึ่งๆ อยู่ข้างหู ไม่รู้ว่าตีตายไปแล้วกี่สิบตัว ห่างออกไปถึงพลันมีการเคลื่อนไหว
อันดับแรกคือคลื่นลมขุมหนึ่งพัดต้นไม้ที่อยู่นอกถนนห่างออกไปสามลี้ ต่อมาบนฟ้ามืดพลันมีเมฆแดงที่ได้รับแสงอาทิตย์ยามเย็นลอยมา เมฆนี้ไม่เหมือนเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า อย่างน้อยความเร็วก็มากเป็นพิเศษ และยังมีเสียงหงส์ร้องมาด้วยรางๆ!
อ๋าวเจียงก็รู้สึกได้ ใบหน้าเคร่ง แล้วพลันส่งกำปั้นไปยังกลุ่มเมฆนั้น
เมฆพลันหยุดลง ค่อยๆ กลายเป็นหงส์เพลิงงดงามห้าสี ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นชายผมยาวเสื้อดำทีละน้อย เป็นอวิ๋นซีที่ก่อนหน้านี้อยู่ที่หอโคมเขียวชูแก้วยกยิ้มให้กับผู้คน!
อวิ๋นซีพลันถอยไปหลายก้าว รอจนเห็นรูปร่างชัดเจน ก็มุ่งเข้าไปหาอ๋าวเจียง
ดูจากกลวิธีที่ต่อสู้กันแล้ว อ๋าวเจียงถึงแม้มีพลังบำเพ็ญหมื่นปี กลับชัดเจนว่าขาดประสบการณ์ เขามักใช้การปะทะซึ่งหน้า แต่อวิ๋นซีไม่เหมือนกัน เขาหลบการโจมตีจุดอ่อน จู่โจมด้านข้าง เลือกลงมือตอนอ๋าวเจียงไม่ทันป้องกัน เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่นานอ๋าวเจียงก็ไม่เป็นกระบวนท่าแล้ว แขนขากับเข่าถูกเขาโจมตี
มู่จิ่วขมวดคิ้ว หากท่าทางเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอ๋าวเจียงอาจตายในเงื้อมมือเขาได้
เจ้านี่ ถึงแม้จะตายก็ไม่มีอะไรไปร้องขอความเป็นธรรมได้
แต่นางจะมองเขาตายไปต่อหน้าต่อตาได้จริงหรือ?
มู่จิ่วลังเลนิดหน่อย
หากลงมือ เรื่องคืนนี้นางก็แปดเปื้อนแล้ว หลังจากอวิ๋นซีหนีกลับไปแล้วต้องโทษนางแน่ ถึงแม้นางปลอมแปลงตัว พวกเขาที่เป็นตระกูลหงส์จะสืบหาที่มาของนางไม่ได้หรือ? หากไม่ลงมือละก็ ซ่อนอยู่ที่นี่มองดูคนเขาไปตายก็ไม่ค่อยมีคุณธรรม
“อา!”
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่ อ๋าวเจียงกลับถูกไฟลุกโชนล้อมรอบ ดูแล้วถึงแม้เขามีปีกก็ยากจะบินหนี แต่เขาเป็นองค์ชายมังกร มีความสามารถทางน้ำ ทันใดนั้น น้ำพุใต้ดินถูกเขาเรียกออกมากลางอากาศ พุ่งเข้าไปยังวงล้อมไฟนั้น อวิ๋นซีกลับอาศัยตอนเขาเรียกน้ำแฉลบกระบี่เข้ามา ความเยียบเย็นที่พาดผ่านสายตาทำให้รู้สึกว่าเขาต่างหากที่เหมือนเป็นเทพวารี!
มู่จิ่วใจเต้น ร่างพุ่งทะยานเข้าไป “หลีกไป!”
มีชุดซ่อนเซียนคลุมอยู่ ไม่มีใครเห็นนาง นางจับหลังคอของอ๋าวเจียงดึงเขาลงมาที่พื้น รักษาชีวิตไว้ได้แล้ว แต่ยังช้าไปหน่อย กระบี่ของอวิ๋นซีฟันโดนสีข้างซ้ายของเขา มู่จิ่วโดนเลือดไปเต็มมือ!
“เป็นเจ้า?”
“เจ้าเป็นใคร?!”
อ๋าวเจียงกับอวิ๋นซีพูดพลางเบิกตากว้างมองนาง นางถึงได้รู้ว่าที่แท้ชุดซ่อนเซียนไม่สามารถโดนเลือดได้ หากโดนเลือดแล้วก็จะปรากฏกายออกมา!
จบกัน!
แต่เดิมคิดเป็นวีรบุรุษไร้นามแล้วจะจากไปทันที!
นางลุกขึ้นมา ขี่เมฆสักก้อนหนีไป ข้างหลังกลับมีลมแรงโจมตีเข้ามา โอบล้อมปิดนางไว้มิดชิด!
หนีไปไม่ได้แล้ว!
ตอนนี้ทำได้เพียงฝืนขี่ลมออกนอกเขตพลัง
นางมีความสามารถติดตัวอยู่แล้ว ยิ่งบวกกับการที่ลู่ยาชี้แนะในครึ่งปีนี้ และกินยาเซียนของเขาไปสิบเม็ด พลังการต่อสู้จึงเพิ่มขึ้นมาก ต่อกรกับอวิ๋นซีได้ไม่เป็นปัญหา
อย่างไรก็ตาม นางทุ่มเทกำลังทั้งหมดปะทะกับเขา อีกด้านอ๋าวเจียงโจมตีลงมาจากด้านบนอย่างเงียบๆ ถึงแม้มู่จิ่วเห็นทันที แต่กลับไม่มีเวลาครุ่นคิด และอวิ๋นซีไม่รู้ตัวเลยว่าข้างบนมีอ๋าวเจียงอยู่ สองฟากโจมตีเข้ามา ทันใดนั้นก็เสียกระบวนท่า เท้าลงช้าไปสองก้าว ดาบหนึ่งของอ๋าวเจียงแทงลงไปตรงหน้าอกเขา!
เหตุการณ์เมื่อครู่พลันพลิกผัน กระบี่ยาวของอ๋าวเจียงตอนนี้อยู่ตรงบริเวณหน้าอกเขาพอดี จิตสังหารในสายตาเขาก็ชัดเจนจนทำให้ใจสะท้าน!
“ห้ามฆ่า!”
มู่จิ่วพลิกมือผลักกระบี่อ๋าวเจียง แต่ความคิดทั้งหมดของเขากลับรวมอยู่ที่การปลิดชีวิตของอวิ๋นซี จะให้นางผลักออกอย่างง่ายดายหรือ? นางถูกกดดันให้ถอยไปสี่ห้าก้าว อ๋าวเจียงกลับอาศัยตอนนี้ หยิบเอาเชือกรัดเซียนออกมามัดอวิ๋นซีไว้ หลังจากจับไว้ได้แล้วก็ขี่เมฆกลับวังมังกรไป!
……………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น