คัมภีร์วิถีเซียน 1407-1408

ตอนที่ 1407

 

 แมลงผลึกกระดูกทองกับทรายปะการัง

 


 


 


“พวกเจ้ามีวิธีจับเป็นแมลงผลึกกระดูกทอง?” สีหน้าของหานลี่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ชั่วขณะนั้นในใจพลันรู้สึกดีใจอย่างบ้าคลั่ง


 


 


“ใช่แล้ว พวกเรามาจากเผ่าอสูรสว่าง ขอแค่ฝึกฝนจนบรรลุ ก็สามารถแยกแมลงผลึกนี้ออกจากแร่หินจำนวนนับไม่ถ้วนได้แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังมีวิธีทำให้แมลงชนิดนี้ไม่กลายเป็นผลึกศิลาด้วย” อสูรน้อยเอ่ยอย่างทระนงตน


 


 


“เยี่ยม เยี่ยมมาก แต่แค่จุดนี้ข้าก็พอจะปล่อยพวกเจ้าที่มาหาเรื่องข้าไปได้ ดอกกระดิ่งพฤกษานี้มอบให้พวกเจ้า!” หานลี่ฉีกยิ้มสีหน้าค่อยๆ ผ่อนคลายลง


 


 


“มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วย! มีเงื่อนไขอะไรหรือ?” อสูรน้อยกลับชาญฉลาด ตอนแรกก็ดีใจ แต่ทันใดนั้นกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที


 


 


“ง่ายมาก พวกเจ้าต้องการดอกกระดิ่งพฤกษาเท่าไหร่ ข้าก็จะให้พวกเจ้าเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ทุกๆ ดอกจะต้องเอาแมลงผลึกกระดูกทองมาแลกกับข้าหนึ่งคู่? นอกจากนี้ทรายปะการังทองตัวเมียที่พวกเจ้าใช้บวงสรวง ข้าก็สนใจเช่นกัน ใช้ทรายนี้แลกกับดอกกระดิ่งพฤกษาดอกหนึ่งเช่นกัน” หานลี่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มจางๆ


 


 


“แมลงผลึกคือของบวงสรวง พวกเรามีไม่มากนัก และยิ่งไปกว่านั้นยังต้องมอบให้ท่านเป่ากวงสิบคู่” อสูรน้อยหัววัวกลอกตาไปมา ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยขึ้นมา


 


 


“ท่านเป่ากวง? แค่อสูรทะเลที่เพิ่งแปลงกายได้หนึ่งตนเท่านั้น ในเมื่อข้าอยากได้แมลงวิญญาณชนิดนี้ แน่นอนว่าก็ต้องกำจัดมัน ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าเตรียมตัวเจ็ดวัน จากนี้อีกสามวันให้มาแลกดอกกระดิ่งพฤกษาที่ถ้ำพำนักข้า หากไม่มาล่ะก็ หึๆ…” หานลี่หัวเราะอย่างชั่วร้าย สะบัดแขนเสื้อ พายุอ่อนๆ ปรากฎขึ้นในบริเวณนั้น คนก็หายวับไปจากกลางอากาศ


 


 


อสูรน้อยหัววัวและงูเหลือมยักษ์สามหัวพลันตะลึงงัน แล้วถึงได้พบว่าเส้นไหมสีแดงที่แต่เดิมรัดพวกมันเอาไว้หายไปด้วย


 


 


อสูรทั้งสองได้รับอิสระ ก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่หัวทั้งสามของงูเหลือมยักษ์สามหัวก็มองไปรอบๆ หัวงูเหลือมตรงกลางกระพริบดวงตาสีเขียว เอ่ยกับอสูรน้อยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า


 


 


“คนผู้นั้นจากไปแล้วจริงๆ หรือ?”


 


 


อสูรน้อยหัววัวได้ยินพลันลังเลเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็อ้าปากออก พ่นไข่มุกสีเขียวเม็ดหนึ่งออกมา


 


 


หลังจากที่ไข่มุกเม็ดนี้หมุนติ้วๆ อยู่กลางอากาศ ก็เปล่งแสงสีเขียวชั้นหนึ่งออกมา ห่อหุ้มอสูรทั้งสองเอาไว้ข้างใน


 


 


“ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว หลังจากที่ข้าใช้แก่นอสูรวางเขตอาคมกั้นเสียง หากคนผู้นั้นใช้จิตสัมผัสแอบฟังล่ะก็ จะต้องถูกข้าพบเข้าแน่” อสูรน้อยกระพริบดวงตาสีเขียว แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา


 


 


อสูรสามหัวได้ยินพลันรู้สึกผ่อนคลายลง แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยถามว่า


 


 


“พวกเราต้องแลกดอกกระดิ่งพฤกษาจริงๆ หรือ?”


 


 


“สิ่งของบวงสรวงไม่ใช้เรื่องของพวกเราแค่สองคน ยังต้องไปปรึกษาสหายผู้อื่นด้วย แต่หากอยากรอดจากการบวงสรวงครั้งนี้ เกรงว่าก็มีแต่ต้องทำเช่นนี้แล้ว” อสูรน้อยหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา


 


 


“แมลงผลึกกระดูกทองและทรายปะการังทองตัวเมียเองก็เป็นสิ่งที่หายากมาก หากเอาออกมาแลก ครั้งต่อไปก็ไม่มั่นใจว่าจะรวบรวมได้อีกครั้งหรือไม่” งูเหลือมยักษ์เอ่ยเตือนสติ


 


 


“ไม่ต้องสนใจอะไรมาก แมลงผลึกและทรายปะการังทองตัวเมียเป็นสิ่งที่หายากยิ่ง แต่ขอแค่พวกเราเสียเวลาสักหน่อย สุดท้ายก็หาเจอ ส่วนดอกกระดิ่งพฤกษานั้น เผ่าวิหคสวรรค์ต้องการจำนวนมาก ที่อื่นๆ ก็แห้งเหือดไปแล้ว มีเพียงบนภูเขาที่คนผู้นี้อาศัยอยู่ถึงจะรวบรวมได้ครบจำนวน” อสูรน้อยหัววัวเองก็จนปัญญาไปเล็กน้อย


 


 


“เช่นนั้นไม่สู้รอให้คนของเผ่าวิหคสวรรค์ฝูงนั้นมารับของบวงสรวง และรายงานเรื่องนี้กับพวกมัน ให้พวกมันจัดการคนประหลาดผู้นี้จะดีกว่าหรือ” หลังจากที่งูเหลือมสามหัวสะบัดหัวไปมา ก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา


 


 


“หึ อย่าคิดอะไรบ้าๆ หรือว่าเจ้าลืมการสั่งสอนในครั้งนั้นไปแล้ว ต่อให้คนของเผ่าวิหคสวรรค์สังหารคนผู้นี้ แต่ก็เอาดอกกระดิ่งพฤกษาบนภูเขาไปหมดอยู่ดี การบวงสรวงที่ควรแลกเปลี่ยน ก็จะลดลงเพราะเหตุนี้ หากบอกความจริงกับพวกมัน ดอกกระดิ่งพฤกษาก็จะหายไปจากภูเขาเฮยอิ่น พวกเผ่าวิหคสวรรค์จะปล่อยพวกเราไว้หรือ? ส่วนการบวงสรวงให้เผ่าวิหคสวรรค์ในอดีต ขอแค่มีดอกกระดิ่งพฤกษาเพียงพอ ของอื่นๆ ขาดไปเล็กน้อย ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อาจส่งรายงานครั้งนี้ได้ แต่ตรงกันข้าม หากจำนวนของดอกกระดิ่งพฤกษาขาดไป วัตถุดิบอื่นๆ ในการบวงสรวงมีมากขนาดไหน ก็ไม่มีผลดีแน่ ดอกกระดิ่งพฤกษาดูเหมือนว่าจะมีความสำคัญต่อคนของเผ่าวิหคสวรรค์มาก หากไม่ใช่เพราะเผ่าวิหคสวรรค์กวาดกลัวหมอกยมโลหิตทมิฬมาก จนไม่กล้ารั้งรออยู่ที่นี่นานนัก ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะส่งคนมาอยู่อาศัยที่นี่เองแล้ว” อสูรน้อยหัววัวเอ่ยอย่างเย็นชาออกมา


 


 


“แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้รับมือกับครั้งนี้ไปได้ การบวงสรวงครั้งต่อไปก็ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่อาจรับมือได้ ถึงครานั้นจุดจบก็ไม่เหมือนกันหรือ ต้องเข้าใจว่าพวกเราล้วนถูกเผ่าวิหคสวรรค์ลงเครื่องทาสเอาไว้ หากออกจากที่นี่ในระยะพันลี้ จะระเบิดตนเองตายในทันที” งูเหลือมยักษ์สามหัวกลับเอ่ยอย่างร้อนรนออกมา


 


 


“จุดนี้ข้ารู้อยู่แล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ หรือว่าเจ้าลืมคำสัญญาที่อรหันต์ในหมอกยมโลกทมิฬสัญญากับพวกเราไปแล้ว ขอแค่แอบมอบศิลาวิญญาณร้อยปีให้เขาอีกครั้ง เขาก็น่าจะบรรลุอรหันต์ได้ และสามารถกำจัดเครื่องหมายทาสของพวกเราได้ ถึงครานั้นก็หนีไปได้โดยไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว” อสูรน้อยหัววัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


 


 


“แต่ท่านผู้นั้นจะพึ่งได้จริงๆ หรือ อย่าลืมล่ะ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยเป็นอาวุโสของภูเขาเฮยอิ่น แต่หลังจากตอนนั้นที่เขาหนีเข้าไปในหมอกยมโลกทมิฬ ก็กลืนโครงกระดูกภูตยักษ์โบราณลงไป จนกลายเป็นครึ่งภูตครึ่งปีศาจแล้ว หากถึงครานั้นมันเกิดกลายพันธุ์อะไรอีก…” งูเหลือมสามหัวกลับลังเล


 


 


“อันใด พี่ฮัวกังวลว่าคนผู้นั้นจะไม่รักษาสัญญางั้นหรือ? จุดนี้วางใจเถิด อาวุโสผู้นี้มีต้นกำเนิดมาจากเผ่าอสูรสว่าง และมีความแค้นกับเผ่าวิหคสวรรค์ ไม่ว่าอยางไร ก็ไม่มีทางทำร้ายพวกเรา อีกอย่างพวกเราก็ส่งศิลาวิญญาณสองสามร้อยปีไปให้เขา มันมีประโยชน์ในการฝึกบำเพ็ญเพียรของเขา ครานี้จะบรรลุแล้ว จะมีทางเลือกอื่นหรือ?” อสูรน้อยสั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง


 


 


“ผู้แซ่ฮัวอาจจะกังวลมากไป ทว่าในหมอกยมโลหิตทมิฬมีอะไรอยู่กันแน่ คาดไม่ถึงว่าจะทำให้คนของเผ่าวิหคสวรรค์หวาดกลัวถึงเพียงนี้ อรหันต์ผู้นั้นเคยพิสูจน์แล้ว” งูเหลือมยักษ์เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย


 


 


“เปล่า แต่ในนั้นต้องมีตัวประหลาดอะไรแน่ แม้ว่าความสามารถของอรหันต์ในตอนนี้จะทำได้เพียงอาศัยอยู่ที่ขอบของหมอกยมโลกทมิฬ ไหนเลยจะกล้าไปที่ใจกลาง แต่หมอกยมโลกทมิฬเหล่านี้อยู่ที่นี่มาเนิ่นนานแล้ว ว่ากันว่าเผ่าวิหคสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุด ก็แทบจะควบคุมเผ่าวิหคทั้งหมดแล้ว” อสูรน้อยหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาขณะเอ่ย


 


 


“นั่นมันก็ใช่ ไม่ว่าในหมอกยมโลกทมิฬจะมีอะไร ก็ไม่เป็นผลดีต่อพวกเราทั้งนั้น จากพลังยุทธ์ของพวกเราหากเข้าไปในม่านหมอก ก็คงถูกดูดเลือดเนื้อไปในครู่เดียว กลายเป็นโครงกระดูกแห้งกรัง” งูเหลือมยักษ์สามหัวพยักหน้า


 


 


ทันใดนั้นหลังจากที่อสูรน้อยและงูเหลือมยักษ์ปรึกษากันเสร็จแล้ว ก็เก็บแก่นปีศาจ กลายเป็นพายุปีศาจสองกลุ่มบินไป


 


 


ในตอนที่อสูรทั้งสองเพิ่งจะจากไปได้ไม่นาน รอบๆ ก็มีระลอกคลื่นปรากฎขึ้น เงาร่างคนสีเขียวจางๆ สายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหานลี่ที่ควรจะออกไปตั้งนานแล้ว


 


 


เขาเงยหน้าขึ้นมองอสูรทั้งสองที่ห่างออกไปแวบหนึ่ง ฉีกยิ้มแปลกประหลาดออกมา ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันตะปบไปกลางอากาศตรงที่อสูรสองตนนั้นเคยหยุดอยู่


 


 


ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ แมลงน้อยสีทองขนาดเท่าเล็บปรากฎขึ้น เห็นได้ชัดว่าคือแมลงกลืนทองที่มีขนาดเล็กลงสิบเท่า


 


 


แมลงตัวนั้นสยายปีกออก บินมาอยู่ตรงกลางฝ่ามือของหานลี่


 


 


หานลี่ชี้นิ้วไปที่แมลงวิญญาณ ส่วนตัวเองก็หลับตาทั้งสองข้างลง ชั่วขณะนั้นก็ดึงจิตสัมผัสมาจากแมลงกลืนทองที่อยู่ใกล้ๆ บทสนทนาของอสูรน้อยและงูเหลือมสามหัวดังสะท้อนอยู่ในใจของเขา


 


 


“หมอกยมโลกทมิฬ ครึ่งภูตครึ่งปีศาจ เครื่องหมายทาส? น่าสนใจดีนี่ หากคนของเผ่าวิหคสวรรค์ ไม่มีทางอยู่บนเกาะนี้ได้นานล่ะก็ ขอแค่ไม่ได้อยู่ในระดับหลอมร่าง ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอสูรปีศาจระดับต่ำสองสามตนนี้จะสามารถจับแมลงผลึกกระดูกทองที่เป็นยาอายุวัฒนะได้ นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่อาวุโสระดับหลอมร่างในเมืองเทวะสวรรค์เหล่านั้นยังไม่อาจตามหาได้ มีมันคอหาสมุนไพรชนิดอื่น ประกอบกับพระธาตุวัชระในร่างกายข้า ก็สามารถเรียนวิชาวัชระของสำนักพุทธได้ และสามารถทำให้เคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์ทธิ์ผนึกรวมกันกลายเป็นร่างที่แท้จริงได้ หึๆ ส่วนทรายปะการังทองตัวเมียนั้นก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมากในตอนนี้ หากนำมันมาบดผสมเข้าไปในเลือดเนื้อ ก็เพียงพอจะทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้นแล้ว…” หานลี่เอ่ยพึมพำกับตัวเองสองสามประโยค แล้วหัวเราะยินดีออกมา


 


 


ชั่วครู่หานลี่ก็หยุดหัวเราะ แล้วนึกอะไรขึ้นได้ หลังจากมุมปากกระตุก ฉับพลันนั้นเงาลวงตาของวิหคยักษ์และหงส์ห้าสีที่แผ่นหลังก็เปล่งแสงสว่างวาบ ปีกขนนกแวววาวคู่หนึ่งปรากฎขึ้น


 


 


แต่แค่ปีกคู่นี้ขยับเล็กน้อย ร่างกายของหานลี่ก็เปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตาออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ ร่างทั้งร่างกลายเป็นเส้นไหมแวววาวสายหนึ่งพุ่งออกไป


 


 


ชั่วขณะนั้นกลางอากาศพลันมีรอยแยกสีเขียวขาวยาวๆ สายหนึ่งปรากฎขึ้น ราวกับว่ากรีดผ่านกลางอากาศ พุ่งออกมาตรงไปยังขอบฟ้า


 


 


ครู่ต่อมารอยแยกยาวพลันมีลำแสงสว่างวาบ เส้นไหมผลึกปรากฎขึ้นตรงนั้น เปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง แล้วจมหายเข้าไปในขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย


 


 


ขณะที่หานลี่กำลังกระตุ้นปีกวายุอัสนีที่ปลายเป็นสมบัติวิญญาณแล้วอยู่นั้น ความเร็วก็มากกว่าปกติถึงสองสามเท่า แค่สองวันกว่าๆ ก็บินออกมาจากเกาะ ปรากฎตัวบนผิวน้ำห่างจากเกาะไปสองสามหมื่นลี้


 


 


มหาสมุทรผืนนี้มีกลุ่มปะการังน้อยใหญ่รูปทรงต่างๆ เรียงรายอยู่ ใหญ่หน่อยมีขนาดเท่าเกาะเล็ก เล็กหน่อยมีขนาดเท่าคนยืนได้


 


 


หานลี่กอดอกลอยอยู่กลางอากาศเหนือกลุ่มปะการังขนาดสองสามหมู่ แววตาตเปล่งประกายแวววาว


 


 


ที่นี่คือถ้ำพำนักของผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านเป่ากวง ซึ่งเขารู้มาจากการใช้เคล็ดวิชาค้นวิญญาณ


 


 


ท่านผู้นี้เป็นแค่อสูรปีศาจระดับแปดที่เพิ่งแปลงกายเท่านั้น พัดหลงมาจากที่อื่นเมื่อสองร้อยปีก่อน และได้กินอสูรทะเลระดับต่ำและกลางรอบๆ ไปเจ็ดแปดตัว แล้วถึงอาศัยอยู่ที่นี่


 


 


พวกอสูรน้อยหัววัวที่อยู่บนเกาะเคยแลกเปลี่ยนสมุนไพรกับปีศาจตนนี้ ถึงได้พยายามสร้างความสัมพันธไมตรี ดังนั้นจึงไม่อาจโจมตีถ้ำพำนักของหานลี่โดยลำพังได้ ถึงได้คิดจะอาศัยแมลงผลึกกระดูกทองมาใช้พลังของปีศาจตนนี้


 


 


แน่นอนว่าเป็นเพราะเหล่าอสูรน้อยคาดการณ์พลังยุทธ์ที่แท้จริงของหานลี่ผิด คิดว่ามากสุดก็คงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ถึงได้ทำเช่นนี้ มิเช่นนั้นคงไม่อาจทำเรื่องที่ไม่ได้รับประโยชน์เช่นนี้


 


 


หานลี่ไม่ได้ชักช้านัก มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ ยื่นมือสีดำเปล่งประกายออกมาจกแขนเสื้อ กดที่ไปกลุ่มปะการังด้านล่างอย่างช้าๆ


 


 


เสียง “ตูมๆๆ” ดังขึ้น บนฝ่ามือมีเงาภูเขาลวงตาปรากฎขึ้น ขยายใหญ่ขึ้นท่ามกลางลำแสงสีเทา กลายเป็นของจริงกดลงมาที่ด้านล่าง


 


 


ภายใต้การกระตุ้นด้วยพลังลมปราณทั้งหมดของหานลี่ ชั่วครู่ภูเขาเทวะดุดปราณก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดพันจั้งเศษ ตรงตีนเขามีลำแสงเทวะดูดปราณแผ่ออกมาและหมุนวน ปกคลุมผิวน้ำในระยะสองสามหมู่เอาไว้


 

 

 


ตอนที่ 1408

 

 เนินหิน

 


 


 


ภูเขายักษ์ไม่ทันได้กระทบกับปะการัง ก็แผดเสียงดังสนั่นขึ้น


 


 


ทุกแห่งที่ลำแสงสีเทากวาดผ่านไป หินโสโครกทั้งหมดก็จะทยอยกันสั่นเทาแล้วกลายเป็นผุยผง น้ำทะเลรอบๆ เกิดระลอกคลื่นขึ้นท่ามกลางแรงกดมหาศาล คลื่นยักษ์สูงร้อยจั้งเป็นสายๆ ก่อตัวขึ้น และทะลักออกมาจากทั้งสี่ด้าน


 


 


หานลี่ก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องกระทบกับถ้ำพำนักที่ซ่อนอยู่ใต้ปะการัง


 


 


ชั่วครู่ผิวน้ำในบริเวณรอบก็แยกตัวออก ฉับพลันนั้นก็มีไอปีศาจสองกลุ่มสีแดงหนึ่งกลุ่มและสีฟ้าหนึ่งกลุ่มบินออกมา ไอปีศาจหนึ่งในนั้นมีเสียงก่นด่าดังขึ้น


 


 


“ผู้ใด กล้าสร้างความวุ่นวายหน้าถ้ำพำนักของพวกเรา ไม่รู้ว่านี่คือที่พักของท่านเป่ากวงหรือ?” หานลี่ได้ยินก็ไม่ได้ปริปาก แค่ใช้นิ้วชี้ไปที่ภูเขายักษ์ด้านล่างอย่างสบายๆ


 


 


ลำแสงสีเทาใต้ภูเขายักษ์หมุนวน เปล่งแสงสว่างวาบคาดไม่ถึงว่าจะม้วนเอาไอปีศาจทั้งสองเข้าไปข้างใน


 


 


หลังจากที่ลำแสงนั้นเปล่งแสงสองสามครั้ง ด้านในก็มีเสียงกรีดร้องสองเสียงดังออกมา ปีศาจที่อยู่ในไอปีศาจทั้งสองระเบิดออกจากลำแสงสีเทา กลายเป็นฝนโลหิตแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


แค่อสูรทะเลระดับหกสองตน หานลี่ขี้้เกียจจะไปสนใจพวกมัน


 


 


ครู่ต่อมาในที่สุดภูเขายักษ์ก็โจมตีไปยังผิวน้ำ


 


 


ชั่วขณะนั้นระลอกคลื่นยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางสองสามลี้กฎปรากำขึ้นท่ามกลางพลังลำแสงเทวะดูดปราณที่บิดเบี้ยว น้ำทะเลรอบด้านหมุนวนอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจรจ้ายคำราม ชั่วขณะนั้นน้ำทะเลรอบๆ พลันถูกกวนจนกลับหัวกลับหาง


 


 


ตรงก้นทะเลลึกกุ้งหอยปูปลาจำนวนนับไม่ถ้วนหนีไปรอบทิศทางด้วยความลนลาน หนึ่งในนั้นมีอสูรทะเลนิรนามความยาวไม่ถึงจั้งสิบกว่าตัวรวมอยู่ด้วย


 


 


หานลี่กระตุ้นอานุภาพของภูเขาเทวะดูดปราณอย่างตามอำเภอใจ ในที่สุดก็ทำให้ใต้ผิวน้ำมีเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น ตรงขอบของระลอกคลื่นมีไอสีดำห้าสายพุ่งออกมา ไอสีดำที่เป็นผู้นำหมุนวน เผยร่างของชายร่างใหญ่สูงสง่าบนหัวมีเนื้องอกคนหนึ่งออกมา สวมเกราะกระดูกสีฟ้า มือหนึ่งค้อนสีดำคู่หนึ่งเอาไว้


 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้นมุมปากพลันเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากกระตุ้นภูเขาเทวะดูดปราณอีก


 


 


ชั่วขณะนั้นภูเขายักษ์สูงพันจั้งพลันสั่นเทา หายวับไปจากที่เดิม และแทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีฟ้าก็รู้สึกเพียงว่าเหนือหัวเป็นสีดำ เงยหน้าขึ้นด้วยใจที่หายวาบ เห็นเพียงความดำมะเมื่อมเข้าสู่ครรลองสายตา กดทับลงมา ภูเขาเทวะดูดปราณปรากฎขึ้นเหนือหัวของพวกเขา กำลังกดลงมาอย่างรุนแรง


 


 


ไม่รอให้เข้าใกล้พวกเขา วายุยักษ์กลุ่มหนึ่งก็พัดเข้ามาจนทำให้เขายืนอย่างมั่นคงไม่ไหว


 


 


ชายร่างใหญ่หน้าถอดสี แม้กระทั่งไม่สนใจมองหานลี่สักแวบ รีบร้อนโยนค้อนในมือทั้งสองไปทางภูเขายักษ์ หมุนคว้างไปทางพื้น ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นมังกรวารีสีฟ้ายาวสิบจั้งเศษตัวหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหนีไป


 


 


เสียง “ปังๆ” ดังสนั่นขึ้น แม้นว่าค้อนสีดำทั้งสองจะกลายเป็นค้อนยักษ์ขนาดสองสามจั้ง แต่ภูเขาน้อยทุกไปที่ภูเขาน้อยกลับไม่อาจทำอันตรายได้เลยสักนิด หลังจากที่ลำแสงสีเทาม้วนวนไป ค้อนทั้งสองก็สูญเสียการควบคุมร่วงลงสู่พื้น


 


 


ส่วนมังกรวารีตัวนั้นก็ไม่อาจหนีไปไหนได้เช่นกัน เพิ่งจะบินออกมาได้สามสิบจั้งเศษ ลำแสงสีเทาสายหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบเช่นกัน ร่างของมังกรสีฟ้าสั่นเทา ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยสักนิด


 


 


ครานี้หานลี่พลันชี้ไปที่ภูเขายักษ์อีกครั้งด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก


 


 


ภูเขายักษ์ที่อยู่กลางอากาศหมุนคว้าง พลังมหาศาลไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งปรากฎขึ้นที่ตีนเขาทันที มังกรวารีสีฟ้าที่อยู่ในลำแสงสีเทาทำได้เพียงร้องคำรามด้วยความหวาดผวาออกมา ร่างกายถูกพลังมหาศาลกดจนกลายเป็นซอสเนื้อ เหลือเพียงหัวมังกรวารีขนาดใหญ่ที่ไม่เป็นอะไร


 


 


แม้นว่าร่างของมังกรวารีจะแข็งแกร่งจัดอยู่ในอันดับแรกๆ ในอสูรปีศาจทั้งหมด แต่มังกรวารีทะเลระดับแปดตัวหนึ่งจะต้านทานพลังของภูเขาเทวะสวรรค์ได้อย่างไร


 


 


มังกรวารีตัวนี้ไม่ทันได้มองเห็นใบหน้าของหานลี่ให้ชัดเจน ก็ถูกทำลายกายเนื้อไป


 


 


แต่โชคดีที่ยังเหลือจิตวิญญาณดั้งเดิมของหัวมังกรวารี กลับไม่รู้ว่าสำแดงความสามารถอะไร หัวมังกรวารีจึงกลายเป็นลำแสงสีฟ้าเจิดจ้ากลุ่มหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะดิ้นรนหนีออกจากพันธนาการของลำแสงสีเทา และพยายามหนีออกไป


 


 


ในตอนนั้นเองวิหคเพลิงสีเงินตัวหนึ่งก็เปล่งเสียงคำรามดังสนั่นฟ้า ความเร็วแค่กระพริบวาบก็มาปะทะกับหัวของมังกรวารี


 


 


เสียงกรีดร้องอันน่าอนาถดังขึ้นอีกครั้ง มังกรวารีสีเขียวตัวหนึ่งหนีออกมาจากหัวของมังกรวารี แต่เมื่อเปลวเพลิงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบก็หายวับไป เหลือเพียงหัวมังกรหัวหนึ่ง ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ


 


 


แน่นอนว่านี่เป็นเพราะหานลี่คิดจะควบคุมเพลิงกลืนวิญญาณ เก็บรักษาผลลัพธ์เอาไว้


 


 


ส่วนอสูรทะเลในไอสีดำอีกสี่ตัว ชั่วพริบตาที่ภูเขายักษ์เคลื่อนไหว ก็กลายเป็นหมอกโลหิตโดยไม่มีแรงจะต้านทานเลยสักนิด แม้แต่จิตวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยังไม่อาจหลบหลีกได้เลยสักนิด


 


 


หานลี่เห็นปีศาจทั้งห้าถูกสังหารในรวดเดียว ก็กวักมือเรียกพร้อมรอยยิ้มจางๆ หัวมังกรวารีตนนั้นพุ่งเข้ามาในทันที ถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือข้างหนึ่ง


 


 


นิ้วทั้งห้ากางออกถือหัวมังกรวารีขนาดยักษ์เอาไว้


 


 


หลังจากที่หรี่ตาทั้งสองข้างลงพิจารณาเล็กน้อย ลำแสงสีขาวพลันเปล่งแสงสว่างจ้า หัวมังกรวารีสลายหายไป ถูกเก็บเข้าไปในกำไลเก็บของ


 


 


มือสีดำตบไปทางกลางอากาศด้านภูเขายักษ์ หลังจากที่ภูเขาเทวะดูดปราณพันจั้งเลือนรางลงก็กลายเป็นเงาลวงตา สุดท้ายก็สลายหายไปจากกลางอากาศ


 


 


หานลี่เก็บภูเขายักษ์สะบัดแขนเสื้อคิดจะหันกายจากไป


 


 


แต่เมื่อกวาดสายตาไปยังระลอกคลื่นที่ยังไม่หายไปด้านล่าง หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็เปลี่ยนความคิด


 


 


รอบกายของเขาเปล่งแสงสีเขียวออกมา กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในระลอกคลื่น


 


 


ทุกแห่งที่สายรุ้งสีเขียวกวาดผ่านไป ผิวน้ำทั้งหมดพลันแยกออกโดยอัตโนมัติ หลังจากที่ผ่านไปเพียงชั่วครู่ ก็ปรากฎด้านหน้าภูเขาน้อยใต้ทะเลใต้กลุ่มปะการัง


 


 


หานลี่มองไปยังภูเขาลูกนี้แวบหนึ่ง ร่ายนิ้วไปทางสันเขาของภูเขาลูกนี้ กระบี่ลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ลำแสงสีทองและฟ้าสองสีระเบิดออก ทันใดนั้นลำแสงสีฟ้าอีกชั้นหนึ่งพลันปรากฎขึ้น แต่หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ


 


 


เนินเขามีประตูปะการังสีขาวบานหนึ่งปรากฎขึ้น


 


 


หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ในนี้น่าจะเป็นถ้ำพำนักของท่านเป่ากวง


 


 


ไอกระบี่สายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งผ่านไป


 


 


ทันใดนั้นประตูปะการังที่อยู่ในลำแสงสีทองพลันกลายเป็นผุยผง น้ำทะเลด้านในว่างเปล่า เผยทางเดินสีเขียวสายหนึ่งออกมา


 


 


หานลี่แววตาเปล่งประกาย ร่างกายพลิ้วไหวเดินเข้าไป


 


 


ทางเดินนี้ทอดตัวยาวมาก มีความยาวเกือบร้อยจั้ง


 


 


เมื่อหานลี่ปรากฎตัวที่ห้องโถงห้องหนึ่งตรงสุดทางเดินนั้น เบื้องหน้ากลับเปล่งประกาย


 


 


เห็นเพียงห้องโถงกว้างห้าสิบหกสิบจั้ง วิจิตรงดงามเป็นอย่างมาก บนพื้นล้วนเป็นหยกงามสีขาวบริสุทธิ์ และยิ่งไปกว่านั้นทุกๆ สองสามจั้ง กำแพงทั้งสี่ด้านจะมีไข่มุกราตรีกระจ่างขนาดเท่าหัวแม่มือเม็ดหนึ่งฝังอยู่พลางเปล่งแสงเรืองๆ


 


 


ตรงเพดานของห้องโถงมีปะการังสีแดงสดราวกับเปลวเพลิงแขวนอยู่ แผ่ความอบอุ่นออกมา ทำให้ความชื้นภายในห้องโถงถูกกำจัดไปจนเกลี้ยง


 


 


หานลี่กวาดสายตามองไปมาด้วยความประหลาดใจ กลับตกลงตรงเนินหินสีเทาขาวที่มุมห้องโถง


 


 


สิ่งนี้ดูหยาบๆ ราวกับเป็นแค่ก้อนหินธรรมดาๆ หากไม่ใช่เพราะเบื้องหน้ามีโต๊ะหยกที่วิจิตรงงามวางอยู่ตัวหนึ่ง เกรงว่าก็คงคิดว่ามันเป็นก้อนหินแบนๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น


 


 


แต่ในห้องโถงอันโออ่าขนาดนี้ ของทั้งหมดล้วนเปล่งแสงระยิบระยับออกมา มีเพียงเนินหินที่ไม่สะดุดตาขนาดนี้ มันแปลกไปหน่อยกระมัง


 


 


หานลี่เอียงหัวครุ่นคิด มือหนึ่งตะปบไปทางเก้าอี้หิน คิดจะดูดของสิ่งนั้นเข้ามาพิจารณาอย่างละเอียด


 


 


แต่ฉากที่เกินความคาดหมายพลันปรากฎขึ้น


 


 


ภายใต้พลังแรงดูดมหาศาลที่เขาสร้างขึ้น เก้าอี้หินตัวนี้ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย


 


 


หานลี่ใจหายวาบ ขบคิดในใจ เดินไปเบื้องหน้าอย่างช้าๆ ยื่นนิ้วนิ้วหนึ่งลูบไปที่เนินหิน


 


 


ความเย็นเยียบกลุ่มหนึ่งแล่นผ่านนิ้วมือขึ้นมายังท่อนแขน หานลี่ไม่ทันได้ดึงนิ้วออก ความร้อนฉ่าอีกกลุ่มหนึ่งไล่ตามมา


 


 


หานลี่พลันตะลึงงัน


 


 


กดทั้งฝ่ามือไปบนเนินหินเสียเลย รู้สีเพียงว่าความเย็นและร้อนสองขั้วที่ไม่เหมือนกันส่งสลับไปกันมา จากนั้นแขนของเขาก็รู้สึกอุ่นขึ้น ทำให้เขารู้สึกสบาย


 


 


ใช้จิตสัมผัสมองไปที่แขน ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ


 


 


หานลี่ขมวดคิ้วลำแสงสีทองบนร่างเปล่งแสงเจิดจ้า นิ้วทั้งห้าออกแรงคิดจะคว้าเนินหินสูงสองสามฉื่อเอาไว้


 


 


แต่เห็นเพียงนิ้วทั้งห้ามีลำแสงสีทองเจิดจ้า แทบจะบดบังเนินหินทั้งกองเอาไว้ แต่สิ่งนี้ก็ยังคงไม่ขยับเลยสักนิดราวกับฝังรากลงไปใต้ดิน


 


 


ในที่สุดหานลี่ก็รู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย!


 


 


เขาไม่ทันต้องขบคิด อีกมือหนึ่งมันวางไปบนเนินหิน มือทั้งสองมีลำแสงประหลาดไหลเวียนไปมาพร้อมกัน ข้างหนึ่งกายเป็นสีดำเป็นมันวาว อีกมือหนึ่งกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์


 


 


แขนทั้งสองข้างพลิ้วไหวร่างของหานลี่เปล่งเสียงระเบิดราวกับไม้ไผ่ระเบิดดังออกมา ในเวลาเดียวกันพลังมหาศาลที่น่าเหลือเชื่อกลุ่มหนึ่งพลันทะลักออกมา ส่งผลไปถึงเนินหิน


 


 


เสียงตูมๆ ดังสนั่นขึ้น ทั้งห้องโถงสั่นเทาอย่างแรง ในที่สุดเนินหินก็พลิ้วไหว แต่ทันใดนั้นก็กลับคืนตำแหน่งเดิม แต่จากใจกลางของเนินหิน พื้นดินทั้งห้องโถงแตกออกเป็นสายๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ทันใดนั้นแยกออกคาตาของหานลี่ อิฐหยกรอบๆ ต่างสั่นเทาแตกออกเป็นผุยผง เผยพื้นดินหยาบๆ สีดำที่อยู่ด้านล่างออกมา


 


 


“แก่นเหล็กทมิฬ”


 


 


หานลี่มองปราดเดียวก็รู้ความเป็นมาของพื้นดินสีดำ ใบหน้าจึงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


 


 


แต่ทันใดนั้นเขาก็ชักสายตากลับมา จ้องเขม็งไปยังเนินหินที่ไม่สะดุดตาเบื้องน้าด้วยแววตาเปล่งประกายอีกครั้ง


 


 


เนินหินในครานี้คาดไม่ถึงว่าจะมีครึ่งหนึ่งที่จมหายเข้าไปใต้ดินสีดำ ราวกับว่าฝังอยู่ในนั้นตามธรรมชาติ


 


 


หานลี่พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง


 


 


สิ่งนี้ไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แค่น้ำหนักของของสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาทั้งชีวิตแล้ว


 


 


ถึงแม้ว่าเมื่อครู่เขาจะไม่ได้ใช้เคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่แค่ความแข็งแกร่งของกายเนื้อและคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติ ก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายเนินหินได้ เจ้าสิ่งนี้หนักเป็นล้านชั่งแน่


 


 


หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ วัตถุดิบที่หนักในบรรดาวัตถุดิบล้ำค่าทั้งหมด ดูเหมือนว่าจะเป็นทองหนักทมิฬสวรรค์ ทองหนักทมิฬสวรรค์ขนาดเท่าเล็บมือก้อนหนึ่ง ก็เพียงพอจะทำให้ชายร่างใหญ่ร่างกายกำยำฟุบหมอบลงกับพื้นแล้ว


 


 


แม้นว่าจะไม่อาจตรวจสอบน้ำหนักของเนินหินให้ละเอียดได้ แต่ดูจากขนาดของมัน เกรงว่าคงหนักไม่แพ้ทองคำทองคำหนักทมิฬสวรรค์ แม้กระทั่งอาจจะหนักกว่าเท่าหนึ่ง


 


 


ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่การทดสอบในมือกลับไม่มีท่าทีจะหยุดเลยสักนิด เห็นเพียงลำแสงสีทองพลันสว่างวาบ ไอกระบี่สายหนึ่งสับลงมา


 


 


หลังจากเสียง “สวบ” ดังขึ้น ไอกระบี่บนผิวของเนินหินก็สลายหายไป ไม่มีผลอะไรเลยสักนิด


 


 


หานลี่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ ของสิ่งนี้มหัศจรรย์เป็นอย่างมาก หากแม้แต่ไอกระบี่สายหนึ่งของเขาก็ยังไม่อาจต้านทานได้ เกรงว่าก็คงทำให้เขาผิดหวังแล้ว


 


 


แต่ด้วยเหตุนี้ความอยากรู้อยากเห็นของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น


 


 


พลิกฝ่ามือมือหนึ่งกระบี่น้อยยาวสองสามชุ่นเล่มหนึ่งปรากฎขึ้น แต่เมื่อลำแสงสีทองเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา กลับกลายเป็นกระบี่ยาวสีทองขนาดสองสามฉื่อ


 


 


หานลี่ใช้มือหนึ่งถือกระบี่ สับลงมาที่เนินหินอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)